Alchemy Emperor of the Divine Dao 1365-1374
ตอนที่ 1365
หลิงฮันถอนหายใจ “ข้ารู้ว่าเท่านี้ยังไม่พอ!”
“ฮึ่ม นี่เจ้ากำลังโอ้อวด?” ทั่วทั้งใบหน้าหานซินเหยียนประดับไว้ด้วยความตกตะลึงจนลืมหยอกล้อหลิงฮัน
“ข้าจะโอ้อวดทำไม?” หลิงฮันประหลาดใจ
“ก็เจ้าบอกเองว่าจดจำสมุนไพรได้ถึงสี่แสนชนิดไม่ใช่รึไง?” หลินอวีฉีกล่าวย้ำ
หลิงฮันชะงัก เขาสามารถจดจำสมุนไพรได้ราวๆสี่แสนกว่าชนิดจริงๆ แต่ลืมไปว่าสำหรับโลกภายนอก การจดจำสมุนไพรได้ถึงสี่แสนชนิดนั้นเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์เกินไป
แต่ในเมื่อกล่าวออกไปแล้วคงคืนคำพูดตัวเองไม่ได้ เขาทำได้เพียงพยักหน้า
“นี่ไม่เจ้ากำลังโกหกก็คงเป็นสุดยอดอัจฉริยะ!” หลินอวีฉีกล่าว
“ข้าศึกษารูปลักษณ์ของสมุนไพรมาตั้งแต่อายุแปดปี หนึ่งแสนหกพันปีที่ผ่านมานี้ข้าไม่เคยพลาดที่จะลืมจดจำเลยซักวัน แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังจดจำสมุนไพรได้เพียงสองแสนเจ็ดหมื่นชนิดเท่านั้นซึ่งนับว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว” หานซินเหยียนเอ่ยแทรก
หลิงฮันตกตะลึง นี่สมองของเจ้าทำด้วยอะไร เวลาตั้งหนึ่งแสนปีเจ้าจดจำสมุนไพรได้เพียงสองแสนเจ็ดหมื่นชนิด?
แต่ตำหนักเป่าหลินจะยอมฟูมฟักนักปรุงยาที่มีศักยะภาพปานกลางได้อย่างไร? พรสวรรค์ของในศาสตร์แห่งการปรุงยาของหานซินเหยียนนั้นโดดเด่นมากเขาเองก็เห็นด้วยตาตนเองแล้ว
ดังนั้นปัญหาจึงไม่ใช่ที่ตัวหานซินเหยียนแต่เป็นเขา!
เขาที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นจักรพรรดิแห่งศาสตร์ปรุงยา ย่อมมีพรสวรรค์ในการจำแนกสมุนไพรที่หาใครทัดเทียม
“ขอพี่สาวทดสอบเจ้าหน่อย” หลินอวีฉีนำสมุนไพรออกมาและเอ่ยถาม “สมุนไพรชนิดนี้คืออะไร?”
“ดอกบัวตะวันแผดเผา” เขาตอบกลับไปในขณะที่ชำเลืองมองเพียงพริบตา
หลินอวีฉีหั่นสมุนไพรออกเป็นหลายส่วนและกล่าว “ต่อพวกมันกลับให้เป็นเหมือนเดิม”
หลิงฮันสะบัดมือ ชิ้นส่วนสมุนไพรนับไม่ถ้วนลอยขึ้นกลางอากาศและค่อยๆเชื่อมต่อกันด้วยปราณก่อเกิด ผ่านไม่นานดอกบัวก็กลับมามีสภาพตูมดังเดิม
ทั้งหลินอวีฉีกับหานซินเหยียนตรวจสอบสมุนไพรก่อนที่จะแสดงสีหน้าตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด
“ต่อเลย” หลินอวีฉีหยิบสมุนไพรชิ้นอื่นๆออกมาเพื่อเพื่อทดสอบหลิงฮัน
สมุนไพรบางชนิดที่เขายังจดจำไม่ได้เขาข้ามพวกมันไปทันที แต่ถ้าเป็นอันไหนที่เขารู้เขาสามารถเชื่อมพวกมันให้กลับมาในสภาพเดิมได้อย่างรวดเร็วไม่ว่าจะถูกหั่นออกเป็นกี่ส่วน
หลินอวีฉีกลายเป็นไร้คำพูด เขารู้ว่าหลิงฮันมีพรสวรรค์โดดเด่นในด้านหลอมเม็ดยา แต่ไม่คาดคิดว่าแม้กระทั่งพรสวรรค์ในด้านสมุนไพรก็ยังน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า นางหันหลังและใช้อำนาจแห่งกฏเกณฑ์เป็นโล่ป้องกันการรับรู้ของหลิงฮัน
เมื่อหันกลับมา บนมือของนางก็มีชิ้นส่วนที่ถูกหั่นจากสมุนไพรหลายชนิดวางอยู่ปะปนกัน
“ในมือข้ามีสมุนไพรอยู่ทั้งหมดกี่ชนิดและพวกมันคือสมุนไพรอะไร?” นางถาม การทดสอบครั้งนี้ถูกเพิ่มระดับความยากขึ้น
หลิงฮันเอ่ยชื่อของสมุนไพรแต่ละชนิดออกมาทีละอัน จนสุดท้ายมีสมุนไพรเพียงสามชนิดที่เขาไม่ได้เอ่ยชื่อของมันออกมา “ส่วนที่เหลือข้ายังไม่ได้จดจำพวกมัน”
หลินอวีฉีกับหานซินเหยียนตกตะลึงจนไร้คำพูด เพื่อที่จะทดสอบแน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องจดจำสมุนไพรมาบ้างเหมือนกัน แต่ต่อให้พวกนางรู้จักสมุนไพรเหล่านี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอ่ยชื่อของพวกมันออกมาได้รวดเร็วเหมือนหลิงฮัน
ชายคนนี้ราวกับว่าจดจำสมุนไพรทั้งหมดจนฝังลึกไปยังแก่นแท้ของสมอง เขาสามารถจำแนกชนิดสมุนไพรได้จากชิ้นส่วนทุกส่วนของสมุนไพร
มีสมุนไพรบางชนิดที่มีรูปลักษณ์คล้ายกันมากแต่หลิงฮันกลับสามารถเอ่ยชื่อแยกประเภทได้โดยไม้ต้องเสียเวลาครุ่นคิด การทดสอบเมื่อครู่หลินอวีฉีจงใจนำชิ้นส่วนของสมุนไพรที่คล้ายคลึงกันถึงสิบชนิดปะปนกันแต่หลิงฮันก็แยกแยะพวกมันได้โดยไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย
“ครั้งนี้จะยากขึ้นอีก” หลินอวีฉีนำสมุนไพรร้อยชนิดออกมา ซึ่งหลิงฮันสามารถบอกชื่อของพวกมันได้ทั้งหมด หลังจากนั้นนางได้หั่นพวกมันออกเป็นหลายล้านชิ้นก่อนจะทำให้กระจัดกระจายกันออกไปและวางไว้บนโต๊ะ “ทำให้กลับเป็นเหมือนเดิม”
หลิงฮันยิ้ม เขาสะบัดมือนำสมุนไพรลอยขึ้นฟ้าและกวาดตามอง ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นของสมุนไพรเหล่านี้ถูกจดจำไว้ในสมองของเขาหมดแล้ว สมองของเขาทำงานด้วยความเร็วสูงและรวมสมุนไพรให้เข้ากันอย่างรวดเร็ว
ในศาสตร์แห่งการปรุงยาไม่ว่าจะส่วนใดพรสวรรค์ของเขาถือว่าโดดเด่นไร้ใครเทียบ ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในทวีปฮงเทียน ตราบใดที่เห็นสมุนไพรแม้แต่ครั้งเดียวเขาก็จะจดจำพวกมันได้อย่างสมบูรณ์แม้พลังบ่มเพาะจะไม่สูงเหมือนตอนนี้
และยิ่งพลังบ่มเพาะของเขาสูงขึ้น ความสามารถในการจดจำก็ยิ่งแม่นยำขึ้น
เศษสมุนไพรที่ถูกหั่นออกเป็นหลายล้านชิ้นค่อยๆกลับมาสู่รูปทรงดั้งเดิมของพวกมัน
ดวงตาคู่งามของหลินอวีฉีกับหานซินเหยียนเริ่มขยายกว้างขึ้น แม้กระทั่งปากก็อ้าออกเป็นวงกลม
ผ่านไปอีกไม่นานหลิงฮันก็หยุดมือพร้อมกับรวมสมุนไพรทั้งหมดให้กลับสู่สภาพเดิมได้เสร็จสมบูรณ์
“เจ้ามันไม่ปกติ!” หลินอวีฉีดึงสายตากลับมาจากความตะลึง แววตาของนางปริ่มไปด้วยความหลงไหลกับว่าการเคลื่อนไหวอันลื่นไหลของหลิงฮันนั้นทำให้จิตใจของนางหวั่นไหว
หานซินเหยียนไม่ปกปิดความรู้สึกเลื่อมใสที่ผุดขึ้นในใจ “กว่าข้าจะมาถึงจุดนี้ได้ต้องใช้เวลาฝึกฝนอย่างน้อยล้านปี”
“พ่อหนุ่ม จงเข้าร่วมกับตระกูลหลินของข้า!” แววตาของหลินอวีฉีส่องประกาย “ข้ายกหานซินเหยียนให้เจ้าเลยเป็นไง?”
“พี่สาวอวีฉี!” หานซินเหยียนตะคอกด้วยใบหน้าแดงก่ำ
หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “เจ้าชอบพูดล้อเล่นอยู่เรื่อย”
.
เมื่อเห็นหลิงฮันปฏิเสธ หานซินเหยียนก็เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย สตรีผู้นี้ช่างแปลกประหลาดนัก นางเป็นคนไม่ยินยอมแท้ๆ แต่พอเขาปฏิเสธกลับมีท่าทีไม่พอใจ
หลินอวีฉีทำท่าทียั่วยวนก่อนจะเขยิบเข้าใกล้หลิงฮัน กลิ่นหอมจากร่างของนางเย้ายวนเป็นอย่างมาก “น้องชาย หรือว่าเจ้าจะชอบสตรีมีอายุเช่นพี่สาวคนนี้?”
“พี่สาวอวีฉี!” หานซินเหยียนรีบดึงหลินอวีฉีกลับมากด้วยท่าทีเขินอาย เมื่อครู่เพิ่งจะยกนางให้คนอื่น คราวนี้ถึงขนาดยกตัวเองให้แล้ว?
“หน้าอกเล็กๆเช่นเจ้าน่ะ ไม่มีใครเอาหรอก!” หลินอวีฉีผลักหานซินเหยียนไปด้านข้างและเผยเนินอกของตนเอง ภูเขาสองลูกมีขนาดที่น่าอัศจรรย์และเป็นความภาคภูมิใจของสาวงามเช่นนาง
หลิงฮันทำเพียงยิ้มตอบและกล่าว “ข้ามีภรรยาแล้ว หากเจ้าต้องการเข้าตระกูลหลิงคงต้องเป็นภรรยาคนที่ยี่สิบสอง”
“เจ้าเคยบอกว่าคนที่สิบเก้าไม่ใช่รึ?” หลินอวีฉีหัวเราะและจงใจทำให้ภูเขาขนาดมหึมากระเพื่อมเพื่อดึงดูดสายตาหลิงฮัน
หลิงฮันกล่าว “คนฝักใฝ่ในรักเช่นข้า ในช่วงครึ่งปีนี้เป็นธรรมดาที่จะมีภรรยาเพิ่มขึ้น”
หานซินเหยียนไม่รู้ว่าที่หลิงฮันกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือล้อเล่นแต่เผลอแอบคิดในใจไปว่าหลิงฮันที่เป็นนักปรุงยามากพรสวรรค์จะมีเวลาเพียงพอให้กับภรรยาถึงสิบสองคนรึ?
ตอนที่ 1366
ทั้งหลินอวีฉีและหานซินเหยียนเชื่อในความสามารถของหลิงฮันสนิทใจจึงไม่ทำการทดสอบต่อและอธิบายรายละเอียดการแข่งขันของตำหนักเป่าหลิน
การแข่งขันของทางตำหนักนั้นคล้ายคลึงกับการทดสอบที่หลินอวีฉีทำก่อนหน้านี้
ผู้เข้าร่วมทุกคนต้องทดสอบทั้งหมดสี่ด่านซึ่งก็คือ จำแนกรูปลักษณ์สมุนไพร ประกอบสมุนไพรเข้าด้วยกันใหม่ แยกแยะสมุนไพรและหลอมเม็ดยา
การแข่งขันทั้งสี่ด่านจะมีแต้มแตกต่างกันออกไป อย่างการแข่งขันด่านแรกมีแต้มรวมเพียงหนึ่งในสิบ ส่วนการปรุงยามีแต้มรวมถึงห้าในสิบ ดังนั้นการแข่งขันด่านที่สำคัญที่สุดก็คือการปรุงยา
เกวียนขับเคลื่อนเป็นเวลาสิบสามวันในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเมืองหยาดฝนครามอันเป็นที่ตั้งของตำหนักเป่าหลินสาขาหลักและเป็นต้นตระกูลของสี่ตระกูล ตำหนักเป่าหลินเป็นที่รู้จักในเรื่องความโดดเด่นของศาสตร์ปรุงยา ทรัพยากรของพวกเขานั้นมั่งคั่งเป็นอย่างมาก
ที่จริงในด้านศาสตร์แห่งวรยุทธเอง ตำหนักเป่าหลินก็ไม่ได้อ่อนแอ อย่างเช่นสี่ตระกูลผู้ก่อตั้งเองก็มีปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์มากมาย ไม่เช่นั้นพวกเขาคงไม่สามารถคุ้มครองความมั่งคั่งของตนเองไว้ได้
เมืองหยาดฝนครามเป็นดั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่านักปรุงยา ทุกๆวันจะมีรถขนเม็ดยามากมายส่งเม็ดยาจากเมืองนี้ไปยังจักรวรรดิราชวงศ์ทั้งสอง
เกือบทุกครัวเรือในเมืองนี้ทำการค้าขายเสมุนไพรหรือเม็ดยา แม้พวกเขาจะไม่ใช่นักปรุงยาก็เป็นชาวสวนสมุนไพร
ตำหนักเปาหลินมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าหนึ่งล้านปีในดาวดวงนี้ ต่อให้จักรวรรดิราชวงศ์จะร่วงหล่นหรือก่อตั้งขึ้นใหม่ก็ไม่ส่งผลกระทบอันใดต่อพวกเขา
เพราะไม่ว่าอย่างไรการบ่มเพาะพลังก็ต้องพึ่งพาเม็ดยา ยิ่งกว่านั้นที่ข่าวลือว่าที่จักรวรรดิราชวงศ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์สามารถเติบโตได้จนถึงทุกวันนี้นั้นเป็นเพราะการสนับสนุนจากตำหนักเป่าหลิน
หลังจากการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จำแหน่งเป่าก็ถูกแบ่งออกเป็นสี่ตระกูลใหญ่และแตกแขนงสาขาย่อยออกไปมากมาย
ตอนนี้ตระกูลหลินปกครองตำหนักทุดสาขาในทิศเหนือ พวกเขาดำรงตำแหน่งนี้มานานแล้วกว่าเก้าล้านปีก่อน และเนื่องจากสาขาหลักของตำหนักทิศเหนือมีนักปรุงยาระดับสิบหกอยู่พวกเขาจึงสร้างแรงกดดันให้กับสาขาย่อยอีกเก่าสิบเก้าสาขาอย่างมาก
หลินอวีฉีเป็นคนของสาขาอังหยวนซึ่งถูกจัดอยู่ล่างสุดของสาขาทั้งหมดที่ตระกูลหลินปกครองอยู่ นักปรุงยานี่แข็งแกร่งที่สุดในสาขาของนางคือนักปรุงยาระดับสิบสามที่เพิ่งทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์
ดังนั้นก่อนหน้านี้ที่เมืองต้าหยิงเหตุผลที่หลินอวีฉีคิดหวังพึ่งนักปรุงยาจากนอกตำหนักก็เป็นเพราะต้องการสร้างชื่อเสียงให้ตำหนักของนางและเพื่อให้ได้รับสิทธิ์เข้าไปในเขตแดนลี้ลับโบราณมากขึ้นกว่าเดิม
เขตแดนลี้ลับแห่งนี้คือวาสนาครั้งใหญ่ที่จะเปลี่ยนโชคชะตาตำหนักของนาง หากทำผลลัพธ์ได้ไม่ดีชื่อเสียงของสาขาอังหยวนคงต่ำต้อยลงและวันหนึ่งจะถูกลบออกจากสาขาย่อยตระกูลหลิน
ตระกูลหลินมีสาขาย่อยอยู่นับร้อย และสาขาที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะถูกยินยอมให้นับว่าเป็นสาขาย่อยของตระกูลหลิน สาขาย่อยที่อ่อนแอจะถูกลบทิ้งโดยปรมาจารย์จากเบื้องบน
เนื่องจากสาขาของนางไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก หลิงฮันกับคนอื่นๆที่มาด้วยกันจึงได้ที่พักที่ค่อยข้างทรุดโทรม ไม่เหมือนสาขาย่อยอันดับต้นๆที่ได้พักอาศัยในที่อยู่กว้างขวาง
ยิ่งกว่านั้นเมื่อมองดูสาขาย่อยอื่นๆแล้ว จำนวนผู้เข้าแข่งขันของพวกเขานั้นมีถึงสิบคนซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดที่สามารถเข้าร่วมได้พอดี ในขณะเดียวกัน ผู้เข้าร่วมแข่งขันของสาขาย่อยอังหยวนมีเพียงหลิงฮันกับหานซินเหยียนเท่านั้น
และประเด็นสำคัญคือทั้งสองเป็นคนนอกที่ไม่ใช่คนของสาขาอังหยวนหรือคนของตระกูลหลินเสียด้วย
หลินอวีฉีเป็นอัจฉริยะก็จริง แต่พรสวรรค์ของนางโดดเด่นไปทางศาสตร์แห่งวรยุทธมากกว่า แม้นางจะสามารถระบุหรือแยกแยะสมุนไพรได้บ้าง แต่หากนางเข้าร่วมการแข่งขันคงไม่สามารถทำผลลัพธ์ได้ดีเท่าไหร่
เมื่อถึงที่พัก หลิงฮันก็เข้าไปในหอคอยทมิฬทันที ตัวเขาในตอนนี้กระตือรือร้นอย่างมากที่จะจดจำรูปลักษณ์สมุนไพรให้มากกว่านี้
ปัง!
ขณะเดียวกันกับที่เกิดเสียงกระแทกกึกก้อง ประตูที่พักที่พวกเขาอยู่ก็ถูกถีบเปิดออกจนปรากฏให้เห็นร่างของคนห้าคน หนึ่งเป็นชายวันกลางคนร่างกำยำ ร่างกายท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า ผมสีดำของเขาสยายยาวลงมาถึงส่วนหน้าอก
ด้านหลังของเขาคือรุ่นเยาว์สี่คน สามคนเป็นบุรุษหนึ่งคนเป็นสตรี แต่ละคนมีท่าทีหยิ่งยโสสูงเสียดฟ้าประทับเอาไว้บนใบหน้า
หลินอวีฉีกับหานซินเหยียนที่กำลังสนทนากันอยู่ในห้องนั่งเล่นรีบวิ่งออกมาทันทีหลังจากได้ยินเสียงกึกก้อง เมื่อพวกนางเห็นเหล่าคนที่อยู่หน้าประตูใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ทันที
“หลินเฟิง เจ้าทำบ้าอะไร?” หลินอวีฉีไม่หลงเหลือท่าทียั่วสวาทอีกต่อไปและเอ่ยถามชายวัยกลางคน เมื่อสายตาของนางชำเลืองไปยังหน้าอกอันหนาแน่นของอีกฝ่ายก็เผยสีหน้ารังเกียจออกมา
คนทั้งห้านี้เป็นคนของตระกูลหลินเช่นเดียวกัน แต่พวกเขาเป็นคนของสาขาเหิงหยุนซึ่งถูกจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของตำหนักสาขานับร้อย อีกฝ่ายเป็นผู้คุ้มกันของตำหนักสาขาเหิงหยุนโดยที่พลังบ่มเพาะอยู่ที่ระดับดาราขั้นกลาง
หลินเฟิงจ้องมายังหน้าอกอันใหญ่โต่ของหลินอวีฉีด้วยสายตามากตัณหา เขาเคยไปเยี่ยมเยือนตำหนักสาขาอังหยวนเมื่อหนึ่งพันปีก่อนแล้วได้พบเห็นหลินอวีฉีเข้าพอดี ตั้งแต่ตอนนั้นมาเขาก็สนใจในตัวสตรีผู้มีภูเขามหึมานางนี้
เขาเคยขอนางแต่งงานแต่หลินอวีฉีปฏิเสธ แต่เพราะความเกรงกลัวที่มีต่อต้นตระกูลหลินเขาถึงไม่กล้าลงมือทำอะไรผลีผลาม
แต่ครั้งนี้เขาเป็นผู้นำกลุ่มที่เข้าร่วมการแข่งขันของตำหนักสาขาเหิงหยุน เมื่อรู้ว่าหลินอวีฉีมาที่นี่เขาก็อดใจมาพบนางไม่ได้
“อวีฉี สาขาอังหยวนของเจ้ามีโชคชะตาย่อยยับอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง จะยังอยู่ทนอยู่ในสาขาที่ไม่มีอนาคตไปอีกทำไม? เจ้ากับข้านั้นแต่งต่างกัน สาขาของข้าเป็นถึงหนึ่งในสิบอันกับแรกของสาขาย่อยและมีทรัพยากรมากมายนับไม่ถ้วน เจ้ารู้ดีว่าตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเจ้าคืออะไร” หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเห็นใจ
แต่ที่ขัดกับคำพูดเห็นใจของเขาคือแววตามากตัณหาที่กำลังจดจ้องอยู่ที่ใบหน้า หน้าอกและต้นขาของหลินอวีฉี
“สาขาอังหยวนของข้าจะตกต่ำเพียงใดก็ไม่ใช่ธุระกงการของเจ้า!” หลินอวีฉีกล่าวอย่างไร้สิ้นเยื่อใยพร้อมกับชี้ไปที่ประตู “ไสหัวไป!”
“ฮ่าๆ ทำไมต้องหัวเสียด้วยเล่า!” หลินเฟิงยืนอยู่อย่างหน้าด้าน หลินอวีฉีเคยปฏิเสธเขามาครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้เขารู้ว่านางคงไม่ตกลงกับเขาเหมือนเดิม “ยังมีเวลาอีกสามวันกว่าการแข่งขันจะเริ่ม ทำไมพวกเราไม่ให้เหล่ารุ่นเยาว์อุ่นเครื่องกันเสียหน่อยล่ะ?”
หลินเฟิงแสยะยิ้มในใจ ครั้งนี้เขามาก็ปะทะกับหลินอวีฉี
ตอนที่ 1367
ใบหน้างดงามของหลินอวีฉีเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด เจ้าพังประตูที่พักของข้ายังจะมีหน้ามาบอกว่าอุ่นเครื่องอีก?
“ถ้าอยากประลองก็เอาไว้ในการแข่งขันจริงอีกสามวันข้างหน้า ตอนนี้เจ้าไสหัวไปได้แล้ว!” นางกล่าวอย่างไร้ความอดทน
หลินเฟิงหัวเราะ “งั้นข้าจะถือว่าเจ้ายอมรับความพ่ายแพ้แล้วกัน!”
“สาขาอังหยวนมีแต่พวกขยะไร้ค่ามารวมตัวกัน!” รุ่นเยาว์สวมขุดเขียวคนหนึ่งของสาขาเหิงหยุนกล่าว
“ฮ่าๆ พี่ชายเสวี่ยเฟิงกล่าวถูกต้องแล้ว ต่อให้พ่ายแพ้ก็ยังดีกว่าทำตัวขี้ขลาด!” รุ่นเยาว์อีกคนหนึ่งกล่าวเสริม
“ฮ่าๆๆ ถูกของเจียงเย่” รุ่นเยาว์ที่เหลือกล่าวสนับสนุนด้วยท่าทีอวดดี พวกเขาไม่เห็นหลินอวีฉีกับหานซินเหยียนอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
หานซินเหยียนตัวสั่นด้วยความโกรธ นางก้าวเดินไปด้านหน้าเพื่อจะจัดการกับรุ่นเยาว์ทั้งสี่
หลินอวีฉีเอื้อมือออกไปห้ามปราม การปะทะกันเช่นนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายต้องการสร้างความอัปยศให้แก่พวกนาง หลินอวีฉีถอนหายใจและกล่าว “ไม่ต้องไปสนใจพวกปากสุนัข”
หลินเฟิงหยักไหล่ “อวีฉี เจ้ากล่าวเกินไปหน่อยรึเปล่า หรือแค่พวกข้าแค่พูดความจริงเจ้าก็รับไม่ได้?”
“ดูๆแล้วเจ้าก็งดงามไม่เลว” หลินเจียงเย่จ้องมองหานซินเหยียนอยู่ชั่วครู่ “งดงามพอจะเป็นบ่าวรับใช้ของข้า”
“แต่หน้าอกเล็กไปหน่อยจนแทบจะไม่มีให้จับเลย” หลินเจียงเย่จงใจยื่นมือออกไปทำท่าทีขยำ
หลินเจียงเย่สั่นสะท้านด้วยความโกรธ ท่าทีของหลินอวีฉีเองก็เย็นชาเป็นอย่างยิ่ง นางปล่อยฝ่ามือออกไปกลางอากาศพร้อมกับควบแน่นพลังปราณเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่ ‘เพี๊ยะ’ ฝ่ามือปราณก่อเกิดตบเข้าที่หน้าของหลินเจียงเย่
อั่ก!
หลินเจียงเย่กระอักโลหิต ฟันสี่ซี่กระเด็นออกมาจากปาก ผมของเขากระเซอะกระเซิงด้วยสภาพเอน็จอนาจ
มุมปากของหลินเฟิงแสยะยิ้ม และใบหน้ากลับเปลี่ยนเป็นขึงขัง “หลินอวีฉี ผู้อาวุโสเช่นนี้เหตุใดถึงรังแกรุ่นเยาว์? เห็นทีข้าคงต้องสังสอนเจ้าเสียหน่อยแล้ว!”
เขาจงใจนำรุ่นเยาว์เหล่านี้มาเพื่อยั่วให้ยุหลินอวีฉีลงมือ หลังจากนั้นเขาก็จะจัดการกับนางโดยอ้างเหตุผล!
หลินเฟิงปล่อยฝ่ามือขนาดใหญ่ออกมาทันที ด้านหลังของเขาปรากฏดวงดาวสองดวงที่อัดแน่นไปด้วยออร่าอันน่าเกรงขราม เขาตั้งใจรีบจัดการหลินอวีฉีให้จบภายในอึดใจด้วย
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูด หลินอวีฉีก็รู้ตัวทันทีว่าหลงกลเข้าแล้ว
แต่มีคนมาเหยียดหยามถึงหน้าแบบนี้ ใครบ้างจะทนไหว?
นางเค้นเสียงพร้อมกับสะบัดปลายเสื้อ ‘ครืนน’ แสงอันไร้ที่สิ้นสุดปรากฏออกมาต่อต้านมือขนาดใหญ่ของหลินเฟิง
ปัง!
ทันทีที่ทั้งสองปะทะกัน คลื่นกระแทกก็แพร่กายเป็นวงกว้างจนทั่วลานที่พักพังทลาย โชคดีที่สถานที่แห่งนี้คือที่พักสาขาหลักของตระกูลหลินที่สลักรูปแบบอาคมอันแข็งแกร่งเอาไว้ ไม่เช่นนั้นทั่วทั้งเมืองเมืองหยาดฝนครามคงไม่เหลือแม้แต่เศษซาก
“หลินอวีฉี ไปปะทะกันบนฟ้า!” หลินเฟิงคำราม แม้ที่นี่จะมีรูปแบบอาคมป้องกันอยู่ แต่หากพวกเขาเอาจริงคงเกิดความเสียให้ไม่น้อย
เขาเพียงแค่อยากสยบและครอบครองสตรีผู้นี้ ไม่ได้ต้องการทำลายที่พักตระกูลหลิน
หลินอวีฉีในตอนนี้ไม่คิดจะถอย นางกัดฟันและทะยานขึ้นฟ้าปะทะกับหลินเฟิง ทั้งสองคนสู้กันอย่างไม่วางมือ ซึ่งตอนนี้เห็นเป็นเพียงจุดสองจุดบนท้องฟ้า
หานซินเหยียนกังวลเป็นอย่างมาก พลังบ่มเพาะของหลินเฟิงคือระดับดาราขั้นกลาง ส่วนของหลินอวีฉีคือระดับดาราขั้นต่ำ พลังของทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน ต่อให้หลินอวีฉีเป็นอัจฉริยะสองดาวก็ไม่สามารถทดแทนความต่างนี้ได้
นางนึกถึงหลิงฮันขึ้นมาทันที ถึงแม้หลิงฮันจะเป็นเพียงระดับดาราขั้นต่ำเหมือนกัน แต่หากเขาร่วมมือกันหลินอวีฉีสถานการณ์ก็คงดีขึ้นบ้าง
“ฮ่าๆ แม่นางอกแบน เจ้าคิดจะไปไหน?” พวกหลินเจียงเย่แยกย้ายกันล้อมหานซินเหยียนเอาไว้เพื่อไม่ปล่อยให้นางมีโอกาสไปรายงานเบื้องบน
แต่สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายไม่รู้คือผู้ช่วยเหลือของหานซินเหยียนในตอนนี้นั้นอยู่ในกองซากที่พักนี้เอง
หานซินเหยียนประหลาดใจ เหตุใดหลิงฮันยังไม่ปรากฏตัวอีก?
ทั้งๆที่ที่พักพังจนเป็นเศษซากแล้วแท้ๆ!
หานซินเหยียนขมวดคิ้วและกล่าว “พวกเจ้าต้องการไร?”
“จะทำอะไรงั้นรึ?” หลินเจียงเย่หัวเราะและส่ายหัว “สตรีเช่นเจ้าแม้ข้าจะไม่ได้ถึงขั้นอยากแต่งงานด้วย แต่ถ้าแค่เล่นสนุกก็ไม่เสียหายอะไร!” หน้าอกของหลินเจียงเย่เล็กเกินไปก็จริง แต่รูปลักษณ์ของอีกฝ่ายนั้นงดงามมากดีเดียว
เหตุใดเขาถึงกล้าทำขนาดนี้น่ะรึ? เพราะสาขาอังหยวนอ่อนแอไงล่ะ!
ผู้แข็งแกร่งย่อมกลืนกินผู้อ่อนแอ มีเพียงปรมาจารย์เท่านั้นที่จะได้รับความเคารพ นี่เองก็เป็นความจริงแท้ของตระกูลหลิน ที่ตระกูลหลินสามารถเติบโต้ได้ในรุ่นต่อรุ่นก็เพราะกฎข้อนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ถือว่าทำเกินไปที่มากดขี่สาขาอื่นในพื้นที่ของตระกูลหลักเช่นนี้ แต่ใครใช้ให้พวกเขาเป็นคนของสาขาเหิงหยุนล่ะ? ในสาขาย่อยทั้งหมดของตระกูลหลิงพวกเขาถูกจัดอยู่ในสิบอันดับแรก ตราบใดที่ไม่ลงมือถึงขั้นมีคนตายพวกเขาย่อมไม่ได้รับโทษ
หานซินเหยียนไม่ยินยอมและนำดาบออกมาโจมตีใส่รุ่นเยาว์ทั้งสี่
พลังของนางไม่อ่อนแอ ดาบในมือกวัดแกว่งบีบบังบคังให้หลินเสวี่ยเฟิงและคนอื่นล่าถอย แต่ทั้งสี่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน พวกเขาโจมตีตอบโต้ทันทีหลังจากตั้งหลักได้
แม้สี่ตระกูลใหญ่ของตำหนักเป่าหลินจะศึกษาศาสตร์แห่งการปรุงยาเป็นหลัก แต่ศาสตร์วรยุทธของพวกเขาก็ยังถือว่าสูงมากอยู่ดี เพราะอย่างไรหากไม่มีพลังบ่มเพาะคอยสนับสนุน พวกเขาก็ไม่สามารถหลอมเม็ดยาระดับสูงได้
พวกหลินเสวี่ยเฟิงทั้งสี่เป็นอัจฉริยะอย่างน้อยหนึ่งดาว ไม่ว่าพวกเขาคนใดก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าหานซินเหยียน ยิ่งเมื่อทั้งสี่ร่วมมือกันไม่ต้องกล่าวเลยว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
หานซินเหยียนตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างรวดเร็วและทำได้เพียงป้องกันตัวเอง
ทั้งสี่จงใจสร้างอัปยศให้กับนางโดยไม่ลงมือเผด็จศึก เสื้อผ้าของหานซินเหยียนค่อยๆถูกตัดขาดจนเผยให้เห็นผิวเนียนดั่งหยก ผมของนางยุ่งเหยิงหมดสภาพ
ทั้งสี่ไม่กล้าสังหารนาง ในตอนนี้พวกเขามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันของตระกูล ถ้าพวกเขาสังหารคนตระกูลเดียวกันล่ะก็บทลงโทษคงหนีไม่พ้นถูกทำลายพลังบ่มเพาะ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับความตาย
แต่หากแค่สร้างความอัปยศใครจะลงโทษพวกเขาได้?
แววตาหานซินเหยียนส่องประกายเดือดดาล นางหันดาบแทงเข้ามายังลำคอของตัวเอง
นางรู้สึกอัปยศจนเผลอคิดว่าความตายอาจจะดีเสียกว่า
…หากนางถูกบังคับให้ฆ่าตัวตายเพราะรุ่นเยาว์ทั้งสี่ของสาขาเหิงหยุน พวกสี่คนคงมีจุดจบไม่สวยเช่นกัน
ตอนที่ 1368
“ไม่ดีแล้ว!” พวกหลินเสวี่ยเฟิงตกตะลึง ทั้งสี่ไม่คาดคิดว่าหานซินเหยียนจะเลือกยอมตายดีกว่าถูกทำให้อัปยศ
พวกเขารีบลงมือหยุดนาง แต่ทั้งห้าคนมีพลังทัดเทียมกัน พวกเขาจะหยุดหานซินเหยียนทันได้อย่างไร?
เมื่อเห็นปลายดาบกำลังจะแทงเข้าลำคอบหานซินเหยียน ใบหน้าของทั้งสี่ก็เปลี่ยนเป็นมืดมนทันที หากหานซินเหยียนตาย อนาคตของพวกเขาก็คงลงเอยไม่สวยเช่นกัน
หานซินเหยียนปิดตา ก่อนที่จะตายนางไม่ต้องเห็นหน้าตาอันอัปลักษณ์ของทั้งสี่คน
พรึบ!
ทางถูกแทงอย่างรุนแรงแต่กลับไม่สัมผัสโดนคอของหานซินเหยียน มือของใครบางคนเอื้อมมาจับปลายดาบได้ทัน ดาบเล่มนี้คืออุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับแปด แต่มือที่กำปลายดาบเอาไว้กลับไม่เกิดบาดแผลแม้แต่รอยขีดข่วน
หลิงฮัน!
เขาเข้าไปอยู่หอคอยทมิฬมาจนถึงเมื่อครู่ทำให้ไม่รับรู้ว่าที่พักพลังทลายลงมา แต่เนื่องจากหอคอยทมิฬบอกให้เขารู้ เขาจึงปรากฏตัวช่วยหานซินเหยียนได้ทันเวลา
“ทะ ทำไมเจ้าถึงโผล่มาป่านนี้!” หานซินเหยียนถลึงตามองหลิงฮันพร้อมกับน้ำตาไหลพราก
เจ้ารู้ไหมว่าข้าเจ็บปวดขนาดไหน?
แววตาของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นเย็นชาและพยักหน้า “ข้าขอโทษ” เขาถอดเสื้อนอกออกและนำไปคลุมหานซินเหยียนก่อนจะจ้องเขม็งไปยังพวกหลินเสวี่ยเฟิง แววตาของเขาเย็นชาจนทั้งสี่จนรู้สึกราวกับตัวแข็ง
เขาไม่มีความรู้สึกพิเศษต่อหานซินเหยียน เขาคิดกับนางแค่มิตรสหาย แต่ในเมื่อนางเป็นสหายของเขาใครก็ไม่อาจมาสร้างความอัปยศให้กับนาง!
“เจ้าเป็นใคร?” รุ่นเยาว์สตรีของสาขาเหิงหยุนเอ่ยถามด้วยท่าทีเหยียดหยาม หลิงฮันปกปิดออร่าจึงไว้ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นางจะมองไม่เห็นพลังบ่มเพาะของหลิงฮัน
เพี๊ยะ!
หลิงฮันสะบัดมือใส่อากาศ พริบตานั้นรุ่นเยาว์สตรีก็ถูกตบเข้าที่แก้มจนเป็นรอยแดงครึ่งหน้า สีหน้าที่งดงามและมีเสน่ห์ของนางเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งทันที “เจ้าเองก็เป็นสตรี การที่รังแกสตรีด้วยกันแบบนี้ไม่รู้สึกว่าตัวเองไร้ยางอายบางรึไง?”
“จะ เจ้ากล้าตบข้า?” รุ่นเยาว์เยาว์สตรีกระทืบเท้า
ทั้งพรสวรรค์ในการบ่มเพาะและการหลอมเม็ดยาของนางนั้นโดดเด่นมาก แถมยังมีรูปลักษณ์ที่งดงามอีกด้วย ไม่รู้ว่ามีบุรุษมากมายเพียงใดที่ไล่ตามนาง
แต่ตอนนี้นางกลับถูกใครก็ไม่รู้ตบหน้า!
“กล้านัก!” หลินเสวี่ยเฟิงและรุ่นเยาว์อีกสองคนจ้องมองหลิงฮันด้วยใบหน้ามืดมน “เจ้าทำเกินไป?”
“เกินไป?” หลิงฮันยิ้ม “หลังจากนี้ต่างหากพวกเจ้าจะได้รู้ว่าทำเกินไปมันเป็นอย่างไร!”
“หลิงฮัน พี่สาวอวีฉีอยู่ในอันตราย เจ้าไปช่วยนางก่อน!” หานซินเหยียนรีบกล่าว แม้หลิงเฟิงจะมีพลังแข็งแกร่งกว่า แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะจับกุมหลินอวีฉีในระยะเวลาสั้นๆ
“ข้าจะจัดการให้เร็วที่สุด” หลิงฮันกล่าว
“ช่างปากดี!” พวกหลินเสวี่ยเฟิงทั้งสี่คนคำรามและลงมือตอบโต้
แต่ระดับสุรินัรจันทราจะสู้กับระดับดาราไหวได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นหลิงฮันยังเป็นอัจฉริยะ ก่อนหน้านี้ที่เขาขัดเกลาพลังระดับสุริยันจันทราจนบรรลุขั้นสมบูรณ์ชั้นสูงสุดเขาก็สามารถต่อกรได้แม้กระทั่งจอมยุทธระดับดาราขั้นต้นชั้นสูงสุด
‘ปัง’ เพียงแค่สะบัดฝ่ามือหนึ่งครั้ง รุ่นเยาว์ทั้งสี่ก็ถูกกำราบ เสื้อผ้าของพวกเขาฉีกขาดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพร้อมกันจนไม่เหลือสิ่งใดคลุมร่างกายเอาไว้
“กรี๊ดด!” รุ่นเยาว์สตรีกรีดร้องจนแทบเป็นลม
หลินเสวี่ยเฟิงและรุ่นเยาว์อีกสองคนแม้พวกเขาจะไม่กรีดร้อง แต่สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือด ถูกทำให้แก้ผ้าล่อนจ้อนในที่สาธารณะเช่นนี้จะให้พวกเขารู้สึกอย่างไร?
หลิงฮันไม่แยแส เขาผนึกพลังบ่มเพาะของทั้งสี่คนพร้อมกับมัดรวมกันและแขวนเอาไว้ที่ต้นไม้ไผ่หน้าประตูที่พัก
เกรงว่าทั่วทั้งตระกูลหลินคงสามารถมองเห็นทั้งสี่คนได้อย่างชัดเจน
“พี่สาวไปทางไหน?” หลิงฮันถามหานซินเหยียน
ใบหน้าของหานซินเหยียนแดงเผือดด้วยความอายและไม่กล้าแหงนมองขึ้นด้านบน
นางชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่งโดยไม่แหงนหน้า
เท้าของหลิงฮันลอยขึ้นจากพื้นและใช้ย่างก้าวไล่ตามดาราพุ่งไปยังทิศนั้นทันที
……
กลางอากาศหลายพันไมล์ หลินอวีฉีกับหลินเฟิงกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
พลังต่อสู้ของนางด้อยกว่าเล็กน้อย ด้วยอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังทำให้พลังต่อสู้ของนางทัดเทียมกันจอมยุทธระดับดาราขั้นกลางชั้นปลาย
แต่หลินเฟิงก็เตรียมตัวมาดีเหมือนกัน เขาอมเม็ดยาบางอย่างเอาไว้ก่อนจะบ้วนออกมาทำให้พลังต่อสู้เพิ่มทะยานสูงขึ้นในชั่วระยะเวลาหนึ่ง พลังต่อสู้ของเขาแทบจะใกล้เคียงกับระดับดาราขั้นสูงสุด
เพราะเหตุนั้นแล้ว หลินอวีฉีจึงตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบแต่ก็ยังพอต้านทานไหว
หลินเฟิงแสยะยิ้ม การรั้งตัวหลินอวีฉีเอาไว้เป็นเพียงหนึ่งในแผนการของเขา แผนที่แท้จริงของเขาก็คือเม็ดยาที่เขาบ้วนออกมาต่างหาก เม็ดยาชนิดนี้มีฤทธิ์อีกอย่างหนึ่งคือกระตุ้นความใคร่ของคนที่สูดดมกลิ่นของมันเข้าไป ระดับความใคร่จะค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนเมื่อถึงระดับหนึ่งต่อให้เป็นจอมยุทธระดับดาราก็ไม่อาจทนไหวและเป็นเห็นสัตว์ป่าหิวโหย!
เพื่อไม่ให้หลินอวีฉีสงสัย เขาจึงจงใจบ้วนเม็ดยาออกมา จะอย่างไรเม็ดยานี้เขาก็เป็นคนหลอมจึงเตรียมการป้องกันไม่ให้ตนเองถูกลูกหลงไปด้วยเอาไว้แล้ว
ยิ่งสู้กันนานขึ้น กลิ่นของเม็ดยาก็ค่อยๆลอยออกมาจนใบหน้าอันงดงามของหลินอวีฉีเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับมึนเมา
“ฮ่าๆๆ หลินอวีฉี เจ้าตกอยู่ภายใต้ฝ่ามือข้าแล้ว!” หลินเฟิงหัวเราะ ยิ่งคิดภาพที่หลินอวีฉีนอนอยู่ใต้ร่างของเขาก็ยิ่งทำให้เขาตื่นเต้น
หลินอวีฉีรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ หลังจากฟังคำพูดของอีกฝ่ายแล้วใบหน้างดงามของนางก็เปลี่ยนไป “เจ้าทำอะไรกับข้า?”
“ฮ่าๆ ก็แค่ให้เจ้าสูดดมยาบางอย่างเข้าไปเพื่อเพิ่มความสนุกเท่านั้น! อย่าบอกนะว่าสตรีที่ชอบเผยสั่นส่วนร่างกายเช่นเจ้าจะไม่เคยใช้มัน?” หลินเฟิงหัวเราะ
“เจ้าตัวน่ารังเกียจ! เจ้าคนไร้ยางอาย!” ดวงตาของหลินอวีฉวีแดงฉาน นางไม่คิดจะสู้กับอีกฝ่ายอีกต่อไปและตัดสินใจล่าถอย
ปลาติดเบ็ดแล้วมีรึหลินเฟิงจะปล่อยไปง่ายๆ? เขารีบขัดขวางนางทันที
หลินอวีดิ้นรนพยายามจะหนี แต่ร่างกายของนางไม่ยอมเชื่อฟัง ร่างของนางเริ่มอ่อนแรงและร้อนรุ่มราวกับถูกเพลิงแผดเผา
“ฮ่าๆๆ สตรีที่ข้าต้องการตั้งแต่เมื่อหนึ่งพันปีก่อน ในที่สุดวันนี้ข้าก็ได้มาครองแล้ว!” หลินเฟงิกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“งั้นรึ?” เสียงอันเย็นชาดังเข้ามาในหูของหลินเฟิง
ตอนที่ 1369
หลินเฟิงหันหลังควับและพบกับรุ่นเยาว์คนหนึ่งอย่างไม่คาดฝัน รุ่นเยาว์ตรงหน้ามองมาที่เขาด้วยสายตาเหยียดหยาม
กายหยาบสามารถเหาะเหินได้… ระดับดารา!
อีกฝ่ายเป็นรุ่นเยาว์ที่ดูมีอายุไม่เกินห้าร้อยปีด้วยซ้ำ
หลินเฟิงตาค้าง ยิ่งพลังบ่มเพาะของหลิงฮันสูงขึ้นก็ยิ่งยากที่จะมองเห็นอายุที่แท้จริง ดังนั้นหลินเฟิงจึงรู้เพียงแค่ว่าอายุของหลิงฮันนั้นต่ำกว่าห้าร้อยปี
แต่เท่านี้ก็เพียงพอจะทำให้เขาตกตะลึงจนตาค้างแล้ว
ห้าร้อยปี!
แม้แต่ในตระกูลหลินที่ทรัพยากรเม็ดยามากมาย จอมยุทธที่บรรลุระดับดาราได้เร็วที่สุดก็ยังใช้เวลาอย่างหนึ่งแสนปีซึ่งเท่านั้นก็เรียกว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว
กำแพงที่ขวางกั้นระหว่างระดับพลังไม่สามารถทะลวงผ่านด้วยเม็ดยาแต่ต้องทำความเข้าใจในระดับพลังนั้นอย่างลึกซึ้ง! โดยการจะทำความเข้าใจได้ก็ต้องใช้เวลานับหมื่นปี
ดังนั้นจอมยุทธระดับดาราที่อายุน้อยกว่าห้าร้อยปีจึงน่าสะพรึงกลัวมาก!
ต่อหน้าสัตว์ประหลาดเช่นนี้เขาไม่กล้าผลีผลามและเลือกที่จะไล่หลิงฮันไปเพื่อทำเรื่องสนุกๆกันหลินอวีฉีต่อ
“ไสหัวไป!” เขาคำราม
แววตาของหลิงฮันส่องประกายด้วยความโกรธ เขาเป็นจักรพรรดิปรุงยา แค่ก้าวเท้ามายังที่แห่งนี้ก็รู้แล้วว่าที่แห่งนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นเม็ดยาที่กระตุ้นตัณหา
การกระทำของอีกฝ่ายทำให้เขาโมโหอย่างมาก
“เจ้าตัวบัดซบ!” หลิงฮันกล่าวพร้อมกับปล่อยหมัดใส่หลินเฟิง
หมัดนี้ผสมผสานไว้ด้วยอำนาจแห่งสวรรค์ หมัดอันทรงพลังถูกปลดปล่อยออกมาราวกับเป็นการลงทัณฑ์จากสวรรค์
“หืม?” หลินเฟิงตกตะลึง แค่หมัดที่ถูกปล่อยโดยจอมยุทธระดับดาราขั้นต้น เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าตนเองกำลังทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ลงโทษ? หลินเฟิงไม่มีเวลาตอบโต้ เขาทำได้เพียงไคว้แขนเข้าหากันเพื่อป้องกันหมัดที่พุ่งเข้ามา ‘ปัง’ ร่างของเขาถูกซัดกระเด็น
หลินเฟิงตกตะลึงและมองไปยังแขนที่ถูกต่อยจนเป็นหลุมยุบลงไป
เป็นหมัดที่น่าสะพรึงกลัวอะไรเช่นนี้!
“เจ้าเป็นใคร?” หลินเฟิงจ้องมองหลิงฮันในขณะที่โคจรปราณก่อเกิดฟื้นสภาพแขนที่ยุบ การทำเช่นนี้ไม่ใช้การรักษาอาการบาดเจ็บแต่เป็นการใช้ปราณก่อเกิดยึดกระดูกที่แตกหักให้กลับเข้าหากัน เมื่อใดที่สลายปราณก่อเกิดกระดูกก็จะกลับไปแตกหักเช่นเดิม
“หลิงฮัน พาข้าไปจากที่นี่เร็ว!” หลินอวีฉีรู้สึกว่าตัวเองกำลังระงับอารมณ์เอาไว้ไม่ไหว
ดวงตาของหลินเฟิงชะงักก่อนจะเข้าใจอะไรบางอย่างและกล่าว “รุ่นเยาว์ ข้ารู้ว่าเจ้าก็มีความคิดอยากครอบครองสตรีคนนี้เหมือนข้า ก็ได้ ข้าจะยกนางให้กับเจ้า! แต่หากเจ้าเล่นกับนางเสร็จแล้วต้องนำมาคืนข้าตกลงไหม?”
“แล้วก็วางใจได้ หลักฐานต่างๆที่หลงเหลือข้าจะจัดการให้เองและไม่บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้”
ในขณะที่กล่าว เขาก็ค่อยๆขยับร่างเข้าใกล้หลิงฮันก่อนจะอมเม็ดยาอีกครั้ง พลังต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่าและปล่อยหมัดเข้าใส่หลิงฮันทันที “ฮ่าๆๆ ข้ารอโอกาสนี้มากว่าพันปี คิดจะข้าจะยกนางให้เจ้ารึ!”
ที่เขากล่าวไปก่อนหน้านี้ก็เพื่อสร้างความสับสนใจกับหลิงฮัน เขาเชื่อว่าไม่ว่าชายใดเมื่อเป็นเรื่องของสตรียั่วยวนก็ต้องหวั่นไหวกันทุกคน
แต่หลังจากที่ปล่อยหมัดหลินเฟิงก็ต้องประหลาดใจ เนื่องจากใบหน้าของหลิงฮันนั้นยังคงสงบนิ่งแถมเย็นชาน่ากลัวกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“เม็ดยาที่มีฤทธิ์แรงเช่นนี้ หากเจ้าดูดซับเข้าไปบ้าง ต่อให้เป็นคนรูปร่างอัปลักษณ์แค่ไหนหรือแม้แต่สัตว์อสูรเจ้าก็คงไม่เลือก” หลิงฮันปลดปล่อยอำนาจสวรรค์ส่งผลให้พลังต่อสู้ของหลินเฟิงลดลงสองดาวทันที
‘ปัง’ เขากำหมัดและต่อยตอบโต้หลินเฟิง
หลังจากที่หลินเฟิงอมเม็ดยาเข้าไป พลังต่อสู้จะถูกยกระดับจะเกือบเทียบเท่าระดับดาราขั้นสูง แต่ตอนนี้เมื่อพลังต่อสู้ถูกลดลงไปสองดาวทำให้พลังบ่มเพาะของเขาคือระดับดาราขั้นกลางชั้นปลายเท่านั้นซึ่งใกล้เคียงกับพลังต่อสู้ของหลิงฮัน
ดังนั้นทันทีที่หมัดของทั้งสองปะทะกัน ร่างของหลินเฟิงจึงถูกส่งลอยกระเด็นราวกับว่าวขาด ส่วนหลิงฮันก้าวถอยไปเพียงสองสามก้าวเท่านั้น
หลินเฟิงตกตะลึง นี่ใช้จอมยุทธระดับดาราขั้นต้นจริงๆรึ เหตุใดถึงได้ทรงพลังเพียงนี้?
หลิงฮันโจมตีต่อเนื่องโดยใช้ทักษะเกือบทั้งหมดที่มี
กาลเวลาแปรผันพันปีส่งผลให้การโจมตีของหลินเฟิงแทบจะไม่หลงเหลือพลังทำลายเลยเมื่อสัมผัสตัวหลิงฮัน แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะสังหารอีกฝ่ายให้จบๆไปและเลือกโจมตีเพื่อกระตุ้นฤทธิ์เม็ดยาให้ส่งผลจากภายในร่างกายของหลินเฟิง
“อ๊ากกก” แววตาของหลินเฟิงเปลี่ยนเป็นแดงฉานและมองไปยังหลินอวีฉีด้วยท่าทางหื่นกระหาย
“อย่าได้คิดว่าจะสมหวัง ไสหัวไป!” หลิงฮันปล่อยหมัดออกไป ‘ตูม’ ร่างของหลินเฟิงถูกหมัดกระแทกและร่วงลงยังไปป่าไม้ด้านล่าง
ฤทธิ์ยาถูกกระตุ้นอยู่ภายในร่างของหลินเฟิงอย่างรุนแรง ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงคลั่งและเริ่มวิ่งไล่สัตว์อสูรที่อยู่ในป่าเขา
เหล่าสัตว์อสูรในบริเวณตกอยู่ในความโชคร้ายทันที และด้วยฤทธิ์ที่รุนแรงของเม็ดยาเกรงว่าแค่เสร็จสมหนึ่งครั้งคงไม่พอ
เหล่าสัตว์อสูรตื่นตระหนกและเผ่นหนีโดยไว
หลิงฮันหัวเราะ คนชั่วก็ต้องจัดการด้วยวิธีชั่วร้ายเช่นนี้
เพราะอย่างไรการจะสังหารคนตระกูลหลินในอาณาเขตของตระกูลหลินสาขาหลักคงเป็นไปไม่ได้ การลงโทษหลินเฟิงแบบนี้จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
“น้องชาย ทำรักกับข้า!” หลินอวีฉีบิดตัวไปมาด้วยแววตาหยาดเยิ้มที่หิวกระหาย “ช่วยเข้าใจพี่สาวด้วย!”
“ใครจะไปเข้าใจได้กัน!” หลิงฮันปล่อยฝ่ามือทำให้หลินอวีฉวีหมดสติและแบกล่างของนางบินกลับไป
แต่ถึงแม้นางจะหมดสติก็ไม่ได้หมายความว่าฤทธิ์ยาจะหมดไปด้วย หากความไคร่ไม่ถูกปลดปล่อยนางก็คงคลั่งจนทนไม่ไหวและตกตายในที่สุด
ด้วยความเร็วของหลิงฮัน ผ่านไปไม่นานเขาก็กลับมาถึงที่พักตระกูลหลินและโยนร่างหลินอวีฉีให้กับหานซินเหยียน
หลินอวีฉีถูกเม็ดยาควบคุมอย่างสมบูรณ์ทำให้แม้จะไม่ได้สติเรือนร่างอันงดงามของนางก็ยังบิดไปมาอย่างยั่วยวน
“เกิดอะไรขึ้นกับพี่สาวอวีฉี?” หานซินเหยียนตะลึง
“นางได้รับผลกระทบจากเม็ดยา” หลินฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ “พานางเข้าไปในบ้านแล้วจัดการซะ”
“ว่าไงนะ!” หานซินเหยียนอ้าปากค้าง จะให้นางจัดการอย่างไร? พวกนางเป็นสตรีด้วยกันทั้งคู่เนี่ยนะ?
“หรือเจ้าจะให้ข้าจัดการเอง?” หลิงฮันชำเลืองมอง
“ไร้ยางอาย!” ใบหน้าหานซินเหยียนขึ้นสี หลังจากถอนหายใจนางก็พาหลินอวีฉีไปยังที่พักอีกที่หนึ่ง นางจะปล่อยให้หลินอวีฉีตายได้อย่างไร?
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่พักก็เกิดเสียงราวกับลูกแมวร้องครางไม่หยุด
“สีของท้องฟ้าช่างว่างเปล่า” หลิงฮันยืนอยู่นอกที่พักพร้อมกับพึมพำเรื่อยเปื่อย หากเขาเข้าไปด้านในเกรงว่าคงอดกลั้นรั้งตัวเองเอาไว้ไม่อยู่
หลังจากผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มเสียงร้องก็หยุด หลินอวีฉีกับหานซินเหยียนเดินออกมา ใบหน้าของพวกนางยังคงหลงเหลือไว้ด้วยร่องรอยความเหนื่อยล้า
ตอนที่ 1370
หานซินเหยียนรู้สึกเขินอายเมื่อพบหน้าหลิงฮัน สีหน้าของนางขึ้นสีทันที
หลินอวีฉีไม่สนใจใดๆ นางกระพริบตาให้กับหลิงฮันและกล่าว “ฮันน้อย เจ้าพลาดโอกาสทำเรื่องดีๆกับพี่สาวไปแบบนั้น เจ้ายังเป็นบุรุษอยู่จริงๆรึ?”
แม้นางจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่ในดวงตาของเขากลับแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ
ก่อนหน้านี้ที่หลิงฮันปฏิเสธนาง นางยังสามารถคิดได้ว่าหลิงฮันนั้นหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี แต่เมื่อวันก่อนที่นางได้รับผลกระทบจากเม็ดยาและเป็นฝ่ายเสนอเรือนร่างให้หลิงฮันขนาดนั้นแล้วก็ยังถูกปฏิเสธ!
นางไม่อาจรับได้
เมื่อใดกันที่เสน่ห์ของนางตกต่ำลงมาจนถึงขนาดที่ แม้แต่ชายหนุ่มไฟแรงยังปฏิเสธ?
หลิงฮันทำเพียงแค่ยิ้มและเมินเฉย
“หนุ่มน้อย ที่เจ้าปฏิเสธพี่สาวในสถานการณ์เช่นนั้นเป็นการทำให้พี่สาวรู้สึกอัปยศอย่างมาก!” หลินอีฉวีกล่าวน้ำเสียงอ่อนหวานข้างหูหลิงฮัน “ดังนั้น พี่สาวจึงตัดสินใจแล้วว่าชีวิตนี้ไม่ว่าอย่างไรพี่สาวก็ต้องเป็นของเจ้า!”
หลิงฮันสั่นสะท้าน? นี่ข้าทำไมถูกต้องงั้นรึ? ช่างเถอะ ปล่อยเรื่องของปีศาจสาวจอมยั่วคนนี้เอาไว้ทีหลังแล้วกัน
เมืองเมืองหยาดฝนครามนั้นเป็นเมืองใหญ่ อาณาเขตของตระกูลหลินจึงมีจำกัด แต่เหตุการณ์ที่หลินเฟิงทำนั้นเอิกเกริกจนแม้แต่ลานที่พักก็ยังพังทลาย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะปิดบังข่าวนี้ไม่ให้แพร่งพราย
วันเวลาผ่านไปไม่กี่วัน ทุกคนก็ได้ยินข่าวที่ว่าพวกหลินเสวี่ยเฟิงทั้งสี่คนถูกจับแขวนแก้ผ้าไว้บนต้นไผ่
ทันทีที่ได้ยินนี้ไม่ว่าใครๆก็ขำด้วยความตลก แต่พอได้ยินข่างของหลินเฟิง… ทุกคนกลับตัวสั่นขนลุกขนพอง
เขาขึ้นขี่สัตว์อสูรทั่วทั้งภูเขา!
จะว่าจะเป็นสัตว์อสูรเพศผู้หรือเพศเมีย ตราบใดที่ร่างกายมีรูก็เป็นเรื่องยากที่จะหลบหนีจากเงื้อมมือของหลินเฟิง
เอ่อ… จนถึงตอนนี้เขาเก็บกดความใคร่เอาไว้มากมายขนาดไหนกัน?
แต่ในเมืองนี้ที่ไม่คาดแคลนนักปรุงยาระดับสูงย่อมประเมินสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วว่าแท้จริงแล้วหลินเฟิงนั้นได้รับผลกระทบจากฤทธิ์ยาของตัวเอง!
เมื่อข่าวนี้แพร่งพราย ทั่วทั้งเมืองก็เอะอะขึ้นมาทันใด
น่าอับอายอะไรเช่นนี้… ได้รับผลกระทบจากเม็ดยาของตนเองจนต้องไประบายกับสัตว์อสูรทั่วทั้งภูเขา
ณ เวลานี้ชื่อเสียงอันวิปลาสของหลินเฟิงค่อยๆแพร่กระจายจนไม่มีใรกล้าเข้าใกล้เขา ชายผู้นี้ขึ้นขี่ได้แม้กระทั่งสัตว์อสูร มีรึที่มนุษย์เผ่าเดียวกันเขาจะยกเว้น?
มีข่าวลือว่าแม้กระทั่งเหล่าคนรับใช้ในที่พักของหลินเฟิงก็หวาดกลัวจนเผ่นหนีเตลิด ทั่วทั้งเมืองมีคำเปรียบเทียบขึ้นมาว่าหากผู้ใดทำชั่วร้ายจะถูกหลินเฟิงจับเข้าห้องในยามค่ำคืน
หลินเฟิงไม่มีหน้าจะอยู่ในเมืองนี้ต่อไป เขากับพวกหลินเสวี่ยเฟิงหนีออกจากเมืองหยาดฝนครามไปพร้อมกัน
โชคดีที่สาขาเหิงหยุนนั้นมีอำนาจ ผู้เข้าร่วมการแข่งขันจึงมีทั้งหมดสิบคนและหลินเฟิงก็เป็นพียงหนึ่งในผู้คุ้มกันที่มาด้วยเท่านั้นโดยยังมีผู้คุ้มกันสาขาคนอื่นกับรุ่นเยาว์อัจฉริยะที่เข้าร่วมการแข่งขันอีกหกคนอยู่ที่เมืองนี้
แต่ด้วยเหตุนี้ สาขาเหิงหยุนจึงจงเกลียดจงชังพวกหลิงฮันเป็นอย่างพวก พวกเขาตั้งตนเป็นศัตรูเป็นตายกับสาขาอังหยวนโดยไม่สนใจว่าหลินเฟิงจะเป็นฝ่ายผิดหรือไม่
สาขาเหิงหยุนแข็งแกร่ง ส่วนสาขาอังหยวนนั้นอ่อนแอ เหตุใดพวกเขาต้องให้ความเป็นธรรมกับสาขาอังหยวนด้วย
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ถึงเวลาที่ตระกูลหลินจะจัดการแข่งขันเพื่อตัดสินจำนวนสิทธิ์ที่จะได้เข้าไปยังเขตแดนลี้ลับโบราณแล้ว เขตแดนลี้ลับแห่งนี้ถูกตำหนักเป่าหลินเรียกว่าถ้ำจ้าวสมุนไพร ในเขตแดนลี้ลับมีอาณาเขตอยู่ทั้งหมดเก้าชั้น แต่ละชั้นล้วนมีขนาดขวางราวกับโลกขนาดใหญ่ไร้ขอบเขต
สาขาย่อยที่เข้าร่วมการแข่งขันนั้นมีจำนวนหนึ่งร้อยสาขา แต่ละสาขาส่งผู้เข้าร่วมแข่งขันได้เพียงสาขาละไม่เกินสิบคน แต่ผลการตัดสินจะวัดกันที่แต้สของผู้เข้าร่วมสองอันดับแรกเท่านั้น
“การทดสอบแรก ทดสอบอายุกระดูก” ผู้อาวุโสคนหนึ่งรับหน้าที่เป็นผู้ควบคุมการแข่งขัน ชื่อของเขาคือหลินชิน แม้เขาจะมีพลังบ่มเพาะเพียงระดับดารา แต่อายุขัยของเขานั้นมากกว่าสามสิบล้านปี ถือได้ว่าเป็นผู้เฒ่ายุคเก่าแก่คนหนึ่ง
ผู้เข้าแข่งขันเข้าทดสอบอายุกระดูกทีละคน การทดสอบนี้จะทำให้รู้ถึงอายุที่แท้จริงรวมถึงพลังบ่มเพาะ
สาขาอังหยวนเป็นสาขาที่อ่อนแอ แม้กระทั่งลำดับการทดสอบกระดูกก็ถูกจัดเอาไว้หลังๆ โชคดีที่การตรวจสอบเป็นอย่างรวดเร็วพวกเขาจึงไม่ต้องรอนานเกินไป
ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางฝูงชนก็เกิดเสียงเอะอะขึ้น
“เจ็ดร้อยยี่สิบสี่ปี! มีจอมยุทธระดับสุริยันจันทราอายุในช่วงอายุเจ็ดร้อยปีอยู่จริงๆด้วย!”
“พระเจ้า นี่เขากินเนื้อมังกรเข้าไปรึไงกัน? เหตุใดถึงได้บ่มเพาะพลังได้รวดเร็วเพียงนี้!”
“ไม่ใช่แค่นั้น คนคนนี้มีชื่อว่าหลินหยาง เขาเป็นนักปรุงยาระดับแปด!”
“พรวด! นี่เจ้าพูดจริงหรือล้อเล่น?”
“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง!”
หลิงฮันมองไปยังอีกฝ่ายที่มีรูปลักษณ์ของรุ่นเยาว์อายุสิบแปดสิบเก้าปี เขาเป็นชายหนุ่มรูปงามที่มีท่าทีเขินอายเล็กน้อย แต่ไม่ว่ารูปลักษณ์จะเป็นอย่างไรอายุที่แท้จริงเขาก็คือเจ๊กร้อยปี
แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงอุทานดังขึ้นอีกครั้ง อีกฝ่ายเป็นอัจฉริยะเช่นเดียวกันแต่ว่าอายุมากกว่าเล็กน้อย เขาเป็นชายหนุ่มอายุหนึ่งพันห้าร้อย พลังบ่มเพาะของเขาคือระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดและเป็นนักปรุงยาระดับแปด!
ชายคนนี้คือหลินป้าเตา เขาเป็นชายร่างสูงล่ำ รูปลักษณ์ภายนอกของเขาดูเหมือนกับชายวัยกลางคนในช่วงสามสิบปี
มีคำกล่าวว่าพรสวรรค์ในวรยุทธของเขานั้นสูงส่งกว่าการปรุงยาโดยเป็นถึงอัจฉริยะสี่ดาว
หลังจากนั้นก็มีสตรีชุดแดงอีกคนปรากกตัวสร้างเสียงเอะอะ สตรีผู้นี้เป็นคนของตระกูลหลินสาขาใหญ่ ชื่อของนางคือหลินชูหยิง ปีนี้นางมีอายุสองร้อยปีเท่านั้นแต่กลับก้าวเข้าสู่ระดับสุริยันจันทราแล้วเมื่อไม่กี่ปีก่อน แถมยังเป็นนักปรุงยาระดับแปดอีกด้วย
ตามหลักแล้ว เป็นไปได้รึที่จะหลอมเม็ดยาระดับสูงได้อย่างง่ายดายในระยะเวลาสั้นๆ?
เหตุผลที่นางทำเช่นนั้นได้เป็นเพราะตัวตนของนางนั้นพิเศษ นางได้รับความทรงจำของบรรพบุรุษตระกูลหลินทำให้มีความรู้เกี่ยวกับการปรุงยามาตั้งแต่เกิด สามารถสามารถหลอมเม็ดยาระดับแปดหลายชนิดได้อย่างเชี่ยวชาญทันทีที่ก้าวสู่ระดับสุริยันจันทรา หากไม่ใช่เพราะขีดจำกัดของระดับพลังบ่มเพาะ เกรงว่าแม้แต่เม็ดยาระดับเก้านางก็สามารถหลอมได้!
หลิงฮันพยักหน้า อีกฝ่ายไม่ใช่ปรมาจารย์ที่กลับมาเกิดใหม่อย่างแน่นอน แพราอย่างไรที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้การเกิดใหม่นั้นแม้แต่เซียนก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ ดังนั้นจึงไม่ต้องกล่าวถึงตระกูลหลินเลย
ไม่ใช่ทุกตำหนักสาขาย่อยทุกตำหนักจะส่งคนของตัวเองเข้าแข่งขัน บางตำหนักก็ทำเช่นตำหนักสาขาอังหยวนที่ไม่มีอัจฉริยะโดดเด่นในตระกูลจึงหาผู้ช่วยจากนอกตระกูลแทน
อย่าเช่นตำหนักสาขาสุ่ยเยว่ พวกเขาได้ขอความช่วยเหลือจากคนนอกที่ชื่อชางเฟิง ชางเฟิงผู้นี้มีอายุเกินกว่าห้าแสนปีและมีชื่อเสียงโด่งดังมาอย่างยาวนาน เพียงแต่พลังบ่มเพาะของเขาพึ่งจะบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดเท่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ผ่านคุณสมบัติการแข่งขันที่ต้องมีอายุน้อยกว่าหนึ่งล้านปี
此人也是八阶丹师,而且在丹道上浸淫了好几十万年,经验丰富。
ชางเฟิงผู้นี้เองก็เป็นนักปรุงยาระดับแปด เขาเรียนรู้ศาสตร์แห่งการปรุงยามาหลายแสนปี แน่นอนว่าย่อมมีประสบการณ์โฉกโชน
最后,终是轮到凌寒了。
และในที่สุดก็ถึงการทดสอบของหลิงฮัน
ตอนที่ 1371
การทดสอบอายุกระดูกเป็นการใช้รูปแบบอาคมพิเศษเจาะผิวหนังกล้ามเนื้อไปยังส่วนกระดูก
หลิงฮันยืนตรง ‘พรึบ’ รูปแบบอาคมถูกใช้งานแต่กลับไม่ปรากฏอายุกระดูกของเขา
“หืม เกิดอะไรขึ้น?”
“รูปแบบอาคมพังแล้วรึ?”
หลายคนที่ทำหน้าที่ทดสอบกระดูกกล่าวด้วยเสียงแปลกใจ ปกติแล้วเมื่อผู้ทดสอบยืนตรงและรูปแบบอาคมถูกใช้งาน อายุของคนคนนั้นก็จะปรากฏให้เห็นทันที เหตุใดจู่ๆรูปแบบอาคมถึงได้ไม่ตอบสนอง?
“เจ้าไม่ได้โคจรพลังปราณต่อต้านเอาไว้ใช้รึไม่!” ใครคนหนึ่งรีบกล่าว
เมื่อจอมยุทธที่แข็งแกร่งโคจรปราณก่อเกิด พวกเขาจะสามารถป้องกันพลังจากภายนอกอย่างเช่นนี้รูปแบบอาคมได้
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “แล้วเจ้าคิดว่าข้าโคจรปราณก่อเกิดอยู่รึไง?”
ผู้ทำหน้าที่ทดสอบเป็นเพียงจอมยุทธระดับดารา เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมองออกรึไม่ว่าปรมาจารย์ระดับดาราโคจรปราณก่อเกิดอยู่รึไม่ ดังนั้นเขาจึงไม่ตามตัวตนระดับสูงของตระกูลให้มาช่วยเหลือ
หลินชินเดินเข้ามา เขากวาดสายตาผ่านร่างหลิงฮันพร้อมกับแสดงสีหน้าตกตะลึง
รุ่นเยาว์คนนี้เป็นปรมาจารย์ระดับดารา!
ด้วยช่วงอายุที่ต่ำกว่าหนึ่งล้านปี เป็นไปได้ด้วยรึที่จะบรรลุระดับดารา?
“เขาคือตัวตนระดับดารา ให้ความเคารพเขาด้วย!” หลินชินตะโกน ไม่ว่าจะไปที่ไหน จอมยุทธระดับดาราก็สามารถจัดว่าเป็นปรมาจารย์ที่ทุกขุมอำนาจต้องการตัว
ชายที่ทำหน้าที่ทดทอบหวาดกลัวและรีบก้มหัวให้กับหลิงฮัน
เนื่องจากหลิงฮันปกปิดออร่าเอาไว้ ต่อให้เป็นจอมยุทธระดับดาราด้วยกันก็ไม่สามารถมองเห็นพลังบ่มเพาะของเขาได้อย่างชัดเจน อย่างมากหลินชินก็สามารถสัมผัสได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้านี้มีพลังลึกซึ้งเกินจะหยั่งถึง
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ไม่ต้องใส่ใจ”
รูปแบบอาคมตรวจสอบถูกใช้งานอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถวัดอายุกระดูกของหลิงฮันได้อยู่ดี
หลินชินสับสนก่อนที่จะชะงัก
อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ หากจอมยุทธที่แข็งแกร่งโคจรปราณก่อเกิดเอาไว้ อีกฝ่ายจะสามารถป้องกันการคุกคามจากพลังภายนอกเช่นรูปแบบอาคมจึงไม่อาจวัดค่าอายุกระดูกได้ แต่จากที่เขาดู หลิงฮันไม่ได้โคจรปราณก่อเกิดเลยแม้แต่น้อย
ถึงอย่างนั้นรูปแบบอาคมก็ยังไม่สามารถวัดค่าอายุกระดูกของหลิงฮัน นั่นหมายความว่าอย่างไร?
กายหยาบของชายหนุ่มคนนี้แข็งทนทานเกินไปจนเปรียบเสมือนโคจรปราณก่อเกิดคุ้มกันเอาไว้อยู่ตลอดเวลา
ชายชราหลินชินสะบัดมือและกล่าว “ไม่ต้องทดสอบแล้ว ข้าสามารถยืนยันได้ว่าชายคนนี้… มีอายุต่ำกว่าห้าร้อยปี!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฝูงชนก็เอะอะขึ้นมาทันที
อายุห้าร้อยปี!
ก่อนหน้านี้มีจอมยุทธระดับสุริยันจันทราที่ห้าอายุต่ำกว่าเจ็ดร้อยปี กับระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดที่ต่ำกว่าสองพันปีก็ว่าน่าสะพรึงกลัวมากพอแล้ว
แต่ตอนนี้กลับมีจอมยุทธระดับดาราที่อายุต่ำกว่าห้าร้อยปีปรากฏตัว!
นี่มันเรื่องจริงรึเปล่า?
ต่ำกว่าห้าร้อยปี… นั่นอาจจะเป็นสี่ร้อยหรือสามร้อยปีก็ได้ ยิ่งอายุต่ำเท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าพรสวรรค์ของหลิงฮันน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน
ยิ่งกว่านั้นการที่อีกฝ่ามาเข้าร่วมการทดสอบนี้หมายความว่าอย่างไร?
อีกฝ่ายมีศักยะภาพโดดเด่นในด้านศาสตร์แห่งการปรุงยาด้วย! หากหลอมเม็ดยาไม่เป็นแล้ว ต่อให้ตัวตนระดับสร้างสรรพสิ่งมาที่นี่ก็ไม่สามารถได้อันดับต้นๆในการแข่งขัน
ใต้ท้องฟ้านี้มีคนที่อัจฉริยะขนาดนั้นได้อย่างไร?
หลิงฮันยิ้มไปยังหลินชิน แม้พลังบ่มเพาะของพวกเขาทั้งสองจะแตกต่างกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นตัวตนระดับดาราเหมือนกัน สถานะของพวกเขาจึงนับว่าทัดเทียม
หลินซินจ้องหลิงฮันด้วยแววตาส่องประกาย
อัจฉริยะเช่นนี้ ต่อให้ไม่มีพรสวรรค์ในศาสตร์แห่งการปรุงยาก็ต้องชักชวนให้เข้าร่วมตระกูลหลินให้ได้ ด้วยศักยภาพในด้านวรยุทธของหลิงฮันบวกกับเม็ดยาจากตระกูลหลิน ภายในหมื่นปีหลิงฮันจะบรรลุระดับวารีนิรันดร์ได้แน่นอน!
เมื่อถึงตอนนั้นหากรวมปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์คนอื่นเข้าไปด้วย สถานะของตระกูลหลินก็จะเพิ่มขึ้นมหาศาล
จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อชักชวนให้ได้!
หลินซินกล่าวในใจ แต่ในเมื่อเขาก็ยังคิดเช่นนี้ คนอื่นๆจะไม่คิดแบบเขาได้อย่างไร?
หลินอวีฉีมีท่าทีกระอักกระอ่วน นางเคยลองยั่วยวนชักชวนหลิงฮันดูแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับปฏิเสธอย่างไม่ใยดี ในตระกูลหลินจะมีใครมีเสน่ห์ยั่วยวนให้เท่ากับนาง?
ในแง่ของรูปลักษณ์อันงดงาม นางเป็นหนึ่งในสตรีที่งดงามที่สุดไม่ผิดแน่ แต่ที่นางแตกต่างคือเสน่ห์อันยั่วยวนเหล่าบุรุษ อีกทั้งนางยังบรรลุระดับดาราแล้วด้วย คิดว่าจะมีสตรีสักกี่คนที่เทียบกับนางได้?
ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ตราบใดที่ยังเป็นบุรุษเพศอยู่ คนๆนั้นก็ต้องหลงไหลในตัวนาง!
แต่ในกรณีของหลิงฮัน สาวงามไม่อาจล่อตาล่อใจเขาได้
หลิงฮันเดิยกลับมายังตำแหน่งเดิม ในขณะที่เดินผ่าน สายตามากมายได้ถูกดึงดูดให้จ้องมองมายังเขา
ก่อนหน้านี้เขาปกปิดออร่าเอาไว้ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นปรมาจารย์ระดับดาราจึงถูกเมินเฉย แต่ตอนนี้บารมีของเขาได้โดดเด่นเฉิดฉาย สายตานับไม่ถ้วนส่องประกายตื่นเต้นและมองมาที่เขา โดยเฉพาะเหล่าสตรีนั้นใครบางจะไม่สนใจเขา
กฎของโลกนี้คืออำนาจที่แข็งแกร่ง หลิงฮันยังเยาว์วัยอยู่ อนาคตของเขานั้นไร้ขีดจำกัด
หลินชูหยิงจ้องมองด้วยสายตาแวววาว นางเคยมั่นใจมาตลอดว่าในโลกนี้ไม่มีชายใดที่เหมาะสมกับนาง แต่ตอนนี้หัวใจของนางกลับเต้นแรงจนแทบจะคุมเอาไว้ไม่อยู่
“ต่อไปเป็นการแข่งขันแรก ทดสอบจำแนกรูปลักษณ์สมุนไพร!” หลินซินเอ่ยกล่าว
ผู้เข้าร่วมถูกนำพาไปยังสถานที่ทดสอบแห่งหนึ่ง คนที่มาจากสาขาเดียวกันจะถูกแยกให้กระจัดกระจายกันออกไปเพื่อไม่ให้มีการโกงเกิดขึ้น
ด้านหน้าหลิงฮันคือโต๊ะที่มีถุงผ้าวางเอาไว้ ถุงผ้าถูกรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ผนึกตราประทับเอาไว้ หากใช้กำลังฝืนเปิดถุง ตราประทับก็จะถูกทำลาย
“เมื่อเทียนส่องแสง ขอให้พวกเจ้าเปิดถุงผ้าและเริ่มจำแนกรูปลักษณ์สมุนไพรได้ทันที การทดสอบจะดำเนินไปเรื่อยๆจนกระทั่งไฟบนเทียนมอดดับ ยิ่งจำแนกได้ถูกต้องมากเท่าใดก็จะได้แต้มมากเท่านั้น ในการทดสอบแรกมีแต้มสูงสุดคือหนึ่งร้อยแต้ม” หลินซินกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง แต่น้ำเสียงของเขาก้องกังวาลเข้าไปยังหูของผู้เข้าร่วมทุกคน
เมื่อเขาพูดจบก็พยักหน้าส่งสัญญาณ ทันใดนั้นก็มีผู้ช่วยคนหนึ่งจุดไฟบนเทียนอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นผู้เข้าร่วมทุกคนก็ลงมือเปิดผนึกตราประทับบนโต๊ะ ถุงผ้านี้คืออุปกรณ์มิติ แม้มันจะดูมีขนาดเท่าครึ่งตัวคน ในพื้นที่ด้านในนั้นกว้างขวางมาก
ส่วนสมุนไพรถูกนำออกมาจากถุง ทุกคนค่อยๆจำแนกพวกมันที่ละชิ้นและเขียนชื่อของสมุนไพรลงไปบนกระดาษแผ่นเล็กติดไปยังชิ้นสมุนไพร พวกเขาดำเนินขั้นตอนเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
เพื่อที่จะจำแนกสมุนไพรให้มากที่สุด หากพบสมุนไพรชิ้นใดที่ไม่รู้จักก็สามารถข้ามไปได้เลยไม่ต้องเสียเวลานึกคิด
ผู้ที่ชมการแข่งขันอยู่ต่างนิ่งเงียบ เสียงที่ได้ยินมีเพียงเสียงขยับสมุนไพรอันเบาบางเท่านั้น
ตอนที่ 1372
“หลินหยางทำได้ไม่เลว เวลาแค่หนึ่งในสามก็สามารถจำแนกสมุนไพรได้ถึงแสนชนิดแล้ว”
“นั่นเพราะเขาก็เป็นอัจฉริยะ!”
“หลินป้าเตาเองก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน แม้พรสวรรค์ในด้านวรยุทธจะโดดเด่นกว่า แต่ความสำเร็จในศาสตร์ปรุงยาก็นับว่าน่าอัศจรรย์”
“ที่เห็นว่ายอดเยี่ยมที่สุดคงจะเป็นหลินชูหยิง นางจำแนกสมุนไพรไปเกือบจะหนึ่งแสนเก้าหมื่นชนิดแล้ว”
“ชางเฟิงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน!” ใครบางคนอุทานออกมา
ทุกคนมองไปยังชางเฟิง บุคคลนอกจากตระกูลหลินผู้นี้คือหนึ่งในผู้เข้าร่วมที่อายุเยอะที่สุด แต่อายุที่เยอะแฝงไว้ด้วยประสบการณ์ที่โชกโชน เขาจำแนกสมุนไพรได้ราบรื่นและเคลื่อนไหวมืออย่างพริ้วไหว แทบจะเพียงในการจ้องมองครู่เดียวเขาก็สามารถเขียนชื่อสมุนไพรได้ทันที
เพียงแต่ว่าไม่มีใครคิดจะใช้พลังทั้งหมดไปกับการจำแนกสมุนไพร พวกเขาเก็บพลังเอาไว้เพื่อการทดสอบปรุงยา ดังนั้นชางเฟิงก็ไม่สามารถจำแนกสมุนไพรทุกชนิดบนที่อยู่บนโต๊ะ
“เกือบไม่ด้อยไปกว่าหลินชูหยิงเลย!” เหล่าผู้เฒ่าหลายคนอุทาน
“ด้วยการที่มีความทรงจำของบรรพบุรุษอยู่ในหัว หลินชูหยิงสมควรไร้คู่ต่อสู้ในช่วงอายุสิบล้านปี หากไม่ใช่เพราะขีดจำกัดของพลังบ่มเพาะ นางคงสามารถเป็นได้แม้กระทั่งนักปรุงยาระดับสิบสี่!”
“แต่จะอย่างไร การจำแนกรูปลักษณ์สมุนไพรก็เป็นเพียงการทดสอบพื้นฐาน การทดสอบที่สำคัญจริงๆนั้นวัดกันด้วยการปรุงยา”
“อืม!” เหล่าผู้เฒ่าพยักหน้าเห็นด้วย
“นี่ ดูเด็กหนุ่มคนนั้น!” ใครบางคนชี้ไปยังหลิงฮัน
เหล่าผู้อาวุโสมองไปยังทิศทางที่นิ้วชี้ไปและอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
รวดเร็วมาก!
ด้านหน้าหลิงฮัน สมุนไพรที่ถูกจำแนกแล้วถูกวางเรียงกับเป็นกองพะเนินราวกับเขาลูกย่อม หากไม่มีปราณก่อเกิดคอบพยุงเอาไว้เกรงว่ากองสมุนไพรนี้คงล้มลงมาแล้ว
“นั่นมัน… เกือบจะสองแสนชนิด!” ใครบางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
เหล่าผู้เฒ่าตกตะลึง ความเร็วในการจำแนกสมุนไพรที่รวดเร็วยิ่งกว่าหลินชูหยิงเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจยอมรับได้ อย่างที่รู้ว่าหลินชูหยิงนั้นผสานเข้ากับความทรงจำของบรรพบุรุษนักปรุงยาตระกูลหลิน ตัวหลินชูหยิงนั้นเรียกได้ว่ามีความเข้าใจในสมุนไพรเหนือกว่าคนอื่นๆไปกว่าร้อยล้านปี
“ถ้าเจ้าหนูนั่นไม่ได้จำแนกสมุนไพรไปแบบมั่วซั่ว ความสามารถของเขาจะน่าสะพรึงกลัวมาก”
ทุกคนพยักหน้า เป็นไปได้สูงมากที่การจำแนกของหลิงฮันจะผิดพลาด หากเป็นแบบนั้นจริงต่อให้เขาจำแนกสมุนไพรไปสองแสนหรือสองล้านชนิดก็คงไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี
ความเร็วของหลิงฮันราวกับกำลังเหาะเหิน ความเข้าใจในสมุนไพรของเขานั้นบรรลุถึงขั้นที่จำแนกสมุนไพรได้แม้มองแค่เพียงเศษเสี้ยว เขาจำแนกสมุนไพรพร้อมกันถึงร้อยชนิดพร้อมกันและใช้สัมผัสสวรรค์ควบคุมพู่กันเขียนชื่อแปะบนสมุนไพร
ในสายตาของเขา สมุนไพรมีอยู่สองประเภทคือ ประเภทที่เขาจดจำแล้วกับยังไม่จดจำ
เมื่อเทียนถูกหลอมละลายไปถึงสองในสามส่วน หลิงฮันก็หยุดมือ เขาจำแนกสมุนไพรไปแล้วสามแสนหกหมื่นชนิด ซึ่งจำนวนนี้คือจำนวนสมุนไพรทั้งหมดที่เขาจดจำได้ กองสมุนไพรที่วางอยู่อีกด้านคือสมุนไพรที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ทำไมเขาที่จดจำสมุนไพรได้เกือบสี่แสนชนิดถึงจำแนกสมุนไพรได้เพียงสามแสนหกหมื่นชนิด?
นั่นเพราะสมุนไพรอีกสี่หมื่นกว่าชนิดเป็นสมุนไพรล้ำค่ามากเกินกว่าจะนำมาให้ผู้แข่งขันจำแนก
เขายังเหลือเวลาอีกหนึ่งในสามแต่ไม่มีสมุนไพรชนิดใดให้เขาจำแนกต่อแล้ว
“ข้าจำแนกสมุนไพรเสร็จแล้ว เชิญมาตรวจสอบ” หลิงฮันกล่าว
ทันทีที่เขากล่าวประโยคนั้นออกมา ผู้เข้าร่วมแทบจะทุกคนที่กำลังจำแนกสมุนไพรอย่างจริงจังอยู่กับหยุดชะงัก ผู้เข้าร่วมที่มีพรสวรรค์ไม่โดดเด่นบางคนสามารถจำแนกสมุนไพรไปได้เพียงหมื่นชนิดเท่านั้น แต่หลิงฮันกลับกล่าวออกมาว่าจำแนกเสร็จเรียบร้อยแล้ว?
แม้แต่หลินชูหยิง หลินหยางและอัจฉริยะคนอื่นๆก็สั่นสะท้าน สมาธิของพวกเขาได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันมีเพียงชางเฟิงเท่านั้นที่ยังคงสงบนิ่งและเคลื่อนไหวมืออย่างมั่นคง
เหล่าผู้เฒ่ากลายเป็นไร้คำพูด พวกเขาดูแลการทดสอบมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแต่ไม่มีครั้งใครเลยที่มีคนจำแนกสมุนไพรเสร็จก่อนเวลา หลังจากชะงักแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่งพวกเขาก็มายังโต๊ะของหลิงฮัน
กองสมุนไพรที่ไม่ได้จำแนกถูกเก็บกลับเข้าถุงผ้า ผู้เฒ่าทั้งหลายช่วยกันตรวจสอบสมุนไพรที่เหลืออยู่
ถูก… ถูก… ถูก… เหล่าผู้เฒ่านับสิบคนช่วยกับตรวจสอบอย่างรวดเร็ว สีหน้าของพวกเขาค่อยๆแสดงออกถึงความตกตะลึงเนื่องจากไม่มีสมุนไพรชิ้นใดเลยที่ถูกจำแนกผิด
หลังจากผ่านไปสักพัก สมุนไพรทั้งสามแสนหกหมื่นชนิดก็ถูกตรวจสอบเสร็จสิ้น ไม่มีชิ้นไหนเลยที่จำแนกผิดพลาด
เหล่าผู้เฒ่ามองหน้ากัน แต่ละคนมองเห็นแววตาอันเหลือเชื่อของแต่ละคน
ต้องรู้ก่อนว่าหลิงฮันนั้นยังเป็นรุ่นเยาว์ที่อายุไม่เกินห้าร้อยปี กล่าวได้ว่าเขายังใช้เวลาไปกับการจดจำสมุนไพรได้ไม่นาน หากให้เวลาเขาจดจำสมุนไพรอีกสักห้าร้อยปีล่ะ สมุนไพรที่เขาจดจำได้จะมีมากขนาดไหน?
ห้าแสน? หกแสน? หรืออาจจะเจ็ดแสนชนิด?
สะ สัตว์ประหลาด!
ความต้องการที่จะชักชวนหลิงฮันให้เข้าร่วมตระกูลของพวกเขาเพิ่มขึ้นไปอีกร้อยเท่า แม้การจำแนกสมุนไพรจะไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่าจะสามารถหลอมเม็ดยาได้เก่งกาจแต่ก็คุ้มค่าที่จะทุ่มเทฟูมฟัก
ในที่สุดเทียนก็ถูกหลอมละลายจนไฟมอด ผู้เข้าร่วมทุกคนหยุดมือและรอการตรวจสอบผล
“อันดับหนึ่ง… หลินชูหยิง สมุนไพรที่จำแนกได้ทั้งหมดคือสี่แสนเจ็ดหมื่นชนิดและจำแนกผิดเพียงสิบเก้าชนิด” หลินชินประกาศผล
เมื่อได้ยินผลลัพธ์นี้ ทุกคนก็อ้าปากค้าง น่าอัศจรรย์มาก จำแนกสมุนไพรถูกทั้งหมดสี่แสนเจ็ดหมื่นชนิดและผิดเพียงแค่สิบเก้าเท่านั้น สมกับเป็นอัจฉริยะแห่งศาสตร์ปรุงยาที่เลื่องลือ
หลินชูหยิงเชิดหน้าอันงดงามด้วยความภูมิใจ นี่คือผลลัพธ์ที่นางคาดเดาเอาไว้แล้ว!
“อันดับสอง… ชางเฟิง สมุนไพรที่จำแนกได้ทั้งหมดคือสามแสนแปดหมื่นชนิดและจำแนกผิดสองร้อยเก้าสิบเก้าชนิด” หลินชินประกาศต่อ
ทุกคนส่งเสียเอะอะอีกครั้ง ชางเฟิงเองก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน อย่ามองว่าชางเฟิงนั้นมีอายุมากกว่าสาขาสุ่ยเยว่ อย่าลืมว่าสาขาสุ่ยเยว่นั้นมีความทรงจำของปรมาจารย์นักปรุงยาอยู่ในหัว
“อันดับสาม… หลิงฮัน สมุนไพรที่จำแนกได้ทั้งหมดคือสามแสนหกหมื่นชนิด ไม่สมุนไพรชิ้นไหนเลยที่จำแนกผิดพลาด”
พรวด!
ทุกคนสำลักออกมา ไม่มีผิดผลาดเลย? นี่เป็นผลลัพธ์ที่น่าตกตะลึงเกินไป ยิ่งกว่านั้นคือหลิงฮันยังเหลือเวลาจำแนกสมุนไพรอีกหนึ่งในสาม!
และยิ่งกว่านั้นไปอีกคือเขายังเป็นเพียงรุ่นเยาว์อายุต่ำกว่าร้อยปี!
หากใครเวลาเขาอีกห้าร้อยปี ไม่ใช่ว่าเขาจะสามารถจำแนกสมุนไพรทั้งหมดเจ็ดแสนสองหมื่นชนิดที่มีอยู่ได้โดยไม่ผิดพลาดเลยหรอกรึ?
ในโลกมีสัตว์ประหลาดเช่นนี้อยู่ด้วย?
หลินชูหยิงไม่หลงเหลือท่าทีภาคภูมิใจบนใบหน้าในขณะที่มองไปยังหลิงฮัน ชายคนนี้เป็นอัจฉริยะที่เหมาะสมกับนางยิ่งนัก
ตอนที่ 1373
แม้หลินชูหยิงจะได้อันดับหนึ่งในการทดสอบแรก แต่ผลลัพธ์ของหลิงฮันนั้นน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่า
เมื่ออันดับของผู้เข้าแข่งขันทุกคนถูกตัดสินเสร็จสิ้น ก็ถึงเวลาเข้าสู่การทดสอบที่สองหรือก็คือแยกแยะสมุนไพร ความยากของการทดสอบถูกยกระดับขึ้น ผู้เข้าแข่งขันต้องแยกแยะชิ้นส่วนสมุนไพรที่ผสมปนเปกันให้ได้พร้อมกับบอกด้วยว่าสมุนไพรแต่ละชนิดคือสมุนไพรอะไร
การทดสอบนี้มีทดสอบทั้งหมดสามสิบครั้ง และแต่ละครั้งก็จะสมุนไพรราวๆสองร้อยชนิดผสมรวมกัน
หลิงฮันยังคงเป็นคนที่เสร็จเร็วที่สุด แต่ด้วยจำนวนสมุนไพรที่เขาจดจำได้เพียงสี่แสนชนิด ทำให้สมุนไพรที่เขาแยกแยะสำเร็จรวมถึงจำแนกชนิดได้มีเพียงครึ่งเดียวจากสมุนไพรทั้งหมดที่ถูกนำมาทดสอบ
แม้ความแม่นยำจะไม่ใช่ที่สุด แต่ความเร็วในการทดสอบของนั้นรวดเร็วกว่าหลินชูหยิงเป็นเท่าตัว แสดงให้เห็นความเขามีความสามารถในการจำแนกสมุนไพรที่ยอดเยี่ยมขนาดไหน
หลังจากทดสอบเสร็จสามสิบครั้งแล้ว ผลลัพธ์ของหลิงฮันไม่ใช่อันดับหนึ่ง แต่ก็ยังอยู่ในสิบอันดับแรก เพราะอย่างไรเวลาที่ใช้ทดสอบก็มีจำกัด หากเวลายืดยาวกว่านี้เกรงกว่าอันดับของหลิงฮันคงจะตกลงไปถึงอันดับร้อย
การทดสอบที่สองหลินชูหยิงคืออันดับหนึ่งและได้ร้อยแต้มเต็มอีกครั้ง แต้มรวมของนางในตอนนี้สูงถึงสองร้อยแต้ม
อันดับสองรองลงมาคือหลินป้าเตา ไม่คาดคิดว่าด้วยรูปลักษณ์อันดุดันของเขาจะเชี่ยวชาญในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ ความสามารถกับรูปลักษณ์นั้นขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง
หลิงฮันได้เก้าสิบเจ็ดแต้มในการทดสอบแรกและได้เก้าสิบเอ็ดแต้มในการทดสอบที่สอง ซึ่งไม่ถือว่าต่ำเลยแม้แต่น้อย แต่ในด้านของหานซินเหยียนนั้นนางทำผลลัพธ์ได้ไม่ดีเอามากๆ นางได้สิบเอ็ดแต้มในการทดสอบแรกและได้สิบสี่แต้มในการทดสอบที่สอง รวมกันแล้วนางมีแต้มรวมแค่ยี่สิบห้าแต้มเท่านั้น
การทดสอบที่สามคือการประกอบสมุนไพรเข้าด้วยกันใหม่
หลิงฮันยังคงเสร็จก่อนคนแรก แต่ด้วยปัญหาเดิมๆทำให้ครั้งนี้อันดับของเขาคืออันดับแปดและได้แต้มเพียงเก้าสิบสองแต้ม อันดับหนึ่งยังคงเป็นหลินชูหยิงที่ชนะติดต่อกันสามครั้ง
หลินชูหยิงมั่นใจในตัวเองมาก แต่อย่ามองว่าหลินชูหยิงชนะสามครั้งติดกันแล้วนางจะเป็นผู้ชนะแล้วเนื่องจากการทดสอบที่สี่นั้นเป็นการทดสอบที่มีแต้มเยอะถึงครึ่งนึงของการทดสอบทั้งหมดรวมกัน
ดังนั้นตราบใดที่หลิงฮันได้อันดับหนึ่งในการทดสอบที่สี่และหลินชูหยิงทำผลลัพธ์ได้ไม่ดีเล็กน้อยในการทดสอบนี้ หลิงฮันก็มีโอกาสไล่ตามมาเป็นอันดับหนึ่ง!
หลังจากการทดสอบที่สาม ผู้เข้าแข่งขันทุกคนมีเวลาพักครึ่งวัน เนื่องจากการปรุงยาจำเป็นต้องใช้พลังสมาธิอย่างมหาศาล
“หมดเวลาพัก เริ่มทดสอบได้!” ผู้ดูแลการทดสอบยังคงเป็นหลินชิน
ทุกคนเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะหลอมเม็ดยาอะไร สุดท้ายแล้วจะได้อันดับใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของเม็ดยา ต่อให้เป็นเม็ดยาระดับเดียวกันก็ยังแบ่งแยกย่อยออกไปเป็นเม็ดยาที่หลอมยากและหลอมง่าย
ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นเม็ดยาระดับแปดเหมือนกัน เม็ดยาปราณโลหิตคลั่งกล่าวได้ว่าเป็นเม็ดยาที่หลอมยากกว่าเม็ดยาชนิดอื่นทุกชนิด มันคือเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา มีเพียงเม็ดยาระดับเก้าเท่านั้นถึงจะเหนือกว่าเม็ดยาชนิดนี้
หลิงฮันกวาดสายตามอง ที่นี้ไม่มีผู้เข้าแข่งขันนอกจากเขาที่บรรลุระดับดารา ดังนั้นตามหลักแล้วจึงไม่มีใครที่หลอมเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าได้
แน่นอนว่ามีบางคนที่เป็นข้อยกเว้นเช่นหลิงฮัน เนื่องจากเขาขัดเกลาพลังบ่มเพาะจนบรรลุขั้นสมบูรณ์และฝึกฝนคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ สัมผัสสวรรค์ของเขาจึงแข็งแกร่งพอที่จะหลอมเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าได้ตั้งแต่ระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุด
เพียงแต่ สัตว์ประหลาดเช่นเขาไม่สมควรมีอยู่ที่นี่
หลิงฮันไม่ผลีผลามหลอมเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าเนื่องจากเขาไม่เคยหลอมมาก่อนและเลือกที่จะหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง เชื่อว่าด้วยเม็ดยานี้เขาจะต้องได้อันดับหนึ่งในการทดสอบครั้งที่สี่แน่นอน
‘ครืนน’ เพลิงจากเตาหลอมพุ่งทะยานสูงขึ้นฟ้า
ผู้เข้าแข่งขันบางคนเลือกที่จะสู้ตายในการทดสอบครั้งนี้เนื่องจากผลลัพธ์อันย่ำแย่ในการทดสอบก่อนหน้านี้ พวกเขาเลือกหลอมเม็ดยาที่ตนเองถนัดที่สุดเพราะว่าโอกาสหลอมมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากล้มเหลวก็คือจบสิ้น
ผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่เป็นนักปรุงยาระดับห้าหรือหก ขั้นตอนหลอมเม็ดยาของพวกเขาเสร็จสิ้นภายในเวลาสองหรือสามวัน แต่แม้จะผ่านไปห้าวันแล้วก็ยังเหลือผู้เข้าร่วมอีกหนึ่งร้อยคนที่ยังหลอมเม็ดยาอยู่
สิบวันต่อมา จำนวนของผู้เข้าร่วมที่ยังหลอมเม็ดยาอยู่ได้ลดลงมาเหลือเก้าคน
ตราบใดที่ทั้งเก้าคนนี้หลอมเม็ดยาไม่ล้มเหลว พวกเขาจะต้องเป็นเก้าอันดับแรกแน่นอน
หลักการคิดนั้นง่ายมาก ยิ่งเม็ดยามีระดับสูงมาก ขั้นตอนการหลอมก็จะกินเวลายาวนานขึ้น
น่าเสียดายที่หลังจากผ่านไปสิบสองวัน บางคนได้ทำตำหลอมระเบิดและต้องยอมล้มเลิกชิงอันดับ เขารู้สึกเสียใจจนกระอักโลหิตออกมาสามครั้งและเกือบหมดสติ
หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ผู้เข้าร่วมที่เหลืออยู่แปดคนก็หลอมเม็ดยาได้สำเร็จ
พวกเขาแต่ละคนมั่นใจเป็นอย่างมากโดยคิดว่าเม็ดยาที่พวกเขาหลอมนั้นจะนำพาให้ขึ้นแท่นอันดับหนึ่ง
จากระยะเวลาการหลอมสามารถคาดเดาได้ว่าเม็ดยาที่ทั้งแปดคนหลอมคือเม็ดยาระดับแปดที่หลอมได้ยากลำบาก
“หลินป้าเตา หลอมเม็ดยาห้วงจิตว่างเปล่าได้สำเร็จ!” หลินซินประกาศ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้เข้าร่วมสามจากแปดคนก็แสดงท่าทางเศร้าโสกทันที
ไม่อาจเทียบได้!
ทุกคนที่นี่เป็นนักปรุงยา แน่นอนว่าพวกเขาต้องรู้ประเภทของเม็ดยาดีว่าเม็ดยาแบบไหนที่หลอมได้ยาก ต่อให้อันดับยังไม่ถูกตัดสินแค่ดูจากเม็ดยาก็รู้แล้วว่าจะชนะหรือแพ้
เพียงแต่ว่าหลินชูหยิง หลินหยางและชางเฟิงนั้นไม่เปลี่ยนสีหน้าใดๆแม้แต่น้อย พวกเขายังมั่นใจในเม็ดยาของตัวเอง
“หลินหยาง หลอมเม็ดยาพลังหยินเร้นลับได้สำเร็จ!”
เมื่อเสียงประกาศดังออกมา หลินป้าเตากับหลินหยางก็หันมองหน้ากันด้วยแววตาคมกริบที่แฝงไว้ด้วยความหมาย
เม็ดยาทั้งสองมีความยากในการหลอมเท่ากัน ดังนั้นจะติดสินว่าของใครดีกว่าจึงต้องวัดจากคุณภาพของเม็ดยา
“ชางเฟิง หลอมเม็ดยาเพลิงฉกรรจ์แท้ได้สำเร็จ!”
ชางเฟิงยิ้ม เม็ดยาเพลิงฉกรรจ์ เม็ดยาพลังหยินล้ำลึกและเม็ดยาห้วงจิตว่างเปล่ามีระดับความยากในการหลอมเท่ากัน ดังนั้นคุณภาพเม็ดยาของใครดีกว่าก็เป็นฝ่ายชนะ เขาที่ฝึกฝนการปรุงยามาเป็นเวลากว่าห้าแสนปีมีรึที่จะแพ้พวกเด็กน้อยเหล่านี้?
“หลินชูหยิง หลอมเม็ดยาสวรรค์พิโรธได้สำเร็จ!”
ฮึ่ม!
ทุกคนตกตะลึง สวรรค์พิโรธนั้นมีขั้นตอนที่ยากยิ่งกว่าพลังหยินเร้นลับและเม็ดยาอื่นๆหลายเท่าตัว
หลินชูหยิงหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ เป็นอย่างที่นางคาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้ว นางคือผู้ชนะในการทดสอบครั้งที่สี่นี้
และสุดท้ายหลินซินก็มองไปยังหลิงฮัน
หลิงฮันยิ้มและเปิดฝาเตา ทันใดนั้นเองเม็ดแสงสีแดงฉานดุจโลหิตก็ส่องประกายพุ่งออกมาจากเตาหลอม
หลินซินกวาดสายตาตามอย่างรวดเร็วคว้าเม็ดแสงเอาไว้ ใบหน้าอันเต็มไปด้วยริ้วรอยอายุของเขาเผยสีหน้าอันตกตะลึงออกมาอย่างปิดไม่มิด
เม็ดยาเม็ดนี้… มีความนึกคิดของตัวเอง
นักปรุงยาทุกคนรู้ว่ามีเพียงเม็ดยาระดับสิบขึ้นไปเท่านั้นถึงจะสามารถให้กำเนิดความคิดของตัวเม็ดยาเองได้ เม็ดยาใดที่ต่ำกว่าระดับสิบแต่มีความนึกคิดจะถูกเรียกว่าเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ
“เม็ดยานั่นคือเม็ดยาอะไรกัน?” เฒ่านักปรุงยาที่อยู่รอบข้างต่างขยับมาห้อมล้อมไว้และขมวดคิ้วด้วยความตะลึง
“มะ เม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง!” ผ่านไปครู่หนึ่งก็ใครบางคนอุทานออกมา
แม้เม็ดยาปราณโลหิตคลั่งจะหายสาบสูญไปนานแล้วแต่ก็ยังมีบ้างที่หลงเหลือมาตามกาลเวลา เม็ดยาชนิดนี้ถูกกล่าวขานว่าเป็น ‘กึ่งเม็ดยาเซียน’
“เป็นเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งจริงๆ!”
“เหลือเชื่อ สามารถหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งได้เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มคนนั้นมีความสามารถถึงขั้นนักปรุงยาระดับเก้าแล้ว”
“สามารถเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์!”
ศาสตร์ปรุงยาก็เหมือนศาสตร์วรยุทธ นักปรุงยาระดับเก้าเปรียบเหมือนธรณีประตูที่ข้ามผ่านได้ยากยิ่ง คำเรียกปรมาจารย์นักปรุงยานั้นจะถูกใช้กับนักปรุงยาระดับเก้าขึ้นไปเท่านั้น
ทุกคนมองไปยังหลิงฮันด้วยแววตาที่ร้อนระอุ
ตอนที่ 1374
น่าทึ่งเกินไป… ปรมาจารย์นักปรุงยาระดับเก้าอายุต่ำกว่าห้าน้อยปี!
อย่ามองว่าหลินชูหยิงที่อายุเพียงสองร้อยปี เพราะตราบใดที่นางทะลวงผ่านระดับดาราไม่ได้ในอีกสามร้อยปีข้างหน้า นางก็ไม่สามารถเป็นนักปรุงยาระดับเก้าได้ซึ่งไม่อาจเทียบกับหลิงฮัน
นี่ยังไม่มีใครรู้ว่าอายุที่แท้จริงของหลิงฮัน หากทุกคนรู้ว่าอายุของเขานั้นยังไม่ถึงแม้แต่ห้าสิบปี ทุกคนคงจะตกตะลึงจนหมดสติแน่นอน
“อันดับหนึ่ง… หลิงฮัน!” หลินซินประกาศ
ไม่มีใครโต้แย้งแม้แต่คนเดียว ผู้เข้าแข่งขันคนไหนจะเถียงล่ะว่าเม็ดยาที่ตนเองหลอมเหนือกว่าเม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง?
เพียงแต่ว่าเนื่องจากหลินชูหยิงได้อันดับหนึ่งสามการทดสอบติดและการทดสอบที่สี่ได้อันดับสอง แม้การปรุงยาจะเป็นการทดสอบที่มีแต้มสูงสุด นางก็ยังได้อันดับหนึ่งโดยรวมและหลิงฮันเป็นอันดับสอง
แต่ไม่มีใครคิดว่าหลิงฮันด้อยกว่าหลินชูหยิง เพราะอย่างไรหลิงฮันก็ยังเยาว์วัยมากนักและไม่มีความทรงจำของบรรพบุรุษนักปรุงยา
แต่ผลลัพธ์เช่นนี้แม้หลินอวีฉีจะผิดหวังบ้างเล็กน้อยแต่ก็ยังพึงพอใจ
อันดับสองก็เพียงพอแล้วที่สาขาอังหยวนจะได้สิทธิ์เข้าร่วมเขตแดนลี้ลับโบราณเก้าสิบเก้าสิทธิ์
เมื่อกลับไปยังที่พัก หลินอวีฉีตื่นเต้นจนแทบจะพุ่งเข้าสู่อ้อมกอดของหลิงฮัน “พ่อรูปหล่อ เจ้าทำได้ดีมาก อยากได้จูบพี่สาวเป็นรางวัลไหม?” นางจูบปากสีแดงสดไปยังหลิงฮัน
“พี่สาว!” หานซินเหยียนรู้สึกอับอายและรีบรั้งตัวหลินอวีฉีเอาไว้
หลิงฮันกลับไปยังห้องของตนเองและเข้าสู่หอคอยทมิฬ เขาตั้งใจจะนำความคิดฟุ้งซ่านที่เกิดจากหลินอวีฉีไปลงกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์
หลังจากพักผ่านไปสามวัน หลินอวีฉีก็รีบเร่งออกจากที่นี่
เนื่องจากมีคนมากมายยื่นข้อเสนออันเย้ายวนให้หลิงฮันเข้าร่วมกับสาขาพวกเขา ขอแค่หลิงฮันสัญญาว่าจะเข้าร่วม ไม่ว่าข้อเสนอจะเป็นอะไรพวกเขาก็คงตอบตกลง
อย่างเช่นสาขาหลัก พวกเขาถึงขนาดยอมยกหลินชูหยิงให้กับหลิงฮัน หากหลิงฮันเข้าตกลงเข้าร่วมกับพวกเขา
ถึงแม้หลินอวีฉีจะเชื่อในจิตใจอันเด็ดเดี่ยวของหลิงฮัน แต่ก็ยังกังวลอยู่เล็กๆว่าหลิงฮันอาจจะทนความเย้ายวนไม่ไหวเข้าสักวัน เพราะต่อให้สตรีงดงามเพียงคนสองจะไม่สามารถเทียบกับเสน่ห์ของนางได้ แต่หากเป็นสิบคนหรือร้อยคนล่ะ?
ทางที่ดีควรรีบไปจากที่นี่ดีกว่า
ทั้งสามคนออกเดินทาง หลินอวีฉีกับหานซินเหยียนจำเป็นต้องกลับไปยังสาขาอังหยวน แม้ยังเหลือเวลาอีกครึ่งปีที่เขตแดนลี้ลับจะเปิด แต่นั่นก็ไม่ใช่เวลาที่ยาวนานสำหรับพวกเขา พวกเขาต้องคัดเลือกคนเก้าสิบเก้าคนที่เหมาะสมจะเข้าไปยังเขตแดนลี้ลับ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็คือหลิงฮัน
หลิงฮันนัดวันและสถานที่กับหญิงสาวทั้งสองเอาไว้ หลังจากกลับมาถึงแล้วเขารีบเข้าไปในหอคอยทมิฬอย่างรวดเร็วเพื่อทำการจดจำชนิดของสมุนไพรเพิ่มเติม
วันเวลาค่อยๆผ่านไปจนในที่สุดครึ่งปีก็มาถึง
หลิงฮันออกจากหอคอยทมิฬด้วยสีหน้าพึงพอใจ เขาจดจำสมุนไพรทั้งแปดแสนหนึ่งหมื่นชนิดได้อย่างสมบูรณ์เรียบร้อย
หากลงแข่งขันอีกครั้งเขาจะได้อันดับหนึ่งโดยไร้ผู้ใดต่อกรแน่นอน
สามวันต่อมา หลินอวีฉีก็ปรากฏตัว
ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่นางกับหานซินเหยียนสองคน แต่ยังมีกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ที่หากรวมหลิงฮันเข้าไปด้วยแล้วก็จะเป็นเก้าสิบเก้าคน
หรือก็คือพวกเขาเป็นผู้ถูกตัดเลือกให้เข้าร่วมเขตแดยลี้ลับถ้ำจ้าวสมุนไพร
ในการเดินทางครั้งนี้ นอกจากหลินอวีฉีก็ยังมีปรมาจารย์ระดับดาราคนอื่นอยู่อีก รูปลักษณ์ของเขาดูเหมือนอยู่ในช่วงอายุสามสิบปี เขามีท่าทางอวดดีราวกับว่าตนเองเป็นบุตรแห่งสวรรค์
“เจ้าคือหลิงฮัน?” ชายคนนั้นจ้องมองหลิงฮันด้วยรอยยิ้มเหยียดหยาม “อย่าคิดว่าเจ้าชนะการแข่งขันให้กับสาขาอังหยวนแล้วเจ้าจะเป็นวีรบุรุษ!”
ให้ตายเถอะ สมองเจ้าได้รับความเสียหายรึเปล่า?
หลิงฮันยังไม่ทันได้กล่าวอะไร หลินอวีฉีก็ดึงตัวเขาไปด้านข้างทันทีที่เห็นเหตุการณ์ ใบหน้าของชายคนนั้นเผยถึงความเหยียดหยามอย่างไม่ปกปิด
“ตัวโง่งามนั่นคือใคร?” หลิงฮันถาม
“ไม่ต้องไปใส่ใจ” หลินอวีฉีรีบกล่าว “ชื่อของเขาคือหลินจื่อหง บุตรชายคนเดียวของผู้นำตำหนักสาขาอังหยวน แม้พรสวรรค์ในศาสตร์ปรุงยาจะไม่โดดเด่นแต่เขาก็เป็นจอมยุทธอัจฉริยะ อายุเพียงหกแสนกว่าปีก็บรรลุระดับดาราขั้นกลางแล้ว”
หลิงฮันไม่เก็บมาคิดมาก ระดับดาราขั้นกลางนั้นเขาสามารถบดขยี้ได้ด้วยมือเดียว
“ข้ารู้ว่าเจ้าแข็งแกร่งแค่ไหน!” หลินอวีฉียิ้มหวาน “ไม่ต้องไปยุ่งกับหมอนั่น เขาแค่ได้ยินว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะในศาสตร์ปรุงยาจึงอิจฉาก็แค่นั้น”
หลิงฮันเค้นเสียงกล่าว “เจ้าแน่ใจว่าเขาอิจฉาความสำเร็จของข้า?” เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้ชื่นชอบใน
“เอาเป็นว่าไม่ต้องไปยุ่งกับเขา!” หลินอวีฉีทำท่าทางอ่อนหวาน “คิดซะว่า พี่สาวสุดที่รักขอร้องแล้วกัน”
หลิงฮันทนดูหลินอวีฉีและเข้าไปยังเกวียนโดยทำเป็นไม่เห็นหลินอวีฉี
หลินอวีฉียิ้ม ถึงแม้หลิงฮันจะดูรังเกียจนาง แต่ที่จริงแล้วเขานับว่านางเป็นสหายของเขา ไม่เช่นนั้นด้วยพลังของเขา หลินจื่อหงคงถูกทุบตีจนเละไปแล้ว
ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้นั่งเกวียนส่วนตัวแต่เป็นเกวียนลากขนาดใหญ่สำหรับคนเก้าสิบเก้าคน พวกเขาออกเดินทางมาจนถึงเมืองหยาดฝนครามในอาณาเขตตระกูลหลินอีกครั้ง
คนของแต่ละสาขามาถึงแทบจะพร้อมๆกัน บางสาขาส่งตัวแทนเข้าร่วมมาเพียงหนึ่งคนเท่านั้น ไม่ใช่พวกเขาหาคนไม่ได้แต่เพราะสิทธิ์ที่ได้รับมีเพียงหนึ่งสิทธิ์
การที่สาขาอังหยวนได้สิทธิ์เข้าร่วมถึงเก้าสิบเก้าสิทธิ์นั้นทำให้ผู้คนมากมายตกตะลึง ซึ่งหลินจื่อหงได้ทำท่าทีภาคภูมิใจราวกับว่าที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะตัวเขาเอง
แต่ฝ่ายที่มีคนเข้าหาอย่างอย่างไม่ขาดสายกลับไม่ใช่เขาแต่เป็นหลิงฮัน ดังนั้นหลินจื่อหงจึงจ้องมองหลิงฮันด้วยสายตาโกรธแค้น
“ก็แค่นักปรุงยาอ่อนหัด จะอะไรกันหนักหนา!” หลินจื่อหงกล่าวอย่างไม่ยินยอม
“ท่านลุงเจ็ด ปล่อยให้เจ้าหนูนั่นเหิมเกริมไปก่อน รอให้เข้าไปในถ้ำจ้าวสมุนไพรแล้วค่อยหาโอกาสลอบสังหารเขา” ลิ่วล้อคนหนึ่งของหลินจื่อหงกล่าวเสนอแนะ
แววตาของหลินจื่อหงส่องประกายและกล่าว “ก็ดี ข้าจะแบ่งกลุ่มของสาขาอังหยวนออกเป็นสองกลุ่มโดยให้เจ้าหนูนั่นอยู่ในกลุ่มของข้า เมื่อทำแบบนี้โอกาสสังหารก็จะมีมากขึ้น!”
“ใช่แล้ว ท่านเป็นถึงจอมยุทธระดับดาราขั้นกลางส่วนหมอนั่นเป็นเพียงขั้นต้นเท่านั้น เขาไม่ควรค่าที่จะเอ่ยถึงด้วยซ้ำ!” ลิ่วล้อกล่าวด้วยน้ำเสียงประจบประแจง
“แม้แต่สตรีที่ข้าเล็งเอาไว้ก็กล้ายังคิดจะกล้าแย่งชิง เจ้าแส่หาที่ตายแล้ว!” หลินจื่อหงกล่าวอย่างโหดเหี้ยม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น