Alchemy Emperor of the Divine Dao 1332-1352
ตอนที่ 1332
เมื่อรู้ว่ากายหยาบของหลิงฮันไร้เทียมทานขนาดไหน เชี่ยตงหลายก็เปลี่ยนวิธีรับมือทันที
ป้องกันให้ถึงที่สุด!
ทุกๆวินาทีที่เวลาผ่านไป พลังบ่มเพาะของเขาจะค่อยๆยกระดับขึ้นจนกลายเป็นระดับดาราในที่สุด ด้วยพรสวรรค์ของเขาแม้จะเพิ่งก้าวไปยังระดับดาราก็สมควรมีพลังต่อสู้เทียบเท่าระดับดาราขั้นต้นชั้นปลายเป็นอย่างน้อย ด้วยพลังเช่นนั้นเขาย่อมสามารถบดขยี้จอมยุทธระดับสุริยันจันทราได้ทุกคน ต่อให้เป็นสุริยันจันทราขั้นสมบูรณ์ก็ไม่มีข้อยกเว้น
ขอเวลาแค่ครึ่งวัน…
จนกว่าจนถึงตอนนั้นเขาต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดป้องกันตนเองไว้
แต่จากที่รับกระบวนท่าของหลิงฮันมา เขาพบว่าพลังโจมตีของหลิงฮันไม่ได้ด้อยไปกว่าทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เลย
เป็นไปได้อย่างไรที่อีกฝ่ายจะแข็งแกร่งขนาดนี้?
จากที่ดู เห็นได้ชัดว่าพลังบ่มเพาะของหลิงฮันนั้นยังไม่บรรลุขั้นสมบูรณ์ชั้นสูงสุด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีพลังต่อสู้เทียบเท่าระดับดารา แต่เหตุใดเขาถึงสัมผัสได้ว่าการโจมตีของหลิงฮันมีพลังทำลายไม่ต่างกับระดับดารา?
พลังต่อสู้ของอีกฝ่ายเหนือกว่าขอบเขตจินตนาการของเขาไปแล้ว
แต่จะรู้สึกเช่นนั้นก็ไม่แปลก เชี่ยตงหลายไม่รู้ว่าหลิงฮันนั้นดูดซับปราณแห่งเซียนไปถึงสองครั้งทำให้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเขายกระดับขึ้นหลายเท่าจนมีพลังต่อสู้เพิ่มขึ้นมาอย่างน้อยหนึ่งดาว ต่อให้พลังต่อสู้ของหลิงฮันในตอนนี้จะยังไม่เทียบเท่าระดับดาราแต่ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่
“บัดซบ!” เชี่ยตงหลายกัดฟัน ไม่เพียงแต่จะขโมยสตรีของเขาไป แม้แต่พลังบ่มเพาะกับพลังต่อสู้ของอีกฝ่ายก็ยังเหนือกว่าเขา
ยอมรับไม่ได้!
เขากัดฟันพร้อมกับยกมือขึ้นสูงนำแผ่นภาพออกมาสะบัดโบกไปตามลม ในแผ่นภาพมีรูปอัศวินสิบสองคนถูกวาดเอาไว้ แต่ละคนสวมใส่เกราะรบทองคำและถือหอกไว้ในมือ
แม้จะเป็นเพียงแผ่นภาพวาดแต่กลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทรงพลังสูงเสียดฟ้า อัศวินทั้งสิบสองคนดูน่ายำเกรงราวกับว่าพวกมันเคยผ่านสนามรบมามากมายและสังหารคนมานับไม่ถ้วน
“อัศวินโลหิตจงปรากฏ!” เชี่ยตงหลายคำราม ‘ครืนนน’ แผ่นภาพส่องแสงสว่าง ทันใดนั้นอัศวินสวมเกราะทองทั้งสิบสองก็ปรากฏออกมาจากแผ่นภาพ พวกมันยืนอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่าพร้อมกับชี้หอกขึ้นท้องฟ้า กลิ่นอายที่ถูกปลดปล่อยออกมาน่าสะพรึงกลัวกว่าตอนเป็นภาพวาพหลายสิบ หลายร้อยเท่า
หืม?
หลิงฮันขมวดคิ้วเล็กน้อย อัศวินเกราะทองทั้งสิบสองนี้มีพลังระดับดารา แม้จะเป็นเพียงระดับดาราขั้นต้นชั้นกลาง แต่จิตสังหารที่พวกมันปลดปล่อยออกมานั้นหนักหน่วงเป็นอย่างมาก เกรงว่าคงมีบางคนทีแค่เห็นพวกเขาก็คงจะฉี่ราดเข่าอ่อน
“ไม่นึกว่าข้าจะถูกบังคับให้ใช้สิ่งนี้!” เชี่ยตงหลายกัดฟัน “ในเมื่ออัศวินโลหิตปรากฏตัวออกมาแล้ว ต่อให้เจ้าไม่ตาย ข้าก็จะเป็นคนคิดบัญชีกับเจ้าด้วยตัวเองหลังจากผ่านทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์!”
ก่อนหน้านี้หลังจากที่เขาพ่ายแพ้อย่างอัปยศและกลับตระกูล ผู้อาวุโสก็ได้มอบสมบัติชิ้นนี้ให้กับเขา แผ่นภาพอัศวินโลหิตนี้สามารถใช้งานได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น มันสามารถใช้อัญเชิญอัศวินรับใช้ทั้งสิบสองได้
เขาไม่เชื่อว่าสมบัติเช่นนี้จะไม่สามารถถ่วงเวลาหลิงฮันได้!
“นี่คือสมบัติที่ปรมาจารย์ระดับดาราขั้นสูงสุดของตระกูลข้าสร้างขึ้นมา วิญญาณของปรมาจารย์ทั้งสิบสองคนในจักรวรรดิราชวงศ์เมฆาครามถูกผนึกลงมาในแผ่นภาพนี้ อัศวินโลหิตแต่ละคนล้วนมีจิตสังหารอันไร้ที่สิ้นสุดอันเกิดจากการดูดซับโลหิตจากสนามรบนับไม่ถ้วน!” เชี่ยตงหลายกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ทีนี้ล่ะ เจ้าจะทำอย่างไร?”
ครืนนน!
สายฟ้าจากทัณฑ์สวรรค์ผ่าคงกลางหัวของเขา แม้จะรวบรวมพลังทั้งหมดมาใช้ป้องกันแล้วก็ยังรู้สึกเจ็บปวดทรมาน ผมของเขายุ่งเหยิงยับเยินอย่างน่าอนาถ ท่าทีภาคภูมิใจเมื่อครู่หายไปหมดสิ้น
นำวิญญาณมาสร้างเป็นอุปกรณ์งั้นรึ? เป็นวิธีการที่โหดเหี้ยมนัก!
แม้จะมีคนมากมายที่ตายด้วยเงื้อมมือหลิงฮัน แต่เมื่อสังหารไปแล้วทุกอย่างก็จบแค่นั้น แต่ตระกูลเชี่ยกลับนำวิญญาณของคนตายมาสร้างเป็นสมบัติ? ในความคิดของหลิงฮัน การกระทำเช่นนั้นช่างมนุษยธรรมสิ้นดี!
จะบอกว่า อัศวินเหล่านี้คือวิญญาณงั้นรึ?
หลิงฮันหัวเราะและปลดปล่อยอำนาจสวรรค์ ‘ครืนนน’ ทันใดนั้นเอง ไม่เพียงพลังบ่มเพาะของเชี่ยตงหลายถูกลดลงมาสองดาว แต่เหล่าอัศวินโลหิตทั้งสองยังแสดงท่าทีหวาดกลัวออกมา
พวกมันไม่ได้หวาดกลัวหลิงฮันแต่เป็นอำนาจสวรรค์ที่เขาปลดปล่อยออกมา วิญญาณไร้กายหยาบเป็นสิ่งที่ฝืนกฎของสวรรค์และปฐพีและจะถูกเพ่งเล็งโดยสวรรค์ ดังนั้นเมื่อหลิงฮันปลดปล่อยอำนาจสวรรค์ออกมา แม้จะไม่ใช่อำนาจสวรรค์ของจริง เหล่าอัศวินโลหิตทั้งสิบสองก็ยังรู้สึกหวาดกลัว
อะไรกัน!
เชี่ยตงหลายสบถคำสามคำออกมาจากปาก เขาตกตะลึงอ้าปากกว้างจนลิ้นห้อยออกมา
อัศวินโลหิตระดับดาราเมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงฮันกลับสั่นกลัวราวกับพบเจอศัตรูธรรมชาติโดยที่ตนเองเป็นเหยื่ออีกฝ่ายเป็นผู้ล่า… อีกฝ่ายก็แค่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราแท้ๆ ต่อให้ขัดเกลาพลังจนบรรลุขั้นสมบูรณ์ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่เหนือพลังระดับดาราที่แท้จริง!
“อ้ากกก!” เชี่ยตงหลายร้องโอดครวญ พลังต่อสู้ของเขาถูกลดไปสองดาว เป็นไปได้อยางไรที่เขาจะสามารถต้านทานทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ที่ผ่าลงมาตามพลังต่อสู้ดั้งเดิมของเขา? ทันทีที่สายฟ้าสวรรค์ผ่าลงมา ไหล่ซ้ายของเขาก็ปรากฏรอยบาดแผลที่ลากยาวไปจนถึงช่วงซี่โครงขวา ร่างของเขาเกือบขาดออกเป็นสองท่อน
“เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร!” เชี่ยตงหลายคำรามขึ้นฟ้า “เป็นไปได้อย่างที่สามัญชนเช่นเจ้าจะอยู่เหนือข้า! แค่นิ้วมือเดียวของข้าก็สมควรจะมีค่ามากกว่าชีวิตของเจ้าแล้ว ตระกูลเชี่ยของข้าสามารถบดขยี้เจ้าได้นับล้านครั้ง!”
“พล่ามเสร็จรึยัง?” หลิงฮันกล่าวอย่างเย็นชา เขาตัดสินความตายของเชี่ยตงหลายตั้งแต่ตอนนี้อีกฝ่ายมีคิดจะครอบครองสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์แล้ว
“เจ้า… คนเช่นเจ้ากล้าสังหารข้ารึ?” เชี่ยตงหลายตงอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่มาก เขาต้องรับทั้งการโจมตีของหลิงฮันกับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ แถมตอนนี้พลังต่อสู้ก็ยังถูกลดไปอีกสองดาว
“เจ้าคิดว่าข้าจะล้อเล่นกับเจ้า?” หลิงฮันยิ้มหน้าตาย
“เจ้าไม่กล้าสังหารข้าแน่นอน!” เชี่ยตงหลายไม่ได้อย่างจะใช้วิธีขี้ขลาดเช่นนี้ แต่ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว “สมาชิกทุกคนของตระกูลเชี่ยจะถูกสลักสัญลักษณ์เอาไว้ในร่างกาย หากสมาชิกตระกูลตาย ปรมาจารย์ของตระกูลเชี่ยจะสามารถรับรู้รูปลักษณ์และกลิ่นอายของคนที่สังหารได้! ดังนั้นหากเจ้าสังหารข้า บรรพบุรุษตระกูลเชี่ยที่อยู่ไม่ไกลนี้จะปรากฏตัวมาสังหารเจ้าด้วยตัวเอง!”
ที่อีกฝ่ายกล่าวคือเรื่องจริงหรือแต่งขึ้น?
แต่จะเป็นแบบไหนหลิงฮันก็ไม่สนใจ!
ตายซะ!
เขาลงมืออย่างไร้เมตตา ดาบอสูรนิรันดร์ในมือทำการโจมตีด้วยตัวมันเอง ตัวดาบส่องประกายเจิดจ้า ในขณะเดียวกันหลิงฮันกระตุ้นได้กระตุ้นรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์สายฟ้าบนมือขวาและปล่อยการโจมตีไปพร้อมกับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ พลังอำนาจทั้งสามเมื่อผสานรวมกันแล้วน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
เชี่ยตงหลายตกตะลึง เขาบอกผลที่จะตามมาหากสังหารเขาไปแล้ว เหตุใดอีกฝ่ายถึงยังกล้าลงมืออีก?
หากสังหารเขาที่นี่ แม่ทัพเชี่ยที่เป็นตัวตนระดับวารีนิรันดร์แค่ก้าวเท้าครั้งเดียวก็มาถึงที่นี่ได้ แถมหนึ่งฝ่ามือก็เพียงพอจะบดขยี้หลิงฮันแล้ว
เช่นนั้นแล้วหลิงฮันยังลงมือโดยไม่ลังเลยรึ?
บ้าไปแล้ว!
เขาก็ไม่ได้อยากดูหมิ่นตัวเองหรอก แต่หากพูดตามตรงแล้วพรสวรรค์ของหลิงฮันนั้นอยู่เหนือเขาหลายขุม อีกฝ่ายสมควรจะรักชีวิตของตนเองมากแท้ๆ เหตุใดถึงได้ยอมตายง่ายแบบนี้?
ตอนที่ 1333
“ข้าไม่ได้โกหก สัญลักษณ์ของตระกูลถูกสลักเอาไว้ในร่างของข้าจริงๆ!” เชี่ยตงหลายรีบกล่าว
หลิงฮันหัวเราะ “เจ้ากำลังอยู่ในบททดสอบทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ เช่นนั้นข้าก็แค่ทำให้เจ้าบาดเจ็บจนรับสายฟ้าสวรรค์ไม่ไหว ตระกูลเชี่ยก็จะคิดว่าเจ้าเป็นเพียงตัวโง่งมที่ไม่ผ่านทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์!”
นี่มัน!
ใบหน้าของเชี่ยตงหลายบิดเบี้ยวทันที หรือนี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมถึงฮันถึงไม่ลังเลที่จะโจมตีเขา? อีกฝ่ายคิดจะทำให้เขาบาดเจ็บปางตายและยืมมือทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ในการปลิดชีวิตเขา
ไม่ได้การแล้ว!
ร่างของเชี่ยตงหลายยืดตรงและคิดจะหลบหนี
“จะไปไหน?” หลิงฮันยั้งร่างอีกฝ่ายเอาไว้ สถานการณ์ในตอนนี้เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างสมบูรณ์
เชี่ยตงหลายพยายามเอาตัวรอดอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากตาย เขาได้กระหน่ำปลดปล่อยการโจมตีออกไปอย่างไม่คิดชีวิต เขาจนตรอกถึงขนาดยอมเผาผลาญพลังชีวิตตัวเองเพื่อเพิ่มพลังต่อสู้กลับมา
การโจมตีนับไม่ถ้วนปะทะเข้ากับเป้าหมาย แต่หลิงฮันยังคงยืนนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เชี่ยตงหลายตกตะลึง ที่เขาคิดเอาไว้คือร่างของหลิงฮันจะต้องหยุดชะงักจากการกระหน่ำโจมตีของเขา โดยเขาจะใช้โอกาสนั้นในการหลบหนีไปหาบรรพบุรุษ
“รับไป!” หลิงฮันปล่อยหมัดอันหนักหน่วงราวกับท้องฟ้าจะพังทลาย
ตูม!
ไหล่ซ้ายของเชี่ยตงหลายระเบิดจนเศษเนื้อกระจัดกระจาย แขนที่ไร้ไหล่ของเขาห้อยต่องแต่งไปมาราวกับจะหลุดได้ตลอดเวลา
“อีกสักไม่กี่หมัดเจ้าจะยังไหวไหม?” หลิงฮันปล่อยหมัดต่อเนื่อง
‘ครืนนน’ ในขณะที่หลิงฮันปล่อยหมัด รัศมีรอบข้างยังคงถูกปกคลุมไปด้วยทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ ต่อให้มีใครผ่านมาก็คงไม่มีใครคาดคิดว่าภายในทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์จะมีการต่อสู้เป็นตายเกิดขึ้น
แต่จะพูดว่าการต่อสู้เป็นตายก็ไม่ถูก เนื่องจากหลิงฮันเป็นฝ่ายทุบตีเชี่ยตงหลายอยู่ฝ่ายเดียว
ร่างของเชี่ยตงหลายปกคลุมไปด้วยโลหิต พลังชีวิตของเขาในตอนนี้แทบจะแห้งเหือดแล้ว แม้หลิงฮันจะไม่โจมตีต่อ แค่ถูกทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ผ่าเข้าใส่อีกไม่กี่ครั้งเขาก็คงหลับใหลไปตลอดกาล
เขารู้สึกขุ่นเคืองเป็นอย่างยิ่ง หลิงฮันเป็นคนสังหารเขาแท้ๆ แต่เรื่องนี้นอกจากเขาแล้วจะไม่มีใครได้รับรู้ อีกฝ่ายจะสามารถไปไหนมาไหนโดยไม่ถูกตระกูลเชี่ยตามล่า ต่อให้ไปยืนอยู่ต่อหน้าแม่ทัพเชี่ยก็ตามที…
ในตอนนี้เอง หลิงฮันได้หยุดโจมตีและหันหลังราวกับจะจากไป
“ฮึ่ม!” เชี่ยตงหลายเค้นเสียง หัวใจของเขาบีบรัดด้วยความแค้น นี่เขากำลังจะตายอย่างเสียเปล่า!
แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆก็มีหมัดพุ่งเข้ามาที่หน้าอกของเขา พลังทำลายของหมัดนั้นรุนแรงจนแม้แต่วิญญาณของเขาก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆราวกับเศษกระจก
เป็นหลิงฮัน!
เชี่ยตงหลายตกตะลึง เหตุใดจู่ๆอีกฝ่ายถึงได้ลงมือปิดฉากด้วยตัวเอง? เขาสัมผัสได้ว่าสัญลักษณ์ตระกูลในห้วงจิตวิญญาณของเขากำลังแตกสลาย เมื่อใดที่สัญลักษณ์หายไปอย่างสมบูรณ์ สิ่งที่เขาเห็นและสัมผัสในช่วงสุดท้ายของชีวิตจะถูกส่งไปยังห้วงจิตวิญญาณของปรมาจารย์ของตระกูลเชี่ยทุกคน
รูปแบบสัญลักษณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่ปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ทุกคนสามารถใช้ได้ ดังนั้นทายาทของตัวตนระดับวารีนิรันดร์จึงไม่หวาดกลัวว่าจะมีใครกล้าสังหารพวกเขา
แต่หลิงฮันกลับจงใจสังหารเขาให้ตระกูลเชี่ยรับรู้ทั้งๆที่เขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ก็ได้แท้ๆ… ต่อให้อีกฝ่ายไม่ลงมือ ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ก็จะเป็นคนร้ายที่สังหารเขาแทนโดยที่ไม่เหลือร่องรอยอะไรเอาไว้
“เจ้าคิดว่าข้าจะไม่สังหารเจ้าด้วยมือข้าเอง?” หลิงฮันจ้องไปยังดวงตาของเชี่ยตงหลาย ตั้งแต่ที่คิดสังหารเชี่ยตงหลาย เขาก็ตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าเชี่ยตงหลายต้องตายด้วยเงื้อมมือเขาไม่ใช่ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์
ความแค้นของตนเองก็ต้องจัดการด้วยตนเอง!
เชี่ยตงหลายจ้องไปยังหลิงฮัน ตอนนี้เขาไม่รู้พูดว่าหลิงฮันบ้าบิ่นหรือน่าเลื่อมใสในความกล้าดี แต่อย่างไรเรื่องนั้นก็ไม่เกี่ยวกับเขาที่กำลังจะตาย
“ข้าจะไปรอเจ้าอีกภพก่อน อีกไม่กี่ลมหายใจเจ้าก็ต้องตามข้ามา!”
หลิงฮันปล่อยหมัด ‘ปัง’ ร่างและจิตวิญญาณของเชี่ยตงหลายกลายเป็นเศษซาก
ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ที่เกิดจากเชี่ยตงหลายหายไปทันที แต่ในขณะเดียวกัน จู่ๆหลิงฮันก็สัมผัสได้ถึงภัยอันตราย สัมผัสสวรรค์ของใครบางคำกำลังพุ่งเป้ามาที่เขา
แข็งแกร่ง!
เขาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในระยะที่ห่างออกไปพันไมล์หรืออาจจะไกลกว่านั้น สัมผัสสวรรค์ที่พุ่งเป้ามายังเขาอัดแน่นไปด้วยจิตสังหาร
นี่คือ… พลังของตัวตนระดับวารีนิรันดร์!
บรรพบุรุษของตระกูลเชี่ย เชี่ยเฉียน หรืออีกชื่อคือแม่ทัพเชี่ยแห่งจักรวรรดิราชวงศ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ ตัวตนระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูง! ไม่ต้องกล่าวถึงหลิงฮันเลย ต่อให้ปรมาจารย์สามวิถีพื้นคืนชีพกลับมาก็คงตายด้วยหนึ่งกระบวนท่าจากเชี่ยเฉียน
ตอนนี้แม่ทัพเชี่ยกำลังศึกษาสัญลักษณ์บนโลงศพโบราณอยู่ เขาจึงส่งสัมผัสสวรรค์มาเพื่อข่มขู่หลิงฮัน
เหตุผลที่เขาไม่ลงมือทันทีเป็นเพราะหลิงฮันยังอยู่ในทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ หากแทรกแซงทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของผู้อื่นก็จะทำให้ตนเองติดร่างแหไปด้วย แถมผู้ที่แทรกแซงทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ก็จะได้รับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ที่รุนแรงกว่าระดับพลังของตนเองอย่างน้อยสิบเท่าเหมือนที่หลิงฮันกำลังเป็นได้รับอยู่
แม้แต่เชี่ยเฉียนก็ไม่กล้ารับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ที่รุนแรงขนาดนั้น แม้เขามั่นใจว่าตนเองจะไม่ได้ แต่ก็ต้องเผาผลาญพลังชีวิตไปมหาศาล เขาต้องทุ่มเทขนาดนั้นเพื่อสังหารมดปลวกระดับสุริยันจันทรารึไง?
น่าขัน!
ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์มีระยะเวลาครึ่งวัน เขารอไปก่อนก็ได้ ไม่มีทางที่รุ่นเยาว์ระดับสุริยันจันทราตัวน้อยๆจะหลบหนีไปจากเงื้อมมือของเขา
สัมผัสสวรรค์ที่พุ่งเป้ามาไม่กล่าวถามถึงเหตุผลใดๆที่หลิงฮันสังหารเชี่ยตงหลาย ในความคิดของเขาคือใครก็ตามที่กล้าลงมือกับคนของตระกูลเชี่ยจะต้องตาย
หลิงฮันจ้องมองไปยังสัมผัสสวรรค์อย่างเย็นชา สัมผัสสวรรค์ค่อยปรากฏกลายเป็นเงาของแม่ทัพเชี่ย อีกฝ่ายสวมเกราะอย่างน่าเกรงขรามและปลดปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างไม่ปรานี
เขาจ้องมองไปยังตัวตนระดับวารีนิรันดร์อย่างไม่เกรงกลัว
‘ครืนนน’ ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ยังคงผ่าลงมาอย่างต่อเนื่องแต่แววตาของหลิงฮันกลับจ้องมองไปที่อีกฝ่ายอย่างเด็ดเดี่ยว มือของเขาไม่ยกขึ้นมาป้องกันตนเองแม้แต่นิดเดียว หลิงฮันยืนแน่นิ่งราวกับกำลังเทียบชั้นตนเองกับปรมาจารย์ตรงหน้า
พลังของข้าในตอนนี้อาจจะไม่แข็งแกร่งเหมือนเจ้า แต่ตัวข้าเป็นดั่งสวรรค์ที่เจ้าไม่อาจเอื้อม!
ใบหน้าของเงาเชี่ยเฉียนแสดงถึงความตกตะลึง
มีคนที่สามารถรับมือทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ได้อย่างผ่อนคลายเช่นนี้ด้วย?
แม้แม่ทัพเชี่ยจะเคยพบเห็นเหล่าปรมาจารย์ที่ทรงพลัง หรือแม้กระทั่งเกือบต้องทิ้งชีวิตไปกับอันตรายนับไม่ถ้วนมาก่อน เขาก็ยังอดกลั้นความรู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ได้
สามารถทำให้ตัวตนระดับวารีนิรันดร์เปลี่ยนสีหน้าได้ หากใครรู้เข้าหลิงฮันจะต้องเป็นที่โด่งดังแน่
ตอนที่ 1334
หนึ่งชายชราหนึ่งรุ่นเยาว์ หนึ่งผู้แข็งแกร่งหนึ่งผู้อ่อนแอ ทั้งสองกำลังจ้องหน้ากัน
จะมีสักกี่คนที่กล้าจ้องมองปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ด้วยสายตาเช่นนี้? อย่าว่าแต่จ้องมองเลย แค่ออร่าของตัวตนระดับวารีนิรันดร์ก็เพียงพอจะบดขยี้จอมยุทธระดับสุริยันจันทราให้กลายเป็นเศษเนื้อแล้ว
“น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่คนของตระกูลเชี่ย!” ผ่านไปสักพักเชี่ยเฉียนก็เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงเสียดาย
จอมยุทธที่สามารถรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้เขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก เขาที่มีพลังระดับวารีนิรันดร์ถึงกับเอ่ยคำชม แต่น่าเสียดายที่หลิงฮันลงมือสังหารหลานของเขา
คนของตระกูลเชี่ย… ไม่อาจได้รับความอัปยศ!
ดังนั้นเขาจึงเสียดายที่ราชาระดับแนวหน้าในอนาคตจะต้องมาตายด้วยมือของเขา
สำหรับตัวตนระดับวารีนิรันดร์ เวลาครึ่งวันย่อมผ่านไปรวดเร็วเหมือนกระพริบตา
‘ครืนนน’ หลังจากที่สายฟ้าสวรรค์ระลอกสุดท้ายผ่าลงมา เมฆสายฟ้าเบื้องบนก็สลายหายไป
เชี่ยเฉียนลงมือทันที มือขวาของเขายื่นออกไปด้านหน้า วิถีดาราจักรที่มีดวงดาวนับร้อยล้านดวงลอยอยู่ปรากฏขึ้นมาและพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน ดวงดาวแต่ละดวงอัดแน่นไปด้วยพลังโจมตีของจอมยุทธระดับดารา วิถีดาราจักรนี้จึงเปรียบเสมือนกับการโจมตีพร้อมกันของตัวตนระดับดาราร้อยล้านคน
ซึ่งนี่เป็นเพียงการโจมตีโดยสัมผัสสวรรค์ของเชี่ยเฉียนเท่านั้น
ตูมมมมม!
เมื่อการโจมตีนี้ถูกปลดปล่อยออกไป พื้นดินก็ถูกระเบิดเป็นหลุมยักษ์ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางร้อยไมล์ อย่าลืมว่าที่นี่คือด้านในของสนามรบสองดินแดน หากเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภายนอกล่ะก็ หลุมที่จะเกิดจากผลกระทบของการโจมตีนี้ไม่สิ้นสุดแค่หนึ่งพันไมล์แน่นอน
ควันรูปเห็ดขนาดยักษ์พุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า
เชี่ยเฉียนแสดงสีหน้าประหลาดใจเนื่องจากหลิงฮันได้หายไปทันทีที่เขาโจมตี
เขาสะบัดมือสร้างคลื่นลมพัดกลุ่มควันให้หายไป
หายไปไหน?
เชี่ยเฉียนแสดงสีหน้าครุ่นคิด เขาสัมผัสไม่ได้ถึงการฉีกขาดของชั้นมิติจึงมั่นใจว่าหลิงฮันไม่ได้ใช้ยันต์เคลื่อนย้ายในพริบตาหนีไปแน่นอน ยิ่งกว่านั้นด้วยการโจมตีระยะใกล้เช่นนี้ หลิงฮันจะมีเวลาพอให้นำยันต์เคลื่อนย้ายในพริบตาออกมาใช้ได้อย่างไร
หรือต่อให้หลิงฮันใช้ยันต์เคลื่อนย้ายในพริบตาจริง ด้วยระยะโจมตีที่กว้างขวางของเขา ไม่ว่าอย่างไรหลิงฮันก็ไม่มีทางหนีพ้น
แต่ว่า… หลิงฮันกลับหายไปกับอากาศราวกับไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน
“น่าแปลก!” เชี่ยเฉียนพึมพำ เขาผู้ไม่เคยหวั่นไหวมาหลายแสนหลายล้านปี วันนี้ได้ถูกรุ่นเยาว์ระดับสุริยันจันทราทำให้ตกตะลึงถึงสองครั้ง
“ช่างน่าสงสัย เจ้าหนูนั่นใช้วิธีการอะไรกันแน่!” สัมผัสสวรรค์ของเขาค่อยๆแพร่กระจายออกเป็นวงกว้างเพื่อตามหาหลิงฮัน
การกระทำเช่นนี้ได้กระตุ้นให้ตัวตนระดับดาราหลายคนตื่นตระหนกทันที เจ้าปลดปล่อยสัมผัสสวรรค์มาหาพวกข้าทำไม?
อยากปะทะ?
ถ้าที่นี่เป็นอาณาของตนเองก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร หากเจ้าอยากปลดปล่อยสัมผัสก็เรื่องของเจ้า
แต่ที่นี่นั้นไม่ใช่ ปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ที่อยู่ที่นี่มีมากกว่าสิบ ปรมาจารย์คนใดที่ปลดปล่อยสัมผัสสวรรค์มั่วซั่ว ปรมาจารย์คนอื่นอาจจะคิดว่าตนเองถูกยั่วยุ ยิ่งกว่านั้นที่นี่ยังมีปรมาจารย์จากฝั่งของดินแดนใต้พิภพอยู่ด้วย
เหตุนี้เองปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ทุกคนจึงย่อรัศมีสัมผัสสวรรค์ของตัวเองให้เล็กที่สุดเพื่อไม่ให้กระตุ้นปรมาจารย์คนอื่นและนำไปสู่การเข้าใจผิด ดังนั้นจึงไม่มีใครคาดคิดว่าเชี่ยเฉียนจะกล้าถึงขนาดล่วงเกินปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ทุกคนในที่นี้
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่าเชี่ยเฉียนไม่ได้มีพลังต่อสู้โดดเด่นที่สุด หากเขาถูกปรมาจารย์หลายคนรุมโจมตีย่อมไม่อาจหนีความตายพ้น
เพราะงั้นทุกคนจึงรู้สึกประหลาดใจมากว่าทำไมเชี่ยเฉียนถึงทำเช่นนี้?
เชี่ยเฉียนอยู่ในอารมณ์ที่จะสนใจความรู้สึกของตนอื่น จะอย่างไรเขาก็เป็นถึงตัวตนระดับวารีนิรันดร์ ไม่มีใครกล้าผลีผลามลงมือกับเขาแน่นอน แต่ไม่ว่าอย่างไรการกระทำของเขาก็ต้องมีขีดจำกัด หากเหล่าปรมาจารย์ร่วมมือกันจริงๆเขาคงทำได้เพียงเผ่นหนี สู้ดินรนไปก็มีแต่จะเอาชีวิตไปทิ้ง
แต่ไม่ว่าเขาจะขยายขอบเขตสัมผัสสวรรค์จนกว้างขนาดไหนก็หาหลิงฮันไม่พบ เขาทั้งรู้สุกประหลาดใจและสนใจมากขึ้น
ในโลกนี้มีไม่กี่อย่างที่สามารถดึงดูดให้เขาสนใจได้ หลิงฮันย่อมเป็นหนึ่งในนั้น
“เชี่ยเฉียน พอรึยัง?” ตัวตนระดับวารีนิรันดร์คนหนึ่งเอ่ยขึ้น จงใจปล่อยสัมผัสสวรรค์ไปทั่วเช่นนี้ คิดจะยั่วยุกันรึไง? เจ้าตัวว่าเป็นแข็งแกร่งที่สุดในระดับวารีนิรันดร์?
เชี่ยเฉียนขมวดคิ้ว ตัวเขาเองย่อมรู้อยู่แล้วว่าความอดทนของเหล่าปรมาจารย์มีจำกัด เขาควบคุมสัมผัสสวรรค์จากทุกทิศทางให้กลับมายังบริเวณโลงศพโบราณทันที
“อั่ก!” จู่ๆเชี่ยเฉียนก็ร้องโอดครวญ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นหน้าเกลียด ในตอนนั้นเองสัมผัสสวรรค์ที่ถูกชี้นำให้ย้อนกลับเกิดการสะไหวราวกับสูญเสียการควบคุมและระเบิดพลังอำนาจอันทรงพลังออกมาดั่งคลื่นยักษถาโถม
“อ้ากก!” พริบตาเดียวคนอย่างน้อยหลายร้อยคนก็ได้รับผลกระทบจนร่างกายสั่นสะท้านและกลายเป็นศพ ปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์คนหนึ่งที่บังเอิญอยู่ใกล้ได้รับผลกระทบจากสัมผัสสวรรค์ของเชี่ยเฉียนเช่นกัน เขาเกรี้ยวกราดและคิดจะโจมตีใส่เชี่ยเฉียน
แต่ยังไม่ทันทีเขาจะปล่อยฝ่ามืออยู่ๆร่างของเขาก็ต้องชะงักเนื่องจากพบว่าสภาพของเชี่ยนเฉียนตอนนี้ดูย่ำแย่อย่างมาก ดวงตา หู จมูกและปากของเขามีโลหิตสีดำไหลออกมา
แน่นอนว่าจอมยุทธระดับพระเจ้าย่อมไม่ตายเพียงเพราะมีโลหิตไหลออกจากร่าง แต่ประเด็นก็คือเหตุใดปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ถึงได้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้?
“สังหารพรรคพวกของข้า อย่าคิดว่าแค่อธิบายเหตุผลแล้วจะจบ” ปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ของดินแดนใต้พิภพกล่าวอย่างเย็นชา ในหมู่คนที่ตกตายไปเมื่อครู่มีคนที่เกี่ยวข้องกับเขาอยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นคนเหล่านั้นคงไม่มีคุณสมบัติจะมาอยู่ใกล้เขา
เชี่ยเฉียนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น สองมือของเขากดกุมหัวเอาไว้ด้วยสีหน้าทรมาน โลหิตสีดำไหลออกมาจากดวงตา หู จมูกและปากของเขาไม่หยุด วารีนิรันดร์สี่ดวงปรากฏขึ้นด้านหลังของเขาแล้วค่อยๆระเบิดออกทีละดวง
ทุกๆครั้งที่วารีนิรันดร์แต่ละดวงถูกทำลาย พลังของจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์จะต่อยๆลดลงทีละขั้น
การกระเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย
บ้าไปแล้ว เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!
ตอนที่ 1335
ผมของเชี่ยเฉียนกระเซอะกระเซิง โลหิตสีดำปกคลุมไปทั่วใบหน้าราวกับภูตผี
วารีนิรันดร์ด้านหลังของเขาค่อยๆระเบิดออกทีละดวง ที่น่าตกตะลึงกว่านั้นก็คือแม้แต่วิญญาณของเขาก็กำลังถูกเผาผลาญ
“ป่ายฉง เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงบังอาจทำร้ายคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์!” กู๋ซื่อลุกขึ้นยืน ชุดคลุมสีทองของเขาส่องประกายระยิบ ออร่าอันทรงพลังถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของเขา
กู๋ซื่อคือตัวแทนของจักรวรรดิราชวงศ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ เขาเป็นชายที่ถูกคาดการณ์ว่าจะได้รับสืบทอดบัลลังก์จักรพรรดิมากที่สุด
Anchor
ป่ายฉงที่ว่าคือปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ที่เมื่อครู่ได้รับผลกระทบจากสัมผัสสวรรค์ของเชี่ยเฉียน เมื่อได้ยินกู๋ซื่อกล่าวเช่นนั้นเขาก็เกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที
ข้าไม่เกี่ยวด้วย!
เขาน่ะรึลอบโจมตี? ไร้สาระ! เขายังไม่ทันได้ลงมืออะไรเลย คิดว่าที่ใบหน้าของเชี่ยเฉียนมีโลหิตสีดำไหลออกมาและระเบิดวารีนิรันดร์ของตนเองทิ้งเช่นนั้นเป็นการกระทำของเขางั้นรึ? หากเขามีพลังขนาดนั้นก่อนหน้านี้เขาจะอดทนยอมถูกสัมผัสสวรรค์ของอีกฝ่ายรบกวนทำไม?
ถ้าคนที่ใส่ร้ายเขาเป็นปรมาจารย์ทั่วไป เขาคงไม่มัวรอช้าและลงมือโจมตีอีกฝ่ายไปแล้ว เพียงแต่บุคคลตรงหน้าของเขาคือกู๋ซื่อที่มีสถานะและพลังที่สูงส่ง เขาจึงทำได้เพียงอดกลั้นความโกรธเอาไว้
“กู๋ซื่อ ตาของเขาบอดไปแล้วรึไง?” ปรมาจารย์ของดินแดนใต้พิภพที่มีอำนาจทัดเทียมกับกู๋ซื่อปรากฏตัว เขาสวมชุดคลุมสีฟ้าครามที่ดูแล้วไม่โดดเด่นอะไร แต่ดวงตาที่เหมือนกับผลึกทับทิมของเขานั้นแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
สีหน้าของกู๋ซื่อเปลี่ยนเป็นจริงจัง อีกฝ่ายคือฟู่ตงหลิว เครือญาติของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิราชวงศ์วายุดาราครามของดินแดนใต้พิภพ อีกฝ่ายแข็งแกร่งมากพอที่จะถูกเรียกว่าปรมาจารย์ที่แท้จริง
ที่เขากล่าวหาป่ายฉงว่าเป็นคนรอบโจมตีก็เป็นเพราะท่าทางของเชี่ยเฉียนนั้นแปลกประหลาดเกินไป อย่างที่เห็นว่ายังไม่ทันจะมีการต่อสู้เกิดขึ้นแท้ๆแต่ใบหน้าของเชี่ยเฉียนกลับมีโลหิตไหลออกมา แถมยังทำลายวารีนิรันดร์ที่เป็นสิ่งแสดงถึงระดับพลังบ่มเพาะของตนเองอีก
ถ้านี่ไม่ใช่การลอบโจมตีด้วยทักษะชั่วร้ายของดินแดนใต้พิภพแล้วจะเป็นอื่นใดไปได้
กู๋ซื่อมองไปยังฟู่ตงหลิวด้วยแววตาขึงขัง ดินแดนทั้งสองนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ เหตุผลที่พวกเขาไม่ก่อสงครามขึ้นทั้งๆที่มาปรากฏตัวอยู่ในที่เดียวกันแห่งนี้ก็เป็นเพราะผลประโยชน์จากโลงศพโบราณนั้นล้ำค่าเกินไป ทั้งสองฝ่ายจำใจต้องอดอทนอยู่ร่วมกันอย่างช่วยไม่ได้
แต่ตอนนี้เชี่ยเฉียนได้บ้าคลั่งไปแล้ว สถานการณ์จึงเปลี่ยนไป
“อ้ากกกก” เชี่ยเฉียนคำรามและเผาผลาญพลังชีวิตอย่างต่อเนื่อง ในตอนนี้เอง พลังต่อสู้ของเขาถูกยกระดับสูงขึ้นจนเกินขีดจำกัดของระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงและกลายเป็นขั้นสูงสุด
การเผาผลาญพลังชีวิตของตนเองขนาดนี้แม้แต่ตัวตนระดับเซียนก็ไม่สามารถฟื้นฟูพลังกลับมาได้
หรือก็คือเชี่ยเฉียนนั้นจะตายอย่างแน่นอน แต่ก่อนตายเขาจะได้รับพลังต่อสู้อันทรงพลังที่สามารถบดขยี้จอมยุทธระดับวารีนิรีนดร์ได้เกือบทั้งสิ้น
ทันใดนั้น จู่ๆเชี่ยเฉียนก็หยุดทำร้ายตัวเองและลุกขึ้นปล่อยการโจมตีไปยังผู้คนรอบข้าง
ตูมม!
เขาปล่อยการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวออกไปโดยไม่สนว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู
“บ้าไปแล้ว!”
“บัดซบ!”
เหล่าปรมาจารย์ทุกคนใบหน้าเปลี่ยนสี แม้พวกเขาจะมีพลังบ่มเพาะระดับวารีนิรันดร์เหมือนกัน แต่ขั้นพลังก็แบ่งออกไปอีกสี่ขั้น พลังต่อสู้ของเชี่ยเฉียนในตอนนี้คือขั้นสูงสุดที่อาจจะเป็นชั้นสูงสุดด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าต่อให้จักรพรรดิชื่อเยี่ยนและจักรพรรดิหลันอวิ๋นอยู่ที่พวก ทั้งสองก็ไม่กล้ากล่าวอย่างมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะเชี่ยเฉียนได้
ปรมาจารย์แข็งแกร่งที่บ้าคลั่ง ใครบ้าจะไม่หวาดกลัว?
เหล่าปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดทุกคนร่วมมือกันตอบโต้ หากไม่ช่วยกันพวกเขาคงหนีไม่พ้นถูกเชี่ยเฉียนสังหาร
ปัง! ปัง! ปัง!
โดยปรกติแล้วสงครามระหว่างตัวตนระดับวารีนิรันดร์จะเกิดขึ้นเหนือน่านฟ้า แต่ครั้งนี้เมื่อต่อสู้กันที่พื้นดินจึงมีผู้เสียชีวิตจำนวนมหาศาล เพียงแค่ลมหายใจเดียวคนที่เข้ามาที่นี่อย่างน้อยหนึ่งในสามก็ตกตาย
คนที่ยังไม่ตายส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นคนที่พกสมบัติที่ได้รับมาจากปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ติดตัวเอาไว้ แม้แต่ตัวตนระดับดาราขั้นสูงสุดก็ยังถูกบดขยี้เป็นเถ้าถ่าน สมบัติที่ได้จากพวกเขาจะใช้คุ้มกันได้อย่างไร?
“บัดซบ!” ไม่เพียงแค่เหล่าคนจากดินแดนใต้พิภพที่สบถด่า ทางฝั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เองก็ไม่ต่างกัน ที่นี่มีอัจฉริยะรุ่นเยาว์มารวมกันมากมาย แต่จะมีสักกี่คนที่ครอบครองสมบัติระดับวารีนิรันดร์หรือระดับเซียนอย่างฉื้อหวงจี่่และฉือหวง
มีผู้คนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บสาหัสมากมาย!
เมื่ออัจฉริยะรุ่นเยาว์แห่งยุคตกตายไปมากมาย เกรงว่าความรุ่งโรจน์ในวิถีวรยุทธของเขตดวงดาวแสงคงกระพันคงเสื่อมถอยไปอีกหลายล้านปี
เหล่าปรมาจารย์พยายามจะสังหารเชี่ยเฉียนเพื่อหยุดการสังหารหมู่
ที่จริงการร่วมมือกันของปรมาจารย์มากมายขนาดนี้ย่อมสมควรกำจัดจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ได้ไม่ว่าจะเป็นใคร แค่ปัญหาก็คือเชี่ยเฉียนนั้นบ้าไปแล้ว เขาทั้งเผาผลาญพลังชีวิตของตนเองและต่อสู้อย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนว่าตนเองจะได้รับบาดเจ็บหรือตาย
คนบ้าขนาดนั้นจะมีใครหยุดเขาได้?
เชี่ยเฉียนกระหน่ำโจมตีไม่หยุดยั้ง เหล่าปรมาจารย์คนอื่นจึงทำได้เพียงป้องกัน หากเป็นแบบนี้ต่อไปไม่เกินหนึ่งวันต่อให้เชี่ยเฉียนจะเป็นตัวตนระดับวารีนิรันดร์ที่แข็งแกร่งขนาดไหน พลังชีวิตของเขาก็ต้องถูกเผาผลาญจนตาย
แต่ในช่วงโกลาหลเช่นนี้ ไม่มีใครเลยที่สังเกตเห็นว่าวิญญาณของสิ่งมีชีวิตที่ตายไปได้ถูกดูดลอยเข้าไปยังโลงศพโบราณ
ภายในโลงศพขนาดเท่าภูเขานี้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยที่ไม่มีใครมองเห็น แต่จะอย่างไรคนที่สร้างโลงศพนี้ขึ้นมาก็เป็นถึงตัวตนระดับโลกียนิพพาน แม้เซียนจะอยู่ที่นี่ก็คงไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
นอกจากปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์แล้ว ทุกคนพยายามหลบหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้การร่วมมือกันของเหล่าจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์จะช่วยให้พวกเขามีโอกาสหนีรอดไปได้ การโจมตีของเชี่ยเฉียนก็ถูกหยุดเอาไว้ในระยะขอบเขตหนึ่งเท่านั้น
ในหมู่รุ่นเยาว์ มีเพียงอัจฉริยะอย่างฉือหวงและราชาคนอื่นๆที่มีสมบัติที่ช่วยให้หลบหนีออกมาจากระยะพันไมล์เท่านั้นถึงรอดพ้นจากระยะโจมตีของเชี่ยเฉียได้ แม้แต่แม่นางหยุนกับเย่วหยิงก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด
ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะขนาดไหน พวกเขาก็ไร้พลังเมื่ออยู่ต่อหน้าปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์
ด้วยเหตุนี้ เหล่ารุ่นเยาว์ที่มาที่นี่จึงเสียชีวิตไปถึงเก้าในสิบส่วน วิญญาณจำนวนมหาศาลถูกดูดเข้าไปยังโลงศพโบราณซึ่งเป็นตัวช่วยพลักดันการเปลี่ยนแปลงของโลศพให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
‘แกร่ก แกร่ก แกร่ก’ ทันทีที่มีเสียงดังออกมาจากโลงศพโบราณ ฝาของโลงศพก็ค่อยๆเปิดออก
ตอนที่ 1336
โลงศพโบราณที่ไม่เคยเกิดการเปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่ยุคบรรพกาล จู่ๆมีเสียงเกิดขึ้นเช่นนี้ ปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ทุกคนจึงตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ต่อให้พวกเขาส่วนใหญ่จะไม่ไม่ได้เห็นห้วงความฝันเอง แต่จากที่ได้ยินมา ตัวตนที่ทรงพลังหาที่ใดเปรียบได้ทิ้งบางอย่างเอาไว้ ตราบใดที่ช่วยบุตรสาวของอีกฝ่ายให้คืนชีพได้ พวกเขาจะได้รับรางวัลที่ว่า
ตอนนี้ทุกคนอยากจะหยุดการต่อสู้แล้วหาทางครอบครองรางวัลนั่นเหลือเกิน
แต่เชี่ยเฉียนนั้นยังคงลงมืออย่างบ้าคลั่ง เขาสูญเสียสติไปอย่างสมบูรณ์และหลงเหลืออยู่เพียงความคิดจะฆ่าสังหาร
‘แกร่ก แกร่ก แกร่ก’ โลงศพโบราณส่งเสียง ฝาโลงค่อยๆเปิดออก
เหล่าปรมาจารย์ต่างเต็มไปด้วยความรู้สึกคาดหวัง บางทีกุญแจที่จะช่วยให้พวกเขาเปิดประตูแห่งเซียนอาจจะอยู่ที่นี่!
ตูม!
แท่งแสงถูกยิงออกจากโลงศพขึ้นสู่ท้องฟ้า ชั้นมิติของสนามรบสองดินแดนพังทลาย ลำแสงที่ทะยานขึ้นท้องฟ้านั้นปลดปล่อยแสงสว่างอันไร้ที่สิ้นสุดยิ่งกว่าดวงตะวัน
เหล่าตัวตนระดับวารีนิรันดร์รีบแย่งกับบินไปยังแท่งแสง
แต่ทันใดนั้นเอง แท่งแสงที่พุ่งค้ำท้องฟ้าเอาไว้ก็หมุนวนด้วยความเร็วสูงจนแม้แต่ระดับวารีนิรันดร์ก็ไม่อาจหลบพ้น
“อ้ากกก” เหล่าปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์กรีดร้อง พวกเขาพบว่าพลังวิญญาณของพวกเขากำลังถูกเผาไหม้ วารีนิรันดร์ด้านหลังค่อยๆระเบิดทีละดวงอย่างไม่อาจหยุดยั้ง
พวกเขาตกอยู่ในสภาพเดียวกันเชี่ยเฉียน ที่ต่างกันมีเพียงแค่พวกเขาไม่ได้สูญเสียสติและรับรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ซึ่งยิ่งทำให้พวกเขาทรมานขึ้นไปอีก
ความตายเป็นสิ่งน่ากลัวไม่ผิดแน่ แต่การที่ต้องคอยมองดูตัวเองตายนั้นเป็นประสบการณ์ที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรับได้
แต่พวกเขาก็ไม่อาจต้านทานได้ ปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ทุกคนทำได้เพียงมองดูพลังชีวิตของตนเองถูกเผาผลาญจนในที่สุดพวกเขาก็จะกลายเป็นศพ พลังชีวิตของเหล่าปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์น่าอัศจรรย์มาก ดินแดนแห้งแล้งแห่งนี้เมื่อสัมผัสเข้ากับพลังชีวิตมากมายก็มีต้นไม้ หญ้าสีเขียวและดอกไม้นับไม่ถ้วนงอกขึ้นมาทันที
กลิ่นหอมธรรมชาติแพร่กระจายไปทั่วทำให้สถานที่แห่งนี้ราวกับกลายเป็นสวรรค์บนดิน
เหล่าปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ร้องโอดครวญและพยายามหลุดพ้นจากภัยพิบัตินี้ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะทำอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ พลังงานที่กำลังควบคุมพวกเขานั้นทรงพลังเกินไป พวกเขาทำได้เพียงรอคอยให้ตนเองสิ้นชีพเหมือนกับปลาที่นอนอยู่บนเขียง
พวกเขาก็เหมือนกับเชี่ยเฉียนที่พลังชีวิตจะแห้งเหือดภายในหนึ่งวัน หากไร้พลังชีวิต แม้กายหยาบของพวกเขาจะยังคงอยู่ก็เป็นได้เพียงศพที่ไร้วิญญาณ
หมื่นล้านปีจนถึงตอนนี้ โศกนาฏกรรมเข่นฆ่าสังหารหมู่เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขตดวงดาวแสงคงกระพันมาก่อน
ภายในหอคอยทมิฬ หลิงฮันกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์มีท่าทีตกตะลึงอย่างมาก โดยเฉพาะสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ที่ฟังเรื่องราวจากหลิงฮัน สำหรับนางแล้วระดับวารีนิรันดร์คือตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในจักรวาล แต่ตัวตนไร้เทียมทานเช่นนั้นกลับถูกเผาผลาญพลังชีวิตอย่างไม่อาจขัดขืน
“ดูเหมือนว่า… ติงจื่อเฉินจะโกหกพวกเรา” หลิงฮันกล่าว
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์พยักหน้า แม้แต่ระดับวารีนิรันดร์ยังไม่อาจขัดขืน บางทีต่อให้ตัวตนระดับเซียนมาก็คงมีชะตากรรมไม่ต่างกัน ใต้สวรรค์นี้ใครจะรอดพ้นจากตัวตนระดับติงจื่อเฉิน?
“ไม่เพียงแค่โกหก แต่พวกเรายังถูกหลอกใช้อีกด้วย” นางคาดเดา “ที่ติงจื่อเฉินนำร่างของบุตรสาวมาไว้ที่นี่อาจจะเป็นเพราะแผนของเขามีความเกี่ยวข้องกับสนามรบสองดินแดน”
หลิงฮันพยักหน้า “ตั้งแต่สี่ร้อยล้านปีก่อน ไม่มีใครรู้ว่าสนามรบสองดินแดนมีคนตายมากมายขนาดไหน โลหิตได้ไหลซึมไปทั่วผืนดินไม่รู้กี่หยก แม้ข้าจะไม่รู้วิธีผสานวิญญาณให้แก่คนตาย แต่ข้ามั่นใจว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับความตายและโลหิตแน่นอน เพราะงั้นสนามรบสองดินแดนจึงเป็นสถานที่ที่เหมาะที่สุดในการคืนชีพ”
“เมื่อพลังชีวิตถูกสะสมบนสนามรบสองดินแดนจนถึงจุดจุดหนึ่ง สถานที่แห่งนี้จึงเปิดออก” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กล่าวต่อ
“ห้านิกายโบราณใช้ชีวิตของสิ่งมีชีวิตเพื่อหลอมเป็นเม็ดยา วิธีการของติงจื่อเฉินก็ไม่ต่างกันแถมน่าอัศจรรย์กว่าอีก เขาถึงกับใช้ชีวิตของจอมยุทธระดับพระเจ้าเป็นวัตถุดิบในการคืนชีพ” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กล่าวอีกครั้ง
ทั้งสองคนมองหน้ากัน พวกเขาพอเข้าใจความจริงขึ้นมาบ้างแล้วแต่ก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้ พวกเขาทำได้เพียงนั่งดูอยู่ภายในหอคอยทมิฬ
หากออกไปก็ต้องตาย!
“ข้าหวังว่าเจ้ากระต่ายกับโสมเฒ่าจะไม่เป็นอะไร พี่ชายอู่เมี่ยนและคนอื่นๆนั้นพวกเขาคงเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว” หลิงฮันถอนหายใจ
“อาจจะ” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์พยักหน้า
อู่เมี่ยนและราชาคนอื่นๆนั้นแข็งแกร่งมาก การหลบหนีคงไม่ใช่ปัญหา ส่วนเจ้ากระต่ายกับโสมเฒ่า แม้ระดับพลังของพวกมันจะไม่สูง แต่ก็เคลื่อนที่ได้รวดเร็ว ทักษะการเผ่นหนีของพวกมันนั้นเรียกได้ว่าชั้นหนึ่ง
“แต่ธิดาซื่อเยว่…” หลิงฮันกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กล่าวพร้อมกันก่อนจะหยุดกลางคัน
พวกเขาทั้งสองต่างเคยได้รับการช่วยเหลือจากธิดาซื่อเยว่ แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้พวกเขาจึงสามารถออกไปช่วยเหลือนางได้ทำให้ทั้งสองรู้สึกแย่อย่างมากและรังเกียจติงจื่อเฉิน
อยากคืนชีพให้บุตรสาวก็เรื่องของเจ้า เหตุใดต้องนำชีวิตของคนมากมายมาใช้ประโยชน์ด้วย
พูดตามตรงแล้ว ติงจื่อเฉินก็ไม่ต่างอะไรกับห้านิกายโบราณที่สังหารชีวิตนับไม่ถ้วน
‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ร่างของเหล่าปรมาจารย์แต่ละคนร่วงจากท้องฟ้า แม้ตามร่างกายจะไม่มีบาดแผลแต่วิญญาณของพวกเขาได้ถูกนำออกจากร่างจนกลายเป็นศพไปเรียบร้อยแล้ว
ครืนนนน!
โลงศพโบราณปลดปล่อยคลื่นแสงออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนมาก ท่ามกลางคลื่นแสงมีร่างหนึ่งค่อยๆปรากฏให้เห็น แขนขาของร่างนั้นห้อยลงอย่างไร้เรี่ยวแรงราวกับกำลังหลับไหล
ร่างนั้นคือสตรี สภาพของนางในตอนนี้ผอมบางจนเห็นโครงกระดูก ชุดกระโปรงยาวสีเขียวที่สวมใส่อยู่พริ้วไหวไปตามสายลม
แต่สิ่งที่น่าประหลาดก็เกิดขึ้น จู่ๆผิวของเขาก็ฟื้นสภาพกลับมามีน้ำมีนวล
ที่เห็นได้ชัดคือก้นที่แบนราบของนางจู่ๆก็อวบใหญ่ หน้าอกเองก็ค่อยๆขยายใหญ่จนโค้งนูน
ในส่วนใบหน้านั้น ริมฝีปากของนางแดงฉ่ำดั่งเปลวเพลิง แก้มด้านหนึ่งเรียบเนียนราวกับหยกแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของสตรีที่งดงาม
แต่ความงดงามที่ว่าคือครึ่งใบหน้าเท่านั้น
‘ฟุบ’ คลื่นแสงสลายหายไปโดยที่สตรีผู้นั้นยังคงยืนอยู่กลางอากาศ
เปลือกตาของนางสั่นเครือและลืมตาขึ้น
ตอนที่ 1337
‘ครืนนน’ กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวที่สัมผัสได้จากนางคือระดับเซียน!
ในเขตดวงดาวนี้ ระดับพลังนี้ถือว่าเป็นตัวตนอันไร้เทียมทาน
“กรี๊ดดด” สตรีผู้นั้นกุมหัวร้องโอดครวญ คลื่นพลังอันรุนแรงผันผวนระเบิดออกมาจากร่างของนางไปทั่วทิศทาง โลงศพโบราณที่อยู่ด้านล่างค่อยๆปรากฏรอยปริแตกก่อนจะแหลกสลายเป็นเศษซากนับหลายร้อยล้านชิ้น
โลงศพไม่ได้ถูกนางทำลาย แต่มันแหลกสลายไปเองเนื่องจากได้ทำหน้าที่ของมันลุล่วงแล้ว
“เหตุใดสภาพของข้าถึงเป็นเช่นนี้?” สตรีผู้นั้นคำรามท่ามกลางท้องฟ้า เสียงของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกทรมานใจ
ตอนนี้รูปลักษณ์ของนางสามารถเรียกได้ว่าเป็นสตรีงามที่แท้จริง แต่ใบหน้าของนางนั้นครึ่งหนึ่งงดงามดั่งหยก อีกครึ่งหนึ่งอัปลักษณ์ราวกับภูตผี สำหรับสตรีแล้วใบหน้าเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถยอมรับได้
ต่อให้นางจะเป็นตัวตนระดับสร้างสรรค์พสิ่งก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปรับแต่งรูปลักษณ์ที่แท้จริงของตนเอง ร่างของนางเกิดจากรวมวิญญาณให้ผสานเข้ากับศพที่ตายไปแล้ว วิธีการเช่นนี้กล่าวได้ว่าฝืนสวรรค์อย่างแท้จริง แต่แผนการของติงจื่อเฉินมีจุดผิดพลาดเล็กน้อยทำให้ศพของนางฟื้นสภาพไม่ครบสมบูรณ์
ด้วยการคืนชีพที่ท้าทายสวรรค์จึงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะปรับแต่งรูปลักษณ์ของตัวเองได้ นอกเสียจากว่านางจะใช้วิธีการเดิมอีกครั้ง
เพียงแต่ว่าโลงศพโบราณอันเป็นกุญแจสำคัญของการคืนชีพได้พังทลายไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรสตรีผู้นั้นก็ต้องใช้ชีวิตด้วยรูปลักษณ์แปลกประหลาดไปตลอดกาล
ถ้าติงจื่อเฉินไม่ได้โกหกทั้งหมด สตรีผู้นั้นสมควรเป็นติงหลิน
นางกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
“ข้าเกลียดตัวเอง! ข้าเกลียดตัวเอง!” ติงหลินคำราม ทันใดนั้นเองนางก็ได้ยกฝ่ามือขึ้นและกระแทกเข้าที่หน้าผากตัวเอง ‘โพล๊ะ’ หัวของนางระเบิดกระจุย แม้แต่ร่างกายส่วนที่เหลือก็แยกออกเป็นชิ้นๆ
เพิ่งคืนชีพกลับมาไม่กี่ลมหายใจนางก็ฆ่าตัวตายเสียแล้ว!
‘พรึบ’ ชิ้นส่วนร่างกายของนางค่อยๆสลายไปพร้อมกับมีผลึกขนาดเท่านิ้วมือร่วงลงมาจากท้องฟ้า
หลิงฮันเล่าสิ่งที่เห็นให้สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ฟัง นางตกตะลึงก่อนจะถอนหายใจและกล่าว “ถ้าข้าเป็นนาง บางทีข้าก็อาจจะเลือกปลิดชีวิตตัวเองเช่นกัน”
“ทำไมกัน?” หลิงฮันถาม
“สำหรับสตรีที่แต่เดิมเคยงดงามมาก่อนนั้น ใบหน้าเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กล่าวด้วยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ “ถ้าฆ่าตัวตายก็จะไม่ต้องทนเห็นใบหน้าตัวเองอีกต่อไปและจดจำเอาไว้เพียงความทรงจำในช่วงที่ตัวเองงดงาม”
หลิงฮันหัวและนำร่างของนางเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน “เจ้าห้ามคิดทำอะไรเช่นนั้นเด็ดขาด! ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกคนอย่างย่อมมีทางแก้ไข แต่ถ้าเจ้าตายก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย”
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์พยักหน้า แต่หลิงฮันรู้ว่านางไม่ได้ฟังที่เขาบอกเลยสักนิด ถ้าหากนางสูญเสียใบหน้าไปและไม่สามารถฟื้นกลับสภาพเดิมได้ นางคงเลิกวิธีการเหมือนติงหลินแน่
สตรีช่างเข้าใจยากเหลือเกิน
หลิงฮันถอนหายใจและออกจากหอคอยทมิฬมาพร้อมกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ ที่นี่ยังมีออร่าอันทรงพลังของเซียนหลงเหลืออยู่ ต่อให้เซียนจะตกตาย ออร่าของพวกเขาก็ยังคงสภาพเอาไว้ได้อีกนานแสนนาน
บทสรุปเช่นนี้ ติงจื่อเฉินคงไม่สามารถคาดการณ์เอาไว้ได้ก่อนแน่
เขาพยายามมาหลายร้อยหลายพันล้านปีเพื่อดำเนินแผนการให้บุตรสาวของตนเองกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่สุดท้ายนางกลับเลือกที่จะฆ่าตัวเอง แต่เกรงว่าต่อให้ติงจื่อเฉินคาดเดาผลลัพธ์เช่นนี้เอาไว้ก่อน ความคิดที่จะนำชีวิตของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนมาสังเวยเพื่อคืนชีพให้บุตรสาวก็คงไม่เปลี่ยนแปลง
หลิงฮันลองนึกย้อนกลับมาหาตัวเอง ถ้าหากเป็นเขาล่ะ? เขาจะยอมทำเรื่องบ้าบิ่นขนาดนี้เพื่อบุตรของเขาหรือไม่?
“ไม่ว่าจะอย่างไรพลังที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะแก้ไขทุกอย่างได้” หลิงฮันกล่าว หากเขามีพลังแข็งแกร่งย่อมสามารุที่จะหลีกเลี่ยงการสูญเสียได้
“อืม!” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์พยักหน้า หลังจากที่เห็นจุดจบของติงหลินนางก็เข้าใจถึงความจริงนี้ดี
หลิงฮันหยิบผลึกที่หลงเหลือจากติงผลินขึ้นมา ทันใดนั้นเองห้วงจิตวิญญาณของเขาก็มีความทรงจำที่ไม่ใช่ของเขาผุดขึ้นมา
ความทรงจำนี้คือ… กาลเวลาแปรผันพันปี!
กาลเวลาแปรผันพันปีที่คัดแยกจากเม็ดทรายสีทองนั้นไม่มีความทรงจำของติงจื่อเฉินผสานเอาไว้มันจึงไม่ใช้กาลเวลาแปรผันพันปีที่แท้จริง แค่ความทรงจำที่เขาได้รับมาคือกาลเวลาแปรผันพันปีที่สมบูรณ์
ผลึกนี้เป็นสมบัติที่ติงจื่อเฉินขโมยมาจากตระกูลของคู่หมั้น มันสามารถใช้กักเก็บวิญญาณเอาได้เป็นระยะเวลาหลายร้อยหลายพันล้านปี
ติงจื่อเฉินนั้นไม่เคยคิดจะมอบทักษะลับนี้ให้ใครอื่นอยู่แล้ว แต่ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงทำให้มันตกมาอยู่ในมือหลิงฮัน
ในเมือผลึกนี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่มาจากดินแดนแห่งเซียน มันจะต้องมีตราประทับที่ใช้แสดงตำแหน่งสลักเอาไว้แน่ ก่อนหน้านี้มันถูกผนึกเอาไว้ในโลงศพโบราณทำให้ไม่ถูกค้นพบ แต่ตอนนี้มันตกมาอยู่ในมือของหลิงฮันแล้ว
หลิงฮันเข้าไปในหอคอยทมิฬกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ ระยะเวลาที่เขาสัมผัสกับผลึกนั้นเพิ่งผ่านไปไม่นาน บางทีขุมอำนาจเจ้าของสมบัติอาจจะยังไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่ชัดได้ แต่รูปลักษณ์ กลิ่นอายของเขานั้นคงถูกอีกฝ่ายรับรู้ไปแล้ว
ยังไม่ทันเข้าไปยังดินแดนแห่งเซียนเขาก็พบเจอปัญหาก่อนเสียแล้ว
หลิงฮันชำระล้างร่องรอยทุกอย่างในผลึกด้วยอำนาจของหอคอยทมิฬและเริ่มบ่มเพาะพลังต่อพร้อมกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์จำเป็นต้องใช้เวลาทำความเข้าใจเต๋าแห่งกฎสวรรค์อีกนานเพื่อขัดเกลาพลังบ่มเพาะใช้บรรลุขั้นสมบูรณ์ชั้นสูงสุด ส่วนหลิงอันนั้นเขาอยู่ห่างจากขั้นสมบูรณ์ชั้นสูงสุดเพียงก้าวเดียวก็จริง แต่เขาจำเป็นต้องใช้เวลาอีกพอสมควรถึงจะทะลวงผ่านระดับดารา
เขาสังหารเชี่ยตงหลายสำเร็จแล้ว แม้เชี่ยเฉียนที่เป็นผู้นำของตระกูลเชี่ยจะตกตายไปแล้ว ตระกูลเชี่ยก็ยังคงมีปรมาจารย์ระดับดาราอยู่อีกมากมาย ดังนั้นหลิงฮันจึงคิดจะกลับไปคิดบัญชีกับห้านิกายโบราณโดยที่หากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับตระกูลเชี่ย
เพื่อชำระหนี้แค้นกับห้านิกายโบราณ เขาจึงอยากบรรลุระดับดาราให้เร็วที่สุด แต่ไม่ว่าจะรีบขนาดไหนก็คงต้องใช้เวลาหลายปี
ด้วยเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งทั้งสองคนจึงไม่ต้องกังวลเรื่องการสะสมพลังปราณ สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือทำความเข้าใจอำนาจแห่งเต๋าเท่านั้น
หลิงฮันหยิบเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งเม็ดสุดท้ายที่เขาสามารถกินได้เข้าปากและเร่งขัดเกลาพลังบ่มเพาะให้บรรลุขั้นสมบูรณ์ชั้นสูงสุด เขาเริ่มเข้าสัมผัสได้ถึงความรู้สึกลึกลับของประตูแห่งระดับดารา
ตามหลักแล้ว ตัวเขาที่ใช้เวลาไม่นานในการขัดเกลาพลังจนบรรลุขั้นสมบูรณ์ที่ยากกว่าการทะลวงผ่านระดับดารา หากต้องการจะทะลวงผ่านระดับดาราก็สมควรทะลวงผ่านได้อย่างง่ายดาย
แต่ความจริงไม่ใช่แบบนั้น เขารู้สึกว่ามีช่องว่างบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสวรรค์และปฐพีคอยปิดกั้นไม่ให้เขาทะลวงผ่านอยู่
เมื่อลองไปถามเซียนหวู่เซียงก็พบว่าปัญหาที่เขาพบเจอนั้นคือกฎแห่งช่วงอายุ
ในจักรวาลนี้ไม่เคยมีจอมยุทธระดับดาราที่อายุน้อยกว่าร้อยปี!
หลิงฮันไม่เชื่อเช่นนั้น แล้วฮูหนิวล่ะ? ไม่ใช่แค่ระดับดาราแต่นางบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งแล้วด้วยซ้ำ ไหนล่ะกฎแห่งช่วงอายุ?
หรือไม่บางทีกฎที่ว่าก็อาจจะมีผลกับสิง่มีชีวิตในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
หลิงฮันเคยคิดว่าเขาจะทะลวงผ่านระดับดาราได้ในเวลาสามเดือน แต่ระยะเวลาที่เขาใช้นั้นเกินกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้
ทุกๆสามเดือนหลิงฮันจะหยุดบ่มเพาะพลังเพื่อขัดเกลากายหยาบด้วยเพลิงนิรันดร์ ในระยะสามเดือนที่ผ่านมาเขาทำความเข้าใจกฎแห่งเต๋าใต้ต้นสังสารวัฏไปราวๆหนึ่งร้อยปี
“สองร้อยปี” “สามร้อยปี” “สีร้อยปี” เวลาค่อยๆผ่านไปหลิงฮันก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นขั้นตอนนี้ไปได้
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์บ่มเพาะและกินเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งอย่างต่อเนื่อง ด้วยการช่วยเหลือจากต้นสังสารวัฏหลังจากผ่านไปสามปีในที่สุดนางก็บรรลุขั้นสมบูรณ์ขั้นสูงสุด ตอนนี้ระดับพลังของนางทัดเทียมกับหลิงฮันแล้ว
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดหลิงฮันก็เข้าใจกฎแห่งเต๋าได้เพียงพอ ประตูสู่ระดับดาราเปิดต้อนรับเขาแล้ว
ตอนที่ 1338
ระดับดาราคือการควบแน่นดาราขึ้นภายในตันเถียน
แม้ในความเป็นจริง ดวงตะวันและจันทราจะเรียกว่าเป็นดวงดาวเหมือนกัน แต่ในการบ่มเพาะพลังนั้นต่างออกไป
การควบแน่นดาราในตันเถียนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หลิงฮันจำเป็นต้องทำความเข้าใจกฎแห่งเต๋าภายใต้ต้นสังสารวัฏถึงสองพันปี
แต่พูดตามตรงทันก็ไม่ใช่เวลาที่ยาวนานอะไร
จอมยุทธระดับสุริยันจันทรามีอายุขัยสี่ล้านปี มีจอมยุทธระดับสุริยันจันทรามากมายเท่าใดที่หมดสิ้นอายุขัยเนื่องจากไม่สามารถทะลวงผ่านระดับดาราได้?
นับไม่ถ้วน!
จอมยุทธทั่วไปที่พอจะทะลวงผ่านได้ก็ต้องใช้เวลาหลักล้านปีเป็นอย่างน้อย แต่แน่นอนว่าในจักรวาลย่อมมีเหล่าคนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะ อย่างเช่นพวกฉือหวงกับฉื้อหวงจี่่ พวกเขาใช้เวลาทะลวงระดับเพียงสองร้อยปีด้วยการช่วยเหลือของสมบัติหรือทรัพยากรบางอย่าง
ส่วนหลิงฮัน แม้เขาจะใช้เวลาทำความเข้าใจกฎแห่งเต๋ามากกว่าสองร้อยปีโดยไร้การช่วยเหลือจากสมบัติใดๆ แต่ด้วยต้นสังสารวัฏระยะภายนอกจึงผ่านไปหกปีเท่านั้น
เพียงหกปีเขากำลังจะทะลวงผ่านระดับดาราแล้ว หากกล่าวออกไปใครบ้างจะยอมเชื่อ!
แต่หลิงฮันไม่คิดว่าตัวเขายอดเยี่ยมอะไรขนาดนั้นเมื่อเทียบกับฮูหนิว ในดินแดนแห่งเซียนจะมีขุมอำนาจที่ทรงพลังเช่นตำหนักมัจฉาวายุภักษ์อยู่มากมายเท่าใด? ต่อให้ไม่สามารถสามารถบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งในระยะเวลาห้าปี แต่หากบรรลุได้ในระยะห้าสิบปีหรือห้าร้อยปีก็นับว่าน่าสะพรึงกลัวมากพอแล้ว เมื่อคิดเช่นนี้ในดินแดนแห่งเซียนจะมีอัจฉริยะรุ่นเยาว์อยู่มากมายเพียงใด?
ก็เหมือนกับโลกใบเล็กที่จอมยุทธระดับทลายมิติมีจำนวนเพียงแต่หยิบมือ แต่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่บ่มเพาะพลังไม่กี่ปีก็สามารถบรรลุระดับพลังเช่นนั้นได้แล้ว
ตัวเขาที่เกิดที่โลกใบเล็กถูกตัดสินโชคชะตาให้เริ่มต้นจากเส้นทางที่ต่ำต้อยที่สุด
หลิงฮันไม่คิดว่านี่เป็นจุดด้อย ในทางกลับกันการเริ่มต้นจากจุดแรกสุดย่อมทำให้รากฐานของเขามั่นคง ยิ่งกว่านั้นขนาดดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังส่งรุ่นเยาว์จำนวนหนึ่งลงไปยังโลกใบเล็กเพื่อเปิดสวรรค์และรับวาสนาจากสวรรค์และปฐพี
ในขณะที่หลิงฮันกำลังคิดเรื่อยเปื่อย จุดประกายแสงเล็กก็ส่องสว่างขึ้นในตันเถียนของเขา
นี่คือการกำเนิดขั้นแรกเริ่มของดวงดารา
หลิงฮันตั้งมั่นอยากจะทะลวงระดับดาราอย่างมาก
เมื่อเขาบรรลุระดับดาราได้ หอคอยทมิฬชั้นที่ห้าก็จะเปิดออก พลังธาตุทั้งห้าของหอคอยจะสมบูรณ์และระดับของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ก็จะยกระดับขึ้น นอกจากนั้นเขาก็จะได้สร้างร่างกายให้กับเซียนหวู่เซียงเสียที เมื่ออีกฝ่ายออกไปยังโลกภายนอก แม้ระดับพลังจะยังอยู่ที่จุดเริ่มต้นแต่มั่นใจได้เลยว่าด้วยออร่าของเขาจะต้องทำให้ผู้คนหวาดกลัวแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นระดับดารานั้นสามารถเหาะเหินบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้
“ลุยเลย!” หลิงฮันกล่าวกับตนเอง ผมสีดำยาวของเขาสยายออกพร้อมกับระเบิดอำนาจอันทรงพลังออกมา
ตูมมม!
เมฆสายฟ้าค่อยๆรวมตัวกัน ครั้งนี้ประกายสายฟ้าที่ท่ามกลางเมฆสีดำนั้นแตกต่างออกไปจากเดิม เห็นได้ชัดว่าแสงของสายฟ้านั้นส่องระยิบเป็นสีฟ้าและขาว
พลังของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ถูกยกระดับขึ้น
หลิงฮันเคยได้ยินมาว่าทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของตัวตนระดับเซียนนั้นจะเป็นสีฟ้าทั้งหมด เหตุผลที่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จอมยุทธระดับดาราถูกเรียกว่าปรมาจารย์ก็เป็นเพราะทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของพวกเขามีเศษเสี้ยวของสายฟ้าสวรรค์สีฟ้าแฝงเอาไว้
แม้จะเป็นแค่เศษเสี้ยว หลิงฮันก็สัมผัสได้ถึงภัยพิบัติอันรุนแรง
ในตอนที่ลอบโจมตีเชี่ยตงหลิง ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของอีกฝ่ายไม่ได้ทรงพลังเท่านี้
ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อีกฝ่ายทะลวงผ่านจากระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุด ในขณะที่เขาทะลวงผ่านจากขั้นสมบูรณ์ แม้จะเป็นการทะลวงระดับดาราเหมือนกันแต่พลังอำนาจนั้นแตกต่างกันเกินกว่าหลายหมื่นเท่า
ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของเชี่ยตงหลายนั้นแทบจะไม่มีร่องรอยของสายฟ้าสีฟ้าเลย
“เข้ามา!” หลิงฮันรู้สึกตื่นเต้น ยิ่งทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ทรงพลัง พลังสายฟ้าที่เขาจะนำมาใช้ได้ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น โชคร้ายที่ตอนนี้เขาไม่มีแร่โลหะมากพอให้ดาบอสูรนิรันดร์ดูดกลืน
คลืนน!
ราวกับว่าทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์รับรู้ถึงคำพูดยั่วยุของหลิงฮัน คลื่นสายฟ้าสวรรค์ระลอกแรกกระหน่ำลงมาทันที
หลิงฮันไม่หวั่นเกรง กายหยาบของเขาในตอนนี้เทียบเท่ากับแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าแล้ว ต่อให้เป็นทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของระดับดารานับหมื่นครั้งก็ไม่สามารถคุกคามเขาได้ ในทางกลับกันเขาตั้งใจสลายการป้องกันของกายหยาบเพื่อนำสายฟ้าสวรรค์มาขัดเกลากระดูกของตนเอง
หกปีที่ผ่านมาเขาขัดเกลากายหยาบด้วยเพลิงนิรันดร์มากกว่ายี่สิบครั้ง เขาในตอนนี้เขาบรรลุพื้นฐานเคล็ดลับของกำเนิดใหม่จากเถ้าถ่านในขั้นต้นแล้ว ยิ่งกว่านั้นร่างกายของเขาก็กลับมาอยู่ในช่วงอายุสิบแปดปีเรียบร้อย แต่เพราะเขากับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์อยู่ในช่วงฝึกตนเขาจึงไม่มีเวลาทำเรื่องสนุกกับนาง
คลื่นสายฟ้าสวรรค์โหมกระหน่ำเข้าใส่หลิงฮันที่ไร้การป้องกันจนกล้ามเนื้อแลกสลาย กระดูกหลายชิ้นแตกหัก อำนาจลึกลับของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์เป็นสิ่งคอยเกื้อหนุนไม่ให้พลังชีวิตของเขาถูกทำลาย
ด้านในตันเถียนของหลิงฮัน ดวงดาราที่ตอนแรกมีขนาดเท่าจุดแสงเล็กๆตอนนี้ขยายใหญ่จนมีขนาดเท่านิ้วมือ จุดแสงนี้อัดแน่นไปด้วยพลังของระดับดารา
นี่คือดาราดวงแรกของหลิงฮัน
หลังจากที่ดาราดวงแรกถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์ หลิงฮันสัมผัสได้ถึงแก่นแท้ของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ไม่เคยสัมผัสได้มาก่อน ตราบใดที่สามารถเข้าใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์นี้ได้ เขาจะสามารถเหาะเหินไปอย่างอิสระ
หลิงฮันลองทำความเข้าใจและพบว่าอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ในการเหาะเหินนั้นไม่ยากเลย
ไม่น่าแปลกใจที่จอมยุทธระดับดาราทุกคนสามารถเหาะเหินได้
ครึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลิงฮันลืมตาและกระตุ้นใช้งานหยดวารีนิรันดร์เพื่อฟื้นฟูบาดแผลให้ร่างกายกลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด
“เหาะเหิน!” เขากล่าวเบาๆ ทันใดนั้นเท้าของเขาก็ลอยขึ้นจากพื้นดินและลอยอยู่กลางอากาศอย่างมั่นคง
หลิงฮันหัวเราะ ‘พรึบ’ เขาเคลื่อนไหวลอยไปมากลางอากาศด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระดับสุริยันจันทราสู่ระดับดารานี้ได้ทำให้ความเร็วของเขาสูงขึ้นไม่รู้กี่เท่าตัว
“จากนี้ไป ข้าถือว่าพอจะเป็นปรมาจารย์ได้แล้ว” หลิงฮันยิ้มและกล่าว
ต่อจากนี้ยังมีเรื่องให้เขาทำอีกมากมาย แต่ก่อนอื่นคือต้องสร้างกายหยาบให้กับเซียนหวู่เซียง
หลิงฮันกลับเข้าไปในหอคอยทมิฬ ทันทีที่เข้ามาด้านในเขารู้สึกได้ว่าหอคอยทมิฬมีบางอย่างเปลี่ยนไป แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าที่เปลี่ยนไปนั้นคืออะไร
“ธาตุทั้งห้าเปิดออกอย่างสมบูรณ์แล้ว ตอนนี้ภายในหอคอยสามารถเรียกได้ว่าเป็นโลกที่แท้จริง” หอคอยน้อยปรากฏตัวและกล่าว
หลิงฮันไม่เสียเวลาถามรายละเอียดปลีกย่อยและกล่าวออกไป “ข้าอยากจะสร้างกายหยาบให้เซียนหวู่เซียง ต้องทำอย่างไรบ้าง?”
ตอนที่ 1339
“ง่ายมาก ด้วยพลังของธาตุทั้งห้า เจ้าสามารถหลอมกายหยาบห้าธาตุได้” หอคอยน้อยกล่าวอย่างไม่แยแส
ในดินแดนแห่งเซียนนั้นหอคอยทมิฬสมควรเป็นสมบัติระดับสูง ซึ่งในดินแดนแห่งเซียนย่อมมีจอมยุทธระดับเซียนเช่นเซียนหวู่เซียงอยู่ทั่วทุกที่ ในสายตาของหอคอยน้อยเซียนหวู่เซียงจึงไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าสุนัข
“สอนข้าที” หลิงกล่าว คำสัญญาที่ให้ไว้กับเซียนหวู่เซียนเขาจำเป็นต้องทำให้สำเร็จ
หอคอยน้อยบอกวิธีการควบแน่นพลังของธาตุทั้งห้าเพื่อสร้างกายหยาบห้าธาตุให้กับหลิงฮัน ยิ่งกว่านั้นเขายังบอกถึงวิธีผนึกตราประทับลงไปด้วย ขอแค่หลิงฮันนึกคิด กายหยาบห้าธาตุก็จะแหลกสลาย
นี่ผนึกตราประทับเช่นนี้ลงไปก็เพื่อป้องกันหากเซียนหวู่เซียงเกิดความคิดชั่วร้าย หากอีกฝ่ายไม่ทำเช่นนั้นก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเขาฟื้นพลังแห่งเซียนกลับมาได้แล้วคิดจะครอบครองหอคอยทมิฬล่ะ?
หลิงฮันเห็นด้วยกับคำแนะนำของหอคอยน้อยหลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่
ขอแค่เมื่อวัตถุดิบพร้อม การสร้างกายหยาบห้าธาตุย่อมทำได้ง่ายมาก หลิงฮันรีบลงมือสร้างกายหยาบห้าธาตุทันที ด้วยการที่กายหยาบนี้ถูกสร้างขึ้นจากธาตุทั้งห้าของหอคอยทมิฬ พลังของกายหยาบจึงทรงพลังอย่างมาก
แต่หากไม่มีวิญญาณ กายหยาบนี้ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
หลิงฮันครุ่นคิดก่อนที่จะสร้างกายหยาบขึ้นอีกร่างให้กับจักรพรรดิจอมอสูร
“ผู้อาวุโส นี่คือกายหยาบห้าธาตุที่ข้าสัญญาเอาไว้” หลิงฮันกล่าวก่อนจะนำกายหยาบออกมาที่ใต้ต้นสังสารวัฏ
ก้อนวิญญาณของเซียนหวู่เซียนสั่นสะท้านอย่างรุนแรง แม้เขาจะเตรียมพร้อมเอาไว้อยู่แล้ว แต่เมื่อวันนี้มาถึงจริงๆ ต่อให้เขาเป็นตัวตนระดับเซียนก็ต้องมีหวั่นไหวกันบ้าง
เพียงแต่ว่าเซียนก็ยังคงเป็นเซียนที่ผ่านฟ้าผ่านฝนมาไม่รู้มากมายเท่าไหร่ เซียนหวู่เวียงสงบสติอย่างรวดเร็ว ภายในพริบตาก้อนวิญญาณเขาก็ลอยเข้าไปในกายหยาบ
‘ตึก’ นิ้วมือของกายหยาบห้าธาตุขยับก่อนที่จะลืมตาและลุกขึ้นยืน
กายหยาบนี้ได้กลายเป็นเซียนหวู่เซียงเรียบร้อยแล้ว
เขายกมือขึ้นและจ้องมองด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าแสดงออกถึงความปีติยินดีอย่างปิดไม่มิด
ต่อให้เขาเป็นเซียนเขาก็ไม่มีความสามารถในการเกิดใหม่ด้วยตนเอง ตอนนี้เขาสัมผัสได้ว่ากายหยาบนี้แม้จะยังอ่อนแอแต่ก็แฝงไว้ด้วยพลังอันแข็งแกร่ง
ต่อให้ร่างกายนี้จะถูกสร้างขึ้นจากพลังของธาตุทั้งห้า แต่มันก็ไม่แตกต่างอะไรกับร่างกายมนุษย์ทั่วไปเลย ตอนนี้ระดับพลังของเซียนหวู่เซียงยังเป็นเพียงมนุษย์ทั่วไป แต่กายหยาบห้าธาตุนั้นไม่มีขีดจำกัดใดๆเหมือนร่างกายมนุษย์ เขาสามารถบรรลุระดับพลังได้ทุกระดับไม่ว่าจะเป็นระดับทลายมิติ ระดับดารา หรือแม้แต่ระดับสร้างสรรพสิ่ง
ครืนนน!
เซียนหวู่เซียนควบตั้งสมาธิและปลดปล่อยอำนาจของไร้เทียมทานออกออกมา ออร่าที่สัมผัสได้จากตัวเขาคือออร่าของระดับสร้างสรรพสิ่ง
ภายในหอคอยทมิฬหลิงฮันย่อมไม่หวาดกลัวต่อออร่าของระดับสร้างสรรค์พสิ่ง แต่เขาสัมผัสได้ว่าหากเป็นโลกภายนอก เซียนหวู่เซียนจะต้องทรงพลังมากเป็นแน่
ด้วยออร่าเช่นนี้เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้อื่นหวาดกลัว!
“ผู้อาวุโสควรรีบฟื้นฟูพลังบ่มเพาะกลับมาให้เร็วที่สุด” หลิงฮันนำเม็ดยาออกมา ด้วยเม็ดยาที่หลอมขึ้นจากสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ เซียนหวู่เซียงย่อมสามารถบ่มเพาะพลังกลับสู่ระดับภูผาวารีได้อย่างรวดเร็ว และตั้งแต่ระดับภูผาวารีขึ้นไป เซียนหวู่เซียงมีประสบการณ์ทำความเข้าใจกฎแห่งเต๋ามาหมดแล้ว สิ่งที่เขาจำเป็นเพื่อทะลวงผ่านระดับคือสะสมพลังปราณเพียงอย่างเดียว
“เอาล่ะ ข้า… ชายชราผู้นี้…” เซียนหวู่เซียงตื่นเต้นจนไม่รู้ว่าจะเรียกแทนตนเองว่าอย่างไร “เอาล่ะ ข้าจะบ่มเพาะพลังให้ตัวเองกลับมามีพลังระดับภูผวารีเป็นอย่างน้อย”
หลิงฮันยิ้มก่อนจะเรียกจักรพรรดิจอมอสูรออกมา
“นายท่านผู้ใหญ่ของข้า ท่านเรียกจักรพรรดิน้อยผู้ซื่อสัตว์ออกมาด้วยเหตุอันใด?” จักรพรรดิจอมอสูรกล่าวด้วยถ้อยคำประจบประแจงอย่างถึงที่สุด เขาจ้องมองหลิงฮันที่ทะลวงผ่านระดับดาราแล้วด้วยแววตาที่ส่องประกาย
ยิ่งนายท่านของเขาแข็งแกร่ง เขาก็ยิ่งได้รับผลประโยชน์มากขึ้นไปด้วย ดังนั้นต่อหน้าหลิงฮันแล้วเขาจึงทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อซื้อใจหลิงฮัน
หลิงฮันนำกายหยาบห้าธาตุออกมาและกล่าว “นี่คือร่างกายของเจ้า จงบ่มเพาะพลังซะ”
จักรพรรดิจอมอสูรไม่กล่าวอะไรและเข้าสิงกายหยาบทันที คำพูดของหลิงฮันเป็นเหมือนคำสั่งที่ไม่อาจขัดขืนได้สำหรับเขา
“นายท่าน เหตุใดร่างกายนี้ถึงได้อ่อนแอเช่นนี้?” จักรพรรดิจอมอสูรตกตะลึง ร่างกายนี้ทำให้เขารู้สึกได้พลังแฝงอันแข็งแกร่ง แต่ระดับพลังของร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป
“แน่นอนว่ามันต้องอ่อน มันคือร่างกายมีทีระดับพลังของมนุษย์ทั่วไป” หลิงฮันยิ้ม
“เอ่อ…” จักรพรรดิจอมอสูรมึนงง
หลิงฮันกล่าวต่อ “แม้ร่างกายนี้จะไม่ทรงพลัง แต่มันสามารถบ่มเพาะพลังได้อย่างไร้ขีดจำกัด แม้ในตอนแรกจะอ่อนแอ แค่ข้าเชื่อว่าหากบ่มเพาะพลังด้วยร่างกายนี้อีกไม่นานมันจะเหนือกว่าระดับพลังปัจจุบันของเจ้า”
“อีกอย่าง หากเจ้ามีวิญญาณเป็นสิ่งมีชีวิตใต้พิภพแต่มีกายหยาบของพลังธาตุดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เจ้าย่อมสามารถสื่อสารกับสวรรค์และปฐพีของทั้งสองดินแดนได้ ในอนาคตเจ้ามีโอกาสสูงมากที่จะเชี่ยวชาญอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองไปพร้อมๆกับทะลวงผ่านระดับสร้างสรรพสิ่ง!”
จักรพรรดิจอมอสูรชะงักก่อนที่จะระเบิดน้ำตาและกล่าว “ขอบคุณนายท่านมาก จักรพรรดิน้อยจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้นายท่านผิดหวัง”
แน่นนอนว่าเขาก็แค่พูดออกไปอย่างไม่จริงจัง การจะบรรลุเป็นเซียนได้นั้นยากลำบากขนาดไหน แถมยังต้องเริ่มบ่มเพาะพลังใหม่จากศูนย์ด้วย
จักรพรรดิจอมอสูรไม่คิดว่าตัวเองจะทำเช่นนั้นได้
ความคิดของเขานั้นไม่มีอะไรยาก เขาต้องการเป็นสุนัขรับใช้ของหลิงฮันและไล่กัดคนไปทั่ว เขามั่นใจว่าหลิงฮันจะต้องสามารถกลายเป็นเซียนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้แน่นอน ต่อให้เข้าไปในดินแดนแห่งเซียนซักวันหลิงฮันก็ต้องกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลัง
หลิงฮันหัวเราะก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสีหน้าเย็นชา “ขยันบ่มเพาะพลังให้ดี ถ้าข้าเห็นว่าการพัฒนาของเจ้าเชื่องช้ากว่าเซียนหวู่เวียง ข้าจะลงโทษเจ้า”
“อะไรกัน!” จักรพรรดิจอมอสูรโอดครวญ รู้ทั้งรู้ว่าเซียนหวู่เวียนนั้นครั้งหนึ่งเคยเป็นตัวตนระดับสร้างสรรพสิ่งมาก่อน ต่อให้จะเริ่มบ่มเพาะพลังจากศูนย์เหมือนกัน แต่ความเร็วของอีกฝ่ายจะต้องรวดเร็วกว่าเขาแน่นอน
“นายท่าน!” จักรพรรดิจอมอสูรทำสีหน้าอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา
“ยังไม่รีบบ่มเพาะพลังอีก?” หลิงฮันกล่าว
“ข้าจะทำเดี๋ยวนี้!” จักรพรรดิจอมอสูรไม่มีทางเลือกอื่น เขาเดินไปนั่งต้นสังสารวัฏและเริ่มบ่มเพาะพลัง
ทีนี้ก็ถึงเวลาชำระหนี้แค้นกับห้านิกายโบราณแล้ว!
หลิงฮันออกจากหอคอยทมิฬและลอยตัวออกจากที่นี่ ตอนนี้หุบเหวนรกไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาอีกต่อไป สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายหน้าถ้ำที่เป็นตัวการดูดทุกคนลงมาจากด้านบนหุบเหวได้ถูกบดขยี้ไปแล้ว ผ่านไปไม่นานเขาก็กลับขึ้นสู่พื้นดินด้านบน
ตอนที่ 1340
เวลาผ่านไปแล้วมากกว่าหกปี
ในช่วงเวลาหกปีนี้มีเหล่าผู้คนมาสำรวจหุบเหวนรกมากมาย แม้แต่สองเวียนอย่างบิดาของฉือหวง กับอาจารย์ของเป่ยหวงก็มาเช่นกัน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่พบอะไรเลย
ต้นเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดทั้งหมดสมควรเป็นโลงศพโบราณ แต่ตอนนี้โลงศพโบราณถูกทำลายไปแล้ว ต่อให้เป็นเซียนก็คงไม่พบร่องรอยใดๆ
เหตุการณ์ที่จอมยุทธมากมายตกตายที่นี่ได้สร้างเสียงเอะอะต่อสาธารณะชนมาก แต่ผ่านไปไม่นานสถานการณ์ก็กลับมาเงียบสงบ
ตอนนี้สนามรบสองดินแดนกลับไปเป็นดังเดิมแล้ว ทุกคนไล่ล่าสิ่งมีชีวิตใต้พิภพเพื่อแต้มสังหารและค้นหาศิลาวิญญาณปฐพี
หลิงฮันเดินเตร็ดเตร่โดยไม่เกรงกลัวใครนอกเสียจากปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์จะปรากฏตัว พลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้ทัดเทียมกับระดับดาราขั้นสูง
ทันทีที่กลับมาถึงเมืองเขี้ยวหมาป่า เขาก็นำแต้มสังหารที่มีและเม็ดยาจำนวนมากไปแลกเปลี่ยนเป็นแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับแปด
แร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับแปดมีราคาแพงมาก สำหรับคนอื่นพวกเขาต้องการแร่โลหะระดับนี้แค่ขนาดเท่าฝ่ามือก็เพียงพอใช้แล้ว ส่วนหลิงฮันน่ะรึ? ดาบอสูรนิรันดร์ตะกละอย่างมาก จำนวนแร่ที่เขาต้องการจึงมากมหาศาล
โชคดีที่หอคอยทมิฬชั้นห้าเปิดออกแล้วทำให้สามารถผลิตแร่โลหิตได้ในนวนมากแต่ใช้เวลานาน กล่าวคือหลิงฮันสามารถยกระดับดาบอสูรนิรันดร์ให้เป็นอุปกรณ์ระดับนิรันดร์ได้หากมีเวลามากพอ
แต่กว่าจะให้ถึงตอนนั้นบางทีเวลาคงผ่านไปหลายหมื่นปี ไม่สิ อาจจะหลายร้อยล้านปีเลยด้วยซ้ำ แม้แต่หอคอยน้อยก็ไม่อาจบอกได้เวลาที่แน่นอนได้อย่างชัดเจนเนื่องจากหอคอยทมิฬได้รับความเสียหายอย่างหนัก กว่าจะซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพสมบูรณ์ได้จำเป็นต้องใช้เวลาอีกนานเช่นกัน
ไม่ว่าอย่างไรทางเลือกของหลิงฮันในตอนนี้ก็คือรอคอย หลังจากดาบอสูรนิรันดร์กลืนกินแร่โลหะที่แลกมาทั้งหมดแล้วเขาก็เดินทางไปยังกองทัพจันทราม่วง ที่น่าตกตะลึงก็คือธิดาซื่อเยว่ยังไม่ตาย!
ที่แท้นางส่งเพียงแค่ร่างสัมผัสสวรรค์ไปยังหุบเหวนรก แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงสัมผัสสวรรค์ที่ถูกทำลายนางก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่พูดถึงโดยรวมแล้วสภาพของนางถือว่าดีกว่าตัวตนระดับวารีนิรันดร์คนอื่นที่ตกตายไปมาก
หลิงฮันถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพบธิดาซื่อเยว่ แต่เมื่อรับรู้ว่านางปลอดภัยเขาก็หัวเราะสองสามครั้งก่อนจะเดินทางกลับจักรวรรดิราชวงศ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์
หลังจากทะลวงผ่านระดับดาราแล้ว ความเร็วของหลิงฮันรวดเร็วขึ้นมาก แถมความสามารถในการเหาะเหินยังช่วยให้เขาหลีกเลี่ยงอุปสรรคตามภาคพื้นดินอีกด้วย ผ่านไปเพียงสิบวันเขาก็เดินทางมาถึงเมืองดาบสวรรค์
นี่เป้าหมายแรกของเขาคือนิกายดาบสวรรค์เป็นเพราะศิษย์ของเขา เจียนเยว่ซวน อยู่ที่นี่
นิกายดาบสวรรค์ที่แท้ก็เป็นเมืองขนาดย่อมนี่เอง
เมืองแห่งนี้ถูกเรียกว่าเมืองดาบสวรรค์โดยที่อาณาเขตของนิกายดาบสวรรค์กินพื้นที่ของเมืองไปถึงสองในสาม อาณาเขตที่เหลือก็เป็นกิจการที่นิกายดาบสวรรค์เป็นเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร โรงเตี๊ยมหรือธุรกิจอื่นๆ
หลิงฮันไม่เร่งรีบ เขาเดินเอ้อระเหยไปจนถึงทางเข้านิกายดาบสวรรค์
แม้จะเรียกว่าทางเข้าก็เพราะมันเป็นเพียงทางผ่านรูปทรงโค้งที่ไม่มีประตูตั้งเอาไว้
แต่ไม่มีประตูก็ไม่ได้หมายความว่าใครจะเข้าไปก็ได้ ที่หน้าทางเข้ามีศิษย์แปดคนยืนคุ้มกันอยู่ แต่ละคนถืออาวุธเอาไว้ในมือและสวมเกราะหน้าอก พวกเขามองดูคนที่เดินผ่านไปมาด้วยท่าทีเหยียดหยามราวกับตนเองสูงส่ง
ในเมืองดาบสวรรค์แห่งนี้ นิกายดาบสวรรค์กล่าวได้ว่าเป็นพระเจ้า
ศิษย์ทั้งแปดนี้ทุกคนมีพลังบ่มเพาะระดับทลายมิติ หากเป็นที่โลกใบเล็กคงจะน่าสงพรึงกลัวอย่างมาก แต่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผู้คุ้มกันประตูระดับนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่จริงแล้วมันค่อนข้างอ่อนแอไปหน่อยด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างเช่นผู้คุ้มกันประตูของจักรพรรดินีแห่งดารานั้น ทุกคนล้วนแต่เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีกันทุกคน
หลิงฮันปกปิดออร่าเอาไว้ เขาอยากจะเห็นก่อนว่าเจียนเยว่ซวนเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนและสมควรจะพาเขากลับไปด้วยรึไม่
“หยุด!” เมื่อเห็นหลิงฮันเดินเข้ามาใกล้ ศิษย์ทั้งแปดก็ตะโกนออกมาพร้อมกัน ศิษย์ทั้งแปดมีท่าทียิ่งยโสเนื่องจากหลิงฮันปกปิดออร่าเอาไว้
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ข้ามาเพื่อพบเจียนเยว่ซวน”
“เจ้ารู้จักผู้อาวุโสเจียน?” ศิษย์คนหนึ่งเอ่ยถาม ดูทรงแล้วเขาคงเป็นผู้นำของศิษย์ทั้งแปด
หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “ข้าเป็นสหายเก่าของเขา”
ศิษย์ทั้งแปดแสดงท่าทียําเกรง เจียนเยว่ซวนคืออัจฉริยะของนิดายดาบศักดิ์สิทธิ์ แม้เขาจะมาจากโลกใบเล็กแต่กลับบรรลุระดับสุริยันจันทราได้ภายในระยะเวลาหมื่นปีและกลายเป็นผู้อาวุโสของนิกายดาบสวรรค์
เรื่องราวกับของเจียนเยว่ซวนกลายเป็นแรงบันดาลของศิษย์ทุกคน พวกเขาพยายามฝึกฝนอย่างหนักเพื่อเป็นเจียนเยว่ซวนคนที่สอง
ดังนั้นเมื่อหลิงฮันบอกว่าตนเองเป็นสหายกับของเจียนเยว่ซวน ศิษย์ทั้งแปดจึงแสดงท่าทียําเกรง
“ขอถามชื่อของท่านได้รึไม่ ข้าจะไปแจ้งผู้อาวุโสเจียนให้เอง” ศิษย์ที่ดูเหมือนผู้กลุ่มกล่าว
“ฮันหลิง’ หลิงฮันยิ้ม
“โปรดรอสักครู่” ศิษย์ที่ดูเป็นผู้นำให้ศิษย์ที่เหลืออีกเจ็ดคนดูแลหลิงฮัน ส่วนตัวเขาหันหลังและมุ่งหน้าไปยังตำหนักนิกาย หากเขาสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับผู้อาวุโสเจียนได้ การที่อีกฝ่ายจะชี้แนะการบ่มเพาะให้เขาสักสองสามจุดก็ใช้ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เขาวิ่งจากไปโดยทิ้งให้ศิษย์อีกเจ็ดคนมองด้วยใบหน้าอิจฉา
ผ่านไปสักพัก ศิษย์คนนั้นก็เดินกลับมาโดยที่มีหญิงสาวชุดแดงเดินตามมาด้วย นางเป็นสตรีที่สวยราวกับบุปผาแรกแย้ม ผมดำยาวถึงบ่าและมีดวงตาคู่โตราวกับปีศาจน้อยจอมเจ้าเล่ห์
ทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ ก่อนที่ศิษย์ที่ดูเหมือนผู้นำจะกล่าวอะไร สตรีชุดแดงก็จ้องมองมองหลิงฮันตั้งแต่หัวจรดเท้าและเอ่ยแทรก “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นสหายเก่าของบิดาข้า?”
โอ้ นางคือบุตรสาวของเจียนเยว่ซวน?
ที่แท้สาวน้อยตรงหน้าก็เป็นหลานสาวของเขานี่เอง หลิงฮันยิ้มและตอบกลับไป “ไม่ผิด”
“แต่ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าบิดาของข้ามีสหายแซ่ฮัน?” เด็กสาวกุมมือเดินวนมองสำรวจหลิงฮันก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมา “นี่เจ้าโกหกว่ารู้จักกับบิดาของข้ารึเปล่า?”
หลิงฮันครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะยกมือขึ้นมาวาดกลางอากาศ
นี่เป็นกระบวนท่าจากทักษะที่เขาเคยสอนศิษย์ทั้งสี่ซึ่งเขาค้นพบจากซากซากโบราณสถานแห่งนั้นอันตรายเป็นอย่างมาก พวกเขาทั้งห้าใช้ความพยายามจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอดเพื่อให้ทักษะนี้มา เกรงว่าทั่วทั้งโลกคงมีเพียงพวกเขาทั้งห้าที่รู้จักทักษะนี้
แม้บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทักษะนี้จะไม่ใช่ทักษะที่ทรงพลัง แต่ถ้าเจียนเยว่ซวนยังเคารพเขาเป็นอาจารย์ อีกฝ่ายจะต้องสอนทักษะนี้ให้กับบุตรสาวตนเองแน่นอน ฝ่ามือนี้เป็นมากกว่าทักษะยุทธ มันคือความทรงจำอันล้ำค่า
“อะไรกัน เจ้ารู้จักฝ่ามือวายุเหมันต์ได้อย่างไร?” สตรีชุดแดงกล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
ตอนที่ 1341
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “สิ่งนี้เพียงพอจะพิสูจน์ว่าข้าเป็นสหายกับบิดาเจ้าได้รึยัง?”
เด็กสาวชุดแดงจ้องมองรอบตัวหลิงฮันด้วยท่าทีสงสัย “ท่านมาจากที่ใด เหตุใดถึงตามหาบิดาของข้า? ดูแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ท่านจะเป็นคนยุคสมัยเดียวกับท่านพ่อ”
“เจ้าจะคิดแบบนั้นก็ไม่ผิด” หลิงฮันย่อมไม่ถือสาหลานสาวของเขาผู้นี้ เพราะอย่างไรตัวเขาก็ดูไม่เหมือนกับคนรุ่นลุงแม้แต่น้อย รูปลักษณ์ของเขายังเยาว์วัยและหล่อเหลา
“ท่านรู้จักกับบิดาข้าได้อย่างไร?” เด็กสาวชุดแดงยังไม่หายสงสัย
“ฮะๆๆ” หลิงฮันยิ้มโดยไม่ตอบคำถาม
“มากับข้า” เด็กสาวชุดแดงกระพริบตาด้วยแววตาแก่นซน
หลิงฮันมองไปที่นางอย่างไรคิดอะไร ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ย่อมสามารถบดขยี้ทั่วทั้งนิกายดาบสวรรค์ได้ ต่อหน้าพลังที่แท้จริงแล้ว เด็กสาวผู้นี้คงไม่กล้าหยอกล้อเขาอีก
เด็กสาวหมุนตัวเดินนำโดยมีหลิงฮันเดินตาม
“จริงสิลุง ท่านสู้เป็นรึไม่?” เด็กสาวถามด้วยความรู้สึกคาดหวัง
“เรื่องสู้ข้ามั่นใจอยู่พอตัว” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่ถ่อมตัว
“โอ้ ท่านพูดเองนะ” แววตาของเด็กสาวส่องประกายเจ้าเล่ห์ นางพาหลิงฮันไปถึงลานที่พักแห่งหนึ่งและปล่อยหมัดกระแทกอย่างรุนแรงใส่ประตู ‘ปัง’ ประตูสองบานถูกเปิดออกด้วยฝีมือนาง
เห็นได้ชัดว่าที่พักศิษย์ของนิกายดาบสวรรค์นั้นไม่ได้ติดตั้งรูปแบบอาคมคุ้มกันเอาไว้ ไม่เช่นนั้นด้วยพลังบ่มเพาะระดับภูผาวารีของนางแล้ว ไม่มีทางเลยที่จะกระแทกเปิดประตูได้ง่ายดายเช่นนี้
หลิงฮันรู้ดีว่าเด็กสาวผู้นี้คิดจะแกล้งพาเขาไปพบกับเรื่องยุ่งยาก
แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราอย่างไรนิกายดาบสวรรค์ก็มีชะตาที่จะต้องล่มสลายอยู่แล้ว จะเริ่มลงมือเสียแต่ตอนนี้เลยก็ไม่สำคัญอะไร ยิ่งกว่านั้นหากเหตุการณ์ยิ่งบานปลายใหญ่โตขึ้น เจียนเยว่ซวนย่อมปรากฏตัวแน่นอน
“เจียนเสี่ยวหลิง เป็นเจ้าอีกแล้ว!” เสียงอันเกรี้ยวกราดดังออกมาจากลานที่พัก ทันใดนั้นคนเจ็ดคนที่ปรากฏตัวแทบจะพร้อมกัน พวกเขาทุกคนมีสีหน้าที่อำมหิต
เจียนเสี่ยวหลิงที่ว่าย่อมหมายถึงเด็กสาวชุดแดง ลุตรสาวของเจียนเยว่ซวน
เจียนเยว่ซวนแสดงที่ทหวาดกลัวและรีบหลบหลังหลิงฮัน นางโผล่หัวออกมาและกล่าว “เจ้าคิดจะรังแกข้า? ฮึ่ม! นี่คือท่านลุงของข้า เขาจะจัดการพวกเจ้าเอง!”
“ฮ่าๆๆ!” หลังจากทั้งเจ็ดคนมองมายังหลิงฮันที่ปิดบังกลิ่นอายเอาไว้ พวกเขาก็หัวเราะลั่นและมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม
“ท่านลุง เห็นนั่นไหม คนเหล่านั้นกำลังดูถูกท่าน! ท่านบอกว่าต่อสู้เก่งพอตัวสินะ จัดการพวกมันเลย!” เจียนเสี่ยวหลิงราดน้ำมันเข้ากองไฟและเรียกหลิงฮันว่าท่านลุง
“เจียนเสี่ยวหลิง นายน้อยหลิงชื่นชอบเจ้ามาก ยิ่งกว่านั้นเจ้ากับนายน้อยก็เป็นคู่ครองที่เหมาะสม คนหนึ่งเป็นทายาทของปรมาจารย์อาวุโสเชิง คนหนึ่งเป็นทายาทของปรมาจารย์อาวุโสหลิง เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าทั้งสองเป็นคู่ที่เกิดมาเพื่อครองรักกัน!” ในหมู่ศิษย์ทั้งเจ็ด ชายที่สวมผ้าโพกหัวสีแดงกล่าว
“ขอร้องเถอะ… หลิงเย่เฟิงอายุเยอะกว่าแก่ข้ามีรู้เท่าไหร่ ก่อนหน้านี่หมอนั่นก็ชื่นชอบและคิดจะแต่งงานกับมารดาข้า พอมาถึงคราวนี้ยังคิดจะมาแต่งงานกับข้าอีก? เหอะ แค่คิดว่าจะต้องแต่งงานกับหมอนั่นก็ทำให้ข้าขยะแขยงจนขนหัวลุกแล้ว!” เจียนเสี่ยวหลิงกอดหน้าอกด้วยท่าทีรังเกียจ
“ถ้าต้องแต่งงานกับใครสักคน ข้าขอแต่งงานกับท่านลุงของข้าผู้นี้ดีกว่า!” นางยังคงไม่ลืมที่จะสร้างความลำบากให้กับหลิงฮันโดยการจงใจเติมน้ำมันลงเพลิง
“เจ้าเป็นใคร?” ศิษย์ที่ชื่อหงโถวจินเอ่ยถามหลิงฮัน
“แซ่ของข้าคือหนี่ ชื่อของข้าคือเย่เย่ (ท่านปู่ของเจ้า)” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส
ทันทีเขากล่าวเช่นนี้ เจียนเสี่ยวหลิงก็สำลักและหัวเราะออกมา
Anchor
หงโถวจินไม่ได้สมองไวเหมือนกับเจียนเสี่ยวหลิง หลังจากได้ยินคำว่า ‘หนี่เย่เย่’ เขาก็ยังไม่เข้าใจจนกระทั่งศิษย์ข้างๆต้องบอกเขา “ศิษย์พี่ หมอนั่นกำลังดูถูกท่าน เขาบอกว่าเป็นท่านปู่ของท่าน!”
“ฮึ่ม!” หงโถวจินเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันใดและจ้องหลิงฮันเขม็ง “เจ้าคงเบื่อที่จะมีชีวิตแล้วสินะ ถึงได้กล้าดูถูกข้า”
“เหอๆ แล้วเจ้ามีค่าขนาดนั้นเลย?” หลิงฮันกล่าว
“ไม่มีค่า ไม่เลยสักนิด!” เจียนเสี่ยวหลิงรีบกล่าวแทรก “เขาเป็นเพียงสุนัขรับใช้ของหลิงเย่เฟิงที่มีพลังบ่มเพาะระดับภูผาวารีขั้นกลาง… หรือว่าท่านลุงสู้ขยะเช่นนั้นไม่ได้?”
“ถ้าหากข้าสู้ไม่ได้ล่ะ?” หลิงฮันยิ้ม
“หากเป็นเช่นนั้นท่านก็จบสิ้นแล้ว ข้าเพิ่งจะทะลวงผ่านระดับภูผาวารีเท่านั้นจึงไม่อาจช่วยเหลือท่านได้!” เจียนเสี่ยวหลิงแลบลิ้น “พยายามป้องกันส่วนใบหน้าเอาจากการถูกทุบตีเอาไว้ก็พอ พวกเขาไม่กล้าสังหารท่านหรอก”
หลิงฮันกลายเป็นไร้คำพูดและส่ายหัว “ข้าไม่ค่อยคุ้นชินกับการถูกทุบตีเท่าไหร่”
“ฮึ่ม งั้นข้าก็จะเล็งไปที่ใบหน้าของเจ้า!” หงโถวจินก้าวเท้าพุ่งเข้าใส่หลิงฮันพร้อมกับง้างกำปั้นเตรียมโจมตี
หลิงฮันก้าวถอยหลังเล็กน้อย ‘พรึบ’ หมัดที่ต่อยเข้ามาปะทะเข้ากับอากาศที่ว่างเปล่า หลังจากนั้นหลิงฮันทำการเคาะเท้าเบาๆ ‘ปัง’ หงโถวจินก็ล้มลงกับพื้นทันที
เมื่อเสียการทรงตัว พลังจากหมัดของหงโถวจินได้ทำให้ตัวเขาเองพุ่งลงสู่พื้นอย่างรุนแรง
“ศิษย์พี่ใหญ่!” ศิษย์อีกหกคนรีบเข้ามาช่วยพยุงร่างของหงโถวจิน พวกเขาพบว่าใบหน้าของหงโถวจินเปื้อนไปด้วยโลหิต ฟันสองซี่ของกระแทกเข้ากับพื้นจนหลุดออกจากปาก
ที่เขาได้รับบาดเจ็บขนาดนี้นั้น หนึ่งเป็นเพราะหมัดที่รุนแรงของตนเอง สองคือเขาไม่ได้ใช้ปราณก่อเกิดคุ้มกันร่างเอาไว้ ไม่เช่นนั้นสภาพคงไม่น่าอนาถขนาดนี้
“ว้าว กลายเป็นเจ้าที่ได้รับบาดเจ็บที่หน้าเสียเอง!” เจียนเสี่ยวหลิงรีบชี้นิ้วและเอ่ยกับหลิงฮัน “ท่านลุงสุดยอดจริงๆ!”
หลิงฮันยักไหล่และกล่าว “ไม่ใช่ข้าเสียหน่อย ข้ายังไม่ได้ลงมือกับเขาเลย”
พวกหงโถวจินทั้งเจ็ดคนกลายเป็นเกรี้ยวกราด หากนี่ไม่ใช่การกระทำของเจ้า แล้วที่เจ้าใช้เท้าเคาะพื้นล่ะเพื่ออะไร?
“ฮึ่ม จัดการด้วยกันเลย!” หงโถวจินโมโหเขาสะบัดมือให้สัญญาณและพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน
ทั้งเจ็ดคนมีท่าทีเหี้ยมโหด พวกเขาไม่เกรงกลัวหลิงฮันเพียงเพราะหลิงฮันทำให้หงโถวจินบาดเจ็บได้ก่อนหน้านี้ ในความคิดของพวกเขาเป็นหงโถวจินเองที่ประมาทจนสะดุดเท้าหลิงอันและล้มฟันกระแทกพื้นเอง
เจียนเสี่ยวหลิงนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในการยุยง แน่นอนว่าตัวนางไม่สามารถมีส่วนร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ได้จึงรีบเผ่นออกมาและกล่าว “ท่านลุงลุยเลย จัดการพวกมันเลย!”
‘ฟุบ ฟุบ ฟุบ’ ทั้งกระบวนท่าหมัด กระบวนท่าฝ่ามือ ปราณดาบ ปราณกระบี่จากทั้งเจ็ดคนได้กระหน่ำโจมตีเข้ามาล้อมหลิงฮันเอาไว้
หลิงฮันพาดมือทั้งสองเอาไว้ด้านหลังและขยับเท้าหลบหลีกการโจมตีของทั้งเจ็ดคนได้อย่างง่ายดาย ไม่เพียงเท่านั้น เขาได้ชี้นำให้ทั้งเจ็ดคนโจมตีเข้าใส่พรรคพวกเดียวกันไปพร้อมๆกัน
ทันใดนั้นทั้งเจ็ดคนก็ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดและมองหน้ากันอย่างมึนงง
ตอนที่ 1342
ศิษย์ระดับภูผาวารีเจ็ดคนร่วมมือกันรุมหลิงฮัน แต่แค่หลิงฮันเคลื่อนไหวไม่กี่ก้าวทั้งเจ็ดคนก็ถูกทำให้สับสนและโจมตีกันเอง
Anchor
เจียนเสี่ยวหลิงรู้สึกตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ จะบอกว่าหลิงฮันโชคดีก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหลบการโจมตีได้ทุกครั้งเช่นนั้น แต่จะบอกว่าหลิงฮันมีพลังที่แข็งแกร่งนางก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน
หลิงฮันไม่มีออร่าของปรมาจารย์แม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นหากแท้จริงแล้วเขาเป็นปรมาจารย์ที่แข็งแกร่ง เขาจะมาหาบิดาของนางเพื่ออะไร?
Anchor
พวกหงโถวจินทั้งเจ็ดคนเริ่มตกอยู่ในความอลหม่านยิ่งขึ้น ศิษย์บางคนถึงขนาดถูกกระบี่ฟันเข้าใส่จนท้องช่วงท้องขาด
ตอนนี้พวกเขาหวาดหวั่นที่จะลงมือต่อ ทั้งเจ็ดคนมองไปยังหลิงฮันด้วยท่าทางหวาดผวาและคิดว่ารุ่นเยาว์ตรงหน้านี้คือปีศาจ
“ไม่ลงมือต่อแล้ว?” หลิงฮันยิ้ม
“จะหยุดได้อย่างไร? ต้องลงมือให้หนักกว่านี้ เอาให้หนักๆเลย!” เจียนเสี่ยวหลิงที่มองดูอยู่กล่าวขึ้นมาทันที หากนางสามารถใช้โอกาสนี้ข่มขู่ให้หลิงเย่เฟิงหวาดกลัวได้ นางก็จะมีอนาคตที่สดใส
พวกหงโถวจินทั้งเจ็ดตนส่ายหัว พวกเขาไม่อยากลงมือต่อแล้ว ตอนนี้สภาพของพวกเขาแต่ละคนเต็มไปด้วยร่องรอยบอบช้ำ คนที่ย่ำแย่ที่สุดถึงขนาดมีลำไส้ไหลออกมาจากท้อง
“ไปเรียกคนมาช่วย!” หงโถวจินกระทืบเท้าบอกกับศิษย์ที่ยืนด้านข้าง
“ขะ ขอรับ!” ศิษย์คนนั้นพยักหน้าและวิ่งหายไปอย่างรวดเร็วราวกับควัน
“อย่าคิดหนีแล้วกัน!” หงโถวจินกล่าว เขากลัวว่าหลิงฮันจะเผ่นหนีไปก่อนที่กำลังสนับสนุนจะมาถึง
“แน่นอนว่าเขาไม่หนีไปไหนหรอก เจ้าไม่ต้องกลัว!” เจียนเสี่ยวหลิงนำมือทั้งสองเท้าเอว “ไปเรียกหลิงเย่เฟิงมาเลย ข้าจะให้ท่านลุงของข้าสั่งสอนเขาเอง!”
หลิงฮันไม่ปฏิเสธอะไร ผ่านไปสักพักผู้ช่วยเหลือก็มาถึง
คนที่มาคือจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดสามคน พวกเขาปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่าเกรงขาม
“ศิษย์พี่หลิ่ว ศิษย์พี่จ้าว ศิษย์พี่หม่า!” หงโถวจินตื่นเต้นและรีบทักทายทั้งหมดคน “เป็นเจ้าหนูนั่นที่กล้าเหยียดหยามนายน้อยหลิง!”
“โอ้?” ศิษย์พี่หลิ่วก้าวขึ้นหน้าสองสามก้าวและจ้องมองหลิงฮัน ไม่เพียงเขาจะเผยสีหน้าเหยียดหยามแต่ยังเค้นเสียงดูถูก “กับคนเช่นนี้พวกเจ้ายังไม่สามารถจัดการเองได้จนต้องไปตามพวกข้าสามคนมาลงมือ?” เขากวาดสายตามองพวกหงโถวจินทั้งเจ็ดคน
“ศิษย์พี่หลิ่ว คือว่า…” หงโถวจินกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง เขาเองก็สัมผัสได้ว่าพลังของหลิงฮันไม่ได้แข็งแกร่ง แต่ฝีเท้าของอีกฝ่ายนั้นซับซ้อนจนทำให้พวกเขาสับสนและโจมตีกันเอง
ศิษย์พี่หลิ่นสะบัดมือเพื่อเป็นสัญญาณว่าหงโถวจินไม่ต้องกล่าวอะไรอีกต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นความจริงก็คือคนของนายน้อยหลิงถูกทำให้เสียหน้า ซึ่งเรื่องนี้เขาไม่อาจปล่อยไปได้
“เจ้า จงคุกเข่าซะ!” เขาชี้นิ้วไปยังหลิงฮันด้วยท่าทางกดขี่ “ข้าจะให้โอกาสเจ้า หากยอมคุกเข่าสามวันสามคืนข้าจะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง”
“เจ้าคิดอะไรของเจ้าอยู่หลิ่วตงตง คิดว่าตนเองวิเศษวิโสมาจากไหน?” เจียนเสี่ยวหลิงอดใจไม่ไหวและเริ่มยั่วยุอีกฝ่าย “ท่านลุง ไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้า ทุบตีหมอนั่นให้ยับจนแม้แต่มารดาของเขาก็จำไม่ได้เลย!”
“ชื่อของข้าคือหลิ่วตงหมิง!” ศิษย์พี่หลิ่วคำราม บริเวณหน้าผากของเขาปรากฏเส้นเลือดปูดบวม
“เจ้าไม่คิดว่าหลิ่วตงตงฟังดูดีกว่ารึไง?” เจียนเสี่ยวหลิงเอ่ยด้วยสีหน้าไร้เดียงสา แต่ไม่ว่าใครก็รู้ว่าความไร้เดียงสานั้นเป็นการเสแสร้ง
“บัดซบ!” หลิ่วตงหมิงเกรี้ยวกราดและลงมือคว้าไปยังเจียนเสี่ยวหลิง
เจียนเสี่ยวหลิงนั้นฉลาดแค่ไหน? ในเมื่อนางจงใจยั่วยุอีกฝ่าย มีรึที่นางจะไม่เตรียมพร้อมรับมือเอาไว้? นางยืนอยู่ด้านข้างหลิงฮันมาตลอด ทันทีที่หลิ่วตงหมิงลงมือนางก็รีบหลบไปด้านหลังหลิงฮันเพื่อใช้หลิงฮันเป็นโล่
“หลบไป!” หลิ่วตงหมิงคำราม
หลิงฮันไม่ตอบแต่ก็ไม่ได้นิ่งเฉย หนึ่งมือของหลิ่วตงหมิงพลักเข้ามาใส่เขา ที่ด้านหลังของอีกฝ่ายปรากฏภูผาวารีสี่สายที่ปลดปล่อยแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว
หลิงฮันก้าวถอยหลังเล็กน้อยและปัดฝ่ามืออย่างเรียบง่าย แรงจากฝ่ามือตนเองที่พลาดเป้าทำให้หลิ่วตงหมิงล้มลงกับพื้น
หงโถวจินเกือบจะเผลอหัวเราะออกมา ทำมาเป็นว่าข้า สุดท้ายแล้วเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับข้าที่หกล้มด้วยพลังของตัวเอง
เจียนเสี่ยวหลิงไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย นางหัวเราะลั่นและยกมือขึ้นอย่างชอบใจ “ท่านลุงช่างยอดอเยี่ยมนัก ตอนนี้ข้าเชื่อว่าท่านเป็นสหายกับบิดาข้า ฝีมือของท่านร้ายกาจไม่แพ้บิดาข้าเลย!”
หลิ่วตงหมิงคลานขึ้นมาและจ้องมองหลิงฮันด้วยท่าทีสับสน
เขาไม่เข้าใจเลย หลิงฮันไม่ได้ออกแรงอะไรเยอะแท้ๆ ความเร็วเองก็ไม่ได้มากมาย แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงสามารถปัดฝ่ามือของเขาจนทำให้เขาล้มไปทั้งตัวได้? หากลองเปลี่ยนตำแหน่งกัน เขาคิดว่าต่อให้เป็นเขาก็ทำอย่างหลิงฮันไม่ได้
ความสับสนที่เกิดขึ้นทำให้เขาไม่กล้าลงมือต่อ
สิ่งที่เขาคิดถูกต้องแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จอมยุทธระดับภูผาวารีคนใดจะทำเช่นหลิงฮันได้ นั่นเพราะหลิงฮันไม่ได้ใช้พลังปราณแต่เป็นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ ด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ทรงพลังขึ้นทำให้เขาสามารถจัดการจอมยุทธระดับภูผาวารีได้โดยไม่ใช้พลังปราณ
“ไปเรียกคนมาช่วย!” หลิ่วตงหมิงกล่าวกับหงโถวจิน
หงโถวจินชะงัก ทำไมประโยคนี้ถึงได้รู้สึกคุ้นๆ? ไม่ใช่ว่าเขาก็เคยพูดประโยคนี้กับศิษย์น้องอีกหกคนหรอกรึ? ตอนนี้แม้คนพูดจะเปลี่ยนไป แต่คำที่ใช้นั้นไม่ต่างกันเลย
เขารีบหันหลังวิ่งไรขอความช่วยเหลือจากคนที่แข็งแกร่งกว่านี้ทันที
ถ้าขนาดระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ งั้นก็มีทางเดียวคือไรเรียกผู้อาวุโสระดับสุริยันจันทรามาช่วย
“เจ้าชื่ออะไร?” หลิ่วตงหมิงกล่าวถาม
หลิงฮันโบกมืออย่างไม่แยแส “เจ้าไม่มีสิทธิรู้!”
หลิ่วตงหมิงเกือบจะบ้าคลั่งด้วยความโกรธ เขาคือคนที่สักวันหนึ่งจะกลายเป็นหัวกะทิระดับสุริยันจันทรา การที่ต้องมาถูกโบกมือไล่เหมือนหมูเหมือนหมาเช่นนี้จะให้เขาทนไหวได้อย่างไร?
รอให้ผู้อาวุโสมาถึงก่อนเถอะ คอยดูว่าข้าจะเหยียบย่ำเจ้าให้เหมือนกับสุนัข!
ผ่านไปครู่หนึ่ง หงโถวจินก็เดินตามชายวัยกลางคนผู้หนึ่งมา
ชายวัยกลางคนมีดวงตะวันลอยอยู่บนหัว เขามีท่าทีโอ้อวด ที่นิกายดาบสวรรค์แหง่นี้ ตัวตนระดับสุริยันจันทราเรียกว่าเป็นปรมาจารย์ที่แท้จริง เขาจะมีท่าทีหยิ่งยโสก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ชื่อแซ่ของชายวันกลางคนผู้นี้คือเชิงหยวน
“ใครกันบังอา… บ้าชัดๆ!” เชิงหยวนกล่าวอย่างเชื่องช้าในตอนแรก แต่เมื่อเขาชำเลืองมองไปยังหลิงฮัน จู่ๆเขาก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น
เหตุใดภัยพิบัติของนิกายถึงมาอยู่ที่นี่ได้!
ตอนที่ 1343
มีศิษย์ระดับล่างของนิกายดาบสวรรค์มากมายที่ไม่รู้ว่าหลิงฮันคือใคร แต่สำหรับผู้อาวุโสชั้นแนวหน้าแล้ว พวกเขาต้องรู้ดีแน่นอน
‘ตัวการที่ทำการเปิดสวรรค์นำพาทวีปฮงเทียนขึ้นมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์’
‘อัจฉริยะระดับสัตว์ประหลาดที่บรรลุระดับสุริยันจันทราด้วยเวลาเพียงสิบปี ศัตรูเป็นตายอันเป็นภัยคุกคามสูงสุดของห้านิกายโบราณ!’
ตอนนี้ศัตรูเช่นนั้นได้มาปรากฏตัวเงียบๆในนิกายดาบสวรรค์ของพวกเขาแล้ว
ขนทั่วร่างของเชิงหยวนตั้งชัน เนื่องจากรู้สึกหวาดกลัวอย่างมากออร่ารอบกายเขาจึงปั่นป่วน ‘ปัง’ หงโถวจินผู้โชคร้ายถูกออร่าที่ปั่นป่วนซัดจนร่างกระเด็น ใบหน้าของเขากระแทกลงกับพื้นพร้อมกับฟันที่หลุดออกมาหลายซี่
“ละ หลิงฮัน!” เชิงหยวนตะโกน เสียงของเขาสั่นเครือจนแทบจะแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงของบุรุษ
หลิงฮัน?
ศิษย์คนอื่นๆมึนงง หรือว่าผู้อาวูโสเชิงหยวนจะรู้จักรุ่นเยาว์ผู้นี้? เดี๋ยวก่อน… แซ่หลิง? หรือว่าอีกฝ่ายจะเป็นทายาทของปรมาจารย์อาวุโสหลิง? แต่หากเป็นเช่นนั้นทำไมเขาเดินมากับเจียนเสี่ยวหลิงที่เป็นคนของตระกุลเชิง?
เชิงหยวนไม่กล่าวอะไรต่อ เขายกมือขึ้นท้องฟ้าทันที ‘ปังงง’ ดอกไม้ไฟระเบิดขึ้นกลางท้องฟ้า
นั่นไม่ใช่ดอกไม้ไฟทั่วไป มันคือสัญญาณเตือนภัยของนิกายดาบสวรรค์ ประกายไฟของดอกไม้ไฟสาดกระกายปกคลุมไปทั่วไปเมืองดาบสวรรค์ในพริบตาแถมยังแพร่กระจายรัศมีกว้างออกไปไกลอีกหลายพันไมล์
หงโถวจินและคนอื่นๆใบหน้าเปลี่ยนสี นี่คือสัญญาณเตือนภัยของนิกายดาบสวรรค์ซึ่งดอกไม้ไฟจะมีทั้งหมดห้าสีแบ่งเป็น แดงเข้ม แดง ฟ้าเข้ม ฟ้าและม่วง สัญญาณสีม่วงคือสัญญาณเตือนภัยที่รุนแรงน้อยที่สุด ส่วนสีแดงเข้มนั้นบ่งบอกถึงภัยอันตรายที่เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของนิกาย
อย่างมากที่พวกเขาเคยเห็นก็คือสัญญาณเตือนภัยสีฟ้าเข้ม ส่วนสีแดงหรือสีแดงเข้มนั้นไม่เคยพบเห็นแม้แต่ครั้งเดียว
สัญญาณเตือนภัยที่ผู้อาวุโสเชิงหยวนยิงขึ้นฟ้าคือสีแดงเข้ม หรือว่ารุ่นเยาว์ตรงหน้าพวกเขาจะเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ที่สามารถสั่นคลอนความอยู่รอดของนิกายดาบสวรรค์?
‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ผ่านไปเพียงชั่วครู่ ร่างหลายสิบร่างก็ปรากฏตัวอย่างรวดเร็ว จำนวนของพวกเขาค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ห้านิกายโบราณนั้นง หลังจากสงครามกับสิ่งมีชีวิตใต้พิภพจบลง พวกเขาทั้งหมดได้กลับสู่นิกายของตนเองโดยที่แม้แต่ปรมาจารย์ระดับสุริยันจันทราก็ไม่กล้าออกไปไหนเพราะกลัวว่าหลิงฮันอาจจะบุกรุกนิกาย
ดังนั้นทันทีที่เห็นสัญญาณเตือนภัยสีแดงเข้ม เหล่าปรมาจารย์จึงได้ปรากฏตัวอย่างรวดเร็ว
“หลิงฮัน!”
“เป็นเจ้าหนูนั่น!”
“บัดซบ กล้ามากที่บุกมาถึงนี่”
“รีบเปิดใช้งานรูปแบบอาคมป้องกัน แล้วให้นำอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์โบราณออกมาสังหารเจ้าหนูนี่ซะ!”
กลุ่มคนที่ปรากฏตัวตะโกนลั่น พวกเขาเป็นปรมาจารย์ระดับสูงในสายตาของเหล่าศิษย์ แต่เมื่อมาปรากฏตัวต่อหน้าหลิงฮัน ปรมาจารย์แต่ละคนกลับมีท่าทีหวาดกลัวและทำท่าทีราวกับพวกเขาเป็นคนไร้พลัง
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พวกหงโถวจินมึนงงทำอะไรไม่ถูก ชายตรงหน้าพวกเขาเป็นใครกันแน่?
“เสี่ยวเอ๋อร์ รีบถอยออกมา!” ชายชราคนหนึ่งปรากฎตัวและกล่าวกับเจียนเสี่ยวหลิงด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
เขาคือเชิงจินผู้นำของตระกูลเชิงและเป็นปู่ของเจียนเสี่ยวหลิง ทันทีที่เห็นหลานสาวของตัวเองยืนอยู่ข้างดวงดาวหายนะหลิงฮัน หัวใจของเขาก็แทบหยุดเต้นและแอบคิดในใจว่านางช่างใจกล้ายิ่งนัก
เจียนเสี่ยวหลิงตกตะลึง สหายเก่าของบิดานางยอดเยี่ยมขนาดนี้เลยรึ? เขาสามารถทำให้ปรมาจารย์มากมายในนิกายตื่นตัวได้ เท่าที่นางรู้เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ถึงแม้นางจะเป็นเด็กสาวเอาแต่ใจ แต่ท่าทีจริงจังของเชิงจินทำให้นางไม่กล้าขัดคำสั่งและรีบเดินไปหาหยางจินก่อนจะหันหลังกลับมามองหลิงฮัน นางรู้สึกว่าหลิงฮันไม่เห็นจะดูเหมือนกับคนชั่วร้ายเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเจียนเสี่ยวหลิงเดินมาถึงด้านข้างเขา เชิงจินก็รู้สึกโล่งอก เขารู้สึกว่าถึงแม้หลิงฮันจะเป็นปีศาจแต่ก็ยังมีคุณธรรมอยู่บ้างที่ไม่ลงมือกับเจียนเสี่ยวหลิง
“หลิงฮัน เจ้าช่างบ้าบิ่นยิ่งนัก แม้กระทั่งอาณาเขตของนิกายดาบโบราณยังกล้าบุกรุกเข้ามา ไม่กลัวว่าจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่รึไง?” ชายชราคนหนึ่งกล่าว เขาคือผู้นำของตระกูลหลิง หลิงคง
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “จงไปเรียกเจียนเยว่ซวนมา ข้ามีเรื่องต้องถามเขา”
“ฮึ่ม มาถึงถิ่นเช่นนี้ยังกล้าทำตัวอวดดีอีก?” เชิงจินเค้นเสียง ตอนนี้รูปแบบอาคมป้องกันที่ใหญ่ที่สุดได้ถูกกระตุ้นใช้งานแล้ว แถมอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์โบราณทั้งหมดก็ยังถูกนำมาด้วย ตอนนี้ทั่วทุกมุมของเมืองหรือแม้แต่ท้องฟ้าได้ถูกปกคลุมไปด้วยอำนาจที่น่าสะพรึงกลัว
รูปแบบอาคมป้องกันนั้นถูกสร้างขึ้นมานานไม่รู้กี่แสนกี่ล้านปี เหล่าอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์โบราณเองก็เช่นกัน หากเป็นการผสานรวมอำนาจกันของทั้งสอง ในอาณาเขตของนิกายดาบสวรรค์แห่งนี้พวกเขาจะมีพลังเทียบได้กับตัวตนระดับดาราขั้นต้นชั้นต้น
ตอนนี้หลิงฮันมีทางเลือกอยู่สองทางคือสู้และหนี แต่ไม่ว่าเขาจะเลือกทางไหนผลสุดท้ายโชคชะตาของเขาก็ต้องจบลงที่ความตาย
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “เมื่อตอนที่อยู่ที่ทวีปฮงเทียนก็ครั้งหนึ่ง ยี่สิบปีย่อมาในที่สุดข้าได้เห็นว่าแท้จริงแล้วสัตว์เดรัจฉานนั้นเป็นเช่นไร”
“บังอาจ!” ชายชราอีกคนตะโกนขึ้น ด้านหลังของเขาปรากฏสุริยันจันทราสี่ลูก รอบกายเขาปลดปล่อยอำนาจแห่งเปลวเพลิงออกมาจนอากาศที่ว่างเปล่ารอบด้านถูกเผาไหม้
คนอื่นๆเองก็แสดงท่าทีเกรี้ยวกราดเช่นกัน บุกมายังนิกายดาบสวรรค์ไม่พอยังกล้าเรียกพวกเขาที่เป็นคนของนิกายดาบสวรรค์ว่าสัตว์เดรัจฉานอีก ช่างยิ่งยโสนัก เจ้าคงไม่รู้สิว่าเขาเจ้าได้ก้าวเท้าเข้ามาอยู่ในรูปแบบสังหารแล้ว?
เจียนเสี่ยวหลิงแสดงสีหน้าเลื่อมใส ไม่ว่าหลิงฮันจะเป็นศัตรูหรือมิตร ความกล้าหาญของเขาก็ควรค่าแก่การเคารพ
เพียงแต่ว่า ชายตรงหน้านางเองก็ชื่อว่าหลิงฮันงั้นรึ? นางรู้ว่าอาจารย์ของบิดานางเองก็ชื่อนี้เช่นกัน หลิงฮันกล่าวว่าเขาเป็นสหายเก่าของบิดา แต่เป็นไปได้ด้วยรึที่เขาจะบังเอิญมีชื่อเดียวกัน
หรือว่า…
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวของนาง แต่นางรีบสลัดความคิดนั้นทิ้งอย่างรวดเร็ว เรื่องแบบนั้นมันเหลือเชื่อเกินไป เป็นไปได้อย่างไรที่รุ่นเยาว์ตรงหน้าจะเป็นอาจารย์ของบิดานาง? ลองเป็นเช่นนั้นจริงนางที่เรียกเขาว่าลุงมาตั้งนานหากบิดารู้เข้านางจะไม่ถูกตีก้นจนแดงหรอกรึ
“รับลงมือสังหารเจ้าหนูนั่น!” เชิงจินกล่าว
“ดี ปลดปล่อยอำนาจของอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์โบราณได้!” หลิงคงกล่าวต่อ
ถึงแม้เชิงจินกับหยางคงจะเป็นคู่กัดกันมาชั่วชีวิต แต่ถ้าหากไม่ร่วมมือกันจัดการภัยร้ายจากคนนอกนิกายดาบสวรรค์คงไม่อาจอยู่รอด
“ยักษ์แปดวิญญาณสวรรค์!” เชิงจินชี้นิ้วไปยังหน้าผากของตนเอง ‘พรึบ’ รูปแบบอาคมที่ครอบคลุมอยู่ทั่วนิกายดาบสวรรค์ถูกกระตุ้นใช้งานทันที ทันใดนั้นสัตว์ประหลาดมหึมารูปร่างคล้ายมนุษย์ได้ปรากฏออกมา ในมือของมันถือไม้เท้าสั้นเอาไว้ ออร่าของสัตว์ประหลาดตนนี้รุนแรงจนราวกับจะทำให้สวรรค์และปฐพีพังทลาย
ตอนที่ 1344
เมื่อรูปแบบอาคมทำงาน สัตว์อสูรขนาดใหญ่ร้อยฟุตได้ปรากฏตัวออกมา ออร่าอันน่าสะพรึงกลัวของมันนั้นพุ่งทะยานสูงเสียดฟ้า
“ดาบบัญญัติสวรรค์!” หลิงคงเองก็กระตุ้นใช้งานอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์โบราณเช่นกัน
‘พรึบ’ ท่ามกลางท้องฟ้า อุปกรณ์ศักดิสิทธิ์โบราณดาบยาวได้ปรากฏออกมาพร้อมกับเปล่งประดายเจิดจรัส
เหล่าคนของนิกายดาบศักดิ์สิทธิ์แสยะยิ้ม อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์โบราณทั้งสองถูกกระตุ้นใช้งานพร้อมกันแล้ว พลังของพวกมันเหนือว่าระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดซึ่งเทียบเคียงได้กับระดับดารา ด้วยพลังเช่นนี้ย่อมเพียงพอที่จะบดขยี้จอมยุทธระดับสุริยันจันทราทุกคน
แม้เจ้าหนูนี่จะมีพรสวรรค์ราวกับสัตว์ประหลาด แต่การที่บุกมายังถิ่นของพวกเขาเองแบบนี้ไม่ใช่ว่าเขาแส่หาที่ตายรึไง?
ดาบสวรรค์และยักษ์วิญญาณโจมตีพร้อมกับก่อให้เกิดเป็นคลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัว
หลิงฮันขยับเท้าเคลื่อนไหวหลบหลีกการโจมตีได้อย่างง่ายดาย การโจมตีที่พุ่งใส่เขาถูกชี้นำให้โจมตีใส่คนของนิกายดาบสวรรค์ด้วยกันเอง ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หลิงคงกับเชิงจินเหงื่อไหลไม่หยุด
พวกเขาเป็นผู้ควบคุมทั้งรูปแบบอาคมป้องกันและอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์โบราณ การจะทำเช่นนี้พลังชีวิตของพวกเขาย่อมถูกเผาผลาญอย่างมหาศาล
ปัง! ปัง! ปัง!
.
ยิ่งโจมตีก็ยิ่งเกิดเสียงดังไปทั่วทั้งเมือง เหล่าคนที่เกี่ยวข้องต่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นที่นิกายดาบสวรรค์กันแน่? ในความทรงพลังจำของพวกเขา นิกาบดาบสวรรค์ไม่เคยถูกคนนอกบุกรุกโจมตีมาก่อน
“เสี่ยวเอ๋อร์!” สตรีงามคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับทักเจียนเสี่ยวหลิงอย่างเป็นกังวล ด้านข้างนางมีบุรุษหล่อเหลาผู้หนึ่งยืนอยู่
เจียนเยว่ซวน!
หลิงฮันจำได้ทันทีที่ชำเลืองมอง ลูกศิษย์ของเขาคนนี้ยังหล่อเหลาเช่นเดิม เสน่ห์ของอีกฝ่ายไม่ว่าสตรีใดเห็นก็ต้องหลงใหล
“ท่านพ่อ ท่านแม่!” เจียนเสี่ยวหลิงรีบวิ่งไปหาสตรีงามคนนั้นซึ่งนางก็คือคุณหนูแห่งนิกายดาบสวรรค์ เชิงหยู
เชิงหยูกอดลูกสาวตนเองเอาไว้และกล่าวด้วยความเป็นกังวล “เสี่ยเอ๋อร์ เจ้าไม่บาดเจ็บตรงไหนสินะ?” เมื่อตอนที่นางรับรู้ว่าบุตรสาวของนางเข้าไปใกล้ชิดกับดวงดาวหายนะหลิงฮันนั้น นางแทบจะหมดสติไปเลย
เจียนเยว่ซวนขมวดคิ้วในขณะที่มองไปยังหลิงฮัน ดวงตาของเขาแสดงออกถึงความประหลาดใจ
ชายคนนี้ชื่อหลิงฮันแถมยังมาจากทวีปฮงเทียนอีก… ภายในจิตใจของเขาปั่นป่วนไปด้วยความสับสน
“ท่านพ่อ ลุงคนนั้นบอกว่าเขาเป็นสหายเก่ากับท่านแถมยังรู้จักสัญลักษณ์ทักษะฝ่ามือวายุเหมันต์อีกด้วย!” เจียนเสี่ยวหลิงรีบเล่าทุกอย่างออกไป
ว่าไงนะ!
เจียนเยว่ซวนสั่นสะท้านทันที ทักษะฝ่ามือวายุเหมันต์นั้นมีเพียงอาจารย์ของเขาและศิษย์อีกสามคนเท่านั้นที่รู้ ยิ่งกว่านั้นชื่อของอีกฝ่ายยังเป็นหลิงฮันแถมมาจากทวีปฮงเทียนอีก ปัจจัยทั้งสามนี้ทำให้เขาเกิดความคิดบางอย่างที่น่าอัศจรรย์
เขาก้าวออกมาสองสามก้าวและกล่าวเสียงดัง “ไม่ทราบว่าใครเป็นคนสอนทักษะฝ่ามือวายุเหมันต์ให้เจ้า?”
หลิงฮันหัวเราะ “ข้าเรียนรู้มันด้วยตัวเอง ส่วนสำหรับเจ้านั้น… ข้าเป็นคนสอนให้”
เจียนเยว่ซวนตกตะลึง แต่เขาก็ส่ายหัวไปมาหลายครั้งก่อนจะกล่าว “เป็นไปไม่ได้! ไม่มีทาง! อาจารย์ของข้าตายไปแล้ว เจ้าคือตัวปลอม!”
“เช่นนั้นรึ?” หลิงฮันหัวเราะและหยิบเรื่องน่าอับอายของเจียนเยว่ซวนออกมาเล่า แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆไม่สำคัญ แต่คนที่รู้ก็มีเพียงหลิงฮันกับเจียนเยว่ซวนสองคน แม้แต่ศิษย์พี่น้องอีกสามก็ไม่รู้เรื่องเหล่านี้
“อะ อาจารย์!” เจียนเยว่ซวนคุกเข่าลงพร้อมกับน้ำตาไหลพราก
ใบหน้าของเจียนเสี่ยวหลิงเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ชายคนนี้คือหลิงฮัน! นางกล้าไปใช้อาจารย์ปู่เป็นโล่ป้องกันแถมยังเรียกเขาว่าลุงอยู่นานสองนานอีก หากบิดาของนางรู้เรื่องนี้เข้าด้นของนางต้องบวมแดงแน่นอน
“โอ้?” เชิงจินและหลิงคงตกตะลึง พวกเขารู้เรื่องราวของเจียนเยว่ซวนมาบ้าง เพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นศิษย์อัจฉริยะของนิกาย
เพียงแต่ว่าเจียนเยว่ซวนนั้นถูกนำมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เมื่อราวหมื่นปีก่อน ส่วนหลิงฮันมาที่นี่โดยการเปิดสวรรค์เมื่อยี่สิบปีก่อน เหตุใดระยะเวลาถึงได้ต่างกันขนาดนี้?
ข้ามผ่านกาลเวลา!
พวกเขานึกถึงเรื่องนี้ได้ทันที ที่นิกายโบราณทั้งห้าในทวีปฮงเทียนมีอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถผนึกชีวิตเอาไว้เพื่อข้ามผ่านกาลเวลาได้ แต่อุปกรณ์เช่นนั้นมีผลเฉพาะกับจอมยุทธระดับต่ำกว่าพระเจ้าลงไปเท่านั้น
“ที่แท้ก็เป็นพวกที่เหลือรอด!” เชิงจินแสยะยิ้ม “ข้าไม่ได้ค้นหาและสังหารเจ้าเมื่อหมื่นปีก่อน ทำให้เกิดเป็นปัญญาในทุกวันนี้!”
“จัดการ!” หลิงคงคำราม ยักษ์วิญญาณเอื้อมมือไปคว้าจับดาบกลางอากาศและฟาดฟันเข้าใส่หลิงฮัน
นี่คือการผสานพลังของอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์โบราณทั้งสองเพื่อยกระดับพลังของพวกมันให้สูงขึ้นจนเทียบเท่าระดับดารา
“หยุด!” เจียนเยว่ซวนก้าวเดินออกไปด้านหน้าโดยไม่สนว่าพลังของตนเองจะต่ำต้อยแค่ไหน เขาไปหยุดอยู่ด้านหน้าหลิงฮันและอ้าแขน หากคิดจะสังหารอาจารย์ของเขาก็ต้องผ่านเขาไปก่อน
“เยว่ซวน!” เชิงหยูรีบโผล่พรวดเข้าไปโดยไม่สนอันตราย
“ท่านพ่อ ท่านแม่!” เจียนเสี่ยวหลิงเองก็ไม่ลังเลที่จะกระโดดเข้าไปเช่นกัน
“บัดซบ!” เชิงจินคำรามและรีบชี้นิ้วควบคุมไปยังยักษ์วิญญาณ ‘ครืนน’ ดาบที่อยู่ในมือของยักษ์วิญญาณเปลี่ยนทิศจากหลิงฮันทันทีและฟันไปโดนฟื้นดินรอบข้างจนผืนปฐพีแยกออกเป็นรูปร่างใยแมงมุม
การโจมตีนี้เทียบเท่ากับการโจมตีของระดับดารา พลังทำลายของมันน่าสะพรึงกลัวมาก ต่อให้รูปแบบอาคมคุ้มกันของนิกายก็ไร้ประโยชน์
“เชิงหยู เสี่ยวเอ๋อร์ รีบกลับมาหาข้า!” เชิงจินถอนกล่าวอย่างเหนื่อยใจ ถึงแม้เจียนเยว่ซวนจะเป็นหลานเขยของเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันซึ่งเขาพร้อมจะสังหารได้ทุกเมื่อ
“ไม่!” เชิงหยูส่ายหัวและกล่าว “ท่านปู่ได้โปรดอย่าทำร้ายเยว่ซวน!”
“ทำทำร้ายท่านพ่อข้า!” เจียนเสี่ยวหลิงเองก็อ้าแขนออกและมีท่าทางเป็นปรปักษ์
“เสี่ยวเอ๋อร์ หยูเอ๋อร์ พวกเจ้าถอยไป!” เจียนเยว่ซวนกล่าว เขาไม่สามารถปล่อยให้อาจารย์ถูกสังหารต่อหน้าต่อตาได้ แต่เขาก็ไม่ต้องการให้ภรรยากับบุตสาวของตนติดร่างแหไปด้วย
“เยว่ซวน” เชิงหยูตำโกนตำหนิและส่ายหัวอย่างไม่ยินยอม
เจียนเยว่ซวนรู้สึกราวกับถูกคมมีดแทงเข้าที่อก สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มีภรรยาและบุตรสาวเช่นนี้ ต่อให้ตายเขาก็ไม่เสียใจแล้ว
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “เยว่ซวน เจ้ามีครอบครัวที่ดี”
เจียนเยว่ซวนฝืนยิ้ม ในเวลาเช่นนี้อาจารย์ยังไม่มีท่าทีวิตกกังวลแม้แต่น้อยทำให้เขานับถือเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรสถานการณ์ก็คงไม่เปลี่ยนแปลง!
“เฒ่าเชิง ข้าขอโทษด้วย!” หลิงคงเค้นเสียงและควบคุมยักษ์วิญญาณให้โจมตีหลิงฮัน การโจมตีนี้ไม่เพียงพุ่งเข้าใส่หลิงฮันคนเดียว แต่เจียนเยว่ซวนกับคนอื่นๆก็ยากที่จะรอดชีวิต
เพื่อความอยู่รอดของนิกาย ครอบครัวจะนับเป็นอันใดได้?
เชิงจินถอนหายใจและปิดตาลง
‘ตูม’ ดาบศักดิ์สิทธิ์ถูกฟาดฟันลงมาจากด้านบน!
ตอนที่ 1345
ดาบที่ฟาดฟันลงมาเป็นการโจมตีที่รุนแรงเทียบเท่าระดับดารา อำนาจของมันน่าสะพรึงกลัวมาก
หลิงฮันยกฝ่ามือขึ้นและสะบัด
ไม่มีการผันผวนใดๆเกิดขึ้น แต่อำนาจของดาบที่ฟันลงมาค่อยๆเบาบางลงจนสุดท้ายก็สลายหายไปราวกับละอองฝน
กาลเวลาแปรผันพันปี!
นี่ไม่ใช่ทักษะจากเสษเสี้ยวโลหิตของติงจื่อเฉิน แต่เป็นทักษะจากความทรงจำอันสมบูรณ์ของติงหลิน มันคือทักษะระดับนิรันดร์ที่แท้จริง!
ในระยะเวลาสองพันปีที่เขาใช้ทะลวงผ่านระดับดารา เขาได้ฝึกฝนทักษะกาลเวลาแปรผันพันปีไปด้วยพร้อมๆกัน เมื่อเขาปล่อยฝ่ามือออกไปแม้จะดูเหมือนไม่มีการผันผวนของทักษะเกิดขึ้น แต่ระยะเวลาของการโจมตีที่พุ่งเข้าใส่เขาจะค่อยๆถูกเร่งเวลาจนไม่หลงเหลือพลังใดๆ
แน่นอนว่าเจียนเยว่ซวนไม่มีทางยอมถูกสังหารแต่โดยดี เขาปล่อยหมัดออกไป ‘ตูม’ ดาบที่ฟาดฟันลงมาอย่างไร้พลังถูกเขาพลักสะท้อนกลับไปหลายร้อยฟุต แม้แต่ยักษ์วิญญาณก็เสียการทรงตัวจนล้มลงก้นกระแทกพื้น
นี่มัน… เกิดอะไรขึ้น?
ไม่ใช่แค่คนของนิกายดาบสวรรค์ที่ตกตะลึง แม้แต่เจียนเยว่ซวนเองก็สับสน เขาเกาหัวตัวเองด้วยความมึนงง เขาแข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด?
“เยว่ซวน!” เชิงหยูร้องไห้น้ำตาคลอและกอดคนรักจากด้านหลัง นางนึกว่าดาบเมื่อครู่จะทำให้นางไม่ได้พบคนรักไปตลอดการเสียแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าคนรักของนางจู่ๆจะระเบิดพลังที่น่าอัศจรรย์ออกมา
“สุดยอด ท่านพ่อแข็งแกร่งสุดๆเลย!” เจียนเสี่ยวหลิงอุทานออกมา ใครบ้างจะไม่รู้ว่ายักษ์วิญญาณกับดาบเมื่อครู่มีพลังทำลายที่เทียบเท่าได้กับระดับดาราขั้นต่ำ
หรือที่แท้เจียนเยว่ซวนจะเป็นปรมาจารย์ระดับดารา?
ทุกคนมองเจียนเยว่ซวนด้วยท่าทีหวาดกลัว สำหรับนิกายดาบสวรรค์ ระดับดารานั้นไม่ต่างอะไรกับระดับสร้างสรรพสิ่ง พวกเขาเป็นตัวตนที่ทรงพลังไร้เทียมทาน
แต่เชิงจินกับคนอื่นๆไม่เชื่อเช่นนั้น
ออร่าของเจียนเยว่ซวนเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นของระดับสุริยันจันทราเท่านั้น แถมยังเป็นเพียงขั้นต่ำด้วย
แต่การโจมตีเมื่อครู่ถูกทำให้สลายไปได้อย่างไร?
หลิงฮันเป็นคนทำ?
เป็นไปไม่ได้ อีกฝ่ายจะสะบัดมือก็จริง แต่ไม่มีการผันผวนของปราณก่อเกิดเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นไปรึไงที่จะสลายการโจมตีของระดับดาราได้?
“ลงมืออีกครั้ง!” หลิงคงตะโกน
คนมากกว่าสิบคนก็กระตุ้นรูปแบบอาคมป้องกันและอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์พร้อมกัน ทันใดนั้นเองยักษ์วิญญาณกับดาบสวรรค์ก็กลับมามีพลังอีกครั้ง แรงกดดันของระดับดาราทับหล่นลงมาเป็นวงกว้างราวกับจะทำให้สวรรค์และปฐพีแตกร้าว
เจียนเยว่ซวนกัดฟัน เขาปล่อยหมัดออกไปอีกครั้งอย่างไม่ยอมรับความตาย
หลิงฮันยิ้มลับๆและสะบัดมืออีกครั้ง
การโจมตีของยักษ์วิญญาณอ่อนลงราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ
‘ตูมม’ หมัดของเจียนเยว่ซวนราวกับเป็นมังกรที่พุ่งออกจากมหาสมุทร ดาบสวรรค์ถูกสะท้อนเด้งขึ้นฟ้า พลังทำลายของหมัดได้ส่งผ่านไปยังยักษ์วิญญาณทำให้ร่างของมันลอยกระเด็นถอยหลังและร่วงลงพื้นอย่างรุนแรงในที่สุด
พรวด!
ทุกคนมองตาค้าง ครั้งแรกอาจจะบังเอิญ แต่ครั้งที่สองล่ะ?
เรื่องบังเอิญไม่มีทางเกิดขึ้นถึงสองครั้ง หากไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ต้องมีเหตุผลมารองรับ!
เจียนเยว่ซวนมีพลังที่สามารถต่อกรกับระดับดาราได้!
อย่างที่รู้ว่าเขาเป็นเพียงจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้นเท่านั้น แต่การที่เขาสามารถต่อกรกับระดับดาราขั้นต้นได้นั้นเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อ
อัจฉริยะ!
ไม่สิ สุดยอดของสุดยอดของสุดยอดของสุดยอดอัจฉริยะ! เพียงแค่คำว่าอัจฉริยะไม่สามารถใช้อธิบายพรสวรรค์ที่ราวกับสัตว์ประหลาดเช่นนั้น!
อัจฉริยะห้าดาวจะนับเป็นอันใดได้เมื่อเทียบกับเจียนเยว่ซวน? เขาสามารถต่อสู้ข้ามระดับได้ถึงหนึ่งระดับใหญ่หรือก็คือสิบหกดาว!
แม้แต่เจียนเยว่ซวนก็ยังสงสัยในตัวเอง หรือเมื่อเช้าเขาจะกินยาผิดไปทำให้มีพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้?
“เยว่ซวน ถึงแม้ชายคนนั้นจะเป็นอาจารย์ของเจ้า ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับเขาก็แค่ไม่มีร้อยปีเท่านั้น แต่ระยะเวลาที่นิกายทุ่มเทฝึกฝนให้เจ้านั้นมากกว่าหมื่นปี! ยิ่งกว่านั้นเจ้าก็แต่งงานกับศิษย์ของนิกายดาบสวรรค์ของเราด้วย เท่านี้ก็เพียงพอให้เจ้าอยู่ฝั่งนิกายเราแล้วไม่ใช่รึไง?” หลิงคงเอ่ยขึ้นมาทันที
ก่อนหน้านี้เจียนเยว่ซวนเป็นคนทรยศในสายตาของเขา แต่ตอนนี้พลังของคนทรยศผู้นั้นกลับแข็งแกร่งถึงขั้นท้าทายสวรรค์ เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะเปลี่ยนหน้าไวเช่นนี้
พรสวรรค์สัตว์ประหลาดขนาดนั้นสำคัญต่อนิกายดาบสวรรค์อย่างมาก ไม่เพียงแค่นิกายดาบสวรรค์จะขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในห้านิกายโบราณ แต่ยังเป็นกุญแจช่วยเปิดโลกใหม่ให้กับนิกายด้วย
เจียนเยว่ซวนรู้สึกฮึกเหิมก่อนจะหันมองรอบๆและเอ่ยถามหลิงฮัน “อาจารย์ ท่านคิดอย่างไร?”
“ห้านิกายโบราณหลอมสิ่งมีชีวิตมากมายเป็นเม็ดยา บาปนี้ไม่สามารถให้อภัยได้ ไม่เช่นนั้นเหล่าวิญญาณคนตายจากหลายยุคหลายสมันจะว่ารู้สึกอย่างไร?” หลิงฮันกล่าว
“ศิษย์เข้าใจแล้ว” เจียนเยว่ซวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพ
“บัดซบ!” หลิงคงมองไปยังหลิงฮันและกล่าว “เจ้าแซ่หลิงเหมือนกันสินะ บางทีพวกเราอาจจะบรรพบุรุษต้นตระกูลเดียวกันก็เป็นได้ เช่นนั้นแล้วเหตุใดถึงขัดแย้งกันเองด้วย?”
ให้ตายเถอะ เจ้าหน้าด้านพูดอะไรเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร?
หลิงฮันทนไม่ไหวและกล่าว “เฒ่าบัดซบ ความหน้าด้านของเจ้าทำให้ข้าเปิดโลกจริงๆ ตั้งแต่วันนี้นิกายดาบสวรรค์จะต้องถูกล้มล้าง คนที่มีพลังระดับพระเจ้าขึ้นไปจะต้องทำลายพลังบ่มเพาะของตัวเอง ส่วนใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลอมเม็ดยาด้วยชีวิตสิ่งมีชีวิตของโลกใบเล็กจะต้องตายสถานเดียว”
ใบหน้าของหลิงคงมืดมนขึ้นมาทันทีเนื่องจากหนึ่งในตัวการหลอมเม็ดยาที่ว่าก็คือเขาเอง
ไม่เพียงต้องการล้มล้างนิกายและให้เขาตายเท่านั้น แต่คนที่มีระดับพลังบ่มเพาะในระดับพระเจ้าก็ต้องทำลายพลังบ่มเพาะของตัวเองด้วย?
ฝันไปเถอะ!
“ถ้าเช่นนั้นก็มีแต่ต้องสู้เป็นตาย!” เขาเลิกล้มความคิดเพ้อฝันที่จะโน้มน้าว ดูเหมือนว่าหลิงฮันไม่มีความคิดที่จะสงบศึกอย่างสันติอยู่แม้แต่น้อยนิด
“จัดการ!” หลิงคงคำราม ยักษ์วิญญาณลุกขึ้นอีกครั้งและกวัดแกว่งดาบ
เขาไม่เชื่อว่าเจียนเยว่ซวนจะแข็งแกร่งไร้เทียมทาน
ในเมื่อหลิงฮันรู้แล้วว่าเจียนเยว่ซวนไม่ได้รู้สึกติดค้างกับนิกายดาบสวรรค์ด้วยระยะเวลาหมื่นปีเขาก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดพลังอีกต่อไป เขาก้าวเดินขึ้นหน้าและปล่อยหมัดออกไปตอบโต้ยักษ์วิญญาณ
หนึ่งหมัดที่เรียบง่ายถูกปล่อยออกไป
ปัง!
แม้จะเรียบง่ายแต่กลับทรงพลังอย่างยิ่ง หมัดของเขากลายเป็นเส้นแสงทะลวงเข้าใส่หน้าอกของยักษ์วิญญาณ พลังทำลายที่น่าสะพรึงกลัวส่งผลให้ยักษ์วิญญาณสลายไปทันที ดาบสวรรค์ร่วงจากท้องฟ้าและถูกหลิงฮันคว้าเอาไว้ ขนาดของมันกลับคืนสู่ขนาดสามฟุต
ดาบสั่นสะท้านอย่างรุนแรงราวกับกำลังดิ้นรนให้เป็นอิสระ ปราณดาบทะลักออกมาพร้อมกับอำนาจทำลายล้างที่ค่อนข้างทรงพลัง
“ฮึ่ม!” หลิงฮันเค้นเสียง “คิดจะต่อต้านข้า?”
กายหยาบของเขาในตอนนี้แข็งแกร่งเทียบเท่าหรืออาจะสูงกว่าแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบ ดาบสวรรค์ที่เป็นเพียงอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับแปดจะทำให้หลิงฮันได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร?
หลิงฮันไม่อดทนอีกต่อไปและเลือกใช้กำลัง ‘เพล๊ง’ ดาบถูกหักเป็นสองท่อนทันที
พรวด!
เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนก็อ้าปากค้าง ดวงตาทุกคู่แทบจะถลนออกจากเบ้า
หะ…หักดาบสวรรค์ด้วยมือเปล่า เขาต้องเป็นสัตว์ประหลาดประเภทใดกัน?
ในตอนนี้เอง ทุกคนรู้แล้วว่าไม่ใช่เจียนเยว่ซวนที่มีพรสวรรค์ราวกับสัตว์ประหลาด เขาเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราทั่วไปนั่นเอง แต่ที่ผิดปกติคือดวงดาวหายนะตรงหน้าพวกเขา!
ตอนที่ 1346
ณ เวลานี้เอง เหล่าปรมาจารย์ของนิกายดาบสวรรค์ต่างรู้สึกหวาดกลัวจากก้นบึ้งของจิตใจ
สองอุปกรณ์ศักดิ์ของพวกเขาถูกหลิงฮันทำลายไปแล้ว ทีนะพวกเขาจะทำอะไรได้?
รอคอยความตายเพียงอย่างเดียว
ดวงตาของเจียนเสี่ยวหลิงส่องประกาย ท่านลุง… ไม่สิ อาจารย์ปู่ผู้นี้แข็งแกร่งขนาดนี้เชียว ด้วยการที่มีหลิงฮันคอยหนุนหลัง ไม่ใช่ว่านางจะสามารถเที่ยวกร่างไปทั่วท้องฟ้านี้หรอกรึ
“นี่เป็นโอกาสสุดท้าย คนที่เกี่ยวข้องมีโทษตายสถานเดียว ส่วนคนอื่นยังมีโอกาสรอดชีวิต” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส ออร่าของระดับดาราค่อยๆปลดปล่อยออกมาอย่างไร้สิ้นสุด
ด้วยอำนาจของเขา ไม่ใช่แค่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราทั่วไปที่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ด้วยพลังต่อสู้หกดาวของหลิงฮัน ต่อให้เป็นระดับสุริยันจันทราขั้นสมบูรณ์เขาก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย
หลิงคงมองไปยังเชิงจิน จิ้งจอกเฒ่าทั้งสองสบตากันและแลกเปลี่ยนความคิดกันในชั่วพริบตา
พรึบ!
หลิงคงพุ่งกระโดดด้วยจิตสังหาร เพียงแค่ว่าเป้าหมายของเขาไม่ใช่หลิงฮันแต่เป็น… เชิงจิน!
การลงมือกะทันหันเช่นนี้ใครจะไปคาดคิด?
จิ้งจอกเฒ่านำมือข้างหนึ่งจับหัวเชิงจินเอาไว้และกล่าวอย่างเย็นชา “เชิงหยู ถ้าเจ้ายังอยากให้บรรพบุรุณของเจ้ารอดก็บอกให้เขาหยุดมือซะ!”
นี่มัน!
เจียนเยว่ซวนกับเชิงหยูตกตะลึง จิ้งจอกเฒ่าผู้นั้นยกระดับความหน้าด้านไปอีกขั้นแล้ว
“หยูเอ๋อ ช่วยข้าด้วย!” เชิงจินแสดงละครให้ความร่วมมือ เขามองไปยังเชิงหยูด้วยน้ำตาที่ไหลพราก สภาพของเขาในตอนนี้ดูน่าสงสารอย่างยิ่ง
ใบหน้าของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นเย็นชาและกล่าว “พอแล้ว ไม่ต้องแสดงละครถูกๆให้ข้าเห็น พวกเจ้าสองคนเป็นตัวการทั้งคู่ ชะตากรรมของพวกเจ้าไม่มีทางหนีพ้นความตายไปได้ อย่างน้อยๆก็ยอมตายให้สมศักดิ์ศรีไม่ได้รึไง?”
ศักดิ์ศรีงั้นรึ? มันกินได้รึไง!
หลิงคงจ้องไปยังหลิงฮันและคำราม “หลิงฮัน คนคนนี้คือบรรพบุรุษของคนรักของลูกศิษย์เจ้า เห็นเขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เจ้าไม่รู้สึกละอายใจต่อลูกศิษย์เลยรึไง?”
“ละอายใจน้องสาวเจ้าสิ!” หลิงฮันทนไม่ไหวและยกฝ่ามือขึ้น
หลิงคงใบหน้าเปลี่ยนสี หรือว่าแค่นี้ยังข่มขู่หลิงฮันไม่ได้? เห็นทีเขาคงต้องทำมากกว่านี้! ‘โพล๊ะ’ หัวของเชิงจิงระเบิดออกพร้อมกับดวงวิญญาณกระเด็นออกจากร่าง
ใบหน้าของเชิงจิงเกรี้ยวกราดอย่างมาก เขาไม่คาดคิดว่าหลิงคงจะลงมือให้เขาตายจริงๆ
แต่เขาก็ไม่เปิดปากพูดอะไร ร่างวิญญาณของเขาตอนนี้ถูกหลิงคงจับเอาไว้อยู่ หากไร้กายหยาบ เพียงแค่วิญญาณเขาจะต่อกรอีกฝ่ายที่มีพลังบ่มเพาะเท่ากันได้อย่างไร?
“อย่าได้บังคับให้ข้าลงมือมากกว่านี้!” หลิงคงตะโกน
“ตัวโง่งม!” หลิงฮันไร้ความเมตตาและพลักฝ่ามือออกไป ‘ตูม’ กายหยาบของหลิงคงระเบิดออกทันที
วิญญาณของเขาลอยกระเด็นออกมาเช่นกัน ตราบใดที่บรรลุระดับพระเจ้าแล้ว ต่อให้ไม่มีกายหยาบ ดวงวิญญาณก็สามารถคงสภาพอยู่ได้ชั่วเวลาหนึ่งและสามารถไปหาร่างอื่นเพื่อสิงสู่ได้
ตอนนี้เมื่อหลิงคงกลายเป็นดวงวิญญาณแล้ว เชิงจิงจึงไม่สนใจเขาอีกต่อไป วิญญาณทั้งสองดวงบินแยกไปทางละทิศทางทันที
พวกเขาจำเป็นต้องหลบหนี ต่อให้หาร่างใหม่ที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาพวกเขาก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างน้อยอีกหลายสิบปี บางทีจนกว่าจนถึงตอนนี้โชคชะตาพวกเขาอาจพบจุดเปลี่ยนก็ได้
“คิดหลบหนี?” หลิงฮันดีดนิ้ว ‘เพี๊ยะ’ เส้นแสงสายฟ้าสองเส้นพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เส้นสายฟ้าสองเส้นนี้คืออำนาจของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ สายฟ้าสวรรค์นั้นรวดเร็วเพียงใด? ทั่วจักรวาลนี้มีใครเคยหลบหนีจากทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ได้รึเปล่า?
ไม่มี!
พวกเชิงจิงเองก็ไม่มีข้อยกเว้น พริบตาเดียวพวกเขาถูกเส้นสายฟ้าตามทัน ดวงวิญญาณของพวกเขาถูกสายฟ้าสวรรค์เผาไหม้จนกลายเป็นเศษขี้เถ้าและไม่เหลือร่องรอยใดๆ
เมื่อหลิงฮันลงมือ กลิ่นอายแห่งระดับดาราก็ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ คนของนิกายดาบสวรรค์คุกเข่ายอมแพ้แต่โดยที่ไม่มีใครต่อต้านเลยสักคน
“ข้าให้เวลาพวกเจ้าครึ่งวัน คนที่มีส่วนร่วมจงฆ่าตัวตาย ส่วนคนอื่นที่มีระดับพลังบ่มเพาะพระเจ้าให้ทำลายพลังบ่มเพาะของตนเองทิ้งให้หมดทุกคน จากนี้เป็นต้นไปนิกายดาบสวรรค์จะไม่มีอยู่อีกต่อไป หากใครขัดขืน เมื่อถึงเวลาข้าจะเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง!”
เมือเทียบกับห้านิกายโบราณที่ใช้ชีวิตใช้ไม่ถ้วนมาหลอมเป็นเม็ดยา ขอเสนอของหลิงฮันถือว่าเมตตามากแล้ว
ที่เขาไม่สังหารทุกคนเพราะเขาไม่ได้มีนิสัยกระหายเลือด
“ไปกันได้แล้ว” หลิงฮันกล่าวกับเจียนเยว่ซวน
“ขอรับ อาจารย์” เจียนเยว่ซวนรีบตอบ
หลิงฮันเดินนำหน้าโดยมีเจียนเยว่ซวนเดินตามหลัง ด้านหลังเจียนเยว่ซวนเองก็มีเชิงหยูกับเจียนเสี่ยวหลิงตามมาอีกที
พวกเขาหาสถานที่ในเมืองเพื่อสนทนาเรื่องเก่าๆกันระหว่างศิษย์อาจารย์ ความรู้สึกของเจียนเยว่ซวนที่ถึงแม้จะอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์มากว่าหมื่นปีนั้นยังไม่แปรเปลี่ยน เขายังคงระลึกอยู่เสมอว่าความสำเร็จสูงสุดในชีวิตของเขาคือการก่อตั้งสมาคมน้ำแข็งนิรันดร์ในทวีปฮงเทียน
ครึ่งวันต่อมาหลิงฮันกลับไปยังนิกายดาบสวรรค์
คนที่มีส่วนเกี่ยวกับการหลอมเม็ดยาส่วนใหญ่เลือกที่จะยอมตายแต่โดยดี เนื่องจากพวกเขามีทายาทสืบทอดจึงไม่กล้าที่จะหลบหนี แต่ก็ยังมีบางคนที่โชคดี พวกเขาหลบหนีคนเดียวหรือไม่ก็หนีไปพร้อมกับครอบครัว
ครั้งนี้หลิงฮันไม่เมตตาอีกต่อไป เขาลงมือสังหารคนเหล่านั้นทั้งหมดไม่เหลือ
ด้วยโลหิตของเหล่าคนบาป กลิ่นเลือดได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมือง
เพียงวันเดียวนิกายดาบสวรรค์ที่ครั้งหนึ่งเคยทรงอำนาจก็ถูกลบออกจากประวัติศาสตร์อย่างสมบูรณ์
เพียงแต่ว่าหลิงฮันยังไม่บุกไปอีกสี่นิกายที่เหลือ เขาจะกับไปหาหยุนหย่งหวัง เฟิงโปหยุนและคนอื่นๆเป็นอันดับแรก การลบล้างห้านิกายโบราณนั้นจำเป็นต้องมีคนของทวีปฮงเทียนเป็นสักขีพยาน
บังเอิญที่เฉินหลุยเจียงกลับมาพอดี ทันทีที่เห็นหลิงฮันเขาก็ชะงักแน่นิ่งและแสดงความตื่นเต้นอย่างไม่ปกปิด โสมเฒ่ากับเจ้ากระต่ายเองก็ปรากฏตัวที่นี่เช่นกัน เมื่อพวกมันเห็นหลิงฮันพวกมันก็โอ้อวดว่าตนเองไม่มีวันตายง่ายๆ ต่อให้สวรรค์ไล่ตามพวกมันก็หนีพ้น
เพียงแต่ว่าเจียนเยว่ซวนไม่ค่อยได้รับการต้อนรับเสียเท่าไหร่
ในสายตาของเฉินหลุยเจียงและศิษย์อีกสองคน เจียนเยว่ซวนเป็นคนทรยศที่ไปเข้าร่วมกับนิกายดาบสวรรค์
แต่เมื่อมีหลิงฮันอยู่เคียงข้าง ในที่สุดศิษย์ทั้งสามคนก็เปิดใจ จะอย่างไรพวกเขาก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องที่มีมิตรภาพต่อกันหลายร้อยปี จะมีความบาดหมางใดที่ไม่สามารถแก้ไขได้
เมื่อความบาดหมาดถูกแก้ไข กลุ่มของพวกเขาจึงมุ่งหน้าไปจัดการกับนิกายโบราณสี่นิกายที่เหลือ การลบล้างนิกายนกอมตะเมฆา นิกายอัสนีครามกับนิกายกระบี่ไร้เทียมทานนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น ตัวการใหญ่ในนิกายถูกสังหาร ส่วนศิษย์คนอื่นๆถูกทำลายพลังบ่มเพาะเพื่อไม่ให้ทำเรื่องชั่วร้ายได้อีกต่อไป
สุดท้ายคือนิกายมังกรปฐพี กลุ่มของพวกเขามุ่งหน้าไปยังตีนเขา
นิกายมังกรปฐพีก่อตั้งขึ้นในบริเวณที่พื้นดินเป็นหนองน้ำ ศิษย์ของนิกายส่วนมากมีสายเลือดของมังกรปฐพี แต่แน่นอนว่ามีศิษย์บางคนที่เป็นมนุษย์โดยแท้เช่นกัน และด้วยเหตุผลที่ว่าพวกเขามีคุณสมบัติไม่เหมาะสมกับทักษะบ่มเพาะของนิกายมังกรปฐพี จึงยากที่จะมีปรมาจารย์ปรากฏขึ้นสักคน
ตอนนี้ประตูของนิกายมังกรปฐพีปิดอยู่ ราวกับเป็นข้อความว่าพวกเขาไม่ต้อนรับหลิงฮัน
ปัง!
โสมเฒ่าถีบเปิดประตูอย่างโอ่อ่าและคำรามลั่น “สาวงามของนิกายมังกรปฐพีเอ๋ย จงมอบชุดชั้นในของพวกเจ้ามาแต่โดยดีแล้วนายท่านโสมจะเมตตา”
ตอนที่ 1347
นิกายมังกรปฐพีเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว เมื่อประตูถูกเปิดออกก็มีแรงกดดันที่รุนแรงปะทุออกมาจากด้านในนิกายพร้อมกับปรากฏร่างคนมากมาย
“หลิงฮัน เจ้าจบสิ้นแล้ว!” ชายชราคนหนึ่งยืดตัวและคำราม รอบกายของเขาอบอวลไปด้วยหมอกสีดำที่ก่อตัวกันเป็นรูปร่างมังกรปฐพี
“เจ้าก็แค่เศษสวะที่นำชีวิตผู้คนมากมายมาหลอมเป็นเม็ดยา” เฟิงโปหยุนเค้นเสียงดูถูก ผมของเขาสยายออกด้วยความเกรี้ยวกราด
พลังบ่มเพาะของเขาพัฒนารวดเร็วมาก แต่ด้วยเวลาที่มีจำกัด แม้จะได้รับเม็ดยาจากหลิงฮันเขาก็เพิ่งบรรลุระดับภูผาวารีขั้นสูงเท่านั้น
ชายชราไม่แม้แต่ชำเลืองมองเฟิงโปหยุนที่ยังไม่ทะลวงผ่านแม้แต่ระดับสุริยันจันทรา หรือต่อให้เฟิงโปหยุนบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดแล้วก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี
“เหอะ ต่อหน้าชายชราผู้ เจ้ามีสิทธิ์เปิดปากพูด?” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
หลิงฮันเค้นเสียงและกล่าว “ต่อหน้าข้า เจ้ามีคุณสมบัติจะแสดงตนเป็นผู้อาวุโส?”
‘ครืนนน’ เขาปลดปล่อยกลิ่นอายอันทรงพลังเข้าใส่ชายชรา ‘ตุบ’ ร่างของชายชรากลายเป็นอ่อนแอและนั่งลงคุกเข่าทันที แต่อีกฝ่ายได้พยายามดัดกระดูกของตนเองให้ร่างล้มลงกับพื้น
แม้จะเสียหน้าไปบ้างแต่ก็ยังดีกว่าต้องให้ตนเองนั่งอยู่ในท่าคุกเข่าเป็นไหนๆ
“เจ้าคือหลิงฮันจริงๆรึ?” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้นจากฝูงคน ใบหน้าของเขาประดับไว้ด้วยความประหลาดใจ
“ที่แท้ก็เป็นพี่ชายน่าหลัน” หลิงฮันมองไปยังอีกฝ่ายและพยักหน้าเบาๆ
ชายหนุ่มคนนั้นคือน่าหลันถูที่เป็นหนึ่งในสิบราชาระดับสวรรค์เหมือนกับเขาเมื่อหมื่นปีก่อน แต่ดูเหมือนว่าพรสวรรค์ของเขาจะไม่ยอดเยี่ยมเหมือนกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ จักรพรรดิดาบและคนอื่นๆหรือแม้แต่เจียนเยว่ซวนกับเฉินหลุยเจียง พลังบ่มเพาะของเขาในตอนนี้คือระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดเท่านั้น
ยิ่งเวลาผ่านไป พรสวรรค์ของแต่ละคนก็ถูกแบ่งแยกให้เห็นเด่นชัดขึ้น
น่าหลันถูฝืนยิ้มและกล่าว “ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้ ในอดีต… ข้าสามารถเอาชนะเจ้าได้ในหนึ่งในฝ่ามือด้วยซ้ำ”
สีหน้าของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นมืดมน บุรุษที่แท้จริงย่อมไม่โอ้อวดความสำเร็จในอดีต แม้แต่สมัยก่อนเขาจะอ่อนแอ แต่อย่าลืมว่าเขายังมีสถานะหนึ่งคือจักรพรรดิปรุงยา ในหมู่พวกเจ้าใครบ้างที่ไม่เคยมาขอให้เขาหลอมเม็ดยาให้?
“หลิงฮัน ชายชราแนะนำให้เจ้ากลับไปในที่ที่เจ้ามาซะ นิกายมังกรปฐพีไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะทำอะไรได้ตามใจชอบ!” ชายชราลุกขึ้นยืนและกล่าวกับหลิงฮันด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หลิงฮันประหลาดใจเล็กน้อย ข่าวที่นิกายโบราณอีกสี่นิกายถูกเขาล้มล้างสมควรจะมาถึงนิกายมังกรปฐพีแล้วแท้ๆ แต่เหตุใดคนเหล่านี้ถึงยังใจเย็นอยู่ได้ คนของนิกายแต่ละคนยืนอย่างฮึกเหิมด้วยท่าทีมั่นใจอย่างมาก
พวกเขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?
“โอ้ เจ้าคิดจะพึ่งพาใครงั้นรึ?” หลิมฮันถามด้วยรอยยิ้ม
“รอไม่นานเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” ชายชราคนอีกคนหนึ่งเอ่ย
หลิงฮันไม่สนใจและกล่าว “ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้า คนที่มีส่วนเกี่ยวกับกับการหลอมเม็ดยาด้วยโลกใบเล็กจะต้องตาย ส่วนคนที่มีพลังบ่มเพาะระดับพระเจ้าขึ้นไปจงทำลายพลังบ่มเพาะของตัวเองทิ้ง ตั้งแต่วันนี้จะไม่นิกายมังกรปฐพีอีกต่อไป”
“ข้าให้เวลาพวกเจ้าครึ่งวัน”
เมื่อกล่าวเสร็จ หลิงฮันกับคนอื่นๆก็นั่งลงที่หน้าประตูทางเข้านิกายมังกรปฐพีและนำวัตถุดิบออกมาจากหอคอยทมิฬเพื่อทำเนื้อย่างมื้อเย็น
เวลาค่อยๆผ่านไป ในขณะที่หลิงฮันกำลังนั่งกินอาหารกับทุกคน การเคลื่อนไหวทั่วทั้งนิกายมังกรปฐพีอยู่ในความเฝ้ามองของเขา ไม่ว่าจะตรวจสอบอย่างไรเขาก็ไม่พบจอมยุทธระดับดาราคนใด
หรือจะบอกว่านิกายมังกรปฐพีสามารถเรียกกำลังเสริมเป็นตัวตนระดับวารีนิรันดร์? เขาไม่เชื่อเด็ดขาด
หืม?
หลังจากเวลาผ่านไปราวๆสองชั่วโมง หลิงฮันก็พบเห็นเรือเหาะลำหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขา เรือเหาะที่ว่านั้นมีขนาดใหญ่และเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก
เขาใช้เนตรแห่งสัจธรรมมองไปยังบนท้องฟ้า เขามองเห็นเรือเหาะขนาดยักษ์ค่อยๆปรากฏเข้ามาใกล้เหนือท้องฟ้า
เรือเหาะขนาดใหญ่ที่ใกล้เข้ามาต้องเป็นเรือเหินดาราไม่ผิดแน่ แต่ตอนนี้มันถูกนำมาประยุกต์ใช้เป็นพาหนะเคลื่อนที่บนอากาศ ธงที่กางเอาไว้บนเรือเหาะมีสัญลักษณ์กงเล็บพยัคฆ์และอักษรคำว่า ‘จ้าว’ สลักเอาไว้ ธงกระพือไปมาตามสายลมและปลดปล่อยอำนาจอันทรงพลังออกมา
อักษรจ้าวต้องถูกสลักขึ้นด้วยมือของปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งแน่นอน ด้วยเจตจำนงยุทธที่แข็งแกร่งของเขาบนตัวอักษรเพียงพอที่จะบดขยี้จอมยุทธระดับดาราให้กลายเป็นเศษซาก
หลิงฮันประหลาดใจ หรือนิกายมังกรปฐพีจะขอความช่วยเหลือจากปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ได้จริงๆ?
คำถามก็คือนิกายมังกรปฐพียื่นข้อเสนอแบบไหน ถึงทำให้ขุมอำนาจระดับวารีนิรันดร์ยอมเคลื่อนไหว?
ผ่านไปสักพักเรือเหาะขนาดใหญ่ก็ลอยมาถึง คนของนิกายมังกรปฐพีแสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมา ในขณะเดียวกัน เฟิงโปหยุนและคนอื่นๆใบหน้าเปลี่ยนสีทันที
นิกายมังกรปฐพีสมควรรู้ว่าหลิงฮันบรรลุระดับดาราแล้ว ดังนั้นผู้ช่วยเหลือของพวกเขาจึงต้องเป็นจอมยุทธระดับดาราเป็นอย่างน้อย
เรือเหาะหยุดเคลื่อนไหว หลังจากนั้นก็มีเกวียนลอยลงมาจากด้านบน สัตว์ลากเกวียนทั้งสองตัวคืออาชาสีขาวที่มีปีกหนึ่งคู่และเขากลางหัว เขาของพวกมันมีขนาดยาวถึงสิบฟุตและดูทรงพลังอย่างมาก
“อาชามังกรเหิน!” ใครบางคนอุทานออกมาเมื่อเป็นสัตว์อสูรที่ลากเกวียนทั้งสองตัว
อาชามังกรเหินนั้นเป็นสัตว์อสูรที่หาได้ยากยิ่ง เมื่ออายุเต็มวัยมันสามารถมีพลังได้ถึงระดับดารา
ต้องเป็นขุมอำนาจที่แข็งแกร่งขนาดไหนถึงจะสามารถใช้อาชามังกรเหินเป็นสัตว์ลากยานหนะได้?
แม้หลิงฮันจะขมวดคิ้วแต่เขาก็ไม่ได้ตกตะลึงอะไร บ้ารึเปล่า? เขาเคยเห็นแม้กระทั่งเกวียนที่สร้างขึ้นจากวัตถุดิบแห่งเซียนมาแล้ว อาชามังกรเหินที่เป็นสัตว์ลากยานพาหนะระดับดาราจะนับเป็นอันใดได้?
เกวียนลอยลงมาจากท้องฟ้าด้วยความเร็วสูง ตัวเกวียนนั้นถูกตกแต่งอย่างเลิศหรูและมีวัสดุที่สร้างขึ้นจากแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบประดับเอาไว้ทั่ว เหล่าคนของนิกายมังกรปฐพีเมื่อเห็นเกวียนที่ลอยลงก็ทั้งตกตะลึงและตื่นเต้นไปพร้อมๆกัน พวกเขาได้ขอไปขอความช่วยเหลือจากตระกูลจ้าว ซึ่งพวกเขาก็มาได้จังหวะเหมาะเจาะพอดี
เมื่อเกวียนหยุดนิ่ง อาชามังกรเหินทั้งสองก็สะบัดกีบเท้าด้วยท่าทีหยิ่งยโส
หลิงฮันรู้สึกคันไม้คันมือ เกวียนนี้มีแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ประดับเอาไว้มากมาย พวกมันเหมาะจะนำไปให้ดาบอสูรนิรันดร์ดูดกลืนเป็นอย่างยิ่ง!
ต้องขโมยมา… เขาตัดสินใจแล้ว
‘ปัง’ เมื่อประตูเกวียนเปิดออกก็มีสตรีที่งดงามเดินออกมาทีละคน หลังจากพวกนางทั้งสิบสองคนออกกันมาครบ พวกนางทุกคนก็เอนร่างของตัวเองให้เป็นชั้นบันได
หลังจากนั้นได้มีบุรุษผู้หนึ่งก้าวเดินออกมาโดยใช้สตรีเหล่านั้นเป็นแท่นบันไดก้าวลงจากเกวียน
“เจ้าบัดซบนั่น!” โสมเฒ่าทนไม่ไหวและตะโกนออกมา “แม้แต่นายท่านโสมก็ยังไม่มีสตรีมาคอยปรนนิบัติเช่นนั้น เจ้าหนูนั่นจะอวดดีเกินไปแล้ว! ฮันน้อย ทุบตีมันแทนนายท่านโสมเลย!”
ตอนที่ 1348
ชายคนนี้ดูเยาว์วัยเป็นอย่างมาก รูปลักษณ์ของเขาดูเหมือนกับรุ่นเยาว์อายุยี่สิบปีเท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับอายุขัยอันยาวนานของระดับพระเจ้า คนที่ดูเยาว์ล้วนแต่ไม่เยาว์วัยแม้แต่น้อย
ชายคนนี้เป็นจอมยุทธระดับดาราอย่างแท้จริง ขั้นพลังของเขาคือขั้นกลางชั้นต้น
อายุแท้จริงของเขาสมควรจะเกินล้านปีไปแล้ว แต่เมื่อเทียบกับอายุขัยอันยาวนานของระดับดารา เขายังสามารถเรียกได้ว่าอยู่ในช่วงเยาว์วัย
สามารถบรรลุระดับดาราได้ในช่วงอายุล้านปีเพียงพอแล้วที่จะทำให้รู้สึกภาคภูมิใจ ไม่น่าแปลกใจที่ท่าทีของเขาจะหยิ่งยโสเหนือชั้นฟ้า
“คารวะนายน้อยขู่!” คนของนิกายมังกรปฐพีคุกเข่า
ไม่ต้องกล่าวพึงพื้นเพของรุ่นเยาว์ผู้นี้ แต่พลังบ่มเพาะระดับดาราของอีกฝ่ายก็เพียงพอจะล้มลงนิกายมังกรปฐพีของพวกเขาแล้ว
“ลุกขึ้นได้” รุ่นเยาว์ผู้นั้นโบกมืออย่างไม่แยแส สายตาของเขากวาดผ่านรอบด้านจนไปหยุดอยู่ที่พวกหลิงฮันที่กำลังกินอาหาร ใบหน้าของเขาชะงักและเปลี่ยนอารมณ์ทันที
“พวกเจ้าเห็นข้าเหตุใดยังไม่คุกเข่าอีก?”
“กล้าบังคับให้นายท่านโสมคุกเข่า? เจ้ากินขี้เข้าไปเกินขนาดรึเปล่า?” โสมเฒ่ามีน้ำโห มันหงุดหงิดมาตั้งแต่เห็นรุ่นเยาว์ผู้นี้มีสตรีมากมายคอยปรนนิบัติ พอเห็นท่าทีอันหยิ่งยโสของอีกฝ่ายมันก็ลั่นปากออกมาทันที
รุ่นเยาว์ผู้นั้นก่อนหน้านี้เขาแค่ไม่สบอารมณ์เพียงเล็กน้อย แต่พอได้ยินคำพูดของโสมเฒ่าใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที “สนมทั้งสิบสอง ใครนำโสมไร้ค่านั่นไปจัดการได้ คืนนี้ข้าจะทำรักกับผู้นั้นเป็นคนแรก!”
“เจ้าค่ะ นายน้อย!” สนมทั้งสิบสองยิ้มอย่างปลาบปลื้ม ใบหน้าของพวกนางขึ้นสีด้วยความอายเล็กน้อย
โสมเท่าอดที่จะถลึงตาไม่ได้ “สาวงามเช่นพวกเจ้าทางที่ดีมาติดตามนายท่านโสมจะดีกว่า ‘น้ำวิเศษ’ของนายท่านโสมน่ะยอดเยี่ยมอย่าบอกใคร”
“ข้าจะจับเจ้าไปทำซุปโสม!” สนมทั้งสิบสองกล่าวพร้อมกัน พวกนางทุกคนมีพลังบ่มเพาะระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุด หากพวกนางโจมตีด้วยรูปแบบยุทธที่พร้อมเพรียง พลังโจมตีผสานของพวกนางอาจจะทรงพลังเกือบทัดเทียมระดับดารา
มีรึที่โสมเฒ่าจะเผชิญหน้ากับศัตรูเช่นนั้น มันกรีดร้องและเผ่นหนีทันที
ระดับพลังของมันยังไม่สูง แต่มันสามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วยิ่ง มันวิ่งมาหลบด้านหลังหลิงฮันและชะโงกหน้ากล่าว “สาวน้อยทั้งหลาย แน่จริงก็เข้ามาสิ!” จากนั้นมันก็กล่าวกับหลิงฮัน “ฮันน้อย กำราบพวกนางเสีย ไว้นายท่านโสมจะคอยชี้แนะพวกนางทุกคืนเพื่อดัดนิสัยโหดร้ายของพวกนางให้เอง”
สนมทั้งสิบสองเกรี้ยวกราด เหตุใดโสมต้นนี้ถึงได้ปากเสียขนาดนี้?
“ยอมกลายเป็นน้ำซุปเสียโดยดี!” พวกนางไม่หวาดกลัวหลิงฮัน ทั้งสิบสองคนมีการโจมตีผสานที่สามารถต่อกรได้แม้แต่จอมยุทธระดับดารา!
หลิงฮันยื่นมือออกไป ‘พรึบ’ ชั้นบรรยากาศสั่นไหวไปยังทิศทางของสนมทั้งสิบสอง
‘ตุบ’ สนมทั้งสิบสองร่างกายอ่อนแรงและล้มลงกับพื้นทันที
ฝ่ามือหลิงฮันได้ปลดปล่อยอำนาจสวรรค์ออกไป หากระดับพลังต่างกันเพียงเล็กน้อย ศัตรูก็จะได้รับผลกระทบเพียงแค่ระดับพลังลดลง แต่ถ้าพลังต่างกันเกินไป อีกฝ่ายจะไม่มีโอกาสได้ตอบโต้ได้ พวกเขาจะล้มลงหรือไม่ก็ตกตาย
“บังอาจ แม้แต่นางสนมของนายน้อยผู้นี้เจ้าก็กล้าลงมือ!” รุ่นเยาว์ผู้นั้นจ้องเขม็ง
ชื่อของเขาคือจ้าวขู่ พื้นเพของเขาน่าสะพรึงกลัวมาก เขาเป็นบุตรชายคนเดียวของปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ของจักรวรรดิราชวงศ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าเขาไปที่ใดก็ล้วนแต่ได้รับการต้อนรับอย่างดี
หลิงฮันสะบัดมือและกล่าว “เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเจ้า กลับไปยังที่ที่เจ้ามาซะ!”
“ฮ่าๆ!” จ้าวขู่อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ไม่คาดคิดว่าในจักรวรรดิราชวงศ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีคนที่กล้าพูดจาเช่นนี้กับเขาอยู่ด้วย “ข้าให้โอกาสเจ้าคุกเข่า หากข้าพึงพอใจจะยอมไว้ชีวิตไร้ค่าของเจ้า หากไม่…”
เมื่อสายตาของเขาเหลือบไปยังสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ สีหน้าของเขาแสดงถึงตัณหาออกมาทันที “สตรีผู้นั้น เหมาะสมกับนายน้อยผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง!”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยพบเจอสตรีที่งดงามมาก่อน แต่สตรีอย่างสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์นั้นเขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ทั้งบรรยายกาศรอบกายหรือรูปลักษณ์ของนางเรียกได้ว่าชั้นเลิศ
เมื่อใดยินเช่นนั้น เฟิงโปหยุนและคนอื่นๆก็มีท่าทีเกรี้ยวกราด เจียนเยว่ซวนและศิษย์คนอื่นๆถึงขั้นเปิดปากสบถด่าออกมา
สีหน้าหลิงฮันเปลี่ยนเป็นมืดมนและกล่าว “ดูเหมือนว่าเจ้าจะรนหาที่ตาย!” เขารู้ว่าชายตรงหน้ามีตัวตนระดับวารีนิรันดร์อยู่เบื้องหลัง แต่ขนาดเชี่ยตงหลายเขายังสังหารอย่างไม่ลังเล มีรึที่เขาจะหวาดกลัวอีกฝ่าย?
“ฮึ่ม ช่างอวดดีนัก เจ้ารู้รึไม่ว่าข้าคือใคร?” จ้าวขู่กล่าวอย่างหยิ่งยโส
“บิดาของข้าคือจ้าวจู่อี้!”
จ้าวจู่อี้เป็นตัวตนซึ่งเป็นตำนานของจักรวรรดิราชวงศ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ ใดอดีตเขาเป็นเพียงตัวตนไร้ชื่อ แต่ไม่รู้วาสนาใดนำพา เขาหลงเข้าไปยังถ้ำลึกลับแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของนิกายโบราณที่หายสาปสูญไปเมื่อนานมาแล้ว
เมื่อเขากลับออกมา ชื่อเสียงของเขาก็ทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขาพบเจอวาสนาที่ช่วยให้ทะลวงผ่านระดับและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยมา
ตอนนี้จ้าวจู่อี้มีอายุราวๆสามร้อยล้านปีแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะสามารถทะลวงผ่านระดับสร้างสรรพสิ่งได้ก่อนหมดสิ้นอายุขัยหรือไม่
เนื่องจากไต่เต้ามาจากเบื้องล่าง จ้าวจู่อี้จึงไม่เหมือนกับปรมาจารย์คนอื่น แม้เขาจะมีชื่อเรื่องและภรรยามากมาย บุตรของเขากลับมีเพียงคนเดียวคือจ้าวขู่
ผู้คนของนิกายมังกรปฐพีมีสีหน้าภาคภูมิใจ บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งของพวกเขาครั้งหนึ่งเคยเป็นองครักษ์ให้กับตระกูลของจ้าวจู่อี้ แม้พวกเขาจะไม่มีต้นกำเนิดเดียวกันแต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีสายสัมพันธ์เชื่อมต่อกันอยู่บ้างเล็กน้อย
เมื่องนิกายพบเจอกับภัยพิบัติที่ถึงขั้นจะล่มสลาย พวกเขาจึงนึกคิดสายสายสัมพันธ์นี้ขึ้นมาและส่งคนไปพูดโน้มน้าวของตระกูลจ้าว หลังจากที่มอบสาวงามไปมากมาย ในที่สุดจ้าวขู่ก็รับปากจะช่วยเหลือ
หลิงฮันยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง ในตอนที่เขาได้รับทักษะกาลเวลาแปรผันพันปีเขาก็ถูกเพ่งเล็งโดยขุมอำนาจของดินแดนแห่งเซียนไปเรียบร้อยแล้ว กับแค่ตัวตนระดับวารีนิรันดร์เหตใดเขาจะต้องเกรงกลัว?
เขามองไปยังจ้าวขู่และกล่าว “ในเมื่อเจ้าแส่หาที่ตาย ข้าก็จะสนองให้!”
ในเมื่อยังไงต้องล่วงเกินตระกูลจ้าวอยู่แล้ว หลิงฮันตัดสินใจสังหารจ้าวขู่เสียเลย
ยิ่งกว่านั้นเกวียนของอีกฝ่ายยังมีวัสดุที่สร้างขึ้นจากแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ตกแต่งเอาไว้มากมาย หากไม่ขโมยก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรแล้ว
“กล้าดี!” จ้าวขู่แสยะยิ้ม อีกฝ่ายคิดว่าเขาจะพึ่งพาแต่บารมีของบิดารึอย่างไร? เขามีบ่มเพาะอยู่ที่ระดับดาราขั้นกลาง ในจักรวรรดิราชวงศ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ตัวเขาเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์อย่างแท้จริง
ยิ่งกว่านั้นการที่เป็นผู้สืบทอดของตัวตนระดับวารีนิรันดร์ เขาจะไม่มีสมบัติที่ทรงพลังติดตัวได้อย่างไร?
ตอนที่ 1349
“กองทหารปฐพียังไม่ลงมืออีก?” จ้าวขู่เค้นเสียง ทันใดนั้นด้านบนเรือเหาะก็ได้มีเกวียนมากมายลอยลงมาหยุดที่เบื้องหลังเขา
ในเกวียนแต่ละเกวียนมีทหารสวมเกราะเต็มยศอยู่สิบสองคน แต่ละคนปลดปล่อยจิตสังหารอันรุนแรงราวกับกำลังกระหายเลือด
พลังบ่มเพาะของทหารเหล่านั้นไม่ได้สูงมาก พวกเขาเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีเท่านั้น แต่เมื่อจอมยุทธระดับภูผาวารีจำนวนนับร้อยนับพันผสานพลังกัน กลิ่นอายที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นเหนือกว่าระดับภูผาวารีเสียอีก
“ใช้รูปแบบอาคมสังหารศัตรู!” จ้าวขู่ชี้นิ้ว
‘ตุบ’ เหล่าทหารกระโดดลงมาจากเกวียน พวกเขาเดินประจำตำแหน่งอย่างรวดเร็ว จอมยุทธนับผสานต่อแถวเรียงรายกันจนดูเหมือนเป็นอสรพิษตัวยาว
เกราะของทหารนับพันส่องประกายร่วมกัน พลังต่อสู้ของพวกเขาสูงทะยานขึ้นนับพันเท่า
นี่คืออำนาจที่ได้รับจากรูปแบบอาคม
หลิงฮันสัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณจากสวรรค์และปฐพีกำลังถูกชี้นำอย่างบ้าคลั่งไปเป็นพลังให้กับทหารเหล่านั้น
หากเป็นคนทั่วไปร่างกายคงจะระเบิดเพราะรับแรงต้านจากการดูดซับพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลไม่ไหว แต่คนเหล่านี้เชื่อมต่อกันด้วยรูปแบบอาคม แรงกดดันที่พวกเขาได้รับนั้นถูกแพร่กระจายเข้าสู่ทุกคน
น่าสนใจ
หลิงฮันยิ้ม รูปแบบอาคมประเภทนี้สามารถช่วยให้ความสามารถในการต่อสู้โดยรวมจักรวรรดิต้าหลิงเพิ่มขึ้น
“อาจารย์ ให้ข้าจัดการเอง!” ติงผิงขัดเกลาพลังบ่มเพาะจนบรรลุระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์แล้ว พลังต่อสู้ของเขาไม่ด้อยไปกว่าระดับสุริยันจันทรามากนัก
“อาจารย์ ศิษย์ขอสู้ด้วย!” เฉินหลุยเจียงและศิษย์คนอื่นๆกล่าว พวกเขาไม่อาจยอมให้ศิษย์น้องข้ามหน้าข้ามตาได้
หลิงฮันพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตามใจ!”
ศิษย์ทั้งห้าลงมือ นิกายโบราณสามนิกายก่อนหน้านี้พอเห็นหลิงฮันพวกเขาก็โบกธงขาวยอมแพ้ทันทีโดยที่พวกเขาไม่มีโอกาศลงมือเลย ดังนั้นเมื่อพบว่านิกายมังกรปฐพีเลือกที่จะโต้ตอบพวกเขาจึงรู้สึกคันไม่คันมือ
“ฮ่าๆๆ น้องสี่ พวกเราก็คันไม้คันมือเหมือนกัน!” เฟิงโปหยุนหัวเราะ
“น้องสี่ ที่นี่ให้เป็นหน้าที่เราเอง!” มู่หลงชิงเองก็อยากลงมือเช่นกัน
พวกเขาเป็นคนของทวีปฮงเทียน ถ้าไม่ใช่เพราะหลิงฮันเปิดสวรรค์เกรงว่าพวกเขาคงจะถูกหลอมเป็นเม็ดยาไปเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มีความโกรธแค้นกับห้านิกายโบราณ หากไม่ลงมือเสียหน่อยใจพวกเขาคงไม่อาจสงบนิ่ง
Anchor
เฟิงโปหยุนและคนอื่นๆทั้งเจ็ดคนพุ่งออกไปต่อสู้ สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์พยักหน้าให้กับหลิงฮัน นางกล่าวกับเขาว่าให้เขาจัดการแค่จ้าวขู่คนเดียวก็พอ
หลิงฮันชำเลืองมองก่อนจะปล่อยพวกเขาไป เขาเบี่ยงสายตาไปยังจ้าวขู่ด้วยแววตาคมกริบราวกับดาบ
“ไม่มีอะไรที่ข้า จ้าวขู่ผู้นี้ต้องการแล้วไม่ได้มาก่อน” จ้าวขู่กล่าวอย่างมั่นใจ “สตรีผู้นั้น ต้องกลายเป็นของข้า! แต่เจ้าจะคิดมากอะไร ข้าขอเล่นกับนางสักวันสองวัน หรือไม่กี่ปีก็เบื่อแล้ว ใต้ดวงตะวันนี้ไม่มีสตรีใดสามารถผูกมัดข้าได้!”
จ้าวขู่แสยะยิ้ม เขาจงใจพูดเพื่อยั่วยุหลิงฮัน
หลิงฮันใช้นิ้วแทนดาบและโจมตีใส่จ้าวขู่ “มีตัวร้ายมากมายที่ตกตายเพราะคำพูดของตัวเอง!” ‘พรึบ’ อำนาจแห่งสายฟ้าถูกควบแน่นพุ่งเข้าใส่จ้าวขู่
ใต้ท้องฟ้านี้จะมีใครสามารถหลบหนีทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ได้?
‘ตูม’ จ้าวขู่ไม่หลบหลีกแม้แต่น้อย หน้าอกของเขาส่องประกายสว่างสีขาวที่มีประกายสีครามเลือนราง เสื้อคลุมของเขาขาดกระจุย ปราณก่อเกิดที่โอบหุ้มร่างของเขาก็ไม่สามารถยับยั้งอำนาจของสายฟ้าสวรรค์ได้
แต่เมื่อเสื้อคลุมของเขาขาดกระจาย บริเวณหน้าอกของจ้าวขู่กลับสวมใส่เกราะสีเงินเอาไว้ ที่ผิวของเกราะถูกปกคลุมไปด้วยรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องประกายระยิบระยับ มันสามารถป้องกันการโจมตีของหลิงฮันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
จ้าวขู่ก้มลงมองและหัวเราะลั่น “นี่คือเกราะเงินที่ท่านพ่อมอบให้ข้า มันถูกสร้างขึ้นจากแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบสาม หากพลังของเจ้าไม่ใช่ระดับวารีนิรันดร์ก็ไม่สามารถทำลายเกราะนี้ได้”
“ยิ่งกว่านั้นท่านพ่อของข้ายังนำหยดโลหิตของสัตว์อสูรเต่าจันทราผสานลงไปกับแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์อีก จึงทำให้พลังป้องกันของเกราะนี้ไร้เทียมทานอย่างมาก”
“หากเจ้าทำลายพลังป้องกันของเกราะนี้ไม่ได้ ก็ไม่มีทางทำร้ายข้าแม้แต่ปลายเส้นผม”
“ข้าอยู่ในสถานภาพไร้พ่ายมาตั้งแต่เกิด เจ้าคิดว่าจะจัดการข้าได้?”
จ้าวขู่ไม่คิดมากที่จะเปิดเผยความลับของเกราะเงินนี้ให้หลิงฮันรู้ เพราะเขาคิดว่าไม่มีใครในระดับพลังที่ต่ำกว่าวารีนิรันดร์สามารถทำร้ายเขาได้
หลิงฮันขมวดคิ้ว เกราะที่สร้างจากแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบสามไม่ใช่ปัญหา ต่อให้ทำลายเกราะไม่ได้ก็ยังสามารถโจมตีให้เกิดคลื่นกระแทกเพื่อสร้างความเสียหาย แต่ปัญหาก็คือหยดโลหิตของสัตว์อสูรเต่าจันทราที่ทำให้เกราะนี้เป็นสมบัติล้ำค่า ด้วยอำนาจของโลหิตเต่าจันทราทำให้เกราะนี้สามารถสร้างโล่คุ้มกันขึ้นมาได้
มีอยู่สองวิธีที่จะทำลายพลังป้องกันของจ้าวขู่คือ ทำลายโล่ที่ถูกสร้างขึ้นจากอำนาจของโลหิตเต่าจันทรา หรือบดขยี้เกราะที่เป็นแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบสามให้พังทลาย
แต่ที่ยากลำบากคือทั้งสองวิธีจำเป็นต้องใช้พลังโจมตีระดับวารีนิรันดร์ ซึ่งหลิงฮันในตอนนี้เป็นเพียงจอมยุทธระดับดาราขั้นต่ำเท่านั้น
ให้ตายเถอะ เหตุใดการจะสังหารตัวบัดซบถึงได้ยุ่งยากเช่นนี้?
“ฮ่าๆๆ คอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไร หมดหนทาง? สิ้นหวัง?” จ้าวขู่หัวเราะ เขาชอบที่จะทำลายความมุ่งมั่นของคนอื่นเป็นอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่มองไปยังสีหน้าสิ้นหวังของอีกฝ่ายจะทำให้เขารู้สึกพึงพอใจ
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “บางทีคนที่จะรู้สึกสิ้นหวังอาจเป็นเจ้า!”
“นายน้อยผู้นี้?” จ้าวขู่ชะงักในตอนแรกก่อนจะหัวเราะ “เจ้าบ้ารึเปล่า เรื่องแบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้น!”
“ทำไมจะไม่มีทางล่ะ?” หลิงฮันลงมือโจมตี เพียงแต่ว่าเป้าหมายของเขาไม่ใช่จ้าวขู่แต่เป็นนิกายมังกรปฐพี ‘ตูม ตูม ตูม’หมัดของเขาก่อให้เกิดคลื่นพลังทำลายอันน่าสะพรึงกลัว ผู้คนมากมายของนิกายมังกรปฐพีถูกบดขยี้จนแม้แต่ดวงวิญญาณก็ไม่เหลือ
“เจ้า…” จ้าวขู่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเกรี้ยวกราด
แน่นอนว่าเขาไม่ได้แยแสชีวิตของคนเหล่านี้ นิกายมังกรปฐพีจะเป็นอย่างไรก็ช่าง แต่ประเด็นก็คือหลิงฮันเมินเฉยเขา!
กล้าเพิกเฉยนายน้อยผู้นี้?
จ้าวขู่คำรามอย่างเกรี้ยวกราดและนำดาบสั้นออกมา แต่เมื่อดาบถูกสะบัดขนาดของมันได้ขยายจนกลายเป็นดาบยาวสามฟุต เขากำดาบไว้ในมือและสะบั้นไปทางหลิงฮัน คลื่นที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากดาบแปรสภาพเป็นอสรพิษสีดำ มันอ้าปากและพุ่งกัดใส่หลิงฮัน
ตอนที่ 1350
หลิงฮันหันหลังและปล่อยหมัดตอบโต้อสรพิษดำ ‘ปัง’ อสรพิษดำแหลกสลายทันที
“เจ้าหยุดข้าไม่ได้!”
หลิงฮันลงมือสังหารเหล่าศิษย์ของนิกายมังกรปฐพีอย่างไม่หยุดยั้ง จะอย่างไรนี่ก็เป็นจุดประสงค์ของการเดินทางมาที่นี่อยู่แล้ว
“เผ่นเร็ว!”
“กระตุ้นใช้งานรูปแบบอาคมแล้วนำอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์โบราณออกมา!”
เหล่าคนของนิกายมังกรปฐพีตื่นตระหนก พวกเขาไม่คาดคิดว่าหลิงฮันจะอุกอาจขนาดนี้ เห็นๆอยู่ว่าจ้าวขู่ปรากฏตัวมาปกป้องพวกเขาแล้ว เหตุใดอีกฝ่ายยังกล้าลงมือกับพวกเขาอยู่อีก?
ยังโชคดีที่รูปแบบอาคมป้องกันขนาดใหญ่กับอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์โบราณถูกเตรียมเอาไว้แล้ว แต่เพราะเมื่อครู่ไม่สามารถกระตุ้นใช้งานได้ทันเวลาจึงได้มีศิษย์จำนวนไม่น้อยที่ตกตายด้วยเงื้อมมือหลิงฮัน
‘ครืนน’ ทั่วทั้งหนองน้ำรอบด้านนิกายส่องสว่างเนื่องจากรูปแบบอาคมคุ้มกันถูกกระตุ้นใช้งาน อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์โบราณเองก็สำแดงอำนาจ มังกรปฐพีขนาดมหึมาปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า มังกรตนนี้ไม่มีทั้งหูและจมูกทำให้รูปลักษณ์ของมันดูน่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง
หลิงฮันไม่หวาดกลัว ‘ปัง ปัง ปัง’ เขารัวหมัดออกไปสามหมัด รูปแบบอาคมคุ้มกันถูกทำลายจนระเบิดออก มังกรปฐพีเองก็แหลกเป็นเศษซาก
ต่อหน้าพลังต่อสู้ระดับดาราขั้นกลางชั้นปลายของเขา อำนาจของระดับสุริยันจันทราจะทำอะไรได้?
เขาลงมือล่าสังหรณ์ต่อ พริบตาเดียวศิษย์ของนิกายมังกรปฐพีที่ตกตายก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นมหาศาล
ครั้งนี้หลิงฮันแสดงนิสัยอีกด้านของเขาที่เลือดเย็นและกระหายโลหิตออกมาให้เห็น
เขาให้โอกาสนิกายมังกรปฐพีแล้ว ในเมื่อพวกเขาเลือกที่จะต่อต้านพวกเขาก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมาให้ได้
สังหารให้หมด!
“บัดซบ! บัดซบ!” จ้าวขู่ไล่ตามหลิงฮันจากด้านหลัง แต่ความเร็วของเขานั้นไม่สามารถไล่หลิงฮันให้ทันได้เลย
เขารู้สึกเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมากที่ตัวเองเหมือนกับกำลังถูกหลิงฮันหยอกล้อ
เขานำอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์หลากหลายออกมาใช้งาน ซึ่งแน่นอนว่าบิดาของเขาเป็นคนให้มา ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ชิ้นใดล้วนแต่มีพลังทำลายเทียบเท่าระดับดาราขั้นสูง แต่ต่อหน้ากายหยาบของหลิงฮัน อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ไม่นับเป็นอันใดได้ อย่างมากก็ทำให้เขารู้เจ็บเล็กน้อยเท่านั้น
จ้าวขู่มีโล่คุ้มกันจากโลหิตเต่าจันทราทำให้หลิงฮันไม่สามารถทำร้ายเขาได้ ในทางกลับกัน จ้าวขู่ที่มีอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์มากมายก็ไม่สามารถทำร้ายหลิงฮันได้เช่นกัน เขาทำได้เพียงพุ่งไล่ตามอย่างไร้หนทาง
ที่หลิงฮันสังหารคนของนิกายมังกรปฐพีไม่ใช่ประเด็นหลักสำคัญ เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนที่ใจดีขนาดนั้น แต่ที่จ้าวขู่รู้สึกไม่สบอารมณ์ก็คือเขาเสียหน้า…
หลิงฮันกำลังสร้างความอัปยศให้กับเขา!
“เจ้าต้องตาย!” จ้าวขู่คำรามอย่างโหดเหี้ยมและนำม้วนคำสั่งออกมา
ม้วนคำสั่งนี้เป็นสิ่งที่บิดาของประทับเจตนงยุทธเอาไว้ มันสามารถปลดปล่อยอำนาจของระดับวารีนิรันดร์ออกมาได้ ม้วนคำสั่งนี้สามารถสังหารหลิงฮันได้นับร้อยครั้ง!
แต่เนื่องจากการสร้างตราประทับนั้นส่งผลกระทบต่อผู้สร้างแม้ว่าจะเป็นตัวตนระดับวารีนิรันดร์ก็ตาม บิดาของเขาจึงสร้างขึ้นมาเพียงชิ้นเดียว
เขาต้องการให้หลิงฮันตายบัดเดี๋ยวนี้!
ครืนนน!
ม้วนคำสั่งถูกคลี่ออกพร้อมกับเจตจำนงของตัวตนระดับวารีนิรันดร์ที่ปะทุออกมา แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวทะยานสูงเสียดชั้นฟ้า
“ออกมา!” หลิงฮันสะบัดมือและโยนเซียนหวู่เซียงออกมา
“เจ้าหนู ข้ากำลังตั้งสมาธิบ่มเพาะพลัง…” เซียนหวู่เวียนกำลังบ่มเพาะพลังใต้ต้นสังสารวัฏ เมื่อๆจู่ถูกขัดจังหวะเช่นนี้เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่สบอารมณ์ แต่เมื่อเห็นจ้าวขู่กำลังถือม้วนคำสั่งอยู่ในมือ เขาก็หัวเราะลั่นออกมาทันที
“ตาย!” จ้าวขู่คำราม ม้วนคำสั่งส่องประกายพร้อมกับมีร่างของคนคนหนึ่งปรากฎออกมา
นี่คือร่างของจ้าวจู่อี้ที่เกิดจากเจตจำนงยุทธ ถึงแม้พลังต่อสู้จะไม่เท่ากับร่างจริง แต่พลังแต่หนึ่งในหมื่นของระดับวารีนิรันดร์ก็เพียงพอที่จะสังหารจอมยุทธระดับดาราทุกคนแล้ว
ร่างเจตจำนงลงมือปล่อยการโจมตีเข้าใส่หลิงฮันและเซียนหวู่เซียง
“ฮึ่ม!” เซียนหวู่เซียงเค้นเสียง ทันใดนั้นออร่าแห่งตัวตนระดับสร้างสรรพสิ่งก็ถูกปลดปล่อยออกมาโอบล้อมร่างเจตจำนงของจ้าวจู่อี้เอาไว้อย่างสมบูรณ์
“ระดับวารีนิรันดร์ตัวจ้อยบังอาจอวดดีต่อหน้าข้าผู้นี้!” เซียนหวู่เซียงคำราม ‘ครืนน’ ร่างเจตจำนงของจ้าวจู่อี้สลายไปโดยไม่อาจต่อต้านแม้แต่น้อย
พรวด!
ดวงตาของจ้าวขู่เปิดกว้าง สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
ม้วนคำสั่งนี้เป็นไพ่ลับที่ทรงพลังที่สุดของเขาซึ่งสามารถสังหารจอมยุทธระดับดาราได้ทุกคน พูดตามหลักแล้ว นอกเหนือจากปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ที่มีเพียงไม่กี่สิบคนของจักรวรรดิราชวงศ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์แล้ว ไพ่ลับของเขาสมควรจะบดขยี้ศัตรูได้อย่างราบคาบไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร
แต่การเดินทางสั้นๆมายังนิกายมังกรปฐพีที่เขาเคยคิดว่าน่าเบื่อนี้ เขาดันโชคร้ายพบเจอกับตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวเขาเสียได้
ม้วนคำสั่งที่ถูกสร้างโดยบิดาของเขาถูกบดขยี้ภายในพริบตา อีกฝ่ายต้องมีพลังขนาดไหนกัน?
เท้าของจ้าวขู่สั่นเครืออย่างไร้เรี่ยวแรง
แต่ใครใช้ให้เขาเลือกใช้ม้วนคำสั่งกัน? เซียนหวู่เซียงนั้นสูญเสียพลังระดับสร้างสรรพสิ่งไปนานแล้วก็จริง แต่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่เขาฝึกฝนมานั้นยังคงอยู่
จ้าวขู่ที่ใช้เจตจำนงยุทธเข้าต่อกรกับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเซียนนั้น ไม่ใช่ว่าเป็นการกระทำที่สิ้นคิดรึไง?
หากจ้าวขู่ลงมือปล่อยหมัดเข้าใส่เซียนหวู่เซียงย่อมเปิดโปงความจริงที่ว่าเซียนหวู่เซียนนั้นไร้พลังได้ แต่ตัวจ้าวขู่ในตอนนี้ได้ขาสั่นด้วยความหวาดกลัวไปแล้ว เขาจะกล้าลงมือได้อย่างไร?
เขาที่เป็นถึงจอมยุทธระดับดาราย่อมสามารถสัมผัสได้ถึงออร่าอันทรงพลังของเซียนหวู่เซียงที่น่าสะพรึงกลัวมากกว่าบิดาของเขาหลายเท่า
ปรมาจารย์ไร้เทียมทาน!
จ้าวขู่รู้ตัวว่าครั้งนี้เขาแกว่งเท้าหาเสี้ยนเสียแล้ว อีกฝ่ายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าบิดาของเขาเสียอีก
ใครจะไปคาดคิดว่าคนที่บุกรุกขุมอำนาจเล็กๆอย่างนิกายมังกรปฐพีจะมีผู้หนุนหลังที่น่าหวาดกลัวขนาดนี้!
หลิงฮันมองไปที่อีกฝ่ายและกล่าว “จ้าวขู่ ข้าไม่ใช่คนที่ชื่นชอบการสังหาร เพราะงั้นหากเจ้าทิ้งเรือเหาะ เกวียน หรืออุปกรณ์อื่นๆไว้ข้าจะยอมไว้ชีวิตเจ้า”
นี่เขาเรียกว่าไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงก็สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์
จ้าวขู่ปลื้มปิติ หมายความว่าเขายังมีโอกาสรอดชีวิต?
“ข้ายกให้หมดเลย!” จ้าวขากล่าว ถึงแม้เรือเหาะจะเป็นของบิดาของเขาซึ่งไม่รู้ว่าใช้จ่ายไปมากมายขนาดไหนเพื่อสร้างมันขึ้นมา เกวียนเองก็ล้ำค่าพอๆกัน แต่แล้วมันอย่างไรล่ะ?
ชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าไม่ใช่รึไง?
จ้าวขู่มองไปยังเซียนหวู่เซียงอีกครั้ง คนที่จะตัดสินใจทุกอย่างไม่ใช่หลิงฮันแต่เป็นปรมาจารย์ผู้นี้ เขาจะรอดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับอีกฝ่าย
เซียนหวู่เซียนทำสีหน้าเคร่งขรึมและกล่าวอย่างไม่แยแส “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เจ้าต้องเอ่ยถามข้า?”
จ้าวขู่รีบทิ้งอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดทันที แต่เกราะรบสีเงินนั้นเขาปฏิเสธที่จะถอดมันออก นี่คือสมบัติชิ้นสุดท้ายที่จะช่วยรับรองความปลอดภัยของเขา
หลิงฮันครุ่นคริดก่อนจะตัดสินใจไม่ฝืนบังคับจ้าวขู่จนเกินไป ไม่เช่นนั้นหากอีกฝ่ายจนตรอกจนเลือกที่จะสู้เป็นตาย… เซียนหวู่เซียงคงทำได้เพียงยืนดูเฉยๆ!
“เจ้าไปได้แล้ว” เซียนหวู่เซียงสะบัดมือ
ตอนที่ 1351
จ้าวขู่ไม่กล้าลีลา เขารีบพาสนมทั้งสิบสองและกองทหารปฐพีหลบหนี ส่วนเรื่องจะกลับมาแก้แค้นรึไม่นั้นค่อยว่ากัน
ผู้คนของนิกายมังกรปฐพีที่หลืออยู่ตกอยู่ในความสิ้นหวัง แม้แต่จ้าวขู่ก็ยังเผ่นหนี!
“เดรัจฉานเช่นพวกเจ้าไม่อาจปล่อยให้มีชีวิตรอด!” หลิงฮันลงมือสังหารอย่างไรความปรานี
เฟิงโปหยุน ติงผิงและคนอื่นๆก็ลงมือบดขยี้นิกายมังกรปฐพีเช่นกัน
หลังจากการล่าสังหารเสร็จสิ้น ทุกคนก็รู้ว่าความแค้นอันหนักอึ้งในจิตใจถูกยกออกไป
ในที่สุดห้านิกายโบราณก็ถูกลบออกไปจากประวัติศาสตร์อย่างสมบูรณ์ พวกเขาไม่ต้องกังวลว่าจะมีเหตุการณ์แบบทวีปฮงเทียนเกิดขึ้นอีก
หลิงฮันเก็บรวบรวมทรัพย์สินที่ได้จากสงคราม
เรือเหาะมีขนาดใหญ่เกินไป แม้แต่สัมผัสสวรรค์ของเขาก็ไม่สามารถครอบคลุมได้ทั่ว แถมการจะทำให้มันล่องลอยบนฟ้า เขาจำเป็นต้องใช้ผลึกก่อเกิดมหาศาล
หลิงฮันไม่ได้มั่งคั่งขนาดนั้น
เขาลงมือรื้อถอดเรือเหาะและขนของมีค่าออกจากเรือเหาะ หากพบแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ก็จะนำไปให้ดาบอสูรนิรันดร์ดูดกลืน วัสดุอื่นๆจากเรือก็จะนำไปขายเป็นผลึกก่อเกิด
เมื่อหลิงฮันถอดรูปแบบอาคมรูปแบบสุดท้ายของเรือออก เรือเหาะก็สูญเสียความสามารถในการลอยกลางอากาศและตกลงสู่พื้นทันที แต่เนื่องจากด้านลงเป็นแอ่งน้ำความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงไม่หนักหนามากนัก
แต่คลื่นกระแทกของเรือเหาะขนาดใหญ่ก็ส่งผลให้พื้นที่รอบข้างสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว
โชคดีที่ที่นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ โครงสร้างของพื้นดินจึงเสถียรอย่างมาก หากเป็นโลกใบเล็ก คลื่นกระแทกจากเรือคงหนีไม่พ้นส่งผลให้ดวงดาวระเบิด ความเสียหายจะรุนแรงกว่านี้อย่างน้อยหมื่นเท่า
สมกับที่จ้าวขู่เป็นทายาทของตัวตนระดับวารีนิรันดร์ หลิงฮันได้รับแร่โลหะศักดิ์มามากมาย ดาบอสูรนิรันดร์ได้กลืนกินพวกมันอย่างบ้าครั้งจนค่อยๆยกระดับเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้า ขนาดของมันที่หดลงก่อนหน้านี้ก็ฟื้นสภาพกลับมา แม้จะยังไม่เท่าเดิมแต่ตอนนี้ตัวดาบก็มีขนาดราวๆสองฟุตแล้ว
หลิงฮันรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก พวกเขาเดินจากออกจากนิกายมังกรปฐพีและมุ่งหน้าไปยังเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อขายวัสดุต่างที่ได้จากการรื้อถอนเรือเหาะ
ผลจากการเก็บเกี่ยวนั้นมหาศาลอย่างมาก บางทีเขาอาจจะมีเงินมากพอที่จะซื้อแร่โลหะระดับเก้าจำนวนมากและยกระดับดาบอสูรนิรันดร์ให้เป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบได้เลย หากเป็นเช่นนั้นอำนาจของดาบอสูรนิรันดร์จะเหนือกว่าระดับพลังของหลิงฮัน
พวกเขาเดินทางมาถึงเมืองเมืองวายุผสาน ที่นี่เป็นเมืองขนาดมหึมาที่มีตัวตนระดับดาราคอยคุ้มกันอยู่ ทั้งวรยุทธต่างๆและธุรกิจการค้าของเมืองนี้รุ่งเรืองอย่างมาก
หากพูดถึงการค้าขายก็ต้องเป็นโรงประมูลจินหยวน หลิงฮันส่งลูกศิษย์ไปจัดการเรื่องต่างๆโดยที่เขาไม่จำเป็นต้องทำอะไรเอง
หลังจากผ่านไปครึ่งวันเศษๆ ศิษย์ทั้งห้าก็กลับมาเพื่อแจ้งว่านำของไปส่งให้โรงประมูลเรียบร้อย ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังนำข่าวใหญ่กลับมาด้วย อีกไม่นานนี้ การประมูลครั้งใหญ่จะถูกจัดขึ้น หนึ่งในสินค้าที่จะถูกประมูลคือ… แก่นไขกระดูกหยก!
แก่นไขกระดูกหยก… มันคือสิ่งที่เฒ่าสวีขอให้หลิงฮันตามหา ชายชราไม่ได้บอกเอาไว้ว่าสิ่งนี้ใช้ทำอะไรได้ เขากล่าวเพียงแค่หากหลิงฮันพบเห็นสิ่งนี้จะต้องนำมันกลับไปให้เขาให้ได้
*เฒ่าสวี คนที่สอนทักษะจิตเจ็ดสังหารให้หลิงฮัน *
**เฒ่าสวีกับแก่นไขกระดูกหยก ผมไม่ได้บันทึกชื่อไว้เลยขอแปลใหม่เลย
หลิงฮันไม่เคยลืมเรื่องนี้แถมยังบอกให้พี่น้องทั้งสามกับเหล่าศิษย์คอยตามหาสิ่งนี้ด้วย ไม่คาดคิดว่าจู่ๆมันจะปรากฏขึ้นเช่นนี้
“อาจารย์ สิ่งนั้นสามารถใช้ทำอะไรได้?” ติงผิงเอ่ยถาม
“ข้าก็ไม่รู้” หลิงฮันยักไหล่
ศิษย์ทั้งห้ามีสีหน้างงงวย ไม่รู้วิธีใช้แต่กลับตามหา?
หลิงฮันหัวเราะ “คงต้องลองไปสอบถามเสียหน่อย” ในเมื่อรู้แล้วว่าแก่นไขกระดูกหยกจะถูกนำมาประมูล ทำไมไม่ไปสอบถามเสียหน่อยล่ะ?
หลิงฮันมุ่งหน้าไปสอบถามรายละเอียดของแก่นไขกระดูกหยก
การข้อมูลที่ได้มา สิ่งนี้มีคุณสมบัติสองอย่าง หนึ่งคือมันสามารถช่วยระงับและรักษาพิษที่มีคุณสมบัติเผาผลาญได้ สองคือมันมีคุณสมบัติในการฟื้นฟูพลังชีวิต กล่าวได้ว่ามันคือสมบัติที่ถูกสร้างขึ้นจากปาฏิหาริย์ของสวรรค์และปฐพี ความสามารถในการฟื้นฟูของมันยอดเยี่ยมกว่าเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่หลายขุม
ดังนั้นราคาของแก่นไขกระดูกหยกจึงสูงเป็นอย่างยิ่งและดึงดูผู้คนจำนวนมากให้มาประมูล ไม่ว่าอย่างไรสมบัติที่สามารถรักษาพลังชีวิตได้ก็ถือว่าเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุด
หลิงฮันถอนหายใจ ตอนนี้เขากลับมาพบเจอปัญหาเดิมๆอีกแล้ว
ไม่มีเงิน!
ถึงแม้วัสดุที่เขาส่งไปประมูลจะสามารถขายได้เป็นเงินจำนวนมาก แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเพียงพอกับแก่นไขกระดูกหยกรึเปล่า ยิ่งกว่านั้นเขาก็ยังต้องการซื้อแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์อีกเป็นจำนวนมาก
จะหาเงินอย่างไรดี?
“อาจารย์ ที่เมืองนี้มีลานประลองอยู่ ทุกๆครั้งที่ชนะเงินพนันจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว แต่หากชนะสิบครั้งติดต่อกันเงินพนันจะเพิ่มขึ้นถึงพันเท่า! แต่หากพ่ายแพ้จะไม่ได้อะไรเลย” เจียนเยว่ซวนกล่าว
“โอ้?” หลิงฮันตาโตทันที “แล้วการประลองยุติธรรมรึไม่?”
ถ้าชนะเก้าครั้งรวดแล้วครั้งที่สิบทางนั้นส่งจอมยุทธที่ระดับสูงกว่าหนึ่งระดับเต็มลงมาประลอง ใครจะเอาชนะการประลองสิบครั้งติดต่อกันได้?
“ผู้ประลองจะพบกับคู่ต่อสู้ที่ระดับพลังเท่ากันเท่านั้น” เจียนเยว่ซวนกล่าว “เพียงแต่ว่าตัวอาจารย์นั้นไม่สามารถเข้าร่วมได้”
“ทำไมกัน?”
“มีกฎว่าผู้ลงประลองต้องเป็นจอมยุทธที่ระดับพลังต่ำกว่าดาราเท่านั้น” เจียนเยว่ซวนหัวเราะ
หลิงฮันกลายเป็นไร้คำพูด แต่พอคิดดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
เมืองนี้มีตัวตนระดับดาราคอยคุ้มครอง นั่นหมายถึงจอมยุทธระดับดาราเป็นตัวตนสูงสุดของเมืองนี้ แล้วพวกเขาจะยอมลดสถานะของตัวเองลงมาประลองเพื่ออะไร?
“ไปกันเถอะ พวกเจ้าจะต้องชนะเพื่อข้า!” หลิงฮันทำได้เพียงพึ่งพาคนอื่น
“ข้าจัดการเอง!” ติงผิงตบหน้าอก “ศิษย์จะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง”
“ไม่ ให้ข้าเอง!” เฉินหลุยเจียงรีบกล่าวแทรก
เหล่าศิษย์แย่งกันเป็นคนแก้ไขปัญหาให้กับหลิงฮัน
“ฮ่าๆ น้องสี่ พวกเราก็อยากจะลองเหมือนกัน” เฟิงโปหยุนกับมู่หลงชิงเสนอตัว
หลิงฮันครุ่นคิดและกล่าว “ในกลุ่มพวกเรา ติงผิงคือคนที่ได้เปรียบที่สุดคือติงผิงที่ขัดเกลาพลังบ่มเพาะบรรลุระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์ชั้นกลาง ในหมู่จอมยุทธระดับเดียวกันเขากล่าวได้ว่าเป็นตัวตนไร้พ่าย”
ทุกคนพยักหน้า ในการประลองคู่ต่อสู้จะเป็นจอมยุทธระดับเดียวกันเท่านั้น แต่ชั้นพลังต่ำ กลาง สูง ปลายหรือสูงสุดนั้นไม่จำเป็นต้องเท่ากัน
ดังนั้นยิ่งขั้นพลังสูงก็ช่วยรับประกันว่าจะไม่เสียเปรียบให้กับคู่ค่อสู้ระดับเดียวกัน
ยิ่งกว่านั้นจะมีสักกี่คนเชียวที่ขัดเกลาพลังบ่มเพาะจนบรรลุขั้นสมบูรณ์?
น้อยมาก! เพราะงั้นคนเหล่านี้จึงเป็นราชาในหมู่ราชา!
“เช่นนั้นคนลงประลองคนแรกให้เป็นหน้าที่ของติงผิง เจ้าต้องเอาชนะสิบครั้งติดต่อกันเพื่อให้เงินเดิมพันเพิ่มขึ้นเป็นพันเท่าให้ได้” หลิงฮันตัดสินใจเดิมพันผลึกก่อเกิดทั้งหมดไปกับติงผิง
“อาจารย์โปรดไว้ใจศิษย์!” ติงผิงตบหน้าอกอย่างมั่นใจ
ตอนที่ 1352
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าติงผิงจะรับหน้าที่เป็นผู้ประลอง ทุกคนจึงมายังลานผู้ชมเพื่อดูการประลองเสียก่อน
ภาพที่พวกเขาเห็นนั้นบ้าคลั่งเป็นอย่างมาก ผู้ชมที่นั่งดูการประลองอยู่ต่างตะโกนเสียงดังลั่น ตรงกลางลานประลองมีชายคนหนึ่งกำลังสู้กับหมียักษ์ที่บ้าคลั่งอยู่ ระดับพลังของทั้งสองฝ่ายนั้นไม่สูงมาก พลังของทั้งสองคือระดับห้วงจิตวิญญาณเท่านั้น แต่การต่อสู้กลับโหดเหี้ยมอย่างมาก
ท้องของหมียักษ์เปิดออก โลหิตและอวัยวะภายในของมันไหลทะลักออกมา ชายที่ต่อสู้กับมันเองก็เหลือแขนซ้ายอยู่เพียงข้างเดียวโดยโลหิตไหลโอบไปทั่วร่าง
หนึ่งคนหนึ่งหมีปะทะอย่างเอาเป็นเอาตาย หากไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร่วงหล่นการประลองก็จะดำเนินต่อไป
“ไม่ใช่ว่าที่ดาวดวงนี้สัตว์อสูรกับเผ่ามนุษย์มีสิทธิ์เท่าเทียมกันรึ?” ติงผิงสงสัย
“ความเท่าเทียมมีผลต่อสัตว์อสูรที่มีรูปร่างคล้ายคลึงมนุษย์เท่านั้น” เจียนเยว่ซวนคลายข้อสงสัยให้กับศิษย์น้อง “ไม่ว่าจะสัตว์อสูรหรือมนุษย์ หากมีพลังบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตของมนุษย์ ในสายตาของเหล่าจอมยุทธระดับพระเจ้าพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับมดปลวก”
กลุ่มของหลิงฮันล้วนแต่มาจากโลกใบเล็กกันทั้งนั้น พวกเขาไม่สามารถมองคนที่มีพลังบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตของมนุษย์เป็นเหมือนมดปลวกได้
ในที่สุดการประลองก็สิ้นสุด สุดท้ายเผ่ามนุษย์ก็เป็นฝ่ายเอาชนะได้โดยการสังหารหมียักษ์ แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ท้องของเขาแหวกออกเนื่องจากถูกกรงเล็บหมียักษ์ฉีกกระชาก อวัยวะภายในของเขาไหลทะลักออกมา
แต่พลังชีวิตของจอมยุทธนั้นไม่หมดลงง่ายๆ ตราบใดที่เขารักษาบาดแผลได้ทันก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ แต่แขนที่ขาดนั้นไม่สามารถฟื้นฟูได้นอกเสียจากจะได้รับการรักษาจากสมบัติที่ฝืนสวรรค์สวรรค์หรือทะลวงผ่านระดับพระเจ้า
ติงผิงมุ่งหน้าไปลงทะเบียนร่วมประลอง เนื่องจากผลึกก่อเกิดที่ใช้เดิมพันกับเขานั้นมีจำนวนมหาศาล ทางเจ้าหน้าที่จึงยังไม่ตกลงทันทีและขอตรวจสอบพลังบ่มเพาะของเขาก่อน
แต่จากการตรวจสอบพวกเขารู้เพียงแค่ว่าติงผิงมีพลังบ่มเพาะระดับภูผาวารีขั้นสูงสุด หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยทางลานประลองก็ยอมให้ติงผิงต่อสู้
แต่กว่าติงผิงจะลงประลองได้ต้องรอไปอีกสักพักเนื่องจากที่นี่มีผู้คนรอลงประลองอยู่มากมาย
เหตุผลที่คนมาประลองที่นี่หนึ่งคือเพื่อเงินเดิมพัน สองคือเพื่อชื่อเสียง
หากชนะการประลองสิบครั้งติดกัน ไม่เพียงแต่จะได้เงินเดิมพันจำนวนมากแต่พวกเขายังจะได้เป็นที่รู้จักอีกด้วย การประลองนั้นมักจะมีทายาทของตระกูลใหญ่มาดูอยู่ตลอด ถ้าพวกเขาทำให้ทายาทตระกูลใหญ่เหล่านั้นสนใจและรับเข้าตระกูลได้ อนาคตของพวกเขาก็จะรุ่งโรจน์ไร้ขีดจำกัด
ในเมืองเมืองวายุผสานมีตระกูลใหญ่อยู่สามตระกูลคือตระกูลหลิน ตระกูลหลี่และตระกูลซือหม่า ทั้งสามตระกูลมีต้นตระกูลเป็นปรมาจารย์ระดับดาราขั้นสูงสุด
ลานประลองแห่งนี้เองก็ถูกก่อตั้งโดยสามตระกูลใหญ่ที่ว่า ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าก่อความวุ่นวายขึ้นที่นี่และเชื่อฟังกฎที่ทั้งสามตระกูลตั้งเอาไว้
ในเมืองวายุผสาน สามตระกูลใหญ่เปรียบเสมือนพระเจ้าที่ไม่อาจล่วงเกินหรือขัดคำสั่ง
การประลองนองเลือดดำเนินต่อไป แทบจะทุกการต่อสู้จะต้องมีคนเสียชีวิตหรือไม่ก็สาหัสปางตาย
หลังจากผ่านไปครึ่งวันเศษๆ ก็ถึงตาติงผิงลงประลอง
คู่ต่อสู้คนแรกของเขาคือชายวัยกลางคนที่มีพลังบ่มเพาะระดับภูผาวารีขั้นสูงสุด ชั้นย่อยอาจจะอยู่ที่ราวๆชั้นกลางหรือสูงกว่านั้น แววตาของเขาแสดงออกถึงความเบื่อหน่าย ร่างครึ่งบนของเขาเปลือยเปล่าและมีรอยแผลเป็นมากมาย
นี่หมายความว่าเขาลงประลองมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว การที่เขาสามารถเอาชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ แสดงให้เห็นว่าพลังต่อของเขาไม่อาจประมาทได้
“โปรดชี้แนะ!” ติงผิงยกมือผสานกัน
‘พรึบ’ ทันทีที่ติงผิงยกมือขึ้น ชายวัยกลางคนเตรียมตัวจู่โจมเอาไว้แล้ว เท้าทั้งสองข้างของเขาย่ำเข้าที่พื้นพร้อมกับกระโดดสูงขึ้นฟ้า ชายวัยกลางคนยกกระบี่ยาวขึ้น แสงประกายวิบวับจากกระบี่ส่งผลให้คนที่มองไปยังเขาต้องปิดตา
พริบตาหลังจากนั้นกระบี่ก็ถูกฟาดฟันลงมาเข้ามาคู่ต่อสู้
‘ครืนนน’ กระบี่ยาวสั่นสะเทือนพร้อมกับปล่อยพลังทำลายของระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดชั้นปลายออกมา
เมื่อเห็นว่ากระบี่ของตนกำลังจะเข้าปะทะกับคอของติงผิง ชายวัยกลางคนก็แสยะยิ้ม ระยะใกล้ขนาดนี้อีกฝ่ายไม่มีทางหลบกระบี่ของเขาได้ทันแน่นอน โชคดีจริงๆ คู่ต่อสู้ของเขาในวันนี้ช่างอ่อนหัดยิ่งนัก!
เขาเป็นลูกจ้างของลานประลองแห่งนี้ที่ต้องลงต่อสู้ทุกๆสิบวัน ไม่ว่าแพ้หรือชนะเขาก็ได้รับเงินตอบแทน แต่แน่นอนว่าหากชนะเงินตอบแทนก็ย่อมสูงกว่า
‘ฉึบ!’
พริบตานั้นเอง ติงผิงได้ยื่นมือออกมาคว้าหยุดกระบี่ยาวเอาไว้
อะไรกัน!
ชายวัยกลางคนตกตะลึงจนตาแทบถลนออกจากเบ้า กระบี่นี้ถูกฟาดฟันออกไปด้วยพลังทั้งหมดของเขา เป็นไปได้อย่างไรที่จะถูกหยุดเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว? ต่อให้ใช้ปราณก่อเกิดปกคลุมมือเอาไว้นิ้วของอีกฝ่ายก็สมควรถูกหั่นขาดและกระบี่ก็จะสะบั้นเข้าที่คอเป้าหมาย
ติงผิงยิ้มและออกแรงเหวี่ยงร่างชายวัยกลางคนลอยกระเด็นเข้าใส่กำแพงลานประลอง
กำแพงลานประลองถูกสร้างจากหินพิเศษของดินแดนศักดิ์สิทธิ์และถูกเสริมรูปแบบอาคมลงไป พลังทำลายที่ต่ำกว่าระดับดาราไม่สามารถทำลายกำแพงนี้ได้ ดังนั้นเมื่อชายวัยกลางคนถูกกระแทกเข้ากับกำแพง ร่างของเขาก็ปกคลุมไปด้วยโลหิตและหมดสติทันที
เหล่าผู้ชมแน่นิ่งไร้คำพูด แต่ผ่านไปชั่วครู่ผู้ชมทั้งหมดก็โห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น สตรีบางคนถึงขนาดถอดชุดชั้นในโยนลงไปยังติงผิงที่อยู่ในลานประลอง
โสมเฒ่าเมื่อเห็นชุดชั้นในมากมายก็รู้สึกคันไม้คันมือทันที พลังตัณหาแผ่ซ่านสูบฉีดเข้าสู่ร่างของมันราวกับจะกลายเป็นหมาป่าหื่นกระหาย
“หืม เจ้าหนูนั่นแข็งแกร่งไม่เบา!” บนที่นั่งของสามตระกูลใหญ่ รุ่นเยาว์ผิวฟ้าเผยสีหน้าประหลาดใจ
เขาคือซือหม่าหลิงแห่งตระกูลซือหม่า ตระกูลของเขาไม่ใช้เผ่ามนุษย์บริสุทธิ์ผิวจึงเป็นสีฟ้า ในตระกูลซือหม่า ยิ่งผิวมีสีฟ้าเข้มก็หมายถึงความเข้มข้นของสายเลือดนั้นเข้มข้น ซือหม่าหลิงผู้นี้คือผู้นำรุ่นเยาว์แห่งตระกูลซือหม่า
“เห็นด้วย” ด้านข้างเขามีรุ่นเยาว์อีกคนนั่งอยู่ เขาเป็นชายที่หน้าตางดงามมาก หากให้เขาสวมชุดสตรีคงมีคนรู้สึกสงสัยขึ้นมาบ้างว่าเขาเป็นบุรุษรึเปล่า
ท่าทางของเขาเองก็ละเมียดละไมราวกับสตรี เขาถือแก้วด้วยสองนิ้ว คิ้วและปากบางอย่างมีเสน่ห์
“แม้ฮวาหลันถัวจะไม่ใช่จอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดแต่ก็ลงประลองมาแล้วกว่าสามสิบเก้าปี เขามีประสบการณ์การต่อสู้ในสนามประลองไม่น้อยกว่าหนึ่งพันครั้ง หากเขาจะแพ้ก็ไม่ควรจะแพ้อย่างราบคาบเช่นนั้น”
“เด็กหนุ่มคนนั้นมีค่าแก่การรับมาฟูมฟัก”
ชายคนนี้เป็นผู้นำรุ่นเยาว์แห่งตระกูลหลิน หลินเซี่ยน ด้วยท่าทีที่อ่อนน้อมราวสตรีทำให้เขาถูกเรียกว่าอสรพิษ
ด้านข้างของทั้งสองมีสตรีที่งดงามอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ นางเป็นคุณหนูแห่งตระกูลหลี่ หลี่ลั่วถง
“ชายหนุ่มคนนั้น ตระกูลหลี่ของข้าต้องการ!” นางกล่าวเบาๆด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น