Alchemy Emperor of the Divine Dao 1375-1384

ตอนที่ 1375

 

เมืองหยาดฝนครามนั้นเมื่อนานมาแล้วเป็นเพียงเทือกเขาสูงที่ไร้ผู้คนอาศัยอยู่


ต่อมาได้มีตระกูลสี่ตระกูลเข้ามาตั้งรากฐานอยู่ที่นี่ หลังจากผ่านพ้นความก้าวหน้ามาหลายปีต่อหลายปี ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการปรุงยาก็ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับนักปรุงยานับไม่ถ้วน


เหตุผลก็เพราะทางเข้าถ้ำจ้าวสมุนไพรอยู่ที่นี่ และเพื่อปกปิดต้นกำเนิดรากฐานของตำหนักเป่าหลิน เมืองหยาดฝนครามจึงได้ถูกสร้างขึ้น ใครจะไปคาดคิดว่าเมืองแห่งนี้จะมีทางเข้าเขตแดนลี้ลับโบราณซ่อนเอาไว้?


หลิงฮันและชางเฟิงที่เป็นคนนอกถูกขอให้กล่าวคำสัตย์สาบานต่อสวรรค์ว่าจะไม่แพร่งพรายความลับของถ้ำจ้าวสมุนไพรให้ผู้อื่นรับรู้


เวลาผ่านไปสักพักก็มีตัวตนระดับสูงของตำหนักเป่าหลินปรากฏตัวมากมาย พวกเขาเป็นปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ที่ทำหน้าที่เปิดประตูทางเข้าสู่ถ้ำจ้าวสมุนไพร


ทางเข้าที่ถูกเปิดออกเป็นเหมือนกับประตูมิติที่มีแสงหมุนโคจรไปมา คนที่จะผ่านประตูนี้ไปได้ต้องมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดไม่เช่นนั้นจะถูกเขตแดนลี้ลับปฏิเสธ จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์นั้นไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ กล่าวได้ว่าผู้ที่สร้างเขตแดนลี้ลับแห่งนี้คือตัวตนระดับสร้างสรรพสิ่งเป็นอย่างน้อย


และหากคำนวณจากสมุนไพรและเม็ดยาภายในถ้ำจ้าวสมุนไพรแห่งนี้ ผู้สร้างสมควรเป็นนักปรุงยาระดับสิบเจ็ดขึ้นไป!


ดังนั้นมรดกสืบทอดของเขาจึงล้ำค่าเป็นอย่างมาก


ผู้ที่จะเข้าเขตแดนลี้ลับไม่ใช่แค่ตระกูลหลินตระกูลเดียว แต่อีกสามตระกูลของตำหนักเป่าหลินก็เข้าร่วมเช่นกัน ตามกฎของสี่ตระกูลแล้ว ลำดับตระกูลที่จะเข้าไปก่อนและหลังคือ ตระกูลหาน ตระกูล ตระกูลซือและปิดท้ายด้วยตระกูลหวง


เมื่อถึงลำดับของตระกูลหลิน ทุกคนก็เดินผ่านเข้าประตูแสงกันทีละตำหนักสาขา สาขาแรกที่เข้าไปแน่นอนว่าต้องเป็นตระกูลหลินสาขาหลักเนืองจากพวกเขาได้อันดับหนึ่งในการแข่งขัน สาขาที่สองคือสาขาอังหยวนที่นำโดยAnchorหลินจื่อหง ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความภาคภูมิใจราวกับว่าทั่วทั้งสวรรค์และปฐพีอยู่ในการครอบครองของเขา


หลิงฮันรู้สึกราวกับร่างกายถูกฉีกขาดในขณะที่เดินผ่านทางเข้า พริบตาหลังจากนั้นตัวเขาก็มาโผล่อีกที่หนึ่ง


มันคือโลกอีกโลกหนึ่งที่มีกลิ่นของสมุนไพรแพร่กระจายไปทั่วพื้นที่


ที่นี่คือชั้นแรกของถ้ำจ้าวสมุนไพร!


สถานที่แห่งนี้มีเนินเขาอยู่มากมายและมีสมุนไพรถูกปลูกเอาไว้ตามเนินเขาทุกเนิน ที่บริเวณเนินเขาจะสามารถมองเห็นเหมือนกับว่ามีใครกำลังเดินวนไปวนมาเพื่อดูแลสมุนไพร


ที่นี่… มีคนอาศัยอยู่ด้วย?


ไม่ถูกต้อง!


หลิงฮันส่ายหัว เขาใช้เนตรแห่งสัจธรรมมองอย่างละเอียดและพบว่าสิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่คนแต่เป็นหุ่นเชิดที่ดูเหมือนจริงมาก ในแวบแรกที่มองหุ่นเชิดเหล่านั้นไม่ต่างอะไรกับมนุษย์จริงๆเลย


“ถ้ำจ้าวสมุนไพรมีทั้งหมดเก้าชั้น ทุกๆชั้นจะมีสมุนไพรระดับสูงอยู่มากมาย แต่การจะเก็บเกี่ยวเป็นอะไรที่ยากลำบากมาก” หลินอวีฉีเดินเข้ามาและอธิบายให้กับหลิงฮัน “หุ่นเชิดเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ทำหน้าที่คอยดูแลสมุนไพรในเขตแดน เนื่องจากพวกเราสามารถเข้ามาที่นี่ได้ในทุกๆหนึ่งแสนปีเท่านั้น พวกเราจึงต้องปล่อยให้พวกมันทำหน้าที่ดูแลสมุนไพรแทนและห้ามทำลายพวกมัน”


“การจะเก็บเกี่ยวสมุนไพรโดยไม่ทำให้พวกเขาเสียหายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย”


หลิงฮันพยักหน้า หากหุ่นเชิดเหล่านี้ถูกทำลายจนหมด คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเก็บเกี่ยวสมุนไพร แต่หากทำเช่นนั้นแล้วในอนาคตล่ะ?


ตระกูลทั้งสี่มองการไกลจึงยั้งมือไม่ทำลายหุ่นเชิดเหล่านั้น


“เพียงแต่ว่าพวกเราเคยไปได้สูงสุดก็คือชั้นแปดเท่านั้น ในส่วนของชั้นเก้า… ไม่มีใครเคยเข้าไปที่นั่นมาก่อน” หลินอวีฉีกล่าวต่อ “จากการตรวจสอบในชั้นที่แปด เป็นไปได้ว่าชั้นที่เก้าจะเป็นที่ซ่อนของตำราเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ!”


เม็ดยาที่เหนือกว่าระดับสิบเจ็บจะถูกเรียกว่าเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ


“อวีฉี เพื่อให้เก็บเกี่ยวสมุนไพรได้อย่างมีประสิทธิภาพ พวกเราควรแบ่งกลุ่มกันเป็นสองกลุ่ม” หลินจื่อหงรีบกล่าว เขารอเวลาที่จะได้กำจัดหลิงฮันให้พ้นสายตามานานหลายพักแล้ว


หลินอวีฉีเห็นด้วยและพยักหน้ายอมรับ


“เจ้ามากับข้า!” หลินจื่อหงชี้ไปยังหลิงฮัน


“ไม่!” หลินอวีฉีปฏิเสธ “เขาเป็นคนของข้าก็ต้องมากับข้า!”


หลินจื่อหงเกรี้ยวกราดทันที เป็นคนของเจ้างั้นรึ? เขาเค้นเสียงและกล่าว “อย่าลืมว่าก่อนมาที่นี่ ผู้นำตำหนักกล่าวเอาไว้ว่าคนตัดสินใจหลักคือข้า!”


หลินฉวียีส่ายหัว นางรู้ดีว่าหลินจื่อหงมีจุดประสงค์อะไร แต่ที่นางปฏิเสธออกไปนั้นเป็นเพรานางต้องการช่วยหลินจื่อหงต่างหาก!


หลินจื่อหงคงไม่รู้ว่าหลิงฮันนั้นสามารถจัดการหลินเฟิงได้อย่างง่ายดาย ซึ่งพลังของหลินจื่อหงนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าหลินจื่อหง


“ข้าจะไปกับใครก็เรื่องของข้า” หลิงฮันกล่าว “ข้าเป็นแขกอาวุโส เจ้าไม่อาจบังคับข้าได้ ในเมื่อเข้ามาในเขตแดนแล้วข้าคงต้องขอตัว”


ทันใดนั้นเขาก็เหาะลอยจากไป ด้วยย่างก้าวไล่ตามดาราความเร็วของเขาจึงรวดเร็วราวกับสายฟ้า


เห็นแก่หน้าหลินอวีฉี ครั้งนี้เขาจะยอมปล่อยหลินจื่อหงไปอีกครั้ง


แต่การให้อภัยก็มีขีดจำกัด หากหลินจื่อหงไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรเขาก็จะไม่ปรานี


หลินอวีฉีถอนหายใจ นางรู้ว่าพลังต่อสู้ของหลิงฮันแข็งแกร่งเพียงใด ถ้าเขาอยู่กับนางสมุนไพรที่จะเก็บเกี่ยวได้คงเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว แต่ใครใช้ให้หลินจื่อหงสร้างเรื่องเสียก่อนล่ะ


เอาเถอะ อย่างน้อยๆก็ทำให้ไม่เกิดความขัดแย้งขึ้นได้


“ขี้ขลาด!” หลินจื่อหงเค้นเสียงดูถูก ในเมื่อหลิงฮันเผ่นหนีไปแล้ว การแย่งกลุ่มก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่ในเมื่อหลินอวีฉีเห็นด้วยไปแล้วเขาจึงต้องทำตามที่กล่าวไปและแยกกลุ่มเป็นสองกลุ่ม


หลินชูหยิงอยู่ห่างออกไปไม่ไกล เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใบหน้าของนางก็เผยรอยยิ้มทันที นางไม่กล่าวอะไรและรีบไล่ตามหลิงฮันไปติดๆ


แต่หลิงฮันเคลื่อนที่ด้วยความเร็วขนาดไหน? นางที่เพิ่งทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราจะตามทันได้อย่างไร พริบตาเดียวนางก็คลาดสายตาจากหลิงฮัน


หลิงฮันออกสำรวจคนเดียว เขาเหาะมองตรวจสอบแปลงสมุนไพรที่อยู่ด้านล่าง สำหรับสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปเขาไม่คิดจะเสียเวลาเก็บเกี่ยวเนื่องจากเขาปลูกเอาไว้ในหอคอยทมิฬเยอะแล้ว


หลังจากผ่านไปครึ่งวันร่างหลิงฮันก็หยุดนิ่ง ด้านหน้าของเขาปรากฏต้นไม้สูงราวๆสิบฟุต ทั่วทั้งลำต้นของมันส่องประกายแวววาวสีม่วงเขียวมรกต


ที่หลิงฮันหยุดชะงักไม่ใช่เพราะความงดงามของมันแต่เป็นเพราะต้นไม้ต้นนี้คือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบที่หายาก!


ต้นเก้ามรกตหยกม่วง


ต้นไม้ต้นศักดิ์สิทธิ์ต้นนี้ประหลาดมาก ผลที่งอกออกมาในช่วงหนึ่งล้านปีและจะเป็นเพียงสมุนพรระดับสอง แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆผลของมันจะถูกยกระดับขึ้นเป็นสมุนไพรระดับสามและระดับอื่นๆ จนสุดท้ายเมื่อผ่านไปสองร้อยปีผลของมันจะถูกยกระดับเป็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบ


ตอนนี้ผลของต้นไม้ต้นนี้ยังเป็นสีเขียวอ่อน เกรงกว่าคงต้องใช้เวลาอรกอย่างน้อยล้านปีกว่าผลของมันจะโตเต็มที่จะเปลี่ยนเป็นสีม่วง แต่สำหรับหลิงฮันแล้ว เขาสามารถนำต้นไม้ต้นนี้ไปปลูกในหอคอยทมิฬได้!


“โชคดีที่ข้ามาคนเดียว หากพี่สาวอวีฉียังอยู่และได้ยินว่าข้าจะถอนต้นเก้ามรกตหยกม่วง นางต้องห้ามข้าแน่นอน” หลิงฮันยิ้ม “ถ้ำจ้าวสมุนไพรแห่งนี้เพียงแค่ถูกค้นพบโดยตำหนักเป่าหลิน พวกเขาไม่ถือว่าเป็นเจ้าของ ดังนั้นหากข้าแค่ถอนต้นไม้นี่ไปทั้งรากคงไม่ถือว่าทำเกินไป”

 

 

 


ตอนที่ 1376

 

ในความคิดของหลิงฮัน ตำหนักเป่าหลินเพียงยึดครองที่นี่แต่พวกเขาไม่ใช่เจ้าของ อย่างเช่นหากพวกเขาต้องการเก็บเกี่ยวสมุนไพรที่พี่ พวกเขาก็ต้องหลีกเลี่ยงหุ่นเชิด แต่ถ้าหากเป็นเจ้าที่แท้จริงพวกเขาจำเป็นต้องทำเช่นนั้นรึ?


“และสำหรับข้า หุ่นเชิดก็เหมือนของขวัญที่ฟ้าประทานให้” หลิงฮันจ้องมองไปยังหุ่นเชิดรูปร่างมนุษย์ใต้ต้นเก้ามรกตหยกม่วงพร้อมกับเผยรอยยิ้ม


หุ่นเชิดนั้นไม่มีสติปัญญา ดังนั้นเขาจึงสามารถนำพวกมันเข้าไปยังหอคอยทมิฬได้อย่างง่ายดาย ต่อให้พวกมันมีพลังระดับสร้างสรรพสิ่งแต่หากไร้ความนึกคิดก็ไม่อาจต่อต้านหอคอยทมิฬได้


หลิงฮันเหาะลงไปยังเก้ามรกตหยกม่วง


หุ่นเชิดที่กำลังดูแลต้นสมุนไพรตื่นตัวทันที พวกมันพุ่งโจมตีหลิงฮันด้วยความเร็วสูง


หลิงฮันยังไม่นำพวกมันเข้าไปในยังหอคอยทมิฬแต่เลือกที่จะทดสอบพลังของพวกมันก่อน


ปัง!


ร่างหลิงฮันถูกส่งลอยกระเด็น กายหยาบของเขาได้รับบาดเจ็บจนเสื้อผ้าบางจุดถูกย้อมด้วยโลหิต


แข็งแกร่ง!


หลิงฮันกล่าวในใจ พลังของหุ่นเชิดเทียบเท่าระดับดาราขั้นสูงสุด ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พวกมันจะทำให้เขาบาดเจ็บได้ เมื่อครู่ที่ถูกโจมตี เขารู้สึกว่ากระดูกในร่างเกิดการสั่นสะเทือนจะเกือบจะแตกหัก


แน่นอนว่าหุ่นเชิดที่ไม่มีความคิดย่อมไม่ลังเล มันพุ่งทะยานต่อโดยหวังจะโจมตีสังหารหลิงฮัน


“พอแค่นั้น!” หลิงฮันสะบัดมือชี้นำสัมผัสสวรรค์ให้โอบล้อมร่างของหุ่นเชิด ‘พรึบ’ หุ่นเชิดตรงหน้าหายไปทันที


ภายในหอคอยทมิฬ หลิงฮันคือพระเจ้าที่แท้จริง


เขาแยกชิ้นส่วนหุ่นเชิดได้อย่างง่ายดาย เขาตื่นเต้นเป็นอย่างมากเมื่อพบว่าเกินกว่าเจ็ดในสิบส่วนของหุ่นเชิดนั้นถูกสร้างขึ้นจากแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์


แร่โลหะศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก!


หลิงฮันตัดสินใจว่าต่อให้เขาเก็บเกี่ยวเม็ดยาใดๆไม่ได้เลย เขาก็จะขโมยหุ่นเชิดที่สร้างขึ้นจากแร่โลหะระดับแปดทุกตัวไปให้หมดเพื่อนำไปยกระดับให้ดาบอสูรนิรันดร์


แต่สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการถอนรากเก็บเกี่ยวต้นเก้ามรกตหยกม่วง


ขั้นตอนไม่มีอะไรซับซ้อน หลิงฮัยใช้มือแทนพลั่ว ด้วยพลังอันมหาศาลของเขาทำให้สามารถขุดดินยกต้นเก้ามรกตหยกม่วงใส่เข้าไปในหอคอยทมิฬได้อย่างง่ายดาย ทันทีที่ต้นสมุนไพรนี้ถูกปลูกในหอคอยทมิก็เท่ากับว่ามันเป็นของเขาแล้ว


“เอาล่ะ ออกสำรวจต่อ!” หลิงฮันตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะได้ยกระดับให้กับดาบอสูรนิรันดร์


หลิงฮันมุ่งหน้าต่อ ยิ่งที่ไหนมีแปลงสมุนไพรมากที่นั่นก็ต้องมีหุ่นเชิดมากเช่นกัน


หลิงฮันไม่ได้ขโมยหุ่นเชิดไปทั้งหมดโดยสนอะไรเลย เขาจะทดสอบก่อนว่าพลังของหุ่นเชิดเทียบเท่าระดับดาราหรือไม่ หากเท่าก็หมายความว่ามันถูกสร้างขึ้นจากแร่โลหะระดับเก้า แต่ถ้าไม่ใช่ระดับดาราก็แสดงว่าพวกมันไม่ได้ถูกสร้างจากแร่โลหะระดับเก้าซึ่งเขาจะปล่อยพวกมันไปให้ดูแลสมุนไพรที่นี่ต่อ


นี่ถือว่าเป็นการไว้หน้าหลินอวีฉี เป็นเพราะอีกฝ่ายเขาถึงมีโอกาสเข้ามายังที่นี่ บุญคุณครั้งนี้เขาไม่มีทางลืม


ยิ่งกว่านั้นหากหุ่นเชิดระดับดาราจะคุ้มกันสมุนไพรสักชนิด สมุนไพรที่ว่าก็ต้องเป็นสมุนไพรระดับแปดขึ้นไปซึ่งถือว่าหลิงฮันได้ประโยชน์ต่อเนื่อง


คนของตำหนักเป่าหลินที่เข้ามาที่นี่มีกฎเหล็กคือห้ามเก็บเกี่ยวสมุนไพรที่ยังไม่โตเต็มที่ แต่หลิงฮันไม่สนใจกฎเช่นนั้น เพราะหากเขาปลูกสมุนไพรในหอคอยทมิฬ สมุนไพรก็จะเติบโตได้เร็วและมีคุณภาพดีกว่า


ระหว่างทางเขาทั้งเก็บเกี่ยวทั้งสมุนไพรและถอดถอนชิ้นส่วนหุ่นเชิดนำแร่โลหะไปให้ดาบอสูรนิรันดร์ดูดกลืน


ด้วยการที่ว่าตระกูลทั้งสี่ครอบครองเขตแดนลี้ลับแห่งนี้มาเป็นเวลากว่าร้อยล้านปี นอกจากชั้นที่เก้าของเขตแดนแล้ว พวกเขาจึงมีแผนที่ที่บ่งบอกเกือบบริเวณของเขตแดนลี้ลับอย่างละเอียด หลิงฮันเดินทางไปตามแผนที่ เขาใช้เวลาเกือบสิบวันในการสำรวจพื้นที่ที่มีสมุนไพรล้ำค่าในชั้นที่หนึ่ง


บนแผนที่เขียนเอาไว้อย่างละเอียกว่าสมุนไพรระดับใดถูกปลูกอยู่ที่ใดรวมไปถึงระยะการเติบโตของพวกมัน


ตอนนี้เขาสำรวจพื้นที่ที่ควรค่าแก่การเก็บเกี่ยวไปหมดแล้วและเหลือเพียงขึ้นไปยังชั้นสองเท่านั้น


“ดาบอสูรนิรันดร์สมควรยกระดับเรียบร้อยแล้ว”


ด้วยแร่โลหะระดับเก้าจำนวนมากที่ดูดกลืนเข้าไป ตอนนี้ดาบอสูรนิรันดร์ได้คืนสภาพกลับไปมีขนาดดังเดิมแล้ว ตัวดาบปลดปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าราวกับดวงตะวัน


อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบ!


หลิงฮันหัวเราะดีใจ ระดับของดาบอสูรนิรันดร์เหนือว่าระดับพลังเขาไปแล้ว แต่เนื่องจากดาบได้ถูกประทับเอาไว้ด้วยเจตจำนงของเขา แม้ระดับของมันจะถูกยกขึ้นแต่พลังอำนาจก็ไม่ได้เพิ่มสูงมากเท่าไหร่


หลิงฮันไม่สนใจอะไรนัก ดาบอสูรนิรันดร์จะแข็งแกร่งตามระดับพลังของเขา ตราบใดที่เขาบรรลุระดับดาราขั้นกลาง พลังของดาบอสูรนิรันดร์ก็จะเพิ่มขึ้น


‘ตุบ’ ร่างหนึ่งได้ปรากฏตัวและหยุดยืนอยู่ห่างจากหลิงฮันสิบฟุต


“ทิ้งดาบนั่นไว้แล้วไสหัวไป!” ชายคนนั้นกล่าวอย่างเย็นชา


เขาเป็นชายหนุ่มที่มีสีหน้ามืดมนและจับดาบในมือเอาไว้แน่นด้วยนิ้วมือเรียวบางทั้งห้า


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “เจ้ากำลังปล้นข้า?” อีกฝ่ายเป็นเพียงจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดเท่านั้น ไม่รู้ว่าไปเอาความกล้าขนาดไหนมาปล้นชิงเขา


แต่ก็จะอย่างไรหลิงฮันในตอนนี้ก็ปกปิดออร่าตนเองเอาไว้ จอมยุทธระดับต่ำกว่าดาราไม่สามารถมองเห็นพลังบ่มเพาะของเขาได้ แถมด้วยรูปลักษณ์ที่เยาว์วัยใครจะคิดว่าหลิงฮันเป็นตัวตนระดับดารา?


“ดาบเล่มนั้น ให้เจ้าครอบครองไว้ก็เสียของเกินไป!” ชายคนนั้นกล่าวพร้อมกับมองมายังดาบอสูรนิรันดร์ด้วยแววตาที่ส่องประกาย นั่นเป็นสายตาของคนที่หลงใหลในดาบจริงๆเท่านั้น


“แล้วไปอยู่ในมือเจ้าจะไม่เสียของรึ?” หลิงฮันถาม


“ไม่!” ชายคนนั้นกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ข้าฝึกฝนดาบมาตั้งแต่อายุห้าปี ตอนอายุสิบเจ็ดข้าได้ฉายาว่าผู้คลั่งดาบ ชีวิตของข้าดาบเพียงอย่างเดียว”


หลิงฮันวางดาบอสูรนิรันดร์ลงบนพื้นและยิ้ม “ถ้าเจ้ายกมันขึ้น เจ้าก็เอาไปได้” กล่าวเสร็จเขาก็ถอยหลังสองสามก้าวเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้วางแผนลอบโจมตีกระทันหันในระยะประชิด


ชายคนนั้นไม่รู้สึกว่าหลิงฮันยอมง่ายเดิมไป เพราะตัวเขาเป็นตัวจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดและเป็นผู้นำแห่งยุคสมัยของรุ่นเยาว์ที่อายุใกล้เคียงกัน จะหาใครมาเทียบเคียงเขานั้นเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง


ในความคิดของเขา การที่หลิงฮันยอมง่ายๆถือว่าปกติอย่างมาก


เขาเดินเข้าไปยังดาบอสูรนิรันดร์ ‘ครืนนน’ ดาบอสูรนิรันดร์ส่องประกายอันไร้ที่สิ้นสุดราวกับเตือนว่าห้ามเข้ามาใกล้มากกว่านี้ แต่แน่นอนว่าเขาไม่หวาดหวั่น เขาปลดปล่อยเจตจำนงยุทธและเจตจำนงดาบออกมาเพื่อสยบดาบอสูรนิรันดร์


หนึ่งคนหนึ่งดาบปะทะกันอย่างดุเดือด ในที่สุดแล้วแสงสว่างของดาบอสูรนิรันดร์ก็ค่อยๆอ่อนลงราวกับไม่สามารถต้านทานชายหนุ่มคนนั้นได้


หลิงฮันตกตะลึง


เขาไม่ได้ตกใจในพลังของชายหนุ่มหรือแสงสว่างที่อ่อนจางลงของดาบอสูรนิรันดร์ ที่จริงแล้วดาบอสูรนิรันดร์ยังแสดงพลังอำนาจออกมาไม่ถึงหนึ่งในพันล้านด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่ามันกำลังหยอกล้ออีกฝ่ายอยู่!


นี่ต่างหากคือสิ่งที่หลิงฮันตกตะลึง


ดาบอสูรนิรันดร์เรียนรู้ที่จะเย้าแหย่ผู้อื่นด้วย?


ตัวดาบนั้นมีความคิดเป็นของตัวเองและฉลาดจนถึงขนาดรู้จักการหยอกล้อ


หลิงฮันจับคางด้วยความมึนงง นิสัยเช่นนี้ดาบอสูรนิรันดร์ไปเรียนรู้มาจากใคร?


เขาก็ไม่ได้มีนิสัยเช่นนั้นไม่ใช่รึ?

 

 

 


ตอนที่ 1377

 

ชายหนุ่มใบหน้ามืดมนมั่นใจเป็นอย่างมาก เขารู้สึกได้ว่ากำลังจะกำราบดาบตรงหน้าได้แล้ว


ร่างของเขาท่วมไปด้วยเม็ดเหงื่อ การปะทะที่สูสีกับดาบทำให้เขาต้องใช้พลังทั้งหมดออกไปถึงจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ


ดาบเล่มนี้เหมาะสมกับเขายิ่งนัก!


เขาคำรามและระเบิดพลังออกมาเพื่อที่จะสยบดาบอสูรนิรันดร์ให้ราบคาบ


ตอนนี้ออร่าของดาบอสูรนิรันดร์ลดลงไปมากจนราวกดับว่าไม่อาจต่อต้านได้อีกต่อไป


ชายหนุ่มยื่นมือออกไปเพื่อพยายามคว้าดาบอสูรนิรันดร์ แต่พริบตานั้นอำนาจอันทรงพลังก็ระเบิดออกมาจากตัวดาบ ‘ตูม’ ร่างของเขาลอยกระเด็มล้มลงกับพื้นทันที


อะไรกัน!


ชายคนนั้นอ้าปากค้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อ


ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้ นี่เขาทำไม่สำเร็จรึไง เหตุใดดาบถึงได้ปลดปล่อยอำนาจสะท้อนกลับมาได้?


หลังจากที่สะท้อนร่างของชายหนุ่มกลับไป ดาบอสูรนิรันดร์ก็ลอยขึ้นกลางอากาศพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายและแสงสว่างเจิดจ้าอันไร้ที่สิ้นสุด


ดาบค่อยๆลอยเข้าหาชายหนุ่มราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นคอยชี้นำ


นี่มัน… ดาบกำลังยอมรับเขา?


การที่ชายหนุ่มถูกดาบอสูรนิรันดร์กระแทกจนลอยกระเด็นทำให้เขารับรู้ว่าดาบอสูรนิรันดร์นั้นล้ำค่าเกินกว่าที่เขาคาดไว้ และตอนนี้ดาบที่ว่าได้ตอบรับเจตจำนงดาบของเขาแล้ว?


ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะยอมรับเขาเป็นเจ้านายได้อย่างไร?


เขาตื่นเต้นมากและยื่นเมื่อออกไปเพื่อพยายามจับดาบ


เมื่อมือของเขาสัมผัสกับด้ามดาบ ดาบอสูรนิรันดร์ก็หมุนกลางอากาศสร้างรอยแผลเอาไว้บนมือของเขาก่อนที่จะสั่นสะท้านและลอยกลับไปหยุดอยู่ข้างๆศีรษะหลิงฮัน


ตัวดาบส่องประกายเจิดจ้าราวกับอำนาจของมันจะคงอยู่ชั่วกัลปาวสาน


ชายหนุ่มชะงักก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง


ในฐานะนักดาบที่มีฉายาคลั่งดาบ เขาจะไม่เข้าใจงั้นรึ? ดาบเล่มนั้นเพียงแค่หยอกล้อเขาเล่นเท่านั้น


ตัวดาบมีจิตวิญญาณของมันเอง!


เขารู้ดีว่าเป็นเรื่องยากขนาดไหนที่จะทำให้ดาบที่มีความนึกคิดยอมรับใครสักคนเป็นเจ้านาย หากหลิงฮันไม่ตายเขาก็ไม่มีทางได้ครอบครองมัน


ดาบที่มีจิตวิญญาณจะภักดีต่อเจ้าของที่สุด


ชายหนุ่มจ้องมองไปยังดาบอสูรนิรันดร์ด้วยความอิจฉาก่อนจะกล่าว “เป็นดาบที่ดี”


“ข้ารู้” หลิงฮันพยักหน้า


“จงดีกับนาง อย่าให้นางมีฝุ่นเกาะเด็ดขาด” ชายหนุ่มเค้นเสียง สายตาที่เขาทองไปยังดาบอสูรนิรันดร์นั้นราวกับว่าไม่ได้มองไปที่ดาบแต่เป็นลูกสาวที่สุดรักที่ต้องแต่งงานออกจากตระกูลไป


หลิงฮันขนลุก นี่สมองเจ้ายังปกติดีรึเปล่า


ชายหนุ่มถอนหายใจและเดินจากไปอย่างเงียบๆ แม้แต่ชื่อเขาก็ไม่เอ่ยทิ้งไว้


หลิงฮันส่ายหัวและมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งสุดท้ายของถ้ำจ้าวสมุนไพรชั้นแรก มันคือตำแหน่งที่มีทางเข้าชั้นสองตั้งอยู่


เพื่อที่จะผ่านเข้าไปยังชั้นที่สอง ทุกคนต้องผ่านการทดสอบแรกในวิหารชั้นหนึ่งเสียก่อน การทดสอบนั้นคล้ายคลึงกับการแข่งขันของตำหนักเป่าหลิงซึ่งมีทั้ง จำแนกรูปลักษณ์สมุนไพร ประกอบสมุนไพรเข้าด้วยกันใหม่ แยกแยะสมุนไพรและหลอมเม็ดยาหรือทดสอบอื่นๆ


เม็ดยาที่ล้ำค่าที่สุดของชั้นหนึ่งก็อยู่ที่วิหารเช่นกัน แต่เป็นเวลานานมากแล้วที่ไม่มีใครสามารถนำสมุนไพรล้ำค่าที่ว่ามาครอบครอง


จอมยุทธระดับดาราสามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วมาก เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งก้านธูปหลิงฮันก็ร่อนลงจากท้องฟ้า ด้านหน้าเขาปรากฏวิหารขนาดใหญ่ที่ประตูทางเข้าเขียนอักษรเอาไว้สามตัวว่า ‘วิหารแสงอรุณสันติ’ (泰阳宫)


คำสามคำนี้ไม่ได้งดงามอะไรนัก แต่อักษรแต่ละตัวนั้นปลดปล่อยอำนาจอันล้นทะลักออกมาราวกับคลื่นมหาสมุทรจนหลิงฮันต้องหยุดยืนจ้องมอง


ตอนนี้คนของตระกูลทั้งสี่มาถึงวิหารแล้ว แต่ละคนถยอยเข้าไปยังวิหารเพื่อทำการทดสอบ


ที่ชั้นแรกนั้นไม่มีเวลากำหนดว่าจะอยู่ได้นานเท่าไหร่ แต่เมื่อใดที่เข้าไปในวิหารเพื่อทำการทดสอบ เหนือศีรษะของแต่ละคนจะปรากฏนาฬิกาทรายขึ้นมา หากเวลาในนาฬิกาทรายหมดแล้วยังทดสอบไม่ผ่าน คนคนนั้นก็จะถูกขับไล่ออกมาจากวิหาร


แต่หากทดสอบผ่าน นาฬิกาทรายก็จะยังคงลอยอยู่เหนือศีรษะเพื่อเป็นตัวบ่งบอกว่าคนคนนั้นจะอยู่ในชั้นสองในนานเท่าใด หมายความว่ายิ่งผ่านการทดสอบไวเวลาที่จะได้อยู่ชั้นสองก็จะยาวนานขึ้น


แล้วถ้าหากเวลาใกล้หมดล่ะ?


เมื่อถึงตอนนั้นก็ต้องไปวิหารของชั้นสองเพื่อทดสอบรับเวลาไปยังชั้นสาม


ดังนั้นแล้วยิ่งทำเวลาในแต่ละชั้นได้ดีแค่ไหน ก็จะมีเวลาเก็บเกี่ยวสมุนไพรในแต่ละชั้นมากขึ้น เหตุผลที่ทำไมจนถึงตอนนี้ไม่มีใครขึ้นไปยังชั้นเก้าได้นั้นเป็นเพราะไม่มีใครเหลือเวลามากพอที่จะไปยังวิหารในชั้นแปด


ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ทดสอบ แล้วพวกเขาจะไปชั้นที่เก้าได้อย่างไร?


หลิงฮันไม่เร่งรีบทดสอบเนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีเวลาจำกัด เขายืนมองอักษรสามตัวที่เขียนว่า ‘วิหารแสงอรุณสันติ’ ก่อนที่จู่ๆปราณก่อเกิดในร่างของเขาจะเริ่มปั่นป่วนราวกับรู้แจ้งอะไรบางอย่าง


ดวงดาราในตันเถียนเพียงดวงเดียวของเขาหมุนโคจรอย่างรวดเร็ว ขนาดของดวงดาราเริ่มขยายใหญ่ขึ้นพร้อมกับอักษรทั้งสามที่ค่อยๆส่องแสงสลัว


การเปลี่ยนแปลงของอักษรทั้งสามนั้นเบาบางมาก แม้แต่จอมยุทธระดับดาราหากไม่สังเกตให้ดีก็ไม่สามารถรับรู้ได้


ฝูงชนเดินเข้ามาที่วิหารไม่ขาดสาย ไม่มีใครเลยที่หยุดยืนมองอักษรเช่นหลิงฮัน พวกเขาคิดแต่จะเข้าทดสอบของชั้นแรกและขึ้นไปยังชั้นที่สองเพื่อเก็บเกี่ยวสมุนไพร ยิ่งกว่านั้นหากทำผลลัพธ์ได้ดีในการทดสอบก็จะได้รางวัลเป็นเม็ดยาด้วย


ตุบ!


หลิงฮันที่กำลังอยู่ในห้วงจิตจู่ๆก็รู้สึกว่าร่างกายสั่นสะท้าน เขาถูกใครบางคนกระแทกเข้าใส่จนสติหลุดจากสภาวะรู้แจ้ง


เขาขมวดคิ้วและแสดงสีหน้าไม่พอใจ


หลังจากที่เขาจ้องมองอักษรวิหารแสงอรุณสันติ เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งด้านธูปเท่านั้น แต่พลังบ่มเพาะของเขากลับยกระดับขึ้นอย่างมาก!


ถ้าเทียบการยกระดับพลังบ่มเพาะจากระดับดาราขั้นต้นชั้นต้นไปยังขั้นต้นชั้นกลางเป็นการก้าวเดินร้อยก้าวล่ะก็ ในช่วงเวลาหนึ่งก้านธูปเมื่อครู่เขาก้าวเดินไปได้แล้วห้าสิบก้าว


แม้หลิงฮันจะหลุดออกจากสภาวะรู้แจ้ง แต่พลังอำนาจที่ถูกชี้นำออกมาจากอักษรทั้งสามนั้นยังไม่หยุดปลดปล่อยออกมา


สำหรับหลิงฮัน หากปล่อยโอกาสนี้ไปคงเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่


ดังนั้นเขาจึงคร้านที่จะสนใจคนที่ชนเขาและจ้องมองอักษรทั้งสามต่อ


“ฮึ่ม เจ้าชนข้าแล้วแต่ยังคิดจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น?” ด้านหลังหลิงฮัน รุ่นเยาว์คนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส ใบหน้าของเขาปรากฏร่องรอยของความอับอาย


เขาเป็นคนที่ชนหลิงฮันเมื่อครู่


ก่อนหน้านี้ เขาเห็นหลิงฮันยืนนิ่งอยู่กับที่ ด้วยนิสัยอันโอหังของเขาจึงไม่คิดจะเดินหลบและชนหลิงฮันไปทั้งแบบนั้น


ในความคิดของเขา หากมีคนขวางทางอยู่ก็ต้องเป็นอีกฝ่ายที่หลบทางให้เขา


แต่ก่อนหน้านี้หลิงฮันได้อยู่ในสภาวะรู้แจ้งจึงเป็นธรรมดาที่จะไม่สังเกตเห็นอีกฝ่าย เมื่อเห็นหลิงฮันแน่นิ่ง รุ่นเยาว์ผู้นี้เลยไม่ลังเลที่จะเดินชนกระแทกใส่หลิงฮัน แต่ที่เขาไม่คาดคิดก็คือเมื่อชนเข้าใส่หลิงฮัน เขากลับรู้สึกราวกับกระแทกเข้าใส่แท่งเหล็ก


ผลลัพธ์ก็คือร่างของเขาถูกผลักสะท้อนกลับจนล้มลงที่พื้นด้านหลังหลิงฮัน ช่วยความอัปยศนี้จะไม่ให้เข้าโมโหได้อย่างไร?

 

 

 


ตอนที่ 1378

 

รุ่นเยาว์คนนี้มีชื่อว่าหวงเผิง เขาเป็นคนของตระกูลหวงแห่งสี่ตระกูลใหญ่ เขาที่บรรลุระดับสุริยันจันทราได้ในช่วงเยาว์วัยเป็นธรรมดาที่จะมีนิสัยหยิ่งยโส


หลิงฮันไม่สนใจและเพ่งสมาธิไปยังอักษรวิหารแสงอรุณสันติ ที่ตัวอักษรมีอำนาจอันทรงพลังถูกผนึกเอาไว้และสามารถช่วยขัดเกลาพลังบ่มเพาะของได้!


บางทีอำนาจที่ว่าอาจจะเป็นเศษเสี้ยวพลังที่เกิดการการเขียนอักษรทั้งสามด้วยมือ แต่เศษเสี้ยวพลังที่ว่าก็เพียงพอที่จะทำให้หลิงฮันทะลวงผ่านชั้นพลังย่อย!


หรือผู้ที่เขียนอักษรจะเป็นตัวตนระดับสร้างสรรพสิ่ง?


หลิงฮันไม่คิดอะไรมาก อย่างเขาต้องใช้ประโยชน์จากอำนาจของอักษรเหล่านี้ก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง


หวงเผิงเกรี้ยวกราดมาก อีกฝ่ายเมินเฉยไม่แยแสเขาเช่นนี้ นี่เขาโดนดูถูกขนาดไหนกัน?


เขาระงับความโมโหเอาไว้ไม่ไหว ดวงตาของเขาส่องประกายโหดเหี้ยมพร้อมกับหยิบดาบออกมาถือในมือและสะบั้นใส่แขนหลิงฮัน


ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นคนสี่ตระกูลใหญ่ หากไม่สังหารใครถึงตายแต่แค่ตัดแขนคงไม่โดนลงโทษอะไร เพราะจอมยุทธระดับพระเจ้านั้นมีพลังชีวิตที่แข็งแกร่ง ต่อให้เสียแขนข้างหนึ่งไปก็สามารถฟื้นฟูงอกใหม่ได้ในระยะเวลาไม่กี่เดือย


ปัง!


เมื่อดาบปะทะเป้าหมาย ประกายแสงราวกับเหล็กปะทะกันก็สะท้อนออกมาพร้อมกับดาบถูกกระเด้งกลับโดยไม่สามารถทำให้หลิงฮันบาดเจ็บ


หวงเผิงตกตะลึง กายหยาบนี่มันอะไร เหตุใดถึงได้แข็งอย่างน่าอัศจรรย์ขนาดนี้


แต่เขาก็เข้าใจทันทีว่าหลิงฮันต้องจงใจทำเป็นไม่สนใจเพื่อล่อให้เขาลงมือโจมตีแน่นอน แท้จริงแล้วอีกฝ่ายโคจรปราณก่อเกิดเอาไว้ทั่วร่างเพื่อป้องกันการโจมตีของเขาเอาไว้แล้ว


ช่างแผนสูงนัก!


ผู้คนรอบข้างที่มองอยู่แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา พวกเขานึกว่าหลิงฮันจะถูกดาบตัดขาดเสียแล้ว


หวงเผิงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดและกวัดแกว่งดาบเข้าใส่หลิงฮันอีกครั้ง


‘ปัง ปัง ปัง ปัง’ ร่างกายของหลิงฮันแข็งแกร่งเทียบเท่าแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าหวงเผิงจะโจมตีแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนโดยรอบทั้งขบขันและรู้สึกสงสัย เหตุกายหยาบของหลิงฮันถึงได้แข็งแกร่งอย่างน่าอัศจรรย์เช่นนี้


เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากคนรอบข้างและรู้สึกถึงสายตาหยอกล้อมากมายที่มองมาที่เขา หวงเผิงก็เกรี้ยวกราดจนโลหิตเดือดดาล เขาปลดปล่อยจิตสังหารออกมาโดยไม่สนถึงความสัมพันธ์ระหว่างสี่ตระกูลใหญ่แล้ว เขาแทงเข้าพุ่งเข้าใส่ดวงตาของหลิงฮันอย่างรุนแรง


ไม่ว่าเป็นกรณีไหน ตาก็คือส่วนที่สำคัญที่สุดของร่างกาย ต่อให้ขัดเกลากายหยาบจนแข็งแกร่งขนาดไหนตาก็ยังเป็นุจดอ่อน


หากถูกแทงทะลุเข้าไปในดวงตาจนลึกมากพอ ห้วงจิตวิญญาณของคนคนนั้นก็จะระเบิดจนส่งผลให้คนผู้นั้นเสียชีวิต


หวงเผิงไม่สนใจอะไรอีกต่อไป เขาต้องการให้หลิงฮันตายบัดเดี๋ยวนี้


“หยุด!” พริบตานั้นเองก็มีดาบหนึ่งพุ่งเข้ามา ‘เพล๊ง’ ดาบนั่นป้องกันดาบของหวงเผิงเอาไว้ได้


“หานตง เจ้าข้ายุ่งเรื่องของข้า?” หวงเผิงขมวดคิ้ว


คนที่แทรกแซงเข้ามาคือชายหนุ่มผู้คลั่งดาบ สถานะที่แท้จริงของเขาคือดาวรุ่งแห่งตระกูลหาน หานตง


สายตาอันโดดเดี่ยวมืดมนของเขาจ้องมองมาและกล่าว “บังอาจลอบโจมตีด้วยดาบที่ล้ำค่าเช่นนั้น เจ้าไม่เหมาะสมกับดาบในมือเจ้า!”


หวงเผิงเค้นเสียงกล่าว “เจ้าคนคลั่งดาบ ชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนของตระกูลหานของเจ้ารึ? รีบให้เขาขอโทษข้าเดี๋ยวนี้!”


“นั่นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าแข็งแกร่งพอรึไม่!” หารตงกล่าวอย่างเย็นชาและเหยียดหยาม


“ฮึ่ม ไม่ว่าหน้าไหนก็ดูถูกข้าทั้งนั้น คิดว่าข้าจะยอมถูกข่มเหงง่ายๆ?” หวงเผิงกวัดแกว่งดาบในมือ “หานตง พวกเขาไม่ได้ประลองกันมานานเท่าไหร่แล้ว?”


หานตงแสดงสีหน้าจริงจัง ถึงแม้เขาจะดูถูกนิสัยของหวงเผิง แต่เขาไม่กล้าดูถูกพลังของอีกฝ่าย เขากวัดแกว่งดาบในมือเช่นกัน “เกือบจะสามร้อยปีแล้ว”


“งั้นก็มาประลองกันอีกครั้ง!” หวงเผิงลงมือ เขาสะบัดดาบออกไปพร้อมกับปลดปล่อยสุริยันจันทราทั้งสี่ดวงออกมา ปราณดาบของเขาแปรเปลี่ยนเป็นพยัคฆ์โลหิตพุ่งโจมตีใส่หานตง


หานคงไม่เกรงกลัว ทั้งสองคนเข้าปะทะกันอย่างดุเดือดทันที


หลิงฮันจ้องมองดูดซับพลังจากอักษรทั้งสามอย่างหิวโหย หลังจากเวลาผ่านไปราวๆเกือบหนึ่งด้านธูปเขาก็ร่างของเขาชะงักและตื่นจากสภาวะรู้แจ้ง ปราณก่อเกิดในร่างของเขาสั่นไหวราวกับคลื่นยักษ์และทรงพลังกว่าเดิมสิบเท่า!


ระดับดาราชั้นต้นชั้นกลาง!


เป็นอย่าที่คาดเอาไว้… พลังบ่มเพาะของเขายกระดับขึ้นอย่างมหาศาล


หลิงฮันจ้องมองการต่อสู้ระหว่างหานตงกับหวงเผิง ทั้งสองคนใช้ดาบเข้าปะทะกันอย่างเลือดร้อน


ก่อนหน้านี้แม้หลิงฮันจะอยู่ในสภาวะรู้แจ้ง แต่เหตุการณ์ต่างๆไม่ได้หลุดพ้นไปจากการรับรู้ของเขา


หลิงฮันสะบัดนิ้วพร้อมกับระเบิดจิตสังหารออกมา


เจ้าเป็นคนชนข้าก่อน นอกจากจะไม่ขอโทษแล้วยังมีหน้ามาเกรี้ยวกราดคาดและคิดจะสังหารข้าอีก ส่วนในด้านของหานตง เขาประทับใจอีกฝ่ายมากพอสมควร


‘ครืนน’ ออร่าอันน่าสะพรึงกลัวปะทุออกมาเพื่อแยกหวงเผิงกับหานตงออกจากกัน


อำนาจของระดับดาราย่อมสยบจอมยุทธระดับสุริยันจันทราได้อย่างราบคาบ


หลิงฮันยิ้มไปยังหานตงและกล่าว “ข้าจะสอนทักษะดาบให้เจ้า จงมองให้ดี”


“เจ้าก็กล้าแทรกแซงยุ่งเรื่องของข้างั้นรึ!” หวงเผิงเกรี้ยวกราดและไม่พอใจอย่างมาก


หลิงฮันไม่แยแส เขาใช้นิ้วแทนดาบปลดปล่อยทักษะดาบฟ้าคำราม


‘ฉัวะ’ ทันทีที่ทักษะถูกใช้ออก ร่างของหวงเผิงก็ถูกตัดออกเป็นสองส่วน อำนาจสวรรค์ถูกปลดปล่อยออกมาตามๆกัน ร่างของหวงเผงรับแรงกดดันไม่ไหวจนระเบิดกระจุยเหลือเพียงดวงวิญญาณที่ลอยออกมา


“จะ เจ้ากล้าทำลายกายหยาบของข้า!” หวงเผงเกรี้ยวกราด แม้เขาจะสามารถหาร่างใหม่ได้ แต่ก็ใช้ว่าวิญญาณจะเข้ากับร่างใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ นั่นหมายความว่าเขาไม่เหลืออนาคตในเส้นทางแห่งวรยุทธแล้ว


หลิงฮันมองไปยังดวงวิญญาณของหวงเผงอย่างเย็นชาและกล่าว “อย่าให้ข้าต้องรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้สังหารเจ้า!”


เมื่อเห็นสายตาที่จ้องมองมาของหลิงฮัน ดวงวิญญาณของหวงเผิงก็สั่นสะท้านและรีบลอยเผ่นหนีอย่างไว


หลิงฮันสลายจิตสังหาร ถึงแม้เขาจะไม่ได้ทำลายดวงวิญญาณของหวงเผิง แต่เขาได้ทิ้งเจตจำนงดาบเอาไว้ที่ดวงวิญญาณอีกฝ่ายแล้ว อีกสามปีให้หลังเจตจำนงที่ว่าจะระเบิดออกโดยที่หวงเผิงไม่มีโอกาสรอดชีวิต


เหตุผลที่เขาไม่สังหารอีกฝ่ายเสียแต่ตอนนี้เลยเป็นเพราะอำนาจของสี่ตระกูลใหญ่ แม้ปรมาจรย์ของทั้งสี่ตระกูลจะไม่ได้เข้ามาในเขตแดน แต่เมื่อเขาออกไปก็คงไม่สามารถรับมือกับปัญหาที่จะตามมาได้อย่างง่ายดาย


หานตงยังคงครุ่นคิดอยู่กับทักษะดาบที่หลิงฮันใช้ออกมาเมื่อครู่ หลังจากผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งเขาก็กล่าวออกมา “ข้าเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบเมื่อครู่ยังไม่ถึงแม้แต่หนึ่งในหมื่น” ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความรู้สึกหลงไหล ทักษะดาบเมื่อครู่แข็งแกร่งมาก มันแตกต่างกับวิถีดาบของเขาอย่างสิ้นเชิงและทำให้รู้สึกว่าเส้นทางแห่งดาบเส้นทางใหม่ของเขากำลังเปิดออก


หลิงฮันยิ้มและปลดปล่อยทักษะดาบฟ้าคำรามอีกครั้ง


หานตงไม่สามารถเข้าใจอำนาจแห่งทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ ดังนั้นหลิงฮันจึงต้องชี้แนะเขาอย่างละเอียด


ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนโง่ เพียงสามวันเขาก็ก้มหัวต่อหน้าหลิงฮันเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ เขาไม่เข้าไปยังวิหารเพื่อทดสอบแต่กลับหันหลังเดินจากไป


แค่การชี้แนะจากหลิงฮันก็ถือว่าการเดินทางของเขาครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เขาต้องกลับไปเก็บตัวทำความเข้าใจเคล็ดลับวิถีแห่งดาบที่ได้รับมา

 

 

 


ตอนที่ 1379

 

นี่ถือว่าเป็นโชคชะตา ที่ทำให้เขาได้พบกับใครสักคนที่คลั่งไคล้ในวิถีดาบ


ในหมู่ศิษย์ทั้งหกคนของหลิงฮัน คังซิวหยวนกับหยุนหย่งหวังนั้นเรียนรู้ศาสตร์แห่งการปรุงยาจากเขา ในด้านของวิถีวรยุทธ พลังต่อสู้ของพวกเขาจัดอยู่ในระดับล่างของจอมยุทธระดับเดียวกัน


เฉินหลุยเจียงเชี่ยวชาญกระบี่ เจียนเยว่ซวนเองก็ฝึกฝนศาสตร์แม้จะมุ่งเน้นไปที่วิถีดาบแต่ก็ฝึกฝนวิถีต่อสู้อีกหลายรูปแบบ ศิษย์เล็กทั้งสองของเขาอย่างติงผิงก็เชี่ยวชาญการปะทะด้วยหมัด


ส่วนจิ่วเยาถึงแม้เขาจะไม่ค่อยได้สอนอะไรมากมาย อีกฝ่ายก็มีพรสวรรค์ในการอัญเชิญสัตว์อสูรซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจถึงแก่นแท้แห่งวิถีดาบ


ดังนั้นหลิงฮันจึงไม่พบใครที่เขาจะส่งมอบทักษะดาบฟ้าคำราม!


เพราะงั้นเมื่อเห็นความคลั่งไคล้ในดาบของหานตง หลิงฮันจึงตัดสินใจสอนส่วนหนึ่งของทักษะดาบฟ้าคำรามให้


แต่แน่นอนว่านอกจากหลิงฮันแล้ว คงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีจอมยุทธคนอื่นสามารถใช้ทักษะดาบฟ้าคำรามได้อย่างเชี่ยวชาญเช่นเขา เหตุผลหลักๆเลยก็คือจะมีใครอื่นที่สามารถเข้าใจหลักวิถีของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ได้?


หลิงฮันถอนหายใจและเดินเข้าไปยังวิหารแสงอรุณสันติ


ณ ตอนนี้ ถ้ามีใครบางคนที่ช่างสังเกตุ พวกเขาคงจะพบว่าแม้อักษรทั้งสามจะยังส่องประกายแสงเจิดจรัส แต่อำนาจบางส่วนของอักษรได้จางหายไปแล้ว


ระดับดาราขั้นต้นชั้นกลาง!


หลิงฮันพึงพอใจมาก หากพึ่งพาการบ่มเพาะพลังเพียงอย่างเดียว ต่อให้มีการสนับสนุนจากเม็ดยาเขาก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปีในการสะสมพลังปราณเพื่อทะลวงขั้นพลัง


เขารู้สึกคาดหวังในวิหารอีกแปดชั้นที่เหลือ… เขาจะสามารถรู้แจ้งได้เหมือนกับวิหารในชั้นหนึ่งรึเปล่า?


ความคิดนี้ทำให้หลิงฮันตื่นเต้นและเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย


ในวิหารไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่โต ทั่ววิหารมีเพียงความว่างเปล่า สิ่งเดียวที่มีคือแปลงหญ้าตรงกึ่งกลางวิหาร


แม้มันจะดูเหมือนหญ้า แต่ความสูงของมันสูงถึงร้อยฟุต ทั่วทั้งคำต้นเป็นสีเขียวและมีผลขนาดเล็กงอกอยู่ที่ส่วนปลาย


หลิงฮันชะงักทันที


หญ้าสมุนไพรที่อยู่ตรงหน้าเขาคือสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ระดับยี่สิบ!


สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดจะถูกเรียกว่าสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ ส่วนสมุนไพรระดับยี่สิบขึ้นไป… มันคือสมุนไพรเซียน!


หากใครกินผลของหญ้าสมุนไพรนี้เข้าไป พลังของคนคนนั้นจะไม่ทะยานสูงขึ้นจนบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งเลยรึ? แม้การบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งด้วยสมุนไพรหรือเม็ดยาจะทำให้พลังต่อสู้ต่ำต้อยที่สุดในหมู่จอมยุทธระดับเดียวกันก็ตาม แต่คนผู้นั้นก็ยังสามารถสยบจอมยุทธอื่นที่พลังบ่มเพาะต่ำกว่าเซียนได้อย่างง่ายดาย


ไม่ต้องยกตัวอย่างใดๆ แค่คำว่าเซียนก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้จอมยุทธทุกคนจิตใจหวั่นไหว


สี่ร้อยล้านปีที่ผ่านมา สมุนไพรล้ำค่าต้นนี้อยู่ที่นี่มาโดยตลอด หนึ่งผลแรกที่เป็นเช่นนั้นคือเพราะสมุนไพรต้นนี้ยังไม่เติบโตเต็มที่ หรือเหตุผลที่สองคือสมุนไพรต้นนี้เก็บเกี่ยวได้ยากเกินไป


หลิงฮันจ้องมองอย่างถี่ถ้วน สิ่งที่คุ้มกันสมุนไพรต้นนี้อยู่ไม่ใช่หุ่นเชิดแต่เป็นรูปแบบอาคม


เขาไม่สามารถทำลายรูปแบบอาคมนี้ได้เนื่องจากมันซับซ้อนเกินไป เขารู้สึกราวกับว่ารูปแบบอาคมนี้คือรูปแบบอาคมสังหารอันไร้เทียมทาน หากเขาผลีผลามลงมือโจมตีรูปแบบอาคมตรงหน้า ด้วยพลังของเขาในตอนนี้จะต้องตกตายในพริบตา!


เขาหาโอกาสที่ไม่มีใครสนใจเรียกเซียนหวู่เซียงออกมา


“เจ้าหนู ข้าเตือนเจ้าไปแล้วไม่ใช่รึว่าห้ามรบกวนข้าตอนกำลังบ่มเพาะพลัง ข้าน่ะ… หืม!” เซียนหวู่เซียงบ่นคร่ำครวญ เขาคิดว่าหลิงฮันเรียกเขาออกมาเพราะพบเจอภัยอันตรายอีกแล้ว


เพียงแต่เมื่อเห็นสมุนไพรที่อยู่ตรงหน้า เซียนหวู่เซียงก็ชะงักหน้าเปลี่ยนสีและอุทานออกมา “ผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์!”


หลิงฮันตะลึงและกล่าว “ผู้อาวุโสรู้จักสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำต้นนี้?” สมุนไพรทั้งหมดที่เขารู้มีเพียงสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปที่บันทึกอยู่ในตำรา


“ฮึ่ม ในฐานะเซียน แน่นอนว่าต้องรู้จักสมุนไพรเซียนทุกชนิดใต้ท้องฟ้านี้” เซียนหวู่เซียนกล่าวอย่างเหยียดหยาม


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “หากผู้อาวุโสสามารถทำลายรูปแบบอาคมนี้ได้ พวกเราจะสามารถนำมันไปปลูกไว้ในหอคอยทมิฬและเก็บเกี่ยวได้ในภายหลัง”


เซียนหวู่เซียงไม่กล่าวตอบหลิงฮันและจ้องมองไปยังรูปแบบอาคม ผ่านไปชั่วครู่เหงื่อหลายเม็ดก็ไหลออกมาจากหน้าผากของเขาก่อนจะอุทาน “รูปแบบอาคมสังหารใต้หล้า!”


“ทำลายได้รึไม่?” หลิงฮันรีบถาม เขาเองก็คือรู้ว่ารูปแบบอาคมสังหารนี้แข็งแกร่งขนาดไหน


“ไม่ได้!” เซียนหวู่เซียงส่ายหัว “ด้วยอำนาจทำลายล้างของรูปแบบอาคมนี้ เกรงว้าแม้แต่ราชาเซียนก็ต้องถูกสังหาร!” เขากล่าวด้วยสีหน้ามึนมน


นี่หมายความว่าพวกเขาทำได้เพียงมองสมุนไพรต้นนี้โดยไม่อาจเอื้อมมือไปหยิบ


แม้แต่ราชาเซียนก็อาจจะถูกสังหาร เช่นนั้นในโลกนี้คนที่จะทำลายรูปแบบอาคมนี้และเก็บเกี่ยวสมุนไพรที่อยู่ภายในได้คงจะมีเพียงหยิบมือ


ไม่เพียงต้องบ่มเพาะพลังจนบรรลุราชาเซียน แต่ยังต้องมีพลังต่อสู้ที่สูงกว่าหกดาว แปดดาว หรือแม้กระทั่งสิบดาว!


หลิงฮันครุ่นคิด ในเมื่อเขาในตอนนี้ยังไม่มีความสามารถพอที่จะเก็บเกี่ยวสมุนไพรต้นนี้งั้นก็ไม่ต้องเก็บมันมาสนใจและตั้งสมาธิไปกับเรื่องอื่นแทน เขาสะบัดมือนำเซียนหวู่เซียงกลับเข้าไปในหอคอยทมิฬ


เซียนหวู่เซียงคงรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก เขาที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงตันตนที่แข็งแกร่งที่สุดใต้สวรรค์กลับต้องถูกหลิงฮันเรียกเข้าออกหอคอยทมิฬตามใจชอบ


หลิงฮันเลิกสนใจสมุนไพรและเดินมายังส่วนหลังของวิหารที่มีประตูทางเข้าชั้นสองตั้งอยู่


เมื่อหลิงฮันเดินตรงเข้าประตูไปผู้คนที่เดินนำเขามาก่อนก็หายไปโดยไม่รู้ตัว ยิ่งเขาก้าวเดินไปข้างหน้าแม้แต่เสียงฝีเท้าของคนอื่นก็เริ่มไม่ได้ยิน


จนในที่สุดพื้นที่โดยรอบก็เหลือเขาเพียงคนเดียว


สภาพแวดล้อมด้านข้างเปลี่ยนไป เขามาปรากฏตัวในห้องหินที่มีโต๊ะหินตั้งอยู่ด้านหน้า ด้านข้างเขาปรากฏนาฬิกาทรายที่ยังไม่เริ่มนับเวลา


“ทดสอบแบบสุ่ม จำแนกรูปลักษณ์สมุนไพร” เสียงอันไร้อารมณ์ดังขึ้นโดยไร้ “ยิ่งจำแนกสมุนไพรได้จำนวนมาก แต้มที่ได้ก็จะมากตามไปด้วย”


“เริ่ม!”


ยังไม่ทันทีหลิงฮันจะเตรียมตัว นาฬิกาทรายก็เริ่มนับเวลาพร้อมกับมีเงาสมุนไพรปรากฏขึ้นบนโต๊ะหิน


“หยาดน้ำตาตะวันทมิฬ”


“หญ้าเขี้ยววารี”


“……”


“รากโลหะเมฆาม่วง”


หลิงฮันตอบชื่อสมุนไพรอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เงาของสมุนไพรเปลี่ยนชนิด เขาสามารถเอ่ยชื่อของพวกมันออกมาได้ทันทีทันใด ดังนั้นเงาภาพสมุนไพรที่ปรากฏขึ้นจึงไม่มีหยุดชะงักและเปลี่ยนชนิดสมุนไพรไปมาอย่างรวดเร็ว


ทรายในนาฬิกาไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง จนเวลาผ่านไปราวๆครึ่งชั่วโมงในที่สุดทรายก็ไหลลงมาจนหมด


“ผ่าน” เสียงอันไร้อารมณ์กล่าว ‘พรึบ’ บนโต๊ะหินปรากฏแผ่นตราประทับหยก ในขณะเดียวกันบนหัวหลิงฮันก็ปรากฏเงารูปร่างนาฬิกาทรายที่เริ่มนับเวลา


ดูจากอัตราการไหลของนาฬิกาทรายคงนับเป็นเวลาราวๆเกือบสิบวัน


สิบวัน!


หลิงฮันเผยรอยยิ้ม

 

 

 


ตอนที่ 1380

 

สี่ตระกูลเข้ามายังเขตแดนลี้ลับแห่งนี้นับครั้งไม่ถ้วนและจากที่ได้ยินมาจากหลินอวีฉี ในประวัติศาสตร์จำหนักเป่าหลิน คนที่ได้ระยะเวลาอยู่ในชั้นที่สองยาวนานที่สุดคือห้าวัน เขาเป็นชายผู้หลงใหลในสมุนไพร ที่ใช้เวลาทั้งหมดไปกำการจดจำสมุนไพรโดยไม่สนศาสตร์ปรุงยา


เมื่อเขาเข้ามาในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ เขาสามารถทำแต้มทดสอบได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ที่สามารถได้รับระยะเวลาถึงห้าวัน


ถัดจากยุคสมัยของเขา ก็มีอัจฉริยะคนอื่นๆปรากฏตัวแต่ก็ได้รับระยะเวลาเพียงสามวันเท่านั้น


สิ่งที่จำเป็นสำหรับเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ไม่ใช่พลังเพียงอย่างเดียวแต่เป็นความเข้าใจในศาสตร์ปรุงยาและสมุนไพร


หลิงฮันสามารถได้รับเวลาถึงสิบวัน!


ระยะเวลาเท่านี้เพียงพอให้เขาอยู่ในชั้นที่สองถึงเก้าวันและใช้เวลาที่เหลือหนึ่งวันทดสอบวิหารเพื่อขึ้นไปชั้นสาม


‘ครืนนน’ ห้องหินพังทลายลงมา หลิงฮันรีบหยิบแผ่นตราประทับหยกบนโต๊ะ เมื่อห้องหินพังทลายอย่างสมบูรณ์ ร่างของเขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่เขตแดนลี้ลับชั้นสอง


สภาพแวดล้อมของชั้นสองไม่ใช่เนินเขาแต่เป็นแอ่งน้ำ


ดูเหมือนว่าสมุนไพรที่เติบขึ้นที่นี่จะมีคุณสมบัติของธาตุวารี


“แผนที่ของชั้นสองมีรายละเอียดน้อยกว่าเดิมมาก” หลิงฮันนำแผนที่แผ่นใหม่ออกมา เนื่องจากระยะเวลาที่สามารถอยู่ในชั้นนี้มีจำกัด แผนที่ของชั้นสองจึงมีรายละเอียดน้อยลงมา


นี่ยังเพียงแค่ชั้นสอง ยิ่งชั้นสูงขึ้นรายละเอียดของแผนที่ก็จะลดลง ยิ่งเมื่อเป็นแผนที่ชั้นที่แปด แม้แต่ระดับของสมุนไพรก็ไม่มีบันทึกเอาไว้


หลิงฮันเก็บแผนที่และมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ในขณะเดียวกัน เขาหยิบแผ่นตราประทับหยกเพื่อเพิ่งได้รับออกมา ข้อมูลต่างๆมากมายในแผ่นหยกได้ไหลผ่านเข้ามาในห้วงจิตวิญญาณของเขา


ข้อมูลที่ปรากฏนั้นคือตำราเม็ดยายี่สิบชนิด ซึ่งมีตั้งแต่เม็ดยาระดับหนึ่งจนถึงระดับสิบสอง


เม็ดยาบางชนิดหลิงฮันรู้วิธีหลอมอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเม็ดยาที่เขาไม่เคยศึกษามาก่อนเสียมากกว่า


“เม็ดยาเชื่อมรากฐานเปิดสวรรค์!” ดวงตาของหลิงฮันส่องประกาย เม็ดยาชนิดนี้คือเม็ดยาระดับสิบที่สามารถใช้ได้ตั้งแต่ระดับดาราขั้นต้นจนถึงขั้นกลาง มันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบ่มเพาะพลังหลายเท่า แต่ก็ยังเทียบกับเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งที่ช่วยยกระดับพลังบ่มเพาะถึงหนึ่งชั้นย่อยไม่ได้


แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เม็ดยาชนิดนี้คือเม็ดยาที่ช่วยยกระดับพลังบ่มเพาะได้ดีที่สุดสำหรับจอมยุทธระดับดารา


“สมุนไพรส่วนใหญ่ข้ามีอยู่แล้ว… เหลือเพียงสามอย่างที่ขาดไป!” หลิงฮันไม่กังวลว่าเม็ดยาจะหลอมได้ยากแค่ไหน ปัญหาใหญ่ที่ทำให้เขาปวดหัวคือวัตถุดิบที่ไม่เพียงพอ


“หวังว่าจะเจอสมุนไพรที่เหลือทั้งหมดที่นี่”


หลิงฮันยังไม่ทันได้เก็บแผ่นตราประทับหยก ทันทีที่เขาจดจำตำราหลอมเม็ดยาที่ต้องการเสร็จ แผ่นหยกก็แตกสลายเป็นเศษซาก เห็นได้ชัดว่าหนึ่งคนสามารถรับตำราเม็ดยาได้หนึ่งชนิดเท่านั้น


เขาเหาะเหินมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เป็นเป้าหมายแรก


ที่ที่เขามุ่งหน้าไปมีดอกบัวสวรรค์งอกเงยอยู่ ตามการคำนวณแล้ว คงเป็นช่วงเวลานี้ที่ดอกบัวสวรรค์จะเติบโตเต็มที่


เขาเหาะเหินไปสักพักกลิ่นหอมบางอย่างก็ลอยเข้าจมูก เพียงแค่สูดดมก็ทำให้จิตใจของเขาสดชื่น ปราณก่อเกิดในร่างสั่นไหวอย่างกระฉับกระเฉง


ผ่านไปสักพักดอกบัวสีเขียวก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าเขา


Anchor


ดอกบัวมรกตโบราณ สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบ!


ดอกบัวนี้มีความสูงเพียงสามฟุต มันลอยอยู่กลางบ่อน้ำทองคำ ดอกบัวขนาดเท่ากำมือมีเมล็ดดอกบัวอยู่สามสิบหกเมล็ด ภายในบ่อน้ำทองคำมีปลาคาร์พสีทองแหวกว่ายอยู่


ดอกบัวส่งกลิ่นฟุ้งไปทั่วบริเวณ ทุกคนที่อยู่ในละแวกนี้รู้สึกสดชื่นเพียงแค่สูดดมกลิ่นเข้าไป


หลิงฮันไม่ใช่คนแรกที่มาถึงที่นี่ ใกล้บ่อน้ำมีคนเจ็ดคนยืนอยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าผลีผลามลงไปยังบ่อน้ำเนื่องจากสิ่งมีชีวิตในบ่อน้ำทองคำแห่งนี้ไม่ใช่สัตว์กินพืช


อย่ามองว่าตอนนี้มันยังไม่ทำอะไร แต่หากมีใครกล้าลงไปในบ่อน้ำล่ะก็ มันจะลงมือสังหารคนคนนั้นภายในพริบตา


เรื่องนี้ถูกพิสูจน์มาแล้วรับครั้งไม่ถ้วน


ชั้นแรกมีหุ่นเชิดคอยคุ้มกัน ส่วนชั้นที่สองคือสัตว์อสูร พวกมันเป็นสัตว์อสูรที่มีพลังสัมพันธ์กับสมุนไพรที่พวกมันคุ้มกันและคอยช่วยให้สมุนไพรเติบโต


“ฮ่าๆ ในเมื่อพวกเจ้ามัวแต่ลังเล ข้าก็ขอลงมือก่อนแล้วกัน!” รุ่นเยาว์คนหนึ่งกล่าว เขาเดินลงไปเหยียบย่ำเหนือผิวน้ำราวกับกำลังเหาะเหิน


อย่างที่รู้ว่ามีเพียงจอมยุทธที่ทะลวงผ่านระดับดาราแล้วเท่านั้นถึงจะเหาะเหินได้ แต่รุ่นเยาว์คนนั้นเห็นได้ชัดว่ามีพลังเพียงระดับสุริยันจันทราเท่านั้น การคิดว่าเขาเหาะเหินได้จึงเป็นความคิดที่ไร้เหตุผลสิ้นดี


หลิงฮันมองไปยังรองเท้าของอีกฝ่ายที่มีรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายอยู่ รองเท้านั่นสมควรเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ผู้สวมเหาะเหินได้


รุ่นเยาว์ผู้นั้นก้าวเดินโดยไม่สร้างความตื่นตกใจให้กับปลาคาร์พทองคำใต้น้ำจนมาหยุดที่บริเวณรอบข้างดอกบัวมรกตโบราณในที่สุด


คนที่มาถึงยังไม่มีใครลงมือแม้แต่คนเดียว พวกเขารอให้รุ่นเยาว์คนนั้นเก็บเกี่ยวสมุนไพรได้ก่อนถึงจะเริ่มการแย่งชิง


การทำแบบที่ว่าปลอดภัยว่าต้องไปสู้กับปลาคาร์พใต้น้ำแน่นอน


แต่โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ เมื่อรุ่นเยาว์กำลังเข้าใกล้ดอกบัว ‘ตูม’ ผิวน้ำระเบิดออก ปลาคาร์พทองคำตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมาจากบ่อน้ำและอ้าปากพ่นฟองอากาศเข้าใส่รุ่นเยาว์


ถ้ารุ่นเยาว์คนนั้นต้องการเก็บดอกบัว เขาก็จะไม่สามารถป้องกันฟองอากาศได้ทัน


เพราะเหตุนั้นเขาจึงนำกระจกเก่าแก่แผ่นหนึ่งออกมาถือเอาไว้เหนือหัว ‘ครืนน’ คลื่นลำแสงถูกยิงออกมาเข้าปะทะกันฟองอากาศ


แต่คลื่นลำแสงที่ถูกปลดปล่อยออกไปกลับไม่สามารถต้านทานฟองอากาศของปลาคาร์พทองคำได้แม้แต่น้อย


รุ่นเยาว์ผู้นั้นตกตะลึงและคิดจะหนีกลับขึ้นฝั่ง แต่เมื่อคิดเช่นนี้ทุกอย่างก็สายไปแล้ว ฟองอากาศปะทะเข้ากับร่างของเขาและโอบล้อมทั่วร่างเอาไว้


ปัง! ปัง! ปัง!


รุ่นเยาว์ผู้นั้นดิ้นรนตะเกียกตะกายโจมตีฟองอากาศเพื่อให้ตนเองหลุดพ้นออกมา แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถทำลายฟองอากาศได้ หลังจากนั้นฟองอากาศก็ค่อยๆลอยลงสู่บ่อน้ำ ปลาคาร์พทองคำอ้าปากอีกครั้งและกลืนฟองอากาศลงไป


คนตัวใหญ่คนหนึ่งถูกปลาคาร์พที่มีขนาดไม่ถึงหนึ่งฟุตกินลงไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่างน่าเหลือเชื่ออย่างมาก


“ฮึ่ม สัตว์อสูรปลาคาร์พทองคำนั่นแข็งแกร่งขึ้น!” คนอีกหกคนที่อยู่ขอบบ่อน้ำอุทานออกมา


ในเมื่อพวกเขากล้าจะมาเก็บเกี่ยวดอกบัว แน่นอนว่าพวกเขาต้องทำการบ้านมาก่อนและรู้ถึงพลังของปลาคาร์พทองคำเป็นอย่างดี แต่ทันทีที่ปลาคาร์พทองคำเมื่อครู่ลงมือ พลังของมันกลับแข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิดเอาไว้


“คำนวณผิดพลาด!”


“บางทีอาจจะเพราะดอกบัวมรกตโบราณเติบโตเต็มที่ ปลาคาร์พทองคำจึงได้ผลประโยชน์ตามไปด้วยและมีพลังแข็งแกร่งขึ้น”


“ใช่แล้ว สัตว์อสูรในเขตแดนนั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสมุนไพรที่พวกมันคอยคุ้มกัน เมื่อสมุนไพรเติบโตเต็มที่ พวกของสัตว์อสูรก็จะแข็งแกร่งตามไปด้วย ข้าลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิท”


ทั้งหกคนส่ายหัว ดูเหมือนการเก็บเกี่ยวดอกบังจะสิ้นหวังเสียแล้ว


หลิงฮันส่ายหัวตาม มือขวาของเขายื่นออกไปและทำท่ากำอากาศที่ว่างเปล่า ทันใดนั้นเอง ปราณก่อเกิดได้ถูกควบแน่นเป็นมือขนาดใหญ่และคว้าไปยังดอกบัวสีเขียว


เมื่อเห็นว่าหลิงฮันไม่ยอมแพ้ ทั้งหกคนก็แสยะยิ้มและรอดูการแสดงสนุกๆ

 

 

 


ตอนที่ 1381

 

ปลาคาร์พทองคำกระโดดขึ้นมาจากบ่อน้ำอีกครั้งและพ่นฟองอากาศสีดำ


มือขนาดใหญ่ที่เกิดจากการควบแน่นปราณก่อเกิดของหลิงฮันกำนิ้วเข้าหากัน คลื่นปะทะที่เกิดขึ้นส่งผลให้กระแสน้ำแปรปรวน ปลาคาร์พทองคำถูกกระแทกลยกระเด็นพร้อมกับอ้าปากคายร่างคนคนหนึ่งออกมา


ร่างที่ว่าคือรุ่นเยาว์ที่ถูกกลืนเข้าไปเมื่อครู่ ร่างที่ถูกคายออกมานั้นอวัยวะส่วนใหญ่และโลหิตได้ถูกกัดกร่อนยับเยิน


ดูเหมือนว่าทันทีที่ปลาคาร์พทองคำกินสิ่งมีชีวิตเข้าไป น้ำย่อยในกระเพาะของมันจะเริ่มทำการย่อยเหยื่อในทันที พอจะคาดเดาได้เลยว่ารุ่นเยาว์ผู้นี้ต้องพบเจอกับความทรมานขนาดไหน โชคดีที่วิญญาณของเขาคือนิรันดร์ที่ไม่มีวันดับสูญและตันเถียนก็ยังไม่ถูกทำลาย แม้จะบาดเจ็บหนักขนาดไหนก็ยังสามารถรักษาได้


เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนหกคนที่อยู่ข้างบ่อน้ำก็ตกตะลึงในพลังอันแข็งแกร่งของหลิงฮัน


ทั้งหกคนล้มเลิกความคิดที่จะปล้นชิงและรีบหันหลังจากไป พวกเขาเกรงว่าหลิงฮันจะสังหารพยานรู้เห็นว่าเขาเป็นคนเก็บเกี่ยวสมุนไพร


“ไม่คาดคิดว่าดอกบัวมรกตโบราณจะตกไปอยู่ในมือของคนนอก” ร่างหนึ่งเดินผ่านมา ร่างที่ว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลินจื่อหง เขาเดินมายังขอบบ่อน้ำและกล่าวด้วยท่าทีหยิ่งยโส “ส่งดอกบัวนั่นมา!”


“แล้วถ้าไม่ล่ะ?” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส ชายผู้นี้ตามตอแยยั่วยุเขาหลายต่อหลายครั้ง นี่คิดว่าเขาเป็นคนที่ไร้อารมณ์โกรธรึอย่างไร?


“ถ้าไม่น่ะรึ” หลินจื่อหไม่คาดคิดว่าว่าหลิงฮันจะถามกลับเช่นนี้ เขาชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องคุกเข่าลงกับพื้นและก้มหัวต่อหน้าข้าร้อยครั้ง!”


หลิงฮันจ้องมองไปยังอีกฝ่าย “ข้าไม่เห็นเคยจำได้ว่าไปล่วงเกินเจ้า?”


“ฮึ่ม กล้าคิดจะแย่งชิงสตรีที่ข้าหมายตาเอาไว้ เจ้ายังกล้าพูดว่าไม่เคยล่วงเกินข้าอีกรึ?” หลินจื่อหงแสยะยิ้ม ที่นี่มีเพียงเขากับหลิงฮันสองคนจึงไม่จำเป็นต้องปกปิดสิ่งที่เขาคิด


หลิงฮันแน่นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “เช่นนั้นเจ้าคงต้องการอยากให้ข้าตาย?”


“แน่นอน!” หลินจื่อหงแสยะยิ้ม “ข้าจะทำลายกายหยาบของเจ้าก่อนแล้วต่อย หลอมละลายดวงวิญญาณของเจ้าช้าๆเพื่อให้ตายอย่างทรมานที่สุด!”


หลิงฮันยิ้ม “ถ้าเจ้ากล่าวเช่นนั้น ข้าก็ไม่ต้องลังเลที่จะสังหารเจ้าอีกต่อไป”


“ฮ๋าๆ เจ้าเป็นเพียงระดับดาราขั้นต้น คิดรึว่าจะต่อกรข้าได้?” หลินจื่อหงหัวเราะอย่างองอาจ “พลังบ่มเพาะของข้าคือระดับดาราขั้นกลางชั้นสูงสุดและเป็นอัจฉริยะสามดาว ต่อให้เจ้าเป็นอัจฉริยะสี่ดาวที่มีพลังระดับดาราขั้นต้นชั้นสูงสุด เจ้าก็ยังอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า”


เขาคำนวณเอาไว้แล้วว่าหลิงฮันไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้แน่นอน


หลิงฮันกล่าวพึมพำเบาๆ “มั่นใจเสียขนาดนั้น อย่าร้องไห้เมื่อเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็แล้วกัน!”


“เจ้าผิดเองที่คิดจะแย่งสตรีของข้า!” หลินจื่อหงลงมือ เขาปล่อยฝ่ามือไปยังหลิงฮัน พลังอำนาจอันน่าสะพรึงกลัวที่ถูกปลดปล่อยออกมาสามารถเทียบเคียงได้กับระดับดาราขั้นสูงชั้นปลาย


แต่สภาพแวดล้อมของเขตแดนลี้ลับแห่งนี้มั่นคงมาก ต่อให้เป็นจอมยุทธระดับดาราก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายได้มากเท่าไหร่


ใบหน้าของหลินจื่อหงเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม เขามั่นใจมากว่าพลังของเขาเพียงพอที่จะบดขยี้หลิงฮันในหนึ่งฝ่ามือเนื่องจากพลังบ่มเพาะของเขากับอีกฝ่ายนั้นห่างชั้นกันเกินไป


หลิงฮันปล่อยหมัดปะทะหลินจื่อหง ‘ตูม’ แรงกระแทกอันทรงพลังก่อให้เกิดคลื่นสั่นสะเทือนผิวน้ำของบ่อทองคำ


“อะไรกัน!” หลินจื่อหงตกตะลึง หลิงฮันสามารถรับฝ่ามือเขาได้!


แถมท่าทางของอีกฝ่ายยังดูสบายราวกับไม่ใช่เรื่องยากอีกด้วย


สิ่งที่เกิดขึ้นหลินจื่อหงไม่อาจยอมรับได้ เป็นไปได้อย่างไรที่คนคนหนึ่งจะแข็งแกร่งขนาดนี้?


ที่จริงในด้านของพลังทำลาย หลิงฮันไม่ได้ทรงพลังเทียบเท่าหลินจื่อหง แต่เขาใช้กาลเวลาแปรผันพันปีเร่งให้พลังทำลายของการโจมตีอีกฝ่ายสลายไปไวขึ้น


“เป็นไปได้อย่างไร!” หลินจื่อหงยอมรับไม่ได้ “เป็นเพียงแค่ระดับดาราขั้นต้น เหตุใดถึงต้านการโจมตีข้าได้!”


“ความคิดของเจ้าไม่ต่างอะไรกับกบก้นบ่อ!” แววตาของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นขึงขังและปลดปล่อยจิตสังหาร


“ฮึ่ม!” หลินจื่อหงตั้งสติอย่างรวดเร็ว เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่อีกฝ่านจะต่อกรกับเขาได้ เขาเป็นถึงบุตรของผู้นำตำหนักเป่าหลินสาขาอังหยวน จริงอยู่ที่สาขาของเขาเป็นสาขาอันดับล่างๆ แต่รากฐานตระกูลของเขาก็ยังแข็งแกร่งกว่าหลิงฮัน เป็นไปได้อย่างไรที่อีกฝ่ายจะทัดเทียมเขาได้?


เขานำอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์รูปทรงกลองออกมา มันคือกลองรบที่มุมขอบปรากฏร่องรอยแตกหัก แต่ลวดลายลึกลับบนตัวกลองก็ยังปลดปล่อยอำนาจอันเป็นเอกลักษณ์และกลิ่นอายกระหายเลือดออกมา


ปัง!


หลินจื่อหงสะบัดมือตีกลองหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นเสียงทุ้มก็ดังออกมาพร้อมกับปลดปล่อยการโจมตีอันรวดเร็วราวกันลูกศรพุ่งเข้าใส่หน้าอกหลิงฮัน


มุมปากของหลิงฮันมีโลหิตไหลออกมา เขาพบว่าบริเวณหน้าอกซ้ายได้ปรากฏรอยแผลเป็นรูโลหิตทะลุไปถึงหัวใจ


น่าอัศจรรย์มาก


อย่างที่รู้ว่ากายหยาบของเขาแข็งแกร่งทนทานขนาดไหน แม้ส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดของกายหยาบของเขาจะเป็นกระดูก แต่กล้ามเนื้อก็ยังมีความทนทานเทียบเท่ากับแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ขั้นสิบ ขนาดพลังป้องเช่นนี้ยังถูกทำลายได้


กลองนั่นไม่ธรรมดาเสียแล้ว!


หลิงฮันไม่รู้ว่าควรตอบโต้อย่างไร เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าการโจมตีจะพุ่งมาจากไหน


“ฮ่าๆๆ คิดจะสู้กับข้ารึ? เจ้ายังไม่คู่ควร!” หลินจื่อหงแสยะยิ้มจ้องมองไปยังหลิงฮันและสะบัดมือตีกลอง


อั่ก!


เป็นอีกครั้งที่หลิงฮันกระอักโลหิตออกมา


“ตาย!” หลินจื่อหงยกมือขึ้นหวังจะตีกลองต่อเนื่อง แต่จังหวะนั้นเอง หลิงฮันได้ใช้ย่างก้าวไล่ตามดาราหลบหลีกไปยังจุดที่ห่างจากจุดเดิมเจ็ดฟุตภายในพริบตา


‘ปัง’ กลองถูกตีจนเกิดเสียงดังทุ้ม แต่หลิงฮันไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ


หลิงฮันเผยรอยยิ้มและโคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ฟื้นฟูบาดแผลที่หน้าอก “การโจมตีของกลองไม่สามารถมองเห็นได้ก็จริง แต่การโจมตีของมันจำเป็นต้องเล็งไปที่ยังเป้าหมายที่ยืนแน่นิ่ง แค่ข้าหลบหลีกตอนที่เจ้ากำลังจะตีกลองการโจมตีของกลองก็ทำอะไรข้าไม่ได้แล้ว”


หลินจื่อหงกลายเป็นไร้คำพูด นี่เจ้ามองจุดอ่อนของกลองนี้ออกในสองการโจมตีเนี่ยนะ? เจ้าเป็นมนุษย์จริงๆรึเปล่า ยิ่งกว่านั้นขนาดโดนโจมตีบริเวณหัวใจไปถึงสองครั้ง หลิงฮันก็แค่กระอักโลหิตออกมาโดยที่หัวใจไม่ถูกบดขยี้ นี่มันน่าอัศจรรย์เกินกว่าจะเป็นความจริง


“ถึงคราวข้าบ้าง!” หลิงฮันสะบัดมือนำดาบออกมา ดาบอสูรนิรันดร์ราวกับว่ากำลังตื่นเต้นอยู่ มันปลดปล่อยอำนาจอันไร้ที่สิ้นสุดออกมาทั้งๆที่หลิงฮันยังไม่ได้ลงมือทำอะไร


หลิงฮันกวัดแกว่งดาบออกไปลวกๆ ดาบอสูรนิรันดร์พุ่งเข้าใส่หลินจื่อหงด้วยจิตสำนึกของตัวมันเอง


จะพูดให้ถูกก็คือเป้าหมายของดาบอสูรนิรันดร์ไม่ใช่หลินจื่อหงแต่เป็นกลอง


ปัง! ปัง! ปัง!


หลินจื่อหงกระหน่ำตีกลองอย่างรวดเร็ว พลังโจมตีที่ถูกปลดปล่อยออกมาไม่ได้ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตเพียงอย่างเดียว แม้แต่อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเช่นกัน การโมตีด้วยเสียงที่มองไม่เห็นพุ่งเข้าใส่ดาบอสูรนิรันดร์


กลองชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษระดับวารีนิรันดร์ซึ่งจำเป็นต้องใช้พลังของจอมยุทธระดับดาราเป็นอย่างน้อยในการกระตุ้นใช้งาน กลองที่สามารถโจมตีด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ประเภทเสียงชิ้นนี้คือหนึ่งในสามสมบัติอันล้ำค่าของตำหนักเป่าหลินสาขาอังหยวน


เป็นเพราะหลินจื่อหงคือบุตรชายเพียงคนเดียวของผู้นำตำหนัก ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถนำสมบัติชิ้นนี้ออกมาใช้ได้


ดาบอสูรนิรันดร์กวัดแกว่งฟันตอบโต้ มันไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากพลังทำลายด้วยคลื่นเสียงของกลองเลยแม้แต่น้อย

 

 

 


ตอนที่ 1382

 

หลินจื่อหงตกตะลึง ดาบที่กำลังพุ่งเข้ามาไม่ได้รับผลกระทบใดๆเลยแม้แต่น้อย!


ในความคิดของเขา เมื่อคลื่นเสียงของกลองโจมตีออกไป ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ใดๆก็ต้องพังทลายแหลกเป็นเศษซาก


แต่หลินจื่อหงจะรู้ได้อย่างไรแท้จริงแล้วดาบอสูรนิรันดร์นั้นถูกสร้างขึ้นด้วยแร่โลหะนิรันดร์?


เมื่อเห็นดาบพุ่งใกล้เข้ามา ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านด้วยความรู้สึกหวาดกลัว


ดาบนี้คือดาบอะไรกัน เหตุใดถึงได้น่าสะพรึงกลัวเพียงนี้


หลินจื่อหงล่าถอยอย่างรวดเร็วและกระหน่ำสะบัดมือตีกลอง เขาไม่เชื่อว่าจะต้านทานดาบอสูรนิรันดร์ไม่ได้


แต่ไม่ว่าทำอย่างไร ความพยายามของเขาก็ต้องสูญเปล่า


ดาบอสูรนิรันดร์ถูกยกระดับเป็นแร่โลหะระดับสิบแล้ว ซึ่งเทียบเป็นพลังบ่มเพาะแล้วถือว่าทัดเทียมกับหลินจื่อหง ในระดับพลังเดียวกัน หากอาวุธที่ถูกหลอมด้วยแร่โลหะนิรันดร์ไม่สามารถบดขยี้ศัตรูได้มันจะถูกเรียกว่าแร่โลหะนิรันดร์ได้อย่างไร?


‘พรึบ พรึบ พรึบ’ เจตจำนงดาบนับไม่ถ้วนแพร่กระจายกลายเป็นตะข่ายขนาดมหึมา


หลินจื่อหงพยายามจะทำลายตะข่ายเจตจำนงดาบ แต่อำนาจของเจตจำนงดาบได้ทำให้ร่างของเขาหยุดชะงักจนกระอักโลหิตออกมาไม่หยุด นี่เขายังแค่ถูกโจมตีด้วยเจตจำนงดาบเท่านั้น หากถูกดาบฟันเข้าใส่โดยตรงเกรงว่าคงได้รับบาดเจ็บสาหัสกว่านี้มาก


“ว่าไง” หลิงฮันเอ่ย


หลินจื่อหงสะดุ้ง เขามัวจดจ่ออยู่แต่กับการรับมือดาบอสูรนิรันดร์จนล่าถอยเข้ามาใกล้หลิงฮันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้


หากเป็นเช่นนี้ก็ต้องจัดการเจ้าของดาบก่อน!


ในเมื่อดาบเล่มนี้เป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ของหลิงฮัน ดาบต้องหยุดโจมตีแน่หากเขาสังหารหลิงฮันได้


เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลินจื่อหงก็ตั้งสติดึงความมั่นใจกลับมาได้ เขาหันหลังตั้งฝ่ามือเป็นกรงเล็บโจมตีใส่หลิงฮัน


หลิงฮันยิ้ม กล้าสู้ระยะประชิดกันเขารึ หลินจื่อหงไปเอาความกล้าขนาดนั้นมาจากไหน?


เขาปล่อยหมัดตอบโต้กรงเล็บของอีกฝ่าย


ตูม!


การโจมตีของทั้งสองคนเข้าปะทะกัน ครั้งนี้ไม่ใช่การปะทะกันของปราณก่อเกิดเพียงอย่างเดียว แต่มือของพวกเขาปะทะกันโดยตรง


ใบหน้าอันมั่นใจของหลินจื่อหงหายไปทันทีและแทนที่ด้วยใบหน้าอันเจ็บปวด


นิ้วมือทั้งห้าของเขาหักงอ บางนิ้วงอไปด้านหน้าบางนิ้วงอไปด้านหลัง ผิวหนังถูกฉีกขาดจนโลหิตหยดไหลออกมา


หลินจื่อหงตกตะลึงจนไร้คำพูด พลังของเขาเหนือกว่าหลิงฮัน เขาต้องเป็นฝ่ายบดขยี้หลิงฮันให้ราบคาบแท้ๆ แต่สถานการณ์กลับกลายไปว่านิ้วมือทั้งห้าของเขาหักงอ ส่วนมือของหลิงฮันไร้รอยขีดข่วน


หลิงฮันใช้นิ้วแทนดาบทิ่มเข้าใส่หน้าผากหลินจื่อหง


ในช่วงเวลาของความเป็นความตาย หลินจื่อหงไม่สนใจความเจ็บปวดที่มืออีกต่อไปและรีบพลักร่างตัวเองล่าถอย


“ระวังด้านหลัง” หลิงฮันกล่าวเตือน


เป็นไปได้รึที่หลินจื่อหงจะฟังคำพูดของศัตรู เขายังคงกระโดดไปด้านหลังโดยถือกลองเอาไว้ในมือ ด้วยระยะเท่านี้หลิงฮันหลบไม่พ้นแน่!


ตายไปซะ!


ฉัวะ!


มือของเขายังไม่ได้สะบัดตีกลองก็มีปลายดาบแทงทะลุหน้าอกมาจากด้านหลัง


ดาบอสูรนิรันดร์!


เขาลืมดาบสังหารเล่มนี้ไปเสียสนิท


ในตอนที่ดาบอสูรนิรันดร์สร้างแรงกดดันให้แก่เขา เขาก็เผลอลืมหลิงฮัน ในตอนที่หลิงฮันสร้างแรงกดดันให้แก่เขา เขาก็เผลอลืมดาบอสูรนิรันดร์


ประเด็นก็คือดาบนี้แทงเข้ามาบริเวณหัวใจของเขา เขาจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไร?


‘ครืนน’ คลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวระเบิดออกภายในร่างกายหลินจื่อหง หัวใจเป็นส่วนแรกที่ถูกทำลาย หากเพียงแค่หัวใจยังไม่ทำไหร่ แต่ที่น่ากลัวก็คือแม้แต่ห้วงจิตวิญญาณกับตันเถียนของเขาก็ยังได้รับความเสียหาย


เมื่อใดที่ตันเถียนถูกทำลาย พลังบ่มเพาะก็จะสูญสลายอย่างสมบูรณ์ และหากห้วงจิตวิญญาณถูกทำลาย ดวงวิญญาณของเขาก็จะสลายหายไป


หลินจื่อหงเต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัว ตอนนี้เขารู้สึกแล้วว่าความตายได้ใกล้เข้ามาหาเขาแล้วจริงๆ


“ช่วยข้าด้วย!” หลินจื่อหงจ้องมองหลิงฮันด้วยสายตาอ้อนวอน


หลิงฮันทำสีหน้าตกตะลึง ต้องมีปาฏิหาริย์เช่นใดเกิดขึ้นข้าถึงจะยอมช่วยเจ้า?


“ข้าคือนายน้อยของตำหนักสาขาอังหยวน เจ้าเป็นเพียงแขกของจำหนัก ดังนั้นข้าขอสั่งให้เจ้าช่วยข้า!” หลินจื่อหงคำรามในขณะที่พยายามกำราบพลังทำลายที่เกิดขึ้นในร่างกาย


หลิงฮันกลายเป็นไร้คำพูด เวลาแบบนี้หมอนี่ยังทำท่าทีอวดเบ่งอยู่อีก?


“ข้ายอมมอบหลินอวีฉีให้เจ้า!” หลินจื่อหงตะโกนลั่น แต่ไม่ว่าอย่างไรทุกอย่างก็สายเกินแก้แล้ว พลังทำลายของดาบอสูรนิรันดร์ได้แพร่กระจายไปทั่วร่างกายไม่ว่าจะส่วนบนหรือส่วนล่าง อีกแต่นิดเดียวก็จะถึงห้วงจิตวิญญาณและตันเถียนของเขาแล้ว


“นางไม่ใช่ของเจ้า แต่อันที่จริงถ้าจะให้ข้าพูด ข้าก็ไม่ได้คิดจะครอบครองนางอยู่แล้ว เป็นเจ้าที่คิดเองเออเอง” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส แน่นอนว่าเขาไม่มีความคิดจะช่วยเหลืออีกฝ่าย


หลินจื่อหงแสดงสีหน้าสิ้นหวังและเสียใจ


แต่ความสิ้นหวังก็หายไปยังรวดเร็วและแทนที่ด้วยความบ้าคลั่ง ในเมื่อยังไงเขาก็ต้องตาย งั้นก็ต้องลากหลิงฮันไปด้วยกัน!


“ฮึ่ม!” เขาคำรามและระเบิดตันเถียนของตัวเอง


ดวงดาราสองดวงอันเป็นสัญลักษณ์ของระดับดาราขั้นกลางระเบิดออกก่อให้เกิดเป็นคลื่นพลังอันน่ารุนแรง


การระเบิดตัวเองของจอมยุทธระดับดารานั้น ต่อให้เป็นเพียงระดับดาราขั้นกลางก็สามารถเทียบเท่าได้กับการโจมตีสุดกำลังของตัวตนระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นหรืออาจจะขั้นกลาง คลื่นพลังอันรุนแรงระเบิดออกเป็นวงกว้างไปทั่วทิศทางโดยมีหลินจื่อหงกับหลิงฮันอยู่กึ่งกลาง


คลื่นพลังทำลายเทียบเท่าพลังโจมตีสุดกำลังของตัวตนระดับวารีนิรันดร์ จอมยุทธระดับดาราจะต้านทานได้อย่างไร?


กายหยาบของหลินจื่อหงระเบิดกระจุยก่อนเป็นอย่างแรกก่อนที่ดวงวิญญาณจะค่อยๆแหลกสลาย เขาพยายามฝืนรั้งคงสภาพดวงวิญญาณเอาไว้เพื่อดูจุดจบของหลิงฮัน


ร่างของหลิงฮันหายเข้าไปในหอคอยทมิฬ หากจะลองใช้กายหยาบของเขาทดสอบป้องกันพลังทำลายของระดับวารีนิรันดร์ก็ดูจะเป็นการกระทำที่สิ้นคิดเกินไปหน่อย


พริบตาที่คลื่นระเบิดสลายไป ร่างของหลิงฮันก็ปรากฏตัวออกมาอย่างรวดเร็วราวกับไม่เคยหายไปไหน


หลิงฮันยืนแน่นิ่ง แม้แต่ชายเสื้อของเขาก็ไม่ปรากฏแม้แต่รอยขีดข่วน เศษเสี้ยวดวงวิญญาณของหลินจื่อหงกระตุกบิดเบี้ยว แต่ในขณะเดียวกันดาบอสูรนิรันดร์ก็พุ่งทะลวงเข้ามาบดขยี้ดวงวิญญาณของหลินจื่อหงจนสูญสลายไปทันที


หลิงฮันเอื้อมมือออกไปคว้าอุปกรณ์มิติที่หลินจื่อหงเหลือทิ้งเอาไว้


แค่มองดูภายในแวบแรกก็รู้แล้วว่าเขาเป็นบุตรของผู้นำตำหนัก ไม่เพียงแค่ผลึกก่อเกิด แต่ภายในอุปกรณ์มิติยังมีทั้งแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ สมุนไพร และสมบัติล้ำค่าอย่างอื่นอีกมากมาย


แน่นอนว่าสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดย่อมเป็นกลองรบ

 

 

 


ตอนที่ 1383

 

“กลองรบนี้สามารถปลดปล่อยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้ถึงระดับวารีนิรันดร์” หลิงฮันถือกลองรบโบราณเอาไว้ในมือ “เพียงแต่ว่า ในมือของจอมยุทธระดับดาราอำนาจที่แท้จริงของมันไม่สามารถถูกกระตุ้นใช้งานได้ ไม่เช่นนั้นหัวใจของข้าคงไม่ใช่แค่บาดเจ็บแต่ระเบิดกระจุยไปแล้ว”


“สิ่งนี้สมควรเป็นสมบัติล้ำค่าของตำหนักสาขาอังหยวน ต่อหน้าคนของตำหนักเป่าหลินอย่าเอามันออกมาใช้ดีกว่า ไม่งั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการปล่าวประกาศว่าข้าเป็นคนสังหารหลินจื่อหง”


“แต่พูดให้ถูกหลินจื่อหงไม่ได้ถูกข้าสังหารแต่เขาระเบิดตัวตายเอง” หลิงฮันพึมพำ


เขาแบ่งเวลาสำเร็จเก็บเกี่ยวสมุนไพรเป็นหกวัน วันที่เจ็ดเขาจะมุ่งหน้าไปยังจุดศูนย์กลางของชั้นสอง หากที่นั่นเป็นเหมือนกับวิหารแสงอรุณสันติที่ทำให้เขารู้แจ้งเพื่อดูดซับพลังได้ล่ะก็ พลังบ่มเพาะของเขาคงจะยกระดับขึ้นอีกขั้น


เพียงแต่ว่าชั้นที่สองนั้นแตกต่างจากชั้นแรก สัตว์อสูรไม่ใช่สิ่งที่หลิงฮันจะสามารถนำเข้าไปในหอคอยทมิฬได้เนื่องจากมันมีจิตสำนึก เขาจำเป็นต้องจัดการมันเสียก่อนถึงจะนำเข้าไปในหอคอยทมิฬได้ แต่ในเมื่อเขาจัดการมันไปแล้วเขาจะเอาพวกมันเข้าไปในหอคอยทมิฬทำไม?


สัตว์อสูรในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้มีความสัมพันธ์กับสมุนไพร แทนที่พวกมันจะกินสมุนไพรพวกมันกลับดูดซับพลังของสมุนไพรเพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งแทน


สัตว์อสูรส่วนใหญ่มีพลังระดับสุริยันจันทรา หลิงฮันสามารถโค่นล้มพวกมันได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ก็ยังมีบางส่วนที่เป็นสัตว์อสูรระดับดาราซึ่งค่อยข้างลำบากเล็กน้อยหากต้องปะทะกับสัตว์อสูรระดับดาราขั้นสูงสุด เมื่อพบกับสัตว์อสูรระดับนั้นหลิงฮันจึงเลือกที่จะหลอกล่อสัตว์อสูรให้ออกไปก่อนแล้วค่อยแอบกลับมาเก็บสมุนไพร


ในตอนที่ไม่มีใครอยู่รอบข้าง หลิงฮันลองนำกลองรบออกมาทดสอบดูทำให้รู้ว่าเขาในตอนนี้สามารถกระตุ้นให้กลองรบปลดปล่อยพลังโจมตีได้สูงสุดคือระดับดาราขั้นสูงสุด


สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชั้นสองก็คือเต่าบรรพกาลระดับวารีนิรันดร์ ตัวของมันมีขนาดมหึมาราวกับขุนเขา ที่ด้านหลังของมันมีสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบสามปลูกเอาไว้ สมุนไพรที่ว่าคือต้นชาวิถีปราชญ์


ใบของมันสามารถนำมาต้มเป็นชาได้ แต่แน่นอนว่าคนที่ต้มจะต้องเป็นนักปรุงยาผู้เชี่ยวชาญ ชาที่ถูกต้มด้วยสมุนไพรชนิดนี้จะสามารถช่วยให้จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์และต่ำกว่านั้นหยั่งรู้ถึงอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของสวรรค์และปฐพี


หลิงฮันพยายามทุกวีถีทางแล้ว แต่ต่อหน้าตัวตนระดับวารีนิรันดร์ แค่ออร่าของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาแทบจะหายใจไม่ทั่วท้อง


โชคดีที่เต่าบรรพกาลตนนี้ยังหลับอยู่ ไม่เช่นนั้นหากมันคิดจะสังหาร ที่ชั้นสองนี้คงไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเหลือรอด


หลิงฮันพยายามอยู่สองวัน แม้เซียนหวู่เซียงจะถูกโยนออกมาก็ยังไร้ผล ออร่าแห่งเซียนสามารถข่มขู่ให้ศัตรูหวาดกลัวได้ก็ได้ แต่เต่าบรรพกาลตนนี้กำลังหลับอยู่ มันจะหวาดกลัวได้อย่างไร?


ยิ่งกว่านั้นบนหัวของเซียนหวู่เซียงก็ไม่มีนาฬิกาทราย ทันทีที่เขาปรากฏตัวออกมาก็รู้สึกอ่อนแรงราวกับกำลังถูกเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ขับไล่ ดังนั้นหลิงฮันจึงรีบนำเขากลับเข้าหอคอยทมิฬทันทีพร้อมกับถูกอดีตเซียนตำหนิ


“ช่างเถอะ คนฉลาดย่อมไม่ฝืนดันทุรังกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้” หลิงฮันปลอมตัวเอง แต่ในขณะพูดใบหน้าของเขากลับบิดเบี้ยวด้วยความไม่เต็มใจ


หลังจากทำใจได้ หลิงฮันก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่มีสมุนไพรล้ำค่าจุดอื่น เขาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มากมายและมาถึงจุดศูนย์กลางของชั้นสอง


วิหารชำระล้าง (洗尘殿)


หลิงฮันมองไปยังอักษรสามตัวเหนือวิหารและพบว่ามีพลังลึกลับบางอย่างถูกผนึกเอาไว้ แต่หลิงฮันก็ต้องผิดหวังเนื่องจากเขาไม่สามารถรู้แจ้งหรือดูดซับพลังจากตัวอักษรทั้งสามได้


เขาหดหู่เป็นอย่างมาก การรู้แจ้งนั้นสามารถทำให้พลังบ่มเพาะของเขายกระดับขึ้นมาหนึ่งชั้นย่อยซึ่งช่วยย่นระยะเวลาบ่มเพาะของเขาหลายร้อยปี


เขาไม่ยินยอมและยังคงพยายามต่อไป เพราะอย่างไรเขาก็ยังมีเวลาเหลืออยู่ ไม่มีเหตุผลที่ต้องรีบ


หนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านไปก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆจนหลิงฮันต้องยอมถอดใจ


“พ่อรูปหล่อ!” เสียงอันอ่อนหวานดังขึ้น หลินอวีฉีได้เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับโบกมือ แผนเสื้อที่สะบัดไปมาเผยให้เห็นท่อนแขนอันขาวเนียนราวกับหยก ผู้ใดที่เห็นก็ต้องรู้สึกเร้าอารมณ์


โชคดีที่ในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้มีจอมยุทธระดับดาราน้อยกว่าร้อยคน ต่อหน้าปรมาจารย์อย่างหลินอวีฉีใครจะกล้าแสดงท่าทีหื่นกาม?


หลิงฮันพยักหน้า ความคิดหนึ่งผุดเข้ามาในใจของเขา เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้เขาก็กล่าวออกไป “ท่านอยากพบเจอวาสนารึไม่?”


หลินอวีฉีเผยสีหน้าสงสัยและกล่าว “เจ้าจะชวนพี่สาวขึ้นเตียงรึ? สำหรับพี่สาวคนนี้ขอแค่เจ้าพูดมาพี่สาวก็พร้อมจะมอบวาสนาให้เจ้าทุกคืน”


หลิงฮันเมินไม่สนใจ เขาชี้ไปยังอักษรสามตัวบนประตูวิหารและกล่าว “บนอักษรเหล่านั้นมีเจตจำนงที่ถูกทิ้งไว้โดยปรมาจารย์ หากรู้แจ้งถึงพวกมันได้ระดับพลังบ่มเพาะก็จะถูกยกระดับขึ้น”


“เจ้าพูดจริงหรือล้อเล่น?” หลินอวีฉีเคลือบแคลงใจ หากเป็นเช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่ยกระดับพลังให้ตัวเองล่ะ? “พ่อรูปหล่อ คิดจะหลอกให้พี่สาวคนนี้หวั่นไหวเจ้ายังถือว่าอ่อนหัด!”


“เพียงแต่ว่า ไหนๆเจ้าก็กล่าวมาแล้วพี่สาวจะยอมตามน้ำด้วยก็ได้”


หลิงฮันกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ท่าน!”


กล่าวจบเขาก็เดินเข้าสู่วิหาร เมื่อเข้ามาภายในวิหารหลิงฮันพบว่านาฬิกาทรายบนศีรษะได้หยุดเดินทันที


หรือก็คือสัญญาณบ่งบอกว่าให้เตรียมตัวรับการทดสอบอีกครั้ง


……


หลินอวีฉีมองหลิงฮันเดินเข้าไปในวิหาร ใบหน้าอันงดงามของนางเผยถึงความรู้สึกสับสน


นางรู้ว่าหลิงฮันไม่น่าจะใช้วิธีอ่อนหัดเช่นนั้นในการเรียกร้องความสนใจจากนาง… ดังนั้นนางจึงลองทำตามที่อีกฝ่ายกล่าว


หลินอวีฉีแหงนหน้ามองขึ้นด้านบน ในขณะที่กำลังเพ่งสมาธิไปยังอักษรทั้งสาม นางรู้สึกราวกับว่าอักษรเหล่านั้นมีพลังบางอย่างแฝงเอาไว้ ปราณก่อเกิดในร่างของนางเดือดพล่านราวกับจะปะทุออกมา


เป็นอย่างที่หลิงฮันกล่าวไว้จริงๆ!


ภายในระยะเวลาสั้นๆ ร่างอันเพรียวบางของนางได้ปลดปล่อยแสงสว่างอันเบาบางออกมาพร้อมกับพลังบ่มเพาะที่ค่อยๆยกระดับสูงขึ้น


ถ้าหลิงฮันเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาจะต้องโอดครวญให้แก่ความไม่ยุติธรรมแน่นอน


ในชั้นแรกเขาใช้เวลาถึงสามวันในการรู้แจ้งอักษรทั้งสามของวิหารแสงอรุณสันติ แต่เหตุใดพอเป็นกรณีของหลินอวีฉี นางถึงรู้แจ้งได้รวดเร็วกว่าเขาขนาดนี้


“ระดับดาราขั้นต้นชั้นสูงสุด!” หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูปหลินอวีฉีก็อุทานด้วยความตะลึง “น้องชายรูปหล่อ เจ้าช่างดีกับพี่สาวยิ่งนัก แม้แต่วาสนาเช่นนี้เจ้าก็ยังมอบให้พี่สาว!”


นางรีบเดินเข้าไปในวิหารอย่างรวดเร็ว ในชั้นแรกแม้นางจะใช้เวลาค่อนข้างนานในการสำรวจและเก็บเกี่ยวสมุนไพร แต่เมื่อมาถึงชั้นสอง ด้วยเวลาที่มีจำกัดทำให้นางต้องเร่งรีบขึ้นไปให้ถึงชั้นห้าเพื่อเก็บเกี่ยวสมุนไพรล้ำค่า


นี่คือเป้าหมายหลักในการเดินทางครั้งนี้ของนาง

 

 

 


ตอนที่ 1384

 

เมื่อเข้ามายังวิหารชำระล้าง สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ที่มีขนาดสูงราวร้อยฟุตก็ปรากฏอยู่ด้านหน้า


ผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์!


“ทำไมถึงยังเป็นสมุนไพรนี้?” หลิงฮันประหลาดใจ ที่ชั้นแรกสมุนไพรในวิหารก็เป็นสมุนไพรชนิดนี้ พอชั้นที่สองก็ยังเป็นสมุนไพรเดิม ต้องรู้ก่อนว่าหากเป็นสมุนไพรที่มีประสิทธิ์สูง ต่อให้กินหนึ่งอันหรือร้อยอันผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน


เช่นนั้นแล้วเหตุใดถึงได้ปลูกผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ในเขตแดนลี้ลับถึงสองต้น หรือเจ้าของเขตแดนลี้ลับแห่งนี้คิดจะมอบมันให้ใครบางคน?


ไม่เช่นนั้นปรมาจารย์ผู้สร้างเขตแดนแห่งนี้ก็คงมีงานอดิเรกคือปลูกผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์?


“หืม?”


หลิงฮันต้องมองอย่างละเอียดและพบว่าผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ต้นนี้แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย


“ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างถูกผสานอยู่ภายในผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ต้นนี้” หลิงฮันมองออกอย่างรวดเร็ว ด้วยความเข้าใจในสมุนไพรของเขาในตอนนี้การแยกแยะสมุนไพรจึงไม่ใช้เรื่องยากลำแบก


เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ตรวจสอบผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ในชั้นแรกให้ละเอียด ทำให้ไม่รู้ถึงความแตกต่างที่ชัดเจน


“สมุนไพรต้นนี้ใกล้จะเติบโตเต็มที่แล้ว” หลิงฮันแหงนมอง ต้นกำเนิดวิถีสวรรค์จะออกผลเพียงหนึ่งผลต่อหนึ่งต้น ภายในผลของมันได้อัดแน่นไปด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของสวรรค์และปฐพี ดังนั้นมันจึงถูกเรียกว่าผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์


สมุนไพรชนิดนี้เป็นสมุนไพรระดับสูงสุด อัตตราการเติบโตของมันจึงไม่สามารถคาดเดาได้แน่ชัด ใกล้โตเต็มที่ที่ว่านั้นอาจจะหมายถึงหนึ่งปีหรือหมื่นปี แม้แต่ด้วยสายตาอันแหลมคมของหลิงฮันก็ไม่สามารถบอกได้อย่างแม่นยำ


เหตุผลเป็นเพราะพลังบ่มเพาะของหลิงฮันในตอนนี้ยังต่ำเกินไป แถมบริเวณรอบด้านสมุนไพรยังมีรูปแบบอาคมสังหารใต้หล้าที่ส่งผลกระทบต่อการตรวจสอบของเขา


“คงต้องไปยังชั้นสามและตรวจสอบให้ละเอียด” หลิงฮันกล่าวในใจ


เขาเดินเข้าไปยังทางขึ้นชั้นสาม พริบตาเดียวกันตัวเขาก็ปรากฏขึ้นที่ห้องหินที่มีโต๊ะหินและนาฬิกาทรายตั้งอยู่


“ทดสอบจำแนกรูปลักษณ์สมุนไพร เริ่มได้” เสียงอันไร้อารมณ์ดังขึ้นอีกครั้ง


ช่างบังเอิญที่เป็นการนจำแนกรูปลักษณ์สมุนไพรอีกครั้ง


เมื่อการทดสอบเริ่มต้น ชิ้นสมุนไพรก็ปรากฏด้านหน้าหลิงฮัน แต่สมุนไพรแต่ละชนิดแตกต่างจากชั้นแรกทั้งหมด ส่วนความยากนั้นไม่ได้ยากขึ้นแม้แต่น้อย


หลิงฮันตอบชื่อสมุนไพรอย่างรวดเร็ว เมื่อนาฬิกาทรายหมดเวลา เขาก็สามารถทำผลลัพธ์ได้น่าอัศจรรย์อีกครั้ง ทันใดนั้นนาฬิกาทรายที่หยุดเดินบนศีรษะของเขาก็เริ่มนับเวลาต่อ


สามารถเพิ่มเวลาต่อจากเดิมได้!


หลิงฮันเข้าใจทันทีส่าทำไมหลินอวีฉีที่เวลาบนนาฬิกาทรายยังไม่หมดแต่กลับรีบมายังวิหารกึ่งกลาง ดูเหมือนว่านางจะใช้เวลานานเพียงแค่ในชั้นแรก พอขึ้นมายังชั้นสองก็เดินทางอย่างรีบเร่งเพื่อไม่ให้สูญเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์


ในเมื่อเวลาสามารถซ้อนทับกันได้ เหตุใดถึงไม่มีใครสามารถขึ้นไปเหนือกว่าชั้นที่แปดของเขตแดนลี้ลับ?


หลิงฮันไม่เข้าใจ หลินอวีฉีบอกแค่ว่าไม่มีใครมีเวลาเพียงพอแต่ไม่ได้บอกรายละเอียดอย่างชัดเจน


ช่างมันเถอะ เอาไว้ไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง


หลิงฮันตัดสินไม่เก็บเกี่ยวสมุนไพรอื่นนอกจากสมุนไพรที่ล้ำค่าจริงๆ เนื่องจากความรู้สึกสงสัยเขาจึงต้องการไปยังชั้นที่เก้าให้ได้


ตอนนี้เขาสามารถอยู่ในชั้นที่สามได้สิบสามวัน!


หากมองจากมุมมองภายนอก แม้จะเป็นระยะเวลาสิบสามวันหรือสามวันจำนวนของเม็ดทรายในนาฬิกาทรายไม่ได้แตกต่างกันเลย แต่เป็นความเร็วในการไหลของเม็ดทรายต่างหากที่ต่างกัน


แน่นอนว่าด้วยผลการทบสอบที่ยอดเยี่ยมทำให้เขาได้รับรางวัลเป็นตำราเม็ดยาระดับหนึ่งถึงระดับสิบสอง ซึ่งเป็นตำราเม็ดยาระดับสิบเอ็ดนี่เองที่ทำให้แววตาของเขาส่องประกาย


มันคือตำราเม็ดยาเปลวเพลิงลอยล่อง เม็ดยาชนิดนี้ไม่ได้มีไว้กินแต่ใช้เพื่อโจมตีศัตรู


เมื่อเม็ดยาเพลิงลอยล่องถูกโยนออกไป มันจะสร้างคลื่นระเบิดอันรุนแรงที่เทียบเท่ากับการโจมตีเต็มกำลังของจอมยุทธระดับดาราขั้นสูง


หากเป็นเม็ดยาเพียงเม็ดเดียวคงไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่หากโยนเม็ดยาชนิดนนี้ออกไปพร้อมกับสิบเม็ด ร้อยเม็ด หรือพันเม็ดล่ะ?


ตราบใดที่มีทรัพยากรมากพอ จะหลอมเม็ดยาเพลิงลอยล่องขึ้นมาสักสิบล้านเม็ดก็ไม่ใช่ปัญหา ด้วยพลังทำลายล้างเช่นนั้นเกรงว่าแม้แต่ตัวตนระดับวารีนิรันดร์ก็ต้องล่าถอย


ห้องหินพังทลายลงมาพร้อมกับร่างของหลิงฮันถูกส่งไปยังชั้นสาม


สภาพแวดล้อมของชั้นนี้คือทุ่งหิมะอันหนาวเหน็บและสายลมกรรโชก


สมุนไพรในชั้นนี้ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมหนาวเย็น แต่สภาพแวดล้อมเช่นนี้ย่อมสร้างปัญหาให้กับผู้คนที้เข้ามาในนี้เป็นอย่างมาก การที่มีหิมะเต็มไปทั่วพื้นที่เช่นนี้ไม่มีใครรู้ว่าใต้หิมะเหล่านี้มีภัยร้ายแบบไหนซ่อนตัวอยู่บ้าง


สัตว์อสูรอาจจะโผล่ขึ้นมาในพริบตาและลงมือสังหารพวกเขา


แผนที่ของชั้นสามยิ่งมีรายละเอียดน้อยกว่าเดิม แต่สถานที่ที่หลิงฮันจะไปมีไม่กี่แห่งเท่านั้น


เวลาผ่านไปเพียงสองวันหลิงฮันก็ไปสถานที่ที่เขาอยากไปหมดแล้วและเก็บเกี่ยวมาได้มากมาย


สมุนไพรล้ำค่าบางชนิดมีสัตว์อสูรที่ทรงพลังคอยคุ้มครอง หลิงฮันโชคดีแอบเก็บพวกมันมาได้ไม่กี่ชนิดเท่านั้น เขาทำได้แค่ถอนหายใจและมุ่งหน้าไปยังวิหารของชั้นสาม


วิหารรุ่งโรจน์ (浩然宫)


หลิงฮันแหงนหน้ามองและพบกับสิ่งไม่คาดคิดคืออำนาจบนอักษรทั้งสามได้จางหายจนไม่เหลือแม้แต่นิดเดียว


เบื้องหน้าของเขา มีใครบางคนกำลังดูดซับพลังจากอักษร


อีกฝ่ายเพิ่งจะค้นพบพลังของอักษร… หรือว่าแท้จริงรู้มานานแล้ว?


หากเป็นแบบหลังก็หมายความว่าความลับนี้หลิงฮันไม่ได้ค้นพบเป็นคนแรก มีใครบางคนค้นพบก่อนแล้วแต่ไม่ได้แพร่งพรายให้ใครอื่นในสี่ตระกูลรับรู้ ไม่เช่นนั้นที่หน้าวิหารชั้นแรกคงจะมีคนมารวมตัวกันจำนวนมากแล้ว


แต่หากมีคนส่วนหนึ่งรู้ถึงความลับนี้อยู่แล้ว เหตุใดที่ชั้นแรกถึงยังมีพลังหลงเหลืออยู่ในอักษร?


หลิงฮันส่ายหัวไม่เก็บมาคิด ในเมื่อเขาไม่สามารถดูดซับพลังของอักษรในวิหารชั้นสองได้ ที่ชั้นนี้เองก็คงเหมือนกัน


คนที่ค้นพบว่าที่อักษรในชั้นสามมีพลังลึกลับซ่อนอยู่ ที่เขาไม่แพร่งพรายความลับให้ใครรู้อาจจะเป็นเพราะอยากเก็บไว้เพื่อยกระดับพลังให้ตนเอง หรือไม่ก็ต้องการทิ้งไว้ให้ผู้สืบทอด


หลิงฮันเดินเข้าวิหารไปและพบกับผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ของชั้นสาม


เป็นอย่างที่คิด มีบางสิ่งบางอย่างแปลกประหลาด


“สมุนไพรต้นนี้ต้องมีอะไรบางอย่างผสานเข้าไป แม้ข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ต้นนี้แตกต่างกับที่ชั้นสอง!” หลิงฮันมองอย่างละเอียดก่อนจะมั่นใจ


ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าวิหารขั้นเก้าชั้นนั้นมีผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์อยู่ เก้าผลต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ที่ถูกผสานอะไรบางอย่างลงไป จะต้องมีความหมายอะไรบางอย่างแน่


เขตแดนลี้ลับถ้ำจ้าวสมุนไพรเป็นสถานที่ที่น่าอัศจรรย์มาก แม้แต่สมุนไพรระดับเซียนถูกปลูกเอาไว้ หลิงฮันอดไม่ได้ที่นึกไปถึงความน่ากลัวของผู้สร้างเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ ปรมาจารย์เช่นนั้น… ต่อให้ตายไปแล้วก็ยังหลงเหลือความน่ากลัวจนโลกต้องสั่นสะเทือนเอาไว้


ใช่ว่าตัวเขาจะไม่เคยพบเห็นปรมาจารย์ที่ตายอยู่ในเขตแดนลี้ลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง


อย่างเช่นจักรพรรดิจอมอสูร ในเขตแดนลี้ลับของโลกใบเล็ก ร่างของเขาถูกแบ่งเป็นแปดส่วนแต่ก็ยังไม่ตายและพยายามฟื้นคืนชีพ ในเขตแดนลี้ลับมหาสมุทรสวรรค์ ปรมาจารย์ถึงสองคนก็แสร้งทำเป็นว่าตายไปแล้ว


หรือว่า…ที่นี่ก็เหมือนกัน?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)