Alchemy Emperor of the Divine Dao 1430-1439

ตอนที่ 1430

 

“โคชดีที่เสี่ยวชิงของข้าไม่เป็นอะไรไป ไม่เช่นนั้นข้าจะตัดหัวสุนัขของมันทิ้ง” เจียนเสี่ยวหลิงกล่าวอย่างไม่พอใจ สหายที่ใกล้ชิดที่สุดของนางในตอนนี้คือโสมเฒ่า เจ้ากระต่าย เสี่ยวชิงและอสูรศิลา นางขึ้นขี่หลังของเสี่ยวชิงและรูปขนของมัน


ทุกคนหัวเราะ เจียนเสี่ยวหลิงเป็นเด็กสาวที่ฉลาดและขี้เล่นไม่เหมือนติงจือจือที่เรียบร้อยและว่าง่าย


“ไปกันต่อ”


ทุกคนออกเดินทางไปข้างหน้า ถึงแม้หนองน้ำจะไม่ได้มีขนาดเล็ก แต่ด้วยความเร็วของทุกคนพวกเขาจึงสามารถออกมาจากบริเวณหนองน้ำได้อย่างรวดเร็วและพบกับเมืองขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า


หลังจากเข้าไปในเมืองกลุ่มของพวกเขาก็มีส่วนหนึ่งที่ไปพักผ่อนในขณะที่อีกส่วนไปหาข้อมูลของสถานที่ตั้งของสำนักละอองดารา


เมืองแห่งนี้เป็นเมืองโบราณที่ไม่รู้ว่าก่อตั้งมานานเท่าไหร่แล้ว ต่อให้ไม่เข้ามาในเมืองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันเก่าแก่


สถานที่สำหรับรวบรวมข้อมูลที่ดีที่สุดคือร้านอาหาร กลุ่มของหลิงฮันไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่งโดยที่ไม่เลือกนั่งในห้องส่วนตัวแต่เป็นห้องรวม พวกเขานั่งกินอาหารพร้อมกับฟังเรื่องราวที่คนรอบข้างคุยกัน


แน่นอนว่าพวกเขาได้ข้อมูลของดาวที่ไม่คุ้ยเคยดวงนี้มาอย่างรวดเร็ว


“นี่ๆ เจ้าได้ยินรึไม่ว่านายน้อยเจ็ดของตระกูลป่ายเหล่าเพิ่งแต่งงานกับฉือโผหมินเมื่อครึ่งเดือนก่อน”


“พรวด นายน้อยเจ็ดของตระกูลป่ายเหล่าคือบุรุษหล่อเหลาที่สตรีผู้ใดก็ยากจนละสายตาออกจากเขาไม่ใช่รึไง แต่สตรีของนิกายฉือโผนั้นไม่เพียงมีแต่สตรีอัปลักษณ์แต่ยังมีนิสัยดุร้ายด้วย…”


“ฮ่าๆ ตระกูลป่ายเหล่าถูกตระกูลคู่แค้นอย่างตระกูลหลิวบีบบังคับให้แต่งงานเข้านิกายฉือโผอย่างไม่มีทางเลือก”


“ตระกูลหลิวคือตระกูลแห่งอัจฉริยะ!”


“ถูกแล้ว มีข่าวลือว่าเมื่อเจ็ดพันปีก่อนมีอัจฉริยะตระกูลหลิวคนหนึ่งได้รับคำชมเชยจากเซียนเหรินเติง”


“ว่าไงนะ เจ้าหมายถึงศิษย์คนที่เจ็ดของเซียนซิงฉา…. เซียนเหรินเติงผู้นั้นน่ะรึ?”


“ยังมีคนอื่นอีกรึไง?”


“หลิวจวินเทียนนั้นเพิ่งทะลวงผ่านระดับภูผาวารีเมื่อเจ็ดพันปีก่อน แต่ตอนนี้เขากลายเป็นจอมยุทธระดับดาราขั้นกลางแล้ว มีคำกล่าวว่าเขากำลังจะบรรลุระดับดาราขั้นสูงอีกเพียงแค่เอื้อม ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก”


“หลิวจวินเทียนที่ว่าได้มาเข้าร่วมสำนักละอองดาราในครั้งนี้ด้วย!”


“ไม่ต้องกล่าวอะไรให้มากความ เมื่อได้รับความชื่นชอบจากเป็นพิเศษจากเซียนเหรินเติง เขาย่อมสามารถเข้าร่วมกับสำนักละอองดาราได้อย่างแน่นอน”


“ไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตเขาจะกลายเป็นเซียนได้รึไม่ แต่การบรรลุระดับวารีนิรันดร์ย่อมไม่มีปัญหาแน่นอน”


“ระดับวารีนิรันดร์!”


ทุกคนรู้สึกอิจฉา แม้แต่ดาวดวงนี้ ตัวตนระดับวารีนิรันดร์ก็ยังเรียกว่าเป็นปรมาจารย์ คนที่บรรลุระดับนี้ได้มีจำนวนน้อยนิด


หลิงฮันและพรรคพวกมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ช่างบังเอิญจริงๆที่พวกเขาได้มารับรู้เรื่องราวของหลิวจวินเทียนแบบนี้ อีกฝ่ายเป็นราชาในหมู่รุ่นเยาว์และมีศักยะภาพที่แม้แต่เซียนก็ยังชื่นชม


พวกแต่ว่าในกลุ่มของพวกเขาใครบ้างที่ไม่ใช่ราชา มีเหตุผลอันใดที่พวกเขาต้องหวาดกลัวอีกฝ่าย?


“ดูเหมือนว่าตอนนี้หลิวจวินเทียนจะไปยังภูเขาวายุม่วง”


“ทำไมเขาถึงไปที่นั่น?”


“เจ้าไม่รู้รึไงว่าภูเขาวายุม่วงในตอนนี้ได้กลายเป็นจุดรวมตัวที่เหล่าราชารุ่นเยาว์ตกลงกันว่าจะจัดงานน้ำชาขึ้น? ไม่ว่าใครหากไปที่นั่นได้ย่อมต้องรู้สึกภาคภูมิใจ”


“แค่ขึ้นไปบนเขา ไม่เห็นยากลำบากตรงไหน”


“ฮ่าๆ เจ้าคิดง่ายเกินไปแล้ว”


“ราชารุ่นเยาว์เห่านั้นต่างให้ผู้ติดตามที่แข็งแกร่งเฝ้าตีนเขาเอาไว้ หากไม่ใช่จอมยุทธที่มีศักยะภาพระดับราชาย่อมไม่สามารถผ่านขึ้นไปบนภูเขาได้ ยิ่งกว่าภูเขาวายุม่วงเองก็มีเป็นภูเขาที่แปลกประหลาด มีเพียงจอมยุทธระดับดาราเพียงหยิบมือที่สามารถขึ้นไปถึงยอดเขาได้!”


“อะไร มีเรื่องเช่นนั้นด้วย?”


“เจ้าคงเป็นจอมยุทธที่มาจากต่างดาวสินะ หากเจ้าเป็นคนของที่นี่เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้จักภูเขาวายุม่วง”


“ตัวข้าเพิ่งบรรลุเพียงระดับภูผาวารี เกรงว่าแค่เดินไปยืนอยู่บริเวณตีนเขาก็คงไม่สามารถทำได้”


หลิงฮันกล่าวอย่างเรียบง่าย “ลองไปภูเขาวายุม่วงกันดีไหม?”


“ไป!” เจียนเสี่ยวหลิงกลัวโลกจะสงบสุขเกินไป นางรีบเอาขึ้นมาทันที


“ข้าอยากเผชิญหน้ากับเหล่าราชาที่นั่น!” จักรพิรุณแสดงสีท่าปรารถนาการต่อสู้ แต่ไม่ใช่เพียงเขาคนเดียว แม้กระทั่งติงผิง จิ่วเยา สวีเหลินและคนอื่นๆก็เช่นกัน


ข้อมูลตำแหน่งของภูเขาวายุม่วงนั้นไม่ได้หายาก ภูเขาแปลกประหลาดลูกนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง ผู้คนในเมืองนี้อย่างน้อยเก้าในสิบล้วนแต่รู้จัก


ภูเขาวายุม่วงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่พวกหลิงฮันถึงออกเดินทางทันที สำหรับคนที่มีพลังไม่แข็งแกร่งพอจะเข้าไปอยู่ในหอคอยทมิฬ เพียงครึ่งวันพวกเขาก็มาถึงจุดหมาย สิ่งที่แปลกประหลาดของภูเขาลูกนี้ไม่ใช่ความสูงแต่เป็นสภาพแวดล้อมของภูเขาที่เป็นสีม่วงทั้งหมด


สมชื่อภูเขาวายุม่วง


ณ เวลานี้ตีนเขาของภูเขาวายุม่วงพลุกพล่านไปด้วยผู้คน ไม่ว่าใครต่างก็กำลังจดจ้องไปยังส่วนบนสุดของภูเขา มีคนราวๆร้อยคนที่เหาะเหินมองดูยอดเขาจากท้องฟ้า คนเหล่านั้นหากไม่ใช่จอมยุทธระดับดาราที่เหาะเหินได้ก็เป็นเผ่าที่มีปีกอยู่ด้านหลัง


ดูเหมือนว่างานเลี้ยงน้ำชาของเหล่าราชาจะดึงดูสายตาผู้คนอย่างมาก แม้กระทั่งจอมยุทธระดับดาราก็มาที่นี่เพื่อดูการแสดงที่น่าตื่นเต้น


“คึกคักจริงๆ” หลิงฮันยิ้ม


“น้องสี่ ไปกันเร็ว ข้าอยากสู้จนอดใจไม่ไหวแล้ว!” จักรพรรดิพิรุณกล่าว


หลิงฮันกล่าวตอบ “พี่สอง คนเหล่ามารวมตัวกันเพื่องานเลี้ยงน้ำชา”


“ไม่ใช่ว่ามีทั้งดื่มชาและประลองหรอกรึ?” จักรพรรดิพิรุณไม่คิดแบบหลิงฮัน


หลิงฮันมองไปยังติงผิงและกล่าว เจ้ารออยู่ที่นี่” ภูเขาลูกนี้มีเพียงจอมยุทธระดับดาราที่ขึ้นไปได้แถมยังต้องเป็นราชาในหมู่ระดับดารา ติงผิงนั้นถึงแม้จะขัดเกลาพลังจนบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสมบูรณ์เขาก็ยังไม่บรรลุระดับดารา


สวีเหลินบอกให้ภรรยาของเขารออยู่ที่นี่เช่นกัน คนที่จะขึ้นไปบนภูเขามีเพียงหกคนคือหลิงฮัน จักรพรรดิพิรุณ จักรพรรดินีหล่วนซิงAnchorสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ สวีเหลินและเซียนหวู่เซียง


หกคนเมื่อรวมกลุ่มกันแล้วถือว่าทรงพลังอย่างมาก โดยเฉพาะจักรพรรดินีที่บรรลุระดับดาราขั้นสมบูรณ์ชั้นสูงสุด หากนางลงมือ ไม่ว่าศัตรูเป็นใครย่อมแพ้อย่างราบคาบ


พวกเขาเดินเขาขึ้นไปยังภูเขา


“เหอะ มีกลุ่มคนที่ไม่รู้จักเจียมตัวเสียด้วย”


“มีคนมากมายที่ต้องการขึ้นไปบนยอดเขา แต่คนที่มีคุณสมบัติจะมีสักกี่คนเชียว?”


“ไม่ต้องพูดถึงว่าการขึ้นภูเขาวายุม่วงนั้นลำบาก แค่โอกาสจะได้ขึ้นไปพวกเขาก็ไม่มีแล้ว”


ผู้คนรอบข้างหยอกล้อดูถูกกลุ่มของหลิงฮัน


เหล่าราชาในหมู่อัจฉริยะได้ทิ้งผู้ดินตามเอาไว้ล่างเขา และการที่จะเป็นผู้ติดตามของราชาได้ จอมยุทธเหล่านั้นก็ต้องเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ



 

 

 


ตอนที่ 1431

 

“หยุด!” ในขณะที่กลุ่มของหลิงฮันกำลังจะขึ้นตีนเขา พวกเขาก็ถูกหยุดเอาไว้


มีรุ่นเยาว์จำนวนหนึ่งยืนอยู่อย่างองอาจ พวกเขาเป็นเพียงผู้ติดตามของราชาแต่ไม่ว่าคนไหนกลับมีท่าทีทะนงตนหาใครเปรียบ


แต่ถึงอย่างไรคนเหล่านี้ก็แข็งแกร่งมาก พวกเขาทุกคนมีพลังบ่มเพาะระดับดาราทั้งสิ้น มีหนึ่งคนที่บรรลุระดับดาราขั้นสูงสุด เกรงว่าพลังบ่มเพาะของเขาคงสูงกว่าราชาหลายๆคนอีก


แต่การจะเป็นราชาได้นั้น ไม่ใช่เพราะมีพลังบ่มเพาะที่สูงส่งแต่เป็นพลังอันไร้เทียมทานในระดับพลังเดียวกัน


มีเพียงอัจฉริยะที่สามารถบดขยี้ทุกคนในระดับพลังเดียวกันเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติเป็นราชา!


หลิงฮันชำเลืองมองและกล่าว “ทำไมพวกเข้าถึงไปไม่ได้?”


“เหล่าราชากำลังจัดงานน้ำชากันอยู่ คนทั่วไปไม่มีสิทธิเข้าไปยุ่มย่าม!” รุ่นเยาว์ชุดม่วงคนหนึ่งกล่าวอย่างไม่แยแส เขาไม่แม้แต่จะหันสายตามอง


หลิงฮันหัวเราะ “ภูเขาลูกนี้คือบ้านของเจ้า?”


“แน่นอนว่าไม่ใช่” รุ่นเยาว์ชุดม่วงส่ายหัว


“เช่นนั้นเจ้ามีสิทธิอะไรมาห้ามพวกข้า” หลิงฮันกล่าว


“เจ้า…” รุ่นเยาว์ผู้นั้นกลายเป็นเกรี้ยวกราดทันทีแต่ก็พยายามสงบสติเอาไว้ เขาสะบัดมือและกล่าว  “วันนี้ไม่ว่าใครก็ห้ามขึ้นเขาลูกนี้”


“แต่ในเมื่อคนอื่นขึ้นไปได้ ทำไมพวกข้าจะขึ้นไปไม่ได้?” หลิงฮันยิ้ม


รุ่นเยาว์ชุดม่วงไม่รู้จะกล่าวอะไร เหตุใดชายคนนี้ถึงได้เข้าใจอะไรยากเย็นเช่นนี้? เขาชะงักอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “เจ้าคิดว่าตนเองมีคุณสมบัติเพียงพอ?”


“ทำไมจะไม่มีล่ะ?” หลิงฮันยิ้ม


“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องโค่นข้าให้ได้เสียก่อนแล้วข้าจะยอมให้เจ้าขึ้นไปบนยอดเขา!” แม้รุ่นเยาว์ชุดม่วงจะพูดคุยกับหลิงฮันเพียงไม่กี่คำ แต่เขาก็พบว่าตนเองเริ่มหมดความอดทนเสียแล้ว


หลิงฮันมองไปยังผู้ติดตามที่เหลือ “แล้วพวกเขาละ?”


ผู้ติดตามคนอื่นที่กำลังมองดูอยู่หัวเราะทันทีที่ได้ยินคำพูดของหลิงฮัน “เจ้าเอาชนะเหวินตงให้ได้ก่อน แล้วพวกเราจะยอมให้เจ้าขึ้นไปบนภูเขา”


“ก็ดี!” หลิงฮันเริ่มขยับแข้งขยับขา


จักพรรดินีและสตรีนกอมตะสวรรค์ยิ้ม พวกนางสวมผ้าคลุมเอาไว้มิดชิด แม้แต่ใบหน้าอันงดงามก็ถูดปิดเอาไว้


จักพรรรดิพิรุณยืนกอดอก แน่นอนว่าตัวเขาไม่ต้องการเสียเวลาต่อสู้กับพวกลิ่วล้อ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะเร่งรีบ เพราะอย่างไรเหล่าราชาคนภูเขาก็ไม่ได้หนีไปไหนอยู่แล้ว


รุ่นเยาว์ชุดม่วงมีชื่อว่าเหวินตง เขามองไปยังหลิงฮันและกล่าว “พวกเราไม่จำเป็นต้องสู้กัน ข้าจะยืนอยู่กับที่และให้เจ้าโจมตีสามกระบวนท่า หากเจ้าทำให้ข้าล่าถอยได้แม้แต่ก้าวเดียวข้าจะยอมให้เจ้าขึ้นไปบนภูเขา”


ผู้ติดตามคนอื่นๆหัวเราะดูถูก พวกเขาทุกคนคืออัจฉริยะในยุคสมัยเดียวกัน โดยพวกเขาเป็นอัจฉริยะอย่างน้อยสี่ดาวกันทั้งนั้น พลังของแต่ละคนทรงพลังเกินกว่าระดับพลังของตนเอง เพียงแค่ใช้ปราณก่อเกิดเป็นโล่ป้องกันพวกเขาก็สามารถป้องกันสามกระบวนท่าได้อย่างไม่ยากเย็น


“จริงรึ?” หลิงฮันจงใจทำตาเป็นประกาย


“ข้าไม่คิดจะหลอกเจ้า!” เหวินตงกล่าวอย่างดูถูก ที่จริงแล้วต่อให้พวกหลิงฮันเดินขึ้นไปยังภูเขา พวกเขาจะสามารถต้านทานแรงกดดันอันแปลกประหลาดของภูเขาลูกนี้ได้รึเปล่า? แม้แต่อัจฉริยะอย่างพวกเขาก็ยังพบว่าการขึ้นไปบนยอดเขานั้นยากลำบากมาก มีเพียงราชาเท่านั้นที่สามารถขึ้นไปได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ


“งั้นข้าก็ขอไม่เกรงใจแล้วกัน!” หลิงฮันยิ้มและครุ่นคิดก่อนจะปล่อยหมัด “ข้าใช้พลังเต็มที่ได้สินะ?”


“แน่นอน” เหวินตงกล่าวด้วยใบหน้ามั่นใจ


“ในกรณีที่ข้าเผลอสังหารเจ้า ข้าจะทำอย่างไร?” หลิงฮันกล่าวด้วยเสียงเป็นกังวลเล็กน้อย


เหวินตงเกรี้ยวกราดอีกครั้ง เจ้าคิดจะสังหารข้า? ช่างน่าขัน! เขาเค้นเสียงและกล่าว “ไม่ต้องใส่ใจและโจมตีได้แล้ว”


“ไม่ได้ หากข้าสังหารเจ้าจริงๆ ข้าก็ต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องยุ่งยากเข้าน่ะสิ” หลิงฮันส่ายหัวไปมา


ใบหน้าของเหวินตงกระตุกและกล่าวด้วยเสียงดัง “ข้าบอกให้เจ้าโจมตีก็โจมตีมาได้แล้ว ด้วยความสามารถของเจ้ามีรึจะทำร้ายข้าได้ หรือต่อให้เจ้าสังหารข้าจริงๆก็ข้าก็จะไม่เอาความใดๆ ทุกคนที่นี่เป็นพยานได้!”


“ได้ยินแบบนั้นข้าก็สบายใจ!” หลิงฮันถอนหายใจโล่งอก


ว่าแต่ เจ้าคิดจริงๆรึว่าจะสังหารข้าได้?


เหวินตงคิดในใจ เขาเค้นเสียงก่อนจะกล่าว “ทีนี้เจ้าจะลงมือได้รึยัง?”


หลิงฮันกล่าวด้วยท่าทียินดี “พี่สอง พี่ชายสวี ภรรยาข้า พวกเจ้าเคยเห็นคนเสียสติที่อยากถูกคนอื่นโจมตีใส่แบบนี้มาก่อนรึเปล่า?”


“ไม่!” จักรพรรดิพิรุณและคนอื่นๆส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม เซียนหวู่เซียงเองก็เช่นกัน


เหวินตงเกรี้ยวกราด ดวงตาของเขาเดือดดาลจนแทบจะปล่อยเปลวเพลิงออกมา


เขาสาบานว่าหลังจากที่หลิงฮันปล่อยหมัดสามหมัดครบแล้ว เขาจะต้องทำให้อีกฝ่ายเจอดีแน่นอน


หลิงฮันเปลี่ยนสีหน้าและโคจรปราณก่อเกิด หมัดขวาของเขายกขึ้น พริบตาที่อำนาจสวรรค์ถูกควบแน่น แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวก็ถูกปลดปล่อยออกมา


‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ผู้คนโดยรอบมากมายทรุดตัวล้มลงกับพื้นทันที


นี่คือความน่าสะพรึงกลัวของอำนาจสวรรค์ ใครก็ตามที่มีพลังบ่มเพาะต่ำกว่าเขาจะไม่มีโอกาสแม้แต่ได้ตอบโต้ ส่วนคนที่มีพลังบ่มเพาะสูงกว่าหลิงฮัน พลังต่อสู้ก็จะถูกลดลงมาสองดาว


ใบหน้าของเหวินตงเปลี่ยนไปทันที


พลังบ่มเพาะของเขาคือระดับดาราขั้นกลางเหมือนกับหลิงฮันดังนั้นเขาจึงไม่ถูกอำนาจสวรรค์ทำให้ทรุดตัวลงกับพื้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงออร่าอันน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้รู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงจนบึ้งหัวใจ


อีกฝ่ายไม่ใช่จอมยุทธระดับดาราทั่วไปหรืออัจฉริยะแต่เป็นราชา!


เขาที่ติดตามราชามาเป็นเวลานานจะมองไม่ออกได้อย่างไร?


เหวินตงอยากร้องไห้ ในระดับพลังเดียวกันเขาจะรับการโจมตีของราชาถึงสามกระบวนท่าได้อย่างไร? อย่างว่าแต่สามเลย แต่หนึ่งกระบวนท่าก็ไม่มีทาง


ใบหน้าของเหวินตงเต็มไปด้วยความเศร้าโศก “ข้ายอมแพ้! ข้าขอยอมแพ้!” หากเขาต้องรับหมัดหลิงฮันจริงๆชะตากรรมของเขาคงหนีไม่พ้นคาวมตายแน่นอน แถมเขาเพิ่มบอกไปด้วยความต่อให้หลิงฮันสังหารเขาอีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใดๆ


“ยอมแพ้?” หลิงฮันแสดงท่าทีผิดหวัง “อย่างน้อยหนึ่งหมัดเป็นไง?” เขาต่อรอง


“ไม่!” เหวินตงส่ายหัวรัวราวกับตีกลอง


หลิงฮันมองไปยังผู้ติดตามคนอื่น “หรือพวกเจ้าคนใดจะมาแทน?”


“ไม่!” ผู้ติดตามคนอื่นๆส่ายหัวไปมา


หลิงฮันกล่าว “ภูเขานี้ไม่ใช่ของพวกเจ้า การที่พวกเจ้ามายึดครองเหมือนเป็นของตนเองนั้นมันเป็นกระทำที่กดขี่ผู้อื่นเกินไป”


ทุกคนที่นี่เข้าใจทันทีว่าหลิงฮันไม่ได้จงใจแสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือ แต่เขาต้องการสั่งสอนกลุ่มคนที่หยิ่งยโสเหล่านี้

 

 

 


ตอนที่ 1432

 

“ฮึ่ม ใครจะคิดว่าหมอนั่นแท้จริงแล้วคือราชา!”


“ไม่รู้ว่าเขามาจากเขตดวงดาวไหน”


“การที่สามารถกลายเป็นราชาได้ เขาจะต้องมาจากเขตดวงดาวที่แข็งแกร่งแน่นอน”


“เพียงแต่ว่าราชาคนนี้ช่างไร้ยางอายนัก เขาแสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อยั่วยุเหวินตง”


“เหอะ แล้วใครใช้ให้พวกเขาขวางทางไม่ยอมให้คนอื่นขึ้นไปบนภูเขากันล่ะ? ข้าคิดว่าเหวินตงสมควรได้รับบทเรียนแล้ว ภูเขาวายุม่วงไม่ใช่ของเขา!”


“ใช่แล้ว!”


ผู้คนที่อยู่บริเวณตีนเขาพูดคุยกับ บางคนคิดว่าหลิงฮันไร้ยางอาย ในขณะที่บางคนคิดว่าหลิงฮันทำถูก


“ขึ้นไปยังภูเขากันเถอะ” จักรพรรดิพิรุณกล่าว เขาคันหมัดจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว


เมื่อเห็นว่ากลุ่มของหลิงฮันเดินขึ้นไปบนภูเขา เหวินตงก็แสยะยิ้ม


พวกเจ้าคิดว่าที่นี่คือที่ไหน? ทำไมเหล่าราชาถึงเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นที่จัดงานเลี้ยงน้ำชา? นั่นเพราะไม่ใช่ว่าใครก็สามารถขึ้นไปยังยอดเขาได้ง่ายๆ!


แม้สำหรับราชาการขึ้นไปบนยอดเขาจะเป็นเรื่องง่าย แต่ขนาดตัวเขาที่เป็นอัจฉริยะสี่ดาวก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลระหว่างทางขึ้นเขาจนไปไม่ถึงยอด


มีคำกล่าวว่าภูเขาวายุม่วงได้ถูกเซียนสลักตราประทับบางอย่างเอาไว้ทำให้ภูเขาปลดปล่อยปรงกดดันแปลกประหลาดออกมา จอมยุทธทั่วไปที่บรรลุระดับดาราสมควรล้มเลิกที่จะขึ้นเขาลูกนี้ไปเลย มีเพียงจอมยุทธที่ขัดเกลาพลังบ่มเพาะจนถึงขั้นสมบูรณ์และบรรลุระดับดาราเท่านั้นถึงจะขึ้นเขาลูกนี้ได้อย่างง่ายดาย


ยิ่งจำนวนระดับพลังบ่มเพาะที่ขัดเกลาจนถึงขั้นสมบูรณ์มีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งขึ้นเขาได้ง่ายขึ้น


จะบอกว่ากลุ่มของพวกหลิงฮันเป็นราชากันทุกคน?


ช่างน่าขัน ไม่มีทางเป็นไปได้!


ไม่เพียงแค่เหวินตง แต่ทุกคนล้วนแต่คิดเหมือนกัน จำนวนของราชานั้นมีน้อยมาก ทั่วทั้งเขตดวงดาวเขตใหญ่อาจจะมีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ ส่วนเขตดวงดาวเขตเล็กนั้นอาจจะมีเพียงหนึ่งคนสองคน หรืออาจจะไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว


ในขณะที่กลุ่มของหลิงฮันหกคนกำลังจะเดินขึ้นเขา ร่างสามร่างก็ลอยใกล้เข้ามา ในหมู่พวกเขามีอยู่คนหนึ่งที่สภาพย่ำแย่มาก แขนข้างซ้ายของร่างนั้นหายไปและมีโลหิตไหลออกมา


“นายน้อยเหวียน? นายน้อยเหวียน!” ผู้ติดตามราชาคนหนึ่งอุทานออกมาด้วยสีหน้าตกตะลึง เขาจำร่างที่บาดแผลไม่ได้ในแวบแรกเป็นเพราะเขาไม่คิดว่าที่ดาวมู่ถูแห่งนี้ โดยเฉพาะในบริเวณที่ใกล้เคียงกับภูเขาวายุม่วงจะมีใครกล้าทำร้ายคนของตระกูลหลิว


ใช่แล้ว ร่างที่บาดเจ็บไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลิวซื่อเหวียนที่ถูกหลิงฮันสั่งสอน


“พี่ชายชิง!” ทันทีที่หลิวซื่อเหวียนเห็นอีกฝ่าย น้ำตาของเขาก็ไหลพราดออกมา


ในที่สุดข้าก็หาคนช่วยพบแล้ว!


เขาตื่นเต้นและคว้าไปจับร่างอีกฝ่ายด้วยแขนข้างเดียว “พี่ชายชิง ท่านต้องช่วยข้าแก้แค้น!”


“ใครกันที่เจ้าว่า?” ชายที่ถูกเรียกว่าพี่ชายชิงชะงักทันที


ชื่อของเขาคือจางชิง เขาไม่ใช่คนของตระกูลหลิวแต่เป็นผู้ติดตามของราชารุ่นเยาว์หลิวจวินเทียน แน่นอนว่าพลังของเขาไม่อาจดูถูกได้ เขาเป็นอัจฉริยะสี่ดาวที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็สามารถเรียกตนเองได้ว่าอัจฉริยะ


เขาติดตามหลิวจวินเทียนเนื่องจากอีกฝ่ายมีอนาคตอันรุ่งโรจน์ที่มีโอกาสกลายเป็นเซียน!


จางชิงรู้ตัวว่าเขาไม่สามารถกลายเป็นเซียนได้ในชีวิตนี้เขาจึงหวังจะพึ่งพาบารมีของหลิวจวินเทียนช่วยให้ในอนาคตเขามีโอกาสกลายเป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์


“พวกมันคือกลุ่มสุนัขต่ำต้อย หืม!” ในตอนแรกดวงตาของหลิวซื่อเหวียนจดจ้องอยู่เพียงแค่จางชิง แต่ในขณะที่เขาเปิดปากพูดจู่ๆก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นยะเยือกที่น่าหวาดกลัว พอเขาหันหลังไปมองก็พบตัวการที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้


หลิวซื่อเหวียนหวาดกลัว เขารีบหลบไปอยู่ด้านหลังจางชิงและชี้นิ้วไปยังหลิงฮัน “พี่ชายชิง เป็นเขา! เป็นเขา! ท่านต้องจัดการสังหารเขาให้ข้า! ไม่สิ ท่านต้องทำให้เขาพิการแล้วให้ข้าเป็นคนลงมือสังหารเอง! แล้วก็สตรีสองคนนั้น ถึงแม้พวกนางจะปิดบังใบหน้าอยู่แต่ร่างกายถือว่าไม่เลวเลย…”


ชางจิงรู้สึกหวาดหวั่น


ถึงแม้เขาจะเป็นอัจฉริยะแต่จะสามารถทัดเทียมกับราชาได้?


ไม่มีทาง! นอกเสียจากว่าระดับพลังของเขาจะสูงกว่า


แต่พลังบ่มเพาะของเขาคือระดับดาราขั้นต้นเท่านั้น เขาจะแก้แค้นให้ได้อย่างไร?


“มัวทำอะไรอยู่พี่ชายชิง จัดการเขาเลย!” หลิวซื่อเหวียนกล่าวเร่งพร้อมกับแสดงท่าทีไม่พอใจ


ที่เขาเรียกอีกฝ่ายว่าพี่ชายชิงเป็นเพราะพี่ชายบอกเขาบอกให้เรียกเช่นนี้ แท้จริงแล้วสำหรับเขาอีกฝ่ายไม่ต่างอะไรกับสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์


ชางจิงไม่กล้าลงมือ เขากัดฟันพูดออกมา “นายน้อยเหวียน คนผู้นั้นคือราชา!”


ว่าไงนะ?


หลิวซื่อเหวียนตกตะลึง ด้วยการที่ชายของเขาเป็นราชาเขาย่อมรู้ดีว่าคำสองคำนี้หมายความว่าอย่างไร… ไร้เทียมทานในระดับพลังเดียวกัน!


ราชา… คำสองคำนี้ยิ่งใหญ่ราวกับขุนเขา เพียงแค่ได้ยินก็ทำให้คนอื่นหายใจไม่ทั่วท้อง


แต่หลิวซื่อเหวียนยังคงกล่าวออกมาด้วยท่าทีอวดดี “ราชาเองก็มีระดับ พี่ชายของข้าคือราชาระดับสอง!”


เป็นอย่างที่ว่า ราชาเองก็ถูกแบ่งระดับด้วยเช่นกัน ขัดเกลาพลังจนบรรลุขั้นสมบูรณ์หนึ่งระดับกับขัดเกลาจนบรรลุขั้นสมบูรณ์สองระดับนั้นต่างกัน แม้ยิ่งระดับพลังสูงขึ้นผลจากการบรรลุขั้นสมบูรณ์ของระดับพลังขั้นก่อนๆจะลดลง แต่ความต่างของพลังก็ยังคงมีอยู่เพียงแค่ไม่ได้มากมายอะไร


แต่สำหรับราชา ความต่างของระดับพลังเพียงเล็กน้อยก็ถือว่ามีผลอย่างมาก


หากชัดเกลาระดับพลังจนบรรลุขั้นสมบูรณ์หนึ่งระดับจะถูกเรียกว่าราชาระดับหนึ่ง จนบรรลุขั้นสมบูรณ์สองระดับจะถูกเรียกว่าราชาระดับสองและสามไปเรื่อยๆตามลำดับ ระดับสูงสุดของราชาคือระดับห้าเนื่องจากไม่มีระดับพลังให้ขัดเกลาต่อไปมากกว่านี้แล้ว


อย่างที่เคยกล่าวไปว่าจำนวนของราชานั้นมีน้อยแสนน้อย หนึ่งเขตดวงดาวอย่างมากก็มีเพียงสิบคน ยิ่งหากเป็นราชาระดับสองด้วยแล้วเกรงว่าหนึ่งเขตดวงดาวอาจจะมีเพียงคนเดียวหรือไม่มีเลย


หลิวจวินเทียนทีว่าคือราชาระดับสอง!


“พี่ชายข้า ต้องเรียกพี่ชายข้ามาจัดการเขา!” หลิวซื่อเหวียนเองก็รู้ว่าชางจิงไม่สามารถโค่นหลิงฮันได้


จางชิงรีบเป็นฝ่ายเสนอความคิดก่อนทันที  “ข้าจะไปแจ้งนายท่านเดี๋ยวนี้!” เขารู้ว่าหลิวซื่อเหวียนรักน้องชายคนนี้มากขนาดไหน


“ฮึ่ม บังอาจทำร้ายข้ารึ? อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอดไปได้!” หลิวซื่อเหวียนกล่าวอย่างหยิ่งยโส ที่นี้มีคนอยู่มากมาย เขาจึงไม่เกรงกลัวว่าถูกหลิงฮันสังหาร!


โพล๊ะ!


แต่ทันทีหลังจากที่เขาพูดจบ ร่างของเขาก็ถูกบดขยี้กลายเป็นฝนโลหิต

 

 

 


ตอนที่ 1433

 

จางชิงที่กำลังจะขึ้นไปยังยอดเขาต้องหยุดชะงัก เขาอ้าปากค้างด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น


ไม่ใช่แค่เขา ทุกคนล้วนแต่ตกตะลึงกันทั้งหมด


ทุกคนมองไปยังหลิวซื่อเหวียนที่หลายเป็นหมอกโลหิตและชำเลืองไปยังหลิงฮันที่ดึงหมัดกลับ


หลิวซื่อเหวียนคือน้องชายของหลิวจวินเทียน!


ณ ที่นี่มีคนอย่างน้อยร้อยคนที่สามารถสังหารหลิวซื่อเหวียนได้ แต่ถึงอย่างนั้นแม้จะถูกหลิวซื่อเหวียนดูถูกพวกเขาก็ต้องจำใจยอมรับอย่างไม่อาจตอบโต้เนื่องจากตัวตนของหลิวจวินเทียน


แต่ตอนนี้กลับมีใครบางคนกล้าสังหารของชายของหลิวจวินเทียน… แบบนี้ท้องฟ้าจะต้องถล่มลงมาเป็นแน่!


จบสิ้นแล้ว… มีความเป็นไปได้สูงมากที่หลิวจวินเทียนจะสังหารพวกเขาทั้งหมดเพื่อระบายความโกรธ


ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ทีนี้พวกเขาจะทำอย่างไรดี?


“จะ จะ เจ้ากล้า!” จางชิงพูดติดอ่าง ต่อให้หลิงฮันเป็นราชาเหมือนกันก็ตาม แต่การที่เขาสังหารน้องชายของราชาอีกคนถือว่าเป็นการยั่วยุที่เหยียดหยามอย่างมาก


นี่เจ้าเป็นใครมาจากไหน เจ้าไม่ได้ยินที่พวกข้าพูดรึไงว่าหลิวจวินเทียนคือราชาระดับสอง


ระดับสอง!


ทั่วจักรวาลจะมีราชาระดับสองซักกี่คนกันเชียว?


หลิงฮันไม่แยแส หลิวซื่อเหวียนกล้าเอ่ยถึงจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะสวรรค์ด้วยคำพูดสกปรก มีรึที่เขาจะยอมทนอยู่เฉย? อย่าว่าแต่หลิวซื่อเหวียนเลย ต่อให้เป็นหลิวจวินเทียนเขาก็ไม่ลังเลที่จะลงมือ


“ไปกันเถอะ” กลุ่มของพวกหลิงฮันมุ่งหน้าขึ้นภูเขา


สังหารน้องชายของหลิวจวินเทียนไปแล้วยังกล้าขึ้นไปบนยอดเขาอีก?


เจ้าคิดว่าตัวเองต่อกรกับหลิวจวินเทียนได้?


ถึงแม้หลิวจวินเทียนจะยังมีพลังบ่มเพาะเพียงระดับดาราขั้นกลาง แต่เขาถูกขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลหลิวแถมแม้กระทั่งเซียนก็ยังเอ่ยชม พลังต่อสู้ของเขานั้นสามารถอธิบายได้เพียงคำว่า ‘ไร้พูดใดต้านทาน’


ชางจิงแน่นิ่งพูดอะไรไม่ออก ถึงแม้เขาจะต้องการจะให้หลิงฮันตาย แต่เขาก็อดไม่ที่จะนับถือหลิงฮัน ความกล้าหาญเช่นนั้นคือสิ่งที่ราชาพึงมี ‘ข้าจะทำสิ่งที่ข้าต้องการโดยไม่สนใจผู้ใด’


กลุ่มของหลิงฮันหกคนเดินขึ้นไปบนภูเขาด้วยท่าทางสงบนิ่ง


“อะไร นี่ข้าเห็นผีอยู่รึเปล่า?”


“ข้าเองก็เหมือนกัน?”


“เหลือเชื่อ!”


ทุกคนอุทานด้วยน้ำเสียงหวาดผวา “พวกเขาสามารถเดินขึ้นไปบนภูเขาได้กันทั้งหกคน แถมยังดูไม่ลำบากอีกด้วย!”


“ทั้งหกคนคือราชา!”


“พระเจ้า!”


ทุกคนเอามือกุมหัว การที่ทั้งหกคนเป็นราชากันทั้งหมดคือเรื่องที่น่าเหลือเกินเชื่อไป!


แน่นอนว่าบนยอดเขานั้นมีราชาอยู่มากกว่าหกคน แต่พวกเขาล้วนแต่มาที่นี่เพียงคนเดียว อย่างมากก็มีผู้ติดตามมาด้วย ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าจักรพรรดิพิรุณและคนอื่นๆเป็นผู้ติดตามของหลิงฮัน


จางชิงเองก็ตะเกียกตะกายเดินขึ้นภูเขาไปเช่นกัน แต่ท่าทีของเขานั้นดูลำบากเป็นอย่างมาก ระยะห่างของเขากับพวกหลิงฮันเองก็ค่อยๆห่างขึ้นเรื่อยๆ


พวกเขาไม่รู้ว่ายังมีติงผิงกับจิ่วเยาอยู่อีกที่เป็นราชา แต่เนื่องจากทั้งสองยังไม่ทะลวงผ่านระดับดาราจึงไม่สามารถขึ้นไปยังยอดเขาได้ หากพวกเขารู้ล่ะก็ใบหน้าของแต่ละคนจะตกตะลึงยิ่งกว่านี้แน่นอน


“พวกเขามาจากเขตดวงดาวใดกันแน่ เขตดวงดาวนั้นช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนักที่มีราชาถือกำเนิดมากมายขนาดนั้น!”


“บางทีรุ่นเยาว์ผู้นั้นก็อาจจะเป็นราชาระดับสองเช่นกัน? เพราะงั้นแล้วเขาจึงไม่เกรงกลัวหลิวจวินเทียน”


“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ราชาระดับสองจะโผล่มาง่ายๆได้อย่างไร ในจำนวนของราชาทั้งหมดราชาระดับสองนั้นมีไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนด้วยซ้ำ”


ผู้คนที่ตีนเขาถกเถียงกันอย่างออกรส แน่นอนว่าพวกเขาอยากเห็นการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นบนยอดเขาเป็นอย่างมาก ตราบใดที่จางชิงนำข่าวการตายของหลิวซื่อเหวียนไปบอกหลิวจวินเทียน การต่อสู้นองเลือดของราชาจะต้องเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้


ไม่ใช่การประลองแลกเปลี่ยนแต่เป็นการต่อสู้เป็นตาย!


……


“น่าสนใจไม่เลว ลมที่พัดอยู่บนภูเขาลูกนี้ก่อให้เกิดแรงกดดันบางอย่างที่ส่งผลต่อจิตวิญญาณ” หลิงฮันกล่าว


“นี่คืออำนาจของเซียน” เซียนหวู่เซียงกล่าวด้วยท่าทีทรงภูมิ “อำนาจที่ว่าได้กำหนดให้มีเพียงอัจฉริยะระดับราชาเท่านั้นถึงจะสามารถขึ้นไปบนยอดเขา”


“หากขัดเกลาพลังบ่มเพาะจนบรรลุขั้นสมบูรณ์จะสามารถต้านทานแรงกดดันได้ แต่ถ้าหากขัดเกลาขั้นสมบูรณ์ได้ถึงสองระดับจะสามารถเมินเฉยต่อแรงกดดันที่ว่าได้เกือบทั้งหมด”


ในกลุ่มของพวกเขา คนที่มีท่าทีผ่อนคลายที่สุดคือจักรพรรดินี นางขัดเกลาขั้นสมบูรณ์สำเร็จถึงสามระดับซึ่งแม้แต่เซียนส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถทำได้ หรือก็คือต่อให้เซียนซิงฉาผนึกพลังลงไปเหลือระดับดาราเขาก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจักรพรรดินี


สตรีนกอมตะสวรรค์ค่อนข้างลำบากเล็กน้อยเนื่องจากระดับพลังภูผาวารีของนางไม่ได้ถูกขัดเกลาให้บรรลุขั้นสมบูรณ์


พวกเขาไม่ได้เดินทางอย่างเร่งรีบผิดกับจางชิงที่พยายามวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ระยะห่างของพวกเขาก็ค่อยๆห่างไกลขึ้นเรื่อยจนในที่สุดก็ไม่สามารถมองเห็นร่างของจางชิง


หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป กลุ่มของหลิงฮันทั้งหกคนก็ขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของภูเขา


ยอดของภูเขาลูกนี้ถูกตัดจนเป็นพื้นราบ แต่ดูจากร่องรอยที่เหลือแล้วรอยตัดนี้มีมากนานหลายปีแล้ว บางทีอาจจะเป็นฝีมือของเซียน บนยอดเขามีคนอยู่จำนวนสามสิบคนและมีเพียงสี่คนที่เป็นสตรี แต่ไม่ว่าจะเป็นสตรีหรือบุรุษทุกคนล้วนแต่งดงามและหล่อเหลา มีบางคนที่บริเวณศีรษะมีเขางอกออกมา หรือบางคนก็มีหางงอกออกมาจากบริเวณก้น บ้างก็มีปีกคู่หนึ่งงอกมาจากแผ่นหลัง


เหล่าราชากำลังพูดคุยกับถึงอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ธาตุเพลิง แต่เมื่อพวกเขาสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังขึ้นมายังยอดเขา พวกเขาก็หันหน้ามองไปยังพวกหลิงฮันทันทีพร้อมกับแสดงท่าทีตกตะลึง


กลุ่มคนที่มาใหม่มีกันอยู่ถึงหกคน ทั้งหกคนยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสียด้วย


ดูจากระยะที่พวกเขาเดินด้วยกันทั้งหกคนหกเป็นสหายกัน ไม่เช่นนั้นแล้วใครบางจะยอมให้ใครที่ไม่รู้จักมาเดินใกล้ชิดเช่นนั้น


“ชื่อของข้าคือกวนเหิง เป็นข้าที่จัดงานเลี้ยงน้ำชาครั้งนี้ขึ้น พวกเจ้าแต่ละคนมีชื่อแซ่ว่าอะไรกันบ้าง?” รุ่นเยาว์ที่มีปีกด้านหลังก้าวเดินออกมาด้วยใบหน้าที่ประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม


ตุบ! ตุบ! ตุบ!


แต่ทันใดนั้นเอง ร่างของจางชิงก็ค่อยๆปรากฏเข้ามาใกล้ เขาอ้าปากหอบอย่างเหน็ดเหนื่อยราวกับสุนัข ใบหน้าและทั่วร่างของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

 

 

 


ตอนที่ 1434

 

หลิวจวินเทียนจำได้ทันทีว่าคนคนนี้คือผู้ติดตามของเขา เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากอะไรทำให้ผู้ติดตามของเขาผลีผลามขึ้นเขามาอย่างไม่คิดชีวิตเช่นนี้


เขาเดินเข้าไปช่วยพยุงจางชิง


หลิงฮันไม่แม้แต่จะหันมองทั้งสองคน เขาเอ่ยชื่อของเขาและตามด้วยจักรพรรดิพิรุณAnchorสวีเหลิน เซียนหวู่เซียง แน่นอนว่าเซียนหวู่เซียงไม่ได้กล่าวว่าตนเองเป็นเซียนอีกต่อไป ไม่เช่นนั้นเขาคงถูกรุมทุบตีเพราะดันไปแสร้งว่าตนเองเป็นเซียน


Anchor


จักรพรรดินีหล่วนซิงกับสตรีนกอมตะไม่กล่าวอะไร พวกนางนำเก้าอี้ออกมาจากอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์และนั่งลงอย่างสง่างาม


“น้องชายหลิง พวกเจ้ามาจากเขตดวงดาวไหนรึ?” ใครบางคนถาม


ทุกคนที่นี่จะถามกันก่อนว่าใครมาจากเขตดวงดาวใด ซึ่งหากเป็นราชาที่มาจากเขตดวงดาวเดียวกันพวกเขาก็จะสนิทกันง่ายยิ่งขึ้น


พวกหลิงฮันมองหน้ากันก่อนจะกล่าว “เขตดวงดาวบูรพาจรัสแสง”


ดวงเหอหนิงตั้งอยู่ในเขตดวงดาวบูรพาจรัสแสง


ในเมื่อทวีปฮงเทียนตั้งถิ่นฐานอยู่บนดาวเหอหนิงพวกเขาจึงเป็นคนของเขตดวงดาวบูรพาจรัสแสงไปโดยปริยาย


“เขตดวงดาวบูรพาจรัสแสง?” ราชาทุกคนแสดงสีหน้าสับสนเนื่องจากพวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อเขตดวงดาวแห่งนี้มาก่อน เขตดวงดาวแห่งนี้ต้องเป็นเขตดวงดาวที่ยิ่งใหญ่เป็นแน่ถึงได้ให้กำเนิดราชาได้ถึงหกคน


“บูรพาจรัสแสง… บูรพาจรัสแสง อ้า ข้านึกออกแล้ว!” ราชาคนหนึ่งปรบมือและแสดงสีหน้าตกตะลึง


“เป็นเขตดวงดาวใหญ่แห่งไหน?” ทุกคนเอ่ยถาม


ราชาคนนั้นแสดงสีหน้าแปลกประหลาดพร้อมกับส่ายหัว


“หรือเป็นเขตดวงดาวมหึมา?”


บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขตดวงดาวที่มีตัวตนระดับวารีนิรันดร์อย่างน้อยสิบคนขึ้นไปถึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นเขตดวงใหญ่ โดยที่ตัวตนระดับวารีนิรันดร์หนึ่งในสิบคนนั้นจำเป็นต้องบรรลุขั้นสูงสุดหนึ่งคน และหากเขตดวงดาวใดที่มีตัวตนระดับเซียน เขตดวงดาวนั้นจะถูกเรียกว่าเขตดวงดาวมหึมา เซียนที่ว่านั้นไม่มีข้อจำกัดว่าต้องเป็นเซียนระดับใด


“ไม่ใช่ทั้งสอง!” ราชาคนนั้นยังคงส่ายหัว “เขตดวงดาวบูรพาจรัสแสงเป็นเพียงเขตดวงดาวเล็ก”


เขตดวงดาวเล็ก?


ไม่ใช่เขตดวงดาวใหญ่แต่เป็นเพียงเขตดวงดาวเล็ก?


ทุกคนตกตะลึง ต้องเป็นเขตดวงดาวเล็กแบบใดกันถึงสามารถให้กำเนิดราชาได้ถึงหกคน เรื่องแบบนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไป ต้องรู้ก่อนว่าต่อให้เป็นเขตดวงดาวใหญ่ก็ยังให้กำเนิดราชาในยุคสมัยเดียวกันได้เพียงสองถึงสามคนเท่านั้น


แล้วเขตดวงดาวเล็กล่ะ? เขตดวงดาวที่ว่าไม่เคยมีราชาแม้แต่คนเดียว


“แล้วก็…” ราชาคนนั้นแสร้งทำเป็นเอ่ยช้าๆเพื่อเรียกความสนใจจากเหล่าฝูงชน “ที่เขตดวงดาวบูรพาจรัสแสงมีตัวตนระดับวารีนิรันดร์เพียงหนึ่งคนเท่านั้น แถมยังเป็นเพียงขั้นต้นอีกด้วย”


พรวด! ราชาหลายคนสำลักออกมาอย่างไม่ยอมรับได้


ที่จริง เขตดวงดาวบูรพาจรัสแสงก็ไม่ได้มีตัวตนระดับวารีนิรันดร์อยู่มาตั้งแต่เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนหน้า เขตดวงดาวที่อยู่ต่ำสุดของเขตดวงดาวเล็กกลับสามารถให้กำเนิดราชาได้ถึงหกคน… แบบนี้จะให้เหล่าราชาที่มาจากเขตดวงดาวใหญ่ยอมรับได้อย่างไร?


“เรื่องจริงหรือเปล่า?”


“เป็นไปได้งั้นรึ?”


“พี่ชายเหอ ท่านจำผิดรึเปล่า?”


เหล่าราชาทุกคนไม่อาจยอมรับเรื่องที่ดูเกินจริงเช่นนี้ได้


ราชาคนนั้นยิ้มและเอ่ย “พวกเจ้าถามน้องชายหลิงเองจะดีกว่า”


หลิงฮันไม่ปฏิเสธว่าพวกเขามาจากเขตดวงดาวบูรพาจรัสแสงและตัวตนระดับวารินีรันดร์หนึ่งคนที่เคยมีได้ตกตายไปแล้ว


เหล่าราชาเริ่มสนทนาถกเถียงกันด้วยเสียงดัง


“ฮึ่ม!” แต่ทันใดนั้นเอง ออร่าอันเย็นชาก็กวาดผ่านไปทั่วบริเวณพร้อมกับร่างของหลิวจวินเทียนได้เดินเข้ามา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอารมณ์ต้องการเข่นฆ่า เขาจ้องมองมายังหลิงฮันและคำราม “หลิงฮัน!”


ถึงแม้จางชิงจะไม่รู้ชื่อของหลิงฮันแต่เมื่อครู่เป็นหลิงฮันเองก็เพิ่งแนะนำตัวไป


“ทำไมต้องตะโกนเสียงดังด้วย หูข้าไม่ได้หนวกเสียหน่อย” หลิงฮันทำท่าแขะหู


“เจ้าสังหารน้องชายข้า!” หลิวจวินเทียนกล่าวด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม ใบหน้าของเขาปรากฏร่องรอยของความเศร้าโศกเนื่องจากบิดาของเขาเสียชีวิตไปแต่ยังอายุไม่มากทำให้เขาเหลือน้องชายอยู่เพียงคนเดียว ด้วยเหตุนั้นแล้วต่อให้หลิวซื่อเหวียนจะเป็นคนที่ไม่ได้ความแค่ไหนเขาก็ยังรักน้องชายของเขาอยู่ดี


แต่น้องชายเพียงคนเดียวของเขากลับถูกหลิงฮันสังหาร!


“ใช่แล้ว” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ


“เจ้า!” หลิวจวินเทียนเกรี้ยวกราด หลังจากสังหารน้องชายของเขาไปแล้วอีกฝ่ายยังมีหน้ามีแสดงท่าทีเช่นนั้นอยู่อีก?


“ข้าสังหารเขาไม่ได้รึไง?” หลิงฮันยิ้ม “น้องชายของเขามีนิสัยเช่นไร? ข้าว่าเจ้าน่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุด หากปล่อยไว้เขาก็มีแต่จะไปสร้างความลำบากให้คนอื่น นับว่าดีแล้วที่ข้าสังหารเขาให้เจ้า”


“ดี! ดีมาก! ดีจริงๆ!” หลิวจวินเทียนกล่าวย้ำคำเดิมถึงสามครั้ง ทุกครั้งที่กล่าวบนศีรษะได้มีเปลวเพลิงปะทุออกมาและเปลี่ยนรูปร่างเป็นมังกรเพลิง เขาคำรามปลดปล่อยสัมผัสสวรรค์ออกไปจนราชาทุกคนจิตใจสั่นสะท้าน


แข็งแกร่ง!


สัมผัสสวรรค์ของหลิวจวินเทียนอัดแน่นไว้ด้วยแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัว เหล่าราชาเกิดวคามคิดว่าหากไม่จำเป็นจะไม่มีทางเป็นศัตรูกับหลิวจวินเทียนเด็ดขาด


แข็งแกร่งสมกับเป็นราชาระดับสอง


“ไม่ต้องพล่ามอะไรแล้ว ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต” หลิวจวินเทียนกล่าวอย่างเย็นชา เขาจ้องมองหลิงฮัยและเตรียมพร้อมจะลงมือ


หลิงฮันยิ้ม ที่จริงแล้วเขารังเกียจที่จะลงมือกับคนเช่นหลิวซื่อเหวียนอย่างมาก แต่เขาจำเป็นต้องทำเพื่อขจัดความสกปรกให้หายไปจากโลก หากหลิวจวินเทียนเข้าใจในเรื่องนี้อีกฝ่ายจะไม่ปล่อยให้หลิวซื่อเหวียนทำตัวไร้กฎเกณฑ์เช่นนี้


ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันแล้ว และตัดสินกับด้วยการต่อสู้


“ฮ่าๆ พวกเขาจะสู้กันแล้ว”


“เจ้าคิดว่าใครจะชนะ?”


“แน่นอนว่าต้องเป็นราชาระดับสองอย่างหลิวจวินเทียน ข้ายอมรับก็จริงว่าครั้งนี้เขตดวงดาวบูรพาจรัสแสงถือว่าฝืนสวรรค์อย่างแท้จริงที่ให้กำเนิดราชาได้ถึงหกคน แต่หากจะบอกว่าในหกคนนี้มีราชาระดับสองอยู่ล่ะก็ ข้ายอมกินหินเลย”


“ฮ่าๆ ข้าก็ไม่เชื่อเหมือนกัน”


เหล่าราชาส่ายหัว ไม่มีใครเลยที่คิดว่าหลิงฮันจะเป็นฝ่ายชนะ


ล้อเล่นรึเปล่า เขตดวงดาวเล็กที่ไม่มีแม้แต่ตัวตนระดับวารีนิรันดร์จะมีราชาระดับสองปรากฏตัวขึ้นได้อย่างไร?


จักรพรรดินีลุกขึ้นยืนและกล่าว “หากสามีข้าชนะ พวกเจ้าจะยอมกินก้อนหิน?” เสน่ห์ของนางน่าพรึงกลัวจนผ้าที่คลุมเอาไว้ไม่สามารถปกปิดความงามของนางเอาไว้ได้


ต่อให้เหล่ารุ่นเยาว์ที่อยู่ที่นี่จะเป็นราชา แต่ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจลึกและมีสีหน้าชะงัก


แม้จะไม่เผยโฉมหน้าออกมาก็ยังทำให้เหล่าราชาแทบจะบ้าคลั่ง นี่คือเสน่ห์อันหาผู้ใดเปรียบของจักพรรดินี!

 

 

 


ตอนที่ 1435

 

หลังจากตกตะลึงเหล่าราชาก็กลายเป็นอิจฉา


สตรีที่งดงามหาใครเปรียบผู้นี้แต่งงานแล้ว?


ช่างน่ารังเกียจนัก!


“เทพธิดา หากหลิงฮันเอาชนะได้จริงๆมีรึที่ข้าจะไม่ยอมกินก้อนหิน?” ใครบางคนกล่าว เขาไม่เชื่อว่าหลิงฮันจะเป็นราชาระดับสอง และในเมื่อหลิงฮันเป็นคนสังหารน้องชายเพียงคนเดียวของหลิวจวินเทียน หลิงฮันจะต้องถูกสังหารแน่นอน


เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วสตรีที่งดงามผู้นี้ก็จะกลายเป็นม่าย ถึงแม้สตรีที่ผ่านชายอื่นมาแล้วจะไม่เหมาะกับราชาเช่นพวกเขาแต่เขาก็ไม่สน


สำหรับสตรีที่งดงามขนาดนี้เขายินยอม!


“ข้าก็ยอมกิน!” เหล่าราชามากมายมีความคิดเช่นเดียวกัน พวกเขาตบหน้าอกอย่างมั่นใจเพราะไม่อยากถูกจักรพรรดินีดูถูก


จักรพรรดินีพยักหน้าและจดจำใบหน้าของคนเหล่านี้ทีละคน


ในขณะเดียวกัน หลิวจวินเทียนในตอนนี้เกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก มังกรเพลิงสามตัวบนศีรษะของเขาทะบานขึ้นท้องฟ้าและพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน


เขาไม่ประมาทและตั้งใจลงมือเพื่อลองเชิง


หลิงฮันดีดนิ้ว ‘พรึบ’ ปราณดาบถูกปลดปล่อยออกไปและพริบตาถูกเหล่ามังกรเพลิงก็ถูกหั่นและแหลกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน


หลิวจวินเทียนไม่หวั่นเกรง หากการโจมตีเพียงแค่นี้หลิงฮันยังไม่สามารถต้านทานได้เขาก็ไม่สมควรถูกเรียกว่าเป็นราชา แต่ที่เขาประหลาดใจก็คือการที่หลิงฮันสามารถสลายการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดายเกินไป


หลิวจวินเทียนยื่นมือไปด้านหน้าและผลักออกไป ปราณก่อเกิดถูกควบแน่นกลายเป็นมังกรเพลิงอีกครั้ง แต่เทียบกับแล้วมังกรเพลิงในครั้งนี้มีขนาดใหญ่กว่าเดิมหลายสิบเท่า แรงกดดันที่สัมผัสเองก็ทรงพลังยิ่งกว่าเดิมเช่นกัน


หลิงฮันส่ายหัวและดีดนิ้วอีกครั้ง ปราณดาบพุ่งออกไปเชือดเฉือนมังกรเพลิงแหลกเป็นเศษซาก


“เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกทดสอบข้าเสียที?” หลิงฮันยิ้ม “ข้ามาเพื่อพบปะราชาไม่ใช่เพื่อมาดูการละเล่นของเจ้า”


“อวดดีนัก!” หลิวจวินเทียนเค้นเสียง ทันใดนั้นได้มีหอกปรากฏมาอยู่ในมือของเขาจากความว่างเปล่า


หอกนี้ไม่ใช่อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เขานำออกมาจากอุปกรณ์มิติแต่เป็นหอกที่ควบแน่นจากปราณก่อเกิด สิ่งที่น่ากลัวก็คือหอกเล่มนี้มีรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์สลักเอาไว้ หากมันถูกใช้โดยปรมาจารย์มากประสบการณ์มันจะสามารถปลดปล่อยพลังที่ไม่มีใครต้านทาน


หลิวจวินเทียนกวัดแกว่งหอกในมือพุ่งเข้าจู่โจมหลิงฮัน


หอกนี้คือทักษะยุทธที่เขาได้มาจากโบราณสถาน มันคือหนึ่งในทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา


หลิงฮันไม่กล้าประมาท อีกฝ่ายเป็นราชาระดับสองเหมือนกันและมีพลังบ่มเพาะเท่ากับเขา ดังนั้นพวกเขาจึงมีพลังต่อสู้ใกล้เคียงกันนอกเสียจากว่าอีกฝ่ายจะมีร่างกายพิเศษที่สามารถปลดปล่อยพลังโจมตีได้รุนแรงกว่าระดับพลังของตนเองสองดาว


เขาเริ่มเอาจริงแต่ก็ยังคงโจมตีด้วยการดีดนิ้ว ทักษะดาบฟ้าคำรามถูกใช้ออกและปลดปล่อยคลื่นดาบอันรวดเร็ว


“ดูถูกกันนัก!” หลิวจวินเทียนเกรี้ยวกราด ก่อนหน้านี้เป็นเพียงการลองเชิงเท่านั้นเจ้าจะโจมตีเพียงดีดนิ้วก็แล้วแต่ แต่ตอนนี้ข้าลงมือใช้ทักษะแล้วเจ้ากลับยังโจมตีด้วยนิ้วมืออยู่?


คลื่นดาบพุ่งทะยานเข้ามาและหลิวจวินเทียนเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันที่รุนแรงทันที อำนาจของคลื่นดาบนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าหอกของเขาเลย


โดยปกติแล้วหากเขาเรียกหอกนี้ออกมา เขาจะกลายเป็นตัวตนที่ไร้เทียมทานทันที ต่อให้ศัตรูมีพลังบ่มเพาะสูงกว่าเขา ด้วยอำนาจของหอกนี้เขาก็สามารถเจาะทะลวงพลังป้องกันของศัตรูได้ อย่าดูถูกเขาเพียงเพราะเขามีพลังต่อสู้เพียงหกดาว เมื่อใดที่เขาใช้ทักษะต่อสู้จริง พลังต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นเจ็ดหรืออาจจะแปดดาว!


นี่คือพลังของราชาระดับสอง


ตูม! ตูม! ตูม!


คลื่นและหอกเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ราชาคนอื่นๆชะงักและมีสีหน้าเคร่งเครียด


ราชาแต่คนที่นี่ล้วนแต่เป็นคู่แข่งกัน พวกเขาทุกคนมีคุณสมบัติสมบัติเข้าร่วมสำนักละอองดาราและเดินสู่ทางเดินแห่งการเป็นเซียน


ทุกคนรู้ว่าทางเดินนี้คับแคบเป็นอย่างมากและเพียงพอให้ราชาเพียงคนเดียวเดินเท่านั้น!


แต่ตอนนี้หลิงฮันกับหลิวจวินเทียนได้แสดงพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมา พวกเขาทรงพลังจนราชาบางคนไม่สามารถทัดเทียมได้… เพราะอย่างไรราชาเองก็มีระดับของราชา ราชาระดับหนึ่งส่วนใหญ่จะเทียบกับราชาระดับสองได้อย่างไร?


ใบหน้าของราชาบางคนกระตุกไปมา พวกเขาเดิมพันกับจักรพรรดินีเอาไว้ว่าหากหลิงฮันชนะพวกเขาจะต้องกินก้อนหิน


ด้วยพลังของพวกเขาแล้ว แม้แค่การกินก้อนหินจะไม่ทำให้ตาย แต่การกินก้อนหินนั้นมันทั้งไม่อร่อยและทำให้พวกเขาเสียหน้า


หลิวจวินเทียน เจ้าต้องชนะ!


แน่นอนว่าหลิวจวินเทียนเองก็อยากชนะเหมือนกัน ไม่สิ ไม่เพียงแค่ชนะ แต่เขาต้องสังหารหลิงฮันให้ได้ เขาคำรามและปลดปล่อยเพลิงทมิฬออกมารอบกาย ร่างของเขาที่ถืออยู่ในตอนนี้ทำให้ดูราวกับเป็นอสูรแห่งบรรพกาล


‘พรึบ’ เปลวเพลิงทมิฬราวกับทำหน้าที่เป็นเกราะ มันสามารถป้องกันคลื่นดาบของหลิงฮันเอาไว้ได้ หลิวจวินเทียนพุ่งยานอย่างองอาจราวกับคิดว่าไม่มีใครสามารถหยุดยั้งตนเองได้อีกต่อไป


น่าสนใจ!


หลิงฮันหรี่ตา เกราะเปลวเพลิวนี้ไม่ได้มีพลังป้องกันอะไรเลย กลับกันมันมีพลังโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวจนทำให้การโจมตีที่พุ่งเข้าใส่ถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน


หลิงฮันยิ้ม เขายกมือขวาขึ้นพร้อมกับกำหมัดต่อยเข้าใส่หลิวจวินเทียน


อะไรกัน!


หลิวจวินเทียนตกตะลึง ทักษะลับเกราะเปลวเพลิงทมิฬนี้เขาได้รับมาจากเขตแดนลี้ลับโบราณ พลังของมันนั้นต่อให้เป็นจอมยุทธระดับดาราขั้นสูงสุดก็ต้องถูกเผาจนบาดเจ็บหรือกลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา


นี่เจ้าบ้ารึเปล่า?


หลังจากตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ หลิวจวินเทียนก็แสยะยิ้มในใจ เจ้าเป็นคนแส่หาที่ตายเอง!


หลิงฮันนั้นอาจจะเป็นราชาระดับสอง ต่อให้เขาอยากเอาชนะหลิงฮันแค่ไหนก็จำเป็นต้องใช้เวลานานพอสมควร แต่ที่ไม่คาดคิดก็คือหลิงฮันจะเป็นฝ่ายรนหาที่ตายเอง


ไปลงนรกซะ!


หลิวจวินเทียนไม่หลบหลีกและจงใจปล่อยให้หมัดของหลิงฮันโจมตีเข้าใส่เขา


ณ เวลานี้แม้หลิวจวินเทียนจะคิดว่ามือของหลิงฮันต้องถูกเผาเป็นเถ้าถ่านแน่นอนแต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ หลิงฮันหน้าด้านเกินไป หมัดของอีกฝ่ายเล็งมาที่ใบหน้าของเขาทั้งๆที่ทุกคนย่อมรู้ว่าจอมยุทธไม่สมควรโจมตีใส่ใบหน้าของกันและกัน


‘ปัง’ หมัดกระแทกเข้าใส่ใบหน้าอย่างจัง

 

 

 


ตอนที่ 1436

 

จอมยุทธที่อยู่ที่นี่ล้วนแต่เป็นราชาแห่งยุค สายตาของพวกเขาย่อมเฉียบคม


ในขณะที่หมัดของหลิงฮันปะทะเข้าที่ใบหน้าของหลิวจวินเทียน ราชาทุกคนมองเห็นภาพนั้นราวกับเวลาเดินช้าลง


ความจริงแล้วไม่ใช่เวลาที่เดินช้าลงแต่เป็นเพราะสมองของพวกเขาทำงานอย่างรวดเร็วทำให้โลกทั้งใบราวกับเคลื่อนที่ช้าลง


ในตอนที่หมัดของหลิงฮันเข้าปะทะเป้าหมาย เปลวเพลิงทมิฬได้จู่โจมเผาผลาญมือของหลิงฮันเข้าเต็มๆ แต่กายหยาบของหลิงฮันแข็งแกร่งขนาดไหน? แถมเหนือสิ่งอื่นใดคือเขาเคยอาบเปลวเพลิงนิรันดร์มาก่อนแล้ว เปลวเพลิวทมิฬตรงหน้าจึงทำให้เขารู้สึกคันๆเท่านั้น


ปัง!


หมัดเข้าปะทะกับใบหน้าของหลิวจวินเทียนอย่างจัง แก้มของหลิวจวินเทียนสั่นสะเทือนราวกับคลื่นน้ำพร้อมกับร่างลอยกระเด็น


ภาพที่ทุกคนเห็นกลับมาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าเดิมอีกครั้ง ‘ตุบ’ ร่างของหลิวจวินเทียนตกกระแทกลงกับพื้น


เหล่าผู้ที่มองดูล้วนตกตะลึง


ยังเร็วเกินไปก็จริงที่จะตัดสินว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ แต่ที่รู้ๆคือหลิวจวินเทียนบาดเจ็บแน่นอน


รับหมัดของหลิงฮันเข้าไปตรงๆแบบนั้น หากศัตรูเป็นจอมยุทธระดับเดียวกัน ด้วยพลังจากกายหยาบของเขาที่ถูกหล่อหลอมด้วยคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์อันเป็นทักษะระดับแนวหน้าของดินแดนแห่งเซียนแล้ว ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะมีทักษะใดสามารถป้องกันได้?


หลิวจวินเทียนลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้ามืดมน


เขาทำใจยอมรับไม่ได้… เพลิงของเขาไม่สามารถแม้แต่ทำให้ผิวหนังของหลิงฮันได้รับบาดแผล!


เป็นไปได้อย่างไร? เพลิงของเขาสมควรเผาทำลายได้แม้กระทั่งจอมยุทธระดับดาราขั้นสูงสุดแท้ๆ!


หลิวจวินเทียนสูดหายใจลึก ดูเหมือนเขาจะดูถูกหลิงฮันเกินไป


อีกฝ่ายเป็นราชาระดับสองไม่ผิดแน่!


หลิวจวินเทียนกล่าว “ไม่น่าสงสัยทำไมเจ้าถึงอวดดีขนาดนั้น ที่แท้เจ้าเองก็เป็นราชาระดับสอง!”


เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา เหล่าผู้ชมก็แสดงทีหน้าตกตะลึง


ราชาระดับสอง!


เขตดวงดาวเล็กที่ไม่มีแม้กระทั่งตัวตนระดับวารีนิรันดร์กลับสามารถให้กำเนิดราชาระดับสอง… เป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาจะยอมรับความจริงเรื่องนี้? แต่หากหลิงฮันไม่ใช่ราชาระดับสอง หลิวจวินเทียนจะถูกโจมตีได้อย่างไร?


“ไม่ใช่เรื่องแปลก” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส ภรรยาของเขานั้นเป็นถึงราชาระดับสาม!


ใบหน้าของหลิวจวินเทียนบูดบึ้งยิ่งกว่าเดิม ราชาระดับสองยังไม่ใช่เรื่องน่าโอ้อวด? ต้องรู้ก่อนว่าตัวตนระดับเซียนแทบทั้งหมดนั้นคือราชาระดับสอง กล่าวคือหากเป็นการต่อสู้ในระดับพลังเดียวกัน ต่อให้เขาต้องสู้กับเซียนเขาก็ไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ


หลิงฮันกล่าวออกมาว่าราชาระดับสองไม่ใช่เรื่องแปลก งั้นต้องเป็นราชาระดับไหนเขาถึงจะคิดว่ายอดเยี่ยม?


“เช่นนั้นมาดูกันว่าใครกันจะเป็นราชาในหมู่ราชา!” เปลวเพลิงของหลิวจวินเทียนลุกโชน เปลวเพลิงแต่ละสายปรากฏรูปแบบอาคมสีดำซึ่งค่อยๆควบแน่นกลายเป็นโซ่ล้อมรอบตัวเขาเอาไว้


‘ครืนน’ เสียงฝ่าผ่าดังออกมาจากจากร่างกายของเขาราวกับว่าเสียงนั่นเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการกำเนิดจักรวาล


ราชาทุกคนที่นี่แสดงสีหน้าตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมหลิวจวินเทียนถึงได้รับคำชื่นชมจากเซียน พลังของเขาเหนือราชาทั่วไปจริงๆ


หลิงฮันไม่ทำเป็นเช่นอีกต่อไป แววตาของเขาปรากฏเพลิงสู้รบ ภายในดวงตาของเขามีภาพการระเบิดของดวงตะวัน ดวงจันทร์และดวงดาราราวกับจักรวาลกำลังถูกทำลายและก่อกำเนิดขึ้นใหม่


น่าเสียดายที่ไม่มีใครเห็นภาพในดวงตาของหลิงฮัน ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงตกตะลึงจนอ้าปากค้าง การทำลายและการก่อเกิดคือวิถีวรยุทธที่แข็งแกร่งที่สุด!


“ข้าจะบดขยี้เจ้าในหนึ่งการโจมตี!” หลิวจวินเทียนคำราม ร่างของเขาตลบอบอวลไปด้วยอร่าแห่งทรราช


ราชาเช่นพวกเขา การต่อสู้สามารถลากยาวไปถึงสิบปีหรือร้อยปี แต่ก็เป็นไปได้เหมือนกันที่จะตัดสินผู้ชนะได้ภายในไม่กี่กระบวนท่าหากทั้งสองฝ่ายใช้ทักษะที่ทรงพลังที่สุดออกมา


ร่างของหลิวจวินเทียนถูกโอบล้อมไว้ด้วยโซ่ที่ควบแน่นจากรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ สภาพของเขาในตอนนี้ราวกับกลายเป็นเทพมาร แม้ภาพลักษณ์ของเขาจะดูแปลกประหลาดแต่เรื่องพลังนั้นไม่มีข้อกังขา


ครืนน!


โซ่ที่โอบล้อมรอบตัวหลิวจวินเทียนลอยออกมา ในขณะเดียวกันเขาได้ชี้นำอำนาจแห่งกฎเกณฑ์แปรเปลี่ยนร่างของตนเองเป็นมนุษย์ทองคำหกแขนและพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน


นี่คือการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของหลิวจวินเทียน


หลิงฮันไม่ออมมืออีกต่อไป


‘พรึบ’ อำนาจแห่งสวรรค์ถูกปลดปล่อยออกมา ร่างของหลิงฮันพุ่งไปด้านหน้าพร้อมกับกำหมัดโคจรAnchorกาลเวลาแปรผันพันปี ไม่ว่าจะเป็นโซ่รูปแบบอาคมหรือร่างของคำของหลิวจวินเทียนได้ถูกทำให้สลายไปด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า


ทุกคนอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าตกตะลึง การโจมตีทรงพลังขนาดนั้นไม่นับเป็นอันใดได้เลยเมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงฮัน?


คนที่ตกตะลึงยิ่งกว่าใครๆคือหลิวจวินเทียน เขาไขว้แขนทั้งสองข้างมาไว้ด้านหน้าเพื่อป้องกันตัว แต่น่าเสียดายที่หลังจากใช้การโจมตีที่ทรงพลังที่สุดออกไปแล้วเขาย่อมตกอยู่ในสภาพที่เปิดช่องว่างมากที่สุด ยิ่งกว่านั้นหลิงฮันก็ยังใช้งานอำนาจสวรรค์แล้วด้วย นอกจากพลังต่อสู้จะลดลงไปสองดาวแล้ว พลังป้องกันยิ่งหดหายไปมากกว่า


หลิงฮันชกหมัดเข้าใส่ใบหน้าของหลิวจวินเทียนอีกครั้ง


ตูม!


เมื่อหมัดถูกปล่อยออกไป โล่พลังปราณของหลิวจวินเทียนก็แสลกสลายอย่างไม่เหลือชิ้นดีพร้อมกับร่างของเขาได้ถูกส่งลอยกระเด็นออกไป แต่ในตอนนั้นเองจู่ๆร่างของหลิวจวินเทียนก็ส่องแสงสลัวออกมา แสงสลัวที่ว่านี้ได้ปลดปล่อยแรงกดดันที่ทรงอำนาจจนเหล่าราชาที่อยู่ที่นี่ขาอ่อนเกือบทรุดลงพื้น


นี่คืออำนาจแห่งความเหนือชั้น อย่างที่จอมยุทธระดับระดับวารีนิรันดร์สามารถกดดันจอมยุทธระดับดารา หรืออย่างที่จอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งสามารถกดดันจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์


ร่างของหลิวจวินเทียนร่วงลงพื้น แม้เขาจะยังไม่ตายแต่บริเวณแก้มได้ปรากฏรอบปูดบวมสีแดง


เหล่าราชาทุกคนตกตะลึง ครั้งนี้ไม่ใช่ความตกตะลึงเพราะพลังของหลิงฮันแต่เป็นแสงสลัวที่ทำให้จิตวิญญาณของพวกเขาสั่นสะท้าน


“นี่คือแรงกดดันของตัวตนระดับสร้างสรรพสิ่งไม่ผิดแน่!” ใครบางคนกล่าว


ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนรู้ว่านี่คือแรงกดดันของเซียนเนื่องจากเหล่าราชาที่นี่ได้เดินทางมาจากเขตดวงดาวหลากหลายขนาด บางคนเป็นถึงลูกศิษย์ของเซียนดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าแรงกดดันนี้คือแรงกดดันของเซียน


“ข้าเข้าใจแล้ว นั่นคือแสงเจตจำนงของเซียนเหรินเติง!”


“ใช่แล้ว เซียนเหรินเติงคาดหวังกับหลิวจวินเทียนเอาไว้มาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะทิ้งเจตจำนงเอาไว้ในร่างกายของหลิวจวินเทียน”


“นี่หมายความว่าเซียนต้องการให้เขามีชีวิตรอด” ทุกคนกระซิบกระซาบ


หลิงฮันสามารถพุ่งเข้าไปปล่อยหมัดอีกหมัดได้ หรือเขาสามารถนำดาบอสูรนิรันดร์ออกมาปลิดชีพหลิวจวินเทียน แต่เซียนเหรินเติงได้เจตจำนงออกมาแล้ว หากเขายังลงมือต่อย่อมหมายถึงเขาไม่ไว้หน้าเซียนเหรินเติง


ตัวของหลิงฮันในตอนนี้ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ


ครั้งนี้เขาจะยอมไว้ชีวิตหลิวจวินเทียนเพราะเห็นแก่หน้าเซียน

 

 

 


ตอนที่ 1437

 

ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันกว้างใหญ่ เซียนคือตัวตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด


ดังนั้นต่อให้หลิงฮันจะหยิ่งทะนงตนขนาดไหนเขาก็ต้องยอมไว้หน้าอีกฝ่าย เพียงแค่หากเขามีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเท่านั้นเขาถึงจะทุกอย่างตามใจปรารถนาโดยไม่ต้องไว้หน้าเซียน


พลัง… ทุกคนล้วนแต่ขึ้นอยู่กับพลัง


ทุกคนกลายเป็นนิ่งเงียบ ในหมู่ราชาที่อยู่ที่นี่ถึงแม้หลิวจวินเทียนจะไม่ใช่คนที่มีพลังบ่มเพาะสูงที่สุด แต่หลิวจวินเทียนหนึ่งในราชาระดับสองที่มีอยู่น้อยนิด ซึ่งหมายความว่าในระดับพลังเดียวกันเขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงฮัน หลิวจวินเทียนผู้นั้นกลับเกือบจะพ่ายแพ้อย่างราบคาบ แสดงให้เห็นว่าหลิงฮันนั้นน่ากลัวขนาดไหน


ชายคนนี้แข็งแกร่งเกินไป


หลิวจวินเทียนลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าอัปยศ


หลิวจวินเทียนรู้ว่าเซียนเหรินเติงทิ้งเจตจำนงเอาไว้ในร่างของเขาเพื่อเป็นการช่วยชีวิตเขาในยามวิกฤต แต่แท้จริงแล้วเจตจำนงที่ว่านี้เป็นทั้งการคุ้มครองและการทดสอบว่าเมื่อเขาเข้าร่วมสำนักละอองดาราแล้ว เจตจำนงจะยังคงอยู่เหมือนเดิมหรือไม่


หากเจตจำนงหายไปนั่นหมายถึงเขาได้ทำให้เซียนเหรินเติงผิดหวังและเขาได้ตายไปแล้วหนึ่งครั้ง


“อีกยี่สิบปี หลังจากเข้าร่วมสำนักละอองดาราแล้วข้าจะกลับมาจัดการเจ้า!” เมื่อหลิวจวินเทียนกล่าวประโยคนี้จบเขาก็จากไป


เขาตัดสินใจล่าถอยไปฝึกฝนทันที อีกยี่สิบปีข้างหน้าเขาจะต้องชำระล้างมลทินของตัวเองให้ได้


ข้าคือหลิวจวินเทียน ราชาในหมู่ราชา!


หลิงฮันส่ายหัว ในด้านของการต่อสู้ระดับพลังเดียวกัน หลิวจวินเทียนไม่ได้ยอดเยี่ยมไม่กว่าฉือหวงหรือเป่ยหวง หากให้พูดแล้วฉื้อหวงจี่่ยังแข็งแกร่งแกร่งกว่าหลิวจวินเทียนเสียด้วยซ้ำ


ร่างของจักรพรรดินีลุกยืนขึ้นและชี้นิ้ว “เจ้า เจ้า เจ้า เจ้าและเจ้า…” นางชี้นิ้วไปยังราชาเรียงคน “จงกินก้อนหินซะ”


เหล่าคนที่ถูกชี้สะดุ้งทันที พวกเขาเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าพวกเขาจะกินก้อนหินถ้าหากหลิงฮันชนะ… แต่ใครจะไปคิดกันว่าหลิงฮันจะเป็นฝ่ายชนะจริงๆ?


หาต้องกินก้อนหินต่อหน้าสาธารณะชน ไม่ใช่ว่าหน้าของพวกเขาคงแหลกไม่มีเหลือหรอกรึ?


พวกเขาทุกคนนิ่งเงียบ เพราะไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็มีราชาอยู่มากมาย หากทุกคนไม่ยอมทำตาม จักรพรรดินีจะทำอะไรได้?


จักรพรรดิปลดปล่อยจิตสังหารออกมา นางเป็นสตรีแกร่งที่ครองบัลลังก์จักรพรรดินีมาเป็นเวลานับล้านปี ข้าเป็นผู้ปกครองสรรพสิ่ง พวกเจ้าบังอาจไม่ยอมเชื่อฟังงั้นรึ?


นางไม่รังเกียจที่จะสังหารราชาเหล่านี้


“เหอๆ เทพธิดา เจ้ามาพนันกับข้าบ้างเป็นอย่างไร?” ชายคนหนึ่งก้าวออกมา ที่หน้าผากของเขามีรอยขีดสีขาวสามขีดประดับเอาไว้ซึ่งไม่ได้ทำให้เสน่ห์ของเขาลดลงไปเลย กลับกันมันช่วยทำให้เขาดูน่าดึงดูดมากขึ้นด้วยซ้ำ


เขาเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาเป็นอย่างมาก


“ข้าขอท้าประลองกับเจ้า หากเจ้าชนะข้าจะทำให้คนเหล่านี้ยอมกินหินแต่โดยดี!” เขากล่าวยด้วยน้ำเสียงมั่นใจ


เหล่าราชานับสิบคนที่พนันกับจักรพรรดินีเกรี้ยวกราดทันที หากพวกเขานับสินคนร่วมมือกัน ในหมู่จอมยุทธระดับดาราใครจะต้านทานพวกเขาได้? แต่เจ้ากลับบอกว่าจะทำให้พวกข้ายอมกินก้อนหินแต่โดยดีรึ เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?


“ชื่อของข้าคือ จูเยว่” ชายคนนั้นจ้องมองไปยังจักรพรรดินีซึ่งยากมากที่จะปกปิดความหลงไหลที่ปรากฏอยู่ในแววตาของเขา


“หากข้าชนะ…” เขายิ้มเล็กน้อย “เทพธิดาจะต้องเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้ข้าเห็น”


จักรพรรดินเกรี้ยวกราด เงาของอสรพิษมหึมาปรากฏขึ้นด้านหลังของนาง มันคืออสรพิษที่มีเขาหนึ่งเขาประดับเอาไว้ที่หัวราวกับเป็นมังกรแท้จริง “หากเจ้าแพ้เจ้าต้องกินก้อนหินเข้าไปด้วย!”


จูเยว่หัวเราะและกล่าว “ตกลง!” ในขณะเดียวกันเบื้องหลังของเขาได้มีดวงดาราปรากฏออกมาทีละดวงจนถึงสี่ดวง ดวงดาราแต่ละดวงมีขนาดเท่ากัน


ระดับดาราขั้นสมบูรณ์!


เขากล่าวอย่างองอาจ “ข้าขัดเกลาระดับพลังจนบรรลุขั้นสมบูรณ์ในระดับภูผาวารีและระดับสุริยันจันทรา ยิ่งกว่านั้นพลังบ่มเพาะของข้าในตอนนี้ก็คือระดับดาราขั้นสูงสุด ใครจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้!”


เมื่อจูเยว่กล่าวออกมาเช่นนี้ทุกคนก็มีสีหน้ามืดมน


อะไรกัน มีราชาระดับสองปรากฏตัวอีกคนแล้ว?


ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมจูเยว่ถึงกล่าวอย่างมั่นใจขนาดนั้น  ราชาระดับสองที่มีพลังบ่มเพาะระดับดาราขั้นสูงสุดจะยังมีใครในระดับดาราที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อีก? หากต้องการเอาชนะจูเยว่คู่ต่อสู้จำเป็นต้องมีพลังของราชาระดับสาม แต่นั่นจะเป็นไปได้รึ? ในหมู่จอมยุทธที่บรรลุเป็นเซียนนั้นแทบจะไม่มีจอมยุทธคนไหนเลยที่เป็นราชาระดับสาม


มีคำกล่าวว่าศิษย์ทั้งเก้าของเซียนซิงฉานั้นล้วนแต่เป็นราชาระดับสอง


จูเยว่มั่นใจเป็นอย่างมาก ที่จริงแล้วเขาไม่ได้อยากแสดงพลังของตนเองออกมาเท่าไหร่ แต่เสน่ห์อันเย้ายวนของจักรพรรดินีได้ทำให้เขาเปลี่ยนใจ


‘ปัง!’


จักรพรรดินีลงมือ ฝ่ามือของนางถูกกระแทกออกไป พลังทำลายที่ปลดปล่อยออกมาจากฝ่ามือนั้นราวกับจะทำให้จักรวาลล่มสลาย


จูเยว่เปลี่ยนสีหน้า พลังของฝ่ามือนี้น่าสะพรึงกลัวเกินไป โลหิตในร่างของเขาหยุดนิ่งด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วร่าง ความรู้สึกหวาดกลัวผุดขึ้นมาในจิตใจของเขาราวกับตนเองกำลังจะถูกส่งเข้าประตูยมโลก


เขาพยายามต่อต้านฝ่ามือที่พุ่งเข้ามา แต่พลังทำร้ายที่ไม่อาจหยุดยั้งได้โหมกระหน่ำเข้าใส่จนร่างของเขาลอยกระเด็นราวกับว่าวเชือกขาด


‘ตุบ’ ร่างของเขาร่วงหล่นจากท้องฟ้าและกระแทกใส่พื้นอย่างรุนแรง


อะไรกัน!


เหล่าผู้ชมกลายเป็นนิ่งเงียบไร้คำพูด เสียงที่ดังออกมามีเพียงเสียงสูดหายใจรุนแรงที่เกิดจากความตกตะลึง


จูเยว่เป็นถึงราชาระดับสองที่มีพลังบ่มเพาะระดับดาราขั้นสูงสุด เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะถูกโจมตีจนร่างกระเด็นด้วยฝ่ามือเพียงฝ่ามือเดียว?


สตรีผู้นี้… คือจอมยุทธระดับดาราขั้นสมบูรณ์!


ต่อให้จอมยุทธผู้หนึ่งขัดเกลาระดับพลังของภูผาวารีและสุริยันจันทราจนบรรลุขั้นสมบูรณ์ แต่หากต้องปะทะกับคู่ต่อสู้ระดับดาราที่บรรลุขั้นสมบูรณ์ล่ะก็ จอมยุทธผู้นั้นก็ทำได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้ต่อให้คู่ต่อสู้จะไม่ได้ขัดเกลาระดับพลังของภูผาวารีและสุริยันจันทราจนบรรลุขั้นสมบูรณ์ก็ตาม นอกเสียจากว่าจอมยุทธผู้นั้นจะทะลวงผ่านไปยังระดับวารีนิรันดร์ถึงจะมีพลังที่เหนือกว่า


ยิ่งระดับพลังสูงขึ้นก็ยังขัดเกลาพลังให้บรรลุขั้นสมบูรณ์ได้ยากขึ้น ราชาส่วนใหญ่สามารถบรรลุขั้นสมบูรณ์ได้เพียงในระดับภูผาวารีเท่านั้น ดังนั้นราชาระดับสองจึงมีจำนวนน้อยมาก ส่วนราชาระดับสามนั้น… ในเขตดวงดาวนับร้อยเขตอันใกล้เคียงนี้มีเพียงเซียนซิงฉาเพียงคนเดียวเท่านั้น


แต่ถ้าหากขัดเกลาพลังบ่มเพาะจนบรรลุขั้นสมบูรณ์ในระดับดาราได้ สตรีผู้นี้ก็สมควรบรรลุขั้นสมบูรณ์ในระดับภูผาวารีและสุริยันจันทราเช่นเดียวกัน


ราชาระดับสาม!

 

 

 


ตอนที่ 1438

 

ราชาระดับสาม!


ทุกคนอ้าปากค้างและหายใจถี่


ถึงแม้นี่จะเป็นเพียงการคาดเดาของพวกเขา แต่โอกาสที่จะเป็นจริงก็มีถึงแปด เก้าส่วน!


จะบอกว่าจูเยว่ไม่แข็งแกร่ง?


แน่นอนว่าแข็งแกร่งมาก! แต่คนที่แข็งแกร่งขนาดนั้นยังถูกจักรพรรดินีซัดกระเด็น


“จะกินก้อนหินด้วยตัวเองหรือจะจะกินจากมือของข้า” จักรพรรดินีกล่าวอย่างไม่แยแส กล้ามาสงสัยในพลังของหลิงฮันย่อมเปรียบเสมือนการดูหมิ่นนาง


เหล่าคนที่พนันกับจักรพรรดินีปากกระตุกไปมา ช่างน่าอันอายยิ่งนัก นี่พวกเขาต้องกินก้อนหินต่อหน้าสาธารณะชนจริงๆรึ? ยิ่งกว่านั้นที่นี่ยังเป็นภูเขาวายุม่วงที่ทั้งก้อนหิน ต้นไม้หรือใบหญ้าล้วนแต่ได้รับผลกระทบจากอำนาจของเซียน หากกินก้อนหินของที่นี่เข้าไปพวกเขาคงย่อยมันออกมาไม่ได้แน่นอน


แต่… พวกเขาจะขัดขืนไม่ยอมกินได้รึ?


แม้แต่จูเยว่ยังถูกโค่นในหนึ่งฝ่ามือ พลังของจักรพรรดินีนั้นเทียบกับกับตัวตนระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้น เป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาจะต่อต้านนางได้?


ราชาที่เหลือหัวเราะสนุกสนาน พวกเขาต้องการเห็นราชากลุ่มนี้ขายหน้า หากคนเหล่านี้หลบหนีไปเพราะทนความอัปยศไม่ไหวคู่แข่งในการเข้าร่วมสำนักละอองดาราในอีกยี่สิบปีข้างหน้าก็จะลดลง


“ข้าไม่ยอมกิน!” ใครบางคนกล่าวอย่างไม่ยินยอม “อาจารย์ของข้าคือหู่อวิ๋น ตัวตนระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุด!”


หากเอาชนะไม่ได้ก็ต้องใช้อำนาจของผู้หนุนหลัง


“ข้าก็ไม่กินเช่นกัน อาจารย์ของข้าคือเซียนปี้หยวน!” ผู้หนุนหลังของราชาคนนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่า


สีหน้าของจักรพรรดินีเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางลงมือโดยไม่แม้แต่จะเสียเวลาครุ่นคิด ‘ฉัวะ’ แขนขาของทั้งสองคนถูกตัดขาดพร้อมกับร่างของพวกเขาร่วงลงพื้น นางไม่กล่าวอะไรและจ้องมองไปยังคนที่เหลือ


นี่คือคำขู่ ถ้าหากพวกเจ้าไม่กินสภาพของพวกเจ้าก็จะเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าจะมีตัวตนระดับวารีนิรันดร์หรือระดับสร้างสรรพสิ่งอยู่เบื้องหลังข้าก็ไม่สน


เหล่าราชาปากกระตุก สตรีผู้นี้ไม่เพียงแข็งแกร่งแต่ยังโหดเหี้ยมอีกด้วย นางไม่ไว้หน้าตัวตนระดับวารีนิรันดร์หรือระดับสร้างสรรพสิ่งทั้งนั้นและตั้งใจจะบังคับให้พวกเขากินก้อนหินท่าเดียว


ราชากลุ่มนั้นลุกขึ้นยืนและหยิบก้อนหินขึ้นมากิน


“นะ นี่ข้าเห็นอะไรกันเนี่ย!” จอมยุทธระดับดาราคนหนึ่งที่มีปีกอยู่ด้านหลังบินมองดูสถานการณ์อยู่บนท้องฟ้า เขาขยี้ตาไปมาเนื่องจากไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตนเองเห็น


“พระเจ้า!”


คนที่อยู่ด้านล่างภูเขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นรึ?”


“เจ้าเห็นอะไร?”


“รีบๆบอกพวกข้าเร็วเข้า!”


เหล่าจอมยุทธที่ลอยอยู่บนท้องฟ้ารู้สึกราวกับจะกลายเป็นบ้า แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นปรมาจารย์ระดับดารา ชายชราคนหนึ่งสงบสติได้อย่างรวดเร็วและกล่าวออกไป “มีเหล่าราชากลุ่มหนึ่งพนันว่าหากพวกเขาแพ้พนันจะยอมกินก้อนหิน” เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย


พรวด!


จอมยุทธหลายคนสำลัก กินก้อนหินงั้นรึ? พวกเขาเป็นถึงราชาเชียวนะ ศักดิ์ศรีของพวกเขาสำคัญยิ่งกว่าชีวิต ใครกันจะยอมรับความอัปยศเช่นนั้นได้?


“พวกเขาพนันอะไร แล้วพนันกับใคร?” จอมยุทธด้านล่างถามด้วยความสงสัย แต่หลังจากนั้นทันทีที่พวกเขาได้รับรู้เรื่องราวว่าหลิงฮันเอาชนะหลิวจวินเทียนได้สำเร็จ ส่วนจักรพรรดินีเองก็สามารถจัดการราชาระดับสองที่มีพลังบ่มเพาะระดับดาราขั้นสูงสุดได้ในฝ่ามือเดียว พวกเขาต่างตกอยู่ในความหวาดกลัว


พวกเขาไม่ค่อยชอบกลุ่มของหลิงฮันเท่าไหร่ แต่ใครจะไปคิดว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะทรงพลังขนาดนี้ ไม่เพียงแค่ทั้งหกคนจะเป็นราชา แต่ในกลุ่มพวกเขายังมีหนึ่งคนเป็นราชาระดับสองและอีกคนเป็นถึงราชาระดับสาม


“พระเจ้า ข้าอยากจะบ้าตาย!”


“เห็นว่าพวกเขามาจากเขตดวงดาวบูรพาจรัสแสงที่เป็นเพียงเขตดวงดาวเล็ก”


“เจ้าจะบอกว่าเขตดวงดาวเล็กที่ไม่มีแม้แต่ตัวตนระดับวารีนิรันดร์สามารถให้กำเนิดราชาระดับสาม?”


ทุกคนอุทานด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ เรื่องแบบนี้ไม่ต่างอะไรจากความฝัน


ณ ด้านบนภูเขา จูเยว่ค่อยๆคลานลุกขึ้นยืน เขาตั้งใจว่าจะแอบหลบหนีไปอย่างเงียบๆเพราะไม่ต้องการกินก้อนหิน


“โอ้?” จักพรรดินีปรากฏตัวที่ด้านหน้าจูเยว่ ร่างอันงดงามของเขาปลดปล่อยแรงกดดันอันทรงพลังออกมากำราบอีกฝ่าย


ใบหน้าของจูเยว่ซีดเผือด “เทพธิดา ข้าเป็นถึงราชาระดับสอง ต่อให้ไม่สามารถบรรลุราชาระดับสามได้ แต่หากข้าทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์พลังต่อสู้ของข้าย่อมไม่ต่างกับเจ้า เพราะงั้นแล้วอย่าได้บังคับข้…”


เพี๊ยะ!


จักรพรรดินีตบเข้าที่ใบหน้าของจูเยว่ ร่างของอีกฝ่ายกระเด็นพร้อมกับพ่นฟันที่แตกหักออก นางหันหน้าไปยังทิศทางหนึ่งแลพกล่าว “สตรีนกอมตะ นำเชือกกับแท่งไม้ออกมา”


“ได้เลยพี่สาว!” สตรีนกอมตะรีบทำตาม สตรีทั้งสองจับจูเยว่มัดกับท่อนไม้และผนึกพลังบ่มเพาะของอีกฝ่าย


ครั้งนี้เขาถูกทำให้อัปยศอย่างแท้จริง


เหล่าราชาที่กำลังกินก้อนหินอยู่เมื่อมองไปยังสภาพของจูเยว่พวกเขาก็รีบเปลี่ยนท่าทีมากินก้อนหินอย่างจริงจังราวกับว่าหินที่มีอำนาจของเซียนอัดแน่นอยู่นี้เป็นอาหารแสนอร่อย


จักรพรรดิพิรุณหัวเราะและกล่าว “ใครต้องการแลกเปลี่ยนวรยุทธกับข้าบ้าง?” เขาจงใจปลดปล่อยดวงดาราสี่ดวงออกมาเพื่อบ่งบอกถึงพลังบ่มเพาะของตนเอง เขาต้องการหลีกเลี่ยงการต่อสู้อันแสนน่าเบื่องกับราชาระดับดาราขั้นสูงหรือขั้นกลาง


“ข้าขอเป็นคนแลกเปลี่ยนวรยุทธกับเจ้า!” รุ่นเยาว์ชุดม่วงคนหนึ่งก้าวเดินออกมา ผิวหนังของเขาถูกปกคลุมไว้ด้วยเกล็ดที่ดูราวกับโลหะชั้นเลิศ ออร่าอันเย็นยะเยือกถูกปลดปล่อยออกมารอบกายของเขา


กลุ่มของหลิงฮันโอ้อวดเกินไป ตอนแรกก็เป็นหลิวจวินเทียนที่พ่ายแพ้ ต่อมาก็เป็นจูเยว่ ดังนั้นทุกคนจึงได้มองกลุ่มของหลิงฮันเป็นศัตรู ความคิดของเหล่าราชาคือต่อให้ไม่สามารถโค่นหลิงฮันกับจักรพรรดินี แต่ขอแค่สั่งสอนคนอื่นได้ก็เพียงพอ


ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้เองก็เป็นจอมยุทธระดับดาราขั้นสูงสุด ดวงดาราสี่ดวงที่มีขนาดเท่ากันด้านหลังเป็นตัวบ่งบอกว่าเขานั้นบรรลุชั้นสูงสุดของระดับดาราขั้นสูงสุดแล้ว


“เริ่มได้!” จักรพรรดิพิรุณพุ่งทะยานพร้อมกับปล่อยหมัด


ปัง! ปัง! ปัง!


ชายคนนี้ไม่อาจดูถูกได้ ถึงแม้เขาจะเป็นราชาระดับหนึ่ง แต่จักรพรรดิพิรุณก็ยังไม่ได้ขัดเกลาพลังบ่มเพาะระดับดาราให้บรรลุขั้นสมบูรณ์ดังนั้นความต่างของทั้งสองจึงมีไม่มาก ยิ่งกว่านั้นเกล็ดเงินของอีกฝ่ายก็ยังมีความสามารถในการป้องกันที่ยอดเยี่ยมทำให้สามารถเมินเฉยการโจมตีของจักรพรรดิพิรุณได้หลายครั้ง


นี่คือข้อได้เปรียบทางสายเลือด


แต่มันก็เท่านั้น สายเลือดที่สืบทอดมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล อำนาจของมันจะหลงเหลืออยู่มากเท่าใดกัน?


ผ่านไปสามสิบเจ็ดหมัดจักรพรรดิพิรุณก็เอาชนะชายคนนี้ได้ เกล็ดบนร่างของเขาจำนวนหนึ่งร่วงหล่นลงพื้น


“ไม่จริง หมอนั่นก็เป็นราชาระดับสองอีกคน?”


“พระเจ้า เหตุใดถึงได้มีราชาระดับสูงอยู่ในเขตดวงดาวเล็กเช่นนั้นมากมายเพียงนี้?”


“อย่าบอกนะว่าคนอื่นๆที่เหลือก็เป็นราชาระดับสองด้วย!”


“ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าจะเป็นเช่นนั้น!”


ราชาคนอื่นๆไม่อาจยอมรับได้ เมื่อใดกันที่ราชาระดับสองมีจำนวนเกลื่อนกลาดเช่นนี้? ในอดีตที่สำนักละอองดาราเคยรับศิษย์มา จำนวนของราชาระดับสองที่นำมารวมกันมีเพียงยี่สิบคนเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับมีราชาระดับที่ว่ามากมายปรากฏตัวที่นี่ แถมยังมีคนหนึ่งเป็นราชาระดับสามอีกด้วย

 

 

 


ตอนที่ 1439

 

งานเลี้ยงน้ำชากลายเป็นสถานที่แสดงอำนาจของกลุ่มหลิงฮันไปโดยปริยาย สวีเหลินและเซียนหวู่เซียงเองก็ออกมาประมือเช่นกัน พวกเขาสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย


ราชาระดับสองอีกสองคน!


จนกระทั่งสตรีนกอมตะทำการประมือ ทุกคนถึงรู้สึกว่าโลกกลับมาสงบสุข ยังมีราชาระดับหนึ่งอยู่ในกลุ่มหลิงฮัน


แต่ถึงอย่างนั้นในกลุ่มราชาทั้งหก การที่มีราชาระดับสองถึงสี่คนและราชาระดับสามหนึ่งคนก็ยังเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ดี


“มีโอกาสสูงมากที่ทั้งห้าคนนี้จะสามารถเข้าร่วมสำนักละอองดาราได้สำเร็จ อย่างน้อยก็มีห้าคนในกลุ่มที่ไม่น่ามีปัญหา”


“ถูกแล้ว ถ้าราชาระดับสองไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมสำนัก ราชาคนอื่นคงไม่ต้องมีหวังแล้ว”


ทุกคนส่ายหัว เหล่าราชาที่พ่ายแพ้ไปอย่างง่ายดายเริ่มกลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง หลังจากที่ทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์พวกเขาก็จะกลับมาสู่จุดเริ่มต้นเดียวกัน ความต่างของราชาระดับหนึ่งและสองไม่ได้กว้างใหญ่อะไร


พวกเขายังมีโอกาสอยู่ หากพวกเขาขัดเกลาระดับดาราให้บรรลุขั้นสมบูรณ์ได้ เมื่อทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์พลังต่อสู้ของพวกเขาจะยิ่งทรงพลังขึ้นไปอีก


แต่แน่นอนว่าความยากลำบากย่อมมีมากขึ้น อันที่จริงไม่มีใครเลยที่ข้ามขั้นขัดเกลาขั้นสมบูรณ์ของระดับสุริยันจันทรามาขั้นเกลาขั้นสมบูรณ์ของระดับดารา หรือข้ามขั้นสมบูรณ์ของระดับดารามาขัดเกลาขั้นสมบูรณ์ของระดับวารีนิรันดร์


ในระดับสร้างสรรพสิ่งยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง หากมีจอมยุทธที่ขัดเกลาขั้นสมบูรณ์ของระดับสร้างสรรพสิ่งได้จริงๆ คนคนนั้นคงเป็นจักรพรรดิเซียนที่สามารถบดขยี้สิ่งมีชีวิตทั้งมวล


ราชาระดับห้าเป็นเพียงตำนานที่ไม่เคยปรากฏจริง


เวลาผ่านไปอีกสักพักงานเลี้ยงน้ำชาก็สิ้นสุด ราชาทั้งหมดแลกเปลี่ยนที่อยู่ติดต่อของกันและกัน ช่วงระยะเวลานี้พวกเขาไม่ได้มีแผนการจะออกเดินทางไปไหนและตั้งใจรอคอยการเปิดรับศิษย์ของสำนักละอองดาราในอีกราวๆยี่สิบปีข้างหน้า


ที่หลิงฮันมาก่อนเวลาเพราะกลัวว่าสำนักละอองดาราจะเปิดสำนักล่วงหน้า เพราะอย่างไรระยะเวลาร้อยปีนั้นเป็นเพียงเวลาคาดเดาที่ไม่แน่นอน


พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองใกล้เคียง หลิงฮันใช้เวลาระหว่างรอไปกับการหลอมเม็ดยาและขัดเกลาพลังบ่มเพาะ


ยิ่งเวลาผ่านไปจอมยุทธระดับราชาก็มาถึงดาวมู่ถูมากขึ้น บ้างเลือกที่จะเก็บตัวและบ้างเลือกที่จะออกไปท้าทายคนอื่น จักรพรรดิพิรุณก็เป็นหนึ่งในนั้น บ้างก็เลือกที่จะแสดงความสามารถเพื่อให้มีชื่อเสียง


อย่างเช่นจักรพรรดิพิรุณ เขาได้รับฉายาว่า ‘อสูรหมัด’ เนื่องจากเขาใช้เพียงหมัดในการต่อสู้และใช้พลังอันเปี่ยมล้นในการจัดการคู่ต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง


สิ่งที่ดึงดูดความสนใจหลิงฮันก็คือ กู่ต้าวอี้มาถึงที่นี่แล้ว เขาเป็นจอมยุทธที่โดดเด่นที่สุดในยุคสมัยนี้ มีข่าวลือว่าแม้แต่ราชาก็ยังคารวะขอเป็นผู้ติดตามของเขา


ราชาที่อยู่บนจุดสูงสุดในหมู่จอมยุทธระดับเดียวกันยอมที่จะเป็นผู้ติดตามของตนอื่น! เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าพลังของกู่ต้าวอี้แข็งแกร่งขนาดไหน


ไม่รู้ว่ากู่ต้าวอี้เหยียบย่ำราชาไปมากเพียงใด แต่ตอนนี้เขาคือดวงดาวที่เจิดจรัสที่อยู่เหนือทุกคน


นอกจากนั้น จักรพรรดินีเองก็มีชื่อเสียงโด่งดังเช่นกัน


เนื่องจากเหตุการณ์ที่นางเอาชนะจูเยว่ได้อย่างง่ายดายทำให้เหล่าราชาเข้ามาท้าประลอง ผลลัพธ์คือราชาเหล่านั้นถูกสยบด้วยหนึ่งกระบวนท่า ฉายาที่นางได้รับคือ ‘เพชรฆาตราชา’


กล่าวได้ว่าชื่อที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดคือกู่ต้าวอี้และจักรพรรดินีหล่วนซิง


ตอนนี้ทุกคนกำลังรอคอยว่าเมื่อไหร่ทั้งสองคนจะปะทะกันเสียที


“กู่ต้าวอี้!” หลิงฮันเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในถ้ำจ้าวสมุนไพรให้จักรพรดินีฟัง ซึ่งสีหน้าของจักรพรรดินีได้เปลี่ยนเป็นจริงจังทันใด


อดีตปรมาจารย์จากดินแห่งเซียน ความแข็งแกร่งของเขานั้นเพียงพอที่จะสั่นคลอนดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ได้เลย


สร้างรากฐานด้วยการฝังร่างทั้งเก้าชาติภพและใช้ผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ถึงสิบลูก ทักษะบ่มเพาะที่ฝืนสวรรค์เช่นนี้ต่อให้เป็นในดินแดนแห่งเซียนก็สมควรเป็นหนึ่งในทักษะบ่มเพาะชั้นสูง


“เจ้าแน่ใจว่าเขาใช้ประโยชน์จากร่างทั้งเก้าชาติภพและปลูกผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์เอาไว้สิบผล?” ท่าทีของจักรพรรดินีดูตื่นเต้นเล็กน้อย ร่างอันงดงามของนางเองก็สั่นสะท้าน


“ข้ามั่นใจ” หลิงฮันพยักหน้า “ทำไมงั้นรึ?”


“ถ้าเช่นนั้นเขาคงบ่มเพาะทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญ!” จักรพรรดินีกล่าวอย่างมั่นใจ


“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”


จักรพรรดินีนิ่งเงียบราวกับกำลังนึกถึงอะไรบางอย่าง ผ่านไปสักพักนางเริ่มกล่าวต่อ “บรรพบุรุษของข้าเผ่าเก้าอสรพิษค้นพบทักษะบ่มเพาะทักษะหนึ่งในซากปรักหักพังที่ตกทอดมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล ทักษะบ่มเพาะนั่นได้ทำให้เผ่าเก้าอสรพิษมีชื่อเสียงอันน่าเกรงขามในดินแดนแห่งเซียน ซึ่งชื่อของทักษะทีว่าก็คือ… ทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญ!”


“อะไรกัน!” หลิงฮันตกตะลึง “เช่นนั้นแล้วกู่ต้าวอี้ได้รับทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญมาได้อย่างไร? หรือเขาเองก็เป็นเผ่าเก้าอสรพิษ?”


“เป็นไปไม่ได้!” จักรพรรดินีส่ายหัว “เผ่าเก้าอสรพิษถูกขับไล่ออกมาจากดินแดนแห่งเซียนโดยไม่เหลือซักคน กู่ต้าวอี้คงพบเจอทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญจากที่ตั้งตระกูลของบรรพบุรุษเผ่าเก้าอสรพิษ”


นางแน่นิ่งไปครู่หนึ่งและกล่าวต่อ “บางทีทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญที่เขามีอาจจะสมบูรณ์กว่าข้าด้วยซ้ำ ข้าได้รับทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญผ่านทางสายเลือด แต่พลังสายเลือดของข้าเองมีขีดจำกัด”


“ยิ่งกว่านั้นบรรพบุรุษต้นตระกูลเองก็ไม่สามารถฝึกฝนทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญไปจนถึงจุดสูงสุด ดังนั้นต่อให้สายเลือดของข้าเข้มข้นเหมือนดั่งบรรพบุรุษข้าก็ไม่สามารถบรรลุจุดสูงสุดของทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญได้”


“เพราะงั้นแล้วข้าถึงต้องการกลับไปยังที่ตั้งต้นตระกูลของเผ้าเก้าอสรพิษในดินแดนแห่งเซียนเพื่อตามหาทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญ”


หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “ถ้าเจ้าได้รับทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญที่สมบูรณ์มา ความเร็วในการบ่มเพาะพลังคงเพิ่มขึ้นมากเลยสินะ?”


“แน่นอน” จักพรรดินีพยักหน้า “การฝังร่างทั้งเก้าชาติภพและดูดซับพลังของผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์เป็นความลับสูงสุดที่มีอยู่ในทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญ ข้ารู้เพียงหลักการของมันแต่ไม่รู้วิธีบ่มเพาะจริง หากข้าได้ดูดซับพลังของแก่นกำเนิดนิรันดร์ กายาเก้าอสรพิษของข้าจะพัฒนาขึ้นไปอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด”


หลิงฮันปรบมือและกล่าวอย่างรวดเร็ว “เช่นนั้นก็ต้องจัดการกู่ต้าวอี้และบังคับให้เขาส่งมอบทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญและแก่นกำเนิดนิรันดร์มาให้ได้!”


“ทำไมเจ้าถึงดูตื่นเต้นกว่าข้าอีก?” จักรพรรดินียิ้ม


หลิงฮันกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าต้องการให้เจ้าบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งให้เร็วที่สุด!”


จักรพรรดิชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะตั้งสติได้ บุรุษคนนี้ยังไม่ลืมเรื่องที่จะได้ขึ้นเตียงกับนาง! แต่นางชอบมากที่เขากล่าวออกมาตรงๆเช่นนี้


……


หากตอนนี้ยังทำอะไรกับจักรพรรดินีไม่ได้ก็ต้องไปลงกับสตรีนกอมตะคนเดียวก่อน


หลังจากหลิงฮันหลอมเม็ดยาเสร็จเขาก็เข้าไปในหอคอยทมิฬ สตรีนกอมตะในตอนนี้รู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก นางบ่มเพาะพลังอยู่ใต้ต้นสังสารวัฏเพื่อจะได้ไล่ตามทุกคนได้ทัน ไม่เช่นนั้นแล้วนางอาจจะไม่มีคุณสมบัติพอในการเข้าร่วมสำนักละอองดารา


“ภรรยาข้า ข้านำเม็ดยามาให้เจ้า” หลิงฮันหาข้ออ้างมาพูด ไม่เช่นนั้นสตรีปากแข็งผู้นี้คงจะเมินเฉยไม่สนใจเขาเป็นแน่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)