Alchemy Emperor of the Divine Dao 1300-1317
ตอนที่ 1300
เมื่อเหล่าอัจฉริยะปรากฏตัว ปรมาจารย์ที่แท้จริงจากทั้งสองดินแดนเองก็ตามพวกเขามาเช่นกันเพียงแต่ว่าปรมาจารย์เหล่านั้นเลือกที่จะไม่แสดงตัว
ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองดินแดนนั้นฝ่ายใดจะใช้โอกาสนี้ในการสังหารรุ่นเยาว์ระดับราชาของดินแดนตนเอง ดังนั้นสุดยอดปรมาจารย์ของทั้งสองดินแดนจึงเคลื่อนไหว ยกตัวอย่างเช่นทางฝั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นักพรตกว่างฉิงได้หลบซ่อนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
เชื่อว่าทางดินแดนใต้พิภพเองก็คงมีปรมาจารย์ระดับเดียวกันหลบซ่อนตัวอยู่
ผ่านไปอีกสองสามวัน อู่เมี่ยนก็มาถึง
เขาทำตัวไม่โดดเด่นจึงไม่มีใครรับรู้ถุงตัวตนของเขา หลังจากตามหาหลิงฮันพบเขาได้นำสุราชั้นเลิศออกมาดื่มกันหลิงฮันโดยไม่สนสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์อยู่ในสายตา
ผ่านไปไม่นานกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์และปฐพีที่โอบล้อมไปทั่วป่าภูผาวารีก็สลายหายไป ทุกคนรู้ว่านี่คือสัญญาณการเริ่มต้นของการชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดน
เหล่าคนที่ต้องการสลักชื่อเอาไว้ในประวัติศาสตร์ต่างมุ่งหน้ามายังหุบเขาแห่งนี้
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่น ตราบใดที่สามารถเดินผ่านอยู่ในหุบเขาที่ไร้กฎเกณฑ์แห่งสวรรค์และปฐพีได้ก็นับว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว
ซึ่งคนที่ทำเช่นนั้นได้… มีน้อยนิดมาก!
หลายคนล่าถอยกลับไปทั้งๆที่เพิ่งเดินอยู่ในหุบเขาได้เพียงหนึ่งในสิบ บางคนฝทนเดินต่อไปได้ถึงสองในสิบ ทันทีที่พวกเขาล่าถอยออกไปไม่ว่าใครก็กระอักโลหิตออกมา
หุบเขาแห่งนี้คือเวทีของอัจฉริยะ จอมยุทธธรรมดาสามัญทำได้แค่เพียงจ้องมอง
หลิงฮันไม่เร่งรีบ เพราะอย่างไรการทดสอบอัจฉริยะนี้ก็มีระยะเวลาถึงครึ่งเดือน
หยางหลินเป็นราชาคนแรกที่เข้าไปยังหุบเขา
เขาเดินผ่านเข้าในยังส่วนลึกของหุบเขาได้อย่างไม่ยากเย็น ผู้ติดตามทั้งสี่ของเขาก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน แม้พวกเขาจะต้องใช้ความพยายามอยู่บ้างแต่ก็สามารถผ่านเข้าไปในหุบเขาได้
เรื่องนี้ทำให้หลายคนอึ้งจนพูดไม่ออก หยางหลินไม่เพียงทรงพลังแค่คนเดียว แต่ขนาดผู้ติดตามของเขาก็ยังน่าทึ่งไม่แพ้กัน
หลังจากนั้นแม่นางหยุนเองเดินเข้าไปยังหุบเขาด้วยท่าทีผ่อนคลาย
ในขณะเดียวกัน ซั่วเฉียนค่อนเดินตามนางไปด้วยความลำบากเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าในหุบเขานี้ต่อให้เป็นระดับพลังใดก็ไม่มีความหมาย ประเด็นสำคัญคือแต่ละคนขัดเกลาพลังบ่มเพาะระดับภูผาวารีจนสมบูรณ์ขนาดไหน
ซั่วเฉียนเป็นตัวตนระดับดาราก็จริง แต่ปัญหาก็คือก่อนหน้านี้เขาขัดเกลาพลังจนบรรลุขั้นสมบูรณ์รึเปล่า ต่อให้เข้าบรรลุขั้นสมบูรณ์จริงก็เป็นไปได้ว่าเขาคงจะบรรลุเพียงขั้นสมบูรณ์ชั้นต้น ไม่เช่นนั้นรากฐานเขาคงไม่ด้อยไปกว่าแม่นางหยุน
แน่นอนว่าดินแดนใต้พิภพก็ส่งอัจฉริยะระดับราชามาเช่นกัน หลิงฮันพบเห็นชายคนหนึ่งที่บนหัวมีดวงตะวันลอยอยู่ คนคนนั้นปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวออกมา บางคนแค่มองไปยังชายคนนั้นก็แทบจะกระอักโลหิตออกมา
หลิงฮันมองไปยังอู่เมี่ยน ถึงแม้อีกฝ่ายจะปิดบังใบหน้าเอาไว้มิดจนมองไม่เห็น แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ว่าโลหิตของอีกฝ่ายกำลังเร่าร้อน
“ชายคนนั้นไม่เพียงก้าวสู่ระดับดาราแล้ว แต่ระดับพลังก่อนหน้ายังขัดเกลาจนบรรลุขั้นสมบูรณ์อีกด้วย หากสู้ด้วยระดับพลังเท่ากันนับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม!” อู่เมี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ฉื้อหวงจี่่!”
“ฉื้อหวงจี่่”
“ฉื้อหวงจี่่!”
เหล่าสิ่งมีชีวิตใต้พิภพส่งเสียงตะโกนชื่อของชายคนนั้น
หลิงฮันไม่ประหลาดใจอะไร ชายคนนั้นเองรึที่ชื่อฉื้อหวงจี่่?
ใต้ดวงตะวันบนฟ้าจะมีรุ่นเยาว์ระดับดาราสักกี่คนเชียว?
ในด้านของความทรงพลังของกลิ่นอาย หลิงฮันรู้สึกว่าไม่ว่าจะแม่นางหยุน หยางหลินหรืออู่เมี่ยนก็ไม่สามารถทัดเทียบกับฉื้อหวงจี่่ ทุกคนเป็นราชาก็จริง แต่ฉื้อหวงจี่่คือราชาในหมู่ราชา
‘ครืนนนน’ ท้องฟ้าเกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่จากระยะที่ห่างไกลออกไปราวกับกองทัพนับพันกำลังบุกรุกเข้ามา ทุกคนโดยรอบตื่นตัวกันทันที
สงครามระหว่างสองดินแดนเพิ่งสิ้นสุดไปสองปี ทุกคนหวาดกลัวอย่างมากว่าจะเกินสงครามที่น่าสะพรึงกลัวขึ้นอีกครั้ง
แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นกลับไม่ใช่กองทัพแต่เป็นเพียงรถม้า!
แค่รถม้าจะสามารถเคลื่อนไหวดุดันราวกับกองทัพนับพันเลยรึอย่างไร? น่าทึ่ง! ที่อัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นคือรถม้ามีขนาดเล็กมาก ขนาดของมันนั้นราวๆฝ่ามือเท่านั้น ตัวรถนั้นเป็นสีม่วงลายกระทิงทองคำ หากมองให้ดีจะพบว่าส่วนของลวดลายกระทิงนั้นถูกสร้างขึ้นจากแร่โลหะ
ทันทีที่รถม้าหยุด ชั้นมิติก็พังทลาย กฎแห่งเต๋าราวกับถูกบีบรัดจนเกิดช่องว่างมิติ
น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก มันคือรถม้าอะไรกันแน่?
“นะ นั่นมันโลหะหยดเลือดนกอมตะ!”
ชายชราคนหนึ่งกล่าวเดียวน้ำเสียงสั่นสะท้าน พลังบ่มเพาะของเขาไม่สูงมากนัก แต่ดูแล้วเป็นชายชราที่ทรงภูมิ
“อะไรคือโลหะหยดเลือดนกอมตะ?” หลายคนถามด้วยความสงสัย
“วัตถุดิบเซียน!” ชายชราทรงภูมิกล่าวออกมา ทุกคนที่ได้ยินต่างตกตะลึง
Anchor
วัตถุดิบเซียน… มันคือแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบเจ็ดเป็นอย่างน้อยซึ่งมีไว้สำหรับหลอมอาวุธเซียน
วัตถุดิบนั้นไม่สำคัญว่าจะเป็นโลหะ หิน หรือไม้
“ลวดลายกระทิงทองคำนั่นถูกสร้างขึ้นจากโลหะหยดเลือดนกอมตะ” ร่างของชายชราทรงภูมิสั่นเครือ คำพูดของเขาแฝงไว้ด้วยน้ำเสียงแห่งความตื่นเต้น “ห้องของของรถม้าที่สร้างจากไม้นั่นก็ดูเหมือนจะสร้างขึ้นจากวัตถุดิบเซียนเช่นกัน!”
“ในชีวิตนี้ได้เห็นวัตถุดิบเซียนด้วยตาตัวเอง… ข้าสามารถตายโดยไม่มีอะไรจะเสียใจแล้ว!”
ไม่ใช่วัตถุดิบเซียนเพียงชนิดเดียว แต่มีถึงสอง?
ทุกคนตะลึงจนอ้าปากค้าง ใครกันที่นั่งอยู่บนรถม้านั่น? พื้นเพของเขาต้องน่าสะพรึงกลัวมากแน่นอน
รถม้าหยุดวิ่งเมื่อมาถึงหน้าทางเข้าหุบเขา แม้กฎแห่งสวรรค์และปฐพีจะสลายไปก็ไม่ได้หมายความว่าจะหายไป หากเข้าไปด้านในก็ต้องถูกลดระดับพลังบ่มเพาะ แม้จะเป็นตัวตนระดับเซียนก็ไม่มีข้อยกเว้น
ไม่ใช่แค่ทางฝั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ตะลึง แม้แต่ฝั่งดินแดนใต้พิภพก็จ้องมองไม่วางตา แน่นอนว่าพวกเขาย่อมตระหนักถึงรถม้าที่สร้างจากวัตถุดิบเซียนถึงสองชนิดเช่นกัน
ประตูรถม้าเปิดออก ท่ามกลางสายตาของสาธารณะชนได้มีคนตัวเล็กกระโดดออกมาจากด้านใน
เป็นคนตัวเล็กจริงๆ ขนาดตัวของเขาคือสามนิ้วเท่านั้น คนตัวเล็กผู้นี้สวมชุดคลุมม่วงขลิบทอง ร่างของเขาปลดปล่อยกลิ่นอายราวกับสวรรค์เบื้องบน
“ชุกคลุมนั่นก็สร้างจากโลหะหยดเลือดนกอมตะ”
“พระเจ้าช่วย สามารถเปลี่ยนวัตถุดิบเซียนให้กลายเป็นเส้นไหมและทอเป็นชุดได้เช่นนี้ ต้องใช้วิธีการแบบใดกัน!”
ทุกคนสั่นสะท้าน สิ่งที่เห็นตรงหน้ามันน่าทึ่งเกินไปจนเหนือความเข้าใจของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
ร่างของชายตัวเล็กสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆขยายร่างกลับสู่ขนาดของคนปกติ เขาเป็นบุรุษหล่อเหลาที่ผิวงามดั่งหยก นี่ไม่ใช่การเปรียบเทียบ แต่ผิวทั่วร่างของเขาเหมือนกับเป็นหยกจริงๆ
“เป่ยหวง เจ้ายังมาไม่ถึงอีกรึ?” ชายคนนั้นแหงนหน้าและตะโกนขึ้นบนท้องฟ้า
ตอนที่ 1301
“ฮ่าๆๆ เจ้าไวกว่าข้าแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ไม่ได้รอนานอะไรเสียหน่อย” ในระยะที่ไกลออกได้มีเสียงตอบกลับมา เสียงนั้นราวกับกระซิบเข้าไปในหูจนได้ยินกระจ่างชัด
ชายร่างหยกยิ้มและกล่าว “เร็วกว่าก็คือเร็วกว่า หรือเจ้าจะไม่ยอมรับ?”
“ฮ่าๆ” หลังจากที่เสียงหัวเราะดัง ข้างกายชายร่างหยกก็มีบุรุษหล่อเหลาอีกคนปรากฏตัว กลิ่นอายของเขานั้นสูงส่งราวกับเป็นจักรพรรดิผู้ครอบงำท้องฟ้า
ตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวปรากฏตัวอีกแล้ว!
Anchor
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ตะลึง ถึงแม้นางจะมั่นใจในตัวหลิงฮัน แต่สองคนที่เพิ่งปรากฏตัวกับฉื้อหวงจี่่ก่อนหน้านี้นั้นเหนือว่าระดับของราชารุ่นเยาว์ไปแล้ว
ในส่วนของบุรุษสองคนที่ปรากฏตัว… พวกเขาล้วนแต่เป็นตัวตนระดับดารา ดูจากพลังชีวิตของพวกเขาที่ร้อนแรงดุจเปลวเพลิงแล้วเกรงว่าอายุของทั้งสองคงไม่เกินหมื่นปี
“เดี๋ยวก่อน ข้ารู้จักพวกเขา!” จู่ๆก็มีใครบางคนอุทานขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“พวกเขาคือใครกัน?” คนอื่นๆถาม
“ในอาณาเขตของดวงดาวเฟิงไห่ที่ห่างไกลออกไป มีเซียนที่ชื่อชิงไห่อยู่! เขามีศิษย์เพียงคนเดียวซึ่งชื่อของศิษย์คนนั้นก็คือเป่ยหวง! ซึ่งในอาณาเขตใกล้เคียงของดวงดาวเฟิงไห่ ได้มีเซียนผู้หนึ่งที่เป็นสิ่งมีชีวิตธาตุศิลาแห่งสวรรค์และปฐพี เขาได้ให้กำเนิดทายาทกับเผ่ามนุษย์โดยที่ทายาทผู้นั้นได้รับสืบทอดสายเลือดของเขาตั้งแต่เกิด ชื่อของทายาทคนนั้นคือ… ฉือหวง! (จักรพรรดิศิลา)”
ทุกคนโอดครวญออกมา เซียน… ในเขตดวงดาวของพวกเขามีเซียนอยู่จริงๆ!
ในขณะเดียวกันนั้น หยางหลินที่ครอบครองเพียงอาวุธเซียนไม่สมบูรณ์ดูด้อยค่าไปเลย เพราะอย่างที่เห็นว่าฉือหวงนั้นครอบครองรถม้าที่สร้างจากวัตถุดิบแห่งเซียนถึงสองชนิด
ตรงข้ามกับฉือหวงที่ปรากฏตัวอย่างโดดเด่น เป่ยหวงนั้นปรากฏตัวอย่างเรียบง่ายโดยไม่มีรถม้าหรือผู้ติดตามใดๆ
ทั้งสองคนมาที่นี่เพื่อร่วมการชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดน?
หลิงฮันพยักหน้าในใจ ในที่สุดดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็มีตัวตนะที่สามารถทัดเทียมกับฉื้อหวงจี่่ปรากฏตัวเสียที ซึ่งทั้งสองคนนี้เองก็จะกลายเป็นคู่ต่อสู้ของเขา
ในการต่อสู้ปรกติเขาไม่สามารถโค่นจอมยุทธระดับดาราได้แน่นอน แต่ภายในป่าภูผาวารี พลังบ่มเพาะของทุกคนจะถูกลดเหลือระดับภูผาวารี ในการต่อสู้ระดับเดียวกันหลิงฮันไม่คิดว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้กับผู้ใด
เพราะอย่างไรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ของเขาก็เป็นทักษะจากดินแดนแห่งเซียน!
ฉือหวงกับเป่ยหวงเดินเข้าหุบเขาไปโดยไม่เหลียวมองผู้ใด ผ่านไปชั่วครู่ทั้งสองก็หายไปจากสายตา
การปรากฏตัวของราชาในหมู่ราชาทั้งสองทำให้เสียงโห่ของฝั่งดินแดนใต้พิภพเงียบลง ใครจะไปติดว่าจู่ๆดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะอัจฉริยะเช่นนี้ปรากฏตัว?
ที่จริงหากเพิ่มหลิงฮันไปด้วยจะเป็นสามคน
“ไม่ผิดแน่… คู่ต่อสู้ที่คู่ควร!” ดวงตาของอู่เมี่ยนส่องประกายผ่านชั้นผ้าที่ปิดหน้าเอาไว้
สำหรับราชารุ่นเยาว์เช่นพวกเขา ต่อให้ศัตรูจะเก่งแค่ไหนและจะไม่สามารถเอาชนะได้ในตอนนี้ พวกเขาก็ยังมีความทะเยอทะยานมุ่งมั่นที่จะเหนือกว่าศัตรูเหล่านั้น หากไร้เทียมทานอยู่เพียงผู้เดียวก็จะไร้ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดความก้าวหน้า
“น้องชายหลิง พวกเราก็ไปกันบ้าง?” อู่เมี่ยนกล่าว หลังจากพบเห็นอัจฉริยะราชามากมาย จิตใจของเขาก็ลุกโชนไปด้วยเพลิงสู้รบ
“ก็ดีเหมือนกัน!” หลิงฮันพยักหน้า
เสี่ยวชิงรอเขาอยู่ด้านนอกเนื่องจากระดับพลังบ่มเพาะของมันยังอ่อนแอเกินไปที่จะเข้าไปในหุบเขา หลิงฮันที่ไม่ต้องการเปิดเผยความลับของหอคอยทมิฬจึงไม่สามารถนำเสี่ยวชิงเข้าไปในหอคอยทมิฬต่อหน้าคนจำนวนมาก
ในส่วนของโสมเฒ่ากับเจ้ากระต่ายนั้น พวกมันอาจจะไม่ได้ต้องการเข้าไปในในหุบเขาแห่งนี้ หรือพวกมันอาจจะไม่สนใจในตำแหน่งราชาของเหล่าอัจฉริยะด้วยซ้ำ
พวกหลิงฮันสามคนเดินเข้าไปในหุบเขา เพียงแค่เดินเข้าไปก้าวแรกพวกเขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันอันรุนแรงที่ทำให้พวกเขาอยากเดินกลับออกไป
หลิงฮันกับอู่เมี่ยนเป็นราชาแห่งยุคย่อมไม่มีปัญหาอะไร ส่วนสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์นั้นด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นอัจฉริยะสี่ดาว แรงกดดันเช่นนี้ไม่อาจจำกัดนางเอาไว้ได้
พวกเขาโคจรปราณก่อเกิดและเดินหน้าต่อโดยไม่มีปัญหา
เพียงแต่ว่าหลังจากเดินไปได้เกือบครึ่งทาง สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ก็ไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นได้อีกต่อไปและเหงื่อไหลออกมา ในทางตรงกันข้าม ทั้งหลิงฮันกับอู่เมี่ยนต่างเดินหน้าอย่างไร้ความลำบากและไม่มีท่าทีเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
เห็นได้ว่าอัจฉริยะสี่ดาวมีคุณสมบัติพอที่จะผ่านที่นี่ไปได้ แต่แรงกดดันที่ได้รับก็ไม่ใช่น้อยๆ
เห็นท่าทีของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ที่กำลังลำบาก หลิงฮันก็เอื้อมมือออกไปกอดพยุงนางเอาไว้
“ฮึ่ม เจ้ากำลังทำอะไร!” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์อุทานและรีบพลักหลิงฮันทันที
“ภรรยาข้า เห็นว่าเจ้ากำลังลำบากข้าเลยอยากช่วย” หลิงฮันยิ้ม
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เคอะเขิน ถ้ามีหลิงฮันกับนางสองคน เขาก็ไม่รังเกียจที่จะให้หลิงฮันกอด “มีคนมองพวกเราอยู่!”
อู่เมี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “น้องหลิง พวกเราเป็นผู้ฝึกตนที่ไฝ่หาจุดสูงสุดของวิถียุทธ ดังนั้นห้ามถูกสตรีทำให้ไขว้เขวเด็ดขาด!” เขาจ้องมองไปยังสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์โดยมีจิตสังหารปะทะอยู่เล็กน้อย สายตาของเขาราวกับว่าต้องการจะแก้ไขปัญหาเรื่องสตรีให้กับหลิงฮัน
ความประทับใจของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ที่มีต่อชายคนนี้ตกฮวบลงไปทันที ชายไร้หน้าคนนี้ไม่มีทางหาภรรยาได้แน่นอน!
หลิงฮันหัวเราะ “พี่ชายอู่เมี่ยน ท่านควรจะหาสตรีคู่กายไว้บ้างดีกว่า เชื่อข้าเถอะว่าวิถียุทธของท่านจะต้องก้าวหน้าแน่นอน หากมีคนรักท่านจะเกิดแรงกระตุ้นให้ตนเองไต่เต้าไปยังศาสตร์แห่งวรยุทธที่สูงขึ้นเพื่อปกป้องคนรักรอบกายท่าน”
อู่เมี่ยนส่ายหัว จิตใจของเขาเด็ดเดี่ยวและฝักใฝ่แต่วิถียุทธเท่านั้น
เมื่อมีหลิงฮันคอบกอดอุ้มเอาไว้ สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ก็ผ่อนคลายกว่าเดิมและทั้งสามคนก็ผ่านหุบเขาไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ทันทีที่แรงกดดันอันรุนแรงหายไป พลังงานลึกลับบางอย่างก็โอบล้อมทั้งสามคนเอาไว้ ในตอนนี้เองพลังบ่มเพาะของพวกเขาก็ถูกลดระดับลงไปเป็นระดับภูผาวารี
ไม่สิ ไม่เพียงแต่พลังบ่มเพาะอย่างเดียว แต่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ก็ถูกลดทอนลงไปด้วย ดูเหมือนว่า ณ ที่แห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นความสามารถด้านใดก็จะถูกจำกัดอยู่ที่ระดับภูผาวารี
“ลดลงมาเป็นระดับภูผาวารีจริงๆด้วย” หลิงฮันตรวจสอบพลังในร่างกายและพบว่าวงล้อสุริยันจันทราในร่างของเขาหายไปอย่างน่าประหลาด แม้แต่กายหยาบของเขาก็ถูกลดลงไปอยู่ที่แร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้า
เพียงแต่ว่ากายหยาบที่เทียบได้กับแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าก็ยังถือว่าอยู่ในระดับุสริยันจันทราอยู่ดี
เพราะงั้นแล้ว นอกเหนือจากราชาในหมู่ราชาที่ขัดเกลาพลังบ่มเพาะจนบรรลุระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์ชั้นสูงสุดที่มีจำนวนน้อยนิดแล้ว ราชาทั่วไปนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะทำลายการป้องกันของหลิงฮันเลย
คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์คือทักษะจากดินแดนแห่งเซียน ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็จะอยู่เหนือได้!
ตอนที่ 1302
ณ ที่แห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นระดับสุริยันจันทราหรือระดับดารา ระดับพลังก็จะถูกลดลงมาเหลือระดับภูผาวารี ต่อให้ครอบครองอาวุธเซียนก็ไร้ประโยชน์ ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไรพลังอำนาจที่สามารถใช้ได้จะถูกจำกัดอยู่ที่ภูผาวารีเท่านั้น
บางคนเพิ่งเคยเข้ามายังป่าภูผาวารีเป็นครั้งแรก แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ป่าภูผาวารีเปิดออก ดังนั้นต่อให้ไม่เคยมาที่นี่ก็ก่อนก็ต้องเคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับป่าภูผาวารีมาบ้าง
“ส่วนแรกคือการคัดเลือกราชาทั้งเก้า”
ป่าภูผาวารีกำเนิดขึ้นจากมิติที่ซ้อนทับกันของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของสวรรค์และปฐพี การคัดเลือกอัจฉริยะจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน
หลิงฮันก้าวเดินไปถึงด้านหน้าป่าขนาดใหญ่ที่มีแท่นยืนขนาดใหญ่และเล็กเรียงกันอยู่เก้าแท่น ส่วนแรกของการคัดเลือกอัจฉริยะคือการก้าวขึ้นไปยืนบนแท่น หลังจากผ่านไปสามวันแล้วใครก็ตามที่สามารถยืนอยู่บนแท่นทั้งเก้าได้จะได้รับพรจากสวรรค์และปฐพี และหลังจากนั้นอัจฉริยะทั้งเก้าจะถูกส่งตัวไปยังป่าภูผาวารีครึ่งหลัง ที่นั่นจะเป็นการปะทะกันของอัจฉริยะทั้งเก้าเพื่อแย่งชิงตำแหน่งราชาในหมู่ราชา
ในการคัดเลือดราชาทั้งเก้านั้น หากแท่นยืนใดไม่สามารถตัดสินผู้ชนะได้ ผู้ประลองในแท่นนั้นก็จะถูกตัดสิทธิ์ทั้งคู่
ราชาในหมู่ราชามีได้เพียงคนเดียวก็จริง แต่ในช่วงสิ้นสุดการคัดเลือก ราชาทั้งเก้าจะได้รับวาสนาจากสวรรค์และปฐพี รากฐานของพวกเขาจะได้รับการขัดเกลา นอกจากกายหยาบจะถูกยกระดับแล้ว แม้แต่ความเข้าใจในกฎแห่งเต๋าอันลึกลับก็จะขยายขอบเขตเพิ่มขึ้นหลายปีจนนับไม่ถ้วน
วาสนาเช่นนี้ล้ำค่าเป็นอย่างมาก อัจฉริยะมากมายยอมเดินทางมาจากดวงดาวอันแสนไกล
การปรากฏตัวของเป่ยหวงและฉือหวงเป็นข้อพิสูจน์เรื่องนี้อย่างดี
เพียงแต่ว่าแต่ละคนสามารถรับพรได้เพียงสองครั้งเท่านั้น ซึ่งพรจากการคัดเลือกในส่วนแรกกับส่วนสองก็แยกออกมาจาก พรแรกคือการคัดเลือกราชาทั้งเก้า ส่วนพรที่สองคือการคัดเลือกราชาในหมู่ราชา
เพราะงั้นแล้ว หากอัจฉริยะคนใดได้รับคัดเลือกเป็นราชาในหมู่ราชาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่อีกครั้ง ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการเสียเวลาเปล่าๆ
ตอนนี้แท่นทั้งเก้ายังไม่เปิดออก ทุกคนจึงทำได้เพียงรอคอยและจ้องมองเท่านั้น
ในการคัดเลือกส่วนนี้ เหล่าราชาอย่างหยางหลินหรือแม่นางหยุนต่างเลือกที่จะไม่แย่งชิงแท่นของกันและกัน ถ้าราชาถึงสองคนเลือกแท่นยืนเดียวกันย่อมต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้หรือไม่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะถูกตัดสิทธิ์กันทั้งคู่เพราะตัดสินกันไม่ได้
เพราะงั้นแล้วเหล่าราชาจึงพยายามกระจายตัวกันเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ พวกเขาตั้งใจออมแรงไปตัดสินกันที่การประลองเพื่อตัดสินราชาในหมู่ราชาอันนองเลือด
หลิงฮันกวาดสายตามองและนับนิ้ว
คนที่มีคุณสมบัติแห่งราชา ณ ที่นี่นั้น ทางฝั่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ย่อมหนีไม่พ้นหยางหลิง แม่นางหยุน เย่วหยิง อู่เมี่ยน เป่ยหวง ฉือหวงและตัวเขารวมกันแล้วเจ็ดคน ในฝั่งของดินแดนใต้พิภพนั้น ที่เขาเห็นคงมีเพียงสองคนคือฉื้อหวงจี่่และอ้าวซื่อหยิน
ดังนั้นหากเขาต้องการให้สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ได้รับตำแหน่งเก้าราชา เขาก็ต้องจัดการหนึ่งในเก้าคนนี้เสียก่อน
หลิงฮันเพ่งเล็งไปยังอ้าวซื่อหยิน
หลังจากแท่นยืนเปิด การแย่งชิงจะดำเนินการไปถึงสามวัน ในระหว่างนั้นไม่ว่าใครก็สามารถท้าประลองแท่นยืนใดก็ได้ แต่คนที่แพ้จะไม่สามารถท้าประลองต่อได้เลยและต้องรอเวลาครึ่งก้านธูป และหลังจากแพ้ถึงสามครั้งก็จะหมดสิทธิ์ประลองไปอย่างสมบูรณ์
หลิงฮันจะยึดแท่นหนึ่งไปก่อน เมื่อผ่านไปสามวันค่อยให้สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ท้าประลองเขาและจงใจยอมแพ้ เมื่อผ่านไปครั้งก้านธูปเขาจะท้าประลองอ้าวซื่อหยินและเขี่ยอีกฝ่ายลงการแท่น
ตราบใดที่คำนวณเวลาเอาไว้เหมาะเจาะ อ้าวซื่อหยินก็จะไม่เหลือเวลามากพอให้ท้าประลองสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์
แต่ปัญหาก็คือดินแดนใต้พิภพมีอัจฉริยะระดับราชาที่ขัดเกลาพลังจนบรรลุระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์เพียงแค่สองคนจริงๆรึเปล่า?
หลิงฮันส่ายหัว นอกจากฉือหวงกับเป่ยหวงที่มาจากแดนไกลแล้ว ดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีราชาอยู่สี่คน ดินแดนใต้พิภพที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ย่อมต้องมีจำนวนของราชารุ่นเยาว์พอๆกัน
จากที่ดู บางทีราชาเหล่านั้นอาจจะยังมาไม่ถึง
“ไม่ต้องคิดเรื่องข้า” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กล่าว นางรู้ว่าหลิงฮันกำลังคิดอะไรอยู่
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ถ้าเจ้าได้รับวาสนา บางทีเจ้าอาจจะบรรลุชั้นสมบูรณ์ของระดับพลังได้”
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ส่ายหัว “พูดง่ายแต่ทำยาก!”
นางรู้ตัวดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่นางจะมีคุณสมบัติต่อกรกับราชาที่แท้จริงหากตัวนางไม่ได้ขัดเกลาพลังจนถึงขั้นสมบูรณ์ บางทีด้วยพลังสายเลือดของนางอาจจะช่วยให้เอาชนะคู่ต่อสู้ที่บรรลุระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์ชั้นต้นได้ แต่นั่นก็ต้องพึ่งดวงอยู่ดี
“ภรรยาข้า ไม่ต้องรีบร้อน ยังมีเวลาให้ดูสถานการณ์ตั้งสามวัน” หลิงฮันปลอบนาง
แต่ทันใดนั้นเองหลิงฮันก็ขมวดคิ้ว
นั่นเพราะทางฝั่งของดินแดนใต้พิภพมีฉัจฉริยะระดับราชาปรากฏตัวอีกสองคน หนึ่งคือราชสีห์ที่มีหัวสีทองกับอีกหนึ่งที่เป็นสิ่งมีชีวิตร่างควันไม่มีรูปร่างแน่นอน ร่างกายของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปมาโดยไร้กายหยาบ
ราชสีห์หัวทองมีชื่อว่าถัวป้าตง สิ่งมีชีวิตร่างควันมีชื่อว่าถังเก่อ เมื่อทั้งสองปรากฏตัว เหล่าอัจฉริยะของดินแดนใต้พิภพต่างส่ายหัว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะตระหนักถึงตัวตนของทั้งสองดีและพบว่าการแย่งชิงตำแหน่งเก้าราชาคงทำได้ยากเสียแล้ว
หลิงฮันติดสินใจลงมือตามแผน ตราบใดที่เขาไม่ไปแตะต้องเป่ยหวง ฉือหวงหรือฉื้อหวงจี่่ก็ไม่น่ามีอะไรยากลำบาก
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ไม่มีทางเลือกและพยักหน้าตอบรับ ในใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกปราบปลื้มที่คนรักของนางตั้งใจทำเพื่อนางขนาดนี้
ยังมีอัจฉริยะคนอื่นๆอีกที่ค่อยๆปรากฏตัว แต่พวกเขาไม่ได้มีศักยภาพระดับราชา ทุกคนนั่งลงกับพื้นเพื่อรอการคัดเลือกที่ใกล้จะเปิดม่าน
ในวันถัดมา ท้องฟ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงจนพื้นที่รอบๆกลายเป็นมืดสลัว หุบเขาที่พวกเขาเดินผ่านมาหายไปราวกับว่าไม่เคยมีมาก่อน
คนที่เพิ่งมาเป็นครั้งแรกย่อมตกตะลึง แต่คนที่เคยมีประสบการณ์มาก่อนแล้วมีท่าทีสงบนิ่ง ปรากฏการณ์เช่นนี้คือการปิดกั้นของป่าภูผาวารีที่ไม่อนุญาตให้ใครอื่นเข้ามาหลังจากนี้
ในขณะเดียวกัน หมอกที่ล้อมรอบแท่นทั้งเก้าก็สลายหายไป หรือก็คือการแย่งชิงตำแหน่งเก้าราชาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
“ฮ่าๆๆ!”
ฉือหวงกระโดดขึ้นไปยังแท่นยืนอันแรก ร่างของเขากลับไปมีขนาดสามนิ้ว ดูเหมือนว่านี่จะเป็นขนาดตัวที่แท้จริงของเขา ขนาดตัวที่เท่ากับคนปรกติที่เห็นก่อนหน้านี้สมควรเป็นรูปร่างที่ขยายขึ้นด้วยปราณก่อเกิดเหมือนกับหลิงฮันในตอนนี้
เป่ยหวงเป็นคนที่สองที่เคลื่อนไหว เขาไม่แย่งชิงกับฉือหวงและเลือกกระโดดไปยังแท่นที่สองพร้อมกับนั่งลง
ดวงตาของฉื้อหวงจี่่ส่องประกายด้วยเพลิงสู้รบ ดวงตะวันบนหัวของเขาปลดปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าจนผู้คนไม่สามารถเปิดตามองไปตรงๆ เขาจ้องมองไปยังฉือหวงและเป่ยหวงชั่วขณะก่อนที่จะเลือกกระโดดไปยังแท่นที่สาม
ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาสู้กับศัตรูที่ทรงพลังทั้งสอง
ตอนที่ 1303
ราชาในหมู่ราชาทั้งสามนำชิงแท่นไปก่อน ซึ่งทำให้ราชาคนอื่นตัดสินกันได้ง่ายขึ้นตราบใดที่หลีกเลี่ยงทั้งสามคน
“น้องหลิง ข้าขอนำไปก่อน” อู่เมี่ยนกล่าวและกระโดดไปยังแท่น
แท่นของราชามีทั้งหมดเก้าตำแหน่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกิดการปะทะของเหล่าอัจฉริยะขึ้นแน่ๆ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการหลีกเลี่ยง เพราะงั้นพวกเขาจึงรีบครอบครองแท่นยืนเสียแต่เนิ่นๆ เมื่อแสดงพลังของตนเองให้เห็น อัจฉริยะคนอื่นจะได้ไม่กล้ามาท้าประลองพวกเขา
ในขณะเดียวกัน หากลงมือช้าก็หนีไม่พ้นการปะทะกับราชาที่เลือกแท่นก่อน
แน่นอนว่าการลงมือช้าก็มีประโยชน์เช่นกัน พวกเขาสามารถเลือกคู่ต่อสู้ที่เหมาะสม หรืออาจจะร่วมมือกันจัดการราชาที่ครองแท่นได้ เพียงแต่ว่าวิธีการเช่นนี้นั้นช่างน่ารังเกียจ
หลิงฮันไม่เร่งรีบและเลือกดูสถานการณ์ไปก่อน
ตอนนี้แท่นราชาทั้งเก้าได้ถูกครอบครองเรียบร้อย
ฝั่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์คือเป่ยหวง ฉือหวง อู่เมี่ยน หยางหลิน แม่นางหยุน ในด้านฝั่งดินแดนใต้พิภพคือ ฉื้อหวงจี่่ ถัวป้าตง ถังเก่อและอ้าวซื่อหยิน
ไม่มีกฎว่าการแย่งแท่นราชาจะต้องเป็นการปะทะหนึ่งต่อหนึ่ง หลังจากบรรยากาศนิ่งเงียบอยู่นาน อัจฉริยะหลายสิบคนก็เริ่มท้าประลอง ถัวป้าตง ถังเก่อและอ้าวซื่อหยิน
ในด้านของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นอกจากเป่ยหวงกับฉือหวงแล้ว ราชาอีกสามคนก็ถูกอัจฉริยะใต้พิภพรุมท้าประลองเช่นกัน
ทุกคนมีโอกาสแพ้ได้เพียงสามครั้ง ดังนั้นตราบใดที่พวกเขาทำให้ราชาที่ครองแท่นพ่ายแพ้ได้สามครั้ง ราชาคนนั้นก็จะหมดสิทธิ์ไปโดยปริยายและใครที่โชคดีในหมู่พวกเขาก็จะได้ครองแท่นราชาแทน
แต่อัจฉริยะระดับราชาคืออะไร?
ไร้เทียมทานในหมู่จอมยุทธระดับเดียวกันถึงจะมีคุณสมบัติถูกเรียกว่าราชา หากราชาทั้งเก้าขัดเกลาพลังบ่มเพาะจนบรรลุขั้นสมบูรณ์แล้วล่ะก็ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้จำนวนมากขสู้กับพวกเขา
อู่เมี่ยน หยางหลิน ถัวป้าตงและคนอื่นๆแสดงอำนาจไร้เทียมทานออกมา เหล่าอัจฉริยะที่รุมท้าพวกเขาถูกส่งลงจากแท่นราชาเรียงคน
อัจฉริยะเหล่านั้นใบหน้าเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
ก่อนหน้าที่จะพบราชาเหล่านี้ พวกเขาเป็นฝ่ายอยู่เหนือผู้อื่นมาโดนตลอด พวกเขาไม่มีใครทัดเทียมในหมู่คนรุ่นเดียวกัน แม้แต่ปรมาจารย์ในรุ่นก่อนก็ยังถูกพวกเขาเหยียบย่ำ แต่หลังมาที่นี่กลับกายเป็นว่าพวกเขาต้องพบเจอกับชะตากรรมนั้นแทน
ทุกคนมีพลังระดับภูผาวารีเท่ากัน แต่พวกเขาไม่ได้ขัดเกลาพลังให้บรรลุขั้นสมบูรณ์ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก!
แต่ความผิดหวังไม่ได้ทำให้เหล่าอัจฉริยะสิ้นหวัง พวกเขาเกิดความมุ่งมั่นที่จะขัดเกลาระดับพลังปัจจุบันให้บรรลุขั้นสมบูรณ์
ผ่านไปสักพักในที่สุดเย่วหยิงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ลงมือท้าประลองอ้าวซื่อหยินแห่งดินแดนใต้พิภพ
เย่วหยิงนั้นเป็นดั่งดวงจันทร์ที่เชิดฉาย นางนั้นงดงามและมีเสน่ห์ นางทีสวมกระโปรงยาวอยู่ ทุกการก้าวเดินของนางทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับถูกดึงดูด
อ้าวซื่อหยินนั้นเป็นตัวตนที่ไร้หัวใจ เขานำหอกยาวออกมาและกล่าว “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าจักรวรรดิราชวงศ์เมฆาครามมีทักษะยุทธที่ยอดเยี่ยมแต่ไม่เคยได้ลิ้มรสซักครั้ง วันนี้ในที่สุดก็มีโอกาสเสียที”
Anchor
เย่วหยิงชักดาบออกมา ใบดาบในมือของนางส่องประกายราวกับแสงจันทร์ เมื่อผสานรวมกับชุดกระโปรงชาวของแล้วช่างดูงดงามอย่างน่าอัศจรรย์
“ตาย!” อ้าวซื่อหยินไม่รีรอและแทงดาบมังกรทมิฬในมือออกไปก่อให้เกิดเป็นเพลิงสีดำอันน่าสะพรึงกลัว อุณหภูมิรอบข้างเพิ่มสูงขึ้นในพริบตา เกรงว่าต่อให้เป็นแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าก็ต้องถูกหลอมอย่างรวดเร็ว
เย่วหยิงกวัดแกว่งดาบยาว ‘พรึบ’ ออร่าอันเย็นยะเยือกถูกปลดปล่อยออกมา ทักษะบ่มเพาะของนางสมควรเป็นทักษะธาตุน้ำแข็งซึ่งสามารถยับยั้งเพลิงของอ้าวซื่อหยินได้พอดี
ทั้งสองปะทะห้ำหั่นกัน ทุกคนจ้องมองการต่อสู้อย่างไม่กระพริบตา แม้แต่ราชาอีกแปดคนที่ครองแท่นก็ไม่มีข้อยกเว้น
ฉือหวง เป่ยหวงและฉื้อหวงจี่่อาจจะมีพลังบ่มเพาะที่สูงกว่า แต่เนื่องจากถูกลดระดับพลังบ่มเพาะลงมาทำให้พวกเขาไม่กล้าดูถูกราชาคนอื่น เพราะอย่างไรในระดับภูผาวารีนั้น พลังต่อสู้ของทุกคนย่อมถูกจำกัดและไม่ต่างกันเท่าไหร่
หลิงฮันเองก็สนใจเช่นกัน เขาเคยปะทะกับอ้าวซื่อหยินมาก่อน พลังของอีกฝ่ายแข็งพอสมควร แต่อำนาจมังกรของอีกฝ่ายนั้นไร้ความหมายเมื่อพบเจอกับอำนาจสวรรค์ของเขา แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือหอกมังกรทมิฬ
เย่วหยิงนั้นไม่มีความได้เปรียบในสองด้านนี้ นางมีเพียงพลังบ่มเพาะที่ขัดเกลาจนบรรลุระดับราชา แต่ตัวของนางไม่มีอำนาจพิเศษเช่นอำนาจมังกร ดาบของนางแข็งแกร่งก็จริงแต่ตอนนี้มันถูกลดทอนระดับมาจะกลายเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่กว่าๆ
อ้าวซื่อหยินหัวเราะ เขากวัดแกว่งหอกยาวพร้อมกับโคจรอำนาจมังกร ทันใดนั้นด้านหลังของเขาได้มีเงาของมังกรทมิฬปรากฏออกมา
เย่วหยิงได้รับผลกระทบจากอำนาจมังกรจนพลังต่อสู้ลดลงทันที
“อัจฉริยะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็งั้นๆ!” อ้าวซื่อหยินกล่าวอย่างอวดดี หอกในมือของเขากวัดแกว่งอย่างรุนแรงราวกับมังกรทมิฬกำลังพิโรธ
เย่วหยิงแผดเสียงคำรามปลดปล่อยแสงเงาแห่งจันทราออกจากปาก แสงเงาที่ปล่อยออกมาเปลี่ยนสภาพเป็นดวงจันทร์ลอยอยู่บนหัวของนางพร้อมกับแพร่กระจายแสงจันทราอันเย็นยะเยือกและคอยคุ้มกันอำนาจมังกรของอ้าวซื่อหยิน
พลังต่อสู้ของนางกลับคืนเป็นปรกติ ดาบในมือของนางส่องประกายและเข้าปะทะกับหอกยาวของอ้าวซื่อหยิน
หลิงฮันพยักหน้า อัจฉริยะระดับราชาเช่นนางจะแพ้ง่ายๆได้อย่างไร ใครบ้างจะไม่มีไพ่ลับซ่อนเอาไว้?
Anchor
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ส่ายหัวและกล่าว “ช่างข้าเถอะ ข้าไม่แข็งแกร่งพอที่จะทัดเทียมกับคนเหล่านั้น ข้าตั้งใจจะลองพยายามแย่งแท่นราชาดู แต่ตอนนี้ข้าหมดกำลังใจแล้ว”
“พูดอะไรไร้สาระ!” หลิงฮันจับข้อมืออันบอบบางของนางเอาไว้และกระซิบ “เจ้าคือภรรยาของข้า ข้าบอกว่าเข้ามีคุณสมบัติยืนอยู่บนแท่นราชาเจ้าก็ต้องมี! ยิ่งกว่านั้นตำแหน่งราชาที่ข้าจะแย่งมาให้เจ้าก็คือแท่นของสิ่งมีชีวิตใต้พิภพ การกระทำของข้าถือว่านำพาเกียรติมาให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์อดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าพูดเหมือนกับว่าเจ้าครอบครองตำแหน่งถึงสองตำแหน่งแล้วงั้นล่ะ”
หลิงฮันยิ้ม “เจ้ากำลังดูถูกสามีของเจ้างั้นรึ?”
“เจ้าคนช่างพูด!” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กล่าวด้วยใบหน้ายั่วยวน
หลิงฮันรู้สึกถูกกระตุ้น แต่โชคร้ายที่เขาเพิ่งคืนสภาพให้ร่างกายได้แค่ห้าถึงหกปี เขายังไม่มีศักยะภาพพอที่จะจับกดนาง
‘เพี๊ยะ’ เขาตบต้นขาของนางด้วยความหมันไส้
“ทำอะไรของเจ้า?” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ไม่เข้าใจถึงการกระทำของหลิงฮัน เหตุใดๆจู่ๆเขาถึงตบต้นขาของนางอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ยุงกัดเจ้าน่ะ” หลิงฮันกัดฟันระงับอารมณ์ที่แผ่ซ่าน
ตอนที่ 1304
ในที่สุดการต่อสู้ระหว่างอ้าวซื่อหยินและเย่วหยิงก็มาถึงจุดสิ้นสุด และจบลงด้วยชัยชนะของอ้าวซื่อหยุน
ตามความคิดเห็นของหลิงฮัน มันไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของเย่วหยิงอ่อนแอกว่าฝ่ายตรงข้าม แต่เป็นเพราะอ้าวซื่อหยุนใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์และพลังสายเลือด
สำหรับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของอ้าวซื่อหยุนนั้นคือกระดูกสันหลังของมังกร มันเชื่อมต่อกับโลหิตของเขาและสามารถเพิ่มพลังต่อสู้ให้เขาได้ และเมื่้อใช้พลังของโลหิตมังกรทมิฬก็จะทำให้อ้าวซื่อหยินแข็งแกร่งเย่วหยิงมากขึ้นไปอีก ดังนั้นในระดับพลังเดียวกัน เมื่อใช้พลังทางสายเลือดและอาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาควบคุมสถานการณ์ได้
ถึงมีระดับพลังเท่ากันจะดูเหมือนยุติธรรม แต่ความจริงแล้วไม่ยุติธรรม
แต่เนื่องจากที่นี่สามารถใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้ ดังนั้นแพ้ก็คือแพ้ ไม่มีข้อแก้ตัว
เย่วหยิงนั่งลงและเริ่มฟื้นฟูพลังปราณ นางยังเหลือการต่อสู้อีกสองรอบ
หลิงฮันพยักหน้าอยู่ในใจ ดูเหมือนความต่างชั้นระหว่างอัจฉริยะระดับราชานั้นใหญ่มาก ยกเว้นเขาและเย่วหยิงที่มีความสามารถเขย่าบัลลังก์เก้าราชาบนแท่นได้
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาไปเอง!
หลิงฮันกระโดดขึ้นไปบนแท่น
ฝ่ายตรงข้ามที่เขาจะเผชิญหน้าคือจอมยุทธจากดินแดนใต้พิภพที่มีหัวสิงโตทองคำ – ถ้วป้าตง
ใครบางคนท้าทายเก้าราชา!
“เจ้าหมอนั่น…เป็นใครกัน?”
“ข้าไม่รู้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เขาคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งพอที่จะท้าทายเก้าราชาอย่างนั้นรึ?”
บางคนสงสัย บางคนเหยียดหยาม บางคนก็ตั้งหน้าตั้งคารอดู หากตำแหน่งราชาทั้งเก้าถูกตัดสินเร็วเกินไปคงเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก
อ้าวซื่อหยินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ถ้าหลิงฮันท้าทายเขา เขาก็อาจเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ได้
ก่อนหน้านี้ทั้งที่มีความได้เปรียบเหนือหลิงฮันอย่างท่วมท้น ถึงแม้เขาจะไม่ได้พ่ายแพ้ให้กับหลิงฮัน แต่ก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบทุกด้าน
ถ้วป้าตงจ้องมองสำรวจความแข็งแกร่งของหลิงฮันด้วยสายตาเหยียดหยามและระมัดระวัง
“เจ้าเป็นศัตรูตัวฉกาจของข้า” ถัวป้าตงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและแผงคอสีทองของเขาก็ตั้งชั้นขึ้นแสดงให้เห็นถึงความสง่างามของราชาแห่งสัตว์อสูร
หลิงฮันส่ายหัวและพูดว่า “น่าเสียดาย เจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้ข้าเรียกเจ้าว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจ” มีเพียงแค่เป่ยหวง ฉือหวง และฉื้อหวงจี่่ ที่แข็งแกร่งพอให้เขาเรียกอีกฝ่ายว่าศัตรูตัวฉกาจได้
“อวดดี!” ถัวป้าตงคำราม และตบฝ่ามือไปที่หลิงฮัน
ตู้ม พลังปราณก่อเกิดถูกควบแน่นกลายเป็นอุ้งมือสิงโตยักษ์ที่ตบไปที่หลิงฮัน
มันไม่ใช่เทคนิคหรือทักษะอะไรทั้งสิ้น เป็นแค่ฝ่ามือธรรมดาเท่านั้น
หลิงฮันสะบัดนิ้วและฝ่ามือสิงโตยักษ์ก็แยกออกเป็นสองส่วนเบี่ยงไปทางด้านซ้ายและขวาเคลื่อนที่ผ่านหลิงฮันไป
หืม!
มีเสียงอุทานดังมาจากด้านล่าง แม้ว่าถ้วป้าตงจะไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด แต่หลิงฮันสามารถสลายการโจมตีของอีกฝ่ายได้ง่ายเกินไป ราวกับว่าคู่ต่อสู้ของเขาไม่ใช่ราชา แต่เป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีทั่วไป
อู่เมี่ยนถอนหายใจ ในตอนที่เขาลดระดับพลังของตัวเองเพื่อต่อสู้ในระดับเดียวกับหลิงฮัน แต่เขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะหลิงฮันได้ ความสามารถของชายคนนี้ไม่อาจหยั่งถึง
เป่ยหวง ฉือหวงและฉื้อหวงจี่่เผยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น ในแง่ของพลังต่อสู้ของพวกเขาคือระดับดารา เพียงแค่ปล่อยฝ่ามือก็สามารถสยบหลิงฮันได้แล้ว แต่ที่นี่ทุกคนอยู่ระดับภูผาวารีเหมือนกันหมด ยกเว้นพลังทางสายเลือด ทักษะกับเทคนิคและความสามารถในการต่อสู้ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อพลังต่อสู้
“เจ้าก็พอมีฝีมืออยู่บ้าง ไม่แปลกที่เจ้าจะทำตัวอวดดีแบบนั้น” ถ้วป้าตงพูดอย่างเย็นชา ถึงแม้เขาจะไม่ประสบความสำเร็จในการโจมตีใส่หลิงฮัน แต่เขาก็ยังคงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม
“เจ้าจะพ่ายแพ้ให้กับข้าภายในสิบกระบวนท่า” หลิงฮันกล่าว
อันที่จริงเขาสามารถปิดฉากได้เร็วกว่านั้น แต่จะดีกว่าถ้ายังถ่อมตัวอยู่บ้าง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถ้วป้าตงก็โกรธแทบจะบ้าคลั่ง ทั้งที่เขาเป็นอัจฉริยะระดับราชา แต่อีกฝ่ายกลับพูดว่าเขาจะพ่ายแพ้ภายในสิบกระบวนท่า เขาหัวเราะด้วยความโกรธและพูดว่า “ดี ข้าอยากเห็นยิ่งนักว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะข้าภายในสิบกระบวนท่าได้อย่างไร!”
หลิงฮันยิ้มและกระโจนออกไป พรึบ อักขระศักดิ์สิทธิ์บนมือของเขาเริ่มส่องแสงและระเบิดแสงสว่างออกมา เปรี๊ยง ทันใดนั้นเสียงฟ้าผ่าและสายฟ้าก็พุ่งเข้าหาถัวป้าตง
“อะไรกัน!”
ชั่วครู่ต่อมา ไม่ว่าจะเป็นใครก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมาให้เห็น
ทุกคนที่อยู่ที่นี่จะมีใครไม่เคยรับทัณฑ์สวรรค์บ้าง? แน่นอนพวกเขาย่อมรู้ดีว่าสายฟ้าของทัณฑ์สวรรค์นั้นน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน อาจกล่าวได้ทัณฑ์สวรรค์คือพลังของธรรมชาติที่อันตรายที่สุดในโลก
แต่ทัณฑ์สวรรค์เป็นพลังของพระจ้าที่ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ แม้ว่าจอมยุทธจะสามารถควบคุมพลังสายฟ้าได้ก็ตาม แต่มันแตกต่างจากทัณฑ์สวรรค์อย่างสิ้นเชิง
ทว่าในมือของหลิงฮันกลับเป็นสายฟ้าของทัณฑ์สวรรค์!
เขาบ้า นี่เขาบ้าไปแล้ว!
บางคนแค่ตกตกตะลึง แต่ถ้วป้าตงยืนเกร็งกล้ามเนื้อทั้งตัวและเกิดความกลัวขึ้นในใจอย่างไม่อาจอธิบายได้
หรือว่าเขาจะต้องมาตายที่นี่?
ไม่ใช่!
อย่างไรก็ตาม ถัวป้าตงก็ยังคงเป็นอัจฉริยะระดับราชา เขาส่งเสียงคำราม กล้ามเนื้อของเขาเริ่มพองโต เสื้อผ้าของเขาฉีกขาดและกลายร่างเป็นราชสีห์ทองคำที่สูงสิบฟุตและมีเส้นผมเหมือนทองคำ
“ทำลาย!” ถัวป้าตงต่อยหมัดออกไปปะทะสายฟ้าของหลิงฮัน และอักขณะศักดิ์สิทธิ์เก้าสิบเก้าตัวบนหมัดของเขาก็ส่องแสงสว่างเช่นเดียวกับทองคำ
ขีดจำกัดของระดับภูผาวารีคืออักขระศักดิ์สิทธิ์เก้าสิบเก้าตัว และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีมากกว่านี้
ตู้ม!
เสียงระเบิดที่ดัง ทำให้ร่างของถัวป้าตงถอยกลับไปด้านหลังไปที่ขอบแท่นจนเกือบจะตก
“อ๊าก!” เขากระอักโลหิตออกมาและจ้องมองหลิงฮันด้วยความหวาดผวา
นั่นไม่ใช่แค่เหมือนทัณฑ์สวรรค์ แต่เป็นทัณฑ์สวรรค์ของจริง!
พลังทำลายล้างของมันน่าสะพรึงกลัวมาก ทั้งที่พลังของทั้งสองคนเท่ากัน แต่การโจมตีเมื่อครู่ ทำให้กล้าเนื้อทั้งร่ายงกายของเขาต้องสั่นสะท้าน
เขากำลังเผชิญหน้ากับจอมยุทธ แต่กลับต้องมารับทัณฑ์สวรรค์ แล้วใครจะต้านทานได้?
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป กระทั่งราชาทุกคนก็เผยท่าทางระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น แม้ว่าหลิงฮันจะไม่ได้ท้าทายพวกเขา แต่หลังจากที่ตำแหน่งราชาทั้งเก้าคนถูกตัดสินแล้ว ต่อไปก็จะเป็นการต่อสู้ระหว่างราชาเพื่อชิงอันดับหนึ่ง
หลิงฮันเป็นคนที่พวกเขาไม่อาจมองข้ามได้
มีเพียงแค่ เป่ยหวง ฉือห่วง และฉื้อหวงจี่่เท่านั้นที่ดูตื่นเต้นและกระหายการต่อสู้ คู่ต่อสู้อย่างหลิงฮันคือคนที่พวกเขาอยากปะมือด้วย
หมัดของหลิงฮันและสายฟ้ากลายเป็นมังกรคำรามและกระหน่ำโจมตีถ้วป้าตงอย่างดุเดือด ซึ่งทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายที่ทำได้แค่ป้องกัน เขาต้องงัดทุกอย่างออกมาใช้ มิฉะนั้นจะไม่มีพลังเหลือที่จะตอบโต้
ทุกคนหายใจเข้าลึกๆ ทั้งที่ถัวป้าตงเป็นอัจฉริยะระดับราชา แต่กลับถูกหลิงฮันกระหน่ำโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว นี่คือความแข็งแกร่งของราชาอย่างนั้นหรือ?
นี่ยังนับว่าเป็นการต่อสู้? ไม่ใช่ มันเป็นการทารุณกรรมอยู่ฝ่ายเดียว!
ตอนที่ 1305
คนที่เผยสีหน้าซับซ้อนมากที่สุดคือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ
ในอดีต นางสามารถเหยียบย่ำหลิงฮันได้ตามที่ต้องการ จนทำให้หลิงฮันต้องออกเดินทางตามหาโบราณสถานเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเอง
แต่ตอนนี้ หลิงฮันไม่เพียงแค่เป็นอัจฉริยะระดับราชาเท่านั้น แต่ยังเป็นราชาเหนือราชา!
แล้วนางรู้สึกอย่างไร?
นางยิ้มออกมาอย่างสดใส ถึงแม้ในอนาคตนางจะไม่แข็งแกร่งเท่าหลิงฮัน แต่มันก็เป็นเรื่องดีที่มีสามีแข็งแกร่งและพึ่งพาได้
“ข้าขอยอมแพ้!” ถัวป้าตงไม่ใช่คนที่ยอมแพ้ใครง่ายๆ แต่ในฐานะที่เขาเป็นอัจฉริยะระดับราชา ทำให้เขาสามารถมองเห็นความต่างชั้นระหว่างเขากับฝ่ายตรงข้ามได้อย่างชัดเจน
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “โอ้ว ดูเหมือนจะครบสิบกระบวนท่าพอดี”
ถ้วป้าตงยิ้มอย่างขมขื่น แม้ว่าหลิงฮันจะสามารถเอาชนะเขาได้ภายในสิบกระบวนท่า แต่นั่นยังไม่ใช่พลังทั้งหมดของอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ ในทางตรงกันข้าม ถ้าอีกฝ่ายใช้พลังทั้งหมด เขาคงพ่ายแพ้ตั้งแต่กระบวนท่าแรกแล้ว
อย่างไรก็ตาม เขาพ่ายแพ้แค่ครั้งเดียว และยังมีโอกาสอีกสองครั้งที่จะท้าคนอื่นสู้ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องต่อสู้จนตัวตายไปกับหลิงฮัน
เขากระโดดลงมาจากแท่นและพักฟื้นฟูพลังเช่นเดียวกับเย่วหยิง
ส่วนหลิงฮันก็นั่งลงและรอให้คนอื่นเข้ามาท้าทาย ถึงแม้จะไม่มีใครกล้าเข้ามาท้าทายก็ตาม
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเริ่มทำการท้าทายอีกครั้ง หลังจากพักฟื้นพลังเสร็จแล้ว แต่ครั้งนี้จำนวนมากกว่าครั้งก่อนมาก มีอัจฉริยะหลายร้อยคนรวบตัวอยู่บนแท่นเดียวกัน
คนที่พวกเขาจะท้าสู้ด้วยคือแม่นางหยุนและอ้าวซื่อหยิน
คนที่มาที่นี่ได้อย่างน้อยที่สุดต้องเป็นอัจฉริยะระดับสามดาว ดังนั้นเมื่อมีหลายคนมารวมตัวกัน ทำให้ดูน่าหวาดกลัว อย่างไรก็ตาม ทั้งแม่นางหยุนและอ้าวซื่อหยินทะลวงผ่านขั้นสมบูรณ์แล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็ทำให้พวกเขามีพลังต่อสู้สี่ดาว ซึ่งนั่นเพียงพอที่จะต่อสู้กับคนร้อยคนได้
– โดยปกติแล้ว จอมยุทธสิบคนสามารถสร้างความแตกต่างของพลังต่อสู้ได้หนึ่งดาว แล้วถ้าสี่ดาวต้องกี่คนล่ะ? หนึ่งหมื่นคน! และต้องให้หนึ่งหมื่นคนโจมตีพร้อมกันเป็นค่ายกล ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะลงมือได้อย่างพร้อมเพรียง
หลังจากที่ถ้วป้าตงและเย่วหยิงพักฟื้นพลังจนเพียงพอก็เริ่มที่จะท้าทาย คนหนึ่งเลือกหยางหลิน อีกคนหนึ่งเลือกถังเก่อ
นี่เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดและตื่นเต้น หลังจากต่อสู้เป็นเวลานานในที่สุดเย่วหยิงก็ชนะถังเถ่อ ส่วนถัวป้าตงพ่ายแพ้ให้กับหยางหลิน
ตอนนี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ครอบครองตำแหน่งเก้าราชาถึงเจ็ดคน
ในขณะที่เย่วหยิงและหยางหลินเพิ่งผ่านการต่อสู้มา คนอื่นๆก็ตั้งกลุ่มเข้ามาท้าพวกเขาสู้อีกครั้ง ทว่าเสือที่ได้รับบาดเจ็บก็ยังคงเป็นเสืออยู่ดี สุนัขหมาหมู่ไม่กี่ตัวก็ยังไม่เพียงพอที่จะต่อแย่งชิงตำแหน่งไปจากพวกเขา
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป นอกจากเป่ยหวง ฉือหวง หลิงฮันและฉื้อหวงจี่่แล้ว ราชาอีกคนยังคงตกเป็นเป้าหมายและต้องต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อรักษาตำแหน่งเอาไว้
สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถังเก่อกลายเป็นราชาคนแรกที่ถูกตัดสิทธิ์อย่างสมบูรณ์ และไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เย่วหยิงก็กลายเป็นคนที่สอง ตอนนี้ตำแหน่งราชาทั้งเก้าคนได้ถูกกำหนดแล้ว
– ไม่มีใครสามารถเขย่าบัลลังก์ของราชาทั้งเก้าคนนี้ได้อีกต่อไป
หลิงฮันนั่งยิ้มและยังคงรอให้คนมาท้าสู้อยู่ แต่เมื่อเหลือเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขาก็พยักหน้าส่งสัญญาณให้กับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะพยักหน้าและกระโดดขึ้นไปบนแท่น
เกิดอะไรขึ้น?
ทุกคนดูประหลาดใจ ตอนนี้ยังมีคนที่กล้าท้าสู้เหลืออยู่อีกอย่างนั้นรึ? ยิ่งไปกว่านั้นคนที่นางท้าสู้ด้วยคือหลิงฮันที่เป็นราชาเหนือราชา!
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสยายปีกทั้งสองข้างและสร้างเปิดเพลิงขึ้นมาโหมกระหน่ำใส่หลิงฮัน
“อะไรกัน!” หลิงฮันกรีดร้องและตกลงไปจากแท่น
หืม! มันจะเป็นไปได้ยังไง!
เมื่อเห็นฉากที่เกิดขึ้น ทุกคนถึงพูดไม่ออก
เปลวเพลิงของนางยังไม่ทันถึงตัวเจ้า แต่เจ้ากลับกรีดร้องแล้ว? มันไม่เนียน!
คนที่มาถึงที่นี่ได้จะเป็นคนโง่ได้อย่างไร? พวกเขาสามารถคาดเดาได้ทันทีว่าหลิงฮันจงใจพ่ายแพ้ให้กับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ ตอนนี้ใกล้จะครบกำหนดเวลาแล้ว ความตั้งใจของหลิงฮันนั้นชัดเจน เขาต้องการมอบตำแหน่งราชาให้กับผู้หญิงคนนี้
นั่นหมายความว่าพวกเขายังมีโอกาส!
เมื่อเห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะเข้ามาแทนที่หลิงฮัน ทุกคนดูมีความสุขอยู่พักหนึ่ง แต่ปัญหาของคนส่วนใหญ่คือใช้โอกาสท้าสู้สามครั้งหมดแล้ว และตอนนี้ทำได้แค่ดูเท่านั้น
อย่างไรก็ตามก็ยังมีบางคนที่ยังใช้โอกาสท้าสู้สามครั้งยังไม่ครบ แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาอ่อนแอกว่านางมาก ดังนั้นพวกเขาจึงยินดีที่จะเป็นผู้ชมอยู่ห่างๆ ซึ่งแต่เดิมที่พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อดูอัจฉริยะระดับราชาต่อสู้กันเพื่อทำให้เกิดความรู้และแรงบันดาลใจ
หลิงฮันที่อยู่ใต้แท่นลุกขึ้นยืน เขากำลังรอให้เวลาผ่านไปเพื่อที่จะได้ท้าทายอีกครั้ง
หลังจากที่ตกมาจากแท่น เขาก็พบว่ามีแถบสีดำอยู่บนมือและมีพลังปราณสีดำล้อมรอบตัวเขา ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
หลังจากผ่านไปสักพัก ปราณสีดำก็หายไป แต่แถบสีดำยังไม่หาย
นี่แสดงให้เห็นว่าปราณสีดำเอาไว้ยับยั้งเขาเอาไว้เพื่อพักการท้าทาย แต่หลังจากผ่านไปครึ่งธูปดับมันก็จะหายไป ส่วนแถบสีดำแสดงถึงจำนวนที่เขาล้มเหลว เมื่อมีแถบสีดำครบสามขีดเขาก็จะไสามารถขึ้นไปบนแท่นได้อีกต่อไป
หลิงฮันหันไปมองอ้าวซื่อหยินด้วยรอยยิ้ม
ข้าเรอะ! บัดซบ!
อ้าวซื่้อหยุนด่าทอหลิงฮันในใจ และหลิงฮันก็กระโดดขึ้นมายืนอยู่บนแท่นเดียวกับเขา
ในตอนนี้เงาดำรอบตัวของอ้าวซื่อหยินนั้นใหญ่เกินกว่าจะบรรยายได้
เขาอุตส่ารักษาตำแหน่งมาอย่างเหนียวแน่นจนถึงตอนนี้ และเกือบจะทำสำเร็จแล้ว แต่กลับต้องมาต่อสู้กับหลิงฮันตอบจบ
บัดซบ! บัดซบ! บัดซบ!
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เหลือเวลามากกว่าครึ่งธูปหมดก็จะครบสามวันและเขาเพิ่งจะล้มเหลวเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ดังนั้นหลังจากที่เขารอเวลาครึ่งธูปหมด เขาก็ยังมีโอกาสที่จะเข้าไปท้าสู้กับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะเพื่อทวงตำแหน่งราชาของเขามา
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ อย่าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!” หลิงฮันกล่าว
ปากของอ้าวซื่อหยินกระตุก เขากรีดร้องและพูดว่า “ข้ายอมรับความพ่ายแพ้!” เพื่อที่จะทวงตำแหน่งกลับมา เขาก็ไม่รังเกียจที่จะยอมเสียหน้า
“ข้าปฏิเสธ!” หลิงฮันส่ายหัวและพุ่งเข้าไปต่อยอ้าวซื่อหยินด้วยหมัด “ข้าต้องการต่อสู้กับเจ้า!”
ตู้ม ตู้ม ตู้ม อ้าวซื่อหยินทำได้แค่หลบเลี่ยงการปะทะและไม่มีโอกาสที่จะลงมาจากแท่น
ที่เขาจะต้องสูญเสียโอกาสท้าสู้อีกรอบไปทั้่งๆแบบนี้อย่างนั้นรึ?
ตอนที่ 1306
อ้าวซื่อหยินอยากจะยอมแพ้โดยพยายามลงจากแท่นแต่ก็ถูกหลิงฮันก็กีดกันเอาไว้อยากไม่หยุดหย่อน
อย่าทำแบบนี้กับข้า
อ้าวซื่อหยินอยากจะร้องไห้และได้แต่โอดครวญในใจ ข้ามอบแท่นให้เจ้าไปแล้วไม่ใช่รึไง?
“โอ้ ข้าไม่ใช่คนไร้มารยาท ถ้าเจ้าอยากจะไปข้าก็จะรับหน้าที่ส่งเจ้าให้เอง” หลิงฮันสะบัดเท้าเตะไปยังก้นของอ้าวซื่อหยิน ‘ปัง’ อีกฝ่ายร่วงลงไปยังพื้นทันที
อ้าวซื่อหยินกระพริบตา ในที่สุดหลิงฮันก็ยอมปล่อยเขาเสียที แต่เขาดีใจได้ไม่นาน ใบหน้าของอ้าวซื่อหยินก็เปลี่ยนสี
ระยะเวลาแย่งชิงแท่นราชาคือสามวัน ซึ่งตอนนี้เหลือเวลาเพียงน้อยนิด
หรือพูดอีกอย่างคือหากเขาต้องรอให้ถึงเวลาท้าประลองใหม่ ระยะเวลาสามวันก็จะมาถึงจุดสิ้นสุด
“หลิงฮัน ข้ากับเจ้าไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้!” อ้าวซื่อหยินคำรามด้วยความเกลียดชังอย่างถึงที่สุด
“หูข้าดีอยู่แล้ว เจ้าไม่ต้องพูดดังขนาดนั้นก็ได้” หลิงฮันสะบัดมือลวกๆโดยไม่เก็บคำขู่ของอีกฝ่ายมาใส่ใจ
อ้าวซื่อหยินนำหอกยาวออกมาและต้องการจะขึ้นไปยังแท่นเพื่อบดขยี้หลิงฮันซักสามร้อยครั้ง ครั้งนี้เขาสาบานว่าจะใช้ไพ่ลับทั้งหมดที่มี ต่อให้ทักษะที่ทรงพลังที่สุดของเขาจะต้องเผาผลาญพลังชีวิตเขาก็ยินดี ไม่เช่นนั้นเพลิงแค้นในใจของเขาคงไม่มีทางมอดดับ
แต่ร่างของเขากลับมีพลังงานลึกลับเหนี่ยวรั้งเอาไว้ทำให้ไม่สามารถขยับไปไหนได้นอกจากยืนอยู่กับที่
‘ครืนนน’ หลังจากนั้นไม่นาน แสงสว่างสีขาวอันเจิดจ้าก็ปรากฏครอบคลุมไปทั่วแท่นทั้งเก้า ปรากฏการณ์เช่นนี้หมายถึงบุคคลอื่นห้ามขึ้นไปยังแท่นประลองเพื่อท้าประลองแล้ว
สามวันผ่านไปเรียบร้อย!
“อ้ากกก!” อ้าวซื่อหยินคำรามขึ้นท้องฟ้า แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ความหมาย
ตูมม!
ที่บนแท่นยืน คลื่นพลังแห่งเต๋าอันลึกลับสีขาวได้สาดลงมาจากท้องฟ้า ทำให้ราชาทั้งเก้ารู้สึกปลอดโปร่งและผ่อนคลาย
“นี่คือปราณแห่งเซียน” หอคอยน้อยกล่าว
“ว่าไงนะ!” หลิงฮันอุทาน
“ถึงแม้ในดินแดนแห่งเซียนพลังงานเช่นนี้จะไม่มีความหมาย แต่สำหรับดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้… เจ้าสามารถใช้มันเพื่อพัฒนาอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ขาดไปและยกระดับพลังต่อสู้ได้มหาศาล” หอตอยน้อยกล่าว
จิตใจของหลิงฮันสั่นสะท้าน ถ้าเขาต้องการทำลายผนึกเพื่อเข้าไปยังดินแดนแห่งเซียน เขาจำเป็นต้องเชี่ยวชาญอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์และดินแดนใต้พิภพ
ปราณแห่งเซียนนี้จะช่วยทดแทนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพที่เขาขาดหายไปได้?
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง แม้ปราณแห่งเซียนนี้จะไม่นับเป็นอันใดได้ในดินแดนแห่งเซียน แต่สำหรับสิ่งมีชีวิตในดินแดนศักดิ์สิทธิ์และดินแดนใต้พิภพ พลังปราณเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่จะช่วยให้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของพวกเขาสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของสองดินแดนที่ขัดแย้งกันจะสามารถผสานรวมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ?
ภายในใจของหลิงฮันมีความคิดนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมา แต่ในตอนนี้เขาจำเป็นต้องเก็บสิ่งที่คิดเหล่านั้นเอาไว้ทีหลังและเริ่มตั้งสมาธิดูดซับปราณแห่งเซียนเหล่านี้เพื่อยกระดับตนเอง
ด้วยก้อนพลังงานของจ้าวอสูร มันช่วยให้เขาแปลงกลิ่นอายเป็นของสิ่งมีชีวิตใต้พิภพเพียงอย่างเดียว มันไม่ได้ช่วยให้เขาเชี่ยวชาญอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพแต่อย่างใด ดังนั้นเขาจึงคิดจะใช้โอกาสนี้ขัดเกลาตนเองให้ก้าวหน้าไปยังเส้นทางที่ไร้จุดผิดพลาด
หอคอยน้อยไม่พูดอะไรอีกเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนหลิงฮัน
หลิงฮันเปิดรูขุมขนทั่วร่างเพื่อดูดซับพลังงานที่เรียกว่าปราณแห่งเซียน
ด้วยการดูดซับปราณแห่งเซียน ระดับพลังบ่มเพาะของเขาได้ถูกยกระดับสูงขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ พลังบ่มเพาะเดิมของเขาคือระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดชั้นต้นได้ถูกยกระดับเป็นขั้นสูงสุดชั้นสูงสุด เมื่อพลังบ่มเพาะเพิ่มมาถึงจุดนี้ ถ้าเขาไม่ทะลวงผ่านขั้นสมบูรณ์พลังบ่มเพาะของเขาก็ไม่สามารถยกระดับขึ้นได้อีก
เพียงแต่ว่านอกจากพลังบ่มเพาะ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเขาก็ถูกทำให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น พลังต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้วยระยะเวลาที่มีจำกัดหลิงฮันจึงไม่สามารถขัดเกลาพลังบ่มเพาะให้ทะลวงผ่านขั้นสมบูรณ์ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะพยายามขัดเกลาพลังให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ระยะเวลาที่ปราณแห่งเซียนจะคงอยู่คือสามวัน
ราชาทั้งเก้านั่งอยู่บนแท่น ไม่มีใครรู้ว่าพลังงานที่ตนเองได้รับนั้นแท้จริงแล้วคือปราณแห่งเซียน พวกเขารู้เพียงแค่ว่าพลังงานเช่นนี้เป็นประโยชน์ต่อตนเองจึงพยายามดูดซับมากที่สุด
เมื่อเวลาผ่านไป หลิงฮันรู้สึกว่ากระดูกและกล้ามเนื้อของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เขาไม่สามารถอธิบายได้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่ว่าคืออะไร แต่ที่รู้ก็คือการเปลี่ยนแปลงเป็นไปในทางที่ดี
แม้แต่หลักการการกำเนิดใหม่จากเถ้าถ่านของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ความเข้าใจของหลิงฮันก็พัฒนาขึ้นเป็นระดับใหม่
เขามั่นใจว่าหากได้อาบปราณแห่งเซียนเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา ระยะเวลาในการทำความเข้าใจการกำเนิดใหม่จากเถ้าถ่านของเขาจะลดลงเป็นเท่าตัว!
แต่โชคร้ายที่พลังงานเช่นนี้ล้ำค่าเป็นอย่างมาก เขามีเวลาดูดซับเพียงแค่สามวัน
กระดูกศักดิ์สิทธิ์ของเขาใสกระจ่างยิ่งขึ้นราวกับผลึกแก้วและส่องประกายราวกับทองคำ หากมองใกล้ๆจะเห็นว่ากระดูดของเขาโปร่งใสราวกับหยกแก้วและอัดแน่นไปด้วยรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์
นี่คือการเปลี่ยนแปลงของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ นอกจากหลิงฮันแล้วไม่มีใครเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
ไม่เพียงความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของสองดินแดนจะเพิ่มขึ้น แต่คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ก็แข็งแกร่งขึ้นด้วย!
‘ครืนนน’ แสงสีขาวที่โอบล้อมแท่นทั้งเก้าสลายหายไป ระยะเวลาสามวันได้มาถึงแล้ว
หลิงฮันยังขัดเกลาตนเองไม่เสร็จ เวลาแค่สามวันนั้นไม่เพียงพอเนื่องจากเขาจำเป็นต้องยกระดับพลังบ่มเพาะให้บรรลุขั้นสมบูรณ์ น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถบ่มเพาะพลังต่อได้ หากต้องการดูดซับปราณแห่งเซียนอีกครั้ง มีวิธีเดียวคือเขาต้องเอาชนะราชาคนอื่นๆและกลายเป็นราชาในหมู่ราชา
ในตอนนี้หลิงฮันเต็มไปด้วยความรู้สึกถูกกระตุ้น ความมุ่งมั่นของเขาไม่อาจถูกสั่นคลอน
‘ครืนน’ ทั้งเก้าคนถูกส่งไปยังป่าด้านใน การคัดเลือกรอบที่สองกำลังจะเริ่มต้น
หลิงฮันเดินไปหาสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ ถึงแม้นางจะเป็นอัจฉริชั้นแนวหน้า แต่นางก็ไม่อาจเทียบกับราชาคนอื่นๆได้ หากนางถูกเล็งเป็นเป้าหมายคงเป็นปัญหาใหญ่
หลังจากทั้งสองอยู่ด้วยกัน พวกเขาก็มองไปยังยอดสุดของภูเขา
การคัดเลือกราชาในหมู่ราชานั้นง่ายมาก ที่บริเวณยอดเขามีแท่นตั้งอยู่ หลังจากผ่านไปสามคน ราชาที่ยืนอยู่บนแท่นนั่นจะเป็นผู้ชนะ
“ข้าขอไม่เข้าร่วมประลองแย่งชิงครั้งนี้และรอเจ้าอยู่ที่นี่” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กล่าว
นางรู้ว่าหากนางติดตามหลิงฮันไปก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วง
หลิงฮันครุ่นคิดชั่วครู่และพยักหน้า “อืม!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์รั้งตัวเขาเอาไว้และกอดเบาๆ “ระวังตัวด้วย!” นางกล่าวด้วยความเป็นห่วงจากก้นบึ้งจิตใจ
หลิงฮันใช้โอกาสนี้จับข้อมือนางและดึงร่างเข้ามาจูบ สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ลนลานทันที ในตอนแรกนางคิดจะต่อต้าน แต่เมื่อถูกจูบไปสักร่างกายของนางก็อ่อนแรงและซบลงที่อกหลิงฮัน
จิตใจของหลิงฮันสั่นสะท้านด้วยเพลิงราคะ แต่ ‘ส่วนนั้น’ ของเขาในร่างเด็กน้อยกลับไม่ผงาดขึ้นมาแม้แต่น้อยทำให้เขาทำได้เพียงกัดฟันโกรธ
Anchor
กำเนิดใหม่จากเถ้าถ่าน… ข้าต้องฝึกฝนให้เชี่ยวชาญให้เร็วที่สุด!
หลิงฮันเดินต่อไปโดยมีสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์มองตามแผ่นหลังด้วยแววตาที่ขุ่นมัวด้วยน้ำตา
ป่าภูผาวารีมีขนาดไม่ใหญ่และมีความสูงเพียงพันฟุต แม้จะเป็นคนทั่วไปก็สามารถปีนขึ้นไปยังยอดเขาด้วยเวลาสั้นๆ ดังนั้นจึงไม่ต้องเอ่ยถึงจอมยุทธระดับพระเจ้าเช่นพวกเขา ผ่านไปไม่นานหลิงฮันได้ขึ้นมาถึงยอดเขา ซึ่งในตอนนี้คนอื่นๆอีกเจ็ดคนที่มารวมกันที่นี่แล้ว เพียงแต่ว่าการประลองแย่งชิงตำแหน่งยังไม่เริ่มขึ้น
“ในที่สุดก็มากันครบ!” แววตาของฉื้อหวงจี่่ส่องประกาย ดวงตะวันสีแดงบนหัวของเขาหมุนเป็นวงกลมพร้อมกับปลดปล่อยพลังที่รุนแรงกว่าปรกติร้อยเท่า เขาหัวเราะและกล่าว “มาเริ่มกันเลย!”
ตอนที่ 1307
ฉือหวงและเป่ยหวงนิ่งเฉยพร้อมกับเค้นเสียง พวกเขาเป็นราชาในหมู่ราชา มีความจำเป็นอะไรที่พวกเขาต้องเข้าร่วมการปะทะตั้งแต่เนิ่นๆ
“พวกสวะมากันครบเสียที!” ฉื้อหวงจี่่ดูหมิ่นและปล่อยหมัดออกไป อำนาจของหมัดได้แปรเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงพุ่งเข้าใส่อู่เมี่ยน หยางหลิน แม่นางหยุนและถัวป้าตง แม้จะเป็นสิ่งมีชีวิตใต้พิภพเหมือนกันก็ยังตกเป็นเป้าหมายของเขา
เมื่อหมัดเพลิงพุ่งเข้ามา อู่เมี่ยนและคนอื่นๆย่อมไม่กล้าประมาท พวกเขาหลบหลีกโดยไม่กล้าปัดป้องซึ่งๆหน้า
ฉื้อหวงจี่่หัวเราะ เขากระหน่ำปล่อยหมัดอย่างต่อเนื่องโดยดวงตะวันบ่นหัวส่องประกายแสงสีแสงราวกับเป็นพระเจ้า
พวกอู่เมี่ยนทั้งสี่คนคำราม เนื่องจากฉื้อหวงจี่่แข็งแกร่งเกินไปพวกเขาทั้งสี่จึงรวมพลังกันตอบโต้
เป็นการร่วมมือที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง สามคนเป็นมนุษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในขณะที่อีกหนึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตของดินแดนใต้พิภพ พวกเขาทั้งสี่รวมพลังกันโจมตีสิ่งมีชีวิตใต้พิภพเพียงคนเดียวอย่างพร้อมเพียง
ใช่ว่าพวกเขาอยากจะร่วมมือกัน แต่เป็นเพราะฉื้อหวงจี่่ทรงพลังเกินกว่าระดับของราชาทั่วไป ถ้าเป็นโลกภายนอกพวกเขาอาจจะพึ่งพาระดับพลังที่สูงกว่าในการเอาชนะได้ แต่ที่นี่ทุกคนได้ถูกลดพลังบ่มเพาะลงมาเท่ากัน
แต่ถึงจะเป็นโลกภายนอก ฉื้อหวงจี่่ก็บรรลุระดับดาราแล้ว เขามีพลังที่ทัดเทียมกับฉือหวงและเป่ยหวง
“ฮ่าๆๆ!” ผมสีดำของฉื้อหวงจี่่สยายออก แววตาของเขาคมกริบราวกับกำลังสะท้อนอำนาจแห่งสวรรค์ ดวงตะวันบนหัวของเขาส่องประกายรุนแรงยิ่งขึ้น ราชาทั้งสี่ไม่กล้ารับหมัดของเขาและเลือกที่จะหลบเลี่ยงคอยหาโอกาสตอบโต้
“จะทำอย่างไรก็ไร้ประโยชน์!” ฉื้อหวงจี่่เหยียดหยาม ในสายตาของเขามีเพียงหลิงฮัน เป่ยหวงและฉือหวงที่มีคุณสมบัติจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา สำหรับคนอื่นๆนั้นเป็นเพียงแค่หินให้เขาเหยียบย่ำ
แต่พวกอู่เมี่ยนทั้งสี่คนจะยอมแพ้ง่ายๆได้อย่างไร? พวกเขาปลดปล่อยทักษะเฉพาะตีวเพื่อต่อกรฉื้อหวงจี่่
“ท้องฟ้าแยกออก ยอดเขานับพันสะท้อนอำนาจแห่งมังกรแท้!” แม่นางหยุนคำราม นางเป็นคนแรกที่ใช้ทักษะลับอันทรงพลังออกมา มือทั้งสองของนางเคลื่อนไหวก่อเกิดเป็นเงาของยอดภูผาสีเขียว ท่า ท่ามกลางยอดเขาสีเขียวนี้คลื่นเสียงของมังกรได้แผ่คำรามออกมา
มังกรแท้จริง… สิ่งมีชีวิตที่มีอำนาจเหนือสวรรค์ชั้นฟ้า
‘โฮกกกก’ แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวแพร่กระกายไปทั่วป่าภูผาวารีทันที พลังที่แม่นางหยุนปลดปล่อยออกมาราวกับไม่ว่าใครเบื้องหน้านางก็ต้องยอมสวามิภักดิ์
“ครืนวารีแหวกว่าย คลื่นเสียงนับพันมุ่งสังหาร!” อู่เมี่ยนดีดสายพิณก่อให้เกิดคลื่นเสียงที่สั่นระรัว หัวใจของคนที่ใครยินต้องเต้นเร็วไม่เป็นจังวะราวกับจะระเบิด
เสียงที่เกิดขึ้นเคลื่อนไหวราวกับสายน้ำที่ไร้ร่องลอย เพียงแต่ว่าพลังอำนาจจากทักษะได้มุ่งสังหารไปยังฉื้อหวงจี่่เพียงคนเดียว
หยางหลินน้ำร่มคันหนึ่งออกมา ร่มคันนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายบรรพกาฬ ครึ่งนึงของร่มได้รับความเสียหายหลายจุด แต่ทันทีที่ร่มถูกกาง ตัวมันได้ปลดปล่อยอำนาจราวว่ามันเป็นจุดศูนย์กลางแห่งจักรวาลอันไร้ผู้ใดเปรียบ
“หมื่นยุคสมัยใต้ท้องฟ้า ตัวข้าคือนิรันดร์!” หยางหลินกล่าว ทันทีที่ร่มถูกกางออกตัวเขาก็ราวกับกลายเป็นนักบวชศักดิ์สิทธิ์ แสงสีทองส่องประกายหลายหมื่นจั้ง หยางหลินผลักฝ่ามือเข้าใส่ฉื้อหวงจี่่
ร่มคันนี้คืออาวุธเซียนไม่สมบูรณ์ ที่โลกภายนอกมันสามารถช่วยให้เขาเหยียบย่ำได้แม้แต่ตัวตนระดับดารา!
ถัวป้าตงกัดฟันแยกเขี้ยวทุบหน้าอกตนเองพร้อมกับสำรอกโลหิตสีทองออกมา “พญาราชสีห์คำรามสะท้านโลกา!” ถัวป้าตงคำราม ‘โฮกกก’ ชั้นอากาศโดยรอบถูกบดขยี้ พลังทำลายที่เกิดจากเสียงคำรามพุ่งเข้าใส่ฉื้อหวงจี่่
ราชาทั้งสี่ต่างปลดปล่อยทักษะลับออกมา
ครั้งนี้ ต่อให้เป็นฉื้อหวงจี่่ก็ไม่กล้าประมาท
ในการปะทะตัวต่อตัวเขาสามารถจัดการใครก็ตามในสี่คนนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่สถานการณ์ที่ถูกล้อมโจมตีโดยทั้งสี่คนทำให้เกือบจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ตอนนี้เมื่อทั้งสี่ใช้ทักษะที่ทรงพลังออกมา แรงกดดันที่เขาได้รับก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
หากเปิดเผลอแม้แต่นิดเดียว ต่อให้เป็นเขาก็คงสาหัส
“ฮ่าๆ แบบนี้ค่อยน่าสนุกขึ้นมาหน่อย!” ฉื้อหวงจี่่หัวเราะลั่น โอกาสได้ปะทะกับราชาถึงสี่คนไม่ใช่ว่าจะพบได้บ่อยๆ ตอนนี้ตัวเขาตื่นเต้นอย่างมาก
“แต่ต่อหน้าข้า พลังเท่านี้ยังไม่พอ!” เขาปล่อยปล่อยออกไปตรงๆ แม้จะดูเรียบง่ายแต่ก็แฝงไว้ด้วยพลังอันน่าหวาดกลั่ว
‘ตูมมม’ นี่ไม่ใช่หมัดธรรมดา แต่เป็นหมัดที่อัดแน่นไปด้วยทะเลเพลิงอันไร้ที่สิ้นสุด
ภูผาสีเขียวของแม่นางหยุนปะทะเข้ากับทะเลเพลิง คลื่นมังกรของนางถูกแผดเผาในระยะที่ห่างจากฉื้อหวงจี่่เพียงสามฟุต
คลื่นเสียงวารีของอู่เมี่ยนก็ถูกเพลิงแผดเผาเช่นกันและสลายไปในระยะสองฟุต
การโจมตีของหยางหลินแข็งแกร่งยิ่งกว่า เพราะอย่างไรร่มของเขาก็เคยเป็นถึงอาวุธเซียน ประกายแสงแห่งนักบวชศักดิ์สิทธิ์ทะลวงผ่านทะเลเพลิงเข้าปะทะกับหมัดของฉื้อหวงจี่่ซึ่งๆหน้าแต่ก็ถูกทำให้สลายไป
คลื่นคำรามของถัวป้าตงเองก็ถูกสลายไปก่อนจะถึงตัวฉื้อหวงจี่่ราวๆครึ่งฟุต
การโจมตีผสานของราชาทั้งสี่ล้มเหลว!
“สยบต่อข้าเสีย พวกสวะ!” ฉื้อหวงจี่่ปล่อยหมัดปลดปล่อยพยัคฆ์เพลิงทมิฬทั้งสี่เข้าใส่พวกอู่เมี่ยน
‘ตูม ตูม ตูม ตูม’ หลังจากใช้ทักษะลับออกไป ทั้งสี่คนได้ตกอยู่ในสภาพที่อ่อนแรงเกินกว่าที่จะตอบโต้การโจมตีของฉื้อหวงจี่่ โชคดีที่ว่าไม่ว่าอย่างไรทั้งสี่ก็เป็นอัจฉริยะระดับราชา การโจมตีของฉื้อหวงจี่ส่งพวกเขาลอยกระเด็น แต่ก็ไม่ได้บาดเจ็บสาหัสมากนัก
แขนเสื้อขวาของแม่นางหยุนถูกเปลวเพลิงเผาไหม้จนเผยให้เห็นแขนที่ขาวนวลดั่งหยก หยางหลินถูกทำให้ล่าถอยออกไปไกลสามฟุต ใบหน้าของเขาซีดเผือดแต่ไม่ได้กระอักโลหิตใดๆ
ถัวป้าตงถูกบังคับให้เดินถอยไปสิบเจ็ดก้าว ที่บริเวณพื้นดินปรากฏรอยเท้าอันหนาลึก
‘พรึบ’ เศษผ้าที่คลุมหัวอู่เมี่ยนเอาไว้ขาดกระจาย ใบหน้าของเขาที่ปรากฏให้เห็นนั้น… ไม่มีอะไรบนใบหน้าเลย!
อะไรกัน!
เมื่อเห็นใบหน้าที่แท้จริงของอู่เมี่ยน ราชารุ่นเยาว์ทุกคนที่นี่ล้วนแต่สูดหายใจลึกด้วยความตะลึง
บนใบหน้าของเขาเป็นสีขาวโพลนไร้อวัยวะใดๆ! แม้แต่ผมหรือหูก็ไม่มี หากเขาใส่เสื้อผ้ากลับด้านย่อมไม่มีทางมองออกว่าหัวของเขาด้านไหนคือด้านหน้า
แล้วแบบนี้หมอนี้สามารถพูดได้อย่างไร?
ไร้หน้า! ไร้หน้าตามชื่อจริงๆ!
อู่เมี่ยนถอนหายใจทั้งๆที่ไม่มีปาก แต่ทุกคนกลับสัมผัสรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังถอนหายใจ เขานำดาบออกมาจากพิณและถอนหายใจเบาๆ “ข้าไม่นึกว่าเวลานี้จะมาถึงไวขนาดนี้!”
“หมายถึงอะไร?” ฉื้อหวงจี่่แสดงท่าทางสนใจ ในโลกนี้นอกจากวิถีวรยุทธแล้ว สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกสนใจได้มีไม่มาก เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีมนุษย์คนใดที่ไร้หน้าแบบนี้
‘ฉัวะ’ อู่เมี่ยนแทงดาบ ทว่าเป้าหมายของเขาไม่ใช่ฉื้อหวงจี่่แต่เป็นใบหน้าของตนเอง ‘ฉู่’ โลหิตสาดกระจายออกมาจากใบหน้า
นี่มัน… หรือว่าเขาจะฆ่าตัวตายเพราะรับความอัปลักษณ์ของตัวเองไม่ได้?
ไม่ใช่แน่นอน!
อู่เมี่ยนกรีดดาบบนใบหน้าโดยใช้โลหิตที่ไหลออกมาวาดเป็นดวงตาสองดวง หูสองหู จมูกและปาก
ที่น่าตะลึงก็คือรอยที่ถูกดาบกรีดวาดจู่ๆก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ดวงตาสองดวงนูนออกมา จมูกค่อยๆโด่ง ริมฝีปากเปิดออกให้เห็นฟันสองแถวบนล่าง
ผมของเขายาวสยายด้วยความเร็วอันน่าทาง หูเองก็นูนเด่นออกมาเช่นกัน ภายในไม่กี่ลมหายใจ จากชายไร้หน้าก็เปลี่ยนเป็นคนปรกติ
รูปลักษณ์ของเขานั้นหล่อเหลาเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าไม่ว่าชายใดก็ต้องอิจฉาใบหน้าของเขา
ทั้งเจ็ดคนตกตะลึง นั่นเพราะพวกเขาสัมผัสได้ว่าจู่ๆพลังของอู่เมี่ยนก็ทะยานสูงขึ้นจนเหนือกว่าระดับราชาทั่วไปจนใกล้เคียงกับราชาในหมู่ราชา
ตอนที่ 1308
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เหตุใดทันทีที่เจ้าวาดหน้าตัวเอง พลังต่อสู้ถึงได้เพิ่มสูงขึ้นขนาดนี้?
“ข้านึกออกแล้ว!” จู่ๆหยางหลินก็พูดขึ้นพร้อมกับชี้ไปยังอู่เมี่ยน “เจ้าคือเผ่าไร้หน้า!”
“เผ่าไร้หน้า หนึ่งในเผ่าสวรรค์บรรพกาล!” แม่นางหยุนอุทาน ใบหน้างดงามของนางแสดงออกถึงความตะลึง
เผ่าสวรรค์บรรพกาล!
สี่คำนี้เป็นตัวแทนถึงอำนาจพลังอันลึกลับ เผ่าพันธุ์ใดที่ถูกเรียกด้วยสี่คำนี้ล้วนแต่มีพลังอำนาจที่ทำให้เกิดพายุกระหน่ำ
เผ่าเก้าอสรพิษ เผ่าไร้หน้า… เผ่าสวรรค์บรรพกาลปรากฏออกมาให้เห็นถึงสองเผ่าแล้ว
“พี่ชายช่วยอธิบายได้รึไม่ว่าเผ่าไร้หน้าคืออะไร?” หลิงฮันถามด้วยลอยยิ้ม
อู่เมี่ยนยิ้มตอบและกล่าว “หลังจากนี้ให้ข้าจัดการเอง!” เขามองไปยังฉื้อหวงจี่่ ออร่าถูกปลดปล่อยออกมาราวกับคลื่นมหาสมุทร
“เผ่าไร้หน้านั้นไม่มีรูปลักษณ์มาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งนี่คือทักษะลับที่บรรพบุรุษได้สร้างขึ้นเพื่อช่วยให้เผ่าพันธุ์พัฒนาระดับพลังได้อย่างรวดเร็วและมีพลังต่อสู้ที่เหนือล้ำ”
“แต่ใช้ว่าศักยภาพของทุกคนในเผ่าจะเท่ากันเนื่องจากความเข้มข้นของสายเลือด พูดง่ายๆคือยิ่งใบหน้าขาวโพลนไร้ลักษณ์มากเท่าไหร่ ศักยะภาพก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย”
“ภายใต้ใบหน้าที่ไร้ลักษณ์ได้มีพลังที่ถูกสะสมเอาไว้เพื่อรอเวลาปะทุออกมา”
อู่เมี่ยนอธิบายอย่างเรียบง่าย
หรือก็คือยิ่งไม่มีอวัยวะบนใบหน้า สายเลือดก็ยิ่งเข้มข้นและสามารถระเบิดพลังออกมาได้รุนแรงยิ่งขึ้น
ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมออร่าของอู่เมี่ยนในตอนนี้ถึงสามารถทัดเทียมได้กับฉื้อหวงจี่่และมีคุณสมบัติจะเป็นราชาในหมู่ราชาคนที่ห้า
“น่าสนุก!” หยางหลินหัวเราะ เขานำเม็ดยาบางอย่างออกมาและกลืนเข้าไป ทันใดนั้นออร่าของเขาก็ทะยานสูงเสียดฟ้าจนเทียบเท่าอู่เมี่ยนทันที เขายกร่มบรรพกาลขึ้นและกล่าว “อย่าได้ลืมว่าข้า หยางหลินผู้นี้ยังอยู่ตรงนี้!”
เขาคือชายที่เป็นลูกรักของสวรรค์ที่มีวาสนาครอบครองอาวุธเซียน ในหมู่ราชาในบ้างจะสามารถมีโชคทัดเทียมเขา?
“เม็ดยานั่นมันอะไรกัน เหตุใดถึงได้อัศจรยย์เพียงนี้?” ทุกคนประหลาดใจ เหล่าราชาในที่นี้ทุกคนต่างขัดเกลาระดับพลังบ่มเพาะจนบรรลุภูผาวารีขั้นสมบูรณ์ชั้นสูงสุดแล้ว การจะเพิ่มพลังต่อสู้ให้สูงขึ้นแม้น้อยนิดเป็นเรื่องยากมาก หากต้องการมีพลังต่อสู้ที่สูงขึ้นอีกจำเป็นต้องพึ่งพาอำนาจที่นอกเหนือพลังบ่มเพาะ
ยกตัวอย่างเช่น หลิงฮันที่ฝึกฝนคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์และสามารถชี้นำทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์มาขัดเกลาเป็นพลังของตนเอง หรือไม่ก็อย่างอู่เมี่ยนที่มีสายเลือดอันเข้มข้นของเผ่าสวรรค์บรรพกาล
ถ้าเป็นขั้นพลังอื่นหากกินเม็ดยาก็อาจจะช่วยเพิ่มพลังต่อสู้สักสองดาวได้ แต่เมื่อขัดเกลาพลังจนบรรลุขั้นสมบูรณ์สูงสุดแล้ว ไม่ว่าเม็ดยาอะไรก็สมควรไม่สามารถช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ได้อีก
หยางหลินผู้โชคดีที่แม้แต่อาวุธเซียนยังยอมรับเขาเป็นเจ้านายนั้น เขาได้เก็บเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์โบราณได้โดยบังเอิญ โดยที่เม็ดยานี้สามารถยกระดับพลังต่อสู้ของเขาขึ้นได้อีกหนึ่งขั้น
แต่นั่นก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น
ฉื้อหวงจี่่หัวเราะและมองไปยังแม่นางหยุนกับถัวป้าตง “พวกเจ้ามีอะไรที่ช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ได้รึไม่? ถ้ามีก็รีบๆใช้อย่าได้รีรอ!”
ทั้งแม่นางหยุนกับถัวป้าตงต่างยิ้มอย่างขมขื่น พวกเขาเป็นราชาที่ไร้เทียมทานในดวงดาวของตนเอง แม้แต่อัจฉริยะระดับหัวกะทิก็ไม่มีคุณสมบัติจะมายืนทัดเทียมพวกเขา แต่พอเป็นที่นี่ทั้งสองกลับทำได้เพียงกัดฟันยอมรับว่าตนเองอ่อนแอ
ทั้งสองไม่สามารถทำอะไรได้และยอมรับว่าตนเองด้อยกว่าเหล่าราชาในหมู่ราชาเล็กน้อย
ความต่างของพวกเขากับราชาในหมู่ราชาไม่ใช่พลังบ่มเพาะแต่เป็นทักษะลับและสายเลือดที่ไม่สามารถไขว้คว้าด้วยความพยายามและพรสวรรค์
ทั้งสองสละสิทธิ์ยอมแพ้และไม่เข้าร่วมการต่อสู่อีกต่อไป
“เหลือห้าคน? ยังเหลืออีกเยอะเลยนะ!” ฉื้อหวงจี่่กวาดมอง ดวงตะวันบนหัวของเขายังคงระเบิดแสงสว่างจ้าออกมา “เช่นนั้นข้าจะจัดการพวกเจ้าทุกคนและกลายเป็นผู้ชนะ!”
นี่เขาบ้าไปแล้ว? คิดจะยั่วยุให้ทุกคนโจมตีตนเองทั้งๆที่คู่ต่อสู้คือราชาในหมู่ราชางั้นรึ?
หนึ่งปะทะห้าที่เป็นราชาในหมู่ราชา เกรงว่าเขาคงจะบ้าไปแล้ว
หลิงฮฉันเค้นเสียงและปล่อยหมัด เป้าหมายของเขาไม่ใช่ฉื้อหวงจี่่คนเดียวแต่เป็นราชาทั้งห้าคน
“ปะทะด้วยหมัด? แบบนี้ล่ะที่ข้าชอบ!” ฉือหวงระเบิดพลังปราณออกมา ร่างของเขาขยายใหญ่ขึ้นเป็นคนยักษ์ขนาดสามเมตร มือขนาดใหญ่ของเขาปล่อยหมัดออกไปโจมตีใส่ราชาทั้งห้าคนเช่นกัน
Anchor
เป่ยหวงหัวเราะ เขานำกระบี่ยาวออกมาพร้อมกับกวัดแกว่งปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นยะเยือกอันไร้ก้นบึ้ง
อู่เมี่ยนกับหยางหลินเองก็ไม่ยินยอมว่าพวกเขาด้อยกว่าคนอื่น คนหนึ่งกวัดแกว่งดาบโจมตีในขณะที่อีกคนสะบัดร่มบรรพกาลในมือ เป้าหมายของพวกเขาคือราชาคนอื่นๆทั้งห้าเช่นกัน
แม่นางหยุนกับถัวป้าตงหันมองหน้ากัน
การปะทะของที่กำลังเกิดขึ้นอันตรายเป็นอย่างมาก หากเปลี่ยนให้พวกเขาไปอยู่ตรงนั้นเกรงว่าไม่เกินสิบกระบวนท่าพวกเขาคงพ่ายแพ้หมดสภาพ
ต่อให้เป็นราชาเหมือนกันแต่ความต่างของพลังกลับมีมากขนาดนี้
อู่เมี่ยนกับหยางหยินเริ่มได้รับบาดเจ็บ โลหิตของพวกเขาไหลรินและพลังต่อสู้เริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว
อู่เมี่ยนนั้นเพิ่งจะระเบิดพลังออกมาจึงเป็นไปไม่ได้ที่พลังจะมั่นคงจนสามารถทัดเทียมกับราชาในหมู่ราชาได้ ส่วนหยางหลินเองก็ยกระดับพลังต่อสู้ด้วยเม็ดยา เป็นไปไม่ได้เลยจะสามารถควบคุมพลังของตนเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ
‘ปัง ปัง ปัง’ ผ่านไปไม่นานหยางหลินกับอู่เมี่ยนก็ถูกทำให้สละสิทธิ์จากการต่อสู้
การพ่ายแพ้ที่นี่ไม่ใช่เรื่องน่าผิดหวัง หากถูกโจมตีจากเหล่าราชาที่แท้จริง ใครบ้างจะต้านทานไหว?
แม่นางหยุน หยางหลิน อู่เมี่ยนและถัวป้าตงจ้องมองสี่คนที่ยังคงปะทะกันอยู่ ลึกๆในใจพวกเขายอมรับว่าทั้งสี่คนแข็งแกร่งกว่าจริงๆ
เพียงแต่ว่าราชาที่แท้จริงนั้นมีได้แค่คนเดียว คนที่เหลือรอดเป็นคนสุดท้ายคือผู้ชนะและคนอื่นๆย่อมเป็นได้เพียงหินรองเท้าให้เหยียบย่ำ
ราชาเพียงหนึ่งเดียวจะเป็นหลิงฮัน เป่ยหวง ฉือหวง หรือฉื้อหวงจี่่?
ไม่มีใครคาดเดาได้ ทั้งสี่คนปะทะกันอย่างดุเดือดราวกับว่าแม้ผ่านไปอีกสิบปีการต่อสู้ก็ยังไม่อาจตัดสิน
แต่พวกเขาจะไปเอาเวลามากขนาดนั้นมาจากไหน?
หากสามวันยังไม่มีผู้ชนะ ทุกคนจะถูกตัดสิทธิ์!
หลิงฮันเป็นฝ่ายหยุดต่อสู้ก่อนและกล่าว “ถ้ายังปล่อยไว้แบบนี้ แม้ผ่านไปร้อยปีก็คงไม่สามารถตัดสินผู้แพ้ชนะ!”
“เหอๆ ข้ายอมรับว่ามดปลวกสามตัวอย่างพวกเจ้าค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่เทียบกับข้าแล้วยังห่างไกลหลายขุม!” ฉื้อหวงจี่่ยังคงกล่าวอย่างหยิ่งยโสทั้งๆที่ตระหนักถึงพลังของอีกสามคนแล้ว
ฉือหวงกล่าว “เจ้าจะบอกว่ามีวิธีตัดสินผู้ชนะ?”
“พวกเราจะจับฉลากแบ่งเป็นปะทะสองต่อสอง หลังจากนั้นผู้ชนะสองคนจะมาตัดสินกันเพื่อเลือกราชาอันดับหนึ่ง” หลิงฮันกล่าว
การที่พวกเขาทั้งสี่สู้รบกันอย่างชุลมุนนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกคนจะปล่อยการโจมตีด้วยพลังเต็มที่เนื่องจากจำเป็นต้องป้องกันตนเองไปพร้อมๆกัน แต่ถ้าหากแยกคู่ต่อสู้การตัดสินก็จะทำได้ง่ายยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างเช่นการสู้แบบชุลมุนพวกเขาจะไม่มีเวลาให้สะสมพลังปราณเพื่อปลดปล่อยกระบวนท่าที่ทรงพลัง
“ก็ดี!” ฉื้อหวงจี่่พยักหน้าเป็นคนแรก ที่จริงเขายอมรับว่าสิง่มีชีวิตของดินแดนศักดิ์สิทธิ์สามคนนี้มีคุณสมบัติต่อสู้ได้ทัดเทียมเขาจริงๆ
ฉือหวงกับเป่ยหวงมองหน้ากันและพยักหน้า
ตอนที่ 1309
ผลจับฉลากคือ หลิงฮันปะทะฉือหวง ฉื้อหวงจี่่ปะทะเป่ยหวง
ไม่ต้องพูดพร่ำทําเพลง ทั้งสี่คนแยกคู่เข้าปะทะกันทันที
“เผ่ามนุษย์ รับหมัดของข้า!” ฉือหวงปล่อยหมัดออกไป มือหยกของเขามีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าฝาหม้อ อย่ามองว่าหมัดนี้เป็นเพียงหมัดที่ปล่อยออกไปลวกๆ ที่จริงการที่เขามีสายเลือดของจิตวิญญาณศิลาทำให้กายหยาบคือไพ่ลับที่ทรงพลังที่สุด
กายหยาบของเขาเทียบได้กับแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ในระดับพลังเดียวกัน!
เพราะงั้นรูปแบบการต่อสู้ของฉือหวงจึงเป็นการต่อสู้ระยะประชิด เขาเคยปะทะกับอัจฉริยะระดับราชาเหมือนกันในพลังบ่มเพาะระดับดารา ผลลัพธ์คืออีกฝ่ายถูกเขาบดขยี้กลายเป็นเศษเนื้อ ฉือหวงไร้ความปรานีถึงขนาดที่ว่าวิญญาณของอีกฝ่ายยังถูกเขาทำลายไม่เหลือ
หลิงฮันหัวเราะและตอบโต้ด้วยหมัด
ปัง!
หมัดของทั้งคู่เข้าห้ำหั่นกันเกิดคลื่นปะทะอันรุนแรงที่ทำให้ชั้นบรรยากาศฉีดขาด หลุมมิติที่แตกหักค่อยๆปรากฏขึ้นทีละหลุม
ฉือหวงแสดงสีหน้าตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด หลิงฮันตอบโต้หมัดของเขาด้วยหมัดเปล่างั้นรึ? ไม่เพียงแค่กระดูกของอีกฝ่ายจะไม่แตกหัก แต่ผิวหนังยังไม่ปรากฏรอยขีดข่วนอีกด้วย
เขาเห็นว่าการปะทะกันก่อนหน้านี้หลิงฮันมักจะใช้หมัดในการโจมตี ดังนั้นเขาจึงคาดหวังอย่างมากที่จะได้จับคู่สู้กับหลิงฮันเพื่อที่จะสั่งสอนว่าการใช้หมัดที่แท้จริงเป็นอย่างไร แต่เรื่องที่เขาไม่คาดคิดคือการที่หมัดของหลิงฮันนั่นแข็งขนาดนี้
“น่าสนุก!” ฉือหวงตื่นเต้น เพลิงสู้รบในจิตใจของเขาเริ่มลุกโชน ก่อนหน้านี้เขาแค่ลองเชิงเท่านั้น หลังจากนี้ต่างหากคือของจริง
หลิงฮันชักมือกลับและกล่าว “ไม่นึกว่าจะมีคนที่สู้กับข้าแล้วกระดูกในร่างไม่แตกหัก เจ้าช่างยอดเยี่ยม”
“ข้ากำลังจะพูดประโยคนี้อยู่พอดี!” ฉือหวงปล่อยหมัดอีกครั้ง “เผ่ามนุษย์ ไม่ต้องผิดหวังไป เมื่ออยู่ต่อหน้าข้าเจ้าก็เป็นได้เพียงลูกสุนัขตัวจ้อย” กายหยาบของเขานั้นไร้เทียมทานและไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน เขาเกรงว่าหลิงฮันจะหวาดกลัวจึงจงใจกล่าวยั่วยุ
หลิงฮันไม่หวาดหวั่น เขาส่ายหัวและยิ้ม “เอาเถอะ แต่ถ้าเจ้าแพ้ก็อย่าร้องไห้ทีหลังแล้วกัน”
“เกรงว่าเจ้าจะไม่มีทางชนะ!” ฉือหวงกล่าว
“อย่าเสียใจแล้วกัน!”
ทั้งสองเข้าปะทะกระหน่ำปล่อยหมัดแลกเปลี่ยนกระบวนท่า หมัดทั้งสี่ตอบโต้กันอย่างดุเดือด
พวกอู่เมี่ยนและคนอื่นๆตกตะลึงจนปากกระตุก สองคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดไม่ผิดแน่
เป็นไปได้อย่างไรที่คนทั่วไปจะมีกายหยาบที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น?
พลังของคนเรานั้นมีจำกัด คนทั่วไปจะใช้พลังปราณเจ็ดส่วนในการโจมตีและสามส่วนสำหรับป้องกัน แต่ในกรณีของหลิงฮันกับฉือหวงนั้น พวกเขาใช้พลังปราณทั้งสิบส่วนไปกับการโจมตีทั้งหมด
นี่แสดงให้เห็นว่ากายหยาบของทั้งสองนั้นไร้เทียมทานจนไม่จำเป็นต้องใช้ปราณก่อเกิดในการป้องกัน
ในระดับพลังเดียวกัน จะมีใครสามารถสร้างบาดแผลให้พวกเขาได้จริงๆรึ?
ทั้งสี่คนมองหน้ากันและรู้สึกว่าด้วยพลังของพวกเขาคงเป็นไปไม่ได้ หลิงฮันกับฉือแลกหมัดกันเกินกว่าพันหมัดแล้ว แต่ก็ไม่มีฝ่ายใดเลยที่กระดูกหรือผิวหนังแตกหัก
ใบหน้าของฉือหวงเบิกบานด้วยความตื่นเต้น ไม่มีใครเคยทำให้เขารู้สึกคันไม่คันมือเช่นนี้มาก่อน เขาเกิดความรู้สึกในแง่ดีกับหลิงฮันและคิดว่าต่อให้อีกฝ่ายเป็นมนุษย์พวกเขาก็สามารถเป็นสหายกันได้
“เผ่ามนุษย์ ข้าจะใช้พลังต่อสู้ที่สูงขึ้น!” ฉือหวงกล่าว เห็นได้ชัดว่าหากสู้กันด้วยพลังกายเพียงอย่างเดียว คงไม่มีฝ่ายใดทำลายกายหยาบของกันและกันได้
“ข้าก็เช่นกัน” หลิงฮันหัวเราะ
“ฮึ่ม!” ฉือหวงเค้นเสียง หมัดทั้งสองของเขาที่ก่อนหน้านี้เรียบเนียนดั่งหยกแปรเปลี่ยนเป็นผลึกใส รูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นบนหมัดของเขาทีละน้อยจนในที่สุดหมัดของเขาก็อัดแน่นไปด้วยรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์
ทางด้านของหลิงฮัน หมัดของเขาปรากฏรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าใส ประกายสายฟ้าโอบล้อมไปทั่วหมัดทั้งสองของเขา สายฟ้านี้ไม่ใช่สายฟ้าทั่วไปแต่เป็นสายฟ้าจากทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์
‘ฉึบ’ ฉือหวงที่กำลังปล่อยหมัดออกไปถูกทำให้หยุดชะงักทันที
ต่อให้เป็นเขาก็ยังมีความหวาดกลัวต่อทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์
“ไม่รู้สู้รึ?” หลิงฮันยิ้ม
“เข้ามา!” ฉือหวงคำรามและปล่อยหมัดออกไปไม่ยั้ง
หลิงฮันตอบโต้ ‘ปัง’ หมัดของทั้งสองปะทะกัน ครั้งนี้คลื่นพลังที่เกิดขึ้นน่าสะพรึงกลัวกว่าครั้งก่อนเนื่องจากทั้งสองคนได้ผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เข้าไปในหมัด
ทั้งสองคนก้าวถอยหลังตั้งหลัก ครั้งนี้พวกเขาได้ผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เข้าไปในหมัด พลังต่อสู้ของทั้งสองจึงไม่เท่ากันเหมือนครั้งก่อน
ฉือหวงยกมือขึ้นมาดู เขาพบว่าหมัดใสราวกับผลึกของตนเองแตกร้าวและมีของเหลวสีฟ้าครามไร้กลิ่นไหลออกมา
ของเหลวนี้คือโลหิตของเขา เนื่องจากสายเลือดในตัวเขาส่วนใหญ่เป็นจิตวิญญาณศิลา แม้สายเลือดของเขาจะไม่บริสุทธิเท่าบิดา แต่โลหิตของเขาก็ยังเป็นของเหลวที่มีพลังงานอัดแน่นเอาไว้มากมายและยังเป็นยาบำรุงชั้นเลิศ
เขาตกตะลึงมาก ถึงแม้เขาจะไม่บาดเจ็บอะไร แต่การทำให้เขาเกิดบาดแผลได้ในการปะทะด้วยหมัดต่อหมัดนั้น นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของฉือหวง
หมายความว่าหมัดของเผ่ามนุษย์คนนี้ทนทานกว่าเขางั้นรึ?
เขามองไปยังหลิงฮันและพบว่าหมัดของอีกฝ่ายอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไร้รอยขีดข่วน
หลิงฮันทำท่าสูดจมูดและจ้องไปยังของเหลวบนมือฉือหวง “ไอ้นั่นน่ะปล่อยให้ไหลลงพื้นก็น่าเสียดาย หาขวดมาใส่ด้วยสิ”
ฉือหวงชะงักทันที “นี่มันโลหิตของข้า!”
“ข้ารู้ ถึงได้ไม่อยากให้มันเสียของไงล่ะ ไหนๆมันก็ไหลออกมาแล้ว มอบมันให้ข้าก็ได้” หลิงฮันเผยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร
“บัดซบ!” ฉือหวงเกรี้ยวกราด หมัดของเขาส่องประกายและฟื้นฟูสภาพด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง เขาเป็นผู้สืบทอดของจิตวิญญาณศิลา ดังนั้นนอกจากกายหยาบที่ทนทานแล้ว ความสามารถในการฟื้นฟูของเขาก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน
“มาสู้กันอีกครั้ง!” ฉือหวงปล่อยหมัดออกไป เขาไม่เชื่อว่าสายเลือดจิตวิญญาณศิลาในตัวเขาจะแพ้ให้กับการต่อสู้ระยะประชิดกับมนุษย์
“ไม่มีปัญหา แต่ว่าถ้าเจ้าแพ้ เจ้าจะต้องนำโลหิตใส่ขวดแล้วมอบให้ข้า” หลิงฮันยิ้ม
“นี่มันโลหิตของข้า!” ฉือหวงกล่าวย้ำ
“ข้ารู้อยู่แล้ว อย่าขี้เหนียวไปหน่อยเลย ถ้าเจ้าอยากได้ข้าจะให้ของข้าด้วยก็ได้” หลิงฮันกล่าว
“ฮึ่ม ตราบใดที่เจ้าเอาชนะข้าได้ ข้าจะมอบโลหิ… หยดพลังวิญญาณให้เจ้า!” ฉือหวงเกรี้ยวกราดและกระหน่ำปล่อยหมัดอย่างต่อเนื่อง ชุดคลุมที่ทอจากโลหะหยดเลือดนกอมตะส่องประกาย ชุดตัวนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มพลังป้องกันให้กับเขา แต่ยังทำให้พลังต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นด้วย
จะอย่างไรชุดคลุมตัวนี้ก็เป็นวัตถุดิบแห่งเซียน ต่อให้พลังของมันถูกลดระดับลงมาเหลือระดับภูผาวารี อำนาจของมันก็ยังทรงพลังอยู่ดี
ตอนที่ 1310
“ฮ่าฮ่าฮ่า แล้วอย่าลืมที่เจ้าพูด!” หลิงฮันหัวเราะ
“ก็ต่อเมื่อเจ้าเอาชนะข้าได้!” ฉือหวงกล่าว และเริ่มใช้ทักษะลับของตัวเองเพื่อเพิ่มพลังต่อสู้
หลิงฮันไม่คิดว่าจะแพ้ และใช้อำนาจแห่งสวรรค์
ครืน ด้วยผลกระทบของอำนาจสวรรค์ พลังต่อสู้ของฉือหวงลดลงสองดาวทันที!
นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก พลังต่อสู้ลดลงสองดาวหมายถึงอะไร? หมายความว่าความแข็งแกร่งของเขาลดลงเป็นร้อยเท่า!
ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างสูสี แต่ถ้าถูกลดพลังต่อสู้อย่างกะทันหัน มันจะยังเป็นการต่อสู้ที่ทัดเทียมกันอีกหรือไม่?
ตู้ม!
หลิงฮันต่อยหมัดออกไปและทำให้ฉือหวงกระเด็นไปด้านหลัง
อ๊าก! ร่างของฉือหวงกระเด็นไปไกลและทำให้ต้นไม้ถูกทำลายไปหลายร้อยต้นถูกทำลาย ก่อนที่จะหยุดนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ยักษ์
เขาส่ายหัวด้วยความมึนงง ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง และช่วยไม่ได้ที่เขาจะตกใจกับทักษะลับของอีกฝ่ายที่สามารถทำให้พลังต่อสู้ของเขาลดลงได้ มันเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก
มันไม่เพียงแค่ทำให้เขาอ่อนแอลงหนึ่งหรือสองเปอร์เซ็นต์ แต่เป็นสองดาว!
ต้องทราบก่อนว่า กระทั่งราชาในหมู่ราชาเหมือนกว่าอัจฉริยะระดับราชาทั่วไปอย่างน้อยหนึ่งดาวเท่านั้น
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงฮัน ราชาในหมู่ราชาไม่มีคุณสมบัติที่จะเรียกแบบนั้นอีกต่อไป แล้วเขาจะปะมือกับอีกฝ่ายได้อีกหรือไม่?
“แข็งแกร่งมาก!” ฉือหวงกล่าว “นั่นคืออำนาจแห่งสวรรค์ใช่หรือไม่? หากไม่ใช่ แม้จะเป็นอำนาจแห่งมังกรก็คงไม่มีทางส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณศิลาของข้า!”
พ่อของเขามีสายเลือดจิตวิญญาณศิลาและสายเลือดมังกรที่แท้จริง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะได้รับผลกระทบจากอำนาจแห่งมังกร
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ใช่แล้ว มันคืออำนาจแห่งสวรรค์! ฉือหวงน้อย เจ้ายังคิดจะสู้อีกหรือไม่? เช่นนั้นก็ส่งหยดวิญญาณมาให้ข้าได้แล้ว!”
“หึ่ม แต่อำนาจแห่งสวรรค์แค่นั้นของเจ้ามันยังไม่เพียงพอ!” หวงฉือส่ายหน้าและกระโจนเข้าหาหลิงฮันด้วยร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยแสง “ข้ากำลังใช้ทักษะลับของตระกูล หากข้าไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้ภายในหนึ่งชั่วโมง ชัยชนะก็จะต้องเป็นของเจ้า!”
ครั้งนี้ เขาไม่ได้ขยายขนาดร่างกาย แต่เพียงแค่กวัดแกว่งหมัดออกไป พลังทำลายล้างกับน่าสะพรึงกลัวมากยิ่งขึ้นหลายเท่า
หลิงฮันสลายอำนาจแห่งสวรรค์ อำนาจแห่งสวรรค์ไม่มีผลกระทบต่อฉือหวงอีกต่อไป ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเอาจริงที่จะเอาชนะเขาให้ได้ภายในหนึ่งชั่วโมง
“โอ้ว เจ้าจะเอาชนะข้าภายในหนึ่งชั่วโมง?” หลิงฮันหัวเราะ นี่เป็นเรื่องน่าตลกสิ้นดี
และเขาเองก็ปล่อยหมัดปะทะกับฉือหวง
ก่อนหน้านี้กำปั้นของฉือหวงใหญ่โตน่าเกรงขาม แต่ตอนนี้มันมีขนาดเล็กเท่าเล็บ ซึ่งเล็กกว่าหมัดของเขามาก
แต่ใครก็ตามที่ดูถูกหมัดของอีกฝ่ายจะต้องเจ็บปวดมากอย่างแน่นอน
ด้วยขนาดหมัดเล็กเท่านี้ของฉือหวงมันจะต้องทรงพลังมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยและมีพลังทำลายล้างมากยิ่งขึ้น
ตู้ม!
เมื่อหมัดของทั้งสองคนปะทะกัน หมัดของฉือหวงที่มุ่งเป้าไปที่จุดๆเดียวก่อให้เกิดพลังทะลวงที่น่าสะพรึงกลัว
แคร๊ก!
เกิดเสียงบางอย่างร้าวดังออกมาจากร่างกายของหลิงฮัน มันเป็นเสียงจากกระดูกสะบักไหล่ของเขา
“น่าทึ่ง!” หลิงฮันพยักหน้าและจัดกระดูกให้เข้าที่ แรงปะทะครั้งนี้มันรุนแรงมาก แม้ว่าจะไม่สามารถทำลายกระดูกของเขาได้ แต่ก็ยังทำให้กระดูกของเขาเคลื่อน
ฉือหวงตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ทั้งที่เป็นหมัดสุดพลังของเขาแล้ว แต่กลับทำได้แค่ทำให้หลิงฮันกระดูกเคลื่อน?
ถ้างั้นข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าข้าฉือหวงคือใคร!
ฉือหวงกล่าว “เผ่ามนุษย์ เจ้ามีคุณสมบัติที่จะทำให้ข้าต้องใช้สามหมัดทลายทอง!”
“มันทรงพลังไหม?” หลิงฮันถามด้วยรอยยิ้ม
“ในบรรดาธาตุทั้งห้า ทองคำคือความแหลมคม ศิลาคือพลังป้องกัน แม้แต่บิดาของข้าก็ยังไม่เต็มใจที่จะใช้สามหมัดทลายทอง เพราะเขาคิดว่าพลังโจมตีของเผ่าจิตวิญญาณปฐพีเหนือกว่าเผ่าจิตวิญญาณเหล็ก” ฉือหวงกล่าว
เขาโคจรพลังไปที่หมัด พื้นปฐพีรอบตัวเขาทรุดตัวลงทีละชั้นราวกับว่ามีมือขนาดใหญ่ยักษ์ที่มองไม่เห็นกำลังบีบเขาอยู่
นี่เป็นแค่การโคจรพลังไปที่หมัด ถ้าหมัดถูกปล่อยออกไปล่ะก็จะสร้างพลังทำลายล้างที่น่าทึ่งขนาดไหน?
“เจ้ากล้ารับหมัดของข้าหรือไม่?” ฉือหวงถามด้วยความภาคภูมิใจ เพราะนี่คือทักษะลับที่ถูกสร้างขึ้นโดยจอมยุทธระดับเซียน หากเขาไม่มีสายเลือดจิตวิญญาณปฐพี เขาก็จะไม่สามารถใช้ทักษะนี้ได้
“ทำไมข้าจะไม่กล้าล่ะ?” คำพูดของหลิงฮันเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ในหมู่จอมยุทธระดับเดียวกันจะมีใครสามารถทำลายกายหยาบของเขาได้บ้าง? อย่างมากที่สุดก็คงทำได้แค่ให้เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ซึ่งเขาก็สามารถโคจรเทคนิคคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บได้ในพริบตา
“เผ่ามนุษย์ หลังจบการต่อสู้ครั้งนี้ ถึงแม้เจ้าจะเป็นฝ่ายแพ้ แต่เจ้าก็ยังมีคุณสมบัติที่จะเป็นสหายกับข้า” ฉือหวงหัวเราะด้วยความพอใจในตัวหลิงฮันที่กล้าปะทะกับเขาซึ่งหน้า
“ก็ได้!” หลิงฮันพยักหน้า เขาเองก็ชอบนิสัยที่ตรงไปตรงมาของฉือหวง
“หมัดแรก!” ฉือหวงกระโจนไปข้างหน้าและกระโดดขึ้นต่อยไปที่หลิงฮัน
หลิงฮันต่อยหมัดสวนเพื่อต้านรับ ปัง พลังที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมาจากหมัดของฉือหวงส่งผลทำให้หลิงฮันกระเด็นไปด้านหลัง
ปัง!
หลิงฮันกระเด็นไปด้านหลังหลายสิบเมตรก่อนที่จะหยุด และมีโลหิตไหลออกมาจากมุมปาก
ทักษะที่ถูกสร้างขึ้นโดยจอมยุทธระดับเซียน ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก!
หลิงฮันยิ้ม หมัดของฉือหวงสามารถทำลายการป้องกันของเขาได้ แต่มันก็ทำได้แค่นั้น กระดูกของเขายังไม่ถึงขั้นแตกหัก เพราะอย่างไรก็ตามกระดูกของเขาเทียบได้กับแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับห้า ถามหน่อยในหมู่จอมยุทธระดับภูผาวารีจะมีใครสามารถทำให้กระดูกของเขาต้องแตกหักได้บ้าง?
“หมัดที่สอง! ฉือหวงคำรามและเหวี่ยงหมัดขวาออกไปอีกครั้ง แต่ที่แตกต่างไปจากเดิมคือหมัดนี้ทรงพลังกว่าก่อนหน้านี้หลายสิบเท่า
ปัง!
หลิงฮันลอยกระเด็นไปด้านหลังอีกครั้ง ก่อนที่จะกลับมายืนได้อย่างมั่นคง
เขาสะบัดข้อมือเล็กน้อยและพูดว่า “หมัดนี้ช่างทรงพลังยิ่งนัก ทำให้มือของข้ารู้สึกชานิดหน่อย”
ฉือหวงส่งเสียงคำรามและปล่อยหมัดสุดท้ายออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้หมัดของเขาเป็นดั่งภูเขาที่จะทุบทำลายหลิงฮันให้จมดิน
แม้แต่การต่อสู้ระหว่างเป่ยหวงและฉื้อหวงจี่ก็ยังได้รับผลกระทบ ส่วนอู๋เมี่ยนและคนอื่นๆพากันล่าถอย
หมัดนี้มันเหนือกว่าระดับสุริยันจันทราขั้นสมบูรณ์ไปแล้ว!
ตู้ม!
หมัดของเขาทะลวงผ่านอากาศ และตกถล่มลงมาราวกับจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างให้พังทลาย
ตอนที่ 1311
ตู้ม!
พื้นปฐพีสั่นสะเทือนและป่าภูผาวารีอย่างน้อยหนึ่งในสามก็ถูกทำลาย แต่พื้นดินก็ยังคงสั่นกระเพื่อมไปมาไม่หยุด จนกระทั่งผ่านไปสิบลมหายใจในที่สุดก็หยุด
พลังทำลายล้างของหมัดนี้ทรงพลังมาก!
ต้องทราบก่อนว่าพื้นที่บริเวณนี้เกิดจากการชนกันของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสอง มันควรจะไม่ถูกทำลาย
กำปั้นของฉือหวงที่มีขนาดใหญ่เท่าภูเขาหดกลับเป็นขนาดปกติและยืนหยัดอย่างภาคภูมิใจ
แต่หลังจากที่เขายืนภาคภูมิใจได้ไม่นาน ฉากต่อไปก็ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป
หลิงฮันยังยืนอยู่!
ฟ่อ!
ไม่ได้มีแค่ฉือหวงเท่านั้นที่เผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ แม้แต่คนอื่นๆเองก็ไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน ภายใต้การโจมตีแบบนั้น แต่หลิงฮันกลับไม่เป็นอะไรเลย?
“หมัดของเจ้าช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก มันทำให้กระดูกของข้าเกือบแตกหัก” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
– ถ้าหมัดเมื่อครู่ของฉือหวงทรงพลังกว่านี้เล็กน้อย เขาคงจัดการหลิงฮันได้แล้ว
แต่ถึงแม้ฉือหวงจะมีความภาคภูมิใจในตัวเองมากแค่ไหน แต่เขาก็ต้องลดความภาคภูมิใจของตัวเองลงและพูดว่า “ในการต่อสู้ระดับเดียวกัน ข้าไม่อาจทำอะไรเจ้าได้เลย”
ในด้านพลังป้องกัน หลิงฮันเหนือกว่าจิตวิญญาณปฐพีของเขา และในด้านพลังโจมตี หลิงฮันก็ยังมีอำนาจแห่งสวรรค์ที่สามารถลดพลังต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามได้สองดาว ถ้าเป็นการต่อสู้ในระดับเดียวกันไม่มีใครสามารถต่อกรกับเขาได้
หลิงฮันมีทั้งพลังโจมตีและพลังป้องกันที่น่าตกตะลึง แล้วจะมีใครปะมือกับเขาได้บ้าง?
หากต้องการเอาชนะหลิงฮันจะต้องใช้ความได้เปรียบของระดับบ่มเพาะพลัง
“เจ้าเป็นคนที่แปลกประหลาดมาก!” ฉือหวงกล่าว
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นฝ่ายแพ้ก็ส่งหยดวิญญาณมาให้ข้าได้แล้ว”
ฉือหวงรู้สึกกดดัน แต่ก็ไม่อาจผิดคำพูดได้ และสร้างบาดแผนที่แขนเพื่อโลหิตของเขาหยดไหลออกมาและใส่ในขวดหยก ตัวเขาที่เป็นจอมยุทธระดับดาราและมีจิตวิญญาณปฐพี โลหิตของเขาอาจพูดได้ว่าเป็นสมบัติในหมู่จอมยุทธระดับดาราก็ว่าได้
เขาโยนขวดหยกให้กับหลิงฮัน และแน่นอนว่าหลิงฮันเก็บขวดหยกเข้าไปในหอคอยทมิฬทันที
ส่วนการต่อสู้อีกคู่หนึ่ง ฉื้อหวงจี่และเป่ยหวงยังคงต่อสู้กันอย่างดุเดือด
เป่ยหวงใช้กระบี่ทองคำที่ดูเหมือนกับว่าสามารถตัดผ่าสวรรค์และปฐพีได้ ส่วนฉื้อหวงจี่ใช้กระจกโบราณที่สามารถปล่อยเปลวเพลิงออกมาเผาไหม้ได้ตลอดเวลา
พลังต่อสู้ของทั้งสองคนใกล้เคียงกันมาก และตอนนี้พวกเขาก็ใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ประจำกายแล้ว
ในทางทฤษฎี เป่ยหวงควรเป็นฝ่ายได้เปรียบ แม้ว่ากระบี่ในมือของเขาไม่ใช่อาวุธระดับเซียน แต่ก็เป็นกระบี่ที่สร้างขึ้นมาจากแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบห้า ซึ่งแม้แต่จอมยุทธระดับวารีนิรนดร์ก็ยังต้องหวาดกลัว มันเป็นอาวุธที่ทรงพลังโดยธรรมชาติ
แต่กระจกโบราณของฉื้อหวงจี่ดูเหมือนจะเป็นอาวุธระดับเซียน พลังของมันนั้นไร้ซึ่งขีดจำกัด
ตอนนี้อาวุธทั้งสองกำลังปะทะกันอยู่ แต่แน่นอนว่าอาวุธระดับเซียนมีความได้เปรียบเหนือกว่าเล็กน้อย
ด้วยความได้เปรียบดังกล่าว ทำให้ฉื้อหวงจี่เป็นฝ่ายได้เปรียบ ยิ่งเขาต่อสู้นานเท่าไหร่ มันก็ยิ่งแสดงความได้เปรียบออกมาให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าเป่ยหวงไม่ใช่คนที่อ่อนแอ แต่เขาก็ถอนหายใจและถอยห่างออกมาและพูดว่า “ข้าแพ้แล้ว” แม้ว่าเขาจะฝ่ายแพ้เพราะอาวุธด้อยกว่า แต่แพ้ก็คือแพ้ไม่มีข้อแก้ตัว
ฉื้อหวงจี่แสยะยิ้มและพูดว่า “เจ้าเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก แต่ยังไงก็ยังไม่ใช่คู่มือของข้า!”
หลิงฮันไม่แปลกใจ ดูเหมือนว่าหยางหลินจะไม่ใช่คนเดียวที่โชคดี แม้แต่ฉื้อหวงจี่เองก็มีอาวุธระดับเซียนเหมือนกัน
“ต่อไป-” ฉื้อหวงจี่หันไปมองหลิงฮันและเผยสีหน้าดุเดือด “เหลือเพียงแค่ชนะเจ้า ข้าก็จะกลายเป็นราชาที่แท้จริง!”
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “เจ้าทำตัวอย่างกับกบก้นบ่อที่ยังไม่รู้ว่ามีคนแข็งแกร่งกว่าเจ้ามากมายนัก”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาที่รู้เรื่องดินแดนแห่งเซียน และฮูหนิวใช้เวลาประมาณห้าปีเท่านั้นก็กลายเป็นจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งแล้ว เมื่อพูดถึงอัจฉริยะก็คงมิใช่ใครอื่นนอกจากฮูหนิว
“เข้ามา!” ฉื้อหวงจี่ก้าวไปข้างหน้า “สามชีวิตเหมือนความตาย เจ็ดวิญญาณถูกตัดขาด!”
ครืนนน แสงที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งออกมาจากดวงตาของฉื้อหวงจี่กลายเป็นดาบและพุ่งเข้าหาหลิงฮัน
หลิงฮันดูแปลกใจเล็กน้อย นี่มันทักษะโจมมตีทางวิญญาณ
เขาเคยเห็นจอมยุทธหลายคนฝึกฝนบ่มเพาะให้ดวงวิญญาณแข็งแกร่งและทำให้ทักษะจิตเจ็ดสังหารของเขาใช้งานได้ยากลำบาก อย่างไรก็ตามมีจอมยุทธแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ฝึกฝนทักษะโจมตีทางวิญญาณ ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจตั้งแต่แรกเห็น
ดาบเล่มนั้นกำลังพุ่งเข้ามา!
หลิงฮันยืนนิ่งไร้การป้องกันและปล่อยให้ดาบเล่มนั้นทิ่มแทงเข้าไปในดวงวิญญาณของเขา
เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ฉื้อหวงจี่จะแสยะยิ้ม เขาใช้เวลาไปมากมายเพื่อฝึกฝนทักษะโจมตีทางวิญญาณ ดังนั้นไม่เพียงแค่ทำให้เขามีจิตใจที่แกร่งกล้าเท่านั้น แต่ยังใช้โจมตีได้อีกด้วย
หลิงฮันกล้ามากที่ประมาทการโจมตีทางวิญญาณของเขา นี่เขาไม่คิดเลยว่าจะเอาชนะหลิงฮันได้ง่ายดายขนาดนี้
“แค่นั้นรึ?” หลิงฮันแสยะยิ้ม เขาฝึกฝนเทคนิคคัมภีสวรรค์นิรันดร์ ซึ่งทำให้จิตวิญญาณของเขาเหนือกว่าระดับของตัวเองหนึ่งระดับ มันเป็นเรื่องยากมากที่จะใช้การโจมตีทางวิญญาณกับเขา
ฉื้อหวงจี่เผยสีหน้าระมัดระวัง เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลิงฮันสามารถต้านทานการโจมตีทางวิญญาณของเขาได้ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นั่นหมายความว่าจิตวิญญาณของอีกฝ่ายเหนือกว่าเขามาก
“ใช่แล้ว นี่แหละการต่อสู้ที่ข้ารอคอย!” ฉื้อหวงจี่หัวเราะ และเปลี่ยนวิธีการโจมตี “จงรับพลังแห่งคำพูดทั้งแปดของข้า!”
“เกิด แก่ เจ็ด ตาย โรคภัย ไข้เจ็บ”
พรึบ แสงสีดำหลายดวงลอยออกมาจากปากของเขาและกลายเป็นตัวอักษรสีดำแปดตัวที่พุ่งเข้าหาหลิงฮัน
หลิงฮันสัมผัสได้ถึงความน่าหวาดกลัวและสั่นสะท้านไปทั่วร่าง
มันจะต้องเป็นทักษะลับที่ทรงพลังอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงทำให้เขารู้สึกกดดันได้ขนาดนั้น
แล้วเขาก็พบว่าพละกำลังของเขาอ่อนแอลงอย่างมาก แม้แต่สัมผัสสวรรค์ของเขาเองก็อ่อนแอลงเช่นกัน
หืม หรือว่ามันจะเป็นคำสาป?
หลิงฮันเคยใช้ขวดหยกต้องสาปมาก่อน เพียงแค่ใช้ส่วนหนึ่งของร่างกายของอีกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นโลหิตหรือเส้นผมก็สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ แล้วถึงแม้ว่าคำสาปจะใช้ไม่ได้ผลถึงขั้นตาย แต่ก็ทำให้ล้มป่วยหนัก
เดิมทีขวดหยกต้องสาปนั่นเป็นของจอมยุทธจากดินแดนใต้พิภพ หากเป็นเช่นนั้นทักษะประเภทคำสาปแช่งก็สมควรที่จะเป็นทักษะของดินแดนใต้พิภพ
เขาเค้นเสียงเล็กน้อยเพื่อกระตุ้นใช้พลังสายฟ้า เปรี๊ยะ เสียงฟ้าผ่าดังกังวาลไปทั่ง และร่างของเขาก็ถูกปกคลุมด้วยชั้นสายฟ้า ซึ่งทำให้พลังของคำสาปนั้นหายไป
อำนาจแห่งสวรรค์สามารถชำระล้างได้ทุกสิ่งทุกอย่างให้บริสุทธิ์
“ทักษะของเจ้าน่าสนใจดี” ฉื้อหวงจี่ยิ้มกว้าง
ตอนที่ 1312
“รับหมัดของข้าบ้าง!” หลิงฮันคำรามและปล่อยหมัด เส้นสายฟ้านับไม่ถ้วนพัวพันไปทั่วหมัดของเขา
Anchor
ฉื้อหวงจี่่ไม่กล้าประมาท เขาก้าวเท้าขวาไปด้านหน้าและง้างหมัดตอบโต้
ตูม!
หมัดทั้งสองเข้าปะทะกันก่อให้เกิดคลื่นทำลายที่น่าสะพรึงกลัว ประกายแสงจากอำนาจหมัดส่องประกายไปทั่วทิศทาง
คลื่นทำลายที่เกิดขึ้นสามารถบดขยี้จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดชั้นสูงสุดได้เพียงแต่สัมผัส แต่ทุกคนในที่นี้เป็นราชาที่ขัดเกลาพลังบ่มเพาะจนบรรลุขั้นสมบูรณ์ คลื่นทำลายเช่นนี้จึงทำให้เสื้อผ้าของพวกเขาฉีกขาดเท่านั้น
“น่าเบื่อ!” ฉือหวงเค้นเสียง กล้ามเนื้อของเขากระตุกด้วยความรู้สึกคันไม้คันมือ การที่ทำได้เพียงมองดูอยู่ห่างๆช่างน่าเบื่อยิ่งนัก
“ฮ่าๆ ลองรับกระบวนท่าของข้าอีกครั้ง!” ฉื้อหวงจี่่หัวเราะและสะบัดข้อมือ ‘พรึบ’ ธงนับร้อยถูกปักลงพื้นล้อมรอบหลิงฮัน ธงแต่ละแท่งส่องแสงสลัวๆราวกับเชื่อมต่อกัน
ทันใดนั้นเอง หลิงฮันก็พบว่าเบื้องหน้าของเขาถูกปิดกั้นเอาไว้ด้วยหมอก ทั้งๆที่ฉื้อหวงจี่่อยู่ไม่ไหลเพียงร้อยเมตรด้านหน้า แต่เขากลับมองไม่เห็นอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง
ไม่เพียงแค่ฉื้อหวงจี่่ แม้แต่อู่เมี่ยน ฉือหวงกับคนอื่นๆเขาก็มองไม่เห็น
รูปแบบอาคม!
หลิงฮันมองไปรอบๆและอดไม่ได้ที่จะคิดในใจว่าฉื้อหวงจี่่ผู้นี้ช่างลูกเล่นเยอะจริงๆ ครั้งแรกก็การโจมตีจากจิตวิญญาณ ครั้งสองก็คำสาป มาถึงครั้งนี้ยังมีการใช้รูปแบบอาคมอีก ราวว่าในโลกนี้จะไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้
นี่คืออัจริยะที่แท้จริง วิถียุทธโดดเด่นอย่างเดียวไม่พอ ความสำเร็จในศาสตร์อื่นๆก็ยอดเยี่ยมจนผู้อื่นทำได้เพียงแหงนมอง
อย่างเช่นหลิงฮันที่หาผู้ใดเปรียบในศาสตร์แห่งการปรุงยา
หลิงฮันไม่แสดงท่าทีตะลึง รูปแบบอาคมนี้อย่างมาก็ทำได้แค่กักขังเขา แต่หากคิดจะเอาชนะเขาแค่นี้ยังไม่พอ
‘ครืนน’ สัตว์ประหลาดตนหนึ่งเดินออกมาจากหมอก มันมีรูปร่างเหมือนสุนัขขนาดใหญ่แต่มีสามหัว ร่างของมันปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง พื้นที่ถูกเท้าของมันเหยียบย้ำเปลี่ยนสภาพเป็นเถ่าถ่านสีดำ
‘ตึง ตึง ตึง ตึง’ เสียงฝีเท้าของมันดังก้องถี่ขึ้น สุนัขเพลิงค่อยๆปรากฏตัวทีละตัวทีละตัวและล้อมรอบหลิงฮันเอาไว้
กลิ่นอายของสุนัขเพลิงเหล่านี้หนาแน่นจนไม่สามารถรับรู้ระดับพลังของพวกมัน
“เผ่ามนุษย์ ถ้าเจ้าไม่สามารถจัดการพวกมันได้ เจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติจะมาสู้กับข้า!” เสียงของฉื้อหวงจี่่ก้องกังวาลโดยที่ไม่สามารถบอกได้มาจากจากทิศทางใด
หลิงฮันยิ้มเล็กน้อยและกล่าว “จะมีคุณสมบัติหรือไม่นั้นเจ้าไม่ใช่คนตัดสิน! ข้าจะทุบตีเจ้าหากข้าต้องการ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ไสหัวไป!”
ฉื้อหวงจี่่ชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้ามันบ้า!”
‘ครืนนน’ เหล่าสุนัขเพลิงสามหัวระเบิดเปลวเพลิงโจมตีใส่หลิงฮัน
หลิงฮันส่ายหัว คิดจะจัดการเขาด้วยเปลวเพลิง? ช่างน่าขัน กายหยาบเขาถูกขัดเกลาด้วยเพลิงนิรันดร์ ถึงแม้ในจอนขัดเกลาจะมีอำนาจของหอคอยทมิฬช่วยค้ำจุลอยู่ แต่เปลวเพลิงที่มีระดับเท่ากับพลังบ่มเพาะของเขาหรือสูงกว่าขั้นสองขั้นก็ไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้
เมื่อเปลวเพลิงพุ่งเข้ามา หลิงฮันไม่ขยับแม้แต่นิ้วมือเพื่อป้องกัน ร่างของเขาราวกับเป็นหลุมดำที่ดูดเปลวเพลิงเข้ามาใส่ร่างด้วยตัวเอง
“อะไรกัน?”
หลิงฮันไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์ภายนอกหมอก แต่คนภายนอกนั้นสามารถมองเห็นภายในได้ชัดเจน
“เพลิงนั่นมัน หรือว่าจะเป็นเพลิงนรก?” แม่นางหยุนคาดเดา
“สมควรเป็นเช่นนั้น” เป่ยหวงพยักหน้า “รูปแบบอาคมนี้มีพลังทำลายที่น่าสะพรึงที่ถูกคิดขึ้นในยุคอดีตกาล เพลิงของมันสามารถแผดเผาได้แม้กระทั่งเซียน! เพียงแต่ว่าพลังของรูปแบบอาคมนี้เห็นได้ชัดว่าด้อยกว่ามาก บางทีมันอาจจะเป็นรูปแบบอาคมที่แยกย่อยออกมาจากรูปแบบอาคมเพลิงนรก”
ฉื้อหวงจี่่ประหลาดใจกับการคาดเดาของทั้งสองคนมาก เป็นอย่างที่ทั้งสองกล่าว รูปแบบอาคมนี้คือรูปแบบอาคมเพลิงนรกในรูปแบบที่ย่อส่วนลงมา เขาได้รับมันมาจากโบราณสถานแห่งหนึ่ง ไม่คาดคิดว่าจะมีคนรู้ว่ารูปแบบอาคมนี้คืออะไร
เหล่าราชาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ
ต่อให้มันเป็นเพียงรูปแบบอาคมที่แยกย่อยออกมาและไม่สามารถสังหารเซียนได้ แต่หากเป็นภายนอกป่าภูผาวารีต่อให้เป็นตัวตนระดับดาราก็ยังไม่อาจหนีรอด ตอนที่นี่อำนาจของมันจะถูกลดทอนลงมาแต่ก็ยังทรงพลังมากอยู่ดี
แต่เมื่อเพลิงถูกปลดปล่อยออกมา หลิงฮันกลับไม่หลบหลีกแม้แต่น้อย คลื่นเปลวเพลิงนับพันถูกดูดเข้าหาร่างหลิงฮันจนใบหน้าของฉื้อหวงจี่่เปลี่ยนสี
แม้แต่เขาก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้!
สัตว์ประหลาดชัดๆ!
“หมอนั่นสามารถดูดซับอำนาจของเปลวเพลิง?”
“เขาสามารถดูดซับเปลวเพลิงได้อย่างเดียว… หรือว่าแม้แต่พลังธาตุอื่นก็ได้?”
ทุกคนตกตะลึง ถ้ากายหยาบของเขาสามารถดูดซับและสลายพลังได้ทุกธาตุ ภายในระดับพลังเดียวกันหลิงฮันจะเป็นตัวตนไร้พ่ายอย่างแท้จริง
ไม่ใช่ว่าเป็นอมตะ แต่อย่างน้อยก็ไม่มีใครสามารถโค่นเขาได้
โดยปรกติแล้ว วิธีที่จะรับมือกับกายหยาบคือการหลอมละลายด้วยเปลวเพลิง แต่ดูเหมือนวิธีนี้จะไม่ได้ผลกับหลิงฮัน
“เข้าสัตว์ประหลาดตนนี้… แล้วจะทำลายการป้องกันของเขาได้อย่างไร?”
ทุกคนขมวดคิ้ว ไม่ว่าใครในที่นี้ล้วนแต่เป็นราชา พวกเขาต้องการแข็งแกร่งที่สุดในหมู่จอมยุทธระดับเดียวกัน ตอนนี้พวกเขาปรารถนาอยากแข็งแกร่งขึ้นไปอีกเพราะต้องการทำลายการป้องกันของหลิงฮัน ไม่มีใครยอมรับว่าในระดับพลังเดียวกันพวกเขาจะพ่ายแพ้หลิงฮัน
นี่คือเกียร์ติที่ไม่อาจยอมให้ใครเหยียบย่ำ
ภายในรูปแบบอาคม หลิงฮันดูดซับสลายเปลวเพลิงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งสุนัขเพลิงสามหัวเหล่านี้ซูบผอมจนไม่อาจปล่อยเปลวเพลิงต่อได้อีกและรูปแบบอาคมได้หมดอำนาจไปเอง
แสงสลัวบนธงทั้งร้อยแท่งหายไปและต้องใช้เวลาสักพักเพื่อดูดซับพลังของสวรรค์และปฐพีก่อนที่จะสำแดงอำนาจได้อีกครั้ง
ฉื้อหวงจี่่พยักหน้าและกล่าว “ข้ายอมรับว่าเจ้ามีคุณสมบัติเป็นคู่ต่อสู้ของข้า”
“แล้วเจ้าล่ะมีคุณสมบัติสู้กับข้ารึ?” หลิงฮันก้าวไปด้านหน้าและคำรามเบาๆ เสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นดาบพุ่งเข้าใส่ฉื้อหวงจี่่
“ถ้าข้าไม่มีคุณสมบัติ แล้วใต้ดวงอาทิตย์นี้ใครจะมี?” ฉื้อหวงจี่่ก้าวไปด้านหน้าเช่นกัน ดวงตาของเขาเปิดกว้างด้วยความโกรธพร้อมกับปล่อยแสงเปลวเพลิงออกมาจากดวงตาเข้าปะทะกับดาบ
‘ตูม’ เปลวเพลิงปะทะกับดาบจนการโจมตีทั้งสองสลายไปทั้งคู่
ทั้งสองคนขัดเกลาพลังบ่มเพาะจนบรรลุขั้นสมบูรณ์สูงสุด หากจะตัดสินผลการต่อสู้ด้วยพลังปราณเพียงอย่างเดียวจนต้องสู้กันอย่างน้อยหลายปี
อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ ทักษะลับ สายเลือด สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่จะทำให้พวกเขาได้เปรียบและเป็นฝ่ายชนะ!
“แข็งแกร่งจนหาผู้ใดต่อกร!” ฉือหวงเค้นเสียง
เป่ยหวงเองก็พยักหน้าและกล่าว “เท่าที่ข้ารู้ ยังมีคนที่สามารถทัดเทียมกับทั้งสองได้… ที่เขตดวงดาวฉีชวง มีคนที่แข็งแกร่งมากๆอยู่คนหนึ่ง ข้าเคยปะทะกับเขาตอนที่มีพลังระดับดาราขั้นต้น ผลลัพธ์คือข้าพ่ายแพ้ให้กับเขาเพียงร้อยกระบวนท่า”
เมื่อเรื่องนี้ถูกกล่าวออกมา ราชาคนอื่นๆที่เหลือก็ตกตะลึงทันที
ตอนที่ 1313
เป่ยหวงแข็งแกร่งขนาดไหนทุกคนรับรู้กันดี ในการปะทะกับฉื้อหวงจี่่เพราะอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ด้อยกว่าเล็กน้อยเขาถึงได้พ่ายพ่าย
ในแง่ของพลังต่อสู้ของตัวเองเพียงอย่างเดียวนั้น ฉื้อหวงจี่่ไม่ได้ด้อยไปกว่าฉื้อหวงจี่่แม้แต่นิดเดียว
แต่ราชาในหมู่ราชาเช่นนั้นกลับเป็นคนเอ่ยด้วยตัวเองว่ามีคนที่ทำให้เขาพ่ายแพ้ในร้อยกระบวนท่า!
อีกฝ่ายเป็นสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งขนาดไหนกัน
Anchor
ฉือหวงเค้นเสียง “ในเขตดวงดาวของตนเอง พวกเจ้าอาจจะคิดว่าตนเองไร้พ่ายในระดับเดียวกันโดยที่ไม่รู้ว่าจักรวาลนั้นกว้างขวางขนาดไหน”
แม่นางหยุนและราชาคนอื่นๆแสดงท่าทีอับอาย คำพูดของฉือหวงตรงเกินไปทำให้พวกเขารู้สึกกระอักกระอ่วน
เป่ยหวงยิ้มและกล่าว “อัจฉริยะบางคนเคยเดินทางผ่านสองโลกมาแล้ว พวกเขามีทั้งความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของสองโลก ดังนั้นในการต่อสู้ระดับเดียวกันพวกเขาจึงแข็งแกร่งกว่าใคร!”
“เหลือเชื่อ!” แม่นางหยุน หยางหลินAnchorถัวป้าตงหรือแม้แต่อู่เมี่ยนก็แสดงตกตะลึงออกมา
ฉือหวงเค้นเสียงอีกครั้ง “พวกเจ้าคิดว่าจอมยุทธของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เข้าใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพได้จะได้เปรียบขนาดไหนหากสู้กับศัตรูที่มีพลังบ่มเพาะเท่ากัน อำนาจของสายเลือดเท่ากัน หรือแม้แต่พลังของทักษะลับก็ยังเท่ากันอีก?”
พวกแม่นางหยุนและคนอื่นๆชะงักอีกครั้ง พวกเขาไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้มาก่อน
ด้วยมุมมองของพวกเขามีที่จำกัด ปรมาจารย์ที่หนุนหลังของพวกเขาอย่างมากสุดก็คือตัวตนระดับวารีนิรันดร์ พวกเขาจะมีความเข้าใจในวิถีแห่งวรยุทธเทียบเท่าฉือหวงกับเป่ยหวงที่มีตัวตนระดับเซียนคอยสนับสนุนอยู่ได้อย่างไร?
“เพียงแต่ว่า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตใต้พิภพมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งมีชีวิตของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปยังดินแดนใต้พิภพล้วนแต่อันตรายทั้งสิ้น” เป่ยหวงส่ายหัว ต่อให้เป็นเขาก็ไม่กล้าเหยียบย่ำไปยังดินแดนใต้พิภพ หากไปที่นั่นแล้วตัวตนของเขาถูกเปิดเผยเขาจะถูกเหล่าปรมาจารย์ของดินแดนใต้พิภพตามล่าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
แม่นางหยุนแสดงสีหน้าประหลาดใจและกล่าว “ในเมื่อการเข้าใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของสองโลกช่วยให้แข็งแกร่งขึ้นได้ เหตุใดทั้งสองโลกถึงไม่ยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยนโอกาสให้แต่ละฝ่ายเข้าไปยังดินแดนฝั่งตนเพื่อเรียนรู้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ล่ะ?”
“ด้วยสถานการณ์ที่ทั้งสองโลกขัดแย้งกันอยู่อย่างที่เป็นในตอนนี้ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะยอมให้จอมยุทธของศัตรูมายังอาณาเขตตนเองเพื่อเรียนรู้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้อย่างไร?” เป่ยหวงถอนหายใจ “ทั้งสองโลกเป็นเหมือนน้ำกับไฟที่ไม่มีทางเข้ากันได้”
แม่นางหยุนและคนอื่นๆไม่กล่าวอะไรอีก ความขัดแย้งของทั้งสองโลกนั้นไม่มีใครรู้ว่ามีมาแล้วกว่ากี่แสนกี่ล้านปีจะเป็นไปได้ด้วยรึที่จะแก้ไขได้? เป็นไปไม่ได้เลยที่ทั้งสองโลกจะปรองดองกัน
“แต่ทำไมทั้งสองโลกถึงต้องขัดแย้งกันล่ะ ทั้งๆที่หากร่วมมือกันแต่ละฝ่ายก็สามารถพัฒนาพลังต่อสู้ของตัวเองได้แท้ๆ?” แม่นางหยุนถามต่อ ด้วยความที่นางเป็นสตรีงามต่อให้ถามยิบย่อยก็ไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกว่าน่ารำคาญ
เป่ยหวงกับฉือหวงมองหน้ากันก่อนจะส่ายหัว คำถามนี้ต่อให้เป็นตัวตนระดับเซียนก็ตอบไม่ได้
ถ้าหลิงฮันได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกันคงจะเป็นคนเดียวที่บอกได้ว่ามีเพียงการทำความเข้าใจอำนาจของทั้งสองดินแดนเท่านั้นถึงจะสามารถเปิดประตูสู่ดินแดนแห่งเซียนและได้รับชีวิตอันเป็นนิรันดร์ที่แท้จริง
หลิงฮันใช้แขนตั้งเป็นคันศรและใช้ปราณก่อเกิดอัดแน่นเป็นลูกศร ‘พรึบ’ รูปแบบอาคมสายฟ้าบนหมัดผสานเข้ากับลูกศรปราณก่อเกิด ลูกศรอัสนีที่ถูกควบแน่นไม่เพียงปลดปล่อยพลังอันน่าสะพรึงกลัวของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์แต่ยังผสานเอาไว้ด้วยอำนาจสวรรค์
ใบหน้าของฉื้อหวงจี่่เปลี่ยนสี ลูกศรตรงหน้าเขาแม้จะยังไม่ถูกยิงออกมาก็ยังทำให้รู้สึกถึงแรงกดดันที่น่าหวาดกลัว
‘ฉึบ’ หลิงฮันปล่อยมือยิงลูกศรพลังปราณออกไปรวดเร็วราวกับคลื่นสายน้ำ
ศรฆ่ามังกรทะลวงดาราที่รวดเร็วอยู่แล้ว เมื่อมันอัดแน่นทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เพิ่มเข้าไปความเร็วของมันจึงเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ ทันทีที่หลิงฮันปล่อยมือ พริบตาเดียวลูกศรก็ไปปรากฏอยู่ที่บริเวณหน้าอกฉื้อหวงจี่่แล้ว
ฉื้อหวงจี่่ตกตะลึง เขารู้ว่าพลังทำลายของลูกศรที่หลิงฮันยิงมาย่อมรุนแรงมากไม่ผิดแน่ แต่ที่เขาไม่คาดคิดคือลูกศรจะเคลื่อนที่ได้รวดเร็วเช่นนี้
“ย๊ากก!” เขาคำรามลั่น ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวก่อนที่ร่างกายของเขาจะระเบิดกลิ่นอายแห่งบรรพกาลอันลึกลับออกมา
ทันใดนั้นเอง… โลกราวกับว่าเคลื่อนที่ช้าลง
ลูกศรที่พุ่งทะลวงราวกับสายน้ำก่อนหน้าค่อยๆเชื่องช้าลงจนฉื้อหวงจี่่หันตัวหลบหลีกได้ทันและปล่อยลูกศรพุ่งผ่านไป
หลังจากเหตุการณ์นี้โลกกับกลับมาเคลื่อนไหวตามปรกติ
ฉื้อหวงจี่่ทั้งโกรธเกรี้ยวและหวาดกลัว
พลังเมื่อครู่คือไพ่ลับก้นหีบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา เนื่องจากสายเลือดที่เข้มข้นและทรงพลังในตัวทำให้เขาสามารถควบคุมกาลเวลาในอาณาเขตเล็กๆได้ชั่วขณะ
การแทรกแซงกาลเวลานั้นเป็นความสามารถที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดใต้สวรรค์ไม่ผิดแน่ ตราบใดที่ใช้ความสามารถนั้นสร้างโอกาสโจมตี แม้แต่ตัวตนระดับดาราหรือวารีนิรันดร์ก็ต้องถูกสังหาร
ความสามารถเช่นนี้เขาไม่สามารถใช้ได้อิสระตามใจนึกแต่ใช้ได้เพียงหนึ่งครั้งในสามวัน เนื่องจากเขาจำเป็นต้องใช้โลหิตของตัวเองใช้การกระตุ้นพลังลึกลับในสายเลือด
ฉื้อหวงจี่่โกรธเป็นอย่างมาก เขาจ้องมองหลิงฮันไม่วางตาแต่ก็ยิ่งไม่กล้าประมาทเพราะกลัวว่าหลิงฮันจะโจมตีแบบเดิมอีกครั้ง เขาตอนนี้ไม่สามารถใช้ความสามารถแบบเมื่อครู่ได้อีกแล้วจึงเลือกตัดสินใจเป็นฝ่ายบุกโจมตีหลิงฮัน
ตูม! ตูม! ตูม!
เขาพยายามเข้าใกล้โจมตีเพื่อเว้นระยะไม่ให้หลิงฮันสามารถโจมตีด้วยทักษะธนูได้ แต่การทำเช่นนี้ก็เป็นการบีบให้ตัวเขาเองใช้พลังต่อสู้ได้อย่างจำกัดเช่นกัน
หลิงฮันไม่หวาดกลัว แต่เขารู้สึกสงสัยว่าทำไมในขณะที่ลูกศรฆ่ามังกรทะลวงดาราพุ่งไปถึงด้านหน้าฉื้อหวงจี่่ ลูกศรดูราวกับเอื่อยช้าลง
ถึงแม้จะเป็นเพียงชั่วพริบตา ในอีกฝ่ายก็ใช้ช่วงจังหวะนั้นหลบหลีกศรของเขา
บิดเบือนเวลา?
หลิงฮันนึกถึงความเป็นไปได้นี้ ถ้าหากเป็นจริง ความสามารถนี้ของอีกฝ่ายคงทรงพลังมากและไม่สามารถใช้ได้ตลอดเวลา ความสามารถเช่นนี้สามารถเช่นนี้จะใช้ก็ต่อเมื่อตกอยู่ในสถานะการณ์วิกฤตเท่านั้น
ปัญหาก็คือฉื้อหวงจี่่สามารถใช้ได้กี่ครั้ง?
หลิงฮันไม่ได้กังวลมาก ต่อให้เขาถูกฉวยจังหวะโจมตีโดยฉื้อหวงจี่่ ด้วยกายหยาบของเขาคงไม่มีไปไม่ได้ที่เขาจะถูกสังหารในพริบตา
เขาเปิดฝ่ามือและพลักตอบโต้อีกฝ่าย
ปัง! ปัง! ปัง!
สุดยอดราชาทั้งสองคำรามเข้าห้ำหั่นกัน นี่เป็นศึกสุดท้ายที่จะตัดสินว่าใครจะเป็นผู้ชนะและได้รับวาสนาอันล้ำค่าจากสวรรค์
ตอนที่ 1314
ในตอนแรกที่หลิงฮันกับฉื้อหวงจี่่เข้าห้ำหั่นกัน ต่างฝ่ายต่างระมัดระวังตัวว่าอีกฝ่ายจะซ่อนไพ่ลับอะไรไว้บ้าง พวกเขาจึงไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
ยิ่งปะทะกันไปเรื่อยๆ ทั้งสองก็เริ่มเผยไพ่ลับออกมาทีละอย่าง
“หมัดไร้สิ้นสุด!” ฉื้อหวงจี่่คำรามและปล่อยหมัดอันหนักหน่วงเข้าใส่หลิงฮัน
ครืนน แรงกดดันที่เกิดขึ้นหนักหน่วงราวกับขุนเขา
หลิงฮันเค้นเสียงและไม่ปิดบังพลังอีกต่อไป เขาโคจรอำนาจสวรรค์ไปยังฉื้อหวงจี่่
“ฮ่าๆๆ ลูกเล่นนี้ใช้ไม่ได้กับข้า!” ฉื้อหวงจี่่หัวเราะลั่น ดวงตาของเขาส่องประกายแสงเจิดจ้า ร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง ซึ่งเพลิงเหล่านี้ได้ทำการเผาผลาญเอานาจสวรรค์ที่พุ่งเข้าใส่เขา
เปลวเพลิงนี้เป็นสีดำ เพียงแค่จ้องมองก็ทำให้หลิงฮันรู้สึกเย็นยะเยือก
“เพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิด!” เป่ยหวงAnchorฉือหวงและอุทานออกมาพร้อมกัน ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตาพร้อมกับแสดงท่าทีตกตะลึง
“อะไรคือเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิด?” แม่นางหยุนเอ่ยถาม
ใบหน้าของฉือหวงเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ตามตำนานกล่าวว่า ภายใต้สวรรค์และปฐพีมีเปลวเพลิงแห่งพระเจ้าที่ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับจักรวาล”
“พวกมันคงอยู่ทั้งที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์และดินแดนใต้พิภพ!” เป่ยหวงพยักหน้าและกล่าวแทรก “เพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดแต่เดิมแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะผสานรวมเข้ากับร่างกายของสิ่งมีชีวิตแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น เพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดนั้น… ผู้ที่ครอบครองจะกลายเป็นเซียนได้อย่างไม่มีอุปสรรค! ภายใต้สวรรค์และปฐพี เปลวเพลิงเช่นนี้มีอยู่ทั้งหมดเก้าสิบเก้ารูปแบบ แม้มันจะผสานรวมกับสิ่งมีชีวิตไปแล้ว หากเจ้าของร่างตายมันก็จะกลับคืนสู่สวรรค์และปฐพีโดยไม่มีวันดับสูญ”
“เพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดคือสมบัติที่แท้จริงในจักรวาล เมื่อผสานเข้ากับร่างกายแล้วมันจะช่วยจอมยุทธเจ้าของร่างเข้าใจวิถีแห่งเพลิงสวรรค์ อำนาจของมันสามารถแผดเผาแม้แต่เซียนให้กลายเป็นเถ้าถ่าน!” ฉือหวงกล่าวต่อ
“แน่นอนว่าอำนาจของเปลวเพลิงย่อมถูกจำกัดเอาไว้กับพลังบ่มเพาะของเจ้าของร่าง แม้ตอนนี้ฉื้อหวงจี่่จะยังไม่แข็งแกร่งมาก แต่เปลวเพลิงนั่นก็เพียงพอที่จะช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ให้เขาหนึ่งหรือสองดาว” เป่ยหวงกล่าวด้วยความตะลึง
ใบหน้าของแม่นางหยุนและคนอื่นๆเปลี่ยนสี สามารถเพิ่มพลังต่อสู้ได้ถึงหนึ่งหรือสองดาวเชียวรึ? ช่างน่าสะพรึงกลัวนัก!
“ชายคนนั้น… เป็นลูกรักของสวรรค์รึอย่างไร?” ฉือหวงหวงกัดฟัน แม้เขาจะเป็นบุตรของเซียนก็ยังไม่มีวาสนาเช่นฉื้อหวงจี่่
ทุกคนมองไปยังหยางหลินซึ่งเป็นลูกรักของสวรรค์ เขามีวาสนาได้รับอาวุธเซียนไม่สมบูรณ์มาครองและถูกอาวุธนั้นยอมรับเป็นเจ้านาย
หยางหลินส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าเทียบหมอนั่นไม่ได้!”
แม้เขาจะได้ครอบครองอาวุธเซียน แต่มันก็เป็นอาวุธที่ไม่สมบูรณ์ หากเป็นเรื่องการพบเจอสมบัติเขาก็พบเจอเพียงเม็ดยาโบราณที่ช่วยเพิ่มพลังชั่วคราวเท่านั้น ส่วนฉื้อหวงจี่่ล่ะ? เขาได้ครอบครองเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดที่กำเนิดจากสวรรค์และปฐพีซึ่งเปรียบเสมือนมีวิถีแห่งเพลิงอันยิ่งใหญ่อยู่ร่างกายตลอดเวลา เขาจะเทียบกับอีกฝ่ายได้อย่างไร?
ไม่น่าแปลกใจที่ฉื้อหวงจี่่บรรลุระดับดาราได้ภายในอายุสองร้อยปี ด้วยการช่วยเหลือจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิด การทำความเข้าใจศาสตร์แห่งวรยุทธย่อมกลายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย สิ่งที่อีกฝ่ายต้องทำมีเพียงการสะสมปราณก่อเกิดเพื่อทะลวงระดับ
คนอื่นๆอาจจะไม่รู้ แต่ที่จริงฉื้อหวงจี่่นั้นมีสายเลือดที่น่าสะพรึงกลัวไม่แพ้กัน สายเลือดของเขาสามารถบิดเบือนได้แม้กระทั่งกาลเวลา …เหตุใดสวรรค์ถึงได้ลำเอียงเพียงนี้?
“เจ้าแข็งแกร่งก็จริง แต่ยังไม่เพียงพอที่จะยืนต่อหน้าข้า! ตัวข้าถูกกำหนดให้เป็นผู้อยู่บนจุดสูงสุดมาตั้งแต่แรกแล้ว!” ฉื้อหวงจี่่กล่าวอย่างหยิ่งยโส ในความคิดของเขาอำนาจสวรรค์สมควรเป็นลับที่ทรงพลังที่สุดของหลิงฮัน เพราอย่างไรความสามารถที่ทำให้พลังต่อสู้ของศัตรูลดลงไปถึงสองดาวนั้นถือว่าเป็นความสามารถที่ท้าทายสวรรค์อย่างยิ่ง
โชคร้ายที่ตัวเขามีเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดที่เป็นตัวแทนของสวรรค์และปฐพี เช่นนั้นแล้วพลังต่อสู้ของเขาจะถูกทำให้ลดลงได้อย่างไร?
“พล่ามไร้สาระเยอะเสียจริง!” หลิงฮันไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงกับคนบ้า จริงอยู่ที่อัจฉริยะต้องหยิ่งยโส แต่การเอ่ยคำพูดเดิมซ้ำๆก็เป็นอะไรที่น่ารําคาญ ‘เพี๊ยะ’ เขาดีดนิ้วปล่อยปราณดาบออกมา
ทักษะดาบฟ้าคำราม… ทักษะที่ผสานเอาไว้ด้วยอำนาจของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์
ฉื้อหวงจี่่หัวเราะลั่นและกล่าว “ฮ่าๆ จงศิโรราบต่อหน้าข้า! ข้าคือราชันไร้พ่าย สักวันหนึ่งดินแดนทั้งสองจะถูกข้าผู้นี้เหยียบย่ำ! กบก้นบ่อเช่นเจ้าไม่รู้ว่าตนเองมีวิสัยทัศน์ที่ตื้นแค่ขนาดไหน ความทะเยอทะยานของข้านั้นไกลเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้!”
หลิงฮันเค้นเสียงกล่าว “เจ้าหมายถึงดินแดนแห่งเซียน?”
พรวด!
ฉื้อหวงจี่่สำลักทันที เป้าหมายนี้ของเขาเป็นความลับสุดยอดที่เขาเก็บเอาไว้ในใจมาตลอด
เพราะรับรู้ถึงการมีอยู่ของดินแดนแห่งเซียนทำให้เขาหยิ่งทะนง ไม่ต้องกล่าวเลยว่าต่อให้เป็นอัจฉริยะระดับราชาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือดินแดนใต้พิภพก็ไม่อยู่ในสายตาของเขาเนื่องจากเขาเชื่อว่าสักวันตัวเขาจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนแห่งเซียนอันสูงส่งที่สามารถเมินเฉยต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมดของสองดินแดนนี้
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์กับดินแดนใต้พิภพเป็นเพียงหินรองเท้าให้เขาแข็งแกร่งขึ้น เมื่อใดที่เขาบรรลุเป็นเซียน เขาจะก้าวเหนือความสำเร็จทั้งมวลที่มีมาแต่บรรพกาลและข้ามไปยังดินแดนแห่งเซียน
นี่คือความลับยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาที่ไม่เคยกล่าวให้ผู้ใดรู้เนื่องจากไม่มีใครมีคุณสมบัติเพียงพอ!
แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นความลับที่ใหญ่ที่สุดกลับถูกคนอื่นเอ่ยออกมาลวกๆราวกับเป็นเรื่องปรกติ
“เป็นไปได้อย่างไร เหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องนี้?” ใบหน้าของเขาหวาดผวา
หลิงฮันไม่ตอบคำถามของอีกฝ่ายและกล่าวข้อสันนิษฐาน “ก่อนหน้านี้ที่เจ้าหลบลูกศรของข้าได้สมควรเป็นเพราะพลังสายเลือดของเจ้า ถ้าให้ข้าเดาเจ้าเองก็คงเป็นหนึ่งในเผ่าสวรรค์บรรพกาล!”
ฉื้อหวงจี่่แสดงใบหน้าโหดเหี้ยมทันที เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาปูดนูนออกมา
เขาคือผู้เหลือรอดคนเดียวของเผ่าพันธุ์ และในสายเลือดของเขามีสัญชาตญาณที่สั่งเขาว่าห้ามให้ใครล่วงรู้ถึงตัวตนของเขาเด็ดขาด ใครที่รู้ต้องถูกกำจัด
“รนหาที่ตาย!” ฉื้อหวงจี่่คำราม เปลวเพลิงในร่างของเขาปะทุออกมายิ่งกว่าเดิมจนโอบล้อมมิดร่างและปลดปล่อยอำนาจอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
เปลวเพลิงนี้หากถูกสัมผัสแม้จะเป็นเซียนก็ต้องถูกแผดเผา!
เขาพุ่งทะยานเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีหลิงฮันก่อน
หลิงฮันไม่หวั่นเกรงและตอบโต้เผชิญหน้า
ปัง! ปัง! ปัง!
ฉื้อหวงจี่่แข็งแกร่งมากอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เห็นได้ชัดว่ากายหยาบของเขาไม่ยอดเยี่ยมเท่าหลิงฮันและฉือหวงซึ่งทำให้เสียเปรียบ เพราะอย่างไรปราณก่อเกิดของเขาก็มีจำกัด นอกจะต้องใช้ปราณก่อเกิดไปกับการโจมตีแล้วยังต้องใช้ป้องกันไปพร้อมๆกันด้วย แต่หากใช้ปราณก่อเกิดไปกับการป้องกันมากเกินไปก็จะโจมตีได้ไม่รุนแรง รู้แบบนี้แล้วเหตุใดเขาถึงยังเป็นฝ่ายกระหน่ำโจมตีก่อน?
ทั้งสองปะทะกันไปหลายกระบวนท่าจนหมัดของฉื้อหวงจี่่เปื้อนไปด้วยโลหิต
แต่ทันใดนั้นเอง ฉื้อหวงจี่่ได้อ้าปากคำรามปล่อยเพลิงสีดำใส่หลิงฮันในระยะประชิด
ระยะเพียงเท่านี้ หลิงฮันจะหลบพ้นได้อย่างไร?
‘คลืนนน’ เพลิงสีดำพุ่งเข้าใส่ใบหน้าหลิงฮันและแผ่ขยายต่อเนื่องจนในที่สุดก็โอบล้อมร่างของหลิงฮันจนมองไม่เห็น
จบสิ้นเสียที เพลิงนี้คือเพลิงที่แม้แต่เซียนก็ยังถูกแผดเผา ต่อให้ที่นี่จะทำอำนาจของมันลดทอนลงมา แต่หากเป็นสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกัน เพลิงนี้สมควรจะเผาไหม้ได้อย่างสมบูรณ์
แม้แต่ฉือหวงก็คิดว่าต่อให้หลิงฮันไม่ตายก็ต้องบาดได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงชีวิต เพราะอย่างไรเปลวเพลิงสีดำนี้ก็เป็นถึงเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดที่กำเนิดขึ้นพร้อมกับสวรรค์และปฐพี ระดับของมันสูงยิ่งกว่าสายเลือดจิตวิญญาณศิลาของเขาเสียอีก
ตอนที่ 1315
เกิดฉากที่น่าตกตะลึงขึ้น
เพลิงสีดำพุ่งไหลออกมาจากร่างของฉื้อหวงจี่โดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ราวกับกำลังถูกอะไรบางอย่างดูดออกไป และหลังจากนั้นชั่วครู่หนึ่ง เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดก็แยกออกมาจากร่างของฉื้อหวงจี่และพันอยู่รอบตัวหลิงฮัน
“เป็นไปไม่ได้-” ฉื้อหวงจี่อุทานด้วยความตกใจ นี่มันไม่ใช่ความประสงค์ของเขา ถึงแม้จะต้องการแผดเผาหลิงฮันด้วยเปลวเพลิงก็ตาม แต่ตอนนี้เขาถูกพลังลึกลับดูดมันออกไป
มันเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?
เพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดคือพลังของสวรรค์และปฐพี การดำรงอยู่ของมันเก่าแก่และทรงพลังที่สุด นอกเหนือจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดด้วยกันแล้วอะไรจะเทียบกับมันได้? แล้วถึงแม้ว่าหลิงฮันจะมีพลังที่ทัดเทียมกับเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิด มันก็ควรจะห้ำหั่นกันเอง แล้วเหตุใดเขาถึงถูกดูดเปลวเพลิงออกจากร่างกาย?
ฉื้อหวงจี่ตื่นตระหนกมากขึ้น เพราะเขาไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งที่เพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดควรจะทรงพลังที่สุดทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์และดินแดนใต้พิภพ เป็นไปได้หรือไม่ว่า…หลิงฮันจะมีสมบัติที่อยู่เหนือกว่าทั้งสองดินแดนนี้?
หากเป็นเช่นนั้น…มันก็จะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้!
หลิงฮันไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นักที่ถูกโจมตีด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิด นั่นเป็นเพราะตัวเขาที่ขัดเกลาร่างกายด้วยเปลวเพลิงนิรันดร์ เปลวเพลิงต้นกำเนิดจะไปทำอะไรเขาได้
แต่ในขณะนั้นเองหอคอยน้อยก็ได้พูดกับเขาว่าขอให้เขาไม่ตอบโต้กลับ เพราะมันจะแย่งชิงเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิด
แน่นอนว่าหลิงฮันให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีและดูดเข้าไปในหอคอยทมิฬ
ดังนั้น หลิงฮันยังคงยืนนิ่งและปล่อยให้ฉื้อหวงจี่ปล่อยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดออกมาเรื่อยๆ แล้วจากนั้นก็จะดึงเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดทั้งหมดออกมาจากร่างกายของฉื้อหวงจี่
“ยอดเยี่ยม มันเป็นเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดจริงๆ และสามารถทำให้ข้าฟื้นฟูได้หนึ่งในหมื่น” หอคอยน้อยมีความสุขเล็กน้อย
เดี๋ยวก่อน!
หลิงฮันรีบพูดทันทีว่า “เจ้าคงไม่ได้หมายความว่าจะกลืนกินมันทั้งหมดหรอกใช่ไหม?”
“แน่นอน ข้าตั้งใจจะทำเช่นนั้นตั้งแต่แรกแล้ว เพราะยังไงมันก็เป็นของข้า” หอคอยน้อยกล่าวอย่างไม่ละอาย “นอกจากนั้น เมื่อใดที่ข้าซ่อมแซมหอคอยทมิฬได้สมบูรณ์ ข้าสามารถหลอกลวงสวรรค์และปฐพีได้เพื่อที่ความลับของหอคอยทมิฬจะได้ไม่ถูกเปิดเผย หลังจากที่เจ้าก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนในอนาคต”
“เจ้าเป็นโจร!” หลิงฮันโวยวายด้วยความไม่พอใจ
“อย่าพูดจาเหลวไหลและให้ความร่วมมือกับข้า!” หอคอยน้อยกล่าว การดำรงอยู่ของหอคอยทมิฬอาจดึงดูดความสนใจของจอมยุทธบนดินแดนแห่งเซียน ดังนั้นหลิงฮันจึงทำได้แค่ให้ความร่วมมือกับมัน
“ก็ได้ข้าจะให้ความร่วมมือกับเจ้า แต่ต้องแบ่งเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดให้ข้าด้วย” หลินฮันต่อรอง
“….ก็ได้!” หอคอยน้อยลังเลอยู่ซักพัก แต่ก็ตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจ
หลิงฮันและหอคอยน้อยร่วมมือกันเพื่อดูดเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดเข้ามาในหอคอยทมิฬ
เขาเหยียดมือจับคว้าเปลวเพลิงสีดำเอาไว้ จากนั้นเขาก็อ้าปากเพื่อกลืนกินมันเข้าไป
“คืนมันมาให้ข้า!” ฉื้อหวงจี่คำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดคือหนึ่งในไพ่ลับที่สำคัญที่สุดของเขา แล้วเขาจะยืนดูอยู่เฉยๆและปล่อยให้หลิงฮันกลืนกินเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดได้อย่างไร
ส่วนคนอื่นๆทั้งหกคนต่างหวาดกลัวและสับสน
นั่นคือเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดจริงหรือ? มิใช่ว่าแม้แต่จอมยุทธระดับเซียนก็ยังต้องถูกแผดเผาเมื่อสัมผัสหรอกรึ? แต่ทำไมหลิงฮันถึงดูดกลืนมันได้?
แต่เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดก็ยังคงพยายามที่จะเป็นอิสระ แต่เรื่องแบบนั้นเป็นไปไม่ได้เลยเมื่ออยู่ภายใต้การควบคุมของหอคอยทมิฬ และถูกหลิงฮันกลืนกินทีละนิด
คนอื่นอาจเห็นว่าเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดถูกดูดกลืนเข้าไปในปากของหลิงฮัน แต่ในความจริงแล้วมันถูกดูดเข้าไปในหอคอยทมิฬ เพราะอย่างไรก็ตามเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็เต็มไปด้วยความประสงค์ที่จะสังหารเขา จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะหลอมรวมเข้ากับมัน
เมื่อเห็นว่าเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดถูกกลืนหายไปทีละนิดทีละนิด ฉื้อหวงจี่ก็วิตกและหวาดผวา และระเบิดพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งขึ้นออกมาเพื่อยับยั้งไม่ให้หลิงฮันดูดกลืนเปลวเพลิงไปมากกว่านี้
“รนหาที่ตาย! รนหาที่ตาย! รนหาที่ตาย!” ฉื้อหวงจี่แผดเสียงคำรามไม่หยุด ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเดือดดาลเท่านี้มาก่อน
ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดถูกดูดกลืนหายไปได้ มันเป็นไพ่ลับที่สำคัญที่สุดของเขา!
“ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย ในเมื่อมันเข้ามาในตัวข้าแล้ว นั่นหมายความว่ามันเป็นของของข้า” หลิงฮันพูดพร้อมเสียงหัวเราะ ภายใต้การจัดการของหอคอยน้อย หอคอยทมิฬเริ่มดูดกลืนมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ
มันต้องใช้เวลานานในการดูดกลืน เพราะหอคอยทมิฬยังไม่แข็งแกร่งพอ กลับกัน หอคอยน้อยพยายามที่จะควบคุมความเร็วในการดูดกลืนของหอคอยทมิฬไม่ให้เร็วหรือช้าจนเกินไป เพราะกลิ่นอายของหอคอยทมิฬอาจเล็ดลอด
“ไอสารเลว!” ในที่สุดฉื้อหวงจี่ก็นำอาวุธเซียนออกมา และมีมังกรไฟพุ่งออกมาจากกระจกและส่งเสียงคำรามไปที่หลิงฮัน
เมื่อเห็นอาวุธเซียนของฉื้อหวงจี่ สีหน้าของเป่ยหวงเปลี่ยนไป แม้เขาจะเป็นคนใจกว้าง แต่เขาไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ต่อฉื้อหวงจี่ได้ เหตุผลที่อีกฝ่ายชนะเขาได้ไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของตัวเอง แต่เป็นเพราะอาวุธเซียนนั่นต่างหาก
ชิ่ง ดาบอสูรนิรันดร์ปรากฎอยู่ในมือของหลิงฮัน และกวัดแกว่งสะบั้นมังกรไฟที่กำลังพุ่งเข้ามา
ฉัวะ!
ดาบหลายร้อยเล่มทะลวงผ่านมังกรไฟ มันถูกสะบั้นเป็นชิ้นๆ และสลายหายไปอย่างไร้อำนาจ
“หืม?”
เป่ยหวงและคนอื่นๆต่างรู้สึกตกตะลึง และจ้องมองไปที่ดาบอสูรนิรันดร์ที่อยู่ในมือของหลิงฮัน
ทุกคนทราบดีว่าอาวุธเซียนทรงพลังแค่ไหน อย่างไรก็ตาม มันดูเหมือนว่าดาบที่อยู่ในมือของหลิงฮันจะแข็งแกร่งกว่าอาวุธเซียน!
ฟ่อ!
ในการต่อสู้ระดับเดียวกัน จอมยุทธที่ใช้อาวุธเซียนจะมีความได้เปรียบ แต่ดาบของหลิงฮันกลับแข็งแกร่งกว่า นั่นหมายความว่า…ดาบของหลิงฮันเองก็เป็นอาวุธระดับเซียน ทั้งยังทรงพลังกว่ามากอีกด้วย!
ฟุบ!
อยทมิฬดูดกลืนเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดระลอกสุดท้ายสำเร็จ และหลิงฮันก็ปิดปากของเขาพร้อมกับเผยสีหน้าที่พึงพอใจ
เขาจ้องมองไปที่ฉื้อหวงจี่ด้วยความรู้สึกขอบคุณ และชอบคนประเภทฉื้อหวงจี่ที่วาสนาดี เพราะของอีกฝ่ายก็เหมือนของของข้า และมันยังเป็นประโยชน์กับตัวเขาอีกมาก
ฉื้อหวงจี่รู้สึกโกรธเกรี้ยวมากและพูดว่า “เอาเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดของข้าคืนมา!”
“อย่าทำเป็นขี้เหนียวหน่อยเลยน่า ทุกคน-” หลิงฮันดูเหมือนจะพูดอะไรบางอยย่าง แต่ทันใดนั้นเองสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เพราะหอคอยน้อยสกัดเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดเสร็จแล้ว และแบ่งส่วนหนึ่งให้กับเขาตามข้อตกลง
แต่ส่วนที่มันแบ่งมาให้ยังไม่ถึงหนึ่งในร้อยล้านเลยด้วยซ้ำ!
มันน้อยเกินไปแล้ว!
“หอคอย! น้อย!” หลิงฮันคำรามอยู่ในใจ
“เจ้ามีอะไร? ข้าไม่ได้หูหนวก” หอคอยน้อยกล่าวอย่างไม่แยแส
“ทำไมส่วนแบ่งของข้าถึงน้อยขนาดนั้น?” หลิงฮันไม่พอใจ ทั้งที่เขาพยายามอย่างหนัก แต่ส่วนแบ่งที่ได้รับกลับได้ไม่คุ้มเสีย
ตอนที่ 1316
“ข้าบอกแค่ว่าจะแบ่งให้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะแบ่งมากขนาดไหน” หอคอยน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงผู้ชนะ
“เจ้า… เจ้าไร้ยางอายยิ่งกว่าข้าเสียอีก!” หลิงฮันกลายเป็นไร้คำพูด
“เจ้าหนู ถ้าข้าแข็งแกร่งขึ้น เจ้าก็แข็งแกร่งขึ้นด้วย” หอคอยน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงราวกับผู้อาวุโส
หลิงฮันทำได้เพียงถอนหายใจ
“เอา! คืน! มา!” ฉื้อหวงจี่่คำราม เพลิงสีดำถูกปล่อยออกมาจากดวงตาา มันคือเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดที่เหลืออยู่ในร่างของเขาเพียงน้อยนิด
แต่ถึงอย่างไรเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดก็ยังมีอำนาจที่เผาผลาญได้แม้กระทั่งเซียน เพลิงน้อยนิดที่เหลืออยู่งสามารถต่อต้านอำนาจสวรรค์เอาไว้ได้ ไม่เช่นนั้นพลังต่อสู้สองดาวของเขาคงหายไปและศักยภาพของเขาจะลดลงจากราชาในหมู่ราชาเป็นเพียงอัจฉริยะทั่วไป
“เจ้าบังคับข้าเองนะ!” ฉื้อหวงจี่่กวาดมือเป็นลวดลายลึกลายซับซ้อน ทันใดนั้นเองกลิ่นอายของเขาก็ทะยานพุ่งสูงขึ้นราวกับว่าพลังต่อสู้ได้ยกระดับขึ้นไปอีกหนึ่งหรือสองดาว
นี่นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาก พลังต่อสู้ที่ถึงขีดจำกัดสิบดาวแล้วสมควรไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้อีกแล้วแท้ๆ
แต่ฉื้อหวงจี่่ก็ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ทันทีที่พลังต่อสู้ของเขายกระดับขึ้น ผมขาวเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเทา ทั่วทั้งใบหน้าปรากฏรอยเหี่ยวย่นราวกับคนแก่
หลิงฮันเข้าใจทันทีว่าที่ฉื้อหวงจี่่ยกระดับพลังให้เหนือขีดจำกัดได้เป็นเพราะเขาเผาผลาญพลังชีวิตของตัวเอง
ถ้าหากฉื้อหวงจี่่เป็นเพียงอัจฉริยะสามหรือสี่ดาว อายุขัยที่เขาต้องเสียคงแค่ไม่กี่แสนปี แต่เนื่องจากตัวเขาบรรลุระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์ที่มีพลังต่อสู้สิบดาว หากต้องการยกระดับพลังขึ้นไปอีกเกรงว่าอายุขัยที่เขาต้องเสียอาจจะมากมายมหาศาล
อย่างเช่นหลิงฮัน หากเขาไม่กินเม็ดยาระเบิดอัสนีก็ยากที่จะมีพลังเกินกว่าขีดจำกัดสิบดาว
แต่ฉื้อหวงจี่่มีความจำเป็นต้องยอมเผาผลาญพลังชีวิตตนเอง เพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดนั้นล้ำค่าเกินไปจนเขายอมเสียไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาจะช้าลงอย่างน้อยสิบหรือร้อยเท่า
ต่อให้เขาเป็นอัจฉริยะก็ไม่อาจยอมให้ตนเองบ่มเพาะพลังช้าลงขนาดนั้นได้ การบ่มเพาะพลังคือการแข่งขันกับเวลา หากไม่ทะลวงผ่านระดับต่อไปให้เร็วที่สุดก็มีแต่จะถูกคนอื่นแซงหน้า
พลังต่อสู้ของฉื้อหวงจี่่ในตอนนี้เรียกว่าไร้เทียมทานในระดับภูผาวารีอย่างแท้จริง ‘ตูม’ ฉื้อหวงจี่่ปล่อยหมัดออกไป ‘เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ’ ชั้นอากาศโดยรอบสั่นสะเทือนและแตกร้าว แม้แต่อู่เมี่ยนและราชาคนอื่นก็ยังร่างสั่นสะท้านเมื่อสัมผัสโดยคลื่นพลังจากหมัด
ขนาดพวกเขาที่อยู่ห่างยังได้รับผลกระทบ แล้วหลิงฮันล่ะ?
ปัง!
หลิงฮันปล่อยหมัดตอบโต้หมัดของฉื้อหวงจี่่
กล้ามเนื้อบริเวณแขนของหลิงฮันสั่นสะเทือนราวกับคลื่นน้ำโดยที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ผิวหนังตั้งแต่มือจนถึงช่วงไหล่ของเขาระเบิดกระจุยพร้อมกับร่างถูกส่งลอยกระเด็น
พลังต่อสู้ต่างกันเกินไป
หลิงฮันตีลังกากลางอากาศและร่อนลงสู่พื้นอย่างมั่นคง คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ถูกโคจรและแขนขวาเขาได้ถูกฟื้นฟูในพริบตา บาดแผลที่ได้มีเพียงแค่ส่วนกล้ามเนื้อเท่านั้น กระดูกของเขาไม่เสียหายแม้แต่นิดเดียว หากบาดแผลมีแค่กล้ามเนื้อการฟื้นฟูย่อมทำได้ไม่ยากเย็น
พรวด!
ทุกคนสำลักออกมา พลังต่อสู้ที่ต่างกันสองดาวนั้นหลิงฮันสมควรเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างย่อยยับแท้ๆ แต่หลิงฮันกลับสามารถรักษาแขนที่ระเบิดออกได้ภายในพริบตา ทั้งพลังป้องกันและพลังฟื้นฟูนี้คืออะไรกัน?
ที่จริงแล้ว ทายาทของเซียนเช่นฉือหวงกับเป่ยหวงนั้นสมควรมีทักษะลับที่ช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ให้ทะยานสูงขึ้น แต่กับฉื้อหวงจี่่นั้นไม่ใช่ เขาจำเป็นต้องยอมเสียพลังชีวิตของตัวเอง
ที่ฉื้อหวงจี่่ยอมทำขนาดนี้เพราะเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดถูกหลิงฮันขโมยไป ไม่ว่าต้องใช้วิถีไหนเขาก็ต้องแย่งกลับคืนมาให้ได้
ครั้งนี้… ฉื้อหวงจี่่คงสูญเสียอย่างมหาศาล
“สัตว์ประหลาด!” ฉือหวงอุทาน จิตวิญญาณป่าไม้คือวิญญาณธาตุที่มีพลังฟื้นฟูยอดเยี่ยมที่สุดในวิญญาณห้าธาตุ จิตวิญญาณศิลาเช่นเขาโดดเด่นในด้านป้องกัน ในขณะที่หลิงฮันมีกายหยาบที่ไม่ด้อยไปกว่าเขา อีกฝ่ายยังมีพลังฟื้นฟูที่เทียบได้กับวิญญาณป่าไม้อีก? นอกจากคำว่าสัตว์ประหลาดแล้วเขาก็สรรหาคำอื่นมาเรียกหลิงฮันไม่ได้
สัตว์ประหลาดเช่นนั้น ในระดับพลังเดียวกันจะมีใครเอาชนะเขาได้จริงๆรึ?
ฉือหวงมองไปยังเป่ยหวง… เป่ยหวงส่ายหัวกลับมาให้เขา นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกว่าตนเองอ่อนด้อย
ใบหน้าของฉื้อหวงจี่่แสดงท่าทีตกตะลึงอย่างปิดไม่มิดและจ้องเขม็งไปยังหลิงฮัน เขาคิดจะลองถูตาตัวเองว่าตาฟาดไปรึเปล่า
หลิงฮันรับหมัดของเขาไปแล้วแต่ยังนิ่งเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
“ข้าไม่เชื่อ!” ฉื้อหวงจี่่กัดฟันและปล่อยหมัดอีกครั้ง ‘ปัง’ หมัดระเบิดออกด้วยเปลวเพลิงสีแดงฉาน พลังทำลายของหมัดนี้เกือบเทียบได้กับการโจมตีของระดับสุริยันจันทราขั้นต่ำชั้นสูงสุด
ตูม!
หลิงฮันถูกหมัดโจมตีใส่โดยไม่อาจต้านทาน พลังต่อสู้ที่ต่างกันสองดาวกว้างใหญ่เกินไป
กล้ามเนื้อของหลิงฮันระเบิดกระจุย โลหิตสาดกระจายออกจากร่าง แต่กระดูกของเขาไม่เกิดความเสียหายใดๆ แสงสีทองโอบล้อมบาดแผลและฟื้นฟูด้วยความเร็วราวกับว่าไม่เคยบาดเจ็บมาก่อน
นี่คือสิ่งที่ทำให้หลิงฮันแข็งแกร่งที่สุด ทักษะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์เป็นทักษะที่ตัวตนระดับสูงของดินแดนแห่งเซียนทิ้งเอาไว้
“ข้าไม่เชื่อ! ข้าไม่เชื่อ! ข้าไม่เชื่อ!” ฉื้อหวงจี่่บ้าคลั่ง เขายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้และกระหน่ำปล่อยหมัดอย่างเต็มแรงเพื่อทำลายความจริงที่ว่ากายหยาบของหลิงฮันนั้นไร้เทียมทาน
น่าเสียดายที่ความพยายามของเขาจบลงที่ความล้มเหลว ในความกลับกัน พลังต่อสู้ของเขากำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง
เขายอมสละพลังชีวิตไปมากมายเพื่อให้ตนเองมีพลังต่อสู้เหนือขีดจำกัดสิบดาบมาอีกสองดาว อายุขัยที่เขาเสียไปนั้นไม่ต้ำกว่าหนึ่งล้านปี!
ขีดจำกัดสิบดาวไม่มีทางถูกทำลาย… หากจะท้าทายสวรรค์ก็ต้องยอมรับผลย้อนกลับที่มหาศาล
“ต้องขอโทษด้วยที่เจ้ามาเจอข้า… ช่างโชคร้ายจริงๆ” หลิงฮันกล่าวและเริ่มลงมือตอบโต้ ด้วยกายหยาบที่ทรงพลัง เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการป้องกันแม้แต่น้อย
พลังต่อสู้ของฉื้อหวงจี่่ในตอนนี้เขาสามารถเหยียดหยามอัจฉริยะคนอื่นได้อย่างไม่มีข้อกังขา ต่อให้ราชาทั้งเจ็ดคนร่วมมือกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่ช่วยไม่ได้ที่กายหยาบของหลิงฮันดันทรงพลังเกินไป หมัดของราชาอันดับหนึ่งกลับทำได้เพียงบดขยี้ผิวหนังของหลิงฮัน
นี่เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของอัจฉริยะจริงๆรึ… เหตุใดถึงได้รู้สึกว่าศึกนี้คือการบดขยี้อยู่ฝ่ายเดียว?
ไม่ใช่ฉื้อหวงจี่่ที่มีพลังต่อสู้สูงกว่าบดขยี้หลิงฮัน แต่เป็นหลิงฮันที่บดขยี้ฉื้อหวงจี่่ที่มีพลังต่อสู้สูงกว่า!
อู่เมี่ยนและคนอื่นๆแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วน
ตอนที่ 1317
แต่ในแง่ของพลังต่อสู้ การปะทะครั้งนี้ควรค่าแก่การเรียกว่าการตัดสินครั้งสุดท้ายอย่างแท้จริง
พลังต่อสู้ของฉื้อหวงจี่่ในตอนนี้เทียบเท่ากับระดับสุริยันจันทราขั้นต้นชั้นปลายซึ่งทำลายขีดจำกัดพลังต่อสู้สิบดาวได้อย่างน่าอัศจรรย์
เพียงแต่ว่าด้วยพลังต่อสู้ขนาดนั้นกลับทำได้เพียงทำลายผิวหนังของหลิงฮันโดยที่ไม่สามารถสร้างความเสียหายต่อกระดูกในร่างได้
หลิงฮันตอบโต้ก็จริง แต่เขาไม่คิดจะลงมือกับอีกฝ่ายถึงตายเนื่องจากเขารู้สึกว่าฉื้อหวงจี่่ผู้นี้เป็นลูกรักของสวรรค์อย่างแท้จริง ในอนาคตอีกฝ่ายจะต้องค้นพบสมบัติล้ำค่าอีกมากมายแน่ ดังนั้นควรจะเก็บเขาเอาไว้กอบโกยผลประโยชน์จะดีกว่า
จะสังหารทิ้งก็น่าเสียดาย!
ถ้าฉื้อหวงจี่่รู้สิ่งที่หลิงฮันคิดในตอนนี้ เขาจะต้องโกรธเกรี้ยวจนกระอักโลหิตแน่นอน แต่สภาพของเขาในตอนนี้นั้นพลังชีวิตได้ถูกเผาผลาญจนเกือบหมด พลังต่อสู้เองก็ค่อยๆจากสองดาวเป็นหนึ่งดาวและกลับสู่พลังต่อสู้ปรกติ
เมื่อพลังต่อสู้กลับมาเท่ากัน ฉื้อหวงจี่่จะเป็นคู่ต่อสู้ของหลิงฮันได้อย่างไร?
เขาด้อยกว่าหลิงฮันในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นพลังป้องกันหรือพลังฟื้นฟู หากต่อต่อสู้ด้วยอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ ในอนาคตดาบอสูรนิรันดร์ของหลิงฮันก็คงทรงพลังยิ่งกว่าอาวุธเซียน!
ฉื้อหวงจี่่กระอักโลหิตสามครั้งและก้าวถอยไปด้านหลังโดยไม่ลงมือโจมตีต่อ
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังในขณะที่มองหลิงฮัน
ที่นี่เขาไม่สามารถเอาชนะหลิงฮันได้จริงๆ แต่ใช่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยเสียเมื่อไหร่? ทันทีที่พวกเขาออกจากป่าภูผาวารีแห่งนี้ พลังบ่มเพาะของเขาจะกลับคืนเป็นระดับดาราขั้นต้น หลิงฮันที่เป็นเพียงจอมยุทธระดับสุริยันจันทราย่อมไม่ได้คู่ต่อสู้ของเขา
เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะลงมือสังหารหลิงฮันและแย่งชิงเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดกลับคืนมา
หลิงฮันยิ้มเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่มีทางชิงกลับไปได้แน่นอน เพราะอย่างไรเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดก็ได้ถูกหอคอยน้อยดูดซับไปแล้วจนไม่เหลือแม้แต่เสษเสี้ยว
“ยอมแพ้แล้ว?” หลิงฮันกล่าว
ฉื้อหวงจี่่รู้สึกจุกที่หน้าอกและอยากฉีกกระชากหลิงฮันออกเป็นพันส่วน แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นตัวตนระดับราชา การควบคุมความโกรธย่อมเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่อยาก เขาสะบัดแขนเสื้อและกระโดดหลบไปยังมุมหนึ่ง
ในที่สุดราชาในหมู่ราชาก็ถูกตัดสินแล้ว
หลิงฮัน!
ที่จริงใครกันจะคิดว่าราชาของเหล่ารุ่นเยาว์ทั้งมวลจะไม่ใช่ฉื้อหวงจี่่ ฉือหวง เป่ยหวง หยางหลิน แม่นางหยุนหรือเย่วหยิง แต่เป็นคนที่พวกเขาไม่รู้กัน?
มีเพียงคนที่เคยได้ยินช่อของหลิงฮันในสนามรบสองดินแดนเท่านั้นถึงจะยกมือขึ้นสะบัดด้วยความตื่นเต้นและอุทานออกมาว่า “ข้ากะแล้ว!”
เนื่องจากระยะเวลาสามวันยังไม่มาถึง แม้จะตัดสินผู้ชนะได้แล้วการให้พรจากสวรรค์และปฐพีจึงไม่ยังเริ่ม
“น้องชายหลิง ยินดีด้วย!” ฉือหวง เป่ยหวง อู่เมี่ยนแฃะคนอื่นๆเข้ามาแสดงความยินดีกับหลิงฮัน แม้แต่หยางหลินกับแม่นางหยุนก็เช่นกัน โดยเฉพาะแม้นางหยุนนั้นนางจ้องมองหลิงฮันด้วยสายตาที่เป็นประกาย
หลิงฮันยิ้มตอบรับทุกคน ขณะนั้นเองสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ได้เดินขึ้นมาจากตีนเขา นางเห็นการต่อสู้ทั้งหมดจากเบื้องล่างและยังคงรู้สึกตกตะลึงไม่หาย
ใครจะคาดคิดว่าบุรุษที่ก่อนหน้านี้มักจะถูกนางกลั่นแกล้งกลับกลายมายืนอยู่ในตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้?
“นางคือภรรยาข้า!” หลิงฮันยิ้มและแนะนำสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ให้กับทุกคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตใต้พิภพทั้งสองนั้นได้ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลออกไป
ฉือหวงและคนอื่นๆทักทายนางด้วยท่าทีเป็นมิตร
หลิงฮันได้ทิ้งความประทับใจเอาไว้ในเบื้องลึกของหัวใจทุกคน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะแสดงท่าทีเป็นมิตรกับสหายรอบตัวหลิงฮัน ถึงแม้ที่จริงสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์จะไม่นับว่าเป็นอัจฉริยะระดับราชาก็ตาม
ระยะเวลาผ่านวันมาถึงในที่สุด ‘ครืนนน’ ลำแสงส่องลงมาจากท้องฟ้าโอบล้อมหลิงฮันบนแท่นเพียงหนึ่งเดียวเอาไว้
วาสนาแห่งสวรรค์กำลังซึมซับเข้าไปในร่าง!
‘พรึบ’ แต่ทันใดนั้นเอง ลำแสงอีกคลื่นก็ส่องลงมาอีกครั้งพร้อมกับโอบล้อมมอบวาสนาให้กับฉื้อหวงจี่่
อะไรกัน?
‘พรึบ พรึบ พรึบ พรึบ’ ลำแสงอีกสี่คลื่นส่องลงมาอีกครั้ง โดยคนที่ได้รับวาสนาแห่งสวรรค์ทั้งสี่นี้คืออู่เมี่ยน เป่ยหวง ฉือหวงและหยางหลิน
ไม่ใช่ว่าผู้ที่ได้รับวาสนามีเพียงราชาในหมู่ราชาเพียงหนึ่งเดียวงั้นรึ?
ทุกคนตกตะลึง เหตุการณ์แปลกประหลาดนี้คืออะไร?
“เป็นไปได้ไหมว่าผู้ที่แสดงพลังที่เกินขีดจำกัดของระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์นั้นจะได้รับวาสนา?”
“แล้วทำไมเหตุการณ์เช่นนี้ถึงไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน?”
“เหตุผลนั้นง่ายมาก นั่นเพราะตลอดมานี้ราชาในหมู่ราชานั้นยากที่จะถือกำเนิดขึ้น! แต่ครั้งนี้กลับมีราชาถึงหกคนที่แสดงพลังต่อสู้ที่เกินขีดจำกีดของระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์”
ต่อให้หยางหลิงจะยกระดับพลังต่อสู้ด้วยเม็ดยา แต่ในระยะเวลาหนึ่งเขาก็มีคุณสมบัติที่จะเรียกได้ว่าเป็นราชาในหมู่ราชา
หยางหลินกับอู่เมี่ยนมีความสุขขึ้นมาทันใด พวกเขานั่งลงและดูดซับปราณแห่งเซียนซึ่งจะช่วยให้ความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ฉือหวงกับเป่ยหวงเองก็ประหลาดใจอย่างมีความสุข เพราะอย่างไรพวกเขาก็มาที่นี่เพราะสิ่งนี้อยู่แล้ว รางวัลที่สองจักรวรรดิของดาวดวงนี้จะมอบให้ผู้ชนะนั้นพวกเขาไม่ได้สนใจมาตั้งแต่แรกแล้ว
มีเพียงฉื้อหวงจี่่คนเดียวที่ฉุนเฉียวด้วยความโกรธ
ถ้ารู้เร็วว่าจะลงเอยแบบนี้ เขาจะสู้กับหลิงฮันไปเพื่ออะไร? ไม่เพียงแต่เพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดจะถูกแย่งชิงไป แต่อายุขัยของเขายังถูกลดทอนไปถึงล้านปี ตอนนี้เขาจะยังเยาว์วัยอยู่และเขามั่นใจว่าตนเองต้องทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ได้แน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นแม้อายุขัยของเขาจะเพิ่มเป็นหนึ่งร้อยล้านปีและอายุขัยที่เสียไปแค่ล้านปีย่อมไม่นับเป็นอันใด แต่ถึงจะน้อยนิดใครบ้างจะอยากเสียอายุขัยของตัวเองไปอย่างเสียเปล่า?
การที่ต้องสูญเสียเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดไป แม้จะได้วาสนาจากสวรรค์และปฐพีก็ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขแม้แต่นิดเดียว
จะกล่าวตรงๆก็คือไม่ว่าอะไรก็ไร้ค่าเมื่อเทียบกับเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิด
รอให้ข้าออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ!
เขาสบภในใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องนำเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้นกำเนิดคืนมาให้ได้
‘ครืนนน’ อำนาจของปราณแห่งเซียนแผ่ขยายไปทั่วบริเวณ โชคร้ายที่แม่นางหยุน สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์และถัวป้าตงทำให้เพียงจ้องมองอย่างอิจฉาอยู่ด้านข้าง
แต่ก็ช่วยไม่ได้สำหรับทั้งสามคน วาสนาเหล่านี้มีไว้เพื่อราชาในหมู่ราชาเท่านั้น
หลิงฮันขัดสมาธิและดูดซับปราณแห่งเซียนอย่างบ้าคลั่งเพื่อเสริมอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเขาให้สมบูรณ์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น