Alchemy Emperor of the Divine Dao 1385-1394
ตอนที่ 1385
มีความเป็นไปสูงที่จะเป็นเช่นนั้น
หลิงฮันเห็นวิหารมาสามวิหารแล้ว ตัวอักษรที่สลักไว้ในแต่ละวิหารเองก็แตกต่างกันเหมือนเป็นการสื่อว่าปรมาจารย์เจ้าของเขตแดนลี้ลับแห่งนี้มีมากกว่าหนึ่ง
หากวิหารมีทั้งหมดเก้าชั้น นั่นหมายความว่ามีปรมาจารย์มากถึงเก้าคน
แต่จะบอกว่าปรมาจารย์ถึงเก้าคนตกตายพร้อมกันโดยที่ทั้งเก้าไม่มีแม้แต่ผู้สืบทอดในโลกภายนอกเลยรึ?
แบบนั้นมันออกจะแปลกประหลาดเกินไป
การทดสอบของวิหารชั้นสามคือประกอบสมุนไพร
การทดสอบนี้เองก็ง่ายมากสำหรับหลิงฮัน มีสมุนไพรทั้งหมดแปดแสนหนึ่งหมื่นชนิดในการทดสอบนี้ แต่หลิงฮันที่จดจำสมุนไพรพื้นฐานของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ทุกชนิดแล้วต่อให้เขาจะไม่เคยเห็นของจริงมาก่อนก็สามารถแยกแยะพวกมันได้อย่างละเอียด ความแม่นยำของเขาคือสิบส่วนเต็ม
ครั้งนี้เขาได้เวลาเพิ่มขึ้นอีกสิบวัน
หลิงฮันได้รับตำราเม็ดยาและถูกส่งไปยังชั้นสี่
‘ครืนน’ เขาสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิอันร้อนระอุที่กระแทกเข้าใส่ใบหน้า เบื้องหน้าเขาปรากฏภูเขาเพลิงกำลังพ่นเปลวเพลิงออกมา คลื่นลาวาสีแดงไหลย้อยลงมาจากปลายเขา ชั้นอากาศที่ว่างเปล่าค่อยๆถูกแผดเผาไปที่ละชั้น
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าชั้นนี้คือสมุนไพรที่มีคุณสมบัติของธาตุเพลิง
เนื่องจากชั้นนี้มีข้อมูลน้อยมาก หลิงฮันจึงไม่สามารถเดินตามแผนที่และเดินสำรวจเอาเอง ซึ่งถือว่าโชคดีมากที่เขามีเวลามากพอ
เจ็ดวันต่อมา เขาเดินถึงตีนเขาแห่งหนึ่ง ด้านหน้าเต็มไปด้วยป่าสีแดง ใบของไม้ของต้นไม้นั้นแดงฉานเนื่องจากกำลังถูกเผาด้วยเปลวเพลิง แต่แม้จะถูกเผาใบไม้เหล่านั้นก็ไม่มอดไหม้เนื่องจากพวกมันเป็นปลดปล่อยเปลวเพลิงออกมาด้วยตัวมันเอง
ท่ามกลางใบไม้ มีผลสีแดงบางอย่างห้อยอยู่ รูปร่างของผลดูเหมือนกับสัปปะรด ทันทีที่เห็นผลเหล่านั้นหลิงฮันก็เผยรอยยิ้มออกมา
ผลเพลิงระเบิด!
หลังจากออกตามหามาหลายวัน ในที่สุดเขาก็พบเสียที
‘แกร่ก แกร่ก แกร่ก’ ในพุ่มใบไม้สีแดงมีเสียงแปลกประหลาดดังออกมา หลิงฮันโคจรเนตรแห่งสัจธรรมและพบว่าบนกิ่งไม้มีอสรพิษสีแดงจำนวนมากเลื้อยอยู่ ขนาดของมันคือราวๆหนึ่งถึงสองฟุตซึ่งไม่ได้ยาวเท่าไหร่ บางตัวนอนแน่นิ่งในขณะที่บางตัวกำลังขยับปากเคี้ยวอาหาร อาหารของมันพวกคือผลเพลิงระเบิด
สามารถกินได้แม้กระทั่งผลเพลิงระเบิด!
ในเมื่อมันถูกเรียกว่าผลเพลิงระเบิด แน่นอนว่ามันต้องมีความสามารถในการระเบิดพลังทำลายล้างออกมา แต่อสรพิษสีแดงเหล่านี้กลับกินผลเพลิงระเบิดโดยที่ไม่หวาดกลัวว่าท้องตัวเองจะถูกบดขยี้?
หลิงฮันไม่กล้าโจมตีรุนแรงที่นี่ เนื่องจากผลเพลิงระเบิดนั้นไวต่อสัมผัสอย่างมาก หากพลังเพียงเล็กน้อยไปสัมผัสกับผิวของมันก็จะระเบิดทันที เขาครุ่นคิดก่อนจะนำกลองรบออกมา
‘ปัง ปัง ปัง’ เขาสะบัดมือตีกลองโดยเล็งเป้าหมายไปยังเหล่าอสรพิษสีแดง ในช่วงพริบตา จู่ๆร่างของเหล่าอสรพิษก็สั่นสะท้านและร่วงลงมาจากต้นไม้
ทั้งหัวใจและห้วงจิตวิญญาณของพวกมันถูกบดขยี้ แน่นอนว่าพวกมันได้ตกตายเป็นที่เรียบร้อย
‘ปัง ปัง ปัง’ เขาตีกลองอย่างต่อเนื่อง ฝูงอสรพิษร่วงลงมาจากต้นไม้ราวกับห่าฝน
ถึงแม้อสรพิษเหล่านี้จะไม่มีสติปัญญา แต่มันก็มีสัญชาตญาณที่จะเอาชีวิตรอด เหล่าอสรพิษสีแดงที่เหลือจ้องหลิงฮันและพุ่งโจมตี
หลิงฮันไม่หวาดกลัวอสรพิษเหล่านี้ ที่เขากลัวคือจะไปกระตุ้นผลเพลิงระเบิดให้ระเบิด แต่ในเมื่อพวกมันเป็นฝ่ายลงมาเองก็ถือว่าช่วยได้มาก
หลิงฮันปลดปล่อยอำนาจสวรรค์ออกไป อสรพิษสีแดงนับร้อยตัวชะงักและตกตายในทันที อำนาจสวรรค์นั้นตราบใดที่ศัตรูมีพลังต่ำกว่าหลิงฮันหลายระดับ พวกมันจะไม่มีแม้แต่โอกาสได้ลงมือโจมตี
หลิงฮันไม่ลังเลที่จะนำต้นไม้ในป่าเปลวเพลิงแห่งนี้เข้าปลูกในหอคอยทมิฬ เมื่อทำเช่นนี้เขาจะสามารถเก็บเกี่ยวผลเพลิงระเบิดได้อย่างสม่ำเสมอรวมถึงสามารถหลอมเม็ดยาเพลิงลอยล่องได้จำนวนมาก
หลังจากเก็บเกี่ยวตรงนี้เสร็จ หลิงฮันก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในชั้นที่สี่อีกต่อไป เขามุ่งหน้าต่อไปยังวิหารของชั้นสี่
“วิหารดาบประจัญบาน” (斗剑宫)
หลิงฮันมองไปยังประตูทางเข้า อักษรทั้งสามปลดปล่อยพลังออกมาราวกับเป็นดาบสามเล่ม พลังของดาบทั้งสามเริงระบําพุ่งทะยานขึ้นสูงถึงเก้าชั้นฟ้า
หลังจากดึงสติกลับมาได้ เขารู้สึกทันทีว่าพลังของตัวอักษรทั้งสามนั้นอ่อนแอลงโดยที่พลังบ่มเพาะของเขายกระดับขึ้นเป็นระดับดาราขั้นต่ำชั้นปลาย
หากสามารถบรรลุระดับดาราขั้นต้นชั้นสูงสุดได้ในเขตแดนลี้ลับนี้ หลังจากออกไป ขอเวลาไม่นานเขาก็พร้อมจะทะลวงผ่านระดับดาราขั้นกลาง
หลิงฮันเต็มด้วยความรู้สึกคาดหวัง ยังมีวิหารเหลืออยู่อีกตั้งห้าวิหาร เขาต้องการวาสนาอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ของชั้นนี้ก็เหมือนกัน มันถูกผสานเอาไว้ด้วยอะไรบางอาจที่ลึกลับ
การทดสอบของชั้นที่สี่คือแยกแยะสมุนไพร
หลิงฮันทำผลลัพธ์ได้ยอดเยี่ยมอีกครั้งและได้รับเวลาเพิ่มสิบวัน หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปเมื่อไปถึงชั้นแปด เขาอาจจะมีระยะเวลาอย่างน้อยสี่สิบวัน!
หลังจากได้รับตราประทับแผ่นหยก หลิงฮันก็ขึ้นมายังชั้นห้า
ท้องฟ้าของชั้นนี้เป็นสีเทากึ่งดำ หมอกหนาอบอวลไปทั่วบริเวณพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งความตายออกมา
ชั้นนี้คือดินแดนแห่งความตาย พื้นดินแห้งแล้งและไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิต
สถานที่เช่นนี้จะมีสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์แบบไหนอยู่กัน?
ในแผนที่มีรายละเอียดของอยู่อย่างเดียว
“บุปผามกร!” หลิงฮันพึมพำ สมุนไพรชนิดนี้คือสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบหก อันที่จริงมันไม่สมควรเรียกว่าสมุนไพรแค่เป็นยาพิษ
มกรในอดีตกาลเคยเป็นคำที่ใช้แทนความตาย ที่สมุนไพรดอกไม้ชนิดนี้ได้รับชื่อนี้เป็นเพราะเมื่อใดที่มันเบิกบาน กลิ่นหอมของมันจะสามารถสังหารทุกสิ่งด้วยพิษ แม้แต่ตัวตนระดับวารีนิรันดร์ก็ไม่มีทางรอด
การสูดดมสมุนไพรชนิดนี้หมายถึงการหลับใหลชั่วนิรันดร์
ความล้ำค่าของสมุนไพรชนิดนี้คือก่อนที่มันจะเบ่งบาน ในอนาคตภายภาคหน้า หากใช้ปราณก่อเกิดกระตุ้นให้บุปผามกรเบ่งบาน พิษของมันจะสังหารสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทันที
ความสามารถของมันจัดว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก หากใครได้ครอบครองสมุนไพรพิษนี้ มันจะกลายเป็นไพ่ลับที่แม้แต่ปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ก็ต้องหวาดกลัว
“ควรไปดูดีรึไม่?” หลิงฮันครุ่นคิด ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องออกสำรวจไปทั่วอยู่แล้ว จะลองไปดูก็ไม่เสียหาย
หลิงฮันออกเดินทาง ผ่านไปสองชั่วโมงด้านหน้าของเขาก็มีหุบเขาปรากฏให้เห็น มันเป็นหุบเขาสีเทาที่เต็มไปด้วยโขดหินสีดำสนิท บริเวณกลางหุบเขามีดอกไม้สีสดใสงอกเงยขึ้นมา ช่วงล้ำต้นของมันมีรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ที่ยกมือขึ้น ส่วนกึ่งกลางของมือได้มีกลีบดอกไม้ที่ปิดเข้าหากันแน่นโดยยังไม่เบ่งบาน
รอบๆหุบเขามีคนราวๆร้อยคนคอยคุ้มกันอยู่
ตอนที่ 1386
นี่ยังไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดในการเก็บเกี่ยวบุปผามกร
ตามที่เคยเห็นในตำราภาพสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ กลีบของดอกไม้จะต้องเป็นสีม่วงเข้มอย่างสมบูรณ์ถึงจะสามารถปลดปล่อยพิษออกมาได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพสูงสุด
ดังนั้นจึงพอเข้าใจได้ว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงมาคุ้มกันที่นี่
สีของกลีบดอกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในตอนแรกมันเป็นสีแดง แต่จู่ๆสีของมันก็เริ่มเปลี่ยนป็นสีม่วงอ่อน หากเป็นอัตราการงอกเงยเช่นนี้ อีกอย่างมากครึ่งชั่วโมงสีของมันคงเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม
หลิงฮันกวาดสายตามอง ทุกคนในที่นี้มีพลังบ่มเพาะระดับดารา หลินอวีฉีเองก็อยู่ที่นี่
ดูจากอัตราการไหลของนาฬิกาทรายบนหัวพวกเขา คนที่อยู่ที่นี่ในน้อยที่สุดคืออีกสองวัน ส่วนคนที่อยู่ได้นานที่สุดคือเจ็ดวัน
เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์แล้วมุ่งหน้ามาที่นี่โดยตรงเพื่อเก็บเกี่ยวบุปผามกร
หลิงฮันยังไม่เปิดเผยตัวออกไปจาเลือกที่จะยืนอยู่บนยอดของหุบเขาเพื่อดูสถานการณ์
ที่หลินจื่อหงมาที่นี่ก็คงเป็นเพราะบุปผามกรเช่นกัน ไม่เช่นนั้นคงเป็นเรื่องบังเอิญที่เขานำกลองรบติดตัวมาด้วย และในเมื่อสาขาอังหยวนนำสมบัติทรงพลังเช่นนั้นมา ตำหนักสาขาอื่นและอีกสามตระกูลก็คงเช่นกัน
เกรงว่าคงจะมีสมบัติมากมายที่ทรงพลังเหมือนกับกลองรบ
หากเป็นสมบัติที่ทรงพลังเหมือนกลองรบจริงๆ ไม่ต้องกล่าวถึงว่าคนนับร้อยเหล่านี้จะนำสมบัติเช่นนั้นมาทุกคนรึเปล่า แต่แค่ครึ่งนึงของจำนวนคนนับร้อยก็เพียงพอที่จะสังหารหลิงฮันแล้ว
เพราะงั้นเขาถึงเลือกรอดูสถานการณ์ก่อน
จะอย่างไรเขาก็ไม่มีความต้องการสมุนไพรมีพิษนั่นอยู่แล้ว เขามันใจว่าตนเองนั้นไร้เทียมทาน อย่างมากก็ในอีกไม่เกินร้อยกว่าปี เจขามั่นใจว่าจะต้องทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ได้แน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นพลังต่อสู้ของเขาก็จะยกระดับขึ้นหลายพันหลายหมื่นเท่า เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจะต้องการสมุนไพรพิษไปทำไม?
และถึงแม้หลิงฮันจะไม่ซ่อนตัว ปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดก็ย่อมสามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนของเขาอยู่แล้ว
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็ได้เวลาเก็บเกี่ยวบุปผามกรในที่สุด
ไม่มีใครลงมือเก็บเกี่ยวเนื่องจากใครที่เปิดก่อนย่อมตกเป็นเป้าหมายของปรมาจารย์ทุกคนในที่นี้
แต่สถานการณ์เช่นนี้ก็คงอยู่ได้แค่ชั่วคราว ผ่านไปครู่หนึ่งชายวัยกลางคนผมขาวก็ก้าวเดินออกมาพร้อมกับกระบี่เล่มใหญ่ในมือ หากไม่ใช่เพราะผิวที่เรียบเนียบของเขา ทุกคนคงจะเป็นว่าเขาคือชายชราเป็นแน่
“เหอๆ ในเมื่อไม่มีใครคิดจะเปิด งั้นข้าขอเป็นคนรับบุปผามกรไปเอง!”
เขาก้าวเดินโดยมีปรมาจารย์อีกนับสิบคนเดินตามมาสนับสนุนทำหน้าที่คุ้มกัน เห็นได้ชัดว่ากลุ่มคนเหล่านี้ทำข้อตกลงกันมาก่อน
เห็นได้ชัดว่ากลุ่มคนเหล่านี้ทำข้อตกลงกันมาก่อน
“สมบัติแห่งสวรรค์และปฐพีที่ล้ำค่าเช่นนั้น เจ้าไม่คู่ควร!” ใครบางคนก้าวเดินออกมา เบื้องหลังของเขามีปรมาจารย์เดินตามมานับสิบเช่นกัน
ดูเหมือนว่ากลุ่มที่ทำข้อตกลงกันเอาไว้จะไม่ได้มีแค่กลุ่มเดียว
“งั้นก็ต้องปะทะ!”
ทั้งสองกลุ่มเข้าปะทะห่ำหั่นกันทันที การต่อสู้ขยายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว คนที่ร่วมวงเข้าต่อสู้มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายแล้วทั่วทั้งหุบเขาก็เต็มไปด้วยความปั่นป่วน ปรมาจารย์มากกว่าร้อยคนสู้กันเพื่อแย่งชิงบุปผามกร
สามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่ามีกลุ่มอยู่สี่กลุ่มที่แข็งแกร่งกว่าใครอื่น พวกเขาสี่กลุ่มคือคนของสี่ตระกูลใหญ่ที่แบ่งกลุ่มกันตามตระกูลและก่อตั้งเป็นพันธมิตร
หลิงฮันพยักหน้า คนเหล่านี้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง แต่ด้วยขีดจำกัดของระดับพลัง ต่อให้เป็นปรมาจารย์ระดับดาราขั้นสูงสุดก็ไม่สามารถปลดปล่อยพลังต่อสู้ที่เหนือกว่าระดับดาราขั้นสูงสุดชั้นสูงสุดหรือก็คือระดับวารีนิรันดร์ได้
ทั่วทั้งหุบเขาส่องสว่างไปด้วยแสงกระแทกของอาวุธ คลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวบอกให้หลิงฮันรู้ว่าต่อให้เป็นกายหยาบของเขา หากรับการโมตีเหล่านั้นโดยตรง เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจกล้ามเนื้อคงฉีกขาด แม้กระทั่งกระดูกก็ตกแตกหักอย่างรวดเร็ว
‘ครืนน’ จู่ๆก็เกิดเสียงสั่นสะเทือนของปฐพีพร้อมกับมีสายธารไหลมาตามหุบเขา ตอนแรกหลิงฮันนึกว่าลำธารเกิดขึ้นจากการโจมตีที่รุนแรงของคนเหล่านี้ แต่ผ่านไปสักพักเขาก็พบว่าตนเองคิดผิด
ลำธารที่ไหลผ่านมานี้ อบอวลไปด้วยออร่าสีดำทมิฬ กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวโอบล้อมทั่วทั้งหุบเขาอย่างรวดเร็ว
ปัง!
หอกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาจากลำธาร หลังจากนั้นร่างขนาดมหึมาก็ปรากฏตัวขึ้นตามมา ทั่วทั้งร่างของมันเป็นสีดำสนิท
ร่างยักษ์นี้คือตั๊กแตนขนาดใหญ่ หอกที่เห็นแท้จริงแล้วคือขาหน้าของมัน นอกจากผิวที่ดำสนิทของมันแล้ว รอบตัวของมันยังปลดปล่อยออร่าสีดำที่ดูชั่วร้ายเกินพรรณนาออกมา
“สัตว์อสูรของดินแดนใต้พิภพ!” ทุกคนตกตะลึง
ที่นี่ไม่ใช่สนามรบสองดินแดน เหตุใดถึงมีสัตว์อสูรใต้พิภพปรากฏออกมาได้?
‘ฉัวะ’ สัตว์อสูรตนนี้ไม่สนใจเหล่าปรมาจารย์ที่กำลังตกตะลึง มันสะบัดขาอันแหลมคมโดยไม่รีรอ อย่ามองว่ามันตัวใหญ่เพียงอย่างเดียว ตรงกันข้ามกันขนาดตัวของมัน ขาหน้าอันแหลมคมถูกสะบัดอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวปรมาจารย์หนึ่งคนก็ถูกมันสังหาร
โพล๊ะ!
โลหิตสาดกระจาย เหตุผลที่ปรมาจารย์คนนั้นตายอย่างง่ายดายเช่นนี้เป็นเพราะหนึ่งเขากำลังตกตะลึง และสองคือเพราะขาอันแหลมคมของมันจู่โจมได้ไวเกินไป ความเร็วของขาหน้ามันนั้นเทียบเท่ากับทักษะดาบฟ้าคำรามของหลิงฮัน ปรมาจารย์คนนั้นยังไม่ทันจะตอบโต้ก็ถูกหั่นร่างออกเป็นสองส่วนแล้ว
ปรมาจารย์คนนั้นร้องโอดครวญ โลหิตที่พุ่งออกจากร่างของเขาค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ ร่างกายที่ถูกหั่นเป็นสองท่อนของเขาเองก็มีออร่าสีดำลอยออกมา พริบตาเดียวกล้ามเนื้อและโลหิตของเขาก็เน่าสลาย
อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพคือตัวแทนของอำนาจทำลายล้าง
วิญญาณของเขาลอยออกมาและรีบเผ่นหนี หากดวงวิญญาณถูกขาหน้าอันแหลมคมนั่นโมตีอีกครั้ง ชีวิตของเขาคงจบสิ้น
เหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ ทุกคนในที่นี้เป็นปรมาจารย์ระดับดาราแน่นอนว่าพวกเขาสามารถสงบสติได้อย่างรวดเร็วพร้อมกับนำอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ออกมาโจมตีสัตว์อสูรตั๊กแตน
ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสู้กันเอง สัตว์อสูรตั๊กแตนตนนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หากพวกเขาไม่ร่วมมือกันเกรงว่าทุกคนที่นี่คงถูกสังหารกันหมด
ซึ่งสัตว์อสูรตั๊กแตนก็แข็งแกร่งอย่างที่ว่าจริงๆ พลังบ่มเพาะของมันสมควรบรรลุขั้นสูงสุดของระดับดารา มันสามารถต่อกรกับปรมาจารย์นับร้อยด้วยตัวตนเดียวโดยไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแม้แต่น้อย แสดงให้เห็นว่าพลังต่อสู้ของมันน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน
ตอนที่ 1387
ปรมาจารย์ระดับดารานับร้อยพยายามอย่างสุดความสามารถ อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สรพลังจำนวนมากปลดปล่อยอำนาจออกมาอย่างเต็มที่ คลื่นปราณก่อเกิดอันน่าสะพรึงกลัวทำให้หัวใจของหลิงฮันสั่นสะท้าน
พลังโจมตีของปรมาจารย์นับร้อยแทบจะใกล้เคียงกับระดับวารีนิรันดร์
มีปรมาจารย์จำนวนไม่น้อยที่ถือครองสมบัติระดับวารีนิรันดร์ ถึงแม้พวกเขาจะไม่สามารถกระตุ้นใช้งานสมบัติให้ปลดปล่อยอำนาจของระดับวารีนิรันดร์ออกมาได้ แต่อำนาจที่ปลดปล่อยออกมาก็ไม่ได้ห่างจากระดับนั้นเท่าไหร่
หากเป็นนอกเขตแดนลี้ลับ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปรมาจารย์นับร้อย ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์หรือสัตว์อสูรก็คงเลือกที่จะเผ่นหนี แต่ในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ต่างออกไป สัตว์อสูรของที่นี่มีความคิดเดียวคือสังหารผู้บุกรุก
สัตว์อสูรตั๊กแตรสามารถทำปรมาจารย์จำนวนหนึ่งบาดเจ็บ แต่ด้วยจำนวนที่ต่างกันเป็นไปไม่ได้เลยที่มันจะสังหารใครสักคนได้
เพียงแต่ว่าสัตว์อสูรยักษ์ตนนี้ก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ขนาดเวลาผ่านไปหนึ่งวันก็มันยังไม่ตกตาย ใบหน้าของปรมาจารย์ทุกคนเปลี่ยนเป็นหน้าเกลียดเนื่องจากพวกเขาสามารถอยู่ในชั้นที่ห้าได้โดยมีเวลากำจัด
หากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเขาคงไม่สามารถสังหารสัตว์อสูรยักษ์ตนนี้ได้
“ทุกคนโจมตีร่วมกัน หากยังปล่อยไว้แบบนี้จะไม่มีใครได้ส่วนแบ่งทั้งนั้น!” ใครบางคนตะโกน
“อืม!” ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
หากมีใครได้ครอบครองบุปผามกร หนึ่งในสี่ตระกูลหรือตำหนักสาขาใดสาขาหนึ่งก็คงมีอำนาจแข็งแกร่งขึ้น แต่นั่นก็ยังถือว่าเป็นอำนาจโดยรวมของรากฐานตำหนักเป่าหลิน
เหล่าปรมาจารย์ไม่แบ่งแยกกลุ่มกันอีกต่อไป พวกเขาเคลื่อนไหวตามรูปแบบอาคมบางอย่างที่ทำให้พลังต่อสู้ของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นมาอีกขั้น
ผลลัพธ์จากการร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์คือสัตว์อสูรตั๊กแตนไม่สามารถตอบโต้ได้อีกต่อไป ขาหน้าอันแหลมคมของมันถูกบดขยี้อย่างรวดเร็ว แม้แต่หัวกระโหลกของมันก็ยังถูกเจาะเป็นรูจนตกตายในที่สุด
เมื่อสัตว์อสูรยักษ์สิ้นชีพ โลหิตสีดำของมันไหลนองไปทั่วพื้นดินพร้อมกับปลดปล่อยออร่าอันชั่วร้ายออกมาจนพื้นที่ในบริเวณนี้แห้งแล้งและสมุนไพรไม่สามารถงอกเงยได้อีกต่อไป
การร่วมมือกันของเหล่าปรมาจารย์เมื่อครู่สิ้นสุดทันที พวกเขาหันกลับมาต่อสู้กันอีกครั้งเพื่อแย่งชิงบุปผามกร
หลิงฮันจ้องมองการต่อสู้จนเริ่มเบื่อหน่าย จากสถานการณ์ที่เห็นคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเข้าไปแย่งชิงสมุนไพรพิษต้นนั้น ดังนั้นเขาจึงเลิกสนใจและหันหลังตั้งใจคิดจะออกสำรวจบริเวณอื่น
แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆหัวใจของหลิงฮันก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นยะเยือกเกินพรรณนา เหงื่อจำนวนมากไหลย้อยออกมาจากหน้าผากของเขา
มีใครบางคนปรากฏตัวที่ด้านหลังของเขา!
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาตั้งแต่เมื่อไหร่
หลิงฮันเกือบจะหลบหนีเขาไปในหอคอยทมิฬแต่ก็พยายามฝืนรั้งตนเองเอาไว้ หากอีกฝ่ายคิดจะสังหารเขา อีกฝ่านคงลงมือโดยที่ไม่ปรากฏตัวออกมาให้เขารู้ตัว เมื่อคิดเช่นนั้นหลิงฮันจึงค่อยๆหันหลังกลับไปอย่างช้าๆ
ในขณะที่หันหลัง แผ่นหลังของหลิงฮันได้เปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อเนื่องจากแรงกดดันอันหนักหน่วงมหาศาล
หลิงฮันรู้ว่าคนที่อยู่ด้านหลังของเขานั้นจะต้องแข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาได้ ไม่เช่นนั้นสัญชาตญาณของตัวเขาคงไม่ทำให้รู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้
เมื่อเขาหันหลังกลับมา การต่อสู้ด้านล่างหุบเขาก็ยังคงกำเนินต่อไปอย่างดุเดือด แต่ด้านหน้าของเขากลับมีบางสิ่งยืนอยู่อย่างสงบนิ่ง
นี่มัน… ใช่มนุษย์ที่มีชีวิตจริงๆรึ?
ร่างเบื้องหน้าเขาคือชายชราหนวดขาว แต่ที่แปลกประหลาดคือบนใบหน้าของเขาไม่มีดวงตาโดยที่หลงเหลือไว้เพียงเบ้าตาอันมืดมิดสองรูที่ดูราวกับจะกลืนกินได้ทุกสรรพสิ่ง
ชายชราสวมชุดคลุมสีเหลืองอ่อน กลิ่นอายของอีกฝ่ายนั้นให้ความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่แห่งบรรพกาล แต่เนื่องจากเบ้าตาที่ไร้ลูกตาของอีกฝ่ายหลิงฮันจึงรู้สึกขนหัวลุก
ตอนนี้แผ่นหลังของหลิงฮันเปียกท่วมไปเป็นเหงื่อ แม้แต่จะหายใจเขายังหายใจได้ไม่ทั่วท้อง
ชายชราเองก็เห็นหลิงฮันหันหลังมาเช่นกัน เขากล่าวออกไป “สุนัขของข้า เจ้าเห็นสุนัขของข้ารึไม่?”
หากเป็นสถานการณ์อื่น หลิงฮันตงจะหัวเราะทันทีที่ได้ยินคำถามเช่นนี้ แต่เมื่อชายชราเปิดปากพูด หลิงฮันพบว่าอีกฝ่ายไม่มีฟันแม้แต่ซี่เดียว
ไม่สิ ไม่ใช่แค่ฟัน แม้แต่ลิ้นหรือคอหอยก็ไม่มี!
เมื่อมองไปยังดวงตาที่กลวงโบ๋ของชายชรา หลิงฮันคาดเดาได้ว่าชายชราผู้นี้อาจเป็นเพียงผิวหนังมนุษย์ที่เดินได้!
เขาพยายามสงบสติและกล่าว “รุ่นเยาว์ไม่เคยพบเห็นสุนัขของผู้อาวุโส”
“โอ้ หากเจ้าไม่เห็นงั้นข้าคงต้องถามคนอื่น” ชายชรากล่าว เขาเดินผ่านหลิงฮันและก้าวลงปล่างหุบเขา เพียงแค่การก้าวท้าวก้าวเดียวชายชราก็สามารถเคลื่อนที่ไปได้หลายสิบไมล์
การเคลื่อนที่ข้ามช่องว่างมิติ!
หลิงฮันตกตะลึง แต่เมื่อเขามองไปยังบริเวณส่วนหลังศีรษะของร่างกายชายชราเขาก็ต้องตกตะลึงยิ่งกว่าเดิมเนื่องจากเขาเห็นรอยเย็บอย่างเด่นชัด เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ ชายชราคนนี้มีร่างกายเพียงผิวหนัง!
นี่มันบ้าบออะไรกัน!
ร่างกายหลงเหลือเพียงผิวหนังแต่กลับสามารถเดินไปมาได้ราวกับเป็นคนปกติ ที่แปลกกว่านั้นคืออีกฝ่ายยังกล่าวเรื่องตลกออกมาว่า ‘เจ้าเห็นสุนัขของข้ารึไม่’ อีกด้วย
ท่ามกลางหุบเขา การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด
หานเถา ดาวเด่นที่กำลังเป็นที่จับตามองของตระกูลหาย เขาบ่มเพาะพลังมาเพียงเก้าแสนปีก็สามารถบรรลุระดับดาราขั้นสูงสุด! แต่ก็แน่นอนว่าที่เขาสามารถบ่มเพาะพลังได้รวดเร็วขนาดนี้ก็เป็นเพราะตระกูลมุ่งเน้นฝึกฝนเขา
น่าเสียดายที่ถึงแม้เขาจะมีพรสวรรค์และทรงพลัง ตระกูลอื่นกับตำหนักสาขาอื่นเองก็ไม่อ่อนแอ พลังของเขาไม่สามารถอยู่เหนือทุกคนได้ต่อให้จะนำสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของตระกูลมา
ในขณะที่เขากำลังหงุดหงิดอยู่นั่นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหูของเขา “สุนัขของข้า เจ้าเห็นสุนัขของข้ารึไม่?”
สุนัข? สุนัขน้องสาวเจ้าสิ!
Anchor
หานเถาที่กำลังอารมณ์ไม่ดี เมื่อได้ยินคำพูดหยอกล้อเข้ามาในหูเขาก็แทบจะระเบิดอารมณ์ออกมา แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นอัจฉริยะ เสี้ยววินาทีต่อมาร่างของเขาก็ชะงักแน่นิ่งด้วยความหวาดกลัว
ใครกัน? อีกฝ่ายถึงกับสามารถเข้ามาใกล้เขาโดยไม่รู้ตัว!
หานเถาตกตะลึงจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ เขาค่อยๆหันหน้าไปด้านหลังพร้อมกับพบเจอชายชราหนวดขาวที่ดวงตากลวงโบ๋ เขารู้สึกขนหัวลุกจนแทบจะพูดอะไรไม่ออก
แม้เขาจะเป็นปรมาจารย์ระดับดาราที่มีประสบการณ์เผชิญหน้ากับภัยอันตรายมานับไม่ถ้วน ชายชราที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้เขาอยากจะกรีดร้องออกมาอย่างแท้จริง
ไม่ใช่ว่าเขาหวาดกลัวต่อรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย แต่เป็นพลังอันน่าสะพรึงกลัวของชายชราต่างหากที่ทำให้เขาหวาดกลัว ก่อนหน้านี้แม้แต่หลิงฮันก็ยังรู้สึกจนเข่าอ่อนเนื่องจากพลังที่แข็งแกร่งเกินไปของชายชรา
ตอนที่ 1388
หานเถาไม่ได้มีจิตใจที่แข็งแกร่งเหมือนหลิงฮัน ร่างของเขาค่อยๆเขยิบก้าวถอยหลังทันที
“สุนัขของข้า เจ้าเห็นสุนัขของข้ารึไม่?” ชายชราก้าวตาม ใบหน้าของเขาแทบจะแนบชิดติดกับหานเถา
หานเถามองเห็นรายละเอียดทุกอย่างบนใบหน้าของชายชรา อีกไม่เป็นเพียงผิวหนังเดินได้ที่แม้แต่อวัยะภายในปากก็ว่างเปล่า!
เขาหวาดกลัวจนขนลุกไปทั่วร่าง แม้แต่เส้นผมเองก็สยายตั้งชี้ฟ้า หัวใจของเขาเต้นถี่ราวกับจะระเบิดออกมา
การที่บรรลุระดับพลังขนาดนี้ ต่อให้ท้องฟ้าจะถล่มลงมาเขาก็ไม่ควรตกตะลึงใดๆ แต่ตอนนี้ความกล้าหาญของหานเถากลับหายไปอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าของเขาซีดขาวราวกับกระดาษและรู้สึกขาอ่อนจนแทบจะล้มลงกับพื้น
“สุนัขของข้า เจ้าเป็นสุนัขของข้ารึไม่?” ชายชราไม่ลังเลที่จะถามต่อ แต่ครั้งนี้เอื้อมมือออกไปด้วย นิ้วทั้งห้านั้นเรียวบางดั่งหยกแต่กลับให้ความรู้สึกราวกับเป็นอุ้งมือสังหาร
หานเถาพยายามรีดเค้นความกล้าออกมาได้ในที่สุด เขาส่ายหัวและกล่าว “ไม่ ข้าไม่เห็น!”
“โอ้!” ชายชราแสดงสีหน้าผิดหวัง “งั้นข้าจะไปถามคนอื่น” เขาก้าวเท้าไปปรากฏตัวที่ด้านหลังคนอื่น
ชายชราคนนี้จะต้องเป็นสุดยอดปรมาจารย์แน่นอน แค่เขาขยับเข้าไปใกล้ก็ทำให้ทุกคนหวาดกลัว แม้แต่ปรมาจารย์ระดับดาราก็ยังกลายเป็นเหมือนคนธรรมดาเหมือนอยู่ต่อหน้าชายชราผู้นี้
หลายคนเป็นเหมือนกับหานเถา พวกเขาหวาดกลัวจนเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น คนเหล่านั้นถือว่ายังโชคดี มีบางคนหวาดกลัวจนกลายเป็นบ้าและไม่ตอบคำถามของชายชรา หลังจากชายชราถามคำถามไปสามครั้งเหล่าคนที่ไม่ตอบคำถามก็ถูกชายชราเอื้อมมือออกไปบีบคอจนตาย
คนเหล่านั้นไม่มีโอกาสได้แม้แต่กรีดร้องและสิ้นชีพทันที
ผ่านไปไม่นานการต่อสู้ในหุบเขาก็หยุดลง ทุกคนมองไปยังชายชราด้วยความหวาดกลัวโดยไม่เหลือความกล้าแม้แต่จะเผ่นหนี
โชคดีที่ชายชราไม่สังหารคนมั่วซั่ว มีเพียงเมื่อเขาถามคำถามไปสามครั้งแล้วไม่ยอมตอบ คนคนนั้นถึงจะถูกสังหาร
ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนี้ปรากฏตัวที่นี่? ไม่สิ นั่นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตแต่เป็นผิวหนังเดินได้! แต่ขนาดแค่ผิวหนังยังแข็งแกร่งขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นในช่วงนี้ชายชราคนนี้มีสภาพสมบูรณ์เขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน?
หลายล้านปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีใครเคยได้ยินว่ามีสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดเช่นนี้อยู่!
ชยาชราถามคำถามเรียงคนทีละคนจนในที่สุดก็มาปรากฏตัวด้านหน้าบุปผามกร เขาจ้องมองสมุนไพรพิษและพึมพำ “ดอกไม้ต้นนี้… รู้สึกคุ้นๆ”
ถ่ามกลางสายตาของทุกคน ชายชราเอื้อมมือออกไปถอนบุปผามกรออกมาและยัดใส่ปาก เขาเคี้ยวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลืนมันลงไป
เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ทุกคนชะงักไร้คำพูด
อย่างที่รู้กันว่าสมุนไพรชนิดนี้มีพิษร้ายแรงขนาดไหน แม้กระทั่งปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดก็ยังมีโอกาสรอดชีวิตเพียงไม่กี่ส่วน แต่ชายชราคนนี้กลับกินมันเข้าไปโดยตรง! ต่อให้สมุนไพรจะยังไม่เบ่งบาน ภายในสมุนไพรก็ยังมีพิษทั้งหมดของมันอยู่ การที่อีกฝ่ายเคี้ยวแล้วกลืนลงไปเลยไม่ใช่ว่าเป็นการฆ่าตัวตายหรอกรึ?
เพียงแต่ว่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้าเป็นเพียงผิวหนังมนุษย์เดินได้ ตามหลักแล้วถือว่าเขาได้ตายไปแล้ว ดังนั้นจะตายอีกสักครั้งจะเป็นอะไรไป?
ยิ่งกว่านั้นชราคนนี้ก็ยังแข็งแกร่งเกินพรรณนา บางทีแม้แต่บุปผามกรก็คงไม่สามารถสังหารเขาได้
เมื่อบุปผามกรถูกชายชรากินเข้าไป ทุกคนต่างไม่มีใครโต้แย้ง สิ่งที่ทุกคนคิดในตอนนี้คือต้องการออกจากที่นี่ไปทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่แค่บุปผามกรเท่านั้น ต่อให้ชายชราจะกินสมบัติของพวกเขาเข้าไปก็ไม่มีใครโต้แย้ง
หลังจากชายชรากินดอกไม้เข้าไปเขาก็ยืนแน่นิ่งราวกับถูกพิษจนตาย แต่ผ่านไปชั่วครู่เขาก็มองไปยังทิศทางของหลิงฮันและก้าวข้ามช่องว่างมิติไปหาหลิงฮัน
ปรมาจารย์ระดับดาราทุกคนหวาดกลัว การบดขยี้ช่องว่างมิติคือทักษะที่ยากที่สุดเนื่องจากมันเกี่ยวข้องกับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์มิติ คนที่มีคุณสมบัติพอจะสัมผัสกับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เช่นนั้นได้มีเพียงตัวตนระดับสร้างสรรพสิ่ง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมถึงมีเพียงเซียนเท่านั้นที่เดินทางผ่านอวกาศได้
ผิวหนังมนุษย์เดินได้ตนนี้… คือตัวตนระดับสร้างสรรพสิ่ง!
“ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับอะไรบางอย่างในตัวเจ้า” ชายชราจ้องมองไปยังหลิงฮัน ดวงตากลวงโบ๋ของเขาทำให้ผู้คนที่มองเข้าไปรู้สึกกลัวจนตัวสั่น
หลิงฮันขนลุกทันที ข้าเป็นมนุษย์ ส่วนเจ้าเป็นเพียงผิวหนังเดินได้ พวกเราไม่มีอะไรเหมือนกันเลยเหตุใดถึงได้กล่าวว่ารู้สึกคุ้นเคยกับข้า? เขาอยากจะชูนิ้วกลางใส่อีกฝ่ายเหลือเกิน แต่เมื่อนึกถึงความแข็งแกร่งของชายชรา เกรงว่าต่อให้โยนเซียนหวู่เซียงออกมาก็คงไม่มีประโยชน์
“ผู้อาวุโสต้องการจะสื่อว่าอะไร?” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
ชายชราค่อยเดินเข้ามาใกล้และสูดดมกลิ่นบนร่างหลิงฮัน ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเศร้าโศกก่อนจะเอามือกุมหัวและกล่าว “สุนัขของข้า เจ้าเห็นสุนัขของข้ารึไม่?”
ถามคำถามซ้ำอีกแล้ว
“ข้าไม่เห็น” หลิงฮันส่ายหัว
“งั้นข้าจะไปถามคนอื่น” ชายชราลงไปยังล่างหุบเหลวและถามคำถามกับทุกคนอีกครั้ง
หลิงฮันรีบเผ่นหนีเนื่องจากไม่อยากจะเจอหน้าชายชราอีก
น่าแปลก แม้จำนวนของคนที่ขึ้นมายังชั้นที่ห้าได้จะมีน้อย แต่ระยะเวลาล้านปีตั้งแต่ค้นพบเขตแดนลี้ลับนั้นไม่ใช่เวลาสั้นๆ แต่ทำไมถึงไม่มีใครเคยได้ยินเรื่องราวของชายชราคนนี้มาก่อน หรือว่าบางอาจจะเขาอาจจะเพิ่งปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อครู่นี้
เดี๋ยวก่อน ที่ชายชรากล่าวว่ารู้สึกคุ้นเคยกับอะไรบางอย่างในตัวในตัวเขา หรือว่าจะเป็นเพราะอักษรของประตูวิหารชั้นสี่ หลิงฮันคาดเดา
ชายชราผู้นี้อาจจะเป็นเจ้าของวิหารชั้นสี่ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาถึงถูกถลกหนังจนตายทั้งเป็น แต่ด้วยพลังที่แข็งแกร่งต่อให้จะเหลือเพียงแค่ผิวหนังจิตวิญญาณบางส่วนของเขาก็ยังไม่สลายหายไปและหลงเหลือสัญชาตญาณที่ต้องการตามหาสุนัข
ก่อนหน้านี้ชายชราสมควรหลับใหลอยู่จนกระทั่งหลิงฮันไปดูดซับพลังของอักษรที่วิหารชั้นสี่ ชายชราถึงได้ตื่นขึ้นมา
เพราะงั้นนี่จึงสามารถอธิบายว่าเหตุใดชายชราถึงรู้สึกคุ้นเคยกับอะไรบางอย่างในร่างของเขา
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดในการหาเหตุผลมาอธิบายของหลิงฮัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะหาหลักฐานมาพิสูจน์
จะอย่างไรก็ช่าง ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่ต้องการมีส่วนร่วมเล่นตอบคำถามตามหาสุนัขกับชายชรา
เขาติดสินใจไม่ออกสำรวจหรือเก็บเกี่ยวสมุนไพรใดๆในชั้นนี้ ด้วยการที่ชั้นนี้มีสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความตาย สมุนไพรที่พบคงเป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติเหมือนกับบุปผามกรซึ่งใช้สำหรับสังหาร สมุนไพรประเภทนี้ไม่ได้มีประโยชน์ใดๆต่อการบ่มเพะพลัง
เพราะเหตุนั้นหลังจากผ่านไปครึ่งวันเขาก็มุ่งหน้ามาถึงวิหารของชั้นห้า
วิหารพันวารี (千水殿)
เพียงแต่ว่าอักษรทั้งสามบนประตูทางเข้านั้นค่อนข้างเลือนราง ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนดูดซับพลังของมันไปแล้ว
หลิงฮันถอนหายใจและเดินเข้าไปในวิหารด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
เมื่อเดินเข้ามาสิ่งที่พบก็คือผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ที่เกือบจะเติบโตเต็มที่ มันปลดปล่อยกลิ่นอันหอมหวานออกมาจนทำให้ปราณก่อเกิดของผู้ที่สูดดมเข้าไปเดือดพล่านราวกับจะปะทุออกมา
หลิงฮันกตะตะลึง ในสี่ชั้นก่อนหน้านี้ ผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ไม่ได้ส่งกลิ่นหอมใดๆเช่นนี้ออกมา
หากผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ถูกปลูกเอาไว้ที่วิหารทั้งเก้าพร้อมกัน นั่นก็หมายถึงผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์เก้าผลใกล้จะเติบโตเต็มที่ทั้งหมดแล้ว ผลของมันถึงได้ปลดปล่อยกลิ่นอันหอมหวานออกมา
หรือว่าการเข้ามายังเขตแดนลี้ลับถ้ำจ้าวสมุนไพรในครั้งนี้จะมีเหตุการณ์บางอย่างที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น?
“กลิ่นที่คุ้นเคย” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังหลิงฮัน
ตอนที่ 1389
ขนทั่วร่างของหลิงฮันลุกชูและรู้สึกสิ้นหวัง
เจ้าของเสียงคือชายชราที่มีเพียงผิวหนังไม่ผิดแน่ ขนาดเขาหนีมาไกลขนาดนี้แล้วก็ยังไม่สามารถหลบหลีจากตัวตนระดับนั้นได้
ชายชราจ้องมองไปยังผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ด้วยสายตาระลึกถึงความหลัง
หลังจากชายชราจ้องมองอยู่ชั่วครู่ จู่ๆเขาก็ก้าวเดินไปด้านหน้าและเอื้อมมือไปคว้าผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์
ไม่ได้การแล้ว!
หลิงฮันรีบเผ่นหนี สมุนไพรเซียนต้นนี้ถูกคุ้มกันเอาไว้ด้วยรูปแบบอาคมสังหารใต้หล้า แม้แต่ราชาเซียนก็ยังถูกบดขยี้หากสัมผัสกับมัน หากเขาได้รับผลกระทบไปด้วยคงตกตายในพริบตาแน่นอน
‘ครืนนน’ รูปแบบอาคมสังหารถูกกระตุ้นและปลดปล่อยพลังทำลายล้างเข้าใส่ชายชรา คลื่นแสงนับร้อยล้านคลื่นระเบิดอย่างต่อเนื่อง คลื่นแสงแต่ละคลื่นพลังทำลายเทียบเท่ากับการโจมตีของเซียนระดับสูง ด้วยจำนวนการโจมตีนับร้อยล้านคลื่นต่อให้เป็นราชาเซียนก็ต้องสิ้นชีพ
มีเพียงราชาเซียนที่ขัดเกลาพลังขนบรรลุขั้นสมบูรณ์เท่านั้นถึงจะมีโอกาสรอด
‘ตูม ตูม ตูม’ คลื่นแสงทำลายล้างระเบิดออกนับไม่ถ้วน ‘ตุบ’ ร่างหนึ่งลอยกระเด็นออกมาก่อนจะตกลงสู่พื้นด้วยสภาพแบนราบคราบจั๊กจั่น
ร่างแบนนั้นคือผิวหนังมนุษย์!
รูปแบบอามคมทำลายล้างจู่โจมเสร็จสิ้นและกลับสู่ความสงบ
‘พรึบ’ ผิวหนังมนุษย์ราวกับว่าถูกสูบลมเข้าไปและพองนูนอย่างรวดเร็วก่อนจะคืนสภาพกลับเป็นชายชราอีกครั้ง ใบหน้าของเขามึนงงราวกับไม่รู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น
ปากของหลิงฮันกระตุก รูปแบบอาคมสังหารใต้หล้านั้นสามารถสังหารได้แม้แต่ราชาเซียน แต่ชายชรากับเพียงแค่ถูกเป่าลอยกระเด็นออกมาโดยไม่บาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว
หากชายชรามีพลังระดับสร้างสรรพสิ่งจริงเขาก็ต้องขัดเกลาพลังบ่มเพาะจนบรรลุขั้นสมบูรณ์! หรือไม่ก็… อาจจะแข็งแกร่งกว่านั้น
Anchor
ระดับโลกียนิพพาน!
“สุนัขของข้า เจ้าเห็นสุนนัขของข้ารึไม่?” ชายชราเอ่ยถามหลิงฮันอีกครั้ง
หลิงฮันรีบส่ายหัวและเดินเข้าทางขึ้นชั้นหก ตอนนี้เขาคิดอยู่เพียงอย่างเดียวคือต้องสำเร็จเขตแดนลี้ลับให้ครบเก้าชั้นและเก็บสมุนไพรให้มากที่สุด
การทดสอบครั้งนี้คือการทดสอบปรุงยา
ตำราเม็ดยาปรากฏออกมา การหลอมจะมีโอกาสล้มเหลวเพียงสิบครั้ง หากล้มเหลวทั้งสิบครั้งแล้วก็จะถูกขับไล่ออกจากเขตแดนลี้ลับไปทันที ยิ่งล้มเหลวน้อยและทำเวลาได้ดีก็จะได้ระยะเวลาสำรวจชั้นต่อไปมาก
หลังจากหลิงฮันหยิบตำราเม็ดยามาดู เขาก็พบว่าเม็ดยาที่ต้องหลอมเป็นเพียงเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าเท่านั้นซึ่งไม่ใช่เรื่องยาก แต่เม็ดยาชนิดนี้เขาไม่เคยเห็นและเม็ดยาก็เป็นเม็ดยาที่แปลกประหลาดมาก
ด้วยศักยภาพของจักรพรรดิแห่งศาสตร์ปรุงยา ต่อให้เม็ดยาจะแปลกประหลาดเท่าไหร่ แต่หากเป็นเพียงเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับห้า อย่างมากเขาแค่ลองผิดลองถูกเพียงสองสามครั้งก็หลอมได้สำเร็จ เพียงแต่ว่าหลิงฮันไม่คิดจะผลีผลามและหลับตานึกถึงชนิดของสมุนไพรที่จำเป็นอย่างถี่ถ้วน
เวลาผ่านไปพอสมควรหลิงฮันได้ลืมตาขึ้น แม้จะยังไม่ได้ลองหลอมแต่เขาก็มั่นใจว่าเพียงแค่หลอมครั้งเดียวเขาก็สามารถหลอมเม็ดยาชนิดนี้ให้มีคุณภาพยอดเยี่ยม
เนื่องจากเขาจดจำคุณสมบัติของสมุนไพรได้ทุกชนิด เขาจึงสามารถจำลองขั้นตอนการหลอมสมุนไพรเป็นเม็ดยาได้
เขาเปิดเตาลงมือหลอมเม็ดยาจนเสร็จสิ้น สมุนไพรแต่ละชนิดถูกชำระล้างด้วยเพลิงจนรีดเค้นประสิทธิภาพออกมาจนสูงสุดโดยไม่สูญเสียแก่นแท้ใดๆไป
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นเขาก็ยังได้เวลาเพิ่มขึ้นมาเพียงเก้าวันเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าเม็ดยาที่เขาหลอมออกมายังไม่ได้มีคุณภาพสมบูรณ์ที่สุดจึงไม่ได้เวลาเพิ่มสิบวัน
หลิงฮันไม่ได้รู้สึกผิดหวังอะไร เพราะอย่างไรเขาก็ใช้เวลาหลอมไปเพียงครึ่งวันเท่านั้น ใครใช้ให้เขาไม่เคยหลอมเม็ดยาชนิดนี้มาก่อนล่ะ?
ห้องหินพังลงมาพร้อมกับทางเข้าสู่ชั้นที่หกได้ปรากฏขึ้นด้านหน้าเขา
ชั้นที่หกเป็นโลกแห่งโลหะที่มีแสงสว่างสีทองและสีเงินส่องประกายไปทั่วพื้น ไม่ว่าที่ไหนก็สามารถมองเห็นภูเขาทองคำและภูเขาเงิน หากมนุษย์ทั่วไปมาที่นี่พวกเขาจะต้องตาลุกวาวแน่นอน
แม้แต่หลิงฮันก็ยังแสดงสีหน้าดีใจ ที่ชั้นนี้เป็นไปได้ว่าเขาจะหาแร่โลหะระดับสูงพบ
“สุนัขของข้า เจ้าเห็นสุนัขของข้ารึไม่?” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ชายชราที่ร่างกายมีแต่ผิวหนังปรากฏขึ้นด้านหลังหลิงฮันอีกครั้ง
พอเสียที่เถอะ ทำไมเจ้าต้องเพ่งเล็งข้าด้วย?
หลิงฮันกลายเป็นไร้คำพูดเมื่อต้องถูกผิวหนังมนุษย์เดินได้ไล่ตามไปทุกที่ เขาเกิดความคิดที่จะนำอีกฝ่ายเข้าไปในหอคอยทมิฬ แต่หากทำเช่นนั้นไม่มีอะไรมารับประกันว่าจะทำได้สำเร็จ
หากล้มเหลวแล้วชายชรากลายเป็นศัตรูของเขาล่ะก็คงไม่ใช่เรื่องสนุกแน่
เช่นนี้ในเมื่อชายชายจะตามรังควานเขาก็คงต้องปล่อยไป
“ไม่เห็น!” หลิงฮันกล่าวตอบ เขาสะบัดตัวออกสำรวจเก็บเกี่ยวสมุนไพร
“บนร่างของเจ้ามีกลิ่นอายที่คุ้นเคย” ชายชรากล่าวอีกครั้งและไล่ตามเขามา
ตลอดทางชายชราเอาแต่ก่อกวนเขาไม่หยุด เขาเอาแต่ถามแต่ว่าเห็นสุนัขของข้ารึไม่กับเอาแต่บอกว่าบนร่างของหลิงฮันมีกลิ่นอายที่เขาคุ้นเคย เขาทำแบบนี้วนไปมาโดยไม่เบื่อ
หลิงฮันรู้สึกเหนื่อยมากที่ต้องตอบคำถามเดิมซ้ำไปซ้ำมาหลายพันครั้ง เขาพยายามอดกลั้นเพื่อไม่ให้ตนเองบ้าคลั่ง
แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เมื่อมีตัวตนที่แข็งแกร่งเช่นชายชราตามมาด้วย สัตว์อสูรที่พบเจอต่างก็หวาดกลัวและเผ่นหนีกันหมดทำให้หลิงฮันสามารถเก็บเกี่ยวสมุนไพรได้อย่างง่ายดาย แต่ปัญหาก็ยังมีอยู่คือเมื่อใดที่ชายชราเห็นสมุนไพรระดับสูง เขาจะรีบพุ่งไปถอนสมุนไพรทันที
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หลิงฮันไม่รู้จะพูดอะไร ตลอดทางสมุนไพรระดับสูงที่สุดที่เขาเก็บเกี่ยวได้ก็คือสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบ ส่วนระดับที่สูงกว่าถูกชายชราถอนออกมากินจนหมด
หลังจากสำรวจชั้นนี้จนพอใจ หลิงฮันก็มาถึงบริเวณลึกที่สุดของชั้นหก
วิหารจิตวิญญาณทารก (子心宫)
หลิงฮันค่อนข้างประหลาดใจที่พลังของอักษรทั้งสามยังไม่เลือนราง แต่ในขณะที่เขาคิดจะดูดพลังของอักษรเหล่านั้นเขากลับพบว่าไม่สามารถทำได้
ชายชราเองก็เลียนแบบหลิงฮัน แต่สิ่งไม่คาดคิดคืออักษะทั้งสามส่องประกายและพลังงานลึกลับก็ถูกดูดเข้าไปในร่างของชายชราโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ชายชราแข็งแกร่งเกินไป สำหรับเขาพลังเล็กน้อยเช่นนี้ก็เปรียบเสมือนกับเม็ดฝนที่หยดลงมหาสมุทร
ช่างเสียของ!
หลิงฮันหน้าบูดบึ้งทันที เจ้าแข็งแกร่งขนาดนั้นแล้วจะยังแย่งชิงพลังกับข้าเพื่ออะไร
“สุนัขของข้า เจ้าเห็นสุนัขของข้ารึไม่?” ผ่านไปครู่หนึ่งชายชราก็เปิดปากพูดจนหลิงฮันหมดอารมณ์
ตอนนี้หลิงฮันยิ่งรู้สึกสงสัยขึ้นไปอีก สุนัขแบบใดกันที่ชายชราทำหายและไม่อาจลืมเลือนได้แม้จะตายไปแล้ว
ผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ของชั้นที่หกปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง มันยังคงมีบางสิ่งบางอย่างผสานเอาไว้เช่นเคย
ชายชราเดินเข้าไปใกล้อย่างไร้ความกลัว รูปแบบอาคมสังหารถูกกระตุ้นแต่เขาก็ยังไร้บาดแผลและลุกขึ้นมาถามหลิงฮันถึงสุนัขของตน
เจ้าจะเปลี่ยนคำพูดหน่อยไม่ได้รึไง?
การทดสอบของชั้นหกคือการประกอบสมุนไพรซึ่งง่ายมากสำหรับหลิงฮัน เขาทดสอบสำเร็จและได้รับเวลาเพิ่มมาอีกสิบวันพร้อมกับตำราเม็ดยายี่สิบชนิด
ตอนที่ 1390
เมื่อหลิงฮันขึ้นมายังชั้นเจ็ด ผิวหนังมนุษย์เดินได้ก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง อีกฝ่ายปรากฏตัวและถามคำถามถึงสุนัขซ้ำไปมา
หลิงฮันชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่ง “ดูเหมือนข้าจะเคยเห็นมันในทางนั้น”
ชายชราก้าวเท้าหายไปยังทิศทางนั้นในพริบตา
หลิงฮันไม่กังวลว่าอีกฝ่ายจะโมโหเรื่องที่เขาโกหก เพราะอย่างไรชายชราก็จำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว
ซึ่งก็เป็นธรรมดาอยู่แล้ว คนเราจะจำเรื่องราวต่างๆได้อย่างไรหากไม่มีสมอง?
เป็นเพราะตอนที่ชายชรายังมีชีวิตเขาทรงพลังเกินไปทำให้ผิวหนังที่หลงเหลืออยู่เคลื่อนที่และพูดไดราวกับมีชีวิต แต่ด้วยความทรงจำที่สูญหายไปนานแล้ว เขาจึงทำได้เพียงกล่าววนประโยคเดิมซ้ำไปมา
เมื่อชายชรากลับมาหาเขาอีกครั้ง อีกฝ่ายคงจะลืมทุกอย่างไปหมดแล้ว
เขตแดนลี้ลับชั้นนี้เป็นโลกเขียวจวีอันสงบสุขที่ดูปกติเป็นอย่างมาก
มันสงบสุขเกินไปจนดูราวกับว่าไม่มีแม้แต่สัตว์อสูร นกหรือแมลง
ในขณะที่หลิงฮันกำลังเดินอยู่ ‘พรึบ’ จู่ๆกิ่งไม้ก็รัดร่างเขาเอาไว้ ใบหน้าบนกิ่งแหวกออกราวกับกำลังอ้าปากซึ่งภายในมีหนามแหลมคมราวกับเป็นฟัน
มันคือต้นไม้กินคน!
‘พรึบ พรึบ’ กิ่งไม้มากมายพุ่งเข้ามาโอบล้อมหลิงฮัน พวกมันตั้งใจจะใช้ฟันหนามอันแหลมคมบดขยี้กายหยาบเพื่อกินเนื้อและโลหิตของเขา
หลิงฮันยิ้ม “ก็ลองดู”
เขายืนแน่นิ่งปล่อยให้กิ่งไม้มากมายรัดตัวเขาไว้แน่นและยอมให้พวกมันกัด ด้วยกายหยาบของเขา ไม่เพียงแค่พวกมันจะกัดเขาไม่เข้า แต่ฟันหนามของพวกมันคงหักงอ
“เจ้าเลือกคนผิดแล้ว!” มือซ้ายของหลินฮันปลดปล่อยรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์สายฟ้าออกมา เส้นแสงสายฟ้าสีครามอันเรือนรางระเบิดเหล่ากิ่งไม้จนเป็นจุล
พลังทำลายของธาตุสายฟ้านั้นอยู่เหนือกว่าธาตุเพลิง ไม่ต้องกล่าวถึงสายฟ้าของหลิงฮันที่เป็นสายฟ้าของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ มันแข็งแกร่งกว่าสายฟ้าธรรมดาหลายเท่า
หลังจากการระเบิดของสายฟ้าสิ้นสุด ต้นไม้กินคนก็เหลือกิ่งก้านเพียงหนึ่งกิ่ง
หลิงฮันฟันลำต้นของมันพร้อมกับนำแก่นพลังที่เปรียบเสมือนกับหัวใจออกมา
เขาบรรลุระดับดาราแล้วสิ่งนี้อาจจะไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อเขาเท่าไหร่ แต่ทุกคนในหอคอยทมิฬสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ โดยเฉพาะศิษย์ของเขาอย่างติงผิงและจิ่วเยาที่ยังไม่ทะลวงผ่านแม้แต่ระดับสุริยันจันทรา ยิ่งเฟิงโปหยุนและมู่หลงชิงพวกเขายิ่งต้องการสิ่งนี้เป็นอย่างมาก
เพราะงั้นยิ่งมีเยอะก็ยิ่งดี
ตลอดการเดินทาง หลิงฮันเก็บเกี่ยวแก่นพลังของต้นไม้กินคนได้จำนวนมาก แต่ทุกอย่างก็ใช่ว่าจะราบรื่นไปทั้งหมด เขาพบเจอต้นไม้กินคนต้นหนึ่งที่มีพลังระดับวารีนิรันดร์ โชคดีที่มันกำลังหลับอยู่เขาจึงรีบเผ่นหนีออกมา หากต้องปะทะกับมันหลิงฮันคงหนีไม่พ้นต้องหลบไปอยู่ในหอคอยทมิฬ
ครึ่งวันผ่านไปชายชราก็กลับมาอีกครั้งและถามหาสุนัข เพียงแต่ว่าหลิงฮันมีวิธีจัดการกับอีกฝ่ายแล้ว เขาชี้ไปยังทิศทางหนึ่งและหลอกชายชรา
เขาใช้เวลาในชั้นนี้เพียงสามวันก็มาจึงจุดสิ้นสุดของชั้นเจ็ด
วิหารมหาสมุทรไพศาล (海丰宫)
อักษรทั้งสามส่องประกายเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามีพลังยังไม่ถูกดูดซับออกไป
‘พรึบ’ จู่ๆชายชราก็ปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบ
“สุนัขของเจ้าอยู่นั่น!” หลิงฮันกลัวว่าชายชราจะดูดซับพลังของตัวอักษรไป ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเอ่ยถามเขาก็ชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่ง
ชายชราตกตะลึง เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะถามอะไร? เขาไม่กล่าวอะไรและรีบพุ่งไปยังทิศทางที่หลิงฮันชี้
หลิงฮันนั่งลงและพยายามกระตุ้นดูดซับพลังจากอักษรทั้งสาม
สามวันต่อมา พลังลึกลับจากอักษรก็ถูกชี้นำเข้าสู่ร่างของเขาส่งผลให้พลังบ่มเพาะของเขาทะยานสูงขึ้น
ช่างแปลกประหลาด อักษรของบางชั้นสามารถดูดซับได้ทันที บางชั้นจำเป็นต้องใช้เวลา บางชั้นไม่สามารถดูดซับได้
แต่จะอย่างไรตอนนี้เขาก็บรรลุระดับดาราขั้นต้นชั้นสูงสุดแล้ว!
ที่เหลือก็คือหลังจากออกจากเขตแดนลี้ลับ เขาแค่ทะลวงผ่านไปยังขั้นกลางและเดินทางกลับดาวเหอหนิง
ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ว่าชั้นที่เจ็ดเองก็มีAnchorผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ถูกปลูกเอาไว้ และแน่นอนว่าชายชราไร้เครื่องในก็เดินเข้าไปใกล้เพื่อพยายามหยิบผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์จนถูกรูปแบบอาคมสังหารโจมตี
การทดสอบของชั้นเจ็ดคือการหลอมเม็ดยา เม็ดยาที่ต้องหลอมคือเม็ดยาระดับเจ็ด หลิงฮันใช้เวลานานพอสมควรในการหลอม ถึงแม้เม็ดยาที่หลอมสำเร็จจะมีคุณภาพที่ยอดเยี่ยมเขาก็ได้เวลาเพิ่มมาแค่สี่วันเท่านั้น
หลิงฮันเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัย ตอนนี้เขากำลังจะไปชั้นที่แปดซึ่งไม่เคยมีใครเคยไปถึงจุดสิ้นสุดของชั้นแปดมาก่อน
ห้องหินพังทลายพร้อมกับโลกอันเต็มไปด้วยหมอกปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลิงฮัน พริบตาแรกที่เขามายังชั้นนี้ เขารู้สึกมึนหัวและมีเลือดกำเดาไหล
พิษ!
ชั้นที่แปดเป็นโลกที่เต็มไปด้วยหมอกพิษ ไม่น่าแปลกใจที่ไม่มีใครไปถึงจุดสิ้นสุดของชั้นนี้ แม้แต่กายหยาบของหลิงฮันก็ไม่สามารถยับยั้งการบุกรุกของพิษที่เข้ามาในร่างกายได้
“สุนัขของข้า เจ้าเห็นสุนัขของข้ารึไม่?” ชายชราผิวหนังมนุษย์ปรากฏตัว
สิ่งที่แปลกประหลาดคือบริเวณรอบๆกายเขาหมอกพิษไม่กล้าที่จะเข้ามาใกล้จนเกิดเป็นพื้นที่ช่องว่างของอากาศราวๆสามเมตร
ปากของหลิงฮันกระตุกด้วยความตะลึงก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ชายชรา เขาใช้อีกฝ่ายเป็นตัวขับไล่หมอกพิษและโคจรปราณก่อเกิดขจัดพิษในร่างออกมา
ไม่น่าเชื่อว่าชายชราจะมีประโยชน์ในสถานการณ์เช่นนี้
หลิงฮันเดินสำรวจโดยมีชายชราตามมาด้วย ครั้งนี้เขาไม่ชี้ทิศทางมั่วซั่วแต่ส่ายหัวกล่าวว่าไม่รู้ว่าสุนัขอยู่ไหนและพาชายชรามุ่งหน้าตามหาตำแหน่งของวิหาร
เนื่องจากชั้นนี้ไม่มีแผนที่นำทางเลยแม้แต่จุดเดียว หลิงฮันจึงต้องใช้เวลาถึงเก้าวันเต็มทั้งสองคนถึงจะมาถึงวิหารของชั้นแปด หลิงฮันเก็บเกี่ยวสมุนไพรได้บ้างเล็กน้อยระหว่างทางแต่สมุนไพรทั้งหมดก็เป็นสมุนไพรมีพิษซึ่งสมุนไพรระดับสูงก็ถูกชายชรากินไปจนหมด
วิหารเจ็ดดารา (七星殿)
หลิงฮันไม่กล้าขับไล่ชายชราออกไป พลังของอักษรหน้าประตูจึงถูกชายชราดูดไปไม่เหลือ
ที่ชั้นแปดเองก็มีผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์
หลิงฮันรีบลงก้าวเข้าทดสอบอย่างรวดเร็ว เขาอยากจะรู้ว่าที่เขตแดนลี้ลับชั้นที่เก้ามีอะไรอยู่
การทดสอบครั้งนี้คือประกอบสมุนไพรโดยที่หลิงฮันทำผลลัพธ์ได้สมบูรณ์แบบอีกครั้ง
เขาเฝ้ารอคอยจนในที่สุดก็มาถึงชั้นที่เก้า
เพียงแต่ว่าใบหน้าคาดหวังของหลิงฮันก็ต้องแสดงออกถึงความประหลาดใจ เนื่องจากชั้นนี้คือดินแดนรกร้างที่มีขนาดเล็กเป็นอย่างมาก เทียบกับชั้นที่แปดแล้วมันถูกย่อส่วนลงมาไม่รู้กี่เท่า
หืม?
หลิงฮันมองไปยังเนินเขาลูกหนึ่งและแสดงสีหน้าสับสน เนินเขาลูกนั้นมีรูปทรงแปลกประหลาด มันดูไม่เหมือนเนินเขาแต่เหมือนสัตว์อสูรที่กำลังนอนอยู่มากกว่า เพียงแต่หากจะเป็นสัตว์อสูรมันก็ออกจะมีขนาดใหญ่เกินไป
เขาเดินวนไปยังอีกด้านหนึ่งของเนินเขา ปากของหลิงฮันกระตุกด้วยความตกตะลึงเนื่องจากสิ่งนี้ไม่ใช่เนินเขาแต่เป็นสัตว์อสูรยักษ์ขนาดมหึมา ทั่วร่างของมันเป็นสีดำและกำลังนอนแลบลิ้นน้ำลายไหลออกมา
“สุนัขของข้า! สุนัขของข้า!” จู่ชายชราก็กล่าวออกมาและเอื้อมมือไปยังเนินเขา ไม่ใช่สิ เอื้อมมือยังสัตว์อสูร
ตอนที่ 1391
หากมองให้ดี สัตว์อสูรตนนี้ก็คือสุนัขจริงๆ มันคือสุนัขตัวดำที่ไม่รู้ว่ามีขนาดใหญ่กว่าสุนัขธรรมดาที่เท่า
เมื่อมือของชายชราสัมผัสกับสุนัข แสงสว่างก็ส่องประกายออกมา ร่างของสุนัขสั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนจะลืมตาจ้องมองชายชรา
“นี่มันเรื่องบัดซบอะไรกัน!” สุนัขตัวดำขนาดมหึมามองชายชราและกระโดดขึ้นจากพื้นด้วยความตกใจ แต่ด้วยพื้นที่อันคับแคบของชั้นที่เก้า ร่างของมันจึงกระแทกเข้ากับขอบเขตแดนลี้ลับและกระเด้งกลับมา
“สุนัขของข้า!” ชายชรายังคงเอื้อมมือออกไปหาสุนัขตัวดำ
“ผีหลอก! ช่วยข้าด้วย!” สุนัขตัวดำยักษ์วิ่งหนีไปรอบชั้นเก้า แต่ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่โตของมันกับพื้นที่ที่มีจำกัดมันก็วิ่งวนกลับมาหาชายชรา
“จงย่อ!” ร่างของสุนัขตัวดำยักษ์สั่นสะท้าน ทันใดนั้นร่างกายของมันก็หดตัวลงจนมีขนาดเท่ากับสุนัขทั่วไป ขนทั่วร่างของมันตั้งชันและวิ่งหลบหนีชายชรา
หลิงฮันอึ้งจนพูดๆไม่ออก ที่ชายชราเอ่ยถามถึงสุนัขของข้าซ้ำไปซ้ำมา แท้จริงแล้วกลับมีสุนัขอยู่ที่นี่จริงๆ
ชายชราเคลื่อนที่ไล่ตามสุนัข สำหรับเขาที่เชี่ยวชายอำนาจแห่งกฎเกณฑ์มิติเพียงแค่ก้าวไม่กี่ก้าวไล่ตามสุนัขตัวดำได้ทันและยื่นมือออกไปเพื่อคว้าหางของมัน
“ช่วยด้วย!” สุนัขตัวดำมองเห็นหลิงฮัน มันรีบพุ่งตัวเข้าหาเขาทันที
ชายชราปลดปล่อยจิตสังหารออกมา “เจ้ากล้าขโมยสุนัขของข้า?” เบ้าตาของเขามีโลหิตไหลออกมาราวกับเป็นน้ำตา ดูแล้วน่าขนลุกเป็นอย่างมาก
ขโมยน้องสาวเจ้าสิ ข้าไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย!
หลิงฮันรีบถอยห่างจากสุนัขตัวดำและเผ่นหนี
สุนัขตัวดำเองก็เจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก ไม่นึกว่ามันจะวิ่งไล่ตามหลิงฮันมาด้วย
“เจ้าสุนัขบัดซบ เจ้าจะตามข้ามาทำไม?” หลิงฮันโอดครวญ
“คืนสุนัขของข้ามา!” โลหิตไหลจากดวงตาของชายชราไม่หยุด น้ำตาโลหิตของเขาไหลนองท่วมจนแทบจะกลายเป็นทะเลสาป หากปล่อยไว้เช่นนี้มันจะต้องกลายเป็นมหาสมุทรในอีกไม่ช้าแน่นอน
“สุนัขบัดซบ ชายชรานั่นคือเจ้านายของเจ้า ทำไมยังไม่รีบกลับไปหาเขาอีก” หลิงฮันกล่าว
“เจ้าน่ะสิตัวบัดซบ ตระกูลของเจ้าคือตัวบัดซบ! ท่านสุนัขไม่รู้จักสัตว์ประหลาดที่มีแต่ผิวหนังเช่นนั้น!” สุนัขตัวดำร้องโอดครวญในขณะที่เผ่นหนีอย่างด้วยความเร็วสูง
สุนัขตัวนี้น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก พลังของมันคือระดับดาราแต่ความเร็วกลับไม่ด้อยไปกว่าหลิงฮัน
“แง่งง” สุนัขตัวดำอ้าปากกัดข้อเท้าของหลิงฮัน “หืม นี่เจ้าเป็นตัวอะไรกัน ทำไมร่างกายถึงแข็งแกร่งเหมือนกับแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้?”
หลิงฮันกัดฟัน กายหยาบของเขาไร้เทียมทานก็จริง แต่สุนัขตัวนี้ไม่รู้ว่ามันไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนถึงได้กัดจนทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดได้ “สุนัขบัดซบ ปล่อยปากของเจ้าเดี๋ยวนี้!”
“แง่งๆๆ ท่านสุนัขจะสังหารเจ้า ข้าจะกัดเจ้าให้ตาย!” สุนัขตัวดำเจ้าคิดเจ้าแค้นมาก
“สุนัขบัดซบ อย่ากัดข้า ชายชราจะไล่ตามมาแล้ว!” หลิงฮันพยายามสะบัดสุนัขตัวดำออกจากขา สุนัขตัวนี้หนักเป็นอย่างมากซึ่งส่งผลต่อความเร็วของเขา แต่แรงกัดของมันเองก็หนักหน่วงจนเขาไม่สามารถสลัดมันทิ้งได้
“ชดใช้ที่ด่าท่านสุนัขมาเป็นแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์หมื่นก้อนแล้วท่านลุงสุนัขผู้นี้ยอมปล่อย” สุนัขตัวดำกล่าว
“ไสหัวไป!”
หลิงฮันคิดว่าตัวเขาหน้าด้านมากแล้ว แต่เมื่อเทียบสุนัขตนนี้แล้วเขาถือว่าด้อยไปเลย
น้ำตาโลหิตของชายชราก่อให้เกิดเป็นทะเลสาบจำนวนมาก ทะเลสาปแต่ละแห่งเชื่อมต่อกันจากทะเลสาปขนาดเล็กกลายเป็นทะเลสาปขนาดใหญ่และในที่สุดทั่วทั้งชั้นเก้าก็จะค่อยๆกลายเป็นมหาสมุทรโลหิต
ทะเลสาบโลหิตน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก หลิงฮันไม่กล้าแม้แต่จะเอาเท้าลงไปสัมผัส เขาสัมผัสได้ว่าอำนาจของทะเลสาปสามารถกัดกร่อนกายหยาบของเขาให้ละลายได้ในพริบตา
เขาเหาะเกินอยู่บนท้องฟ้า แต่น้ำหนักอันมหาศาลของสุนัขตัวดำทำให้เขารู้สึกหนักหน่วงราวกับกำลังแบกภูเขา
“สุนัขบัดซบ อย่าหาว่าข้าโหดร้ายแล้วกัน” หลิงฮันปล่อยหมัดออกไปด้วยอำนาจทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์
“สัตว์ประหลาด!” สุนัขตัวดำหวาดกลัวจนเผลอปล่อยปากออกจากขาหลิงฮัน แม้ตัวมันจะหนังหนาแค่ไหนก็ยังหวาดกลัวต่อทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์
เป็นไปได้อย่างไรที่มนุษย์จะใช้อำนาจแห่งสวรรค์ได้หากไม่ใช่สัตว์ประหลาด
หลิงฮันโคจรย่างก้าวไล่ตามดาราและพยายามอยู่ในห่างจากสุนัขตัวดำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากหนีไม่พ้นจริงๆเขาก็จะหลบเข้าไปในหอคอยทมิฬ
สุนัขตัวดำไม่ยอมแพ้ มันยังคงไล่ตามหลิงฮันไม่ปล่อย ด้านหลังของพวกเขาทั้งสองคือชายชราที่ค่อยๆใกล้เข้ามา
ทะเลสาบโลหิตทุกแห่งผสานรวมเข้าด้วยกันจนปกคลุมไปทั่วทั้งชั้นที่เก้า
ชายชราแข็งแกร่งเกินไปขนาดที่ว่าแม้แต่วิหารก็ไม่สามารถต้านทานพลังของเขาได้ มหาสมุทรโลหิตที่พลุกพล่านได้กัดกร่อนวิหารอย่างรวดเร็ว
“ถึงเวลา…แล้วงั้นรึ?” เสียงราวกับเด็กน้อยดังขึ้นจากความว่างเปล่า
ชายชราหยุดแน่นิ่งไม่ขยับ ขนทั่วร่างของสุนัยสีดำตั้งชัน สีหน้าของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง เขารับรู้ได้ว่าเขาถูกลากเข้ามาพัวพันกับบางสิ่งที่เหลือเชื่อเข้าอีกแล้ว
ทำไมต้องเป็นเขาด้วย?
แสงสว่างเจิดจ้าส่องออกมาจากวิหาที่ถูกกัดกร่อน มหาสมุทรโลหิตค่อยๆสลายหายไปจนเห็นพื้นดินอีกครั้ง
“เจ้าเป็นใคร?” ชายชราเอ่ยถาม
“เจ้าควรถามว่า ‘ข้าเป็นใคร’ มากกว่า” เสียงของเด็กน้อยกล่าว น้ำเสียงของเขานั้นองอาจราวกับเป็นพระเจ้าผู้อยู่เหนือสรรพสิ่ง
“ข้าเป็นใคร?” ชายชราที่มีเพียงผิวหนังกล่าว
“เจ้าคือผิวหนังชีวิตที่ห้าของข้า” เสียงของเด็กน้อยกล่าว แต่เมื่อหลิงฮันได้ยินเช่นนั้นเขาก็เกิดความหวาดกลัวทันที
หลิงฮันคิดว่าชายชราพบเจอกับศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวจนถูกถลกหนังออกมา แต่ที่จริงแล้วเจ้าของร่างกลับเป็นฝ่ายถลกหนังของตนเองออกมา แล้วที่บอกว่าชีวิตที่ห้า… หรือว่าคนคนนี้จะมีชีวิตมาแล้วถึงห้าชาติภพ?
หรือว่าถ้ำจ้าวสมุนไพรทั้งเก้าชั้นจะเป็นเขตแดนลี้ลับที่คนคนี้สร้างขึ้นมา?
AnchorAnchor
ผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ถูกผสานเอาไว้ด้วยบางสิ่งบางอย่าง นั่นอาจจะเป็นร่างกายหรือวิญญาณของคนผู้นี้?
สัตว์ประหลาดแบบใดกำลังจะเกิดขึ้นบนโลกกันแน่?
“ที่แท้ก็… เป็นเช่นนั้น!” ชายชราที่มีแต่ผิวหนังพึมพำ เขานั่งขัดสมาธิพร้อมกับร่างกายได้ส่องแสงสว่างออกมาราวกับกำลังสู่สุขคติ
ก่อนหน้านี้ชายชราติดอยู่ในห่วงที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครและต้องการตามหาสุนัข และตอนนี้เมื่อเขาหาสุนัขพบแล้วแถมรู้ว่าตนเองเป็นใครห่วงที่เหนี่ยวรั้งเขาไว้ก็หมดสิ้น ดังนั้นในฐานะที่เป็นคนตายเขาก็ต้องกลับสู่วัฏจักรของโลก เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้ว
หลิงฮันตกตะลึง ชายลึกลับผู้นี้เป็นไปได้ว่าจะมีชีวิตมาแล้วถึงเก้าชีวิต แต่หากเป็นเช่นนั้นเขาไปหาดอกวิญญาณอมตะมากมายขนาดนั้นมาได้อย่างไรถึงสามารถคืนชีพได้หลายต่อหลายครั้ง?
“ฮ่าๆ หนุ่มน้อย เจ้าคิดเยอะเกินไปแล้ว” เสียงของเด็กน้อยกล่าว “ชีวิตแต่ละชีวิตข้าอาศัยเพียงพลังของตัวเอง ทุกๆชีวิตข้าล้วนแต่มีอายุเกินกว่าล้านปี วิญญาณทั้งเก้าชีวิตจะผสานรวมกันเป็นร่างอันแท้จริงในชีวิตที่สิบและข้าจะถือก่อเกิดเป็นนิจนิรันดร์!”
ตอนที่ 1392
“ฮ่าๆ ถ้าเจ้าไม่เข้าใจก็ไม่เป็นอะไร ข้าจะค่อยๆอธิบายให้เอง เพราะอย่างไรก่อนข้าจะถือกำเนิดก็ยังเหลือเวลาอยู่ ยิ่งกว่านั้นข้าก็ไม่ได้คุยกับใครมาเป็นเวลากว่าร้อยล้านปีแล้ว ช่างน่าเบื่อจริงๆ” เสียงของเด็กน้อยดังขึ้นอีกครั้ง
“ข้ามาจากดินแดนอันลึกลับที่เจ้าไม่อาจจินตนาการถึง ที่นั่นทุกคนมีชีวิตเป็นนิรันดร์!”
“แต่วันครึ่งข้าได้ถูกขับไล่ออกมา!”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด เพียงแต่เพราะบิดาข้าเลือกยืนผิดฝั่งข้าถึงได้ถูกขับไล่ออกมา”
“ข้าขอสัตย์สาบานว่าจะต้องกลับไปที่นั่นให้ได้!”
“หลังจากออกมาจากดินแดนแห่งนั้น ต่อให้ข้าจะมีพลังอันไร้ขีดจำกัดก็ไม่สามารถหลบหนีความแก่เฒ่า ดังนั้นข้าจึงลองเสี่ยงบ่มเพาะพลังด้วยทักษะบ่มเพาะเร้นลับที่ถูกเรียกว่าเก้าสวรรค์พินาศ!”
“ร่างกายของทั้งเก้าชาติภพจะถูกฝังและก่อเกิดเป็นชีวิตอันไร้เทียมทานในชาติภพที่สิบ”
“ทุกๆชาติภพข้ามีอายุเพียงหนึ่งล้านปี เมื่อสิ้นอายุขัยครบเก้าครั้ง ข้าก็ได้ปลูกฝังตัวอ่อนแห่งนิรันดร์ในชาติภพนี้”
“เจ้าคงจะสังเกตเห็นแล้วว่าที่นี่มีAnchorผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ในวิหารทุกชั้น แต่เจ้าคงไม่รู้ว่าผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ทุกผลมีวิญญาณของข้าฝังเอาไว้ เมื่อผ่านไปเก้าร้อยล้าปี วิญญาณทุกดวงของข้าจะถูกเสริมให้มีพลังแข็งแกร่งอย่างมหาศาล”
“เมื่อวิญญาณทั้งเก้าดวงผสานรวมเป็นหนึ่ง วิญญาณในชาติภพนี้ของข้าจะแข็งแกร่งเหนือกว่าจอมยุทธทุกคนไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน!”
“และแล้ววันนี้ซึ่งเป็นวันที่ข้าจะลืมตาตื่นก็มาถึง ข้ากู่ต้าวอี้ สุดยอดอัจฉริยะแห่งอดีตกาลที่ไม่มีวันตาย แบละในชาติภพนี้ความรุ่งโรจน์ของข้าจะเจิดจรัสยิ่งกว่าครั้งก่อน”
เสียงของเด็กน้อยดังก้องเข้ามาในหูของหลิงฮัน
หลิงฮันส่งเสียง ‘โอ้’ ตอนนี้เขาเข้าใจเรื่องราวของถ้ำจ้าวสมุนไพรทั้งหมดแล้ว
“เจ้ามาจากดินแดนแห่งเซียน?”
พรวด!
หากกู่ต้าวอี้ยืนอยู่ด้านหน้าหลิงฮัน เขาจะต้องตกตะลึงจนอ้าปากลิ้นห้อยแน่นอนเนื่องจากเขาคิดมาตลอดว่าดินแดนแห่งเซียนคือความลับอันยิ่งใหญ่ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะถือกำเนิด คนคนแรกที่เขาพบเจอกลับรับรู้ถึงดินแดนต้นกำเนิดของเขา
“เจ้ารู้จักดินแดนแห่งเซียนได้อย่างไร?” กู่ต้าวอี้กล่าวถามด้วยความสงสัย ผู้คนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่สมควรรู้เรื่องราวของดินแดนแห่งเซียนเพราะดินแดนแห่งเซียนถูกผนึกมาเป็นเวลานานแสนนานแล้ว
“มีคนบอกข้ามา” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส แน่นอนว่าเขาไม่มีทางบอกอีกฝ่ายว่าเขารู้จักคนที่อยู่ในดินแดนแห่งเซียนอย่างเช่นตำหนักมัจฉาวายุภักษ์
กู่ต้าวอี้กลายเป็นไร้คำพูด คนที่รู้เรื่องดินแดนแห่งเซียนมีมากกว่าหนึ่งคน?
“จริงสิ สุนัขตนนี้มีที่มาที่ไปยังไง?” หลิงฮันถาม
เนื่องจากชายชราที่มีเพียงผิวหนังเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับสุนัขตนนี้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย
“ในตอนแรกข้าได้ค้นพบไข่ลึกลับบางอย่างในโบราณสถานของดินแดนแห่งเซียน แต่ไม่คาดคิดว่าสุดท้ายมันจะฟักออกมาเป็นสุนัขสีดำไร้ประโยชน์” กู่ต้าวอี้กล่าวเหยียดหยาม
“โฮ่ง! เจ้านั่นแหละไร้ประโยชน์ ตระกูลเจ้าทั้งตระกูลไร้ประโยชน์!” สุนัขตัวดำไม่นิ่งเฉยและโต้ตอบทันที
กู่ต้าวอี้กล่าวอย่างไม่แยแส “แม้ข้าจะยังไม่ถือกำเนิดและต้องเริ่มต้นใหม่จากพลังบ่มเพาะระดับมนุษย์ แต่เขตแดนลี้ลับแห่งนี้ถูกควบคุมด้วยสัมผัสสวรรค์ของข้า จากที่ดูเหล่าจอมยุทธที่เข้ามาในนี้แล้ว ดินแดนศักดิ์สิทธิ์คงไม่มีผู้ใดทัดเทียมข้าได้”
สุนัขตัวดำเลิกตะโกนตอบและบ่นพึมพำ “เอาไว้ออกจากที่นี่ก่อนแล้วข้าจะสังสอนเจ้าเอง”
ส่วนตัวแล้วหลิงฮันคิดว่าสุนัขตัวดำตนนี้น่าอัศจรรย์มากทีเดียว อย่างน้อยมันก็สามารถกัดเขาจนรู้สึกเจ็บปวดซึ่งเกรงว่าต่อให้เป็นจอมยุทธระดับดาราก็ไม่สามารถทำได้
เมื่อคิดเช่นนี้หลิงฮันรู้สึกว่าสุนัขตัวดำสมควรแล้วที่จะมีต้นกำเนิดมาจากโบราณสถานในดินแดนแห่งเซียน
เพียงแต่ว่าสุนัขฟักออกมาจากไข่งั้นรึ… เรื่องนี้ค่อนข้างแปลกประหลาดเล็กน้อย
“สุนัขตัวนั้นแปลกประหลาดมาก มันมีพลังชีวิตที่แข็งแกร่ง เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเพียงสัตว์อสูรระดับดาราแต่กลับมีชีวิตอยู่ได้นานมาจนถึงตอนนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ผสานร่างทั้งเก้าเป็นหนึ่งได้แล้ว สุนัขนั่นข้ายกให้เจ้าแล้วกัน” กู่ต้าวอี้กล่าว “ไว้เมื่อข้าส่งเจ้าไปลงนรก เจ้าจะได้มีสหายร่วมทางไปด้วย”
“ร่วมทางน้องสาวเจ้าน่ะสิ!” สุนัขตัวดำรีบสบถด่าและหันไปหาหลิงฮัน “เจ้าหนูมัวทำอะไรอยู่ อีกฝ่ายเห็นได้ชัดว่าเป็นตัวตนที่ชั่วร้าย รีบๆจัดการทำลายมันเร็วเข้า”
สีหน้าของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นมืดมน จากที่ฟังจากกู่ต้าวอี้ อีกฝ่ายจะถือกำเนิดใหม่ตั้งแต่ศูนย์ ดังนั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีพรสวรรค์ขนาดไหนก็ต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะพลังจนแข็งแกร่ง เพียงแต่ต้าวอี้นั้นสามารถควบคุมรูปแบบอาคมสังหารใต้หล้าได้อย่างสมบูรณ์
หากต้าวอี้ต้องการสังหารพวกเขาคงไม่ใช่เรื่องยากเย็น
“ในเมื่อเจ้าคิดว่าตนเองไร้เทียมทาน เหตุใดต้องมาสนใจข้าด้วย?” หลิงฮันกล่าว เขาไม่อยากใช้หอคอยทมิฬ โดยเฉพาะต่อหน้าตัวตนจากดินแดนแห่งเซียน
“ข้าไม่น่าเป็นภัยคุกคามอะไรไม่ใช่รึไง?”
กู่ต้าวอี้แน่นิ่ง ถึงแม้เขาจะถือกำเนิดใหม่เริ่มต้นจากมนุษย์ธรรมดา แต่ด้วยรากฐานจากชีวิตทั้งเก้าภพ พรสวรรค์ของข้าจะแข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่มีมาในยุคบรรพกาล ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ปีเขาก็จะบรรลุสู่จุดสูงสุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อีกอย่างคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะก้าวเท้าไปยังดินแดนแห่งเซียนได้รึ?
ไม่มีทาง!
ประตูสู่ดินแดนแห่งเซียนถูกปิดมาเป็นเวลานานแล้ว มีเพียงการเชี่ยวชาญอำนาจแห่งกฎเกณฑ์การสร้างสรรพสิ่งและการทำลายล้างพร้อมกันสองอย่างเท่านั้นถึงจะเปิดทางเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าหลิงฮันจะเข้าไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์และแพร่งพรายความลับของตัวเขา
“งั้นข้าจะไว้ชีวิตมดปลวกเช่นเจ้าเพื่อเป็นสักขีพยานในความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของข้า”
และแล้วกู่ต้าวอี้ก็ตัดสินใจได้
หลิงฮันกล่าวพึมพำ “อีกหนึ่งร้อยปี สำนักละอองดาราแห่งเขตดวงดาวสี่ทิศจะเปิดรับสมัครสิทธิ์ รุ่นเยาว์ระดับดาราจากเขตดวงดาวใกล้เคียงนับร้อยจะมารวมตัวกัน แต่การจะเข้าร่วมสำนักได้ต้องบรรลุระดับดาราเป็นอย่างน้อย”
กู่ต้าวอี้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที แม้ชาติภพนี้จะเป็นชีวิตที่สิบของเขา แต่อายุขัยและวิญญาณของเขาจะเริ่มนับใหม่ตั้งแต่หนึ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่ต่างอะไรกับรุ่นเยาว์ทั่วไป หากเขาสามารถโค่นล้มอัจฉริยะระดับราชาในรุ่นเยาว์ได้ มันจะน่าพึงพอใจขนาดไหน?
หลิงฮันหัวเราะในใจ เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังฟังอยู่ เมื่อถึงเวลาเขาจะเป็นคนจัดการเจ้าหมอนี่เอง
“ดีล่ะ หลังจากนี้อีกหนึ่งร้อยปี ด้วยความเร็วในการบ่มเพาะพลังของข้าคงเพียงพอที่จะบรรลุระดับดารา เมื่อเวลานั้นมาถึงข้าจะได้ทุกคนใต้ท้องฟ้านี้รับรู้ถึงพลังของข้า!” กู่ต้าวอี้หัวเราะ
“เจ้าไปได้แล้ว จงจำไว้ว่าอีกหนึ่งร้อยปีเจ้าต้องไปยังสำนักละอองดาราเพื่อเป็นสักขีพยานในการกำเนิดตำนานของข้า!”
‘พรึบ’ หลิงฮันรู้สึกเพียงว่าจู่ๆร่างกายก็หนักหน่วง พอรู้ตัวอีกทีเขาก็ออกมานอกถ้ำจ้าวสมุนไพรแล้ว พริบตานั้นเองสัมผัสสวรรค์อันแข็งแกร่งมากมายก็กวาดผ่านมายังตัวเขา สัมผัสสวรรค์เหล่านี้เป็นของปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ซึ่งทำให้เขารู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบซ่อนความลับใดๆ
ตอนที่ 1393
จากการคำนวณเวลา บุปผามกรสมควรจะเบ่งบานในช่วงนี้ ดังนั้นเหล่าปรมาจารย์ที่อยู่ภายนอกเขตแดนจึงเป็นกังวลมาก เมื่อจอมยุทธระดับดาราปรากฏตัวออกมา พวกเขาจึงตรวจสอบด้วยสัมผัสสวรรค์ทันที
สมุนไพรพิษอย่างบุปผามกรเป็นสมุนไพรที่น่าสะพรึงกลัว พวกเขาเตรียมการมาเป็นเวลาไม่รู้กี่ล้านปีเพียงเพื่อเก็บเกี่ยวสมุนไพรต้นนี้
แต่ทันใดนั้นเอง ‘พรึบ พรึบ พรึบ’ คนจำนวนนับหมื่นก็ปรากฏตัวแทบจะพร้อมกับ
ทุกคนถูกขับไล่ออกมาจากถ้ำจ้าวสมุนไพร
บางคนกำลังเก็บเกี่ยวสมุนไพรอยู่ บางคนกำลังทดสอบขึ้นชั้นถัดไป บางคนกำลังเตรียมตัวอยู่ในวิหาร แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้ทุกคนกลับถูกโยนออกมาโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆทำให้ทุกคนตกอยู่ในความสับสน
ยังเหลือเวลาอีกตั้งเยอะไม่ใช่รึ?
เหล่าปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ต่างมึนงง สถานการณ์เช่นนี้มันอะไรกัน?
ใครบางคนรีบกล่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์การปรากฏตัวของชายชราทันที แน่นอนว่ารวมถึงเรื่องที่บุปผามกรถูกชายชรากินไปด้วย
พริบตานั้นเองเหล่าปรมาจารย์ต่างรู้สึกกลายเป็นตัวโง่งม
จนถึงตอนนี้แต่ละตระกูลต่างเตรียมการมาเป็นเวลากว่าสิบล้านสิบ แต่สุดท้ายบุปผามกรกลับถูกทำลายด้วยตัวตนอันพิสดารที่ไม่รู้ที่มาที่ไปงั้นรึ?
พวกเขาแทบจะกลายเป็นบ้า ตัวประหลาดเช่นนั้นโผล่มาจากไหนกันแน่
“สุนัขของข้า?”
“เจ้าเห็นสุนัขของข้ารึไม่?”
คำพูดนี้มีความลับอันใดแฝงอยู่รึเปล่า?
หลิงฮันอดหัวเราะไม่ได้ คนเหล่านี้คงจะรู้ต้นเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นไปตลอดกาล อีกไม่นานกู่ต้าวอี้จะถือกำเนิดใหม่แล้ว สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ในแต่ละชั้นจึงถูกเก็บรักษาไว้สำหรับตัวเขาเอง สี่ตระกูลของตำหนักเป่าหลินจะไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ได้อีกต่อไป
แต่ทำไมถ้ำจ้าวสมุนไพรถึงเปิดออกเพื่อให้คนอื่นเข้าไปเก็บเกี่ยวงั้นรึ?
หลิงฮันก็ไม่เข้าใจความคิดของกู่ต้าวอี้เหมือนกัน
บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาไม่อยากจะเหงาอยู่คนเดียวก็ได้
เนื่องจากการเก็บเกี่ยวบุปผามกรไม่สำเร็จ เหล่าปรมาจารย์ถึงไม่สนที่จะตรวจสอบว่าแต่ละคนได้รับสมุนไพรอะไรมาบ้าง เพราะอย่างไรแทบจะทุกครั้งผลเก็บเกี่ยวก็แทบจะเหมือนๆกัน แต่ละคนต่างกลับออกมาพร้อมกับสมุนไพรและตำราเม็ดยาระดับต่ำ หากมีวาสนาก็อาจจะพอเก็บเกี่ยวสมุนไพรระดับสิบมาได้บ้าง
หลิงฮันเดินแยกออกมาพร้อมกับสุนัขตัวดำโดยที่ไม่กล่าวอำลาหลินอวีฉี
ถึงเวลากลับแล้ว
แน่นอนว่าเจ้าสุนัขตัวดำย่อมไม่ติดตามหลิงฮัน มันตั้งใจจะออกเดินทางเที่ยวชมโลกภายนอกโดยที่ไม่สลดเสียใจที่ถูกเจ้านายทิ้งเลยแม้แต่น้อย แต่มันกล่าวไว้ว่าในอีกร้อยปี มันเองก็จะไปยังเขตดวงดาวสี่ทิศและเข้าร่วมสำนักละอองดารา
จากที่มันกล่าวเอาไว้ มันบอกว่าต้องการจะตามหาสตรีงดงามมาเป็นสัตว์ขี่ให้กับมัน
ช่างต่ำทราม!
หลิงฮันเข้าใจทนัทีว่าสุนัขตัวดำตนนี้ไม่ใช่สุนัขที่ดี เขาอยากจะโยนโสมเฒ่ากับเจ้ากระต่ายไปให้พวกมันตั้งกลุ่มสามสหายสัตว์อสูรเสียเหลือเกิน แต่จากนิสัยของสุนัขตัวดำ เกรงว่าคงหนีไม่พ้นจับเจ้ากระต่ายและโสมเฒ่าไปทำเป็นอาหาร
เขาเลิกคิดเรื่องไร้สาระและนำอุปกรณ์บินแหวกเมฆาออกมาพร้อมกับมุ่งหน้าขึ้นสู่อวกาศ
ด้วยข้อมูลของดวงดาวที่มี อุปกรณ์บินแหวกเมฆาจึงสามารถเคลื่อนที่ไปยังจุดหมายได้ด้วยตัวมันเอง หลิงฮันเข้าสู่หอคอยทมิฬเพื่อขัดเกลาพลังบ่มเพาะก่อนจะทะลวงผ่านระดับดาราขั้นกลาง
ภายในหอคอยทมิฬ ทุกคนพัฒนาขึ้นมากทีเดียว
ติงผิงบรรลุระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์ชั้นสูงสุด จิ่วเยาเริ่มสัมผัสได้ถึงประตูของขั้นสมบูรณ์ แต่เฟิงโปหยุนกับมู่หลงชิงสามารถขัดเกลาพลังบ่มเพาะถึงเพียงระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดเท่านั้น พวกเขาไม่อาจเอื้อมถึงประตูของขั้นสมบูรณ์
พรสวรรค์เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง หากต้องการทะลวงผ่านขั้นสมบูรณ์ หนึ่งส่วนคือพรสวรรค์ เก้าส่วนคือความพยายาม หากพรสวรรค์ไม่ถึงต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถทดแทนหนึ่งส่วนที่ขาดหายไปได้
แต่หลิงฮันก็ไม่ได้บังคับให้พี่ชายทั้งสองล้มเลิกความคิดที่จะทะลวงผ่านขั้นสมบูรณ์ นั่นเป็นทางเดินที่พวกเขาเลือกเอง ไม่ว่าพวกเขาจะเลือกเส้นทางไหนเขาก็จะคอยสนับสนุนอยู่เงียบๆ
Anchor
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์นั้นยังห่างจากระดับดาราอีกเพียงเล็กน้อย บางทีหลังจากทำความเข้าใจกฎแห่งเต๋าใต้ต้นสังสารวัฏสักสองปีนางอาจจะทะลวงผ่านได้สำเร็จ เพราะอย่างไรพวกเขาก็มีอดีตเซียนคอยชี้แนะ
หากพูดถึงคนที่พลังบ่มเพาะก้าวหน้าเร็วที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็นเซียนหวู่เซียง ตอนนี้เขาบรรลุระดับภูผาวารีขั้นสูงแล้ว ด้วยการที่เขาเคยเป็นถึงเซียนมาก่อนจึงไม่มีคอขวดในการบ่มเพาะพลังแถมเขายังมีเม็ดยามากมายคอยช่วยเหลือด้วย
หลิงฮันเริ่มลงมือฝึกฝนสลับเปลี่ยนไปมาระหว่างกฎแห่งเต๋าและศาสตร์ปรุงยา เพราะอย่างไรเขาก็แค่ทะลวงผ่านขั้นพลังย่อยซึ่งไม่ใช่เรื่องยากลำบากอยู่แล้ว
ภายใต้ต้นสังสารวัฏ หลิงฮันใช้เวลาเพียงสองเดือนก็สามารถหลอมเม็ดยาเพลิงลอยล่องได้อย่างเชี่ยวชาญ ถึงแม้มันจะเป็นเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบแต่มันได้มีไว้สำหรับกินแต่ใช้โจมตีศัตรู
จำนวนของเม็ดยาเพลิงลอยล่องที่ถูกหลอมค่อยๆมีจำนวนเพิ่มขึ้นจนกระทั่งผลเพลิงระเบิดถูกใช้จนหมดหลิงฮันก็กลับไปขัดเกลาพลังบ่มเพาะ
ครึ่งปีผ่านไป ในที่สุดเขาก็สามารถทะลวงผ่านขั้นพลัง
อุปกรณ์บินแหวกเมฆาหยุดกลางอวกาศ หลิงฮันไปด้านนอกเพื่อรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ หลังจากขัดเกลากายหยาบเสร็จสิ้นเขาก็ทะลวงผ่านเป็นระดับดาราขั้นกลาง ดาบอสูรนิรันดร์เองก็ดูดซับพลังจากทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์จนทรงพลังยิ่งขึ้น
หลังจากนั้นคนในหอคอยทมิฬเองก็ค่อยๆทะลวงผ่านทีละคน
ตอนนี้ธาตุทั้งห้าในหอคอยทมิฬสมบูรณ์แล้ว หลิงฮันเริ่มรับรู้ถึงความน่าเกรงขามของคัมภีร์สวรรค์นิรีนดร์ จากคำกล่าวของหอคอยน้อย หากเขาเข้าใจหลักการของคัมภีร์สวรรค์ได้อย่างสมบูรณ์บางส่วน เขาจะสามารถป้องกันการโจมตีของปรมาจารย์ระดับสร้างสรรพสิ่งได้หนึ่งครั้ง
นี่มันบ้าบอเป็นอย่างมาก การโจมตีของเซียนนั้นแม้จะเพียงครั้งเดียวก็สามารถบดขยี้จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ได้ทุกคน แต่เขาจะสามารถป้องกันการโจมตีของเซียนได้หนึ่งครั้งงั้นรึ?
ยิ่งกว่านั้นเขาก็ยังเชี่ยวชาญหลักการกำเนิดใหม่จากเถ้าถ่านขั้นต้นอย่างเชี่ยวชาญแล้ว พูดตามหลักการแล้วคือเขาสามารถป้องกันการโจมตีของปรมาจารย์ระดับสร้างสรรพสิ่งได้สองครั้ง
นี่มันเหนือสามัญสำนึกอย่างสิ้นเชิง!
หลิงฮันพยายามทำความเข้าใจหลักการที่ว่า แต่ถึงแม้จะมีการช่วยเหลือของต้นสังสารวัฏ เมื่อมาถึงดาวเหอหนิงเขาก็เข้าใจหลักการได้เพียงส่วนต้นเท่านั้นซึ่งยังไม่เพียงพอที่จะรับการโจมตีของปรมาจารย์ระดับสร้างสรรพสิ่ง แต่หากเป็นการโจมตีของตัวตนระดับวารีนิรันดร์เขาก็ยังพอจะต้านทานได้
Anchor
อุปกรณ์บินแหวกเมฆาร่อนลงสู่ดวงดาวที่มีท้องฟ้าอันคุ้นเคย หลิงฮันตะโกนออกมา
ข้ากลับมาแล้ว!
ตอนที่ 1394
ทุกคนออกมาจากหอคอยทมิฬ พวกเขาเก็บตัวบ่มเพาะพลังมากว่าหลายปีแล้ว จึงจำเป็นต้องพักผ่อนกันบ้าง การบ่มเพาะพลังตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่
เนื่องจากอุปกรณ์บินแหวกเมฆาถูกดัดแปลงให้เหาะเหินบนอวกาศแล้วมันจึงยากที่จะควบคุมให้ลอยใต้ท้องฟ้าของดวงดาว พวกเขาร่อนลงที่จักรวรรดิราชวงศ์สวรรค์นิรันดร์ซึ่งหลิงฮันทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย
ที่คุ้นเคยเพราะจักรวรรดิราชวงศ์สวรรค์นิรันดร์อยู่ในดาวเหอหนิง แต่ที่ไม่คุ้นก็เพราะเขาไม่เคยมายังจักรวรรดิราชวงษ์นี้มาก่อน
ด้วยพลังของหลิงฮังในตอนนี้ เพียงพอแล้วที่จะเหยียบย่ำจักรวรรดิราชวงศ์สวรรค์นิรันดร์โดยไร้ผู้ใดต่อกร
เพียงแต่ว่าหลิงฮันไม่ต้องการสร้างปัญหาใดๆและตั้งใจจะกลับจักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะทันที
เขาไม่ได้พบจักรพรรดินีมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว เขาอยากพบเจอนางเป็นอย่างมาก
Anchor
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์รู้สึกหึงหวง นางทนไม่ไหวจนต้องบิดข้อมือหลิงฮันเพื่อระบายอารมณ์
หลิงฮันไม่กังวลว่าสตรีทั้งสองจะมีความบาดหมางกันในอนาคต ด้วยอำนาจอันสูงส่งของจรักพรรดินีแห่งดารา เกรงว่านอกจากฮูหนิวแล้ว สตรีทุกคนคงต้องยอมสิโรราบนับถือนางเป็นพี่สาว
กลุ่มของพวกเขาเดินผ่านอาณาเขตของจักรวรรดิราชวงศ์สวรรค์นิรันดร์ พวกเขาไม่ก่อความเดือดร้อนใดๆและทำตัวไม่โดดเด่น ผ่านไปสามวันพวกเขาก็มาถึงเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง แต่เมืองนี้ค่อนข้างแปลกประหลาดเล็กน้อย ผู้คนในเมืองนี้มีจำนวนมากและปรมาจารย์ก็มีอยู่พอสมควร
คำว่า‘ปรมาจารย์’นั้นในกรณีของจักรวรรดิราชวงศ์สวรรค์นิรันดร์แล้วหมายถึงจอมยุทธระดับดับสุริยันจันทรา
แน่นอนว่าหลิงฮันไม่เก็บปรมาจารย์เช่นนั้นมาใส่ใจ ทั่วทั้งดาวเหอหนิง มีจอมยุทธเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะทำให้เขาสนใจ
ช่างบังเอิญที่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กับติงผิงกำลังจะทะลวงผ่านระดับพอดี หลิงฮันต้องหยุดการเดินทางเอาไว้และให้ทั้งสองคนไปยังสถานที่ที่ไร้ผู้คนเพื่อรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์
คนในกลุ่มที่เหลือตามหาโรงน้ำชาเพื่อนั่งรอ บททดสอบทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์มีระยะเวลาครึ่งวัน รวมกับเวลาไปกลับแล้วคงต้องใช้เวลาราวๆเกือบหนึ่งวันเต็ม ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหาสถานที่นั่งรอ
ยิ่งกว่านั้นสถานที่อย่างเช่นร้านอาหารหรือโรงน้ำชายังเป็นสถานที่ที่เหมาะสมกับการหาข่าวสารอีกด้วย หลิงฮันจากดาวดวงนี้ไปหลายปีแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่อยากจะรับรู้สถานการณ์ในปัจจุบัน
ข่าวที่พวกเขาได้ยินมาคือเหตุผลที่เมืองนี้มีผู้คนอยู่จำนวนมากก็เป็นเพราะมีสมบัติบางอย่างปรากฏขึ้นมา
สมบัติที่ว่าถืออะไรยังไม่มีใครรู้ แต่ไม่กี่เดือนที่ผ่านว่าได้มีแสงสว่างทะลวงผ่านผืนดินขึ้นสูงท้องฟ้าโดยตำแหน่งของแสงที่ว่าก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด ดังนั้นเหล่าปรมาจารย์ที่รับรู้ข่าวจึงค่อยๆปรากฏตัวขึ้นที่เมืองนี้
“อาจารย์ พวกเราขอไปหาอะไรสนุกๆทำหน่อยได้ไหม?” เจียนเยว่ซวนกล่าว ใบหน้าของเขาประดับไว้ด้วยความตื่นเต้น
เขาเป็นบุรุษมากรักที่แม้จะแต่งงานกับมีบุตรสาวแล้ว ต่อให้ผ่านไปหมื่นปีก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
เฉินหลุยเจียงและคนอื่นๆเองก็อยากไปเที่ยวเล่นเช่นกัน ที่ดาวหยุนติ่งพวกเขานับว่าเป็นเพียงจอมยุทธที่แข็งแกร่ง แต่ที่นี่พวกเขาคือปรมาจารย์ ดังนั้นพวกเขาจึงตื่นเต้นที่อยากจะแสดงอำนาจของตนเอง
หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “จะไปก็ไป แต่ต้องกลับมาหลังจากนี้อีกหนึ่งวัน”
“ขอรับอาจารย์!” เฉินหลุยเจียงและศิษย์คนอื่นๆกล่าวพร้อมกับลากจิ่วเยาไปด้วย พลังต่อสู้ของศิษย์น้องเล็กคนนี้ยอดเยี่ยมมาก พลังบ่มเพาะของเขาอยู่ห่างจากขั้นสมบูรณ์เพียงแค่เส้นบางๆกั้นสามารถกล่าวได้ว่าเขาเป็นแทบจะทัดเทียมกับปรมาจารย์ระดับสุริยันจันทรา
ชางเย่ เหยียนเฮิงเหอและคนอื่นๆก็ตามไปด้วยเพื่อดูสถานการณ์
“อาจารย์ปู่ ข้าจะไปเล่นกับเจ้ากระต่ายและโสม” นิสัยเจียนเสี่ยวหลิงเองก็เหมือนกับบิดาของนาง นางไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้
“ไปเถอะ” หลิงฮันสะบัดมือ
หลิงฮันและพี่ชายทั้งสองของเขานั่งจิบชาพูดคุยกันเรื่องวิถีวรยุทธ เขาพยายามชี้แนะทั้งสองเกี่ยวกับการทะลวงผ่านไปยังขั้นสมบูรณ์ของพลังบ่มเพาะ
หลิงฮันถอนหายใจ พรสวรรค์เป็นสิ่งสำคัญจริงๆ ยิ่งระดับพลังสูงขึ้นความแตกต่างก็ยิ่งชัดเจน
เมื่อพูดถึงพรสวรรค์แล้ว ไม่สามารถดูถูกกู่ต้าวอี้ได้เลยจริงๆ อีกฝ่ายสร้างร่างกายในชีวิตที่สิบขึ้นมาด้วยAnchorผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ทั้งเก้าผล ด้วยสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ระดับราชาเซียนที่ผสานเข้ากับร่างกาย กายหยาบของอีกฝ่ายจะมีความสามารถที่น่าอัศจรรย์ขนาดไหน?
“แบบนี้ยิ่งทำให้จิตวิญญาณสู้รบของข้าเดือดพล่านขึ้นมาหน่อย ในระดับพลังเดียวกันมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ให้ข้าได้ ช่างโดดเดี่ยวเสียเหลือเกิน”
หลิงฮันกล่าวในใจ คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์คือทักษะบ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุด แถมเขายังเข้าใจที่กฎแห่งอำนาจสวรรค์ที่ลึกลับ เมื่อรวมเข้ากับพลังทำลายล้างของดาบอสูรนิรันดร์ คงยากที่จะหาใครทัดเทียมเขา
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก เจียนเสี่ยวหลิงก็กลับมาพร้อมกับเจ้ากระต่ายและโสมเฒ่า
หลิงฮันประหลาดใจมาก การที่ทั้งสามกลับมาเร็วแบบนี้ไม่ใช่เรื่องปกติแน่นอน
เมื่อเขากวาดสายตามองทั้งสาม เจียนเสี่ยวหลิง เจ้ากระต่ายและโสมเฒ่าต่างก็มีท่าทีรนรานหลบสายตาเขา หลิงฮันรู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติและกล่าวออกไป “เกิดอะไรขึ้น?”
“ฮะฮะฮะ” เจียนเสี่ยวหลิงไม่ค่อยหวาดกลัวหลิงฮันที่เป็นอาจารย์ปู่ของนาง เหตุผลหลักก็เพราะหลิงฮันยังเยาว์วัยเกินไปซึ่งอาจจะอายุน้อยกว่านางด้วยซ้ำ ในความคิดของนางหลิงฮันเปรียบเสมือนพี่ชาย
“ฮันน้อย ครั้งนี้จะโทษพวกเราก็ไม่ได้ พวกนั้นมาดูถูกพวกเราก่อน นายท่านโสมกับพี่ชายกระต่ายถึงได้ลงโทษโดยการเตะไข่ของเจ้าโง่นั่นคนละข้าง” โสมเฒ่ากล่าว
หลิงฮันพยักหน้า “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง พวกเจ้าก็ไม่ผิด แม้พวกเราจะไม่รังแกใครแต่ก็ห้ามยอมให้ใครรังแก”
“โอ้ ช่างปากกล้านัก!” เสียงเยาะเย้ยดูถูกดังขึ้นจากทางประตูเข้าโรงน้ำชา
“หืม ทำไมเสียงนั่นดูคุ้นๆจัง” ใครบางคนอุทาน
“อะไรกัน นั่นมันพยัคฆ์เจ็ดแห่งตระกูลหวัง!”
“ว่าไงนะ หวังฉวนฉีงั้นรึ?”
“รีบหนีเร็ว ที่ใดมีหวังฉวนฉี ที่นั่นจะต้องเกิดเหตุการณ์นองเลือด!”
พริบตาเดียวนั้นเอง แขกคนอื่นๆของโรงน้ำชาก็วิ่งหายไปด้วยความเร็วแสง
พวกหลิงฮันนั่งอยู่ชั้นแรกของโรงน้ำชา ดังนั้นแค่พวกเขามองไปยังประตูก็เห็นแล้วว่าคนที่ปรากฏตัวคือใคร
เขาเป็นชายร่างกำยำที่สวมชุดคลุมหนังพยัคฆ์ หัวพยัคฆ์ที่ถูกสวมอยู่เหนือศีรษะของเขาปลดปล่อยอำนาจลึกลับออกมาราวกับมีชีวิต
“คนที่บังอาจทำร้ายคนของตระกูลหวัง คิดว่าจะสะบัดก้นหลบหนีไปได้ง่ายๆ?” หวังฉวนฉีกล่าวอย่างเย็นชา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น