Alchemy Emperor of the Divine Dao 1318-1324

ตอนที่ 1318

 

ถ้าไปยังดินแดนใต้พิภพแน่นอนว่าจะสามารถทำให้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์สมบูรณ์ได้ แต่ปราณแห่งเซียนนั้นไม่เหมือนกัน มันช่วยให้ทั้งอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนสมบูรณ์ไปพร้อมกัน


กล่าวได้ว่าการบุกไปทำความเข้าใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ในดินแดนใต้พิภพหมื่นปีเทียบเท่าการดูดซับปราณแห่งเซียนที่นี่เพียงครึ่งชั่วยาม


ในดินแดนใต้พิภพ สิ่งมีชีวิตของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะไม่สามารถใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ ตัวตนทไร้เทียมทานของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เมื่อไปยังดินแดนใต้พิภพจะกลายเป็นเพียงตัวตนสามัญที่ตกตายได้ง่ายดาย


ยิ่งกว่านั้นหากปรับตัวให้เข้ากับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพเป็นเวลานานจะช่วยให้เข้าใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ขิงดินแดนใต้พิภพได้ก็จริง แต่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ในร่างก็จะหายไปราวกับว่าต้องเลือกอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เพียงหนึ่ง


ดังนั้นปราณแห่งเซียนที่ได้รับจากที่นี่จึงล้ำค่ามาก ไม่เช่นนั้นแม้กระทั่งทายาทของเซียนถึงสองคนจะมาที่นี่ทำไม?


ระยะเวลาดูดซับปราณแห่งเซียนคือสามวัน ราชาทั้งหกดูดซับปราณแห่งเซียนอย่างบ้าคลั่งราวกับไม่ต้องการเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว ฉื้อหวงจี่่เองก็ต้องฝืนระงับความโกรธเอาไว้และลงมือดูดซับปราณแห่งเซียนเพื่อทำให้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของตนเองสมบูรณ์


หลิงฮันบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดชั้นสูงสุดแล้ว เขาที่ยังไม่ทะลวงผ่านขั้นสมบูรณ์ ปราณแห่งเซียนทั้งหมดจึงถูกดูดซับไปใช้เพื่อขัดเกลาอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ยังไม่สมบูรณ์ในระดับพลังผ่านๆมา


ปราณแห่งเซียนที่ดูดซับไปก่อนหน้านี้ช่วยให้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเขาสมบูรณ์ถึงระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดเท่านั้น


หนึ่งวันต่อมาในที่สุดอำนาจกฎเกณฑ์ในระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์ของเขาก็สมบูรณ์ ตอนนี้ถ้าเขาสู้กับฉื้อหวงจี่่อีกครั้ง หลิงฮันมั่นใจว่าเขาจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ในหนึ่งร้อยกระบวนท่า แน่นอนว่าฉื้อหวงจี่่ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน


ผ่านไปอีกวัน อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ในระดับสุริยันจันทราขั้นต้นของหลิงฮันก็สมบูรณ์ แต่ความเร็วก็ค่อยๆช้าลง


วันที่สามผ่านไปและคลื่นแสงก็หายไปในที่สุด


หลิงฮันลุกขึ้นยืนและลืมตา ฉื้อหวงจี่่และคนอื่นๆก็ลุกขึ้นยืนพร้อมๆกัน ใบหน้าของพวกเขาประดับไว้ด้วยความพึงพอใจ ในสามวันที่ผ่านมานี้พวกเขาได้รับผลประโยชน์มากมาย


“ในเมื่อพรแห่งสวรรค์สิ้นสุดแล้ว คงถึงเวลาที่พวกเราจะได้ออกไปเสียที!”


‘คลืนน’ ทันใดนั้นเอง ร่างของราชาทั้งเก้าก็รู้สึกหนักหน่วงราวกับว่ามีอำนาจที่ทรงพลังโอบล้อมพวกเขาเอาไว้ พริบตาต่อมาพวกเขาทุกคนก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านนอกป่าภูผาวารี


ไม่ใช่แค่พวกเขา แต่อัจฉริยะอีกร้อยกว่าคนที่เข้าร่วมแย่งชิงตำแหน่งเก้าราชาก็ถูกส่งออกมาทั้งหมด


นั่นหมายความว่าการคัดเลือกได้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว


“เผ่ามนุษย์!” เสียงคำรามอันโหดเหี้ยมดังก้อง ฉื้อหวงจี่่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับผมสีดำปนขาวที่สยายออกอย่างสะดุดตา กลิ่นอายของระดับดาราถูกปลดปล่อยออกมา ด้านหลังของเขามีดวงดาราขนาดเท่าฝ่ามือลอยอยู่


ระดับดาราขั้นต้น!


ที่ดาวเหอหนิงแห่งนี้ พลังบ่มเพาะระดับนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นตัวตนระดับสูง แม้ระดับดาราจะไม่ใช่ระดับพลังสูงสุดของดาวดวงนี้ แต่ก็มีคุณสมบัติถูกเรียกว่าปรมาจารย์


ราชาเช่นฉื้อหวงจี่่ย่อมมีพลังต่อสู้ที่หกดาวเมื่อทะลวงผ่านระดับดารา พลังต่อสู้ของเขาทัดเทียมได้กับจอมยุทธระดับดาราขั้นกลางชั้นปลายหรือแม้กระทั่งชั้นสูงสุด


ยิ่งว่านั้นเขายังครอบครองอาวุธเซียนอีก ไม่มีจอมยุทธคนใดในระดับดาราที่เขาไม่สามารถจัดการได้ บางทีฉื้อหวงจี่่อาจจะสามารถต่อกรกับตัวตนระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นเลยด้วยซ้ำ


หลิงฮันขมวดคิ้ว หรือเขาต้องเข้าไปหลบซ่อนในหอคอยทมิฬจริงๆ?


“ฮ่าๆ ฉื้อหวงจี่่ การชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดนจบลงไปแล้ว เจ้าคิดจะรังแกคนที่ระดับพลังต่ำกว่างั้นรึ?” ฉือหวงกระโดดมาบังด้านหน้าหลิงฮัน


“รังแกงั้นรึ?” ฉื้อหวงจี่่หัวเราะและกล่าว “ข้าบ่มเพาะพลังมาเพียงสองร้อยปี หมอนั่นที่มีอายุมากกว่าข้า หากสู้กันจะเรียกว่าข้ารังแกมันรึ?”


ในโลกแห่งวรยุทธ การต่อสู้ด้วยระดับพลังเดียวกันเรียกว่าการต่อสู้ที่ยุติธรรม แต่การต่อสู้กับจอมยุทธที่มีอายุขัยเท่ากันก็เรียกว่ายุติธรรมเช่นกัน


ฉือหวงพูดเถียงไม่ออก เขาหันไปมองหลิงฮันก่อนจะชะงักและหัวเราะ “ลองมองอีกครั้งว่าเขาอาวุโสกว่าเจ้ารึไม่?”


ฉื้อหวงจี่่แสดงท่าทีเหยียดหยาม แต่หลังจากกวาดสายตามองหลิงฮันใบหน้าก็กลายเป็นมืดมนทันที


ก่อนหน้านี้ที่ป่าภูผาวารีได้มีอำนาจลึกลับของสวรรค์และปฐพีปกคลุมเอาไว้ทำให้เขาไม่สามารถระบุอายุของหลิงฮันได้ แต่ตอนนี้เมื่อออกมายังโลกภายนอกและได้รับพลังระดับดารากลับคืนมา เขาจึงสามารถบอกได้เพียงแค่ชำเลืองมองว่าอายุของหลิงฮันนั้นต่ำกว่าร้อยปีแน่นอน


ถ้าพลังบ่มเพาะของเขาสูงกว่านี้คงสามารถระบุได้ชัดเจนขึ้นไปอีกว่าอายุของหลิงฮันนั้นต่ำกว่าห้าสิบปี ซึ่งเขาคงจะตะลึงยิ่งกว่านี้


ที่จริงในช่วงอายุที่ห่างกันไม่เกินหนึ่งปีนั้นไม่เรียกว่าห่างกันเกินไป แต่ปัญหาก็คืออายุร้อยปีกับสองร้อยปีนั้นห่างกันถึงเท่าตัว


ระยะเวลาบ่มเพาะที่ต่างกันเท่าตัวจะเรียกว่าการต่อสู้ที่ยุติธรรมได้อย่างไร?


ใบหน้าของฉื้อหวงจี่่เปลี่ยนเป็นเย็นชาและกล่าว “ก็ได้ ข้าจะไม่รังแกเจ้า คืนเพลิงของข้ามาแล้วครั้งนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า แต่ครั้งหน้าที่เจอกัน… ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”


ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางยอมละทิ้งเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดเด็ดขาด


“น่าขัน เพลิงนั่นคือสินสงครามของข้า” หลิงฮันกล่าว “ฉื้อหวงจี่่ ถ้าเจ้าไม่พอใจก็ลดระดับให้เท่าข้า มาดูกันว่าในระดับพลังเดียวกันเจ้าจะพ่ายแพ้อีกครั้งรึไม่!”


“ฮึ่ม ในเมื่อพลังของข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้าหลายสิบล้านเท่า เหตุใดจะต้องลดพลังตัวเองลงไปด้วย?” ฉื้อหวงจี่่แสยะยิ้ม เขาไม่สนใจฉือหวงและโจมตีทีเผลอ


“อวดดีนัก!” ฉือหวงเค้นคำราม คลื่นเสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นหมัดขนาดมหึมาพุ่งเข้าใส่ฉื้อหวงจี่่


ตูม!


ฉื้อหวงจี่่พ่ายแพ้ย่อยยับทันที กล้ามเนื้อของเขาฉีกขาดและโลหิตทะลักออกมา เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉือหวงแม้แต่น้อย


‘พรึบ’ ด้านหลังของฉือหวงปรากฏดวงดาวสี่ดวง


ระดับดาราขั้นสูงสุด! ไม่สิ แม้จะยังไม่ก่อตัวขึ้นเป็นดวงดาวอย่างสมบูรณ์ แต่ดวงดาวดวงที่ห้าก็ปรากฏให้เห็นอย่างเรือนรางแล้ว


สมกับเป็นทายาทของเซียน!


ฉื้อหวงจี่่นั้นแม้จะเป็นอัจฉริยะท้าทายสวรรค์ขนาดไหนก็ยังมีพลังบ่มเพาะระดับดาราขั้นต้น พลังต่อสู้ของเขาจะทัดเทียมกับระดับดาราขั้นสูงสุดได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นคือฉือหวงเองก็เป็นราชาในหมู่ราชา ในระดับพลังเดียวกันเขาเองก็ไม่ด้อยกว่าใครๆ


“บัดซบ!” ร่างของฉื้อหวงจี่่ชุ่มไปด้วยโลหิตราวกับคนบ้า ‘พรึบ’ เขานำอาวุธเซียนออกมา กระจกโบราณสั่นไหวเล็ดน้อย ทันใดนั้นจุดแสงเล็กๆก็ถูกควบแน่นขึ้นที่บริเวณกึ่งกลางของกระจก

 

 

 


ตอนที่ 1319

 

‘ฉึบ’ จุดแสงแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าใสฉือหวง


“คิดว่ามีเพียงเจ้าที่ครอบครองอาวุธเซียน?” ฉือหวงแสดงท่าทีเหยียดหยาม ‘พรึบ’ ชุดคลุมของเขาส่องแสงสว่างเจิดจ้ากลายเป็นโล่คุ้มกันอันแข็งแกร่ง


‘ปัง’ ลำแสงเข้าปะทะกับโล่คุ้มกันของฉือหวงและสลายไป


อย่างที่รู้ว่าชุดคลุมนี้ถูกถอขึ้นจากเส้นใยที่ทำจากหยดโลหิตนกอมตะที่เป็นวัตถุดิบเซียน ดังนั้นชุดคลุมนี้ถึงแฝงเอาไว้ด้วยเจตจำนงแห่งเซียน หากถูกกระตุ้นใช้งานมันจะน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน?


เมื่อเป็นการปะทะกันของอาวุธเซียน ฉือหวงจึงไม่เสียเปรียบแม้แต่น้อย หรืออาจจะได้เปรียบด้วยซ้ำ


“ข้าคร้านจะรังแกเจ้าแล้ว ไสหัวไป!” ฉือหวงคำราม ด้วยพลังระดับดาราขั้นสูงสุดและอาวุธเซียน พลังต่อสู้ของเขาจึงเหนือกว่าอย่างไม่น่าแปลกใจ


แม้ว่าฉื้อหวงจี่่จะไร้เทียมทานในป่าภูผาวารี แต่เขาก็ไม่ใช่อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกภายนอก


อย่างเช่นหลิงฮันที่เป็นผู้ชนะอันดับหนึ่ง เมื่อเปลี่ยนเป็นที่โลกภายนอกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเป่ยหวง ฉือหวง อู่เมี่ยนหรือราชาคนอื่นๆก็แข็งแกร่งกว่าเขาทั้งนั้น เพราะอย่างไรเขาก็ยังขัดเกลาระดับสุริยันจันทราไม่บรรลุขั้นสมบูรณ์เลย


ฉื้อหวงจี่่กัดฟัน เขามีอาวุธแห่งเซียนที่ทำให้เขาสังหารจอมยุทธระดับดาราได้ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครแท้ๆ แต่เหตุใดเขาถึงไม่สามารถจอมยุทธระดับสุริยันจันทราตัวจ้อยได้?


‘ครืนนน’ ในทันใดนั้นเอง ใต้เท้าของทุกคนก็เกิดสั่นสะเทือนจนทรงตัวไม่อยู่


เกิดอะไรขึ้นกัน?


‘ครืน’ ยังไม่ทันที่ทุกคนจะตั้งตัวได้ พื้นดินใต้เท้าของพวกเขาก็ทรุดตัวพร้อมกับดึงร่างทุกคนลงไป


ใต้เท้าของพวกเขากลายเป็นนรกที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง!


สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนตื่นตระหนก เหล่าจอมยุทธระดับดาราพยายามลอยตัวแต่ก็พบว่าอำนาจกฎเกณฑ์ของสวรรค์และปฐพีกำลังปั่นป่วน ส่งผลให้พวกเขาร่วงสู่เหวนรกไม่ต่างกับเหล่าจอมยุทธระดับสุริยันจันทราหรือระดับดารา


มีเพียงระดับวารีนิรันดร์เท่านั้นที่พยุงร่างลอยตัวขึ้นมาได้ แต่ด้วยความตื่นตระหนกพวกเขาจึงไม่มีเวลาพอจะคว้าร่างช่วยเหลือใคร


จอมยุทธมากมายที่ร่วงลงไปราวกับเป็นลูกศรที่ดิ่งลงเหว ภายใต้แรงโม้มถ่วง ร่างของพวกเขาดิ่งแกนกลางโลกด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


เหวนี้ลึกเป็นอย่างมาก หัวใจของพวกเขาเต้นไปนับร้อยครั้งแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงก้นเหวเสียที ในทางกลับกัน เสียงล้มที่ย้อนขึ้นมาเริ่มดังขึ้น


ณ ตอนนี้คนที่มีสายเลือดสัตว์อสูรที่สามารถบินได้ต่างกางปีกออกเพื่อพยายามต่อต้านแรงโน้มถ่วงให้ร่วงช้าลง


Anchor


สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กางปีกนกอมตะออกมา แต่เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นบาดเจ็บ นางจึงกางปีกออกเพียงสามฟุตเท่านั้น นางกระพือปีกไปหาหลิงฮันและกอดเขาเอาไว้


“ข้าบินไม่ได้!” นางตกตะลึง


หลิงฮันพยักหน้า “ก่อนอื่นลงไปด้านล่างก่อน คาดว่าแรงที่ดึงพวกเราลงสู่ก้นเหวนี้คงไม่ได้มีอยู่ตลอดไป เมื่อใดที่แรงดูดอ่อนตัวลงพวกเขาค่อยลองบินกลับขึ้นไป”


“อืม!” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์พยักหน้า และเปลี่ยนทิศทางกระพือปีกบินลงไปสู่หุบเหวเพื่อดูว่านรกด้านล่างลึกขนาดไหน


หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม พื้นหุบเหวก็ปรากฏให้เห็น ที่ก้นเหวมีแท่งหินแหลมมากมายยื่นออกมา จอมยุทธหลายคนที่ร่วงลงมือถึงก่อนถูกแท่งหินเหล่านี้เสียทะลุท้องด้วยสภาพน่าอนาถ


โชคดีที่พวกเขาเป็นจอมยุทธระดับพระเจ้า บาดแผลแค่นี้ไม่ได้ทำให้พวกเขาถึงตายและพยายามดึงร่างของตัวเองออกจากแท่งหิน


ครืนน!


ลมได้ถูกดูดอย่างรุนแรงจากปากถ้ำที่ปรากฏอยู่ด้านหน้าพวกเขา ถ้ำด้านหน้านี้เป็นต้นเหตุให้เกิดแรงดูดที่รุนแรง


สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์หุบปีก นางกับหลิงฮันคว้าจับแท่งหินเอาไว้เพื่อต่อต้านแรงดูด


หลิงมองไปยังถ้ำและพบเพียงว่ามันคือถ้ำขนาดมหึมา แม้แต่ดวงตาของเขาก็ไม่อาจบอกได้ว่าถ้ำนี้ลึกขนาดไหน


‘ครืนนน’ ลมได้ถูกดูดอย่างรุนแรง


“อ้ากก” ใครบางคนร้องโอดครวญเนื่องจากไม่สามารถต่อต้านแรงลมได้และลอยตามแรงดูดหายเข้าไปในถ้ำอันมืดมิด


นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?


ตูม!


ตรงบริเวณที่ไม่ไกลจากที่หลิงฮันอยู่ มีบางสิ่งขนาดเท่าฝ่ามือตกลงมา แม้จะมีขนาดเล็กแต่น้ำหนักกลับหนักจนน่าตะลึง พื้นดินที่ถูกกระแทกก่อให้เกิดคลื่นสะท้อนจนแท่งหินรอบๆพังทลาย


“ให้ตายเถอะ ข้าเกือบตายแล้ว!” ใครบางคนคลานออกมา เขาเป็นคนที่มีขนาดตัวเพียงสามนิ้ว จะไปใครอื่นได้นอกจากฉือหวง?


เขาที่มีสายเลือดของจิตวิญญาณศิลานั้น แม้ร่างกายจะมีขนาดเล็กแต่น้ำหนักนั้นราวกับขุนเขา ดังนั้นต่อให้ไม่ต้องใช้พลังปราณต่อต้าน แรงดูดจากถ้ำก็ไม่สามารถดูดเขาเข้าไปได้


“ที่นี่แปลกมาก!” เป่ยหวงเดินเข้ามา เขากระตุ้นใช้งานกระบี่ในมือซึ่งเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบห้า อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับนี้คือระดับที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้อาวุธเซียน แต่ด้วยระดับพลังของเป่ยหวงทำให้ยังไม่สามารถแสดงอำนาจของกระบี่เล่มนี้ได้อย่างเต็มที่


Anchor


เย่วหยิง แม่นางหยุน หยางหลินและราชาคนอื่นๆก็เดินเข้ามา พวกเขาปลดปล่อยปราณก่อเกิดออกมาเต็มกำลังเพื่อที่จะได้ไม่ต้องคว้าจับแท่งหินเอาไว้โดยที่ไม่โดดลมประหลาดดูดเข้าไป ในขณะเดียวกัน เหล่าอัจฉริยะของดินแดนใต้พิภพก็รวมตัวกันอยู่อีกมุมหนึ่ง


เหล่าสิ่งมีชีวิตใต้พิภพคิดว่านี่คือกับดักของทางดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่คิดจะกำจัดพวกเขา


“อ้ากก” เสียงของใครบางคนที่โดนลมประหลาดดูดเข้าไปในถ้ำยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง


คนที่ถูกดูดเข้าไปคือเหล่าจอมยุทธระดับภูผาวารี พวกเขามีพลังไม่มากพอที่จะต่อต้านลมประหลาด


หลิงฮันสิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้หลิงฮันและคนอื่นๆตกตะลึงเช่นกัน แม้ระดับสุริยันจันทราจะไม่นับเป็นอันใดในสายตาพวกเขา แต่เพียงแค่สายลมยังน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ หรือว่าบางทีบางสิ่งบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวกำลังจะเกิดขึ้น?


“พรึบ!” ตัวตนระดับวารีนิรันดร์สี่คนปรากฏตัว สองคนเป็นฝ่ายดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งก็คือนักพรตกว่างฉิงและราชันสวรรค์เฉินเฟิง ส่วนทางด้านของดินแดนใต้พิภพนั้นไม่อาจรู้ว่าทั้งสองเป็นใคร หนึ่งคือคนที่ดูเหมือนนักปราชชุดขาวในขณะที่อีกคนคือชายร่างใหญ่ที่มีหัวเป็นหมาป่า


“เลิกทำเป็นลึกลับแล้วเผยตัวออกมา!” ราชันสวรรค์เฉินเฟิงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดและปล่อยฝ่ามือ วิถีดาราจักรลอยพุ่งเข้าไปยังทางเข้าถ้ำอันมืดมิด


ในวิถีดาราจักรมีดวงดาวระยิบระยับอย่างน้อยหนึ่งร้อยดวง วิถีดาราจักรลอยเข้าไปในถ้ำพร้อมกับส่องสว่างเจิดจ้า


พรึบ!


ไม่รู้ว่าในถ้ำลึกเกิดอะไรขึ้น แต่วิถีดาราจักรที่ลอยเข้าไปได้ถูกทำให้สลายในพริบตาจนถ้ำกลับมามืดอีกครั้ง


สีหน้าของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นตกตะลึง เขาโคจรเนตรแห่งสัจธรรมทำให้มองเห็นได้ชัดเจน ฉือหวงและราชาคนอื่นๆที่มีพลังบ่มเพาะสูงกว่าเขาและมีทักษะตรวจสอบที่คล้ายๆกันก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงพริบตาในถ้ำลึกเมื่อครู่เช่นกัน

 

 

 


ตอนที่ 1320

 

สัตว์อสูร!


หลิงฮันไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง แต่สัตว์อสูรตัวนั้นสูงมากหลายร้อยฟุตและมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ หากรูปร่างของมันเป็นเช่นนั้น ก็คงไม่อาจเรียกว่าสัตว์อสูรได้ แต่ประเด็นสำคัญคือกล้ามเนื้อทั้งตัวของมันประกอบด้วยศพ


อย่างไรก็ตามมันก็ยังมีจมูก ดวงตา และปากขนาดใหญ่ที่สามารถสร้างสายลมที่รุนแรงดูดผู้คนเข้ามาเข้าไปในปากของมันได้


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพราะมัน!


หลิงฮันและคนอื่นๆต่างตกตะลึง สัตว์อสูรตัวนี้ใช้พลังปราณเพื่อสร้างแรงดูดที่น่าทึ่ง อย่างไรก็ตามการโจมตีของราชันสวรรค์เฉินเฟิงก็ถูกมันทำลายได้อย่างง่ายดาย นี่แสดงให้เห็นว่ามันแข็งแกร่งแค่ไหน


– แต่สัตว์อสูรตัวนี้ก็ไม่มีทางที่จะเป็นระดับสร้างสรรพสิ่งได้ มิฉะนั้นมันไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวอะไรก็สามารถสยบจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ได้แล้ว


ใต้สนามรบสองดินแดนมีสิ่งมีชีวิตแบบนี้อยู่ด้วย?


“เจ้าสิ่งชั่วร้ายนี้คืออะไร?” นักพรตกว่างฉิงกล่าว หัวที่โล้นเกรียนของเขาส่องแสงเป็นประกาย


“หรือว่าศพและโลหิตนับไม่ถ้วนที่แทรกซึมอยู่ใต้พื้นดินก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายนี้ขึ้นมา?” นักปราชญ์ชุดขาวกล่าว ดวงตาของเขาเป็นเหมือนหยินและหยางที่ข้างหนึ่งเหมือนดวงอาทิตย์ ข้างหนึ่งเหมือนดวงจันทร์และเปล่งแสงแปลกๆออกมา


“มีความเป็นไปได้มากที่จะเป็นแบบนั้น!” ราชันสวรรค์เฉินเฟิงพยักหน้า ถึงแม้ว่าทั้งสองดินแดนจะมีความขัดแย้งกัน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จัก พวกเขาก็ยังคงร่วมมือกัน


นั่นเป็นเพราะไม่ว่าจะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือดินแดนใต้พิภพต่างก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง แต่สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายในถ้ำรู้จักเพียงแค่การฆ่าฟันและกินเลือดเนื้อเท่านั้น


ฟิ้ว!


สายลมแปลกๆเริ่มพัดกระหน่ำอีกครั้ง มันไม่ได้โกรธเพราะถูกราชันสวรรค์เฉินเฟิงโจมตี แต่มันก็ต้องการกินทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่อ


“สามห้าว!” จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ทั้งสี่คนปลดปล่อยการโจมตีเข้าใส่สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่อยู่ในถ้ำพร้อมเพรียงกัน


ตู้ม!


วิถีดาราจักรสี่สายพุ่งเข้าไปในถ้ำ ทำให้เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว จนในที่สุดสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่อยู่ในถ้ำก็เริ่มปรากฏตัวออกมาอยู่ด้านหน้าของทุกคน


แต่มันไม่ได้พุ่งพรวดออกมา แต่คลานออกมาอย่างช้าๆ


สีหน้าของทุกคนกลายเป็นซีดขาว มันเป็นตัวบ้าอะไรกันแน่?


“น่าสนใจ!” ฉือหวงยิ้มและร่างกายของเขาก็เริ่มเรือนแสง


ในขณะเดียวกันเป่ยหวงก็จับกระบี่ล้ำค่าที่อยู่ในมือแน่นด้วยความตื่นเต้น


หลิงฮันส่ายหัว แม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นคนที่แข็งแกร่งมากและมีอาวุธเซียนอยู่ในมือ แต่มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่พวกเขาจะมีพลังต่อสู้เทียบเท่าจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์


พูดอีกนัยหนึ่งคือทั้งสองคนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายตัวนี้ ซึ่งมีเพียงแค่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์สี่คนนี้เท่านั้นที่สามารถต่อกรกับมันได้


“ฆ่ามัน!” ชายร่างใหญ่ที่มีหัวเป็นหมาป่าส่งเสียงคำรามไปที่สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายและชักกระบี่ครามออกมา กระบี่ของเขาขยายใหญ่ขึ้นหลายร้อยเท่าและโจมตีใส่สิ่งมีชีวิตชั่วร้าย


สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายยกแขนขึ้นและตบไปที่กระบี่ ตู้ม เพียงแค่ฝ่ามือของมันก็ก่อให้เกิดพลังทำลายล้างที่รุนแรง และทำให้ทั้งถ้ำสั่นสะเทือนและมีหินนับไม่ถ้วนตกลงมาแต่ก็ยังไม่พังทลาย


ชายร่างใหญ่ที่มีหัวเป็นหมาป่าหัวเราะและพูดว่า “ที่แท้เจ้าก็มีพลังต่อสู้ระดับภูผาวารีขั้นสูงสุด แต่แค่นั่นยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ข้าหวาดกลัว!” เขาส่งเสียงคำรามและโจมตีอีกครั้ง


ตู้ม วิถีดาราจักรลอยออกไปเพื่อยับยั้งสิ่งมีชีวิตชั่วร้าย


สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายส่งเสียงคำรามเบาๆ แต่ก็ดังสะท้อนอยู่ในถ้ำ ซึ่งทำให้จอมยุทธระดับภูผาวารีบางคนตกตะลึง บางคนแสดงสีหน้าที่น่ารังเกียจ


“บัดซบ!” นักพรคกว่างฉิง ราชันสวรรค์เฉินเฟิงและนักปราชญ์ชุดขาวกระโจนออกไปโจมตีพร้อมกัน ดูเหมือนว่าสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายนี้จะไม่มีสติปัญญาเลยแม้แต่น้อย และรู้จักเพียงแค่การฆ่าฟันเท่านั้น ซึ่งพวกเขาก็ไม่รังเกียจที่จะร่วมมือกันเพื่อกำจัดมัน


ดังที่ชายร่างใหญ่ที่มีหัวเป็นหมาป่าพูด สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายนี้มีพลังต่อสู้ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุด แต่มันไม่สามารถใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้ ซึ่งจะทำให้พลังต่อสู้ของมันไม่มากไปกว่านี้


อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งสี่คนเป็นแค่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงเท่านั้น แต่ประเด็นสำคัญที่สุดคือสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายตัวนี้ไม่มีสติปัญญาเลยแม้แต่น้อยและรู้เพียงแค่การฆ่าฟัน ซึ่งแค่นั้นมันยังไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาต้องหวาดกลัว และในไม่ช้าพวกเขาก็จะสามารถกำจัดสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายตัวนี้ได้สำเร็จ


สิ่งที่น่าประหลาดใจของสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายคือมันก่อตัวขึ้นมาจากซากศพของสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง ซึ่งศพแต่ละร่างนั้นธรรมดามาก ส่วนศพที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นแค่จอมยุทธระดับดาราสามดาว ซึ่งไม่มีใครรู้ว่ามันเอาพลังต่อสู้ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดมาจากไหน


จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ทั้งสี่คนจ้องมองเข้าไปในถ้ำลึก ด้วยสายตาของพวกเขา ทำให้พวกเขาสามารถมองเห็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายตัวนี้ได้


สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายมีรูปร่างเป็นแบบนี้เพราะบางอย่างที่อยู่ด้านหลังของมันใช่หรือไม่?


ทั้งสี่คนมองหน้ากันและพยักหน้า แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนที่มาจากดินแดนต่างกัน แต่เพียงแค่มองหน้ากันก็รู้แล้วว่าต้องทำอะไร


เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่ธรรมดา ทั้งสองฝ่ายเลือกที่จะร่วมมือกันเป็นการชั่วคราว


“ข้าจะพาพวกเจ้ากลับ!” นักพรตกว่างฉิงโยนดอกบัวล้ำค่าออกมา ซึ่งมันเป็นพาหนะบินได้ และเมื่อมันตกลงสู่พื้นดิน มันก็ขยายตัวอย่างต่อเนื่องเป็นรัศมีสามร้อยฟุตและสามารถขนออกจากหุบเหวนรกได้ครั้งละหลายคน


ในความเป็นจริง หากไม่มีสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่คอยสร้างแรงดึงดูด จอมยุทธระดับภูผาวารีก็สามารถปีนกลับขึ้นไปเองได้


จากนั้น จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ทั้งสี่คนเข้าไปในถ้ำ


“พวกเราเองจะตามพวกเขาไปใช่หรือไม่?” เป่ยหวงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ไม่ว่าเจ้าจะตามเข้าไปหรือไม่เข้าไป ข้าก็คิดที่จะเข้าไปอยู่แล้ว” ฉือหวงกล่าว ตัวเขาเป็นจอมยุทธระดับดาราและยิ่งมีอาวุธเซียนอยู่ในมือ ยิ่งทำให้เขาไม่กังวลเท่าไหร่


“แน่นอนข้าจะเข้าไปดู!” หลิงฮันพยักหน้า


ทุกคนตัดสินใจที่จะเข้าไป ในขณะเดียวกันฉื้อหวงจี่ก็แอบหันไปมองหลิงฮันเป็นครั้งคราว เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะดึงเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิด


คนส่วนใหญ่ตัดสินใจที่จะออกไปจากที่นี่ แต่ก็ยังมีคนที่กล้าจะอยู่ เพราะมันอาจทำให้พวกเขาได้รับโอกาสครั้งใหญ่ที่อยู่ที่นี่ก็เป็นได้


อย่างไรก็ตาม มิใช่ว่ามีจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์สี่คนอยู่ที่นี่ด้วยหรอกหรือ?


แม้ว่าจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์จะเดินระมัดระวังแค่ไหน แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นมากเกินไป ถ้าพวกเขาเดินเร็วเกินไป คงจะทิ้งห่างคนอื่นที่อยู่ด้านหลังอย่างสมบูรณ์ แต่โชคดีที่มันเป็นอุโมงค์ ซึ่งมีเพียงแค่ทางตรงเท่านั้น พวกเขาจึงไม่ต้องกังวลว่าจะหลงและตามไม่ทัน


หลังจากเดินเข้าไปได้ไม่นานก็มีที่ราบอันกว้างใหญ่ปรากฏอยู่ในสายตาของพวกเขา

 

 

 


ตอนที่ 1321

 

มีที่ราบอยู่ในถ้ำ!


“ช่างเป็นปราณแห่งความตายที่น่ากลัวอะไรขนาดนี้!” เป่ยหวงกล่าว


หลิงฮันเริ่มใช้งานเนตรแห่งสัจธรรมและจ้องมองพื้นที่ที่อยู่ด้านหน้า แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีและพูดว่า “หลายร้อยล้านปีที่ผ่านมามีผู้คนนับไม่ถ้วนตายที่นี่ โลหิตของพวกเขาได้หลอมรวมเข้ากับพื้นปฐพี จึงทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยเลือด”


อู๋เมี่ยนหยิบดินขึ้นมาดูและใช้พลังเพื่อบดขยี้ แต่ก็ไม่สามารถบดขยี้ได้หมดและหลงเหลือเม็ดทรายสีทองในมือ


ทุกคนรู้สึกแปลกใจ


อู๋เมี่ยนเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุด ความแข็งแกร่งของเขาเทียบได้กับจอมยุทธระดับดาราขั้นต้น ด้วยความแข็งแกร่งของเขาก็ยังไม่สามารถบดขยี้ได้หมดและเหลือเม็ดทรายสีทอง มันเป็นแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าหรือยังไง?


“หืม?” เป่ยหวงจ้องมองทรายที่อยู่ในมือของอู๋เมี่ยนอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดว่า “ทรายนั่นไม่ธรรมดา”


“ใช่! มันไม่ธรรมดา!” ฉือหวงกล่าว และเขาเองก็คว้าดินขึ้นมา แต่หลังจากที่เขาขัดเกลา มันกลับไม่กลายเป็นทรายสีทอง แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้และคว้าดินขึ้นมาดูดซับใหม่เพื่อขัดเกลาให้กลายเป็นทรายสีทอง และคราวนี้เขาก็ขัดเกลาเป็นทรายสีทองได้สำเร็จอยู่ในมือของเขา


ทุกคนรีบคว้าดินขึ้นมาและขัดเกลาให้กลายเป็นทรายสีทอง ในไม่ช้าทุกคนก็มีทรายสีทองอยู่ในมือของพวกเขาคนละหนึ่งหรือสองเม็ดและตรวจสอบอย่างรอบคอบ


หลิงฮันเองก็ทำแบบนั้นเช่นกัน แม้ว่าจะไม่มีพลังอะไรอยู่ในทราย แต่มันทำให้เขารู้สึกได้ถึงพลังบางอย่าง ราวกับว่าในอดีตมันเคยถูกสร้างเป็นอิฐและกระเบื้องในพระราชวังที่ยิ่งใหญ่ แต่ถูกทำลายจนกลายเป็นทราย


ในขณะที่คนอื่นกำลังมุ่งความสนใจไปที่ทรายในมือ หลิงฮันก็แอบเก็บตัวอย่างทรายเข้าไปในหอคอยทมิฬและให้เซียนอู๋เซียงทำการวิเคราะห์


โดยไม่คาดคิด เมื่อกลุ่มก้อนแสงที่เกิดจากเซียนอู๋เซียงจ้องมองไปที่มัน เขาก็ดูตื่นตระหนกขึ้นมาทันที แม้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในหอคอยทมิฬ แต่หลิงฮันก็สามารถได้ยินเสียงตะกุกตะกักที่พูดไม่ถูกของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน


“ผู้อาวุโสอู๋เซียง ท่านมองเห็นอะไร?” หลิงฮันถาม


“ข้ามองเห็น…สวรรค์!” เซียนอู๋เซียงพูดบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ออกมา


สวรรค์?


มันฟังดูเหมือนเป็นเรื่องตลกที่เห็นสวรรค์เป็นเม็ดทราย ซึ่งเรื่องเหลวไหลแบบนั้นไม่ควรที่จะพูดออกมาจากเซียน


“ผู้อาวุโสช่วยพูดให้มันชัดเจนกว่านี้หน่อย” หลิงฮันกล่าว


แต่เซียนอู๋เซียงก็ยังคงยืนกรานคำเดิมว่ามองเห็นสวรรค์


หลิงฮันถึงกับพูดไม่ออก แม้เขาจะรู้ว่าเม็ดทรายพวกนี้ไม่ธรรมดาก็ตาม


แต่การที่มันสามารถทำให้เซียนอู๋เซียงเป็นแบบนั้นได้ มันจะต้องเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์มากไม่ผิดแน่


หลิงฮันรู้สึกสนใจเม็ดทรายพวกนี้มาก เขายกหมัดขึ้นและต่อยไปที่พื้นดิน ตู้ม เศษดินกระจายเล็กน้อยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งทำให้หลิงฮันถึงกับต้องขมวดคิ้วทันที เพราะความเสียหายที่ได้รับจากหมัดของเขามันน้อยมาก


แม้ว่าพื้นปฐพีของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะมั่นคงและแข็งแกร่ง แต่ตอนนี้เขาเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงแล้ว ถ้าเขาปล่อยหมัดใส่ภูเขาก็ยังต้องพังทลาย แล้วมันเป็นไปได้อย่างไรที่หมัดของเขาทำได้แค่สร้างหลุมได้ไม่เกินสามฟุต?


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


หลิงฮันต่อยหมัดใส่พื้นดินอีกสิบเจ็ดครั้ง และทำให้เขาเริ่มรู้ว่าเขาสามารถสร้างความเสียหายได้เล็กน้อยเท่านั้น เพราะพลังส่วนใหญ่ถูกบางสิ่งบางอย่างดูดซับไป


มันจะต้องเป็นเพราะเม็ดทรายสีทอง!


คนอื่นๆก็พบผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกันด้วยวิธีการของพวกเขาเอง และในไม่ช้าพวกเขาก็เผยสีหน้าประหลาดใจ


เม็ดทรายสีทองไม่ธรรมดาจริงๆด้วย!


“สถานที่แห่งนี้มันคืออะไรกันแน่?” มีคนจำนวนมากเริ่มเดินเข้าและอยู่ด้านหลังพวกเขา เมื่อมาถึงพวกเขาเองก็รู้สึกตกตะลึง เพราะที่นี่มันใหญ่เกินไป


“เจ้าหนู เจ้ารีบเก็บทรายพวกนี้ซะ ยิ่งได้มากเท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น!” ในหอคอยทมิฬ เซียนอู๋เซียงกล่าวอย่างตื่นเต้น


“ผู้อาวุโส ตกลงมันคืออะไรกันแน่?” หลิงฮันถาม


“ข้าไม่รู้ แต่ข้ามั่นใจว่าถ้าข้ามีมันมากพอ มันอาจทำให้ข้าทะลวงผ่านระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นกลาง – ไม่สิ อาจถึงขั้นสูง แม้กระทั่งขั้นสูงสุด!” เซียนอู๋เซียงกล่าวด้วยความตื่นเต้น ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเป็นเพียงแค่ก้อนแสง แต่ก็กระพริบไปมา ราวกับว่าสีหน้าที่เปลี่ยนไป


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงฮันรู้สึกตกตะลึงมาก จากนั้นเขาก็รีบโกยดินที่อยู่ที่นี่เข้าไปในหอคอยทมิฬทันที แล้วค่อยขัดเกลาทีหลัง เพราะอย่างไรพื้นที่ในหอคอยทมิฬก็กว้างใหญ่พอที่จะรองรับดินที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด


เมื่อทุกคนเห็นการกระทำของหลิงฮัน คนอื่นๆเหมือนจะตระหนักบางอย่าง และพวกเขาเองก็เริ่มเก็บดินเข้าไปในอุปกรณ์มิติของพวกเขา


ในตอนแรกอัจฉริยะรุ่นเยาว์บางคนรู้สึกขบขัน เมื่อเห็นพวกเขาเก็บดิน แต่ตอนนี้ แม้กระทั่งฉื้อหวงจี่ อู๋เมี่ยน เย่วหยิง แม่นางหยุน เป่ยหวง และฉือหวงเองก็กำลังเก็บดิน คนเหล่านั้นก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องขบขันอีกต่อไป


บางคนเพิ่งมาถึงและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อพวกเขาเห็นทุกคนกำลังรีบเก็บดิน พวกเขาเองก็รีบเก็บตามทันที


โดยปกติแล้วอัจฉริยะแต่ละคนจะมีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง แล้วสถานการณ์ในตอนนี้หมายความว่าอย่างไร? ในเมื่อราชาทั้งเก้าคนกำลังเก็บดิน นั่นหมายความว่าดินพวกนี้คือสมบัติ


หลังจากผ่านไปเนิ่นาน ฉากที่เกิดขึ้นก็วุ่นวายมากขึ้น ทุกคนดูกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก


แต่หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็หยุดเก็บดิน


ไม่ใช่ว่าพวกเขาล้มเลิกความคิดที่จะเก็บดิน แต่อุปกรณ์มิติของพวกเขามีพื้นที่จำกัดและไม่สามารถยัดดินเข้าไปได้อีกแล้ว!


ดังนั้น พวกเขาจึงทำได้แค่ขัดเกลาดินที่เก็บมา เพราะดินจำนวนมากจะมีเม็ดทรายสีทองแค่ไม่กี่เม็ดเท่านั้น เมื่อพวกเขาขัดเกลาเสร็จก็จะไม่ต้องกังวลเรื่องพื้นที่ของอุปกรณ์มิติอีกต่อไป


ในไม่ช้าหลิงฮันก็ค้นพบว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเก็บดินทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ได้


เพราะในดินมีเม็ดทรายสีทองมากเกินไป ซึ่งไม่เพียงแค่เป็นที่ราบที่กว้างใหญ่และไร้ขอบเขตเท่านั้น แต่ยังมีความลึกที่ไม่สามารถคาดเดาได้อีก


หลิงฮันหยุดเก็บดินและเริ่มใช้สมองคิด


ในเมื่อมีเม็ดทรายสีทองพวกนี้ก็ต้องมีแหล่งที่มาของมันมิใช่หรือ?


ไม่มีเพียงแค่เขาเท่านั้น คนอื่นๆเองก็ยกหัวขึ้นด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย


บางทีอาจไม่ใช่ทุกคนที่อยู่ที่นี่ที่รู้คุณค่าที่แท้จริงของเม็ดทรายสีทองพวกนี้ ทว่าแม้แต่คนโง่ก็สามารถคาดเดาถึงความพิเศษของเม็ดทรายสีทองพวกนี้ได้


“อาจมีโชคลาภอันยิ่งใหญ่อยู่ในที่ราบแห่งนี้!”


“ป่าภูผาวารีอยู่ด้านบน ส่วนหุบเขาสุริยันจันทราก็อยู่ไม่ไกลนัก เป็นไปไม่ได้เลยที่สถานที่ทั้งสองแห่งจะไม่เกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้”


“บางทีที่นี่อาจแก้ไขความลับของป่าภูผาวารีและหุบเขาสุริยันจันทราได้!”


ทุกคนดูตื่นเต้น ป่าภูผาวารีและหุบเขาสุริยันจันทราจะเปิดทุกเจ็ดหมื่นปี หากพวกเขาสามารถค้นหาความลับจากที่นี่ได้ พวกเขาก็จะสามารถเข้าสถานที่ทั้งสองแห่งได้ตลอดเวลาหรือไม่?


ทุกคนรีบกระจายตัวออกไปสำรวจตามทางของตัวเองทันที เหมือนมดแตกรัง และข่าวดังกล่าวไม่เพียงแค่ทำให้ผู้คนที่จากไปก่อนหน้านี้กลับมาเท่านั้น แต่ยังมีคนจำนวนมากแห่เข้ามาที่ราบเพื่อสำรวจที่นี่ด้วย


ตู้ม!


มีเสียงการต่อสู้ในระยะไกล แต่ก็จบลงอย่างรวดเร็ว


หลิงฮันคาดเดาว่าน่าจะเป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์สี่คนที่มุ่งหน้าไปก่อนหน้านี้


แม้ว่าการต่อสู้จะจบลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต่อสู้กันหลายลมหายใจ นั่นหมายความว่าอย่างไร?


พวกเขาทั้งสี่คนเผชิญหน้ากับศัตรูระดับวารีนิรันดร์อีกครั้ง!


สถานที่แห่งนี้…อันตราย!


this place……Danger!

 

 

 


ตอนที่ 1322

 

“ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีสถานที่แบบนี้อยู่ในดาวดวงนี้” ฉือหวงหัวเราะ จากนั้นชั่วครู่เขาก็เรียกพาหนะออกมาจากด้านหลัง


พาหนะที่เขานำออกมาจะเรียกว่ารถม้าคงไม่ค่อยเหมาะสม จะดีกว่าถ้าเรียกเกวียน เพราะมันถูกลากโดยอสูรกระทิงทองม่วง


มันคือพาหนะที่ทรงพลังที่สุดของฉือหวง ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาจากวัสดุระดับเซียนทั้งหมด มันฟุ่มเฟือยมากจนถึงขั้นอธิบายไม่ได้


“พวกเจ้าทุกคน อย่าพูดให้เสียเวลาและรีบขึ้นมาซะ!” ฉือหวงกล่าวและกระโดดขึ้นไปบนที่นั่งคนขับ แล้วร่างของเขาก็หดเหลือสามนิ้วตามกระบวนการเมื่อขึ้นไปนั่ง


“เจ้าสามารถขยายเกวียนของเจ้าให้ใหญ่กว่านี้ได้หรือไม่?” เป่ยหวงกล่าวอย่างไม่พอใจ


“มันถูกสร้างขึ้นมาจากวัสดุศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่อาจควบคุมมันได้” ฉือหวงหยักไหล่ ” เจ้าจะขึ้นมาหรือไม่?”


ทุกคนมองหน้ากัน ก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปบนเกวียนและร่างของพวกเขาก็หดเล็กลงเช่นกัน มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่สามารถขึ้นไปบนเกวียนได้และเหยียบมันแทน


เหยียบย่ำอุปกรณ์ระดับเซียน? หน่ำซ้ำตั้งสองชิ้น มันจะเป็นการรนหาที่ตายหรือไม่?


โดยเฉพาะอย่างยิ่งอสูรกระทิงม่วงทอง เมื่อใดที่ปัญญาเปิด มันจะแข็งแกร่งเท่าระดับเซียน!


แล้วใครจะกล้าขี่มัน


โชคดีที่การลดขนาดร่างกายชั่วคราวเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับตัวตนระดับพระเจ้าอย่างพวกเขา พวกเขาหดตัวเหลือสามนิ้วและยืนอยู่บนเกวียน


บนหลังเกวียนมีคนไม่มากนัก นอกจากฉือหวงกับเป่ยหวงแล้ว คนที่โดยสารขึ้นมาด้วยคือหลิงฮัน สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ อู๋เมี่ยน หยางหลิน เย่วหยิง แม่นางหยุนและโจวเฉวียน ส่วนคนอื่นๆไม่มีสิทธิ์ขึ้นมา


แม้ว่าเย่วหยิงจะไม่ได้เป็นหนึ่งในเก้าราชา แต่ความแข็งแกร่งของนางก็เป็นที่ประจักษ์ของทุกคน ส่วนโจวเฉวียนเองก็เป็นจอมยุทธระดับดาราที่ฉือหวงไม่อาจมองข้ามได้


แน่นอนว่าฉื้อหวงจี่ไม่มีทางได้ขึ้นเกวียน นั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นจอมยุทธจากดินแดนใต้พิภพ แม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้ต่อสู้กัน แต่ก็ไม่อาจรักษาสันติภาพดังกล่าวได้นาน


เกวียนเริ่มขยับ


ในไม่ช้าพวกเขาก็ไปอยู่ในระยะไกลและทิ้งกลุ่มฝูงชนไว้ด้านหลัง ความเร็วของเกวียนคันนี้รวดเร็วมาก แม้แต่ราชาอย่างฉื้อหวงจี่และถ้วป้าตงก็ตามไม่ทัน


แต่หลังจากที่พวกเขาเดินทางได้อย่างน้อยครึ่งวัน ด้านหน้าของพวกเขาก็ยังคงเป็นพื้นที่ราบที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ความว่างเปล่า ราวกับไม่มีที่สิ้นสุด แต่พวกเขาก็ไม่เป็นกังวล เพราะยิ่งกว้างใหญ่แค่ไหน ความลับที่ซ่อนอยู่กันอาจจะน่าทึ่งมากขึ้นเท่านั้น


ปัง!


เกวียนหยุดกระทันหัน ราวกับว่ามันชนเข้ากับอะไรบางอย่างและเกือบจะล่ม โชคดีที่มันถูกสร้างขึ้นมาจากวัสดุระดับเซียน ทำให้มันมีความแข็งและมั่นคงเป็นอย่างมาก


แต่มันชนกับอะไร?


ต้องทราบก่อนว่าการที่ถูกชนโดยอสูรกระทิงม่วงจะต้องถูกบดขยี้ แรงปะทะของมันเทียบได้กับการโจมตีของจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุด


ฉือหวงหยุดเกวียนและหันไปมองด้านหลัง


“เลือด!” เป่ยหวงอุทาน


เมื่อทุกคนหันไปมอง ทุกคนก็ต้องใช้มือปิดปากปิดจมูกทันที  มันมีกลิ่นเหม็นเน่าลอยโชยมาทางพวกเขา ราวกับว่าเป็นกลิ่นศพเน่าหลายร้อยปี


แคร๊ก พื้นดินปรากฏรอยราวอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นเองก็เกิดรอยร้าวเป็นใยแมงมุม พื้นดินสั่นไหวเลกน้อย และมีมือโผล่ขึ้นมา


มือของมันเต็มไปด้วยหนองดำและส่งกลิ่นที่น่ารังเกียจ


ทันใดนั้น มือก็ดันร่างขึ้นมาจากพื้นดินและสิ่งชั่วร้ายที่น่ารังเกียจที่หาที่เปรียบมิได้ก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ซึ่งกลิ่นอายของมันคล้ายคลึงกับสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่ถูกจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์สี่คนฆ่าก่อนหน้านี้ มันก็เป็นระดับวารีนิรันดร์เช่นกัน


สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายจ้องมองทุกคนที่อยู่บนเกวียนและทันใดนั้นเองมันก็อ้าปากและพยายามดูดทุกคนเข้ามา ลมดูดที่รุนแรงเริ่มก่อตัวขึ้น แต่โชคดีที่ว่ามันดูด ถ้ามันหายใจออก กลิ่นเหม็นเน่าของมันอาจทำให้หลายคนเป็นลม


ลมดูดที่รุนแรงเริ่มส่งเสียงกรีดร้อง แต่ทุกคนบนเกวียนก็ยังยืนอยู่ที่เดิม


เกวียนนี้ไม่ใช่เกวียนธรรมดา แต่สร้างขึ้นมาจากวัสดุระดับเซียนสองชิ้น แล้วสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายระดับวารีนิรันดร์จะสั่นคลอนได้อย่างไร?


“ฆ่ามัน!” ฉือหวงตะโกนและกระโดดลงจากเกวียน ทันใดนั้นเองเขาก็พุ่งเข้าไปโจมตี พร้อมกับอสูรกระทิงทองม่วงและแสงสีม่วงก็ถูกยิงออกไปใส่สิ่งมีชีวิตชั่วร้าย


แสงมีความรวดเร็วมากและทะลวงผ่านหน้าอกของสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายไปจนกลายเป็นรู


แต่สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายดูเหมือนจะไม่ได้รับความเสียหายมากนัก จากนั้นมันก็เริ่มส่งเสียงกรีดร้องและใช้มือที่ใหญ่ยักษ์ของมันตบไปที่เกวียน


ตู้ม!


มือยักษ์ตบไปที่เกวียน แต่เกวียนมีม่านพลังที่ป้องกันการโจมตีของมัน ด้านในเกวียนทุกคนทุกคนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ามือของมันประกอบด้วยซากศพถึงสิบเจ็ดร่าง บางร่างไร้หัว บางร่างไร้แขนขา และมีหนองในสีแดงดำ ซึ่งทำให้ทุกคนอย่างจะอาเจียนออกมา


ถ้าเกวียนไม่มีม่านพลัง ทุกคนคงถูกบดขยี้ภายใต้ฝ่ามือของมันไปแล้ว ยกเว้นเป่ยหวง ในขณะเดียวกันเป่ยหวงและอสูรกระทิงม่วงก็โจมตีใส่สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายอีกครั้ง


เมื่อสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายได้รับความเสียหายมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งก้าวร้าวมากขึ้นเท่านั้น  ด้วยการโจมตีของอสูรกระทิงม่วง ทำให้มันได้รับบาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยังคงโจมตีอย่างไม่หยุดหย่อน


เมื่อสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายก็ถูกบดขยี้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและกลายเป็นซากศพอีกครั้ง ถือว่ากำจัดมันได้สำเร็จ


เป่ยหวงรีบขับเกวียนออกไปจากที่นี่ทันที กลิ่นเหม็นเน่าของมันนั้นรุนแรงมาก


ตลอดที่เดินทาง พวกเขาถูกสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายโจมตีหลายครั้ง แต่ความแข็งแกร่งของพวกมันแต่ละตัวนั้นไม่เท่ากัน บางตัวแข็งแกร่งเท่าจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ แต่บางตัวก็แค่แข็งแกร่งเท่าจอมยุทธระดับดาราเท่านั้น


หลังจากที่เดินทางมาเกือบครบวัน เบื้องหน้าของพวกเขาก็ปรากฏหมอกขึ้นอย่างกะทันหันและไม่มีใครสามารถมองทะลุหมอกนี้ไปได้


เมื่อฉือหวงหยุดเกวียน ทุกคนก็ดูลังเล


จะมุ่งหน้าต่อหรือเดินทางกลับ?


ที่นี่มันแปลกประหลาดมาก ถ้าพวกเขาเดินทางหน้า หนทางข้างหน้าอาจมีอันตรายมากยิ่งขึ้น


“ตราบใดที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตระดับสร้างสรรพสิ่งอยู่ที่นี่ ก็จะไม่มีอะไรหยุดยั้งเกวียนนี้ได้!” ฉือหวงกล่าวด้วยท่าทางมั่นใจ


ทุกคนมองหน้ากัน จากนั้นก็พยักหน้าอย่างช้าๆ


“มุ่งหน้าต่อ!”

 

 

 


ตอนที่ 1323

 

เกวียนมุ่งหน้าเข้าไปในหมอกอย่างช้าๆ


หมอกที่อยู่ตรงหน้ากินพื้นที่กว้างขวาง และสามารถมองเห็นได้ภายในรัศมีสามฟุตเท่านั้น


หลิงฮันจับมือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคเพลิงเอาไว้ ถ้ามีอันตรายที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ที่นี่ เขาก็จะส่งภรรยาของเขาเข้าไปในหอคอยทมิฬทันที ส่วนคนอื่นๆก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์


เพราะอย่างไร ทุกคนที่อยู่ที่นี่เป็นแค่สหายร่วมทาง มันไม่ได้มีมิตรภาพที่ลึกซึ้งระหว่างกัน


สายตาของหลิงฮันจับจ้องไปที่ด้านหน้า แต่ไม่ว่าเขาจะจ้องมองแค่ไหน ถึงจะใช้เนตรแห่งสัจธรรมไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะเบื้องหน้ามีแต่หมอกและหมอก


แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เห็นลานกว้างอยู่เบื้องหน้า และมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังฝึกฝนดาบอยู่ ชายหนุ่มคนนั้นน่าจะมีอายุประมาณสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาก็เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีแล้ว


น่าทึ่งมาก อายุแค่นั้นก็ทะลวงผ่านระดับภูผาวารีแล้ว!


เดี๋ยวก่อน!


หลิงฮันรีบส่ายหัว เห็นได้ชัดว่าเขากำลังยืนอยู่บนเกวียนที่มุ่งเข้าไปในหมอก มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะเห็นลานกว้างและชายหนุ่ม?


หืม! สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะหายไปไหน?


หลิงฮันรีบหันมองซ้ายขวา แต่ก็พบว่าเขาไม่ได้ยืนอยู่บนเกวียนและไม่พบร่องรอยของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ ฉือหวง และคนอื่นๆแม้แต่น้อย


เมื่อเขาส่ายหัวอีกครั้ง เขาก็เห็นชายหนุ่มหยุดฝึกดาบและหันไปมองซ้ายขวา…เหมือนกับเขา


เคลื่อนไหวตามข้า?


หลิงฮันยกมือขึ้น ชายหนุ่มเองก็ยกมือขึ้นเช่นกัน แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นว่างเปล่า


หรือว่าจะเป็นวิญญาณของข้า?


หลิงฮันตัดสินใจที่จะพุ่งเข้าไปหาชายหนุ่ม แต่ชายหนุ่มกลับไม่เคลื่อนไหวตาม เขายังคงยืนหนึ่ง โดยไม่มีทางทีว่าจะหลบ


พรึบ!


ทั้งสองคนชนกัน แต่ไม่มีใครล้มกระเด็น และร่างของหลิงฮันก็เป็นเหมือนกับน้ำที่ละลายเข้าไปในร่างของชายหนุ่ม


ในตอนนั้นเอง เขากับชายหนุ่มก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์


ไม่สิ มันไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์ ชายหนุ่มไม่มีความทรงจำ นอกจากชื่อ อาจกล่าวได้ว่าวิญญาณของเขาเข้าไปในร่างของชายหนุ่ม


สติของเขาค่อนข้างคลุมเครือเล็กน้อย มีชื่อสองชื่อปรากฏอยู่ในความคิด ชื่อแรกคือหลิงฮัน ส่วนอีกชื่อคือ…ติงจื่อเฉิน


ข้าเป็นใคร?


หลิงฮันสับสน ความทรงจำของเขากำลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว และมีความคิดเดียวที่หลงเหลืออยู่คือ ชื่อของข้าคือติงจื่อเฉิน ส่วนเรื่องอื่น…ไม่รู้อะไรเลย


แต่หลิงฮันกัดฟันแน่น และย้ำตัวเองว่าเขาคือหลิงฮัน!


หมอกนี้เป็นรูปแบบอาคมที่ทำให้สูญเสียสติสัมปชัญญะโดยที่เขาไม่รู้ตัว


เขาพยายามเข้าไปในหอคอยทมิฬ แต่หลิงฮันก็พบว่าไม่มีหอคอยทมิฬอยู่ในร่างกายของเขา ราวกับว่าเขาได้กลายเป็นติงจื่อเฉินไปแล้ว


เกิดอะไรขึ้น?


“ข้าไม่ใช่ติงจื่อเฉิน แต่ข้าคือหลิงฮัน!” หลิงฮันส่งเสียงกรีดร้องอยู่ด้านใน เมื่อไม่มีหอคอยทมิฬ มันก็ทำให้เขาสูญเสียความมั่นใจไปมาก


“ติงจื่อเฉิน!” ชายหนุ่มหลายคนเดินเข้ามาในลานกว้าง “ถึงเวลาประลองของเจ้าแล้ว!”


“ฮ่าฮ่าฮ่า มันคงจะดีถ้าเจ้ายอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี มิฉะนั้นมันอาจทำให้เจ้าไม่สามารถฝึกฝนได้เป็นเวลาสามเดือน!”


ชายหนุ่มพวกนี้ดูเหมือนจะมีอายุมากกว่าเขาหนึ่งหรือสองปี ส่วนเรื่องความแข็งแกร่งเองก็…เหนือกว่าเล็กน้อย


หลิงฮันพบว่าตัวเขาเองเป็นแค่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้นเท่านั้น ในขณะที่ชายหนุ่มพวกนั้น คนที่อ่อนแอที่สุดคือจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นกลาง และมีจอมยุทธระดับสุริยันขั้นสูงและสูงสุดอยู่ด้วย อย่างไรก็ตามหลิงฮันก็ไม่หวาดกลัว เขามีพลังต่อสู้หกดาว และถ้าใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ พลังต่อสู้ของเขาก็สมควรที่จะมากกว่าหกดาว!


เมื่อชายหนุ่มพวกนั้นเดินจากไป พวกเขาก็เดินไปตามทางผ่านตำหนักมากมาย สถานที่แห่งนี้ใหญ่มาก แต่หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็เดินมาถึงลานประลองยุทธ ซึ่งมีคนจำนวนมากมาอยู่ที่นี่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสหรือรุ่นเยาว์ ชายหรือหญิงก็ตาม


ความแข็งแกร่งของทุกคนมีทั้งสูงและต่ำ ไม่ว่าจะเป็นระดับภูผาวารี ระดับสุริยันจันทรา ระดับดารา และที่อ่อนแอที่สุดคือระดับทลายมิติ ซึ่งก็คือเด็กทารกที่ถูกอุ้มอยู่ในอ้อมแขน


เดี๋ยวก่อน! เกิดมาก็เป็นจอมยุทธระดับทลายมิติแล้วงั้นรึ?


สถานที่แห่งนี้มันอะไรกัน? เมื่อเกิดมาก็ใกล้จะทะลวงผ่านระดับพระเจ้าแล้ว!


แต่สิ่งที่ทำให้หลิงฮันตกตะลึงมากกว่าเดิมคือมีจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์อยู่ที่นี่ด้วย


ด้านบนลานประลองมีคนจำนวนหนึ่งนั่งอยู่ด้านบน ซึ่งพวกเขาแต่ละคนต่างก็มีหมอกปกคลุมใบหน้า ทำให้ดูลึกลับมาก


เพียงแค่จ้องมองพวกเขา มันก็ทำให้ดวงวิญญาณของหลิงฮันเหมือนจะถูกฉีกขาด


แข็งแกร่งมาก!


คนพวกนั้นสามารถปกคลุมท้องฟ้าได้ด้วยมือข้างเดียว และทำลายดาวได้นิ้วมือเดียว และเพียงแค่ปล่อยลมหายใจออกมาก็สามารถทำลายที่นี่ได้


จอมยุทธระดับเซียน!


จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ยังทำได้แค่ยืนดูอยู่ข้างลานประลอง คนที่สามารถนั่งได้จะต้องเป็นตัวตนที่เหนือกว่าจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์อย่างแน่นอน นอกจากระดับเซียนแล้วจะเป็นอะไรอื่นได้อีก? ยิ่งไปกว่านั้นระดับเซียนยังแบ่งออกเป็นสี่ขั้น ซึ่งคนเหล่านั้นน่าจะไม่ใช่จอมยุทธระดับเซียนขั้นต้น บางทีอาจเป็นจอมยุทธระดับเซียนขั้นสูง หรือแม้กระทั่งขั้นสูงสุด!


“การประลองท้ายปีของตระกูลติง เริ่มได้!”


ใครบางคนตะโกน คนที่ยืนอยู่บนลานประลองก็เริ่มต่อสู้กันทันที ซึ่งเป็นชายหนุ่มที่มีอายุแค่สิบปีเท่านั้น แต่ก็เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นต้นแล้ว และเป็นฝ่ายชนะ


“สมแล้วที่เป็นติงเหยาหลง ทายาทรุ่นที่เจ็ดสิบเจ็ด สายเลือดบรรพบุรุษของเขาค่อนข้างบริสุทธิ์ทีเดียวและดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าคนอายุเดียวกันมาก”


“อนาคตเด็กคนนี้จะต้องเป็นอีกหนึ่งบุคคลสำคัญของตระกูลติงของพวกเรา!


ชายหนุ่มคนนั้นแข็งแกร่งมาก เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นเพียงแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นต้นชั้นสูง แต่สามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามที่เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงได้


“เวลาหลายพันปี!”


“ข้าไม่คิดเลยว่าเหยาหลงจะมีพรสวรรค์มากถึงเพียงนี้ และสามารถใช้พลังแห่งเวลาได้แล้ว”


“อนาคตของตระกูลติงจะต้องรุ่งโรจน์อย่างแน่นอน!”


ด้านบนของลานประลอง จอมยุทธหลายคนที่นั่งอยู่กำลังพยักหน้าและกล่าวชื่นชม


ติงเหยาหลงเดินลงมาจากลานประลองด้วยความภาคภูมิใจ หลังจากที่ผ่านไปหลายคู่ ในที่สุดก็ถึงตาของหลิงฮัน – หรือจะพูดให้ถูกคือถึงตาของติงจื่อเฉิน


คู่ต่อสู้ของเขาเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นต้นชั้นสูง ซึ่งเหนือกว่าเขาเล็กน้อย


“ยอมรับความพ่ายแพ้ซะ!” อีกฝ่ายกล่าวและโจมตีใส่หลิงฮัน


หลิงฮันตอบโต้ แต่ทันใดนั้นเขาก็พบว่าเขากลายเป็นอีกคนหนึ่ง


กายหยาบของเขาไม่ได้มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งเหมือนเคย และพลังต่อสู้ของเขาก็ไม่ใช่หกดาว ทักษะลับที่เขาเชี่ยวชาญทั้งหมดก็สูญหายไป


ตอนนี้เขาเป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นต้นชั้นสูง และมีพลังต่อสู้ไม่เกินหนึ่งดาว


ตู้ม!


ผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า หลิงฮันก็ถูกอีกฝ่ายเตะกระเด็น


“ขยะ!” ในขณะที่อีกฝ่ายเตะหลิงฮันปลิว เขาก็กล่าวเหยียดหยามด้วยท่าทางดูถูก


หลิงฮันล้มลงกับพื้นและพยายามลุกขึ้นมาเพื่อต่อสู้อีกครั้ง แต่ลูกเตะเมื่อครู่ทำให้เขาปวดร้าวไปทั้งร่างกาย ถึงขั้นทนความเจ็บปวดไม่ได้และเป็นลมในทันที


“อ๊าก!’ เมื่อเขาตื่นขึ้นมา สิ่งเดียวที่เขาได้ยินคือเสียงอุทานจากรอบข้างที่ดังขึ้นพร้อมกัน


– เขากลับมาที่เกวียนอีกครั้ง บรรยากาศโดยรอบยังคงถูกปกคลุมไปด้วยหมอก และสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ ฉือหวง เป่ยหวง และคนอื่นๆก็ยังคงอยู่บนเกวียน


แปลกมาก!

 

 

 


ตอนที่ 1324

 

“พวกเจ้า…ได้เข้าไปในสถานที่บางแห่งและพบว่าตัวเองชื่อติงจื่อเฉินหรือไม่?” หลิงฮันถาม


“อืม!” สตรีศักดิ์สิทธฺ์แห่งวิหคอมตะพยักหน้าเป็นคนแรก


เมื่อเห็นเช่นนั้นทุกคนก็ตกตะลึง ก่อนที่จะพยักหน้าตาม


มันกลับกลายเป็นว่าพวกเขาทุกคนได้รับประสบการณ์ไม่ต่างกัน และเข้าไปอยู่ในร่างของชายหนุ่มที่ชื่อติงจื่อเฉิน ส่วนผลการประลองก็ได้รับความพ่ายแพ้อย่างน่าเศร้าเหมือนกันทุกคน


แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นไม่ใช่ความฝัน มิฉะนั้นมันคงไม่มีทางเหมือนจริงขนาดนั้น และเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาทุกคนจะฝันเหมือนกัน


“เป็นเพราะหมอกนี่!”


ทุกคนจ้องมองไปที่หมอกหนาทึบที่กระจายไปทั่ว มันจะต้องเป็นหมอกนี้อย่างแน่นอนที่ทำให้เกิดเรื่องพวกนั้นขึ้น แต่ปัญหาคือในหมู่พวกเขาเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราและมีจอมยุทธระดับดารา แต่พวกเขากลับได้รับผลกระทบพร้อมกันโดยที่ไม่ทันตั้งตัว


ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังอยู่บนเกวียนที่เป็นพาหนะระดับเซียนและมีม่านพลังป้องกัน


หรือว่าหมอกนี่จะเทียบได้กับพลังของจอมยุทธระดับเซียน?


ทุกคนขมวดคิ้วและมองหน้ากัน


“ถ้างั้นควรมุ่งหน้าต่อดีหรือไม่?”


นี่คือสิ่งที่พวกเขาลังเลอยู่ในใจ กระทั่งฉือหวงเองก็รู้สึกไม่มั่นใจเช่นกัน


เดิมทีเขาสรุปเอาตัดสินใจเอาไว้ว่าตราบใดที่ไม่มีจอมยุทธระดับเซียนอยู่ที่นี่ พาหนะของเขาก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาปลอดภัยระหว่างเดินทาง แต่มันกลับกลายเป็นว่าหมอกนี้สามารถเข้าครอบงำจิตใจของพวกเขาได้และพาเข้าสู่โลกแห่งความฝัน


ถึงจะไม่มีอันตรายอะไรเกิดขึ้น แต่ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าหนทางข้างหน้าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น?


อัจฉริยะอย่างพวกเขาตราบใดที่ไม่ตายไปเสียก่อน อนาคตของพวกเขาก็จะไร้ขีดจำกัด แต่พวกเขาก็ไม่ควรเอาชีวิตของตัวเองมาเสี่ยงที่นี่


“ข้าอยากเห็นความฝันนั้นอีกครั้ง” หลิงฮันกล่าว


“ข้าด้วย” อู๋เมี่ยนกล่าวต่อ


จากนั้นหลายคนก็เริ่มพยักหน้าเห็นด้วย ในฐานะที่พวกเขาเป็นอัจฉริยะระดับราชา ด้วยความเพียรพยายามและความอยากรู้อยากเห็น หมอกปริศนานี้ได้ดึงดูดความสนใจพวกเขาเป็นอย่างมาก


“ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้างั้นมุ่งหน้าต่อ!” ฉือหวงหัวเราะและขับเกวียนมุ่งหน้าต่อ


เบื้องหน้าพวกเขายังคงเป็นหมอกหนาทึบ โดยไม่สามารถมองเห็นอะไรทั้งสิ้นนอกจากหมอก แต่ทันใดนั้นเองด้านหน้าพวกเขาก็กลายเป็นลานกว้างฝึกยุทธอย่างกะทันหัน


กลับมาอีกครั้ง?


หลิงฮันใช้สัมผัสสวรรค์หาหอคอยทมิฬในร่างกาย แต่กลับไม่มีอยู่ นั่นหมายความว่าเข้าสู่โลกแห่งความฝันจริงๆ


เขากลายเป็นติงจื่อเฉินอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่าจะเติบโตขึ้นเล็กน้อย น่าจะซักหนึ่งปี แต่ความก้าวหน้าของเขากลับไม่ก้าวหน้าขึ้นเลย และยังคงอยู่ระดับภูผาวรีขั้นต้น แต่เมื่อจ้องมองคนอื่นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว พวกเขาไม่เพียงแค่สูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีความก้าวหน้าอย่างน้อยหนึ่งขั้นย่อยหรือหนึ่งขั้นใหญ่


แต่เรื่องที่น่าตกตะลึงที่สุดคือติงเหยาหลง จากระดับภูผาวารีขั้นต้นชั้นสูงกลายเป็นระดับภูผาวารีขั้นสูงแล้ว เขาทะลวงผ่านสองขั้น!


อายุสิบเอ็ดปี แต่ก็ทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นสูง มันเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก


ติงเหยาหลงจะต้องกลายเป็นความหวังที่เจิดจรัสของตระกูลติงอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนติงจื่อเฉินก็เป็นได้แค่ตัวตลกของตระกูล


“เจ้าหมอนั่น ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้นำตระกูลติงและเสียทรัพยากรบ่มเพาะพลังไปจำนวนมากเพื่อให้ทะลวงผ่านระดับภูผาวารี มันคงไม่มีทางทะลวงผ่านระดับนี้ได้ในชีวิตนี้ของเขา”


“ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตอนมันเกิดมาถึงมีพลังแค่ระดับห้วงจิตวิญญาณ ว่ากันว่ามีเพียงแค่สามัญชนเท่านั้นที่จะอยู่ในระดับนี้”


“ข้าสงสัยยิ่งนักว่าเขาเป็นคนตระกูลติงของพวกเราจริงหรือไม่”


หลายคนสงสัยและกล่าวเหยียดยาม ถึงแม้จะเป็นคนตระกูลเดียวกันก็ตาม


ในตอนท้าย ฉากที่หลิงฮันเห็นคือเบื้องหน้ากลายเป็นทุ่งดอกไม้และเขาก็กลับสู่โลกแห่งความจริง


ทุกคนตื่นขึ้นมาพร้อมกันอีกครั้งและเผยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก


ในความฝัน พวกเขาคือติงจื่อเฉิน ในเมื่อติงจื่อเฉินได้รับความอับอาย มันก็เหมือนพวกเขาได้รับความอับอายไปด้วย


“หรือว่าสถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยติงจื่อเฉิน?”


“ในความฝัน เขาเป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีเท่านั้น แต่หมอกนี้สามารถส่งผลกระทบต่อม่านพลังพาหนะนี้ได้ นั่นหมายความว่าเขาจะต้องเป็นจอมยุทธระดับเซียน”


“แต่ในตอนท้ายเขาอาจแข็งแกร่งขึ้นเพื่อลบคำสบประมาทในอดีต!”


ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย


หลิงฮันคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “พวกเจ้าเห็นติงเหยาหลงหรือไม่ เพียงแค่หนึ่งปี เขาก็ทะลวงผ่านสองขั้น!”


ทุกคนพยักหน้า ในฐานะที่ทุกคนเป็นอัจฉริยะ พวกเขารู้เรื่องพวกนั้นดี แต่มันต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการทะลวงผ่านขั้นเล็ก?


แม้ว่าจะเป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารี แต่ก็น่าจะใช้เวลาหลายสิบปี!


นอกจากเขาจะมีต้นสังสารวัฎเหมือนหลิงฮันที่ทำให้ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสมบัติของดินแดนแห่งเซียน


“ตระกูลติงเป็นตระกูลอะไรกันแน่?” หลายคนสงสัย ไม่ได้มีแค่ติงเหยาหลงเท่านั้นที่มีความก้าวหน้า คนอื่นๆในความฝันที่พวกเขาเห็นเองก็มีความก้าวหน้าที่รวดเร็วเช่นกัน


หลิงฮันรู้สึกนึกอะไรขึ้นมาได้ หรือว่า…ติงจื่อเฉินจะเป็นคนจากดินแดนแห่งเซียน?


ถ้าเป็นเช่นนั้น ความก้าวหน้าที่รวดเร็วของรุ่นเยาว์ตระกูลติงก็จะมีเหตุผลขึ้นมาทันที นั่นเป็นเพราะพวกเขาอยู่บนดินแดนแห่งเซียน


“ลองอีกครั้ง!”


ตอนนี้ทุกคนรู้สึกสงสัยมากขึ้น และต้องการไขความลับนี้


เกวียนยังคงเดินหน้าต่อไป และพวกเขาก็เข้าสู่ความฝันอีกครั้ง โดยไม่ทันตั้งตัว


ครั้งนี้เวลาในความฝันผ่านไปอีกหนึ่งปี และเป็นการประลองของตระกูลติง แต่ติงจื่อเฉินยังคงเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นต้นเหมือนเดิม ในความเป็นจริงถ้าเขาอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เหตุการณ์แบบนี้อาจเป็นเรื่องปกติ โดยทั่วไปแล้วมันต้องใช้เวลาหลายร้อยปีในการทะลวงผ่านขั้นเล็กๆ เวลาหนึ่งปีจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรได้?


แต่สำหรับครอบครัวตระกูลติง เพียงแค่เวลาหนึ่งปี ทุกคนกลับมีความก้าวหน้าที่รวดเร็วมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งติงเหยาหลง ตอนนี้เขากลายเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดแล้ว


ในการประลองครั้งนี้ ติงเหยาหลงไม่เพียงแค่เป็นอันดับสิบเท่านั้น แต่ยังเป็นดวงดาวที่เปล่งประกาย ทั้งที่เป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นสูงสุด แต่ก็สามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามที่เป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้นได้ในการประลองรอบสุดท้าย


หลิงฮันรู้ว่าติงเหยาหลงต้องการทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์แล้วอย่างแน่นอน มิฉะนั้นเขาคงไม่มีทางเอาชนะจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้นชั้นสูงได้!


ถ้าเป็นข้าสามารถทำได้หรือไม่?


หลิงฮันคิดกับตัวเอง มีเพียงแค่กายหยาบเท่านั้นที่เขาเหนือกว่าอีกฝ่าย แต่ถ้าเป็นการเอาชนะอีกฝ่ายโดยตรงเหมือนติงเหยาหลงนั้น…มันเป็นไปไม่ได้เลย!


ติงเหยาหลงจะต้องเชี่ยวชาญทักษะลับบางอย่างแน่นอน


มันจะต้องเป็นเช่นนั้น!


ถ้าปล่อยหมัดออกไป พลังโจมตีจะลดลงตามเวลา จนในที่สุดก็กลายเป็นหมัดธรรมดา และติงเหยาหลิงสามารถเร่งกระบวนการนี้ได้เร็วขึ้นเป็นร้อยเท่าหรือพันเท่า


ดังนั้น เมื่อฝ่ายตรงข้ามโจมตีเขา หมัดของฝ่ายตรงข้ามก็จะไร้พลังเมื่อโจมตีเขา


หรือว่าจะเป็นการควบคุมเวลา?


หลิงฮันนึกขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน เวลาคือพลังที่ลึกลับที่สุด ถ้าสามารถควบคุมเวลาได้ เช่นนั้นก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าพลังต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นกี่เท่า!


นี่หรือว่า…ความหมายของความฝันนี้คือพวกเขาสามารถควบคุมเวลาได้?


ผลลัพธ์ของการประลองของติงจื่อเฉินไม่อาจเทียบกับติงเหยาหลงได้เลย เขาเป็นอันดับสุดท้ายอย่างน่าอดสู


เมื่อความฝันจบลง ทุกคนก็ตื่นขึ้นพร้อมกัน บางคนยังคงรู้สึกตกตะลึง แต่แววตาของเป่ยหวงกับฉือหวงกลับเปล่งประกาย พวกเขาได้ค้นพบความลับที่น่าสะพรึงกลัวของติงเหยาหลงเหมือนกับหลิงฮัน


ลองอีกครั้ง!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)