Alchemy Emperor of the Divine Dao 1353-1364
ตอนที่ 1353
ทางลานประลองส่งจอมยุทธอีกคนมาต่อสู้กับติงผิงต่อทันที
ติงผิงมีพลังบ่มเพาะระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์แถมยังมีพรสวรรค์แต่กำเนิดที่ทำให้มีพละกำลังเกินกว่าระดับพลังบ่มเพาะ แม้แต่จะเป็นหลิงฮันก็คงต้องเอาจริงหากต้องการเอาชนะติงผิง ยิ่งกว่านั้นในโลกนี้จะมีจอมยุทธสักกี่คนที่ขัดเกาพลังบ่มเพาะจนบรรลุขั้นสมบูรณ์?
ติงผิงชนะการประลองอย่างต่อเนื่อง
ผ่านไม่นานติงผิงก็เอาชนะติดต่อกันแปดครั้ง ไม่เพียงแต่ผู้ชมจะโห่ร้องอย่างบ้าคลั่ง แต่ทางฝั่งผู้จัดการประลองยังเปลี่ยนสีหน้าด้วย
“ว่าไงนะ เจ้าหนูนั่นลงประลองด้วยเงินเดิมพันหนึ่งล้านผลึกก่อเกิด?” ซือหม่าหลิงอุทาน
ถ้าติงผิงเอาชนะติดต่อกันสิบครั้ง เงินเดิมพันหนึ่งล้านก็จะเพิ่มขึ้นพันเท่าเป็นหนึ่งพันล้าน!
ต่อให้เป็นสามตระกูลใหญ่ที่มั่งคั่ง การสูญเสียผลึกก่อเกิดหนึ่งพันล้านผลึกก็ยังเป็นเรื่องที่เจ็บปวด
“ต้องหยุดเขาให้ได้!” หลินเซี่ยนกล่าวด้วยเสียงที่อ่อนนุ่มราวกับสตรี
หลี่ลั่วถงไม่เอ่ยปาก แววตาของนางส่องประกายลึกลับโดยไม่มีใครรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
“ให้จิ่วเยาลงมือ!” ซือหม่าหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“แต่ค่าจ้างของเขา…” ใครบางคนที่อยู่ด้านข้างซือหม่าหลิงเอ่ย
“ฮึ่ม ค่าจ้างเท่านั้นจะนับเป็นอันใดได้หากเทียบกับผลึกก่อเกิดหนึ่งพันล้าน?” ซือหม่าหลิงสะบัดมือ “รีบๆเข้า”
“ขอรับนายน้อย!” ชายคนนั้นรีบวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย
ทว่าว่าคู่ต่อสู้คนที่เก้าของติงผิงยังไม่ใช่จิ่วเยาแต่เป็นคนอื่น พลังของเขานับว่าแข็งแกร่งทีเดียว แต่โชคร้ายที่หากไม่ได้ขัดเกลาพลังบ่มเพาะจนบรรลุขั้นสมบูรณ์ก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของติงผิง เขาพ่ายแพ้ภายในสามกระบวนท่า
“ชนะเลิศ!”
“ราชาไร้พ่ายสิบศึก!”
“ข้าอยากคลอดลูกให้เจ้า!”
ที่ฝั่งคนดู ทุกคนกลายเป็นบ้าคลั่ง อย่ามองว่าการประลองให้ชนะสิบครั้งติดต่อกันเป็นเรื่องง่าย ผู้ชนะเลิศเช่นนั้นในหนึ่งแสนปียากที่จะปรากฏขึ้นสักคน เหตุผลที่ยากเป็นเพราะคู่ต่อสู้ที่พบเจอจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆและไม่มีเวลาให้พัก
เมื่อเห็นว่าติงผิงเอาชนะการประลองติดต่อกันอย่างง่ายดายและมีโอกาสจะชนะสิบครั้งติดต่อกัน ผู้ชมจึงบ้าคลั่งเป็นธรรมดา
“ในการประลองครั้งที่สิบ คู่ต่อสู้คือหนึ่งในนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของลานประลอง จิ่วเยา!” ผู้บรรยายกล่าวตะโกน เสียงของเขาดังก้องเข้าหูของผู้ชมทุกคน
“เป็นจิ่วเยางั้นรึ!”
“ผู้ชนะเลิศการประลองสิบครั้งติดต่อกันเมื่อเจ็ดหมื่นปีก่อน!”
“ฮึ่ม!”
จิ่วเยาคือผู้ชนะเลิศการประลองสิบครั้งติดต่อกันเมื่อเจ็ดหมื่นปีก่อน เขาเป็นผู้ชนะเลิศเพียงคนเดียวในช่วงสองแสนปีที่ผ่านมาของระดับภูผาวารี
เมื่อได้ยินชื่อของเขา เหล่าผู้ก็สั่นสะท้านและโห่ร้องให้กำลังราวกับเห็นวีรบุรุษ
ภายใต้เสียงโห่ร้องเช่นนี้ แม้แต่ติงผิงก็ยังเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังและรอคอยคู่ต่อสู้คนสุดท้ายผู้นี้
ทันใดนั้นเองร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวจากทางเข้า เขาเป็นชายหนุ่มที่มีรูปลักษณ์ทั่วไป ผิวของเขาซีดเขาและร่างกายผอมบางราวกับขาดสารอาหาร
รอบกายของเขานั้นบ้างก็มีออร่าสีดำลอยออกมา บ้างก็เป็นออร่าสีแดงเพลิง บ้างก็เป็นออร่าสว่างราวกับแสง
แต่เมื่อมองไปยังดวงตาของเขา เกรงว่าห้วงจิตใจของทุกคนคงจะสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือก
แววตาแห่งความกระหายเลือด!
ชายหนุ่มคนนี้ราวกับเติบโตท่ามกลางฝูงสัตว์อสูร เขาเกิดมาเพื่อสังหารทุกสรรพสิ่งที่ขวางหน้า ในแววตาของเขาไม่อาจมองเห็นสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากความปรารถนาโลหิต
“ย้ากกก!” ชายหนุ่มคำรามใส่ติงผิงพร้อมกับยกมือขึ้น บนข้อมือของเขาปรากฏรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ ทันใดนั้นรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นหมาป่ายักษ์สูงสามฟุต ร่างที่เต็มไปด้วยขนสีเงินของมันดูแล้วทรงพลังอย่างมาก
หมาป่ายักษ์พุ่งกระโจนเข้าใส่ติงผิงด้วยความเร็วสูงราวกับแสง พริบตาเดียวมันก็ปรากฏตัวด้านหน้าติงผิงและอ้าปากหวังจะงับลำคอ
ติงผิงกำหมัดและชกเข้าที่หัวของหมาป่ายักษ์
ตูม!
เมื่อหมัดเข้าปะทะเป้าหมาย คลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดออกส่งผลให้หัวของหมาป่ายักษ์แหลกเป็นเศษเนื้อ ร่างของมันลอยกระเด็นกลิ้งถอยกลับไปหลายสิบฟุต
แต่เรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น หมาป่ายักษ์ลุกยืนขึ้นมาพร้อมกับหัวของมันได้งอกขึ้นใหม่จากลำคอราวกับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
“หืม?” หลิงฮันประหลาดใจเล็กน้อย หมาป่านั่นคืออะไร?
จิ่วเยาพับแขนเสื้ออีกข้างขึ้นขึ้น รูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นที่ข้อมือของเขาอีกครั้ง ‘พรึบ’ แสงจากรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายและหมียักษ์โลหิตขนาดห้าฟุตได้ปรากฏตัวขึ้น
หมาป่าและหมีคำรามพร้อมกับอย่างต่อเนื่องและพุ่งเข้าใส่ติงผิง
จิ่วเยาพับแขนเสื้อขึ้นอีก รูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายและสัตว์อสูรก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แขนซ้ายของเขามีรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์สี่อัน แขนขวาห้าอัน รวมแล้วเขาสามารถเรียกสัตว์อสูรออกมาได้ทั้งหมดเก้าตัว
เแบบนี้เองเขาถึงถูกเรียกว่าจิ่วเยา เพราะเขาสามารถเรียกสัตว์อสูรทั้งเก้าได้นี่เอง
*九妖(จิ่วเยา) เก้าอสูร
นี่เป็นความสามารถแต่กำเนิด? ไม่เช่นนั้นชื่อของเขาคงไม่ถูกตั้งว่าจิ่วเยา
สัตว์อสูรทั้งเก้าปรากฏตัวอย่างต่อเนื่อง แต่ละตัวมีพลังอยู่ที่ระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์ชั้นสูงสุด เมื่อทั้งเก้าตัวลงมือพร้อมกันพลังของพวกมันเรียกได้ว่าเกือบจะทัดเทียมกับขั้นสมบูรณ์ชั้นต้น
นี่คือพลังแห่งสายเลือด?
หลิงฮันรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก ไม่น่าแปลกใจที่ชายหนุ่มคนนี้สามารถกลายเป็นผู้ชนะเลิศสิบครั้งของลานประลอง
เพียงแต่ว่าติงผิงไม่ใช่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงสุด แต่เป็นขั้นสมบูรณ์ชั้นกลาง! ต่อให้จิ่วเยาเป็นอัจฉริยะหกดาว หรือเมื่อผสานพลังกับสัตว์อสูรทั้งเก้าแล้วจะทำให้เขามีพลังต่อสู้เจ็ดดาวก็ไม่มีทางเลยที่จะเอาชนะติงผิงที่ตอนนี้มีพลังต่อสู้แปดดาว
“เข้ามา!” ติงผิงคำรามและพุ่งขึ้นหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับจิ่วเยา
‘ตูม! ตูม! ตูม!’
หมัดที่ติงผิงปล่อยออกไปแสดงถึงอำนาจอันไร้เทียมทาน สัตว์อสูรทั้งเก้าไม่แม้แต่จะมีโอกาสหยุดยั้งเขาเอาไว้ ติงผิงปรากฏตัวที่ด้านหน้าจิ่วเยาและชกหมัดออกไป
‘ตูม’ หมัดปะทะเข้ากับหน้าอกของจิ่วเยา
หืม?
หลิงฮันอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้เนื่องจากหมัดที่ดูเหมือนจะปะทะเข้ากับเป้าหมายของติงผิง แท้จริงแล้วไม่ได้สัมผัสโดนจิ่วเยา ร่างของจิ่วเยาระเหยเป็นหมอกที่ไม่อาจถูกโจมตี
จิ่วเยาใช้โอกาสนี้ตอบโต้ มือของเขาแปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บและฟันเข้าใส่ลำคอติงผิง
ติงผิงไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมีทักษะที่แปลกประหลาดเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรพลังของเขาก็ยังแข็งแกร่งกว่า ติงผิงรวมพลังเอาไว้ที่เท้าและดีดตัวเองถอยหลัง
‘ฉัวะ’ การโจมตีของจิ่วเยาปะทะเข้ากับความว่างเปล่า แต่สัตว์อสูรทั้งเก้าได้พุ่งเข้ามาและกระหน่ำโจมตีใส่ติงผิงอย่างบ้าคลั่ง
“น่าสนใจ!” ณ ด้านบนของแท่นคนดู แววตาของซือหม่าหลิงและอีกสองคนส่องประกายด้วยความตื่นเต้น
“ไม่คาดคิดว่าจะรับมือกับจิ่วเยาได้ขนาดนี้!”
“เหตุใดชายหนุ่มคนนั้นถึงโจมตีได้รุนแรงขนาดนั้น? หรือว่า…”
“ขั้นสมบูรณ์!”
ทั้งสามคนสนทนากันและอุทานด้วยความตะลึง
ทักษะของจิ่วเยาที่สามารถระเหยร่างของตนเองเป็นหมอกได้ถือว่าอัศจรรย์มาก แต่ติงผิงที่คาดว่าจะขัดเกลาพลังบ่มเพาะจนบรรลุขั้นสมบูร์นั้นน่าทึ่งยิ่งกว่า ในจักรวรรดิราชวงศ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์คนที่สามารถบรรลุระดับนั้นได้มีเพียงหยิบมือเท่านั้น
ทันใดนั้นเอง จิตใจของทั้งสามคนก็สั่นสะท้านไปด้วยความรู้สึกอยากนำติงผิงมาเป็นผู้ติดตาม
ตอนที่ 1354
ติงผิงกับจิ่วเยาปะทะกันอย่างต่อเนื่อง
ติงผิงได้เปรียบเรื่องพลังบ่มเพาะที่เหนือกว่าเนื่องจากขัดเกลาพลังจนถึงขั้นสมบูรณ์ แต่เนื่องจากเขายังไม่บรรลุขั้นสมบูรณ์ชั้นปลาย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะแสดงอำนาจที่ทัดเทียมกับระดับสุริยันจันทราออกมา
แต่ถึงแม้จิ่วเยาจะมีพลังบ่มเพาะที่ต่ำกว่า แต่เขาเป็นอัจฉริยะหกดาวไม่ผิดแน่ซึ่งความต่างของพลังต่อสู้ระหว่างเขากับติงผิงคือสองดาว แต่ด้วยการช่วยเหลือของสัตว์อสูรทั้งเก้าจึงเพียงพอที่จะทดแทนความต่างของพลังได้อีกหนึ่งดาว
แถมตัวของจิ่วเยาเองก็สามารถเปลี่ยนเป็นหมอกเพื่อหลบหลีกการโจมตีได้ด้วย ทำให้พลังต่อสู้ของเขาทรงพลังขึ้นไปอีกขั้น
แต่ร่างกายที่แปรเปลี่ยนเป็นหมอกนั้นเปรียบเสมือนดาบสองคม ยิ่งถูกโจมตีมากเท่าไหร่ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดยิ่งขึ้น แต่ความกระหายเลือดในแววตาของเขานั้นไม่เปลี่ยนแปลง
ความสามารถนี้ดูแล้วคงเป็นความสามารถแต่กำเนิด เหมือนกับติงผิงที่สามารถปลดปล่อยอำนาจที่เหนือกว่าระกับพลังของตนเอง
ปัง! ปัง! ปัง!
ยิ่งการต่อสู้ดำเนินไปเรื่อยๆ ติงผิงก็รู้สึกฮึกเหิมอยากเอาจริงและใช้ความสามารถพิเศษของตนเองออกมา จิ่วเยาที่ถูกโจมตีถึงกับไม่อาจต้านทานหมัดของเขาได้ไหว
ร่างกายที่ระเหยเป็นหมอกไม่สามารถสลายพลังโจมตีได้!
เมื่อพลังโจมตีหนักหน่วงถึงจุดจุดหนึ่ง ร่างกายของเขาจะไม่สมารถสลายพลังทำลายของการโจมตีนั้นได้อย่างสมบูรณ์ หลังจากรับหมัดของติงผิง ทั่วทั้งร่างของเขาก็สั่นสะท้านและกระอักโลหิตออกมา
หลิงฮันพยักหน้า หากร่างกายของจิ่วเยาไม่สามารถถูกทำลาย ความสามารถนั้นก็คงจะฝืนสวรรค์เกินไป
ติงผิงปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา เมื่อรับหมัดอันทรงพลังจนกระอักโลหิตอย่างต่อเนื่อง จิ่วเยาก็ล่าถอยจะยอมรับความพ่ายแพ้ในที่สุด
“เจ้า… ขัดเกลาพลังบ่มเพาะจนบรรลุขั้นสมบูรณ์?” จิ่วเยามองติงผิง แม้จะพ่ายแพ้สีหน้าของเขาก็ไม่ได้แสดงออกถึงความผิดหวังแม้แต่นิดเดียว ท่าทีของเขายังคงสงบนิ่ง แม้แต่แววตากระหายเลือดเองก็ดูเหมือนจะลดลง
“ไม่ผิด” ติงผิงหยักหน้าและกล่าว “ถ้าพวกเรามีพลังบ่มเพาะขั้นเดียวกัน ข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะเจ้าได้รึไม่”
“ข้าต้องชนะ!” จิ่วเยากล่าวอย่างมั่นใจ
ติงผิงชะงัก นี่เจ้าจะถ่อมตัวหน่อยไม่ได้รึไง? งั้นเขาก็จะไม่ถ่อมตัวเช่นกัน “น่าเสียดายที่เจ้าไม่สามารถทะลวงผ่านขั้นสมบูรณ์และจะอยู่ในระดับพลังที่ต่ำกว่าข้าไปตลอดกาล เจ้าไม่มีทางเอาชนะข้าได้!”
จิ่วเยานิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “แล้วเจ้าบรรลุขั้นสมบูรณ์ได้อย่างไร?”
หมอนี่บ้ารึเปล่า?
ติงผิงประหลาดใจ บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีจอมยุทธกี่คนเชียวที่บรรลุขั้นสมบูรณ์ได้? เกรงว่าจำนวนของอัจฉริยะเหล่านั้นคงน้อยกว่าจำนวนของตัวตนระดับวารีนิรันดร์เสียอีก จะบรรลุขั้นสมบูรณ์อย่างไรนั้นแน่นอนว่าเป็นความลับสุดยอด เจ้ากับข้าเพิ่งจะสู้กันมาแต่เจ้ากลับถามออกมาดื้อๆเช่นนั้นน่ะรึ?
แต่ถึงอย่างนั้นติงผิงก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้าง แม้จิ่วเยาจะมีออร่าแห่งการเข่นฆ่าสังหาร แต่ตัวเขาก็เปรียบเสมือนกับกระดาษขาวที่ไม่เข้าใจโลก เพราะงั้นเขาจึงถามคำถามออกมาโดยรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร
ติงผิงครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “อาจารย์ของข้าเป็นคนสอนหลายๆอย่างให้ข้า ยิ่งกว่านั้นข้าก็ไม่ใช่คนโง่จึงสามารถทะลวงผ่านขั้นสมบูรณ์ได้สำเร็จ”
“ใครเป็นอาจารย์ของเจ้า?” จิ่วเยาเอ่ยถามด้วยแววตาส่องประกายราวทันที
“นั่น” ติงผิงชี้ไปยังทิศที่หลิงฮันยืนอยู่
จิ่วเยามองตามและจ้องไปที่หลิงฮัน ทันใดนั้นเองผมดำยาวของเขาก็ตั้งชันและขนลุกไปทั่วร่างราวกับสัตว์ที่พบเจอกับภัยอันตราย
“คนคนนั้น… แข็งแกร่ง!” จิ่วเยากล่าว
“อาจารย์ของมีชะตาที่จะกลายเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่ง!” ติงผิงกล่าวอย่างมั่นใจ
“แค่ก แค่ก!” ในตอนนั้นก็มีใครบางคนกระแอมแทรกบทสนทนาของทั้งคู่ คนที่ว่าคือผู้บรรยายของลานประลอง “การประลองครั้งนี้ ติงผิงเป็นผู้ชนะ! โปรดโห่ดีใจให้กับผู้ชนะเลิศคนใหม่ของเราด้วย เขาคือผู้ชนะเลิศคนที่สองในช่วงเจ็ดหมื่นปี!”
“ผู้ชนะเลิศโปรดรอซักครู่เนื่องจากเงินเดิมพันมีจำนวนมหาศาลทำให้ไม่สามารถรวบรวมได้ในระยะเวลาอันสั้น” ผู้บรรยายปาดเหงื่อ ผนึกก่อเกิดจำนวนพนึ่งพันล้านเป็นมูลค่าที่น่าหวาดกลัวเกินไปสำหรับเขา
แต่เจ้าหนูนี่จะกล้าออกจากเมืองหลังจากนี้งั้นรึ?
ด้วยเงินจำนวนมากเช่นนั้น ใครบางจะไม่หวั่นไหว?
ต่อให้ติงผิงไร้เทียมทานในลานประลองแห่งนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เพียงจอมยุทธระดับภูผาวารีเท่านั้น แค่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราก็สามารถบดขยี้เขาได้แล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงปรมาจารย์ระดับดาราในเมืองวายุผสานแห่งนี้เลย!
“รีบหน่อยแล้วกัน” ติงผิงกล่าวก่อนจะลงจากลานต่อสู้
หลิงฮันและคนอื่นๆเองก็กลับไปยังโรงเตี๊ยม เงินเดิมพันของติงผิงยังไม่สามารถรับได้ในตอนนี้ ต่อให้ดูการประลองต่อไปก็ไม่มีความหมาย
“หืม?” หลิงฮันสัมผัสได้ถึงบางอย่างและยิ้ม
“มีอะไรรึ?” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ถาม
“ดูเหมือนจะมีแขกมาหาพวกเรา”
เป็นอย่างที่ว่า พวกเขามาถึงโรงเตี๊ยมได้ไม่นานก็มีใครบางคนมาหา ออร่าอันน่าสะพรึงกลัวของแขกที่มาหานั้นทำให้ผู้เข้าพักหลายคนใบหน้าซีดขาวด้วยความหวาดกลัว
จิ่วเยา!
“ข้าอยากคารวะท่านเป็นอาจารย์” จิ่วเยากล่าวออกมาตรงๆไม่อ้อมค้อม
หลิงฮันหัวเราะ “ทำไมข้าต้องรับเจ้าเป็นศิษย์ด้วย?”
จิ่วเยาใช้เวลาคิดอยู่ชั่วครู่และกล่าว “ข้าสามารถสังหารคนให้ท่านได้”
หลิงฮันกลายเป็นไร้คำพูดทันที จิตใจของชายหนุ่มผู้นี้หมกหมุ่นกับการเข่นฆ่ามากเกินไป แต่จิ่วเยาเองก็เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี ที่เขาพ่ายแพ้ให้กับติงผิงเป็นเพราะพลังต่อสู้ที่ต่างกันสองดาว หากฝึกฝนให้ดีอนาคตของจิ่วเยาผู้นี้ไม่ด้อยไปกว่าติงผิงแน่นอน
ยิ่งกว่านั้นแม้จิ่วเยาจะฝักใฝ่การฆ่า แต่นิสัยของเขาก็เปรียบเสมือนกระดาษขาว เอาไว้ค่อยๆสอนให้เขาไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“ถ้าเจ้าต้องการนับถือข้าเป็นอาจารย์ อย่างแรกเลยคือห้ามสังหารผู้คนมั่วซั่ว!” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
จิ่วเยาครุ่นคิด ทันใดนั้นเขาก็พยักหน้าและคุกเข่าลงพร้อมกับก้มหัวคารวะสามครั้ง “จิ่วเยา คารวะอาจารย์!”
เร็วเกินไปแล้ว หลิงฮันยังไม่ทันบอกว่าจะรับอีกฝ่ายเป็นศิษย์เลยด้วยซ้ำ!
เขาถอนหายใจ ดูแล้วศิษย์ของเขาคนนี้จะมีนิสัยดื้อรั้นเป็นอย่างมาก… แต่คนเช่นนี้ก็นับว่าหาได้ยากยิ่ง ในโลกนี้จะมีสักกี่คนเชียวที่ตรงไปตรงมาแบบนี้
“ตกลง ตั้งแต่วันนี้ไปเจ้าเป็นศิษย์คนที่หกของข้า”
“ยินดีด้วยท่านอาจารย์! ยินดีด้วยศิษย์น้องหก!” เฉินหลุยเจียงและคนอื่นๆกล่าวแสดงความยินดี
จิ่วเยามองไปยังเฉินหลุยเจียงและศิษย์อีกสามคนก่อนจะส่ายหัวและกล่าว “ทำไมพวกท่านถึงได้ดูอ่อนจัง?” ใบหน้าเขาแสดงออกถึงความสงสัย
เฉินหลุยเจียงและอีกสามคนชะงักทันที เหตุใดศิษย์น้องของพวกเขาถึงได้พูดตรงขนาดนี้?
“ศิษย์น้องหก พวกเราทุกคนไม่ว่าใครก็สามารถเอาชนะเจ้าได้ทั้งนั้น กล้าพูดออกมาได้อย่างไรว่าพวกเราอ่อนแอ?” เจียนเยว่ซวนหัวเราะ เขาเองก็เป็นอัจฉริยะ เมื่อได้ยินคำกล่าวของจิ่วเยาเป็นธรรมดาที่จะไม่สบอารมณ์
“ในการต่อสู้ระดับเดียวกัน พวกท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” จิ่วเยากล่าวอย่างสงบนิ่วไร้สีหน้าราวกับสิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ใช่เรื่องผิด
ฮึ่ม!
เฉินหลุยเจียงและศิษย์อีกสามคนกัดฟัน พวกเขารู้สึกว่าต้องสอนศิษย์น้องใหม่คนนี้ให้รู้จักเคารพศิษย์พี่เสียแล้ว
ตอนที่ 1355
หลิงฮันไม่สนใจการทะเลาะกันเล็กๆน้อยๆระหว่างศิษย์ เขารู้ว่าพวกเฉินหลุยเจียงสามารถแยกแยะเองได้
‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’ เวลาผ่านไปสักพักก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น คนที่เปิดประตูเข้ามาคือเจ้าของโรงเตี๊ยมที่ใบหน้าซีดเผือด “คุณลูกค้า คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหลี่ต้องการพบพวกท่าน”
ในเมืองวายุผสาน ตระกูลหลี่ ตระกูลหลินและตระกูลซื่อถูคือสามตระกูลยักษ์ใหญ่ ในสายตาของผู้คนในเมืองทั้งสามตระกูลเปรียบเสมือนพระเจ้า ตอนนี้เมื่อคุณหนูแห่งตระกูลหลี่ต้องการพบหลิงฮัน เป็นเรื่องปกติที่เจ้าของโรงเตี๊ยมจะรู้สึกกระอักกระอ่วน
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “อืม ถ้าต้องการพบข้าก็ไปพานางมาได้เลย”
เจ้าต้องโรงเตี๊ยมแทบจะทรุกตัวลงกับพื้น “คุณลูกค้า อีกฝ่ายคือคุณหนูใหญ่ของตระกูลหลี่!”
“ข้ารู้แล้ว” หลิงฮันยิ้ม
ไม่รู้ว่าแขกที่เข้าพักคนนี้ไปกินมังกรหรืออะไรมา เหตุใดถึงกล้ากล่าวว่าให้พาคุณหนูใหญ่ของตระกูลหลี่เข้ามาหาเขา เจ้าของโรงเตี๊ยมชะงักและกล่าว “คุณลูกค้าอาจจะไม่ทราบ ตระกูลหลี่คือหนึ่งในตระกูลที่ทรงอำนาจที่สุดในเมืองนี้ จำนวนปรมาจารย์ในตระกูลพวกเขานั้นมากมายจนเรียกได้ว่าแทบจะไร้เทียมทาน!”
หลิงฮันหัวเราะและยิ้ม “ไม่ต้องใส่ใจ แค่กล่าวกับนางไปว่าข้าเป็นคนบอกให้นางมาพบเอง ข้าเชื่อว่านางคงไม่ทำอะไรเจ้า”
เจ้าของโรงเต๊ยมไม่มีทางเลือกอื่นและหันหลังออกจากห้องไป
ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง คนแรกที่เดินเข้าห้องพักมาคือเจ้าของโรงเตี๊ยม คนที่เดินตามเขามาคือสตรีงดงามที่มีท่าทีสูงส่ง
นางคือคุณหนูใหญ่ของตระกูลหลี่ หลี่ลั่วถง
“เจ้าออกไปได้” หลี่ลั่วถงกล่าวกับเจ้าของโรงเตี๊ยมราวกับนางเป็นเจ้าของที่นี่
“ขอรับ!” เจ้าของโรงเตี๊ยมกล่าวอย่างสุภาพนอบน้อม
หลี่ลั่วถงหันมองหลิงฮันและกล่าว “เจ้าเป็นผู้นำของกลุ่ม?”
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “พวกเป็นทั้งศิษย์ของข้าและพี่ชายของข้า เจ้าถามเพื่ออะไร?”
หลี่ลั่วถงมองไปยังติงผิงและกล่าว “ตระกูลหลี่ของข้าต้องการตัวเขา!”
“เขาคือศิษย์ของข้า” หลิงฮันกล่าว
“หากเขาไปยังตระกูลหลี่ของข้า พัฒนาการของเขาจะไปได้ก้าวไกลกว่านี้” หลี่ลั่วถงกล่าวกดดัน
“โอ้ เจ้ามั่นใจได้อย่างไร?” หลิงฮันยิ้ม
“เขาขัดเกลาพลังจนบรรลุขั้นสมบูรณ์ได้สำเร็จซึ่งหาได้ยากยิ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เจ้าไม่สามารถชี้แนะเขาได้!” หลี่ลั่วถงกล่าวตอบโต้
“หากข้าชี้แนะเขาไม่ได้ แล้วตระกูลหลี่ของเจ้าล่ะ?” หลิงฮันไม่สบอารมณ์
หลี่ลั่วถงกล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ผู้เฒ่าของตระกูลข้าเป็นตัวตนระดับดาราขั้นสูงสุดที่มีประสบการณ์มากมาย แถมตระกูลหลี่เองก็มั่งคั่งไปด้วยทรัพยากรบ่มเพาะซึ่งเจ้าไม่สามารถมอบไม่เขาได้”
หลิงฮันอดหัวเราะไม่ได้ “พูดถึงความมั่งคั่งแล้ว เจ้าเตรียมผลึกก่อเกิดพันล้านผลึกไว้แล้วรึยัง?”
หลี่ลั่วถงเปลี่ยนสีหน้า นางลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท!
ไม่สิ ผู้ที่เป็นคนรับผลึกก่อเกิดคือติงผิง ไม่ใช่ชายผู้นี้!
นางหันมองด้วยแววตายั่วยวน “ขอข้าคุยกับกับเขาสองต่อสองได้รึไม่?”
“ตราบใดที่ศิษย์ของข้าไม่ขัดข้อง ข้าก็ไม่มีปัญหา” หลิงฮันกล่าว
หลี่ลั่วถงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ด้วยเสน่ห์ของนางมีรึจะสยบติงผิงไม่ได้?
นางลากตัวติงผิงออกจากห้อง
“อาจารย์ สตรีคนนั้นเห็นได้ชัดว่ากำลังล่อลวงศิษย์น้อง ทำไมท่านถึงยังยอมให้ศิษย์น้องไปกับนาง?” เฉินหลุยเจียงรีบกล่าว
“ใช่แล้ว นางเป็นพยัคฆ์สาวจอมเขมือบไม่ผิดแน่ ศิษย์น้องห้ายังเด็กเกินไปและไม่มีประสบการณ์ด้านความรัก เห้อ ครั้งนี้อาจารย์คงจะต้องเสียทั้งศิษย์และเงินเสียแล้ว” เจียนเยว่ซวนกล่าวต่อ
“ศิษย์น้องห้าเป็นคนรับเงินเดิมพัน หากสตรีผู้นนั้นล่อลวงศิษย์น้องเข้าร่วมกับตระกูลหลี่ได้สำเร็จ ผลึกก่อเกิดหนึ่งพันล้านคงสูญเปล่า” คังซิวหยวนเองก็ถอนหายใจ
“ไม่ว่าหน้าไหนก็ตาบอดกันหมด นี่นางไม่สังเกตุเห็นนายท่านโสมผู้หล่อเหลารึไง?” โสมเฒ่าไม่เข้าใจ น้ำวิเศษของมันไม่เพียงทำให้เหล่าสตรีมีอายุขัยชีวิตยืนยาว แต่พลังบ่มเพาะเองก็ทะยานสูงขึ้นด้วย เหตุใดพวกนางถึงไม่เห็นความของเยี่ยมของนายท่านโสม?
มันสับสนและคิดได้เพียงว่าสตรีเหล่านั้นตาไม่ถึง
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “อาจจะไม่เป็นเช่นนั้น บางทีพวกเจ้าอาจจะได้ศิษย์น้องหญิงเพิ่มขึ้นหนึ่งคน”
“เจ้าแน่ใจ?” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ถาม
“ฮ่าๆ อย่าตัดสินติงผิงด้วยรูปลักษณ์ ที่จริงเขาฉลาดมาก คอยดูว่าใครกันแน่จะเป็นพยัคฆ์!” หลิงฮันยิ้มและส่ายหัว “สาวน้อยตระกูลหลี่ผู้นั้นโชคดีจริงๆ!”
ค่ำคืนผ่านไปติงผิงก็ยังไม่กลับมา แม้แต่วันรุ่งขึ้นอีกสามวันก็ยังไม่เห็นหน้าเขา เรื่องนี้ทำให้เฉินหลุยเจียงและคนอื่นๆส่ายหัว ครั้งนี้อาจารย์คาดการณ์ผิดแล้ว ศิษย์น้องห้าต้องเข้าร่วมกับตระกูลหลี่ไปแล้วแน่นอน
เมื่อถึงวันที่สี่ ในที่สุดติงผิงก็กลับมาพร้อมกับหลี่ลั่วถง ทั้งสองเดินเคียงข้างกันอย่างสนิทสนมบ่งบอกว่ามีเรื่องดีๆเกิดขึ้น
เมื่อเห็นฉากตรงหน้า แม้แต่เจียนเยว่ซวนก็ตาค้าง ศิษย์น้องห้าของเขายอดเยี่ยมถึงขนาดพิชิตคุณหนูใหญ่ของตระกูลหลี่ได้เพียงแต่ระยะเวลาสามวัน
นี่มันปรมาจารย์!
ติงผิงไม่ได้นำสาวงามกลับมาเพียงอย่างเดียว แต่ยังนำผลึกก่อเกิดจำนวนหนึ่งพันล้านกลับมาด้วย
ที่แท้สามวันที่ผ่านมาติงผิงกับหลี่ลั่วถงได้ไปยังสามตระกูลใหญ่เพื่อรวบรวมผลึกก่อเกิดให้ครบพันล้านผลึกนั่นเอง หลังจากรวมรวบได้คบติงผิงจึงรีบกลับมาพร้อมกับหลี่ลั่วถง
ปัง!
ทันใดนั้นเอง เสียงกระแทกอันรุนแรงก็ดังขึ้น จากประสบการณ์ของหลิงฮันเสียงนี้สมควรเป็นเสียงของคนทำลายกำแพงประตูทางเข้าโรงเตี๊ยม
“ติงผิง โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!” ใครบางคนตะโกนลั่น
กลุ่มของพวกเขาออกจากห้องและพบว่าที่ตรงประตูทางเข้าโรงเตี๊ยม กำแพงได้พังทลายหายไปและมีรุ่นเยาว์ผิวฟ้ายืนอยู่บริเวณประตู ท่าทีของเขาดูเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก แม้แต่อากาศรอบกายของเขาก็ยังบิดเบี้ยว
รุ่นเยาว์ผู้นั้นคือซือหม่าหลิง!
ตอนที่ 1356
“ซือหม่าหลิง เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” หลี่ลั่วถงตะโกนทันที
Anchor
ซือหม่าหลิงมองไปยังติงผิงและกล่าว “เจ้าหนูนั่นเป็นเพียงคนนอกเหตุใดเจ้าถึงไปพลอดรักกันโดยไม่ไว้หน้าข้า?”
ที่แท้ก็เป็นรักสามเศร้า
หลิงฮันกับคนอื่นๆไม่กล่าวอะไรและให้พวกเขาจัดการปัญหาเรื่องนี้เอาเอง
“ข้าจะทำอะไรกับใครแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า?” หลี่ลั่วถงไม่สบอารมณ์
“เจ้าลืมไปแล้วรึว่าตระกูลตั้งใจจะให้พวกเราสองคนแต่งงานกัน?” ซือหม่าหลิงพยายามอดกลั้นความโกรธและกล่าวออกมา
“แล้วมันอย่างไร? คุณหนูผู้นี้ไม่เคยเคยเจ้าแม้แต่น้อย!” หลี่ลั่วถงกล่าวอย่างไม่ไว้หน้า
ซือหม่าหลิงระเบิดอารมณ์ออกมา “หมอนั่นดีกว่าข้าตรงไหน? ในแง่ของพรสวรรค์ ข้ามีสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุดของตระกูลซือหม่าในช่วงล้านปีนี้ เจ้าหนูนั่นจะทัดเทียมข้าได้? ในแง่ของพลังบ่มเพาะข้าเองก็บรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดแล้ว ข้าแข็งแกร่งกว่าหมอนั่นไม่รู้กี่ร้อยล้านเท่า ยิ่งกว่านั้นในแง่ของรูปลักษณ์ข้าเองก็หล่อเหลากว่าเยอะ รูปลักษณ์ของหมอนั่นแค่ธรรมดาสามัญ!”
พรวด!
เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย พวกหลิงฮันก็เผยรอยยิ้ม
ขอโทษนะ… เจ้าที่ตัวเป็นสีฟ้าแบบนั้นกล้าเรียกตนเองว่าหล่อเหลางั้นรึ? เจียนเยว่ซวนตลกจนเผลอหัวเราะออกมา
“บัดซบ!” ซือหม่าหลิงเกรี้ยวกราดและปล่อยหมัดที่ปกคลุมไปด้วยรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ใส่เจียนเยว่ซวน
Anchor
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์สะบัดมือเบาๆ ‘ปัง’ รูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์บนหมัดสลายไปทันที
พลังบ่มเพาะของนางในตอนนี้คือระดับสุริยันจันทราขั้นสมบูรณ์ นางแข็งแกร่งกว่าซือหม่าหลิงไม่รู้กี่เท่า
“อาจารย์หญิงช่างแข็งแกร่ง!” เจียนเยว่ซวนชูมือขึ้นและตะโกน
แววตาของซือหม่าหลิงกลายเป็นขึงขัง สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความหลงใหล สตรีผู้นี้ไม่เพียงแข็งแกร่งแต่ยังงดงามมากด้วย ซึ่งทำให้จิตใจของเขาสั่นสะท้าน เขากำหมัดและกวาดตามอง “พวกเจ้าคิดจะเป็นศัตรูกับตระกูลซือหม่า”
“ซือหม่าหลิง เจ้าไม่ได้ค่าพอจะเป็นตัวแทนของตระกูลซือหม่าทั้งหมด!” หลี่ลั่วถงกล่าว
ซือหม่าหลิงเค้นเสียงและกล่าว “ความสัมพันธ์ระหว่างเราเป็นเรื่องที่ตระกูลของพวกเราตัดสิน เจ้าที่เล่นชู้กับเด็กนั่นไม่เพียงแต่จะกระตุ้นความโกรธของตระกูลซือหม่า… แม้แต่ตระกูลเจ้าเองก็ไม่มีทางเข้าข้างเจ้า!”
สีหน้าของหลี่ลั่วถงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตระกูลตั้งแต่จะมอบตัวนางให้กับซือหม่าหลิงซึ่งนางได้ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ตอนนี้เมื่อนางตัดสินใจจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับติงผิง หากผู้อาวุโสตระกูลรู้เข้าจะต้องเกรี้ยวกราดเป็นแน่
“ไม่ต้องไปใส่ใจ ต่อให้ท้องฟ้าร่วงหล่นข้าก็จะแบกรับเอาไว้ให้เอง” ในที่สุดหลิงฮันก็เปิดปาดพูด “ในเมื่อเจ้าตกลงปลงใจกับติงผิงแล้ว ในฐานะที่ข้าเป็นอาจารย์ของเขานี่ถือเป็นของขวัญต้อนรับ” เขาสะบัดนิ้วโยนขวดเม็ดยาให้กับหลี่ลั่วถง
หลี่ลั่วถงรับขวดเอาไว้ นางรู้สึกว่าคำพูดของหลิงฮันแฝงไปด้วยอำนาจอันทรงพลังที่ต้องเชื่อฟัง
นางเปิดฝาขวดออกและเทเม็ดยาสีแดงเพลิงที่ปกคลุมไปด้วยรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ลงบนฝ่ามือ ทันทีที่เม็ดยาถูกเทออกจากขวด เม็ดยาก็สั่นไหวราวกับพยายามจะหลบหนีออกจากฝ่ามือของนาง
นี่มัน!
ในตอนแรกหลี่ลั่วถงไม่คาดคิดว่าหลิงฮันจะมอบเม็ดยาที่ยอดเยี่ยมอะไรมากให้เป็นของขวัญ ในฐานะคุณหนูใหญ่ของตระกูลหลี่ สายตาของนางย่อมเฉียบคม นางดูออกว่าเม็ดยาเม็ดนี้เกือบจะมีสติปัญญาในตัวเอง!
เม็ดยาชนิดนี้จะไม่สูญเสียประสิทธิภาพไปตามกาลเวลา
“เม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง!” สายตาของนางเฉียบคมมากและจำแนกเม็ดยาได้ทันที นางมีความสุขเป็นอย่างมาก ด้วยเม็ดยานี้ ระยะเวลาบ่มเพาะพลังของนางจะย่นลงมาถึงหมื่นปี
“ว่าไงนะ!” ซือหม่าหลิงตกตะลึงไม่แพ้กัน เม็ดยาปราณโลหิตคลั่งเป็นเม็ดยาที่ราคาสูงลิบลิ่วในตลาดอยู่ตลอดเวลา แม้แต่เขาก็เพียงแค่เคยได้ยินชื่อของเม็ดยาชนิดนี้แต่ไม่มีโอกาสได้กินสักครั้ง
หากเขาได้ครอบครองเม็ดยาเช่นนี้สักจำนวนหนึ่ง เขาจะบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดได้ภายในระยะเวลาแสนปีและมีเวลาเหลือเฝือในการทะลวงผ่านระดับดารา
หลี่ลั่วถงทั้งตกตะลึงและมีความสุข นางกุมเม็ดยาเอาไว้โดยไม่รู้จะกล่าวอะไรดี
“เหตุใดถึงยังไม่ขอบคุณท่านอาจารย์ของข้า” ติงผิงกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ขอขอบคุณท่านอาจารย์!” หลี่ลั่วถงรีบโค้งคำนับ
หลิงฮันสะบัดมือ ในฐานะจักรพรรดิปรุงยาที่มีหอคอยทมิฬ เขาไม่สนใจเรื่องมูลค่าของเม็ดยามากเท่าไหร่
ซือหม่าหลิงถลึงตาจ้องหลิงฮันเขม็ง
ทั้งหนึ่งพันผลึกก่อเกิด เม็ดยาปราณโลหิตคลั่งและความโกรธที่มีคนแย่งคนรักไป ความแค้นของเขาในตอนนี้เดือดดาลเป็นอย่างมาก
“ฮึ่ม!” ซือหม่าหลิงหันหลังเดินจากไป
ตอนนี้เขาไม่อาจทำอะไรได้ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องแย่งตัวหลี่ลั่วถงกลับมาเลย แค่สตรีงดงามของอีกฝ่ายก็มีพลังเหนือกว่าเขาแล้ว ดื้อรั้นลงมือต่อไปก็มีแต่จะทำให้ตัวเองเป็นตัวโง่งม
“ไม่ต้องไปใส่ใจ หลังจากการประมูลจบพวกเขาจะออกจากเมืองนี้” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส แม้เขาจะมีพลังระดับดาราขั้นต้น แต่หากเอาจริงก็ใช่ว่าจะไม่สามารถต่อกรกับจอมยุทธระดับดาราขั้นสูงสุด
ตอนนี้เขาให้ความสนใจทั้งหมดไปกับแก่นไขกระดูกหยกที่ให้สัญญากับเฒ่าสวีเอาไว้
หลิงฮันไม่ปล่อยเวลาว่างให้เสียเปล่าและศึกษาหลอมเม็ดยาชนิดใหม่ ตอนนี้เขาบรรลุระดับดาราแล้ว ระดับของเม็ดยาที่สามารถหลอมได้ก็เพิ่มขึ้น ตอนนี้ขีดจำกัดในการหลอมเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ของเขาคือระดับเก้าถึงสิบสอง
เขานำขวดที่ใส่หยดพลังวิญญาณของฉือหวงออกมาและผสมลงไปกับเม็ดยาเพื่อยกระดับประสิทธิภาพเม็ดยาให้สูงขึ้น
ฉือหวงคือจิตวิญญาณศิลา โลหิตของเขาบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก ดังนั้นหยดพลังวิญญาณที่ได้จากเขาจึงเป็นยาบำรุงชั้นเลิศ หลิงฮันเผลอเกิดความคิดชั่ววูบว่า หากไปขอให้สหายของเขาคนนี้รีดเค้นหยดพลังวิญญาณออกมาอีกซักเล็กน้อยจะเป็นอะไรไหม?
แต่เขาก็ส่ายหัวสลัดความคิดนี้ทิ้ง หากสิ่งที่เขาคิดถูกบิดาของฉือหวงล่วงรู้เข้า เกรงว่าเขาคงถูกทุบตีจนหน้าบวมเป็นหมูแน่
สิบวันต่อมา พลังบ่มเพาะของหลิงฮันยกระดับขึ้นอย่างมั่นคงแต่ยังอีกไกลกว่าจะบรรลุขั้นต้นชั้นกลาง
ณ ตอนนี้ในที่สุดก็ถึงเวลาที่การประมูลจะเริ่มแล้ว
……
ณ ตระกูลซือหม่า
ซือหม่าหลิงเดินติดสอยห้อยตามรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งอย่างเคารพ หากไม่ใช่เพราะแก่นไขกระดูกหยกถูกนำประมูลคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเชิญแขกคนนี้มายังตระกูล
ถ้าหลิงฮันอยู่ที่นี่เขาจะต้องจำแขกคนนี้ได้เพียงแค่ชำเลืองมองแน่นอน… แขกผู้มีเกียรติที่ว่าก็คือจ้าวขู่
“นายน้อยขู่ เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าพบเห็นสตรีที่งดงามมากคนหนึ่ง นางเป็นสตรีที่มีเสน่ห์ยั่วยวนเป็นอย่างยิ่ง!” ซือหม่าหลิงหัวเราะในใจ เขาต้องการจะนำพาจ้าวขู่ไปหาหลิงฮัน นายน้อยเจ้าสําราญเช่นจ้าวขู่จะต้องสนใจในตัวสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์แน่ และนั่นจะเป็นการเริ่มต้นของความบาดหมางระหว่างจ้าวขู่กับหลิงฮัน
ตอนที่ 1357
“โอ้ งดงามขนาดนั้นเลย?” แววตาของจ้าวขู่ส่องประกาย
ก่อนหน้านี้เขาได้เผ่นหนีกลับไปยังตระกูลจ้าว ด้วยการที่เขาเป็นบุตรเพียงคนเดียวของจ้าวจู่อี้ เขาจึงไม่ถูกลงโทษใดๆ และเมื่อได้ยินข่าวของแก่นไขกระดูกหยกเขาก็ออกจากตระกูลมาอีกครั้ง
เพียงแต่ว่าเมื่อถูกหลิงฮันชิงสมบัติไปแทบทั้งหมด เขาก็รู้สึกหงุดหงิดโดยที่ไม่อาจหาที่ระบายได้ เมื่อได้ยินว่ามีสาวงามเป็นธรรมดาที่เขาจะต้องการใช้นางเป็นตัวเลือกในการระบายอารมณ์
“ข้ารับประกันว่านายน้อยขู่จะต้องพอใจแน่นอน!” ซือหม่าหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย
“เช่นนั้นทำไมถึงไม่รีบพานางมาหานายน้อยผู้นี้!” จ้าวขู่ไม่สบอารมณ์ ในเมื่อมีสาวงามเช่นนั้นอยู่เหตุใดเมื่อวานเจ้าถึงพาสตรีทั่วมาปรนนิบัติข้า?
ซือหม่าหลิงยิ้มราวกับตัวร้ายและกล่าว “ข้าจะพานายน้อยขู่ไปพบนางเดี๋ยวนี้”
“ให้ไว!” จ้าวขู่ตื่นเต้นและลุกขึ้นยืนทันที
‘ฮึ่ม!’
ซือหม่าหลิงสบถในใจ หากเป็นมีบิดาเป็นปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์และเป็นบุตรเพียงคนเดียวบ้าง เขาเชื่อว่าป่านนี้เขาคงบรรลุขั้นสูงสุดของระดับดาราไปแล้ว
แต่เขาก็ยังฝืนยิ้มและพาจ้าวขู่เดินไปยังโรงประมูล
เขาสืบข้อมูลมาแล้วและรู้ว่ากลุ่มของหลิงฮันเองก็ต้องการแก่นไขกระดูกหยกเช่นกัน แต่ที่จริงแล้วใครบ้างล่ะจะไม่ต้องการ?
……
หลิงฮันพาสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ไปยังโรงประมูลสองต่อสอง เป้าหมายของพวกเขาคือแก่นไขกระดูกหยกเพียงอย่างเดียวจึงไม่จำเป็นต้องพาคนอื่นๆมาด้วยให้วุ่นวาย
“เมื่อได้แก่นไขกระดูกหยกมาแล้ว เราจะเดินทางกลับดาวเหอหนิงทันทีเพื่อไปพบกับจักรพรรดินีที่รักของเจ้า?” ในขณะที่เดินอยู่ สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ก็เอ่ยถามขึ้น
หลิงฮันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นยะเยือกจากความหึงหวงของนาง เขาครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “เราจะกลับไปยังเมืองต้าหยิงก่อน ข้าสัญญาเอาไว้ว่าจะสอนคนคนหนึ่งหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง ไม่รู้ตอนนี้อีกฝ่ายเรียนรู้ไปถึงไหนแล้ว”
“อีกฝ่ายที่ว่าคือสตรี?” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ถามต่อ
เจ้าต้องขี้หึงขนาดนั้นเลย?
หลิงฮันฝืนยิ้ม บังเอิญเหลือเกินที่หลินอวีฉีกับหานซินเหยียนเป็นสตรีทั้งคู่ แถมทั้งสองยังงดงามเหนือว่าสตรีทั่วไปอีกด้วย
“เจ้ามีความลับที่ไม่ได้บอกข้าอีกมากแค่ไหน?” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เอื้อมมือไปหยิกข้อมือของหลิงฮัน
แน่นอนว่าด้วยกายหยาบของหลิงฮันย่อมไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่เขาก็ยังจงใจร้องโอดครวญ “ภรรยาข้า เบาๆหน่อย!”
“ไม่ต้องเสแสร้ง!” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เค้นเสียง
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ภรรยาข้า เมื่อไหร่พวกเราจะเข้าเรือนหอกัน?”
“อันธพาล!” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ยกหมัดและชกเข้าใส่หลิงฮัน
พวกเขาออกจากตรอกซอยและมุ่งหน้าไปยังโรงประมูล ผ่านไปไม่นานโณงประมูลก็ปรากฏขึ้นในระยะสายตาของพวกเขา
“นายน้อยขู่ นางมาแล้ว!” ที่ประตูทางเข้าโรงประมูล ซือหม่าหลิงหันมองซ้ายขวา เมื่อพบว่าหลิงฮันกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันเข้ามา เขาก็แสดงท่าทีตื่นเต้นทันที
ฮึ่ม เตรียมตัวตายได้เลย!
แต่น่าเสียดายที่เจ้าหนูที่แย่งสตรีของเขาไปไม่มาด้วย!
จ้าวขู่มองตามทิศทางที่นิ้วของซือหม่าหลิงชี้ไปก่อนจะชะงัก เมื่อชะงักเสร็จความตกตะลึงของเขาก็เปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว
แน่นอนว่าเขาย่อมจำสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ได้ไม่มีทางลืม
สายตาของเขาเบี่ยงออกไปเล็กน้อยก่อนจะมองเห็นหลิงฮัน ความรู้สึกเย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกมาจากจิตใจของเขาลามไปทั่วทั้งตัว
“นายน้อยขู่ สตรีผู้นั้นใช้ได้เลยว่าไหม?” ซือหม่าหลิงยังไม่รู้ตัวและยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงอวดดี
“ใช้ได้อะไร?” หลิงฮันเดินขึ้นหน้าและกล่าว
ซือหม่าหลิงทำตัวเหมือนเป็นลูกน้องของจ้าวขู่ เขาก้าวออกมาและชี้นิ้วใส่หลิงฮัน “นายน้อยขู่ต้องการสตรีของเจ้า! เจ้ารู้รึไม่ว่าตัวเองโชคดีขนาดไหน รีบๆมอบสตรีของเจ้ามาหากมีวาสนาเจ้าอาจจะได้นางกลับไปใช้ต่อจากนายน้อยขู่ก็ได้”
“โอ้ เป็นงั้นรึ?” หลิงฮันยิ้มและมองไปยังจ้าวขู่
“ใช้ได้น้องสาวเจ้าน่ะสิ!” จ้าวขู่คำรามอย่างบ้าคลั่งก่อนจะทุบตีซือหม่าหลิง
ไม่แปลกที่เขาจะโมโห เขาเพิ่งหนีความตายจากหลิงฮันมาได้ แต่ซือหม่าหลิงกลับนำพาเขากลับมายังขุมนรกหลุมเดิม! ข้าไปบาดหมางอะไรกับเจ้า เหตุใดถึงได้ทำกับข้าเช่นนี้!
ฮึ่ม ข้าจะทุบตีเจ้าให้ตาย!
จ้าวขู่แต่เดิมก็มีนิสัยอวดดีของผู้สืบทอดของปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์อยู่แล้ว ทั่วทั้งจักรวรรดิราชวงศ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์มีคนเพียงหยิบมือที่จะทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว แต่ขุมอำนาจระดับดาราอย่างซือหม่าหลิงกลับกล้าพาเขามาสู่ความตาย จ้าวขู่ในตอนนี้รู้สึกอยากจะสังหารซือหม่าหลิงจนแทบจะเป็นบ้า
“ทำไมกัน!” ซือหม่าหลิงโอดครวญ ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน หรือว่าสาวงามในสายตาของจ้าวขู่จะต่างออกไป? สตรีที่คนอื่นมองว่างดงามแท้จริงแล้วจ้าวขู่กลับมองว่าอัปลักษณ์? ไม่เช่นนี้เหตุใดเขาถึงเกรี้ยวกราดเพียงนี้?
“นายน้อยขู่ ท่านทุบตีข้าทำไม?” ซือหม่าหลิงกุมหัวตัวเองในขณะที่กล่าว ด้วยพลังของเขาไม่มีทางขัดขืนจ้าวขู่ได้อย่างแน่นอน เขาจะรอดหรือตายขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของจ้าวขู่
“ข้าจะสังหารเจ้า! ข้าจะสังหารเจ้า!” จ้าวขู่กล่าวอย่างโหดเหี้ยม ซือหม่าหลิงคิดจะให้เขาแย่งชิงสตรีของหลิงฮัน… นี่ไม่ได้หมายความว่าซือหม่าหลิงต้องการให้เขาตายหรอกรึ?
นายน้อยผู้นี้ไปมีความบาดหมางอันใดกับเจ้ากัน?
ตอนที่ 1358
ตุบ! ตับ! ตุบ!
Anchor
ซือหม่าหลิงโอดครวญในขณะที่ถูกจ้าวขู่ทุบตีอย่างเกรี้ยวกราด เขาโหยหาความยุติธรรม เหตุใดเขาถึงถูกทุบตีอย่างไรเหตุผล?
“นายน้อยขู่ ข้าทำอะไรผิด? นายน้อยขู่โปรดเมตตา! ข้าเพียงแต่หาสาวงามให้นายน้อยเท่านั้น หากนายน้อยไม่พอใจข้าจะหาใหม่ให้อีกครั้ง!”
“หาใหม่น้องสาวเจ้าสิ!” ดวงตาของจ้าวขู่แทบจะพ่นไฟออกมา
ถ้าทำได้เขาก็อยากจะเล่นสนุกกับสาวงามเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ปัญหาก็คือหลิงฮันมีผู้หนุนหลังคือตัวตนระดับสร้างสรรพสิ่ง แม้แต่ม้วนคำสั่งของเขาก็ไม่สามารถใช้งานได้ ดวงดาวแห่งภัยพิบัติเช่นหลิงฮันมีรึเขาจะกล้าล่วงเกิน?
“ตัวบัดซบ ข้าจะถลกหนังของเจ้าออกมา!” จ้าวขู่ลงมืออย่างโหดเหี้ยม
ซือหม่าหลิงผู้น่าสงสารยังคงไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงถูกทุบตี
“หยุดมือ!” เสียงกล่าวอันเย็นชาดังขึ้นพร้อมกับร่างหนึ่งที่เดินลงมาจากโรงประมูลชั้นสอง เขาเป็นชายชราร่างสูงที่รูปลักษณ์ดูมีอายุราวๆหกสิบเจ็ดสิบปี กล้ามเนื้อของเขาหนาแน่นดูทรงพลังมาก
เขาคือผู้อาวุโสของตระกูลซือหม่า ซือหม่าหลิง แม้พลังของเขาจะไม่เทียบเท่าผู้นำตระกูลแต่เขาก็เป็นปรมาจารย์ในระดับดารา พลังบ่มเพาะของเขาคือระดับดาราขั้นสูงที่เท่าเทียมกับจ้าวขู่
การทะเลาะกันของคนรุ่นเยาว์นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังจะการฆ่าสังหารเกิดขึ้น ต่อให้สถานะของจ้าวสู่สูงส่งขนาดนั้นเขาก็ไม่สามารถนั่งมองดูคนของตระกูลซือหม่าถูกสังหารในเมืองวายุผสานแห่งนี้โดยไม่ทำอะไรเลย
“เฒ่าชรา เจ้ากล้าออกคำสั่งนายน้อยผู้นี้รึ?” จ้าวขู่แสดงท่าทีอวดดีเอาแต่ใจ
ซือหม่าเจี้ยนหย่วนแทบตะระเบิดอารมณ์ด้วยความโกรธ ในเมื่อเขาบรรลุระดับดาราแล้วทำไมยังถูกเรียกว่าเฒ่าชราอยู่อีก? เขาเค้นเสียงและกล่าว “ปล่อยเขาไป!”
เขารู้ว่านิสัยของจ้าวขู่เป็นอย่างไร ดังนั้นเขาจึงไม่อยากสาวความยืดให้เรื่องยุ่งยากและขอให้อีกฝ่ายปล่อยตัวซือหม่าหลิงเท่านั้น
“นายน้อยจำเป็นต้องเชื่อฟังเจ้า?” จ้าวจู่ไม่แยแส นอกจากหลิงฮันที่ที่ผู้หนุนหลังเป็นตัวตนระดับสร้างสรรพสิ่งแล้วเขาไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังใคร
“งั้นก็คงต้องขอล่วงเกิน!” ซือหม่าเจี้ยนหย่วนลงมือจู่โจมจ้าวขู่ แต่ว่าเขาใช้พลังออกไปในระดับดีพอดีเพียงเพื่อช่วยเหลือซือหม่าหลิงเท่านั้น
“เจ้ากล้าโจมตีใส่นายน้อยผู้นี้?” จ้าวขู่กล่าวอย่างเย็นชา ร่างของเขาส่องประกายแสงสีเงินพร้อมกับตอบโต้การโจมตีของซือหม่าเจี้ยนหย่วน
เกราะรบสีเงินแทบจะทำให้เขามีพลังป้องกันที่ไร้เทียมทาน พลังโจมตีที่ต่ำกว่าระดับวารีนิรันดร์ไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้
พลังของซือหม่าเจี้ยนหย่วนเทียบเท่ากับจ้าวขู่ เมื่ออีกฝ่ายมีเกราะรบสีเงินเขาจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันที นี่เป็นเพราะจ้าวขู่มอบอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์มากมายให้หลิงฮันไปแล้ว ไม่เช่นนั้นหากเขานำม้วนคำสั่งออกมาก พริบตาเดียวซือหม่าเจี้ยนหย่วนคงกลายเป็นเศษเนื้อไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ซือหม่าเจี้ยนหย่วนไม่มีความคิดจะสู้เป็นตายกับจ้าวขา เขาจงใจล่อให้จ้าวขู่เพ่งเล็งการโจมตีมาที่เขาจนในที่สุดก็แย่งตัวซือหม่าหลิงกลับมาได้
ซือหม่าหลิงผู้น่าสงสารมีสีหน้าเศร้าโศก เขายังคงไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงถูกทุบตี
ถ้าเรื่องนี้ไม่กระจ่างเขาคงตายตาไม่หลับ
“ฮ่าๆ พี่ชายฮัน ไม่ได้พบกันเสียนานเลย” จ้าวขู่ทักทายหลิงฮัน ในขณะที่พูดคุยกับหลิงฮันเขาไม่แสดงท่าทีเกรี้ยวกราดใดๆออกมาแม้แต่น้อย
พรวด!
ซือหม่าหลิงกระอักเลือดออกมา… ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง
จ้าวขู่รู้จักกับหลิงฮันมาก่อน เขาที่จงใจชี้นำให้ทั้งสองบาดหมางกันจึงเป็นการกระตุ้นความโกรธของจ้าวขู่!
แม้แต่ทายาทของตัวตนระดับวารีนิรันดร์อย่างจ้าวขู่ยังเรียกหลิงฮันว่าพี่ชาย ที่จริงแล้วหลิงฮันที่เบื้องหลังที่แข็งแกร่งขนาดไหนกัน?
ที่แน่ๆต้องเป็นปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์เป็นอย่างน้อย!
“พวกเราคงมีชะตาร่วมกัน” หลิงฮันหัวเราะ เขาจดจ้องไปยังเกราะรบสีเงินของจ้าวขู่ หากแบ่งมันมาให้กับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ได้คงดีไม่น้อย
“พี่ชายฮันเองก็มาเพื่อแก่นไขกระดูกหยกเหมือนกัน?” จ้าวขู่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประจบประแจ หากบิดาของเขามาเห็นคงไม่เคชื่อสายตาว่านี่คือบุตรชายเพียงคนเดียวของเขา
หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “เจ้าเองก็เหมือนกัน?”
“ย่อมไม่ใช่! จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!” จ้าวขู่รีบส่ายหัว “ข้ามาเพื่อคุ้มกันพี่ชายฮัน ใครที่กล้าแย่งประมูลกับพี่ชายฮันดูสิว่าข้าจะจัดการอย่างไร!”
“ก็ดี” หลิงฮันยิ้ม
จ้าวขู่มีปลื้มปิติ แม้เขาจะเป็นบุตรของตัวตนระดับวารีนิรันดร์ แต่หากเขาสร้างความสัมพันธ์ที่กับหลิงฮันที่มีผู้หนุนหลังคือปรมาจารย์ระดับสร้างสรรพสิ่งได้ล่ะจะยอดเยี่ยมขนาดไหน? ทั่วทั้งจักรวรรดิราชวงศ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้เขาอยากจะสังหารใคร หรืออยากหลับนอนกับใครก็ย่อมทำได้ตามใจปรารถนา
เมื่อคิดเช่นนี้เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“พี่ชายฮัน เชิญเลย!” จ่าวขู่นำหลิงฮันเข้าโรงประมูลด้วยท่าทีสุภาพ
ซือหม่าเจี้ยนหย่วนมองทั้งสองคนเดินจากไปก่อนจะกล่าวกับซือหม่าหลิง “เกิดอะไรขึ้น?”
ซือหม่าหลิงรู้สึกกระอักกระอ่วน เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้น? เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป เขาใช้เงินไปจำนวนมากเพื่อเชิญจ้าวขู่มาที่นี่เพื่อยืมใช้อำนาจของอีกฝ่าย แต่สุดเขากลับกลายเป็นฝ่ายถูกตบหน้าแทน
“เจ้าตัวไร้ประโยชน์ กลับนิกายไปสำนึกตัวเองซะ!” ซือหม่าเจี้ยนหย่วนกลัวว่าหากการที่ทำล่วงเกินจ้าวขู่ไปทำให้ตระกูลจ้าวเกลียดพวกเขาขึ้นมา เมืองวายุผสานคงต้องเปลี่ยนจากสามตระกูลใหญ่เป็นสองตระกูลใหญ่แทน
ด้านในโรงประมูล จ้าวขู่ทำตัวราวกับเป็นน้องเล็กที่แสนดีพาหลิงฮันเข้าไปยังห้องส่วนตัว
ห้องส่วนตัวนี้แต่เดิมแล้วเป็นห้องที่ซือหม่าหลิงจองเอาไว้ ตอนนี้จ้าวขู่ได้นำไปให้หลิงฮันเสียแล้ว ถ้าซือหม่าหลิงรู้เข้า เขาจะต้องกระอักโลหิตตายเป็นแน่
หลังจากนั้นไม่นานการประมูลก็เริ่มต้นขึ้น
หลิงฮันไม่สนใจประมูลอย่างอื่น ครั้งนี้เขามาเพื่อแก่นไขกระดูกหยกเท่านั้น เขาหลับตาเพื่องีบหลับ แต่จ้าวขู่ที่อยู่ข้างๆเขาพูดพล่ามไปมาไม่หยุดด้วยน้ำเสียงประจบสอพลอ
“ทุกท่าน ของประมูลชิ้นถัดไปคือแก่นไขกระดูกหยก!” ผู้ดำเนินการประมูลตะโกน ทันใดนั้นเสียงโห่ร้องของทุกคนก็ดังกึกก้องและกระตุ้นความตื่นเต้นของทุกคนได้ในพริบตา “ราคาต่ำสุดคือห้าสิบล้านผลึกก่อเกิด ราคาเสนอแต่ละครั้งต้องไม่ต่ำกว่าสิบล้านผลึกก่อเกิด!”
“ห้าสิบล้าน!” จ้าวขู่ตะโกนลั่น “ข้าคือบุตรของจ้าวจู่อี้ ใครกล้าประมูลแข่งกับข้า?”
ผู้สืบทอดเพียงคนเดียวผู้นี้อวดดีเป็นอย่างมาก เขาประมูลแข่งเพื่อสร้างความประทับใจต่อหลิงฮัน
ตอนที่ 1359
อะไรคือการประมูล?
มันคือการที่ทุกคนแข่งขันกันตั้งราคาสินค้าให้สูงขึ้น
จ้าวขู่อวดดีข่มเหงเป็นอย่างมาก แค่สินค้าถูกนำขึ้นมาเขาก็ใช้อำนาจของบิดาข่มขวัญคู่แข่ง เรื่องนี้ทำให้ผู้คนมากมายแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์และอยากจะลากเขาลงมาทุบตีเสียเหลือเกิน
หลิงฮันยิ้ม ด้วยความช่วยเหลือของนายน้อยผู้เอาแต่ใจคนนี้ เขาสามารถประหยัดผลึกก่อเกิดไปได้มาก
“เหอะ การประมูลคือการตัดสินว่าใครมีเงินเยอะกว่า ไม่ใช่การเบ่งอำนาจ!” ในห้องส่วนตัวอีกห้อง ใครบางคนกล่าวอย่างเย็นชา “หกสิบล้าน!” คนคนนั้นเพิ่มราคาแก่นไขกระดูกหยก
“อวดดีนัก เจ้ามีอำนาจยิ่งใหญ่มาจากไหน กล้าเอ่ยนามของเจ้ารึไม่?” จ้าวขู่ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด เขาได้ประกาศชื่อของบิดาของเขาออกไปแล้ว ยังมีคนกล้าไม่ไว้หน้าเขาอยู่อีกรึ อีกฝ่ายกำลังดูถูกเขาอยู่ชัดๆ
“ตระกูลกู่ กู่ฉ่าวอวิ๋น!” เสียงอันหยิ่งยโสดังขึ้นในห้องส่วนตัว ท่าทางอวดดีของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าจ้าวขา
“หรือวจะเป็นตระกูลกู่ของจอมพลกู่?”
“ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ เพราะงั้นเขาถึงไม่หวาดกลัวอำนาของต้องตระกูลจ้าว!”
ทุกคนอุทานด้วยสีหน้าตื่นเต้น ถ้าพวกเขาไม่สามารถประมูลแก่นไขกระดูกหยกได้ เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะหวังให้ราคาของสินค้าสูงขึ้น ยิ่งจ้าวขู่ต้องผลาญเงินมากขึ้นเท่าไหร่พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกปลื้มปริ่ม
“เจ็ดสิบล้าน!” จ้าวขู่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ อีกฝ่ายมีเบื้องหลังเป็นตัวตนระดับวารีนิรันดร์เช่นเดียวกันทำให้ไม่ต้องหวาดกลัวเขา เรื่องนี้ทำให้เขาหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถใช้อำนาจของบิดาได้แล้วและต้องสู้ด้วยอำนาจเงินเพียงอย่างเดียว
“พี่ชายฮันไม่ต้องกังวล ข้านำเงินติดตัวมาด้วยสองร้อยล้านผลึกก่อเกิด ข้ามั่นใจว่าจะต้องนำแก่นไขกระดูกหยกมาให้พี่ชายฮันได้แน่นอน!” เขากล่าวอย่างมั่นใจ
หลิงฮันยิ้ม เขาไม่ชอบใช้ประโยชน์จากใคร แต่นายน้อยผู้เอาแต่ใจคนนี้เป็นกรณียกเว้นเนื่องจากอีกฝ่ายเคยกล้ามีความคิดไม่ดีต่อสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ หากไม่ใช่เพราะเกราะรบสีเงิน อีกฝ่ายคงจะไปพบยมบาลเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นเมื่อตอนนี้จ้าวขู่พยายามประจบเอาใจเขา หลิงฮันจึงไม่ห้ามปราม
“แปดสิบล้าน!” กู่ฉ่าวอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งอย่างไม่แยแส
“เก้าสิบล้าน!” จ้าวขู่สู้ไม่ถอย เขาเพิ่มราคาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“หนึ่งร้อยล้าน!”
“หนึ่งร้อยสิบล้าน!”
ด้วยการแย่งชิงระหว่างสองนายน้อย ราคาของแก่นไขกระดูกหยกจึงทะยานสูงขึ้น คนอื่นไม่มีโอกาสประมูลแม้แต่น้อยเนื่องจากราคาในตอนนี้ได้สูงเกินกว่าที่พวกเขาจะจ่ายไหวไปแล้ว
แต่เมื่อราคาเพิ่มขึ้นมาถึงร้อยห้าสิบล้าน จ้าวขู่ก็เริ่มเหงื่อตก เขานำผลึกก่อเกิดติดตัวมาเพียงสองร้อยล้านผลึกซึ่งราคาในตอนนี้ใกล้จะถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว แต่น้ำเสียงของอีกฝ่ายกลับยังคงสงบนิ่งราวกับว่ายังมีผลึกก่อเกิดเหลืออีกมากมาย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกเสียหน้ามาก
แถมเขากำลังอยู่ต่อหน้านายน้อยฮันด้วย!
“สองร้อยล้าน!” เขาเสนอราคาสูงสุดที่สามารถจ่ายได้ออกไปเพื่อพยายามทำลายท่าทีเยือกเย็นของอีกฝ่าย
“สองร้อยล้านเชียวรึ!”
“แม้แก่นไขกระดูกหยกจะไม่มีราคาตลาด แต่สองร้อยล้านผลึกก็ถือว่ามากมายเกินไป”
“ราคาของมันสมควรอยู่ที่ราวๆหนึ่งร้อยล้านผลึกก่อเกิดเท่านั้น”
“ไม่หรอก นี่เป็นการแย่งชิงกันระหว่างสองขุมอำนาจใหญ่ หากมีฝ่ายใดเสนอราคาสามร้อยล้านผลึกข้าก็ไม่แปลกใจ”
“สองร้อยล้านครั้งที่หนึ่ง!”
“สองร้อยล้านครั้งที่สอง!”
“สองร้อยสิบล้าน!” ในขณะที่จ้าวขู่คิดว่าตนเองชนะแล้ว เสียงของกู่ฉ่าวอวิ๋นก็ดังขึ้นเพิ่มราคาอีกครั้ง
“บดซับ!” จ้าวขู่สบถออกมาทันที แต่เมื่อเห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ขมวดคิ้วมองมาที่เขา จ้าวขู่ก็รีบยิ้มแฉ่งทันที “ข้าพลั้งปากไปหน่อย ข้าจะลงโทษตัวเองเดี๋ยวนี้!” เขาใช้ฝ่ามือตบปากตัวเอง แต่แน่นอนว่าแค่เบาๆเท่านั้น
“นายน้อยฮัน ข้าขอโทษด้วย ข้าไม่เหลือไม่ผลึกก่อเกิดมากกว่านี้แล้ว” จ้าวขู่หน้าแดงด้วยความอับอาย นายน้อยเจ้าสําราญเช่นเขากลับต้องมาอับจนในช่วงเวลาสำคัญ!
หลิงฮันไม่สนใจและกล่าว “สองร้อยห้าสิบล้าน!”
‘ว่าไงนะ?’
ทุกคนตกตะลึง เหตุใดถึงมีเสียงของบุคคลที่สามดังขึ้นมา? ยิ่งกว่านั้นเสียงของคนที่ว่ายังดังออกมาจากห้องส่วนตัวของจ้าวขู่อีกด้วย คราวนี้เป็นนายน้อยของตระกูลใดอีก?
แต่จะว่าไปแล้ว ไม่ใช่ว่าครั้งนี้ตระกูลซือหม่าเป็นคนเชิญและคอยดูแล้วความสะดวกสบายของจ้าวขู่อยู่หรอกรึ?
ใครบางคนรู้มากและกล่าวออกมาว่าคนที่จองห้องส่วนตัวห้องนั้นคือซือหม่าหลิงทำให้ทุกคนคิดไปเองว่าเสียงของคนที่กำลังประมูลแข่งอยู่คือซือหม่าหลิง
“ซือหม่าหลิงผู้นี้ใจกล้าไม่เบา ไม่นึกว่าเขาจะกล้าประมูลสมบัติแข่งกับนายน้อยตระกูลกู่”
“ราคาของแก่นไขกระดูกหยกในตอนนี้ก็สูงมากอยู่แล้ว ถ้าท้ายที่สุดคนที่ชนะประมูลคือนายน้อยกู่ เมื่อถึงตอนนั้นกู่ฉ่าวอวิ๋นก็จะคิดว่าซือหม่าหลิงจงใจเพิ่มราคาให้สูง และทั้งสองก็จะเกิดความขัดแย้งกันอย่างช่วยไม่ได้”
“แต่ถ้าซือหม่าหลิงชชนะประมูลจริงๆ กู่ฉ่าวอวิ๋นคงไม่อยู่เฉยแน่”
“ไม่ว่าผลลัพธ์การประมูลจะเป็นอย่างไร ตระกูลซือหม่าก็ได้ล่วงเกินตระกูลตระกูลกู่ไปแล้ว”
ถ้าซือหม่าหลิงอยู่ที่ดี เขาคงกระอักโลหิตออกมาอีกครั้งแน่ นี่มันเรื่องบัดซบอันใด? ข้าไปเกี่ยวอะไรด้วย!
“สะ… สองร้อยหกสิบล้าน!” นายน้อยกู่ลังเลเล็กน้อยก่อนจะเสนอราคาเพิ่ม
ราคาในตอนนี้เหนือกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้มาก แต่ในฐานะนายน้อยใหญ่ของตระกูลกู่เขาจะยอมรับความพ่ายได้อย่างไร?
การประมูลฝนตอนนี้ไม่ใช่เพื่อแก่นไขกระดูกหยก แต่เป็นเกียรติยศ!
“สามร้อยล้าน” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส เขาในตอนนี้ไม่เพียงถือเงินก้อนใหญ่อยู่ แต่เขายังนำเม็ดยาและอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์มากมายลงประมูลด้วย ซึ่งอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ก็เป็นของที่ชิงมาจากจ้าวขู่ รวมๆแล้วพวกมันน่าจะขายได้สองถึงสามร้อยล้าน
ดังนั้นตอนนี้เขาจึงถือว่ามั่งคั่งโดยที่ไม่ต้องไปสนใจว่าจะเสนอราคาเท่าไหร่
“สะ สามร้อยสิบล้าน!” กู่ฉ่าวอวิ๋นปาดเหงื่อ เขามีลางสังหรณ์ว่าตนเองกำลังจะแพ้แล้ว
แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิดไม่ผิด เสียงของหลิงฮันดังขึ้นต่อจากเขาทันที “สามร้อยห้าสิบล้าน”
เมื่อราคาเพิ่มถึงขนาดนี้ กู่ฉ่าวอวิ๋นก็ลังเลอยู่ชั่วขณะและเลือกที่จะไม่เสนอราคาต่อ
“สามร้อยห้าสิบล้านครั้งที่หนึ่ง!”
“สามร้อยห้าสิบล้านครั้งที่สอง!”
“สามร้อยห้าสิบล้านครั้งที่สาม! สิ้นสุดการประมูลสินค้าชิ้นนี้!”
ผู้บรรยายการประมูลเคาะโต๊ะและประกาศผู้ที่ได้แก่นไขกระดูกหยกไปครอบครอง
ตอนที่ 1360
หลิงฮันแสดงสีหน้าพึงพอใจ ในที่สุดเขาก็ทำสัญญาที่ให้ไว้กับเฒ่าสวีสำเร็จเสียที
เขาได้รับผลประโยชน์มากมายมาจากเฒ่าสวี ไม่ว่าจะเป็นทักษะจิตเจ็ดสังหารหรือทักษะบ่มเพาะหกธาตุผสาน ทั้งสองล้วนเป็นทักษะชั้นยอด
ทีนี้เขาก็สามารถกลับดาวเหอหนิงได้โดยไม่ต้องมีอะไรติดค้างคาใจ
“นายน้อยฮันช่างมั่งคั่ง ข้านับถือนายน้อยจริงๆ!” จ้าวขู่ยกนิ้วให้หลิงฮัน แม้เขาจะกล่าวเพื่อประจบประแจงแต่ก็กล่าวออกมาจากใจจริง เพราะอย่างไรต่อให้เป็นนายน้อยเช่นเขาก็ไม่สามารถผลาญเงินจำนวนมากขนาดนั้นได้
หลิงฮันยิ้ม เขากับจ้าวขู่ไม่ได้มีชะตาต้องกัน ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะสร้างมิตรภาพกับอีกฝ่าย
หลังจากนั้นก็มีสมบัติมากมายถูกนำออกมาประมูล ไม่ว่าจะเป็นแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์หรือเม็ดยาก็ถูกนำออกมาประมูลปะปนกันไป
หลิงฮันร่วมประมูลชิงเอาแร่โลหะทั้งหมดมาเพื่อยกระดับให้กับดาบอสูรนิรันดร์
“หืม ทำไมอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนั้นถึงดูคุ้นตานัก!” จ้าวขู่กำลังเบื่อหน่าย แต่เมื่อมองไปยังกระบี่ที่ถูกนำออกมาประมูล เขาก็เกาหัวด้วยความรู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาดกับกระบี่เล่มนั้น
Anchor
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ยิ้ม เขาจะไม่คุ้นได้อย่างไร? อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนั้นแต่เดิมเป็นของจ้าวขู่ที่หลิงฮันแย่งชิงมาและนำไปลงประมูล
หลังจากนั้นจ้าวขู่ก็ยังคงพบว่ามีอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์อีกไม่น้อยที่เมื่อมองไปแล้วรู้สึกคุ้นตา จนกระทั่งดาบเล่มสุดท้ายถูกประมูลออกไปเขาถึงจะจำได้ว่าอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดนั่นเป็นของเขา!
เขาหันไปมองหลิงฮัน คนที่จะนำอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นไปประมูลได้คงไม่มีใครอื่นนอกจากหลิงฮันแล้ว
แม้เขาจะไม่สบอารมณ์แต่ก็ไม่กล้าแสดงสีหน้าโมโหออกไป ล้อเล่นรึเปล่า? อีกฝ่ายเป็นถึงทายาทของตัวตนระดับสร้างสรรพสิ่งที่เขาไม่มีทางต่อกรได้ แน่นอนว่าหากเบื้องหลังของเขาทัดเทียบกับอีกฝ่ายเขาจะเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อหลิงฮันทันที
นี่ล่ะคือนิสัยของเขา
จ้าวขู่ประมูลแข่งนำอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นของเขาจำนวนหนึ่งกลับมา แต่กูฉ่าวอวิ๋นที่พ่ายแพ้ในการประมูลแย่งชิงแก่นไขกระดูกหยกย่อมต้องเกลียดจ้าวขู่อยู่แล้ว อีกฝ่ายจงใจเพิ่มราคาของอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำให้จ้าวขู่เสียผลึกก่อเกิดจำนวนมาก
จ้าวขู่อยากจะร้องไห้ นี่เป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ของเขาแท้ๆ แต่เขากลับต้องซื้อพวกมันด้วยราคาสูงลิบลิ่ว ในขณะเดียวกันเขายังรู้สึกเกลียดชังกูฉ่าวอวิ๋นยิ่งขึ้นไปอีก เขาสาบานจะต้องเอาคืนอีกฝ่ายที่กล้าขัดแข้งขัดขากับเขา
การประมูลดำเนินอย่างยาวนานจนสิ้นสุดลงในอีกห้าวันต่อมา หลิงฮันเก็บเกี่ยวได้มากพอสมควรกับการประมูลครั้งนี้ ไม่เพียงแค่แก่นไขกระดูกหยกเท่านั้น แร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ที่เขาได้มาก็มีจำนวนมากเช่นกัน
เขามุ่งหน้าไปชำระเงินโดยที่จ่ายไปเพียงเจ็ดสิบล้านผลึกก่อเกิดเท่านั้น เนื่องจากเม็ดยาและอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เขานำลงประมูลสามารถทำเงินได้มากกว่าสี่ร้อยล้านผลึกกาอเกิด แม้จะประมูลแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากมาเขาก็ยังเหลือผลึกก่อเกิดอยู่อีกมหาศาล
“ซือหม่าหลิงสินะ?” เมื่อหลิงฮันออกจากโรงประมูล เขาก็พบกับรุ่นเยาว์คนหนึ่งที่ยืนรอเขาอยู่ เขาเป็นชายหนุ่มร่างผอมตาตี่ อีกฝ่ายจ้องมองหลิงฮันไม่วางตา “ข้าจะจำเจ้าเอาไว้”
ชายหนุ่มที่ว่าคือกูฉ่าวอวิ๋น
“ซือหม่าหลิง ข้าจะจำเจ้าไว้!”
หลังจากกล่าวเสร็จอีกฝ่ายก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่เปิดโอกาสให้หลิงฮันกล่าวอะไร
หลิงฮันเกิดความรู้สึกมึนงง เหตุใดความบาดหมางของเขากับกูฉ่าวอวิ๋นถึงไปลงที่ซือหม่าหลิง? นี่เขาควรจะรีบไปอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจรึเปล่า?
ช่างมันเถอะ…
“ฮ่าๆๆๆ!” จ้าวขู่หัวเราะ เขากำลังคิดว่าถ้ากูฉ่าวอวิ๋นรู้ตัวว่าตนเองได้กล่าวขู่ใครเอาไว้อีกฝ่ายจะทำหน้าแบบไหน? ยิ่งคิดก็เขาก็ยิ่งยิ้มไม่หยุด
หลิงฮันเดินกลับไปโรงเตี๊ยมพร้อมกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ แน่นอนว่าเขาไม่สนใจว่าหลังจากนี้กูฉ่าวอวิ๋นจะลงมือทำอะไรกับซือหม่าหลิงรึไม่
เมื่อกลับถึงโรงเตี๊ยมพวกเขาก็เตรียมตัวกลับไปยังเมืองต้าหยิง และเมื่อเสร็จธุระที่นั่นแล้วพวกเขาก็ยังออกจากดาวหยุนติ่งและกลับไปดาวเหอหนิง หลังจากนี้อีกราวๆร้อยปีหลิงฮันต้องมุ่งหน้าไปยังสำนักละอองดาราในเขตดวงดาวสี่ทิศเพื่อท้าทายเหล่าอัจฉริยะที่แท้จริง
“ข้าออกไปกับพวกเจ้าไม่ได้” หลี่ลั่วถงกัดริมฝีปาก “ตระกูลได้ส่งคนไปคุ้มกันประตูเมืองเอาไว้ หากข้าออกจากเมืองนี้คงหนีไม่พ้นถูกนำตัวกลับมา”
หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “ไม่ใช่ปัญหา หากข้าต้องการนำใครออกไปจากเมืองนี้ ใครจะหยุดข้าได้?”
หลี่ลั่วถงไม่เชื่อ แม้หลิงฮันจะแข็งแกร่งมากก็จริงแต่เขาก็เป็นเพียงจอมยุทธระดับดาราขั้นต้นชั้นต้นเท่านั้น ต่อให้เขาเป็นอัจฉริยะสิบดาวก็ทำเพียงต่อสู้ทัดเทียมกับจอมยุทธระดับดาราขั้นสูงชั้นปลาย ตระกูลหลี่นั้นมีผู้นำคือปรมาจารย์ระดับดาราขั้นสูงสุดที่เป็นอัจฉริยะสี่ดาว!
แต่ในเมื่ออาจารย์ของคนรักของนางกล่าวเช่นนั้น ต่อให้นางไม่เชื่อนางก็ไม่กล้าตั้งคำถาม
ถึงอย่างนั้นนางกลับพบว่าทุกคนนอกจากนางนั้นเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวหลิงฮัน
หมายความว่าอย่างไร?
นางรู้ว่าหลิงฮันมีพรสวรรค์ราวกับสัตว์ประหลาด แต่พวกเจ้าจะเทิดทูนชายคนนี้โดยไม่ลืมหูลืมตาเลยงั้นรึ?
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ถึงเวลาพาจิ่วเยากับลั่วถงเข้าหอคอยทมิฬแล้ว”
เขาสะบัดมือและพาทุกคนเข้าไปในหอคอยทมิฬ
ทันใดนั้นเองสองคนที่ไม่เคยเข้ามาในหอคอยทมิฬมาก่อนก็แสดงสีหน้าตกตะลึง นี่มันอุปกรณ์มิติระดับศักดิ์สิทธิ์!
หลิงฮันพาทุกคนไปยังต้นสังสารวัฏและกล่าว “พวกเจ้าบ่มเพาะพลังที่นี่ไปก่อน เมื่อถึงเมืองต้าหยิงข้าจะมาแจ้งอีกครั้ง”
“อืม!” เฟิงโปหยุนและคนอื่นๆพยักหน้า
หลี่ลั่วถงตกตะลึงจนพูดไม่ออก ส่วนจิ่วเยานั้นปรับตัวได้ไวมาก เขานั่งลงใต้ต้นสังสารวัฏและเริ่มบ่มเพาะพลัง เซียนหวู่เซียงกับจักรพรรดิจอมอสูรเองก็นั่งอยู่ที่นี่ด้วย พวกเขากำลังบ่มเพาะโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
หลิงฮันกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ออกจากหอคอยทมิฬ ตอนนี้สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ติดคอขวดของระดับดาราอยู่ การหมกหมุ่นอยู่กับการบ่มเพาะพลังย่อมไม่ช่วยอะไรมาก นางตัดสินออกมาที่โลกภายนอกเพื่อปรับเปลี่ยนบรรยากาศ
ทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกจากเมือง
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะถูกเพ่งเล็งโดยสามตระกูลใหญ่ ทันทีที่เดินมาถึงประตูเมืองพวกเขาก็ถูกคนเฝ้าประตูไต่สวนอย่างหนักเนื่องจากจอมยุทธระดับพระเจ้านั้นสามารถย่อหดร่างกายของตนเองได้ เหตุการณ์ที่แอบซ่อนคนอื่นเอาไว้ตามแขนเสื้อหรือที่ต่างๆนั้นเป็นเรื่องปกติในการลอบเข้าออกเมือง
แต่หลิงฮันเป็นตัวตนระดับดารา ใครจะกล้าตรวจสอบร่างกายเขา สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เองก็มีพลังบ่มเพาะระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดในสายตาคนภายนอกซึ่งไม่อาจดูหมิ่นได้
ดังนั้นที่นี่จึงมีตัวตนระดับดาราคอยเฝ้าอยู่ด้วย เขาใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบหลิงฮันกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์และไม่พบพลังชีวิตของใครอื่นถูกซ่อนเอาไว้
“เจ้าว่าจะมีใครดักรอพวกเราอยู่รึเปล่า?” หลิงฮันกล่าวกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์
“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กล่าว
หลิงฮันถือครองทั้งผลึกก่อเกิดจำนวนมหาศาลและแก่นไขกระดูกหยก ก่อนหน้านี้ในเมืองแม้ทุกคนจะดูมีศิลธรรม แต่เมื่อใดที่ออกจากเมืองมารชั่วร้ายในจิตใจก็จะปรากฏออกมา
“พูดไม่ทันขาดคำ ก็ต้องลงมือสังหารคนเสียแล้ว!” แววตาของหลิงฮันส่องประกายด้วยจิตสังหาร
ตอนที่ 1361
ออกจากเมืองยังไม่ทันไร ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นบนฟ้าและขวางทางพวกเขาเอาไว้
ผิวของร่างนั้นเป็นสีฟ้า
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าต้องเป็นคนของตระกูลซือหม่าไม่ผิดแน่ หลิงฮันเคยพบกับอีกฝ่ายมาแล้ว ร่างที่ปรากฏตัวคือซือหม่าเจี้ยนหย่วน
“เจ้าเป็นตัวตนระดับดาราแท้ๆ แต่กลับใช้แอบใช้ชื่อรุ่นเยาว์ตระกูลของข้า เจ้าไม่รู้สึกว่าตัวเองหน้าด้านเกินไปหน่อยรึไง?” ซือหม่าเจี้ยนหย่วนกล่าวอย่างเย็นชา บนมือของเขาปกคลุมไปด้วยรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ที่พร้อมโจมตี
หลิงฮันกล่าวอย่างสงบนิ่ง “ข้าเคยพูดด้วยรึว่าข้าเป็นคนของตระกูลซือหม่า? เป็นคนอื่นเองที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งข้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปชี้แจงกับพวกเขา”
“ฮึ่ม ไม่ว่าเจ้าจะพล่ามอะไร วันนี้ชายชราก็จะจัดการเจ้า!” ซือหม่าเจี้ยนหย่วนพุ่งโจมตีใส่หลิงฮัน
เขาต้องรีบลงมือให้ไว
เมืองวายุผสานไม่ได้มีปรมาจารย์ระดับดาราเช่นเขาเพียงคนเดียว หลิงฮันที่ถือครองทรัพย์สมบัติเอาไว้มากมาย หากไม่รีบลงมือคงมีคนอื่นเข้ามายุ่มย่าม
“ตาย!” ซือหม่าเจี้ยนหย่วนหยุดอยู่ห่างจากหลิงฮันในระยะราวๆสามเมตรซึ่งเป็นระยะที่เขาสามารถปลดปล่อยการโจมตีได้เต็มประสิทธิภาพที่สุด
เขาปล่อยฝ่ามือออกไป ‘ครืนน’ รูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์เบ่งบานพร้อมกับควบแน่นเป็นคลื่นแสงทำลายล้างพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน ที่ด้านหลังของเขาปรากฏดวงดาราสามดวงที่เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเขามีพลังบ่มเพาะระดับดาราขั้นสูง
‘ตูม’ พื้นดินโดยรอบถูกบดขยี้จนเกิดรอยแตกร้าวที่มองไม่เห็นความลึก
พริบตาเดียว คลื่นแสงก็พุ่งมาถึงด้านหน้าหลิงฮัน
หลิงฮันยกฝ่ามือขึ้นและกระแทกออกไป
ปัง!
เกิดเสียงปะทะอันรุนแรง ร่างของหลิงฮันถูกผลักถอยหลังราวๆร้อยไมล์ก่อนที่คลื่นแสงจะสลายไป
ซือหม่าเจี้ยนหย่วน้าปากค้างและใบหน้าเปลี่ยนสีด้วยความตะลึง
บ้ารึเปล่า พลังกายกับกายหยาบนั่นมันอะไร!
อีกฝ่ายเป็นเพียงจอมยุทธระดับดาราไม่ผิดแน่ ส่วนเขาคือจอมยุทธระดับดาราขั้นสูงสุดชั้นกลาง พลังบ่มเพาะของเขากับหลิงฮันต่างกันถึงเก้าชั้นย่อย ตามหลักแล้วเขาควรจะเหยียบย่ำอีกฝ่ายได้ไม่ยากเย็นด้วยซ้ำ! แต่หลิงฮันไม่เพียงรับการโจมตีของเขาซึ่งๆหน้าแต่ยังสลายการโจมตีของเขาได้อีกด้วย
กายหยาบของอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งเกินไปรึเปล่า?
ไม่เช่นนั้น หากรับการโจมตีเมื่อครู่ซึ่งๆหน้า จอมยุทธระดับดาราขั้นต้นสมควรจะถูกบดขยี้เป็นเศษซากไปแล้ว
สัตว์ประหลาด!
หลิงฮันดึงฝ่ามือกลับและขมวดคิ้ว “ระดับพลังบ่มเพาะแตกต่างกันเกินไป ฝืดมืออยู่พอสมควร” ความแตกต่างของพลังต่อสู้ของพวกเขาสองคนคือเก้าดาว ต่อให้ซือหม่าเจี้ยนหย่วนเป็นเพียงอัจฉริยะหนึ่งดาว พลังต่อสู้ของเขาก็ยังด้อยกว่าอีกฝ่ายถึงสี่ดาว
โชคดีที่พลังต่อสู้ไม่ใช่ทุกสิ่งในการสู้รบ
“พอสมควร? ไปตายซะ!” ซือหม่าเจี้ยนหย่วนลงมือ เขาไม่คิดจะปล่อยให้หลิงฮันมีชีวิตอยู่ต่อ ดวงดาราสามดวงหมุนวนรอบตัวเขาก่อนจะผสานเป็นดาราดวงใหญ่และพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน
ครืนน!
ดวงดาราดวงใหญ่พุ่งทะยานราวกับจะทำให้โลกนี้พินาศ
หลิงฮันไม่หวั่นเขา เขาสะบัดมือดันร่างของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ไปอยู่ในระยะที่ไกลพอสมควรก่อนจะชี้นิ้วไปยังซือหม่าเจี้ยนหย่วนและยิ้มเยาะเย้ย “เฒ่าชรา อย่าได้บ้าบิ่นเกินไป!”
‘พรึบ’ อำนาจสวรรค์ถูกปลดปล่อยออกมา
“อะไรกัน!” ซือหม่าเจี้ยนหย่วนตกตะลึง เขาพบว่าพลังต่อสู้ของตนเองถูกทำให้ลดลงไปสองดาว!
พริบตาเดียว ความต่างในพลังของหลิงฮันกับซือหม่าเจี้ยนหย่วนก็ลดลงมาสองดาว แม้ซือหม่าเจี้ยนหย่วนจะยังเหนือกว่า แต่อย่าลืมว่ากายหยาบของหลิงฮันน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน
“แม้ขั้นพลังจะไม่เท่ากัน แต่หากเป็นระดับพลังเดียวกันอยู่ ข้าก็ยังไร้พ่ายไม่เปลี่ยนแปลง!” หลิงฮันคำราม เขาพุ่งทะยานพร้อมกับปล่อยการโจมตีเข้าใส่ซือหม่าเจี้ยนหย่วน
หลิงฮันใช้นิ้วแทนดาบปลดปล่อยทักษะดาบฟ้าคำรามออกมา
จริงอยู่ที่พลังต่อสู้ของพวกเขาแตกต่างกันสองดาว แต่ทักษะดาบฟ้าคำรามเป็นทักษะที่เขาสร้างขึ้นจากการทำความเข้าใจทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ เมื่อผสานเข้ากับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์แล้ว ทักษะนี้จึงยกระดับพลังต่อสู้ของหลิงฮันขึ้นอีกหนึ่งดาว
แต่เดิมพลังต่อสู้ของทั้งสองต่างกันสองดาว แต่เมื่อหลิงฮันปลดปล่อยทักษะนี้ออกมา ความต่างของพลังต่อสู้ได้ถูกลดลงไปอีกหนึ่งดาว
ซือหม่าเจี้ยนหย่วนประหลาดใจและคิดว่านี่คือการโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของหลิงฮัน หลังจากการโจมตีนี้ต่อให้หลิงฮันสามารถหนีพ้นอีกฝ่ายก็ต้องเผาผลาญพลังชีวิตและจะไม่เป็นภัยคุกคามในอนาคตอีกต่อไป
แต่การที่หลิงฮันที่อ่อนแอกว่ากล้าโจมตีเขาซึ่งๆหน้าแบบนี้เป็นการเหยียดหยามที่เขาไม่อาจยอมรับได้
ซือหม่าเจี้ยนหย่วนไม่ประมาทหลิงฮันและปลดปล่อยทักษะลับของตระกูลซือหม่า เขาขยับวาดนิ้วเป็นสัญลักษณ์แปลกประหลาด สัญลักษณ์ค่อยส่องประกายและปรากฏขึ้นกลางอากาศราวกับถูกวาดบนแผ่นกระดาษ
“ตัวแทนแห่งสวรรค์ทั้งปวง จิตวิญญาณปฐพีแห่งสวรรค์จงปรากฏ!”
‘ครืนน!’
ทันทีที่เขาร่ายเสร็จ พลังวิญญาณโดยรอบก็ถูกควบแน่นกลายเป็นรูปร่างของมนุษย์ขนาดใหญ่ที่ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกันนั้นเอง พื้นดินเบื้องล่างเกิดรอยปริแตกและสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ได้คลานขึ้นมา
แข็งแกร่ง!
หลิงฮันอุทานในใจ สิ่งมีชีวิตทั้งสองนี้เกิดขึ้นจากพลังวิญญญาณ… เกรงว่านอกจากพลังที่แข็งแกร่งแล้ว พวกมันที่ไม่มีชีวิตจริงๆย่อมไม่หวาดกลัวต่อความเจ็บปวดและความตาย
“ตาย!” ซือหม่าเจี้ยนหย่วนชี้นิ้วออกไป ทันใดนั้นวิญญาณปฐพีทั้งสองก็ปล่อยหมัดเข้าใส่หลิงฮัน หมัดของพวกมันนั้นมีขนาดมหึมาและหนัหน่วงราวกับขุนเขาที่ล่วงหล่นจากท้องฟ้า
หลิงฮันสะบัดมือใช้ทักษะกาลเวลาแปรผันพันปี
ทักษะนี้คือทักษะระดับนิรันดร์!
ในตอนที่ติงเหยาหลงใช้ทักษะนี้ในห้วงความฝัน เขาสามาถโค่นล้มได้แม้แต่คู่ต่อสู้ที่มีพลังบ่มเพาะสูงกว่าเขาสองชั้นย่อย ตอนนี้เมื่อหลิงฮันใช้ทักษะนี้ผลลัพธ์ย่อมไม่ต่างกัน
ลดทอนช่วงเวลาของการโจมตีให้สลายไป!
เมื่อหมัดที่พุ่งเข้าใส่สลายไป หลิงฮันใช้โอกาสนี้ตอบโต้ ‘ปัง ปัง ปัง’ เพียงปล่อยหมัดไม่กี่หมัดวิญญาณปฐพีทั้งสองก็แหลกสลาย
ซือหม่าเจี้ยนหย่วนอ้าปากค้าง เขาทำใจเชื่อไม่ลงว่าทักษะลับที่ล้ำค่าของตระกูลจะไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงฮัน
‘พรึบ พรึบ พรึบ’ ร่างหลายร่างปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าทีละคน พวกเขาคือปรมาจารย์ระดับดาราของเมืองวายุผสาน ถึงแม้จะปรากฏตัวช้าแต่ก็ไม่พลาดการปะทะกับระหว่างหลิงฮันกับซือหม่าเจี้ยนหย่วน แน่นอนว่าพวกเขาได้เห็นฉากที่หลิงฮันปลดปล่อยอำนาจอันทรงพลังบดขยี้วิญญาณปฐพีทั้งสอง
รุ่นเยาว์ผู้นี้… น่าสะพรึงกลัวเกินไป!
ปรมาจารย์บางคนหันหลังจากไปโดยไม่กล่าวอะไรซักคำ พวกเขารู้ว่าหากหลิงฮันไม่ตาย อนาคตของเขาย่อมไร้ขีดจำกัด ทางที่ดีไม่ควรไปมีความบาดหมางกับคนเช่นนี้ แต่ก็ยังมีบางคนที่ความโลภบังตา พวกเขาแยกย้ายกับล้อมหลิงฮันเอาไว้
“มอบแก่นไขกระดูกหยกกับผลึกก่อเกิดทั้งหมดมา แล้วพวกเราจะยอมไว้ชีวิตเจ้า!” ใครบางคนตะโกนขึ้นมา
หลิงฮันมองไปยังเจ้าของเสียงและยิ้ม “พวกเจ้ามีกันแปดคน ข้าควรมอบให้ใครดีล่ะ?”
“ไม่ต้องสนใจเรื่องไร้สาระ มอบพวกมันมาให้ข้า!” ใครอีกคนกล่าว ปรมาจารย์เหล่านี้ทุกคนล้วนแต่เป็นจิ้งจอกเฒ่า พวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหลิงฮันต้องการให้พวกเขาขัดแย้งกันเอง
หลิงฮันสะบัดมือขวานำดาบอสูรนิรันดร์ออกมา “หากข้าบอกว่าไม่ล่ะ?”
“งั้นก็… ตายซะ!”
ตอนที่ 1362
ซือหม่าเจี้ยนหย่วนและปรมาจารย์อีกเจ็ดคนลงมือโจมตีหลิงฮันพร้อมกัน
ในหมู่ระดับดาราทั้งแปดคนนี้ ซือหม่าเจี้ยนหย่วนแข็งแกร่งที่สุด มีอีกสองคนที่บรรลุขั้นสูงเหมือนกัน แต่เป็นเพียงขั้นสูงชั้นต้นเท่านั้น สามจากห้าคนที่เหลือมีระดับพลังคือดาราขั้นกลาง ส่วนอีกสองคนคือดาราขั้นต้น
การร่วมมือกันของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าต้องการจัดการหลิงฮันให้จบอย่างรวดเร็วเพียงใด
‘ครืนน’ แต่ละคนปลดปล่อยดวงดารา อำนาจอันทรงพลังถูกใช้ออกอย่างไร้ความปรานี
หลิงฮันกำดาบอสูรนิรันดร์ในมือแน่นและหัวเราะ “เหล่าเฒ่าชรา พวกเราต้องตายกันไปข้าง”
ดาบอสูรนิรันดร์ส่องประกาย ตัวดาบสั่นสะท้านด้วยตัวมันเองทำให้เกิดเสียงราวกับมังกรหรือพยัคฆ์กำลังคำราม
‘พรึบ!’
หลิงฮันใช้งานอำนาจสวรรค์เพื่อลดทอนพลังต่อสู้ของทุกคนให้ลดลงสองดาว
“นี่มันอะไรกัน!”
“เหตุใดพลังของข้าถึงได้ลดลง?”
“นี่มันทักษะลับเช่นใด?”
นอกจากซือหม่าเจี้ยนหย่วน ปรมาจารย์อีกเจ็ดคนอุทานออกมา การที่จู่ๆพลังต่อสู้ได้หายไปเช่นนี้ทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกหวาดกลัวราวกับวันสิ้นโลกกำลังมาถึง
“ตาย!”
หลิงฮันจับดาบและสะบั้นโจมตี คลื่นแสงแห่งดาบระเบิดออกพร้อมกับพุ่งทะยานขึ้นสูงทะลวงผ่านเก้าชั้นฟ้า
‘ฉัวะ ฉัวะ’ พริบตาเดียวหัวของคนสองคนก็หลุดออกจากบ่า โลหิตจากพุ่งกระจายราวกับน้ำพุจากส่วนลำคอ
สองคนนั้นคือปรมาจารย์ระดับดาราขั้นต้น ในจักรวรรดิราชวงศ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์หรือแม้กระทั่งทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองอาจจะเรียกได้ว่าเป็นจอมยุทธที่ทรงพลัง แต่การโจมตีเดียวของหลิงฮันพวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานได้
‘ปัง ปัง’ เพื่อสังหารทั้งสอง หลิงฮันเองก็ถูกปรมาจารย์อีกหกคนโจมตีใส่พร้อมกันและกระอักโลหิตออกมา แม้กล้ามเนื้อจะฉีกขาด แต่กระดูกของเขายังคงไร้รอยขีดข่วน กล่าวได้ว่าสำหรับหลิงฮันบาดแผลแค่นี้ถือว่าเล็กน้อย
“บัดซบ พลังป้องกันนั่นมันอะไร!” ใครบางคนอุทาน
นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดี ในเมื่อหลิงฮันควบแน่นพลังทั้งหมดไปกับการโจมตี ในขณะนั้นพลังป้องกันของเขาก็ต้องอ่อนแอมากไม่ใช่รึไง? เหตุใดที่เมื่อถูกพวกเขาปรมาจารย์ถึงหกคนโจมตีพร้อมกันแล้ว ยังได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยและกระอักโลหิตออกมาเท่านั้น?
สัตว์ประหลาด!
หลิงฮันยิ้มและโคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ บาดแผลที่กล้ามเนื้อของเขาฟื้นฟูอย่างรวดเร็วจนสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า
บ้าไปแล้ว!
ครั้งนี้แม้แต่ซือหม่าเจี้ยนหย่วนก็ตกตะลึง จากที่สู้กันมาก่อนทำให้เขารู้เพียงว่าหลิงฮันมีกายหยาบที่ไร้เทียมทาน เขาเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าพลังฟื้นตัวของหลิงฮันเองก็น่าสะพรึงกลัวไม่แพ้กัน
แล้วแบบนี้จะสังหารสัตว์ประหลาดตนนี้ได้อย่างไร?
พวกเขาไม่รู้ว่าขอแค่หลิงฮันใช้งานหยดวารีนิรันดร์ ต่อให้เป็นบาดแผลที่สาหัสขนาดไหนก็สามารถฟื้นตัวได้ และพวกเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าหลิงฮันสามารถกำเนิดใหม่จากเถ้าถ่านที่เปรียบเสมือนการเกิดใหม่จากความตาย ไม่เพียงแค่บาดแผลจะหายเป็นปลิดทิ้ง แต่พลังของเขายังกลับสู่สภาพที่สมบูรณ์ที่สุดอีกด้วย
แต่น่าเสียดายที่ด้วยพลังของพวกเขาแล้ว ไม่มีทางที่จะบังคับให้หลิงฮันใช้ไพ่ลับทั้งสองได้
“ตาย!” หลิงฮันคำราม แววตาของเขาส่องประกายอย่างเยือกเย็น ตอนนี้เขาได้กลายเป็นเครื่องจักรสังหารที่คิดเพียงจะเข่นฆ่าคนเหล่านี้
“ร่วมมือกัน!” ซือหม่าเจี้ยนหย่วนตื่นตระหนก เขาตะโกนออกมาโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพียงจอมยุทธระดับดาราขั้นต้น
*ถ้าหลิงฮันฟื้นฟูบาดแผลได้อย่างต่อเนื่อง เช่นนั้นหากปล่อยไว้เช่นนี้คงเป็นพวกเขาเองที่เผาผลาญพลังจนหมด
ทั้งหกคนมองหน้าและตัดสินใจร่วมมือกัน
การต่อสู้ดำเนินต่อไป พลังของหลิงฮันไม่แข็งแกร่งพอจะบดขยี้ทั้งหกคนที่ร่วมมือกัน แต่พวกซือหม่าเจี้ยนหย่วนเองก็ไม่สามารถทำให้กายหยาบของหลิงฮันได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
“ฮึ่ม พวกเรารับรู้แล้วว่าเจ้าแข็งแกร่ง!” ซือหม่าเจี้ยนหย่วนกล่าวออกมา “เอาแบบนี้เป็นอย่างไร เจ้ามอบสมบัติที่มีให้พวกเราแค่ครึ่งเดียวก็พอ”
“ถูกแล้ว แค่ครึ่งเดียว” คนอื่นๆพยักหน้า ไม่เช่นนั้นต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถตัดสินผลการต่อสู้กันได้
หลิงฮันหัวเราะก่อนจะกล่าว “หัวของพวกเจ้าได้รับความเสียหายรึไง? ของของข้าก็ต้องเป็นของข้า ทำไมต้องแบ่งให้พวกเจ้าครึ่งหนึ่งด้วย? เป็นพวกเจ้าต่างหากที่ต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่แล้วมอบสมบัติที่มีให้ข้า!”
“เพ้อเจ้อ!” ทั้งหกคนตะโกนลั่น แม้พวกเขาจะไม่สามารถทำลายพลังป้องกันของหลิงฮันได้ แต่ทั้งหกคนก็มั่นใจว่าพลังของพวกเขานั้นเพียงพอที่จะปกป้องตนเอง
“งั้นรึ?” หลิงฮันลงมือ
“ฮึ่ม!” ทั้งหกคนผสานพลังและโมตีใส่หลิงฮัน
“กาลเวลาแปรผันพันปี!” หลิงฮันพึมพำ เขายกมือซ้ายขึ้นพร้อมกับปลดปล่อยคลื่นพลังของกาลเวลาแปรผันพันปี พริบตาเดียวพลังทำลายของการโจมตีของทั้งหกคนก็ค่อยๆเสื่อมสลาย
หลิงฮันสะบั้นดาบปลดปล่อยทักษะดาบฟ้าคำราม แสงอันไร้ที่สิ้นสุดถูกปลดปล่อยออกมาจากดาบอสูรนิรันดร์ ดาบเล่มนี้คืออาวุธที่จะกลายเป็นอุปกรณ์ระดับนิรันดร์ในอนาคต!
‘ฉัวะ!’
ปรมาจารย์ระดับดาราอีกคนสิ้นชีพ หัวของเขาถูกดาบอสูรนิรันดร์ตัดขาด วิญญาณของเขาแหลกสลายไปพร้อมกับพลังชีวิตทันที ดวงตาของปรมาจารย์ผู้นั้นเปิดกว้างราวกับทำใจเชื่อไม่ลงว่าตนเองจะถูกฆ่าตาย
“เหลืออีกห้า” หลิงฮันกล่าวอย่างสงบนิ่ง
เมื่อใดยินน้ำเสียงที่สงบนิ่งของหลิงฮัน ปรมาจารย์ที่เหลืออีกห้าคนก็รู้สึกเย็นยะเยือกราวกับอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง
หลิงฮันกวัดแกว่งดาบอสูรนิรันดร์และโจมตีอีกครั้ง
ปรมาจารย์โจมตีผสานกัน แต่ต่อหน้ากาลเวลาแปรผันพันปีแล้วย่อมไม่อาจทำอะไรได้ การโจมตีของพวกเขาค่อยๆอ่อนพลังลงจนไม่อาจต้านดาบอสูรนิรันดร์เอาไว้ได้ ในด้านของพลังป้องกันนั้นหากถูกดาบอสูรนิรันดร์ฟาดฟันเข้าใส่โดยตรง มีรึที่ร่างกายของพวกเขาจะป้องกันเอาไว้ได้?
อย่างน้อยในระดับดารานี้ ย่อมไม่มีใครสามารถรับการโจมตีจากดาบอสูรนิรันดร์โดยตรงแล้วมีชีวิตรอด
‘ฉัวะ’ หัวของปรมาจารย์อีกคนลอยขึ้นฟ้าพร้อมกับโลหิตสาดกระจายและร่างได้ร่วงหล่นลงพื้นดิน ตอนนี้ปรมาจารย์ที่เหลือรอดคือซือหม่าเจี้ยนหย่วนและจอมยุทธระดับดาราขั้นสูงอีกสองคน
ที่จริงหากร่วมมือกันอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาก็ใช่ว่าจะไม่สามารถต้านทานการโจมตีของดาบอสูรนิรันดร์ แต่ว่าในขณะที่การโจมตีพุ่งเข้าใส่ พวกเขาแต่ละคนกลับเลือกแยกย้ายกันหลบหนีดาบอสูรนิรันดร์แทน
“จับนางไว้!” ซือหม่าเจี้ยนหย่วนชี้นิ้วไปยังสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์
“ใช่แล้ว ต้องใช้สตรีผู้นั้นข่มขู่เจ้าหนูนั่น!” ปรมาจารย์อีกสองคนรีบพุ่งเข้าหาสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ทันที
“รนหาที่ตาย!” หลิงฮันปลดปล่อยจิตสังหารและสะบัดมือ ‘พรึบ’ เซียนหวู่เซียนถูกโยนออกมาอีกครั้ง
“เจ้าหนู ยังไม่เลิกทำแบบนี้อีก!” เซียนหวู่เซียงที่ถูกจับแยกออกจากต้นสังสารวัฏแน่นอนว่าต้องเกรี้ยวกราดและปลดปล่อยออร่าแห่งเซียนออกมา
“อะไรกัน!” พวกซือหม่าเจี้ยนหย่วนหวาดกลัว นี่มันออร่าของเซียน!
หลิงฮันใช้โอกาสนี้ปลดปล่อยทักษะย่างก้าวไล่ตามดารา หลังจากทำความเข้าใจทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ได้สำเร็จ ความเร็วของเขาก็นน่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้น เขากวัดแกว่งดาบอสูรนิรันดร์ด้วยความเร็วแสง ‘ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ’ หัวสามหัวลอยกระเด็นขึ้นสู่ท้องฟ้า
“เจ้าหนู…” เซียนหวู่เซียงต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่จะกล่าว หลิงฮันได้นำเขากลับเข้าหอคอยทมิฬอย่างรวดเร็วราวกับคุ้นชินกับการทำเช่นนี้แล้ว
ตอนที่ 1363
หลิงฮันเก็บอุปกรณ์มิติจากร่างของปรมาจารย์ทั้งแปดก่อนที่จะจากไปโดยไม่สำรวจของภายในแม้แต่น้อย
การที่เขาสังหารจอมยุทธระดับดาราทั้งแปดนี้จะต้องก่อให้เกิดคลื่นความโกลาหลครั้งใหญ่ในเมืองวายุผสานแน่นอน คติของหลิงฮันนั้นง่ายมาก หากใครต้องการสังหารเขา เขาก็จะสังหารกลับโดยไม่พล่ามอะไรให้เสียเวลา
เวลาผ่านไปไม่กี่วันหลิงฮันก็มาถึงเมืองต้าหยิง
อุปกรณ์มิติที่ได้มาจากปรมาจารย์ระดับดาราทั้งแปดนั้นมั่งคั่งเป็นอย่างมาก รวมๆกันแล้วเขาได้ผลึกก่อเกิดมาราวๆสองถึงสามล้านผลึก หลิงฮันรู้สึกพึงพอใจ จากขโมยแย่งชิงเป็นหนทางหาเงินที่รวดเร็วที่สุดจริงๆ
เขานำคนอื่นๆออกมาจากหอคอยทมิฬ หลังจากหมดธุระที่นี่แล้วพวกเขาถึงจะกลับดาวเหอหนิง
ยิ่งระดับพลังของหลิงฮันสูงขึ้น เขาก็ยิ่งไม่หวาดกลัวที่จะเปิดเผยว่าเขามีอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ แต่นั่นก็ในกรณีที่ความสามารถของหอคอยทมิฬไม่ถูกเปิดเผย ไม่งั้นแม้แต่ขุมอำนาจจากดินแดนแห่งเซียนก็คงเคลื่อนไหว
หลิงฮันมุ่งหน้าไปยังตำหนักเป่าหลิน เขาสัญญากับหานซินเหยียนไว้ว่าจะสอนนางหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งให้สำเร็จ ตอนนี้เวลาผ่านไปสิบปีแล้วไม่รู้ว่านางเรียนรู้ไปถึงไหนแล้ว
อย่ามองว่าเวลาสิบปีเป็นเวลาที่ยาว เม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับแปดไม่ได้จะหลอมสำเร็จด้วยเวลาเพียงเท่านี้
แม้แต่หลิงฮันที่มีต้นสังสารวัฏก็ต้องใช้เวลาหลายเดือน หากเป็นโลกภายนอกแม้จะไม่ถึงร้อยปีก็คงเป็นหลักสิบปี
หลิงฮันเป็นถึงจักรพรรดิปรุงยา ขนาดเขายังใช้เวลามากขนาดนั้นไม่ต้องกล่าวถึงคนอื่นเลย
เวลาสิบปีสำหรับดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วไม่นับว่านานอะไร ผู้คนส่วนใหญ่มีอายุขัยที่ยาวนาน เวลาเพียงเท่านี้ไม่ได้ทำให้ผมหงอกงอกขึ้นบนหัวพวกเขาด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อหลิงฮันมาถึงตำหนักเป่าหลิน ใครบางคนก็จำเขาได้ทันที
“ปรมาจารย์หลิง!” ใครบางคนอุทานออกมา หลิงฮันโค่นล้มนักปรุงยามากฝีมือทุกคนของตำหนักเป่าหลินได้ ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะได้รับความเคารพจากทุกคน
หลิงฮันพยักหน้า เขาเดินผ่านหน้าตำหนักเข้าไปหาหลินอวีฉีที่สวนขนาดย่อม
สตรีผู้นี้ยังคงเต็มไปด้วยเสน่ห์ยั่วยวน นางกวาดสายตามองหลิงฮันและแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาอย่างปิดไม่มิด “สิบปีก่อน เจ้ายังเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้นแท้ๆ!”
“แต่ตอนนี้เจ้ากลับบรรลุระดับดาราแล้ว!”
“ข้ารู้” หลิงฮันพยักหน้า ตัวเขาย่อมรู้ระดับพลังของตนเองดีกว่าใคร
และเนื่องจากบรรลุระดับดาราแล้วทำให้หลิงฮันสามารถมองเห็นพลังบ่มเพาะของหลินอวีฉี… นางเองก็เป็นจอมยุทธระดับดาราขั้นต้น
หลินอวีฉีกลายเป็นไร้คำพูด นางใช้เวลาสักพักกว่าจะลบสีหน้าตกตะลึงออกจากใบหน้าได้และกลับมามีท่าทียั่วยวนดังเดิม นางจงใจเขยิบเข้ามาใกล้เพื่อให้หลิงฮันได้กลิ่นหอมจากเรือนร่างของนาง
“หนุ่มน้อยรูปหล่อ บอกพี่สาวหน่อยสิว่าทำอย่างไรเจ้าถึงบรรลุระดับดาราได้เร็วเพียงนี้?”
หลิงฮันก้าวถอนหลังและกล่าว “เจ้าก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่รึว่าข้าหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งได้?”
“ฮึ่ม คิดว่าพี่สาวคนนี้หลอกง่ายเช่นนั้น?” หลินอวีฉีเค้นเสียง “เม็ดยาปราณโลหิตคลั่งแต่ละเม็ดต้องเว้นระยะกินอย่างน้อยสามปี ถ้ากินติดต่อกันเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์จะกลายเป็นยาพิษ ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่าสิบปีที่ผ่านมาเจ้ากินเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งไปกี่เม็ดกัน?”
แม้คนอื่นจะไม่สามารถก็ใช่ว่าเขาจะทำไม่ได้ หอคอยทมิฬเป็นสมบัติของดินแดนแห่งเซียน ฮูหนิวสามารถบรรลุระดับเซียนได้ในระยะเวลาห้าปี ตัวเขานั้นนับว่าช้ามากแล้ว
หลิงยิ้มโดยไม่กล่าวอะไร นี่คือความลับของเขา แน่นอนว่าไม่มีความจำเป็นต้องบอกคนนอก
“เหอะ คิดว่าพี่สาวเป็นคนนอกเลยไม่พูดอะไรงั้นรึ?” หลินอวีฉีมีน้ำโห สิบปีที่ผ่านมาหลิงฮันไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เขายังคงไม่สนใจเสน่ห์ของนาง
“เช่นนั้น… เปลี่ยนพี่สาวจากคนนอกเป็นผู้หญิงของเจ้าหน่อยเป็นไง?” นางพ่นลมหายใจอันอ่อนหวานยั่วยวน
“ได้อยู่แล้ว” หลิงฮันยิ้ม ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการหยอกล้อเขาก็จะเล่นด้วย “เช่นนั้นเจ้าก็เป็นภรรยาคนที่สิบเก้าของข้า!”
“ฮึ่ม!” หลินอวีฉีรีบหันหลันด้วยท่าทางฉุนเฉียว นางชื่นชอบการเล่นกับความรู้สึกของคนอื่น เป็นธรรมดาที่จะไม่สบอารมณ์เมื่อหลิงฮันหยอกล้อนาง
หลิงฮันเมินเฉยและกล่าว “หานซินเหยียนหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งสำเร็จรึยัง?”
“ยัง” หลินอวีฉีส่ายหัวและแสดงสีหน้าผิดหวัง แต่ทันใดนั้นเองแววตาของนางก็ส่องประกายและกล่าว “จริงสิพ่อรูปหล่อ เจ้าอยากพบเจอวาสนาล้ำค่ารึไม่?”
“วาสนาอันใด?” หลิงฮันไม่ได้แสดงท่าทางปฏิเสธหรือตกลง
“ในเมื่อเจ้าเองก็เป็นนักปรุงยา เจ้าต้องสนใจแน่” หลินอวีฉีกล่าวด้วยความมั่นใจ นางแน่นิ่งชั่วขณะก่อนจะกล่าว “ตำหนักเป่าหลินถูกปกครองด้วยตระกูลใหญ่สี่ตระกูลซึ่งก็คือตระกูลหลิน ตระกูลซือ ตระกูลหานและตระกูลหวง ทั้งสี่ตระกูลล้วนแต่ทะเยอทะยานที่จะเอาชนะซึ่งกันและกัน”
“ตำหนักเป่าหลินคือขุมอำนาจแห่งการปรุงยาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเขตดวงดาวแสงคงกระพัน และเพราะเหตุนั้น…”
นางหยุดพูดและมองท่าทีของหลิงฮัน “พวกเราจึงครอบครองดินแดนลี้ลับโบราณที่สามารถเก็บเกี่ยวเม็ดยาหรือสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ แต่ดินแดนลี้ลับแห่งนี้จะเปิดออกทุกๆแสนปีและจำนวนคนที่เข้าไปได้ก็มีจำกัด”
“แต่ละตระกูลจะได้รับสิทธิ์เข้าเขตแดนกี่สิทธิ์นั้นแตกต่างกันออกไปซึ่งจะตัดสินกันด้วยการแข่งขัน”
“เพียงแต่ว่าการเข้าเขตแดนลี้ลับแห่งนี้มีข้อจำกัดในด้านอายุคืออายุขัยที่แท้จริงห้ามเกินหนึ่งล้านปี คนที่มีคุณสมบัตินี้เท่านั้นถึงจะสามารถลงแข่งขันเพื่อตัดสินว่าตระกูลใดจะได้สิทธิ์เข้าร่วมกี่สิทธิ์”
“แม้หานซินเหยียนจะแซ่หาน แต่นางเติบโตในตระกูลหลิน ทางตระกูลหลินจึงคาดหวังกับนางเอาไว้สูงมาก แต่การที่นางยังไม่สามารถหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งได้สำเร็จเกรงว่าในการแข่งขันคงยากที่จะทำผลลัพธ์ได้ดี”
“หากเข้าลงแข่งขันเพื่อตระกูลหลินของข้าและติดสิบอันดับแรก ข้าจะมอบสิทธิ์การเข้าเขตแดนลี้ลับโบราณให้เจ้า ไม่ว่าเม็ดยาหรือสมุนไพรอะไรที่เจ้าพบจะเป็นของเจ้าทั้งสิ้น เจ้าคิดว่าไง?”
หลิงฮันไม่ตอบตกลงในทันทีทันใดและเอ่ยถาม “เขตแดนลี้ลับที่ว่าจะเปิดออกเมื่อใด?”
“หนึ่งปีกว่าๆ”
“ก็ได้ ข้าตกลง!” หลิงฮันพยักหน้า
หลินอวีฉียิ้มและกล่าว “เจ้าเป็นคนฉลาด พี่สาวคนนี้รู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องตกลง หลังจากนี้อีกครึ่งปีพวกเราจะออกเดินทางไปยังสาขาหลักของตำหนักเป่าหลิน เตรียมตัวให้พร้อมด้วยล่ะ”
“อืม” หลิงฮันพยักหน้า
“เจ้าไปดูหานซินเหยียนด้วย หากนางสามารถพัฒนาความสามารถได้พวกเราก็จะสิทธิ์เข้าร่วมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้แล้วพรุ่งนี้เจ้ากลับมาหาข้าที่นี่ด้วย พี่สาวจะทดสอบเจ้าเสียหน่อย”
ตอนที่ 1364
สำหรับหลิงฮัน วรยุทธเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่ศาสตร์ปรุงยาก็ไม่อาจเมินเฉยได้
ในชีวิตที่แล้วเขาทุ่มเททุกอย่างให้กับการปรุงยา แม้กระทั่งที่บ่มเพาะพลังก็เพื่อสนับสนุนการปรุงยา เพียงแต่ว่าในชีวิตนี้เขาจะทุ่มเทให้กับการบ่มเพาะพลังมากกว่า
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหลิงฮันจะละทิ้งการปรุงยา ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ การปรุงยานั้นสำคัญอย่างมากเนื่องจากมีมิตรสหายมากมาย เม็ดยาเป็นสิ่งจำเป็นในการยกระดับพลังของพวกเขาให้สูงขึ้น
หลังจากกลับที่พัก คนอื่นๆย่อมไม่ขัดข้องกับการตัดสินใจของหลิงฮัน มีเพียงคนเดียวที่ไม่สบอารมณ์คือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ เนื่องจากนางได้ยินมาว่า เจ้าของตำหนักเป่าหลินสาขานี้มีเสน่ห์ยั่วยวน
แน่นอนว่านางเชื่อในตัวหลิงฮัน ถ้าหลิงฮันต้องการสตรีไม่เลือกหน้าจริงล่ะก็ จนถึงตอนนี้เขาคงผ่านสตรีมานับไม่ถ้วนแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่าเขาเป็นจักรพรรดิของทวีปฮงเทียน หลิงฮันในตอนนี้ที่เป็นราชาในหมู่ราชาย่อมมีสาวงามนับไม่ถ้วนยินยอมมาอยู่ในอ้อมแขนเขา
วันรุ่งขึ้น หลิงฮันมุ่งหน้าไปหาหลินอวีฉีหลังจากที่ชี้แนะหานซินเหยียนเรียบร้อยแล้ว
หานซินเหยียนนั้นถึงแม้จะมีพรสวรรค์ในศาสตร์ปรุงยาที่โดดเด่น แต่การหลอมเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับแปดเป็นเรื่องง่ายๆ? ยิ่งกว่านั้นเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งก็ยังเรียกว่าเป็นเม็ดยาระดับสูงในหมู่เม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับแปด
ในระยะเวลาร้อยปี เกรงว่านางก็คงไม่สามารถหลอมเม็ดยานี้ได้อย่างเชี่ยวชาญ
หลิงฮันนึกว่าหลินอวีฉีจะมอบตำราเม็ดยาชนิดใหม่ให้เขาฝึกหลอมก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้นในอีกครึ่งปี แต่ความจริงกลับไม่ใช่แบบนั้น
หลินอวีฉีนำสมุนไพรออกมาและกล่าว “เจ้ารู้ไหมว่าสมุนไพรนี้คืออะไร?”
หลิงฮันหัวเราะ คิดจะทดสอบเขาเช่นนี้ หรือนางกำลังดูถูกเขาอยู่? หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “สมุนไพรชิ้นนั้นคือหญ้าสามเมฆา”
หลินอวีฉียิ้มและสะบัดนิ้วราวกับกระบี่เพื่อหั่นสมุนไพรชิ้นนี้ออกเป็นล้านส่วน นางเอื้อมมือออกไปกำเศษสมุนไพรเอาไว้ก่อนจะวางไว้บนโต๊ะ “คราวนี้เจ้าต้องต่อสมุนไพรเข้าด้วยกันใหม่”
“หืม?” หลิงฮันประหลาดใจ ต้องทดสอบเช่นนี้ด้วย? ทำไปเพื่ออะไรกัน?
“นี่คือการทดสอบความเข้าใจสมุนไพรของเจ้า ไม่ใช่แค่ในการแข่งขันของตระกูล แต่ในเขตแดนลี้ลับหากเจ้าต้องการสมบัติเจ้าก็จำเป็นต้องมีความเข้าใจในสมุนไพรที่สูงถึงระดับหนึ่งไม่ใช่เพียงความสามารถในการหลอมเม็ดยา” หลินอวีฉีกล่าว
หลิงฮันพยักหน้าและสะบัดมือแยกเศษสมุนไพรบนโต๊ะออกจากก่อน เขานึกถึงรูปลักษณ์ของหญ้าสามเมฆาเมื่อครู่ขึ้นในหัวก่อนจะลงมือเชื่อมสมุนไพรเข้าด้วยกัน
“เจ้าต่อผิดสามสิบเจ็ดส่วน” หลินอวีฉีมองสมุนไพรที่หลิงฮันต่อก่อนจะกล่าว
หลิงฮันไม่เชื่อ แต่เมื่อหลินอวีฉีอธิบายจุดที่ผิดพลาดทั้งสามสิบเจ็ดและเชื่อมต่อสมุนไพรใหม่อีกครั้ง หลิงฮันถึงยอมรับ
“ทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีสมุนไพรทั้งหมดแปดแสนหนึ่งหมื่นชนิด กล่าวคือตราบใดที่เจ้าจดจำและเข้าใจสมุนไพรทั้งแปดแสนหนึ่งหมื่นชนิดได้อย่างเชี่ยวชาญ เจ้าก็จะแยกแยะลักษณะเฉพาะของสมุนไพรทั้งหมดบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้” หลินอวีฉีกล่าว ตอนนี้ท่าทีของนางไม่ใช่สตรียั่วสวาทแต่เป็นสาวงามภูมิปัญญา
หลิงฮันพยักหน้ายอมรับโดยไม่เถียง ความจริงตรงหน้าทำให้โลกของเขาเปิดกว้างขึ้น
“รับไป นี่คือสมุดภาพวาดสมุนไพร” หลินอวีฉีนำกองหนังสือออกมา “แม้ตำหนักเป่าหลินจะไม่ใช่ขุมอำนาจที่เชี่ยวชาญสมุนไพรที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่สมุดภาพเหล่านี้เป็นแบบคัดลอกของสมุนทั้งหมดจากยุคบรรพกาลซึ่งเพียงพอจะทำให้เจ้ารู้จักสมุนไพรทุกชนิด”
“ขอบคุณมาก” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงขอบคุณจากใจ สิ่งนี้ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อตัวเขามาก
“แน่นอนอยู่แล้ว จงจดจำบุญคุณของพี่สาวคนนี้ไว้” พริบตาเดียวหลินอวีฉีก็เปลี่ยนท่าทีกลับไปเป็นสตรีขี้เล่นดังเดิม
หลิงฮันไร้คำพูดและรับสมุดภาพมา
เมื่อกลับถึงที่พัก หลิงฮันเก็บตัวและศึกษาความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรใต้ต้นสังสารวัฏทันที
สมุนไพรทั้งหมดมีถึงแปดแสนหนึ่งหมื่นชนิด การจดจำรูปลักษณ์สมุนไพรจำนวนมากให้สมบูรณ์แบบนั้นเป็นขั้นตอนที่ยากมาก แต่การทดสอบของหลินอวีฉีกลับยากยิ่งกว่า หลังจากหั่นสมุนไพรออกเป็นล้านชิ้นยังต้องต่อพวกมันกลับเข้าเป็นชิ้นเดียวอีก
โชคดีที่หลิงฮันมีต้นสังสารวัฏ ระยะเวลาครึ่งปีที่เหลือในการใช้จดจำสมุนไพรทั้งหมดตั้งแต่ยุคบรรพกาลนั้น สำหรับเขาแล้วมีเป็นเวลาเกือบๆสองร้อยปี
หลิงฮันเข้าสู่โลกแห่งการจดจำสมุนไพร… หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือน เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เขาจดจำรายละเอียดอย่างสมบูรณ์ของสมุนไพรได้เพียงสองแสนชนิดเท่านั้น แต่หลิงฮันมั่นใจว่าทักษะการหลอมของเขาในตอนนี้สมควรยกระดับขึ้นมาหนึ่งระดับเป็นอย่างน้อย
เมื่อมาถึงจุดนี้เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ต่อให้เขาไม่ได้เข้าไปยังเขตแดนลี้ลับโบราณหรือเข้าร่วมการแข่งขันของตำหนักเป่าหลิน แต่การจดจำสมุนไพรเหล่านี้ก็ถือว่ามอบผลประโยชน์ให้เขามากพอแล้ว
หลังจากขึ้นมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทักษะการหลอมเม็ดยาของเขาจึงต้องค่อยๆพัฒนาใหม่อีกครั้งทีละก้าว แม้เขาจะเป็นจักรพรรดิแห่งการปรุงยาก็มีโอกาสที่จะก้าวพลาด
แต่การจดจำสมุนไพรเหล่านี้เปรียบได้กับตัดเส้นทางผิดพลาดที่ว่าทิ้งไป
หนึ่งปีผ่านพ้นไป หลิงฮันจดจำรูปลักษณ์สมุนไพรได้เพียงสี่แสนชนิด หรือก็คือเกือบๆครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด
เขาถอนหายใจ หากมีเวลาอีกสักครึ่งปีก็คงจะดี
แต่อย่างไรครึ่งปีก็ผ่านไปแล้ว หลิงฮันได้นำทุกคนเข้ามาในหอคอยทมิฬและมุ่งหน้าไปยังตำหนักเป่าหลิน
เมื่อมาถึงเขาพบว่าหลินอวีฉีเตรียมตัวเอาไว้เรียบร้อยแล้ว สีหน้าของหานซินเหยียนค่อนข้างเวิ้งว้าง นางยังไม่สามารถหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งได้อย่างเชี่ยวชาญทำให้ไม่มีความมั่นใจในการแข่งขันครั้งนี้
“ออกเดินทาง!”
ภาหนะที่ใช้เดินทางของพวกเขาคือรถเกวียนอันหรูหราของหลินอวีฉี เมื่อนั่งลงไปไม่รับรู้ถึงแรงกระเทือนแม้แต่น้อย
หลินอวีฉีกล่าวว่าต้องใช้เวลาราวๆสิบวันในการทางเดินซึ่งทำให้หลิงฮันรู้สึกผิดหวังมาก หากในช่วงเวลาเขาสามารถเข้าหอคอยทมิฬไปได้ล่ะก็ จำนวนสมุนไพรที่เขาสามารถจดจำได้คงเพิ่มขึ้นอีกหลายพันชนิด
“นางชายฮัน เจ้าจดจำสมุนไพรได้กี่ชนิดแล้ว?” หลินอวีฉีเอ่ยถาม
หลิงฮันถอนหายใจก่อนจะกล่าว “แค่สี่แสนชนิดเท่านั้น”
แค่ก!
หลินอวีฉีกับหานซินเหยียนกระแอมอย่างรุนแรงพร้อมกันใบหน้าของพวกนางแสดงออกถึงความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น