Alchemy Emperor of the Divine Dao 1283-1299
ตอนที่ 1283
หมัดของหลิงฮันจู่โจมเข้าใส่จางเหิงราวกับขุนเขาสองลูก
‘ครืนนน’ ยังไม่ทันที่หมัดจะปะทะกับเป้าหมาย ออร่าอันทรงพลังก็ทะลักออกมาราวกับท้องฟ้าจะพังทลาย
ศิษย์ของห้านิกายโบราณรีบล่าถอย ไม่ว่าจะเป็นระดับสุริยันจันทราขั้นต้น ขั้นกลาง หรือขั้นสูง เกรงว่าหากถูกลูกหลงจากหมัดนั่นคงบาดเจ็บปางตาย
กายหยาบของหลิงฮันเทียบได้กับแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดหรือสูงกว่านั้นเล็กน้อย การใช้หมัดเปล่าเป็นอาวุธเช่นนี้เรียกว่าเป็นการนำประโยชน์จากกายหยาบมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
จางเหิงไม่แสดงท่าทีตกตะลึง ‘ปัง’ ดาบยาวในมือของเขากวาดผ่านท้องฟ้าสลายอำนาจหมัดของหลิงฮันและสะท้อนหมัดทั้งสองของหลิงฮันกลับไป
แข็งแกร่ง!
ในด้านของพลังโจมตี เห็นได้ชัดว่าจางเหิงเป็นฝ่ายเหนือกว่าเนื่องจากระดับพลังของเขาสูงกว่าหลิงฮันและเป็นอัจฉริยะสี่ดาว แม้หลิงฮันจะมีพลังต่อสู้หกดาวก็ไม่อาจทดแทนความห่างของพลังต่อสู้สี่ดาวกับระดับพลังที่สูงกว่าของอีกฝ่ายได้
“หมื่นปีก่อนเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ส่วนตอนนี้… เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอยู่ดี!” จางเหิงกล่าวอย่างองอาจและสะบั้นดาบออกไป
ดาบของเขาไม่ได้ผสานรวมเข้ากับพลังบ่มเพาะ เหตุผลข้อแรกคือเขายังไม่บรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุด ข้อสองคือความทะเยอทะยานของเขาไม่ได้หยุดอยู่ที่ระดับสุริยันจันทราแต่เขาตั้งมั่นจะกลายเป็นตัวตนระดับวารีนิรันดร์ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะผสานพลังบ่มเพาะเข้ากับอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ของเขาซึ่งเป็นตัดอนาคตของตัวเอง
หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “ข้าคิดว่าเจ้าควรจะกล่าวว่าเจ้าต่างหากที่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
“ถ้าความสามารถของเจ้ามีเพียงเท่านี้ ภายในสิบกระบวนท่าเจ้าจะถูกข้าบดขยี้!” จางเหิงกวัดแกว่งดาบเข้าใส่หลิงฮัน ‘ครืนน’ อำนาจที่รุนแรงถูกปลดปล่อยออกมาจนราวกับสวรรค์และปฐพีกำลังสั่นคลอน
หลิงฮันพยักหน้าในใจ หากเป็นในด้านของวิถีดาบเพียงอย่างเดียว จางเหิงมีคุณสมบัติพอจะถูกเรียกว่าจักรพรรดิดาบจริงๆ
เพียงแต่ว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้อ่อนแอ!
หลิงฮันตั้งตรงเป็นรูปร่างดาบ ‘พรึบ พรึบ’ เขาสะบัดนิ้วมือทั้งสิบปลดปล่อยปราณดาบอันน่าเกรงขามปะทะกับจางเหิง
ปราณดาบเหล่านั้นคือทักษะดาบฟ้าคำราม
ตอนนี้ทักษะดาบฟ้าคำรามยังไม่สมบูรณ์แบบ จะกล่าวว่าเขาคิดค้นและฝึกฝนมันสำเร็จเพียงส่วนเล็กๆก็ไม่ผิดนัก แต่ส่วนเล็กๆที่ว่านั้นได้ผสมผสานเอาไว้ด้วยพลังที่สามารถทำลายอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อันเป็นกฎแห่งสวรรค์อันยิ่งใหญ่ รวมทั้งแฝงอำนาจแห่งทัณฑ์สวรรค์เอาไว้ด้วยเล็กน้อย
ต่อให้ไม่ใช้ดาบอสูรนิรันดร์ ปราณดาบที่ถูกปลดปล่อยออกไปก็เป็นดังมังกรทรราชที่อาละวาด
จางเหิงชะงักทันที ตัวเขาเป็นผู้ฝึกฝนวิถีแห่งดาบมาทั้งชีวิต ดาบนั้นกล่าวได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา แม้หลิงฮันจะไม่ได้ใช้ดาบในการโจมตีแต่เขาก็สัมผัสได้ถึงเจตจำนงแห่งดาบอันเป็นอนันต์ไร้ขอบเขตจากปราณดาบที่พุ่งเข้ามา
เจตจำนงแห่งแห่งดาบนี่มัน… ลึกล้ำเกินกว่าความเข้าใจของเขา!
จางเหิงตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก แม้เขาจะละทิ้งฉายาจักรพรรดิดาบไปแล้ว แต่เขาก็ยังมั่นใจในศักยะภาพของตัวเอง เขาคิดว่าสิ่งที่ตัวเขาในตอนนี้ขาดไปคือระดับพลังบ่มเพาะเท่านั้น หากเป็นการต่อสู้ในระดับพลังเดียวกัน ต่อให้ศัตรูจะเป็นปรมาจารย์ระดับดาราหรือวารีนิรันดร์เขาก็เอาชนะได้
แต่ความมั่นใจนั่นถูกทำให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆเมื่อเห็นเจตจำนงดาบของหลิงฮัน
คู่ต่อสู้ที่ในอดีตไม่เคยอยู่ในสายตาของเขากลับกลายมาเป็นปรมาจารย์ผุ้เชี่ยวชาญดาบเช่นนี้…
ไม่อาจยอมรับได้!
จางเหิงคำรามและกวัดแกว่งดาบ อำนาจแห่งดาบที่เขาฝึกฝนมาตลอดถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ ปราณดาบที่เข้มข้นและแหลมคมนับไม่ถ้วนกระหน่ำพุ่งปะทะกับปราณดาบของหลิงฮัน
หลิงฮันไม่หวาดกลัวและตอบโต้ซึ่งๆหน้า
ศิษย์ของห้านิกายโบราณจ้องมองดูตาไม่กระพริบ คนของห้านิกายโบราณทุกคนแม้จะเคยได้ยินชื่อหลิงฮันแต่ก็ไม่มีใครเคยเห็นหลิงฮันตัวเป็นๆมาก่อน ณ ตอนนี้เมื่อเห็นด้วยตาตนเองว่าหลิงฮันที่ร่ำลือนั่นสามารถห้ำหั่นกับจางเหิงได้ซึ่งๆหน้าพวกเขาจึงตกตะลึงอย่างมาก
ถึงแม้จางเหิงจะมีพลังบ่มเพาะเพียงระดับสุริยันจันทราขั้นสูง แต่พลังต่อสู้ของเขาทำให้สู้ข้ามระดับกับจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดได้ ปรมาจารย์เฒ่าหลายคนยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา จางเหิงถูกเรียกว่าเป็นดาวดวงใหม่ที่จรัสแสงที่สุดของนิกายดาบสวรรค์ ชื่อเสียงของเขาเป็นที่ประจักษ์ไม่แพ้สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์
แต่ถึงอย่างไรพลังของหลิงฮันก็ยังไม่ถือว่าน่ากลัวอะไรขนาดนั้นไม่ใช่รึไง เหตุใดนิกายจึงต้องตื่นตัวมากถึงขนาดส่งเหล่าปรมาจารย์มากมายมาสังหารรุ่นเยาว์ผู้นี้ด้วย?
จากที่เห็นตรงหน้า ฝ่ายที่ได้เปรียบอยู่คือจางเหิงอย่างเห็นได้ชัด หากยังปะทะกันแบบนี้ต่อไปหลิงฮันจะต้องผ่ายแพ้ไม่ผิดแน่
แค่จางเหิงคนเดียวก็เอาอยู่แล้ว ทำไมทางนิกายต้องตื่นตระหนักให้วุ่นวายขนาดนั้นกัน?
จางเหิงรู้ว่าเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ก็จริง แต่นั่นก็เป็นเพราะเขามีระดับพลังบ่มเพาะที่สูงกว่าหลิงฮัน แต่หากเทียบในด้านความลึกซึ้งของทักษะดาบแล้ว เขาพ่ายแพ้ย่อยยับ
เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีทักษะดาบที่ผสมผสานความเร็วและพลังอำนาจที่รุนแรงให้เข้ากันได้อย่างลงตัวเช่นนี้?
“พอแล้ว หยุดทดสอบพลังของเจ้านหูนั่นแล้วร่วมมือกันจัดการเขา!” ชายชราคนหนึ่งเอ่ยแทรก เขาดูการประลองมาสักพักแล้ว เมื่อเห็นว่าพลังต่อสู้ของหลิงฮันก็งั้นๆทำให้เขาเกิดความมั่นใจขึ้นมา
เขาไม่คิดจะสู้กับหลิงฮันแค่คนเดียวแต่จะร่วมมือกันสังหารปีศาจที่ในอนาคตอาจจะทำลายรากฐานที่มั่นคงของห้านิกาย
ปรมาจารย์ระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดหลายคนก้าวออกมาด้านหน้า พวกเขารู้ดีว่าหลิงฮันมีความลับที่ยิ่งใหญ่ซ่อนเอาไว้ ซึ่งความลับนั้นอาจจะช่วยให้พวกเขาทั้งห้านิกายสยายปีกก้าวสู้ระดับดาราหรืออาจจะระดับวารีนิรันดร์เลยก็เป็นได้
“ถอยกลับไป!” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์คำราม ‘พรึบ’ ด้านหลังของนางปรากฏปีกนกอมตะขนาดใหญ่ที่แผดเผาไปด้วยเปลวเพลิง ด้วยปีกที่น่าหวั่นเกรงและใบหน้าที่เย็นชาของนางทำให้นางดูราวกับเป็นเทพธิดาแห่งสงคราม
“สตรีนกอมตะสวรรค์ เจ้าคิดจะช่วยเหลือคนนอกงั้นรึ?” ปรมาจารย์ชราหลายคนกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง
ที่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์บรรลุระดับพลังในตอนนี้ได้ก็เป็นเพราะการสนับสนุนจากนิกาย ถึงอย่างนั้นนางกลับไม่เพียงจะไม่ช่วยเหลือนิกาย แต่ยังเลือกช่วยเหลือศัตรูตัวฉกาจของนิกายอีกด้วย
“หากขยับเข้ามาใกล้อีกก้าวเดียวข้าจะถือว่าเป็นศัตรู!” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กล่าว ในเรื่องของการสนับสนุนจากนิกายนั้นนางได้รับทรัพยากรมาเพียงน้อยนิด เม็ดยาที่หลอมจากโลกใบเล็กนางเอกก็ปฏิเสธหัวชนฝา
ที่นางสามารถบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดได้ในระยะเวลาสั้นๆเป็นเพราะการตื่นขึ้นของสายเลือดของนาง!
จอมยุทธชราหลายคนหันมองกันและพยักหน้า พวกเขาไม่สามารถยอมปล่อยให้หลิงฮันหนีรอดไปได้ ถ้าเจ้าหนูนั่นหายไปแล้วปรากฏตัวอีกทีหนึ่งพันปีต่อมาพวกเขาจะทำอย่างไร?
ด้วยพรสวรรค์ราวกับสัตว์ประหลาดของเขา ตราบใดที่บรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดได้ เกรงว่าเขาคงจะมีพลังต่อสู้มากพอที่จะบดขยี้ห้านิกายโบราร
“เฒ่าหยือ เฒ่าเฉียน พวกเจ้ารั้งสตรีนกอมตะสวรรค์เอาไว้ ส่วนคนที่เหลือลงมือพร้อมกับข้าจัดการเจ้าหนูนั่น”
“ตกลง!”
ปรมาจารย์เฒ่าหลายคนแบ่งหน้าที่กันและเริ่มลงมือ
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เกรี้ยวกราด ปีกขนาดใหญ่ของนางสยายออกปลดปล่อยอำนาจอันไร้ขีดจำกัด ด้วยสายเลือดของนางทำให้เปลวเพลิงที่ปะทุออกมาแฝงไว้ด้วยเศษเสี้ยงพลังของนกอมตะที่แท้จริง
เหล่าปรมาจารย์เฒ่าหลายคนแสดงสีหน้าไม่สู้ดีออกมาทันที
สตรีนกอมตะเป็นฝ่ายลงมือก่อน เปลวเพลิงและเสียงคำรามของนกอมตะถูกปล่อยออกมาจากฝ่ามือของนางพร้อมกับแปรเปลี่ยนเป็นนกอมตะหลากสี นกอมตะที่ร่างปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงพุ่งโจมตีใส่คนของห้านิกายโบราณ
“ลุย!” คนของห้านิกายโบราณตะโกนด้วยน้ำเสียงอํามหิต ในเมื่อสตรีนกอมตะสวรรค์คิดจะลงมือจริงๆ ไม่นางก็พวกเขาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องตาย!
ตอนที่ 1284
คนของห้านิกายโบราณคิดง่ายไป พวกเขาคิดว่าสตรีนกอมตะสวรรค์เป็นเพียงจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดทั่วไป แม้จะไม่สามารถเอาชนะนางได้อย่างน้อยก็คงรั้งนางเอาไว้ได้บ้าง
แต่ข้อมูลที่พวกเขารู้เกี่ยวกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์นั้นคือข้อมูลเมื่อหนึ่งพันปีก่อน
เมื่อหนึ่งพันปีก่อน สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ตัดขาดกับนิกายนกอมตะเมฆาและเลือกที่จะถอนตัวออกมา ในตอนนั้นนางมีพลังบ่มเพาะเพียงระดับสุริยันจันทราขั้นสูง
หลังจากวันเวลาผ่านไป ห้านิกายโบราณรู้เพียงว่านางก้าวสู่ระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดแล้วและคาดเดาไปว่านางคงบรรลุเพียงขั้นสูงสุดชั้นต้นไม่ก็ขั้นปลาย เพราะอย่างไรอีกขั้นพลังสูงขึ้นการยกระดับขัน้พลังก็ทำได้ยากขึ้น
ความจริงที่พวกเขาไม่รู้ก็คือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์มีพลังบ่มเพาะระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดชั้นสูงสุดและเป็นอัจฉริยะสี่ดาว!
ต่อหน้านาง ปรมาจารย์ระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดชั้นสูงสุดย่อมถูกทำให้พ่ายแพ้เพียงในหนึ่งหรือสองกระบวนท่า!
เมื่อนกอมตะหลากสีพุ่งเข้ามาพร้อมเสียงคำรามอันดังลั่น ปรมาจารย์ของห้านิกายโบราณก็หวาดกลัวจนตัวสั่นเหมือนหนูเห็นแมว พวกเขารีบร่นระยะถอยห่างทันที
ทีนี้จะทำอย่างไรดี?
หากผ่านสตรีนกอมตะไปไม่ได้ พวกเขาจะจัดการหลิงฮันได้อย่างไร?
“ทำไมกำลังสนับสนุนถึงยังไม่มาอีก?” ชายชราคนหนึ่งกล่าวด้วยท่าทีหงุดหงิด
ชายชรารู้ว่าตัวเองไร้เองผล
ตอนนี้คนของห้านิกายโบราณได้แยกย้ายกันออกไปทั่วสนามรบสองดินแดนเพื่อตามหาหลิงฮัน การส่งข่าวบอกตำแหน่งไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ในวันสองวัน ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่กำลังสนับสนุนจะมาถึงในทันที แต่ตอนนี้ทั้งๆที่พวกเขามีคนตั้งเยอะแท้ๆแต่กลับไม่สามารถจับกุมหลิงฮันได้ เพราะงั้นเขาจึงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
จางเหิงสะบั้นดาบและกล่าว “นี่คือทั้งหมดของเจ้าแล้ว?”
“แน่นอนว่าไม่” หลิงฮันส่ายหัว กายหยาบที่ไร้เทียมทานของเขายังไม่ได้แสดงอำนาจออกมาเลย พลังฟื้นฟูตัวเองก็ยังไม่ได้ใช้ ยิ่งกว่านั้นเขาก็ยังมีบุปผาหมอกครอบงำจิตอยู่อีกถึงแม้จะใช้ไม่ค่อยได้ผลกับจอมยุทธที่ฝึกฝนวิถีแห่งดาบก็ตามที
ไพ่ลับของเขายังเหลืออีกมากมาย อย่างน้อยเขาก็ยังไม่นำเม็ดยาออกมากินแม้แต่เม็ดเดียว
จางเหิงหยุดนิ่งและแหงนหน้ามองท้องฟ้า จริงอยู่ที่เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ถึงอย่างไรไม่ว่าเขาจะโจมตีอย่างไรก็ไม่สามารถเอาชนะหลิงฮันได้เสียที อีกฝ่ายมีความยืดหยุ่นที่น่าอัศจรรย์เกินไป ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรหลิงฮันก็ตอบโต้กลับมาได้
เขาพยักหน้าและกล่าว “ตั้งแต่วันนี้ ข้าจะออกเดินทางฝึกฝนตามหาวิถีแห่งดาบที่แท้จริงของข้า เมื่อถึงวันที่สมควรข้าจะตามหาเจ้าอีกครั้ง หวังว่าเมื่อถึงตอนนั้นเขาจะยังมีชีวิตอยู่!”
หลิงฮันหัวเราะ “ย่อมได้ หากเจ้าหาข้าไม่เจอจงไปที่ดาวเหอหนิง ที่นั่นเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของข้า”
“ข้าจะจำไว้” จางเหิงพยักหน้า เขาเก็บดาบและหันหลังเดินจากไปโดยไม่สนใจรอบข้าง
“จางเหิง!” ปรมาจารย์ของห้านิกายโบราณตะโกนเสียงดัง เหตุผลแม้กระทั่งหมอนี่ก็ย้ายฝั่งไปอยู่กับคนนอก?
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “พวกเจ้าควรจะดีใจนะที่เขายอมจากไป… เพราะว่าพวกเจ้าจะได้รับโอกาสไปลงนรกด้วยมือของข้า!”
“เจ้าหนู คนที่หลบอยู่หลังสตรีเช่นเจ้าจะทำอะไรได้?” ปรมาจารย์คนหนึ่งตะตะโกนยั่วยุหลิงฮัน
หลิงฮันหัวเราะ “ถ้าเจ้ารับไม่ได้ก็ไปหลบหลังสตรีบ้างสิ ข้าไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย”
ฮึ่ม!
คนของห้านิกายเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที อันที่จริงสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เป็นพรรคพวกของพวกเขาแท้ๆ
“วันนี้คงต้องมีการสูญเสียเล็กน้อย!” หลิงฮันกล่าวอย่างเย็นชา ด้วยศักยภาพขอคนเหล่านี้ ถ้าบ่มเพาะพลังตามปรกติ พวกเขาจะสามารถบรรลุระดับสุริยันจันทราด้วยอายุเท่านี้ได้อย่างไร? พวกเขาต้องกินเม็ดยาที่หลอมจากโลกใบเล็กเข้าไปแน่นอน
หลิงฮันสะบัดนิ้วมือทั้งสิบ ‘พรึบ พรึบ พรึบ’ ปราณดาบมากมายพุ่งออกไปราวกับห่าฝน
“อ้ากกกกก!” ศิษย์ของห้านิกายถูกผ่าเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พลังของศิษย์ส่วนใหญ่ยังไม่บรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นกลางจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะสามารถหยุดยั้งหรือสลายปราณดาบได้
เหล่าปรมาจารย์เฒ่าโมโหจนอยากจะเข้าไปรุมฉีกกระชากร่างของหลิงฮัน เพียงแต่ว่าด้วยการคุ้มครองจากสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ทำให้พวกเขาต้องหยุดยั้งฝีเท้าเอาไว้
ผ่านไปเพียงพริบตา นอกจากเหล่าปรมาจารย์เฒ่าแล้วศิษย์ของห้านิกายโบราณทุกคนก็กลายเป็นซากศพ
หลิงฮันไม่ลงมือต่อ สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์นั้นถึงแม้จะตัดขาดกับห้านิกาบโบราณแล้วแต่เห็นได้ชัดว่านางไม่ต้องการสังหารพวกเขา ดังนั้นหลิงฮันจึงไม่บังคับนางและยอมปล่อยเหล่าปรมาจารย์เฒ่าไปก่อน
“ไปกันเถอะ” หลิงฮันจับข้อมือของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ ร่างของนางสั่นเล็กน้อยพร้อมกับใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง
“จู!” สัตว์อสูรน้อยในอ้อมแขนของนางแยกเขี้ยวใส่หลิงฮัน ดูเหมือนว่ามันคิดว่าหลิงฮันกำลังคุกคามสตรีที่อุ้มมันอยู่
“อะไรของเจ้า!” หลิงฮันลูบไปยังขนของสัตว์อสูรน้อยทำให้มันส่งเสียงร้อง
“ห้ามรังแกมัน!” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
นางเห็นสัตว์อสูรที่เพิ่งเจอกันไม่กี่ชั่วโมงดีกว่าเขาที่ห่างหายหน้าไปเป็นหมื่นปี?
หลิงฮันจ้องมองไปยังสัตว์อสูรตัวน้อย เขาเกิดความคิดในใจว่าจะให้เจ้ากระต่ายกับโสมเฒ่าจับสัตว์อสูรใต้พิภพตัวน้อยตนนี้ไปเป็นอาหาร!
กล้ามากที่มากแย่งภรรยาของเขาไป!
สัตว์อสูรน้อยจ้องมองสายตาเย็นยะเยือกของหลิงฮันและตัวสั่นขึ้นมาทันที
ปรมาจารย์เฒ่าของห้านิกายโบราณทำได้เพียงมองหลิงฮันกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ค่อยๆเดินจากไป พวกเขาไม่มีกำลังคนมากพอที่จะจัดการกับทั้งสองคน
เพียงแต่ว่าหลังจากสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กับหลิงฮันเดินออกมาไกลพอสมควร พวกเขาก็กล่าวลากันเนื่องจากวันลาหยุดของนางหมดแล้วและนางต้องกลับไปยังค่ายพักแรมกองทัพ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังอยู่ในสถานะของทหารกองทัพ ตราบใดที่นางไม่มีแต้มสังหารมากพอที่จะถอนตัวนางก็ไม่สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ
สัตว์อสูรน้อยถูกสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์พากลับไปด้วย ต่อให้นางจะอยากจะยกสัตว์อสูรน้อยให้ไปกับหลิงฮัน เกรงว่าสัตว์อสูรน้อยคงจะไม่ยินยอมตามเขาไปเพราะกลัวว่าตัวมันจะถูกจับลงไปอยู่ในหม้อต้มน้ำซุปได้ทุกเวลา
หลิงฮันเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วต่อไป วาสนาที่ได้รับจากการเปิดสวรรค์ทำให้เขาเก็บศิลาวิญญาณปฐพีได้เรื่อยๆ แต่ศิลาวิญญาณปฐพีที่เขาพบเจอนั้นคือศิลาที่วางอยู่ในบริเวณที่สภาพแวดล้อมเป็นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์โลกดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว ไม่มีศิลาก้อนไหนเลยที่มีอำนาจกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพอยู่ภายใน
แต่นั่นก็พอเข้าใจได้ เนื่องจากเขาได้รับวาสนาจากสวรรค์และปฐพีของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ดินแดนใต้พิภพ สถานที่ที่สภาพแวดล้อมเป็นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพวาสนาของเขาก็ไม่ต่างจากคนปรกติทั่วไป
เมื่อรู้เช่นนี้หลิงฮันจึงพยายามเดินตามหาบริเวณที่มีสภาพแวดล้อมเป็นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ผลลัพธ์ก็คือเขาเก็บเกี่ยวได้มากยิ่งกว่าเดิม ผ่านไปเพียงหนึ่งเดือนเขาเก็บศิลาวิญญาณปฐพีได้ถึงเก้าก้อน แม้ทุกก้อนจะมีขนาดเพียงนิ้วก้อยแต่ก็ยังถือว่ายอดเยี่ยมอยู่ดี
วันนี้เขาได้นำเจ้ากระต่ายกับโสมเฒ่าออกมา ขณะที่พวกเขากำลังเดินกันอยู่ในสนามรบสองดินแดนจู่ๆก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหย่ราวกับแผ่นดินกำลังถล่ม
“นั่นมันกองทัพของดินแดนใต้พิภพ!”
ทิศทางด้านหน้าพวกเขามีสิ่งมีชีวิตใต้พิภพปรากฏให้เห็นอย่างน้อยหนึ่งหมื่นคน ระดับพลังที่ต่ำที่ในหมู่พวกมันคือระดับสุริยันจันทรา ตัวตนระดับดาราในกองทัพด้านหน้ามีถึงอย่างน้อยหนึ่งร้อยคน!
หรือดินแดนใต้พิภพคิดจะเปิดศึกอย่างเต็มรูปแบบแล้ว?
ตอนที่ 1285
กองทัพดินของแดนใต้พิภพนับล้านตนเคลื่อนไหวและนำโดยจอมยุทธระดับดารา จำนวนดังกล่าวเพียงพอที่จะข่มขวัญฝ่ายตรงข้าม
กระทั่งจอมยุทธระดับดารายังเคลื่อนไหว แล้วถ้ามีจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์แอบแฝงอยู่ในกองทัพล่ะ?
หรือว่าสงครามครั้งใหญ่กำลังจะปะทุขึ้น?
ปากของหลิงฮันกระตุกไม่หยุด นี่เขาเป็นตัวหายนะหรือไม่? ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็จะมีแต่ความวุ่นวาย
“หืม!” ในกองทัพของดินแดนใต้พิภพ มีใครบางคนสังเกตเห็นหลิงฮัน ทันใดนั้นเองคนหลายร้อยคนก็รีบเคลื่อนที่ไปหาหลิงฮันทันทีพร้อมกับอาวุธในมือ
หลิงฮันหลงอุทานออกมาว่า “วิ่ง!”
เขาไม่ได้สนใจพวกมันร้อยกว่าคนที่พุ่งเข้ามาหา แต่กองทัพของดินแดนใต้พิภพมีจอมยุทธระดับดาราอยู่ ซึ่งเป็นตัวตนที่เขาไม่สามารถต่อกรด้วยได้เลย
มีความกล้าอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอ!
แต่ทั้งเจ้ากระต่ายและโสมเฒ่าก็เพ่นหนีไปก่อนแล้ว พวกมันไม่อยู่ให้หลิงฮันบอกให้หนีหรอก
“หึ่ม พวกเจ้าหนีไวจริงๆ!” หลิงฮันกล่าว
“ถ้าไม่หนีจะอยู่ให้พวกมันฆ่าอย่างนั้นรึ?” โสมเฒ่ากล่าว
“ใช่แล้ว” เจ้ากระต่ายกล่าวเห็นด้วย
“หยุด!” จอมยุทธจากดินแดนใต้พิภพไล่ตาม แต่ว่ายิ่งพวกมันไล่ตามเท่าไหร่ ระยะห่างระหว่างพวกมันกับกลุ่มของหลิงฮันก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ความเร็วของพวกหลิงฮันนั้นเร็วเกินไป
เมื่อกลุ่มของหลิงฮันวิ่งหนีมาไกลพอสมควรและคิดว่าหนีพ้นแล้ว พวกเขาก็ได้ยินเสียงลมพัดเล็กน้อยและมีใครบางคนปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าของพวกเขาอย่างเงียบเชียบ
มันเป็นชายสวมชุดสีขาวที่มีใบหน้าหล่อเหลา หากไม่ใช่เพราะกลิ่นอายชั่วร้ายที่แผ่ออกมาแล้วล่ะก็ ใครจะคิดว่าเขาเป็นจอมยุทธจากดินแดนใต้พิภพกัน? และกลิ่นอายที่เขาปลดปล่อยออกมานั้นแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่สูงส่งและน่าหวาดกลัวของอีกฝ่าย
จอมยุทธระดับดารา!
หัวใจของหลิงฮันกลายเป็นด้านชา ในเวลาเดียวกันเขาก็เอื้อมมือคว้าโสมเฒ่ากับเจ้ากระต่ายเอาไว้เพื่อเตรียมตัวเข้าไปหลบในหอคอยทมิฬ เมื่ออยู่ต่อหน้าจอมยุทธระดับดารา เขาไม่สนใจว่าความรับของหอคอยทมิฬจะเปิดเผยหรือไม่
“ไม่ต้องกังวล ข้าแค่มีเรื่องอยากจะถามเจ้าเท่านั้น” ชายชุดขาวกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์
หลิงฮันเองก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วหลังจากที่เจ้าถามข้าเสร็จล่ะ?”
“แน่นอน เจ้าจะถูกข้าสังหาร” ชายชุดขาวกล่าว
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้างั้นข้าขอฟังคำถามของเจ้าหน่อยก็แล้วกัน”
“เจ้าเป็นคนที่กล้าหาญมาก!” ชายชุดขาวจ้องมองไปที่หลิงฮันด้วยความประหลาดใจ “เจ้าฝึกฝนเทคนิคบ่มเพาะพลังอะไรถึงทำให้ร่างกายของเจ้าหดเล็กลง?”
ด้วยสายตาของจอมยุทธดารา แน่นอนว่าเขาสามารถมองเห็นการปลอมตัวของหลิงฮัน ต่างจากสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ นางแค่รู้สึกว่าหลิงฮันเปลี่ยนไปเท่านั้น
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “เทคนิคบ่มเพาะพลังที่ข้าฝึกฝนคือเทคนิคโบราณที่ไม่เหมือนใคร และเป็นหนึ่งในใต้สรวงสวรรค์!”
ชายชุดขาวหัวเราะและพูดว่า “เด็กทารกไม่กลัวเสือ เจ้าเป็นคนที่กล้าหาญอย่างที่ข้าคิดไม่ผิด และยังกล้าพูดจาเหลวไหลต่อหน้าข้า เช่นนั้นข้าก็จะถามดวงวิญญาณของเจ้าโดยตรงเลยก็แล้วกัน”
เขาชูมือขึ้นท้องฟ้าและเปลี่ยนมันให้เป็นแรงกดดันเพื่อกดทับหลิงฮัน ทั้งที่แรงกดดันของเขายังมาไม่ถึงตัวหลิงฮัน แต่ก็สามารถยับยั้งการเคลื่อนไหวของหลิงฮันได้แล้ว
อีกฝ่ายคือจอมยุทธระดับดารา ไม่ว่าเขาจะมีพรสวรรค์มากแค่ไหนก็ไม่สามารถต่อกรด้วยได้
แต่น่าเสียดายที่เขายับยั้งการเคลื่อนไหวของหลิงฮันด้วยแรงกดดันของเขาเท่านั้น ไม่ได้ใช้เจตจำนงของตัวเอง
พรึบ ร่างของหลิงฮัน กระต่าย และโสมเฒ่าหายไปในพริบตา
“อะไรกัน!” ชายชุดขาวเผยสีหน้าตกตะลึง มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆสิ่งมีชีวิตทั้งสามตัวก็หายตัวไปอย่างกะทันหันแบบนั้น? หรือว่ามันจะเป็นยันต์อาคมเคลื่อนย้ายในพริบตา…แต่ข้าก็ไม่เห็นความผิดปกติของห้วงมิติ
“อุปกรณ์มิติ?” เขากวาดสายตามองไปทั่ว ถ้ามันเป็นอุปกรณ์มิติมันก็ต้องหลงเหลือร่องรอยอะไรบ้างไม่ว่าจะมีขนาดเล็กแค่ไหนก็ตาม อย่างไรก็ตามเขาก็หาอุปกรณ์มิติไม่พบและไม่พบความผิดปกติของพื้นที่บริเวณนี้
“ยังไงข้าก็ไม่เชื่อ!” เขาพลิกแผ่นดินทั้งหมดในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ให้กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ คลื่นพลังของเขาจะกวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างให้หายไปและเหลือเพียงแค่อุปกรณ์มิติเท่านั้น
แต่เมื่อพื้นปฐพีกลายเป็นว่างเปล่า ชายชุดขาวก็ตกตะลึง
ไม่พบอุปกรณ์มิติ!
เรื่องแบบนี้มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน!
“หรือว่าเจ้าเด็กนั่นจะไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในอุปกรณ์มิติ? แต่มันก็ไม่น่าใช่ยันต์อาคมเคลื่อนย้ายพริบตา!” เขาพูดพึมพัมกับตัวเองและกวาดสายตามองรอบๆ แต่ก็ไม่พบอะไร
ถ้าอยู่ในสถานการณ์อื่น เขาก็ไม่ติดใจอะไรถ้าจะอยู่ค้นหาที่นี่สักสามหรือห้าปี เพราะยังไงจอมยุทธระดับดาราก็มีอายุขัยที่ยาวนาน แต่ตอนนี้เขากำลังทำภารกิจอยู่
“ภารกิจต้องมาก่อน” เขาตัดสินใจและมุ่งหน้ากลับไปที่กองทัพ
กลุ่มของหลิงฮันทั้งสาม ‘คน’ ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ถ้าจอมยุทธระดับดาราตัดสินใจอยู่ที่นี่มันจะทำให้พวกเขาลำบาก
“แปลกมาก ดินแดนใต้พิภพบุกเข้ามาได้อย่างไร?” หลิงฮันไม่เข้าใจ
แม้ว่าที่นี่จะเป็นสนามรบสองดินแดนที่มีการต่อสู้เป็นปกติอยู่แล้ว แต่ถ้ามีจอมยุทธระดับสุริยันจันทราหลายล้านคนเคลื่อนไหว แม้กระทั่งจอมยุทธระดับดาราหลายคนยังเข้าร่วมด้วย มันจะไม่ใช่การต่อสู้เล็กๆอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่
“ถ้ามีแค่จอมยุทธระดับดาราก็ไม่น่ากังวลเท่าไหร่ แต่ถ้ามีจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์อยู่ด้วย จอมยุทธระดับดาราก็จะไม่ใช่คู่ต่อสู้อีกต่อไป” หลิงฮันอดจะคิดถึงสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะไม่ได้ เพราะตอนนี้นางอยู่ในกองทัพจันทราม่วง เมื่อใดที่สงครามปะทุขึ้น กองทัพจันทราม่วงก็จะต้องเข้าสู่สนามรบ
“ข้าจะต้องรีบกลับไปเดี๋ยวนี้!” หลิงฮันตัดสินใจ
เขาออกจากหอคอยทมิฬและรีบมุ่งหน้าไปที่เมืองเขี้ยวหมาป่าทันที
หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อหลิงฮันมาถึงค่ายทหารกองทัพจันทราม่วง เขาก็พบว่าไม่มีใครประจำการอยู่แล้ว
เห็นได้ชัดว่ากองทัพจันทราม่วงทั้งหมดถูกส่งออกไปต่อสู้กับการรุกรานของดินแดนใต้พิภพ
“ดูเหมือนว่ามันจะเลวร้ายกว่าที่ข้าคิด!” หลิงฮันเริ่มคิดหนัก กองทัพดินแดนใต้พิภพจะต้องมีจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์อยู่เป็นแน่ มิฉะนั้นกองทัพจันทราม่วงคงจะไม่ถูกส่งออกไปทั้งหมด
“ถ้างั้นไปที่เมืองเขี้ยวหมาป่าเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้!”
หลิงฮันมุ่งหน้าไปที่เมืองเขี้ยวหมาป่า ทันทีที่เขาเข้าไปในเมือง เขาก็พบกับการตรวจสอบที่เข้มงวดและบรรกาศภายในเมืองก็เต็มไปด้วยความตึงเครียด มันไม่มีผู้คนที่เดินพลุกพล่านอยู่บนท้องถนนอีกต่อไป ทุกคนดูเร่งรีบและมีสีหน้าที่กังวล
หลิงฮันเดินเข้าหาจอมยุทธระดับภูผาวารีคนหนึ่ง เขาโยนผลึกก่อเกิดให้อีกฝ่ายหนึ่งก้อนแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมสถานการณ์ถึงดูตึงเครียดขนาดนี้?”
ชายคนนั้นรีบเก็บผลึกก่อเกิดอย่างรวดเร็วและพูดด้วยความเคารพว่า “นายน้อย หรือว่าท่านเพิ่งจะกลับมาจากด้านนอก? มันช่างน่าประหลาดใจยิ่งนักที่ดินแดนใต้พิภพส่งปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์สามคนพร้อมกับกองทัพของพวกเขามาที่นี่ พวกมันอยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์และกำลังจะเริ่มโจมตีเมืองเขี้ยวหมาป่า”
จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์สามคน?
หากมันเป็นความจริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่กองทัพจันทราม่วงจะถูกส่งออกไปทั้งหมด และเกรงว่าอีกสองกองทัพก็คงถูกส่งออกไปทั้งหมดเหมือนกัน มิฉะนั้นจะยืนหยัดต่อสู้กับทหารสามล้านคนที่นำโดยจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ได้อย่างไร?
ตอนที่ 1286
เมืองเขี้ยวหมาป่าได้ประกาศแจ้งเตือนถึงการบุกรุกอย่างเต็มรูปแบบของดินแดนใต้พิภพ
ในสถานการณ์ตอนนี้ไม่ต้องกล่างถึงเรื่องถอนตัวจากสนามรบสองดินแดนอีกต่อไป ใครก็ตามที่เป็นบุคลากรของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ล้วนแต่มีภาระหน้าที่ต้องต่อกรกับสิ่งมีชีวิตใต้พิภพ
สงครามครั้งใหญ่กับสิ่งมีชีวิตใต้พิภพเช่นนี้ เหล่าจอมยุทธทั่วดาวหยุนติ่งต้องผนึกกำลังกันร่วมต่อต้าน
ตัวของหลิงฮันเองก็ได้รีบมุ่งหน้าไปยังแนวหน้าของสงครามเพื่อกำจัดสิ่งมีชีวิตใต้พิภพ สงครามครั้งนี้คือความบาดหมางระหว่างสองดินแดน ถ้าดาวดวงนี้สิ่งมีชีวิตใต้พิภพยึดครองจริงๆ สิ่งมีชีวิตของดินแดนศักดิ์สิทธิ์คงตกอยู่ในความสิ้นหวัง
สิ่งมีชีวิตใต้พิภพไม่ได้จะหลอมสิ่งมีชีวิตดาวหยุนติ่งให้เป็นเม็ดยาก็จริง แต่ผลลัพธ์สุดท้ายมันก็ไม่ต่างกัน เผ่ามนุษย์จะตกตายนับไม่ถ้วน
หลิงฮันมาถึงแนวหน้าและพบเห็นการเผชิญหน้าอันรุนแรงของทั้งสองดินแดน
ฝ่ายดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีกำลังหลักคือกองทัพจันทราม่วง กองทัพเวหาแหวกว่าย กองทัพบัญญัตินิพพานรวมไปถึงจอมยุทธพเนจรมากมาย พวกเขารวมตัวกันจนเป็นกองกำลังจำนวนราวๆเจ็ดแสนคน ส่วนระดับพลังนั้นก็คละๆกันไป
มีทั้งจอมยุทธที่มีพลังระดับภูผาวารีและสุริยันจันทรา จำนวนของจอมยุทธระดับภูผาวารีนั้นมีถึงครึ่งกองกำลังทำให้อำนาจของฝ่ายดินแดนศักด์สิทธิ์ด้อยกว่าฝ่ายดินแดนใต้พิภพหลายเท่า
กองทัพของฝ่ายดินแดนใต้พิภพนั้นมีจำนวนเป็นล้าน แถมยังเป็นระดับสุริยันจันทราทั้งหมด!
ณ เวลานี้หลิงฮันไม่มีอารมณ์ไปกระหนุงกระหนิงกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ เขาเข้าร่วมกับกองกำลังและรับฟังคำสั่งในการปฏิบัติ
ทั้งๆที่ทางฝ่ายดินแดนใต้พิภพมีกำลังที่เหนือกว่าแท้ๆ พวกมันกลับพยายามยื้อสถานการณ์ของสงครามเอาไว้ไม่ยอมลงมืออย่างเต็มกำลังเสียที คนที่ลงมือโจมตีทั้งหมดเป็นตัวตนระดับสุริยันจันทรา ส่วนระดับดาราที่ลงมือนั้นมีไม่กี่คนเท่านั้น
หรือพวกมันกำลังทดสอบพวกเราอยู่?
ทุกคนไม่สนใจว่าพวกมันจะมีเหตุผลอะไร สิ่งที่พวกเขาต้องการในตอนนี้คือการมาถึงของกองกำลังสนับสนุน
แต่คนบางคนที่ฉลาดกลับรู้สึกสับสนยิ่งขึ้นไปอีก ทำไมดินแดนใต้พิภพถึงเลือกทำความผิดผลาดครั้งใหญ่เช่นนี้
ต้องรู้ก่อนว่าหากพวกมันบุกรุกมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สภาพแวดล้อมคืออำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ไม่คุ้นเคย พลังต่อสู้ของพวกมันจะลดลงสมถึงสี่ดาว การบุกรุกมาเช่นนี้คือการขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ
ยิ่งกว่านั้นฝั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็มีพลังอำนาจไม่ได้อ่อนแอไปกว่าดินแดนใต้พิภพ การที่พวกเขาบุกรุกเข้ามาจะเกิดประโยชน์อันใด?
“บางที่ ดวงดาวของพวกเราอาจจะมีสมบัติที่ล้ำค่าจนแม้แต่ขุมอำนาจของดินแดนใต้พิภพก็ยังหวั่นไหวและเกิดความต้องการ เพราะงั้นพวกมันจึงก่อสงครามบุกรุกมาที่นี่”
“สามารถทำให้ตัวตนระดับวารีนิรันดร์เกิดความโลภได้ สมบัติที่ว่าสมควรถูกทิ้งไว้โดยตัวตนระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดหรืออาจจะเป็นตัวตนระดับเซียน!”
“ต้องเป็นเช่นนั้นแน่!”
มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นอย่างที่ว่า ทุกคนในกองกำลังเริ่มเกิดความคิดอยากจะออกตามหาสมบัติล้ำค่านั่น หากมันเป็นสมบัติของเซียนจริงๆ การที่พวกเขาจะยกระดับพลังของตนเองอย่างก้าวกระโดดก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
สงครามที่เหมือนไม่จริงจังยังคงดำเนินต่อไป จนในที่สุดกองกำลังสนับสนุนจากจักรวรรดิราชวงศ์ทั้งสองก็มาถึง
ยิ่งตัวตนที่ทรงพลังของฝั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีมาเพิ่มขึ้น การบุกรุกของดินแดนใต้พิภพก็ดูเหมือนจะค่อยๆชะลอลงจนทำให้ทุกคนเชื่อยิ่งกว่าเดิมว่าที่ดินแดนใต้พิภพบุกรุกมานั้นไม่ได้มีจุดประสงค์คือยึดครองดาวหยุนติ่งแต่เป็นสมบัติสืบทอดของเซียน
“หลิงฮัน หัวหน้าชั่วคราวต้องการพบเจ้า” จอมยุทธคนหนึ่งมาหาเขาพร้อมกับบอกคำสั่งที่ได้รับให้กับหลิงฮัน
จอมยุทธพเนจรนั้นจะไม่ถูกนำไปสู้รวมกับกองทัพปรกติเนื่องจากพวกเขาไม่เคยได้รับการฝึกฝนต่อสู้เป็นกลุ่ม ต่อให้บางคนจะมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งก็ตาม แต่ถ้าหากให้ไปร่วมกันสู้กับกองกำลังทางการที่เป็นระเบียบอยู่แล้วก็มีแต่จะทำให้ประสิทธิภาพของกองกำลังลดลง
ดังนั้นเหล่าจอมยุทธพเนจรจึงรวมตัวกันขึ้นมาเป็นกองกำลังอิสระ หากพวกเขาต่อสู้โดยไร้ความสามัคคี ผลกระทบก็จะเกิดกับกองกำลังนี้เพียงกองกำลังเดียวเท่านั้นไม่ส่งผลเสียใดๆต่อกองกำลังทางการ
ผู้นำชั่วคราว?
หลิงฮันรู้สึกไม่ชอบมาพากล เขารู้สึกจักอีกฝ่ายรึอย่างไร จู่ๆถึงได้เรียกเขาไปพบส่วนตัวกระหัน?
คงต้องลองไปดู
เขาเดินตามจอมยุทธคนนั้นไปและมาถึงค่ายพักกองทัพแห่งหนึ่ง จอมยุทธผู้นั้นหยุดเดินและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพ “พาหลิงฮันมาแล้วขอรับ”
ค่ายพักแห่งนี้มีขนาดใหญ่มากแสดงให้เห็นถึงสถานะของผู้ที่อาศัยอยู่
“ให้เขาเข้ามา” เสียงหนึ่งดังมาจากด้านใน
หืม? เสียงนี้ฟังดูคุ้นๆ
หลิงฮันกล่าวในใจ จอมยุทธที่นำทางเขามาเปิดประตูค่ายพักทำให้มองเห็นคนที่อยู่ด้านใน
เชี่ยตงหลาย!
ไม่น่าแปลกใจทำไมเขาถึงได้คุ้นเสียงนี้นัก ที่อีกฝ่ายเรียกเขามาพบคงไม่พ้นต้องการแก้แค้นเป็นแน่
“ฮ่าๆๆ หลิงฮันข้าไม่คาดคิดว่าพวกเราจะพบกับใหม่เร็วขนาดนี้!” เชี่ยตงหลายแสยะยิ้มดูถูก
ที่จริงเขาตั้งใจจะเก็บตัวบ่มเพาะพลังเพื่อทะลวงผ่านระดับดาราแล้วไปแก้แค้นหลิงฮัน ส่วนอู่เมี่ยนเขาก็คิดจะสังหารด้วยเช่นกันเนื่องจากบังอาจมาทำให้เขาเสียหน้า แต่คาดไม่ถึงว่าดินแดนใต้พิภพจะทำการพวกรุกอย่างกระทันหันทำให้แม้แต่แม่ทัพเชี่ยยังต้องเคลื่อนไหว ที่เขาได้ตำแหน่งหัวหน้ากองทัพชั่วคราวก็เป็นเพราะบารมีของตระกูลเชี่ย
ที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่านั้นก็คือหลิงฮันได้กลายมาอยู่ในการบังคับบัญชาของเขา! เขาดีใจมากจนอดใจไม่ไหวจึงเรียกหลิงฮันมาพบเพื่ออวดเบ่งอำนาจ
“ทำไมตัวโง่งมเช่นเจ้าถึงเรียกข้ามาพบ?” หลิงฮันยิ้ม “ก่อนหน้านี้ยังอับอายไม่พออีกรึไง?”
เชี่ยตงหลายหงุดหงิดขึ้นมาทันที แต่ครั้งนี้เขาต่างหากที่เป็นผู้ถือชัยชนะอยู่ในกำมือ “เหอๆ เจ้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า หากข้าสั่งอะไรเจ้าก็ตองทำตาม!”
“โอ้ แล้วหัวหน้ากองกำลังชั่วคราวมีอะไรอยากใช้ข้าล่ะ?” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไปผ่าฟืนมาให้ข้า” เชี่ยตงหลายกล่าว ตอนนี้เขาจะออกคำสั่งไร้สาระกับหลิงฮันเล่นๆไปก่อน เมื่อใดที่กองกำลังของพวกเขาจะทำการปะทะกับสิ่งมีชีวิตใต้พิภพ เขาจะนำหลิงฮันไปอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายที่สุดเพื่อยืมมือสิ่งมีชีวิตใต้พิภพมาสังหาร
“อืม” หลิงฮันพยักหน้าและเดินจากไป
เชี่ยตงหลายแสยะยิ้มด้วยความพึงพอใจ เมื่อหลิงฮันผ่าฟื้นเสร็จเขาจะออกคำสั่งให้อีกฝ่ายทำอย่างอื่นต่อทันที ถ้าหลิงฮันไม่เชื่อฟังเขาจะต้องถูกลงโทษตามกฎของกองกำลัง
ฮ่าๆๆ ใครใช้ให้เขามีสถานะเป็นหัวหน้ากันล่ะ?
แต่ยิ่งรอใบหน้าของเขาก็ยิ่งมืดมน หลิงฮันยังไม่กลับมาเสียที…
เจ้าหนูนั่น… กล้าขัดขืนงั้นรึ?
เขามีน้ำโหและมุ่งหน้าไปยังค่ายที่พักของหลิงฮันทันที
“หลิงฮัน!” เชี่ยตงหลายคำรามลั่นราวกับฟ้าผ่าเพื่อแสดงความโกรธ
เสียงคำรามของเขาทำให้คนรอบๆตื่นตกใจ มีหลายคนเดินออกจากค่ายที่พักเพื่อมาดูการแสดงสนุกๆ
“มีอะไรอีกเจ้าตัวโง่งม?” หลิงฮันเดินออกมาจากค่ายที่พัก
“เจ้ากล้าคัดขืนคำสั่งข้า ข้าจะลงโทษเจ้า!” เชี่ยตงหลายกล่าวอย่างเย็นชา เขาตั้งใจใช้โอกาสนี้จัดการหลิงฮันด้วยมือตัวเอง
ตอนที่ 1287
“ข้าอยากจะถามเจ้าว่า เจ้าเห็นว่าข้าเป็นคนตัดฝืนหรือไม่?” หลิงฮันถามด้วยรอยยิ้มอย่างไม่แยแส
เชี่ยตงหลายถึงกับพูดไม่ออก หลิงฮันพูดแบบนั้นออกมานั่นหมายความว่าเขาสั่งให้หลิงฮันไปตัดฟืนมิใช่หรือ? มันช่างเป็นคำสั่งที่ไร้สาระยิ่งนัก สั่งให้จอมยุทธระดับสุริยันจันทราไปตัดฝืน? ตลก!
ใบหน้าของเชี่ยตงหลายกลายเป็นซีดขาว เมื่อถูกผู้ใต้บังคับบัญชากล้าพูดจาเถียงเขาต่อหน้าทุกคน นี่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
“หลิงฮัน เจ้าคิดจะขัดคำสั่งของข้าอย่างนั้นรึ!” เชี่ยตงหลายตะคอกใส่หลิงฮัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าจะขัดคำสั่งผู้นำเชี่ยที่น่าเกรงขามได้อย่างไร! ” หลิงฮันหัวเราะแล้วพูดว่า “ผู้นำเชี่ยผู้น่าเกรงขาม ห่างจากที่นี่ออกไปหลายร้อยไมล์คือที่ตั้งกองทัพดินแดนใต้พิภพ ผู้นำเชี่ยช่วยไปที่นั่นเพื่อขับไล่พวกมันไปได้หรือไม่?”
นี่เจ้ากำลังพูดจาล้อเลียนข้า?
เชี่ยตงหลายจ้องมองไปที่หลิงฮันและอยากจะบีบคอให้ตาย ทั้งที่เขามีระดับพลังเหนือกว่า มีภูมิหลังที่น่าเกรงขามกว่า แต่ทำไมถึงไม่สามารถข่มหลิงฮันได้เลย?
เขาพูดว่า “เนื่องจากเจ้าเป็นหนึ่งในทหารที่อยู่ภายใต้การดูแลของข้า เช่นนั้นข้าจะสอนวิธีเอาตัวรอดให้เจ้าเอาไว้อย่าง อย่างน้อยเจ้าจะได้ไม่ถูกฆ่าตายในสนามรบ!”
“ผู้นำเชี่ยช่างใจกว้างยิ่งนัก!” หลิงฮันแสยะยิ้ม
“นั่นคือหยุดพูดจาไร้สาระและข้าเป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้า ซึ่งเจ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้า!” เชี่ยตงหลายกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“หากเจ้าไม่เชื่อฟัง เจ้าจะต้องไปผ่าฟืนวันละหนึ่งหมื่นท่อนต่อวัน!” เขาเพิ่มจำนวนเข้าไปเพื่อไม่ให้หลิงฮันเอ้อระเหย
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “ผู้นำเชี่ยจะเอาฟืนจำนวนมากไปทำอะไร? หากต้องการมากขนาดนั้นทำไมไม่ให้ข้ารับใช้ที่บ้านของเจ้าไปตัดเองล่ะ?”
“ย่อมได้ ในเมื่อเจ้ากล้าท้าทายอำนาจผู้บัญชาการของเจ้า ข้าก็ไม่มีทางเลือก! เข้ามา ข้าจะดูเองว่าเจ้ามีคุณสมบัติหรือไม่!” เชี่ยตงหลายเริ่มเคลื่อนไหว เขาพลิกฝ่ามือและกดทับไปที่หลิงฮัน
ตู้ม แรงกดดันมหาศาลกดทับหลิงฮันทันทีเพื่อบดขยี้เขาหรือไม่ก็ให้นั่งคุกเข่าลง
ถึงแม้ระดับบ่มเพาะพลังของทั้งสองคนจะแตกต่างกันอยู่สองขั้นเล็ก แต่ความแตกต่างของพลังนั้นกว้างใหญ่มาก
ทว่าหลิงฮันกลับยืนหยัดอย่างไม่ไหวติ่งภายใต้แรงกดดันดังกล่าว เลือนร่างของเขาเปล่งประกายด้วยแสงของอักขระศักดิ์สิทธิ์ และถ้าจ้องมองให้ดีจะเห็นมังกรเก้าด้วยที่แต่ละตัวดูแตกต่างกัน
เทคนิคบ่มเพาะกายาเก้ามังกรทรราช!
มังกรทั้งเก้าตัวนั้นยังไม่ใช่มังกรที่แท้จริง บางตัวมีเขา บางตัวไม่มีกรงเล็บ เมื่อใดที่กายหยาบของหลิงฮันพัฒนาขึ้นก็จะทำให้พวกมันพัฒนาเช่นกัน
ตราบใดที่มังกรทั้งเก้าตัวกลายเป็นมังกรที่แท้จริง นั่นหมายความว่าเทคนิคบ่มเพาะกายาเก้ามังกรทรราชของหลิงฮันจะทะลวงผ่านสูงสุดและเข้าสู่ระดับเซียน
“มังกรเก้าตัวนั่นมันอะไรกัน!”
“ตราบใดที่มันเป็นทักษะเกี่ยวกับมังกรมันก็ไม่แปลกที่จะทรงพลัง”
“ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงกล้าเผชิญหน้ากับเชี่ยตงหลาย”
“อย่างไรก็ตาม ช่องว่างระหว่างพลังของพวกเขาทั้งสองคนก็แตกต่างกันอยู่ดี”
“จะพูดว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวก็ไม่ผิดที่เชี่ยตงหลายจะแก้แค้นหลิงฮันในเวลานี้”
ทุกคนเริ่มซุบซิบ ซึ่งส่วนใหญ่นั้นเห็นอกเห็นใจหลิงฮันและเหยียดหยามเชี่ยตงหลาย แต่ก็ไม่มีใครสักคนออกมาหยุด
ถึงแม้ทุกคนที่อยู่ที่นี่จะเป็นทหาร แต่ก็เป็นกองกำลังผสม แล้วพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในเวลาสั้นๆได้อย่างไร? แล้วทำไมพวกเขาจะต้องเอาตัวเอาเข้าไปเสี่ยงเพื่อช่วยหลิงฮันด้วย? ในทางตรงข้ามกลับมีหลายคนที่ดูความขัดแย้งของทั้งสองคนด้วยความตื่นเต้น
หลิงฮันนั้นไม่เพียงแค่บ่มเพาะกายาด้วยเทคนิคเก้ามังกรทรราช กระดูกของเขายังแข็งแกร่งพอๆกับแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับแปด แต่อีกฝ่ายกลับต้องการสยบเขาด้วยแรงกดดัน? ตลก
“เชี่ยตงหลาย เจ้าอยากจะให้ข้าไปตัดฟืนขนาดนั้นเลยรึ?” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“บัดซบ!” เชี่ยตงหลายพูดในใจ ทั้งที่เขาปลดปล่อยแรงกดดันของจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดออกมา แต่ก็ไม่สามารถสยบจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นกลางต่อหน้าทุกคนได้ แล้วเขาจะไม่อับอายขายหน้าได้อย่างไร?
ในตอนที่เขามาหาหลิงฮัน เขาก็คิดว่าแค่พลิกฝ่ามือก็สามารถสยบหลิงฮันได้แล้ว ซึ่งนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้หลิงฮันอับอายขายหน้า นอกจากนั้นเขายังอ้างความชอบธรรมได้อีกว่าหลิงฮันไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขา
แต่ไม่คิดเลยว่าหลิงฮันจะเป็นคนที่จัดการยากขนาดนี้
ในเวลาเดียวกัน ฝูงชนก็ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น
“หุบปาก!” เชี่ยตงหลายคำราม มือของเขากลายเป็นกรงเล็บและกระโจนเข้าใส่หลิงฮัน
ตู้ม เห็นได้ชัดว่าเขาใช้ทักษะลับ มือทั้งสองข้างของเขากลายเป็นกรงเล็บสีดำและส่งแสงมันวาวด้วยความหนาวเย็นเหมือนกับโลหะ
“นั่นมันเป็นกรงเล็บอินทรีทองทมิฬใช่หรือไม่?”
“ตามตำนานกล่าวไว้ว่าอินทรีทองทมิฬเป็นสัตว์อสูรที่น่าสะพรึงกลัวมาก กรงเล็บของมันสามารถฉีกกระฉากแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ในระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย”
“ถ้าเจ้าหนุ่มนั้นโดนกรงเล็บนี้เข้าจะต้องทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน”
มีจอมยุทธหลายคนที่รู้จักทักษะลับของเชี่ยตงหลายและเผยทักษะลับของอีกฝ่าย
ตู้ม เมื่อกรงเล็บตกลงมา ราวกับว่าห้วงอากาศถูกฉีกขาดและกลายเป็นวังวนสีดำที่ดูผิดปกติ
หลิงฮันไม่คิดที่จะรับการโจมตีของเชี่ยตงหลาย เขารีบเคลื่อนตัวหลบและหายเข้าไปในกลุ่มฝูงชน
เชี่ยตงหลายสะบัดกรงเล็บและวิ่งไล่ตาม ตู้ม ตู้ม ตู้ม เกิดสียงอึกทึกดังไปทั่ว ผู้คนที่ยืนขวางทางเชี่ยตงหลายก็ถูกซัดกระเด็นปลิวออกไป ซึ่งพวกเขาแต่ละคนต่างกระอักโลหิตออกมาด้วยความเจ็บปวด ทำให้สถานการณ์ในตอนนี้เริ่มวุ่นวายมากยิ่งขึ้น
“ทุกคนไม่ได้มีความขัดแย้งหรือความเกลียดชังต่อเจ้า แต่เจ้ากับโจมตีพวกเขาอย่างไม่ปรานี เชี่ยตงหลายหรือว่าเจ้าจะเป็นสายลับของดินแดนใต้พิภพ?” หลิงฮันตะโกนขณะปะปนอยู่ในกลุ่มฝูงชน
เชี่ยตงหลายรู้สึกโกรธมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น นี่เจ้ายังกล้าพูดจายั่วยุข้าอีกงั้นเรอะ? แต่เขาขี้เกียจที่จะพูดโต้เถียงและไล่ตามหลิงฮันต่อ
“ช่วยด้วย จอมยุทธจากดินแดนใต้พิภพกำลังเข่นฆ่าพวกเรา!” หลิงฮันยังคงวิ่งแฝงเข้าไปในกลุ่มฝูงชนและส่งเสียงตะโกน
หืม! ผู้คนรีบหันสายตาไปมองในทิศทางต้นตอของเสียงและเห็นเชี่ยตงหลายกำลังโจมตีใส่ทุกคนที่ขวางทางเขาอย่างบ้าคลั่งในค่ายทหาร
ตอนที่ 1288
ที่นี่คือค่ายทหาร ซึ่งมีจอมยุทธระดับดาราประจำการอยู่ และคนผู้นั้นคือผู้บัญชาการสูงสุด คนที่อยู่ใต้เขานั้นคือผู้นำสิบสองคน ซึ่งแต่ละคนคอยจะคอยดูแลค่ายทหารที่ตัวเองดูแล
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เชี่ยตงหลายเป็นหนึ่งในสิบสองผู้นำ ถึงกระนั้นเขาก็ไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจฝ่ายเดียวได้
ตอนนี้เขากำลัง ‘บ้าคลั่ง’ และ ‘โจมตีลูกน้องของตัวเอง’ ในค่ายทหาร นี่คือสิ่งที่ทุกคนเห็น การกระทำดังกล่าวถือว่ามีความผิดร้ายแรงมาก แต่ในไม่ช้าก็มีปรมาจารย์เข้ามาหยุดการกระทำของเชี่ยตงหลาย
ต่อมา จอมยุทธระดับดาราที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดก็เรียกเชี่ยตงหลายไปพบ ก่อนจะให้เชี่ยตงหลายให้คำมั่นสัญญาและปล่อยตัวไป
หลิงฮันอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเชี่ยตงหลายรอดพ้นความผิดได้อย่างไร ทั้งที่อีกฝ่ายทำให้ฝ่ายเดียวกันได้รับบาดเจ็บหลายคน
อย่างที่คิด ในฐานะที่เชี่ยตงหลายเป็นทายาทของจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ เขาจึงมีสิทธิพิเศษทุกที่ ซึ่งไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเชี่ยตงหลายถึงทำตัวอวดดีไปทั่ว ทั้งที่หลิงฮันซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มฝูงชน แต่อีกฝ่ายก็ยังกล้าลงมือ
อย่างไรก็ตามก็ยังมีหลายคนที่ชื่นชอบเชี่ยตงหลายและเกลียดชังหลิงฮัน
– แม้ว่าเชี่ยตงหลายจะทำร้ายคนอื่น แต่หลิงฮันเป็นคนสร้างปัญหาจึงทำให้มีคนเกลียดเขามาก
หลิงฮันไม่สนใจ เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อผูกมิตรกับใครสักหน่อย แล้วหลังจากที่เกิดเรื่องพวกนั้นขึ้น เชี่ยตงหลายก็ไม่มาปรากฏตัวให้หลิงฮันเห็นอีก
มันแปลกมาก
หลิงฮันเดาว่าเชี่ยตงหลายจะต้องหาวิธีแก้แค้นเขาอยู่อย่างแน่นอน
คนอย่างเชี่ยตงหลายนั้นคาดเดาง่ายมาก อีกฝ่ายจะต้องกำจัดเขาโดยยืมมือของจอมยุทธจากดินแดนใต้พิภพ
“นั่นคือสิ่งที่ข้าจะทำกับเจ้าเช่นกัน” หลิงฮันพูดในใจ เขาไม่อยากถูกนกโง่คอยตามรังควาน และอยากจะแก้ปัญหานี้ให้เร็วที่สุด
มันมีอยู่สองวิธีที่เชี่ยตงหลายจะยืมมือจอมยุทธจากดินแดนใต้พิภพ วิธีแรกคือหลอกล่อให้หลิงฮันไปเจอกับจอมยุทธที่แข็งแกร่งของดินแดนใต้พิภพ อย่างเช่นจอมยุทธระดับดารา
แต่หลิงฮันไม่ใช่คนโง่ ในเมื่อเห็นว่ามีจอมยุทธระดับดาราอยู่ที่นั่นแล้วเขาจะพาตัวเองเข้าไปเสี่ยงทำไม? แล้วเชี่ยตงหลายเองก็ไม่มีทางทำเช่นนั้นไม่ว่าเขาจะเกลียดชังหลิงฮันแค่ไหนก็ตาม เพราะเขายังไม่อยากตายไปพร้อมกับหลิงฮัน
วิธีที่สอง นำหลิงฮันเข้าไปยังส่วนลึกของกองทัพศัตรูและให้ตกอยู่ในวงล้อม ด้วยวิธีนี้จะทำให้เชี่ยตงหลายตกอยู่ในวงล้อมด้วย แต่อีกฝ่ายมีระดับพลังสูงกว่าหลิงฮัน และน่าจะเตรียมวิธีหลบหนีเอาไว้แล้ว ตราบใดที่พาหลิงฮันเข้าไปติดอยู่ในวงล้อมได้สำเร็จ
แล้วถ้าหลิงฮันถูกฆ่าตาย ใครจะพูดได้ว่าเชี่ยตงหลายส่งหลิงฮันเข้าไปในส่วนลึกของกองทัพศัตรู?
“มีโอกาสสูงมากที่เชี่ยตงหลายจะใช้วิธีการที่สอง” หลิงฮันคาดเดาความคิดของเชี่ยตงหลาย “แล้วมาดูกันว่าใครกันแน่ที่ติดกับ!”
หลังจากผ่านไปสองสามวัน ในที่สุดกองทัพดินแดนใต้พิภพก็เริ่มเปิดฉากโจมตีครั้งใหญ่ ตอนนี้ทุกกองกำลังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์กำลังห่ำหั่นกับดินแดนใต้พิภพ
กองทัพที่หลิงฮันสังกัดอยู่ก็ไม่มีข้อยกเว้น
เมื่อหลิงฮันมองออกไปข้างหน้า สิ่งที่เขาเห็นคือมีแต่ฝุ่นตลบอบอวลไปทั่วและกองทัพที่ดูไม่มีรูปขบวน แล้วมีจอมยุทธดินแดนใต้พิภพและจอมยุทธดินแดนศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากที่ถูกสังหาร
– กองทัพปกติจะมีการจัดรูปแบบขบวนชัดเจน แม้ในขณะที่บุกเข้าหาศัตรูก็ตาม แต่ตอนนี้ทหารแต่ละคนนั้นต่างสู้ตามอำเภอใจ บางคนบุกไปทางซ้าย บางคนบุกไปทางขวา เพราะอย่างไรพวกเขาก็เป็นกองกำลังผสม
และบางคนก็กลายเป็นยักษ์สูงใหญ่ เพียงแค่เหยียบย่ำและสามารถทำให้พวกเขาต้องจมดิน
นี่ไม่ใช่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราอย่างแน่นอน จอมยุทธระดับสุริยันจันทราไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่น่าทึ่งแบบนั้นได้
ระดับดารา!
ทั้งที่เท้ายังไม่ทันแตะถึงพื้น พื้นปฐพีก็เกิดรอยแยก และจอมยุทธที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาก็ถูกบดขยี้ในพริบตาก่อนที่จะถูกเหยียบย่ำซะอีก
“หึ่ม!” อย่างไรก็ตาม ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ขาดแคลนจอมยุทธระดับดารา จอมยุทธผู้หนึ่งกวัดแกว่งดาบ ทำให้ขาของยักษ์ถูกตัดออกทันที
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดาบของเจ้าถือว่าไม่เลวที่สามารถทำลายร่างกายของข้าได้ มาสู้กับข้า!” จอมยุทธดินแดนใต้พิภพกระโดดขึ้นไปบนอากาศและพูดท้าทายจอมยุทธดินแดนศักดิ์สิทธิ์
“ตามที่เจ้าต้องการ!” จอมยุทธดินแดนสักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่งกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าและต่อสู้กับจอมยุทธดินแดนใต้พิภพ
“ฆ่าพวกมันให้หมด!” จอมยุทธดินแดนใต้พิภพเองก็เริ่มบุกเข้ามา
“ฆ่ามัน!” หลิงฮันและคนอื่นๆก็เริ่มเคลื่อนไหว ความกระหายเลือดจากสงครามทำให้โลหิตของพวกเขาสูบฉีด ตอนนี้พวกเขาไม่สนว่าจะตายหรือไม่ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือการต่อสู้ที่ดุเดือด
ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง เสียงกลองรบดังสนั่นไปทั่วเพื่อสร้างความฮึกเหิมให้กับทหารฝ่ายตนเอง
ในการต่อสู้ไม่มีใครสามารถหลบหนีไปจากที่นี่ได้ เพราะมันไม่มีที่ให้พวกเขาหลบหนี คนที่อยู่ด้านหลังจะดันขึ้นมาเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีจอมยุทธอีกหลายคนนั่งอยู่บนช้างศึกยักษ์เพื่อดูกระแสของสงครามอย่างใจเย็น หากมีอะไรเกิดขึ้น พวกเขาก็จะแก้ปัญหาทันที
“ตามข้ามา!” เชี่ยตงหลายตะโกน และนำกองทัพของเขาบุกเข้าไปข้างหน้าเพื่อเข้าไปส่วนลึกของกองทัพศัตรู
ในเวลานี้คงไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติ พวกเขารู้แค่ว่าจะฆ่าหรือถูกฆ่า และเมื่อพวกเขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาก็พบว่าถูกพาเข้ามาในส่วนลึกของกองทัพศัตรู จากเดิมที่กองทัพของพวกเขามีกันหมื่นกว่าคน ตอนนี้เหลือเพียงแค่สามพันคนเท่านั้น
“ทำไมพวกเราถึงบุกมาที่นี่?”
“รีบถอยทัพเร็วเข้า!”
ทหารที่เหลือสามพันกว่าคนตะโกน พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อวีรบุรุษที่ตัดหัวแม่ทัพของศัตรูซะหน่อย แต่เป็นการพาตัวเองมาตาย!
หลิงฮันเองก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาคาดไม่ถึงเลยว่าเชี่ยตงหลายจะบ้าบิ่นขนาดนี้ เพื่อที่จะฆ่าเขาเพียงคนเดียวกับพาคนทั้งกองทัพต้องมาตาย
“ถอยทัพ!”
ทุกคนตัดสินใจไม่ติดตามเชี่ยตงหลายอีกต่อไปและเริ่มล่าถอย หากพวกเขาร่วมมือกันไม่ว่าเชี่ยตงหลายจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่สามารถหยุดพวกเขาเอาไว้ได้
อย่างไรก็ตาม กองทัพของพวกเขาได้หลงเข้ามาในส่วนลึกของทัพศัตรูแล้ว แล้วพวกเขาจะมีชีวิตรอดกลับไปได้อย่างไร?
“อ๊าก!” เสียงกรีดร้องโหยหวนดังไม่หยุด กองทัพสามพันคนถูกสังหารอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเป็นกองกำลังผสม เมื่อตกอยู่ในอันตรายพวกเขาจึงคิดถึงตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก มันไม่มีการทำงานเป็นทีมเลยแม้แต่น้อย และจำนวนคนที่ล้มตายก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เชี่ยตงหลายยิ้มอย่างโหดเหี้ยม เขาใช้กองทัพหนึ่งหมื่นคนเพื่อซื้อชีวิตของหลิงฮัน
หลิงฮันจะต้องตายอยู่ที่นี่!
ตอนที่ 1289
เชี่ยตงหลายจ้องหลิงฮันไม่วางตา เขาอยากเห็นความตายของหลิงฮันก่อนที่ตัวเขาจะไปจากที่นี่
แม้พวกเขาจะมีพลังบ่มเพาะระดับสุริยันจันทราเหมือนกัน แต่ขั้นพลังของเขาเหนือกว่าหลิงฮัน แต่ในสงครามนี้เขายังจงใจออมแรงไม่ใช้พลังทั้งหมดออกไปเนื่องจากไม่ต้องการตกเป็นเป้าหมายของเหล่าสิ่งมีชีวิตใต้พิภพ
แน่นอนหลิงฮันย่อมรู้สึกถึงสายตาที่ไม่เป็นมิตรของเชี่ยตงหลาย
เขาส่ายหัวในใจ คนคนนี้ช่างมีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นจริงๆ อีกฝ่ายไม่ลังเลเลยที่จะใช้ชีวิตของคนนับหมื่นในการสังหารเขา แต่เมื่อคิดอีกครั้งคนนับหมื่นที่ว่าก็ไม่ใช่คนของตระกูลเชี่ย ต่อให้พวกเขาตายเชี่ยตงหลายก็คงไม่แยแส
ฮึ่ม!
ดวงตาของหลิงฮันส่องประกายเย็นชา เขาพุ่งไปหาเชี่ยตงหลายและตะโกนออกมา “พี่ชายเชี่ย เรามาสังหารศัตรูเคียงบ่าเคียงไหล่กันดีกว่า!” เขานำดาบอสูรนิรันดร์ออกมา ทันใดนั้นคลื่นดาบก็ปะทุขึ้นสูงเสียงฟ้า
เหล่าสิ่งมีชีวิตใต้พิภพที่อยู่รอบข้างมากมายไม่เพียงถูกคลื่นดาบทะลวงจนร่างปลิว แต่หัว แขนและขาของพวกมันก็ยังหลุดลอยกระเด็น ตราบใดที่พวกมันไม่มีพลังบ่มเพาะระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุด เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลบหนีได้พ้น
หลิงฮันพุ่งมาหยุดอยู่ด้านหน้าเชี่ยตงหลายและปลดปล่อยทักษะเพื่อโจมตีจิตวิญญาณทันที
ทักษะจิตเจ็ดสังหาร!
“อั่ก!” ร่างของเชี่ยตงหลายหยุดแน่นอน จิตวิญญาณของเขาถูกทำให้ชะงักจนควบคุมไม่ได้ เขาเป็นถึงทายาทของแม่ทัพเชี่ยแถมยังเป็นอัจฉริยะชั้นแนวหน้า เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะไม่ได้ฝึกฝนทักษะเสริมแกร่งจิตวิญญาณ?
จิตวิญญาณของเขามั่นคงมาก ดังนั้นผลกระทบของทักษะจิตเจ็ดสังหารจึงส่งผลต่อเขาเพียงชั่วครู่ก่อนที่จิตวิญญาณของเขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
แต่ต้องรู้ว่าท่ามกลางสงครามที่โกลาหล ดาบและกระบี่โลดแล่นไปทั่วอย่างยุ่งเหยิง เพียงแค่ชะงักไปชั่วครู่เชี่ยตงหลายก็ถูกโจมตีนับครั้งไม่ถ้วน โชคดีที่ร่างปราณก่อเกิดในร่างของเขาไม่ได้หยุดชะงักไปด้วยทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก
“บัดซบ!” เชี่ยตงหลายเกรี้ยวกราด ถ้าไม่ใช่เพราะพลังของเขาแข็งแกร่งพอและมีจิตวิญญาณที่มั่นคง เกรงว่าบาดแผลที่ได้รับเมื่อครู่คงไม่ใช่แค่เล็กน้อย
“ตาย!” เขาระงับความแค้นในใจไม่ไหวอีกต่อไป เขานำกระบี่เล่มใหญ่สีทองออกมา ออร่าสีดำทมิฬที่อัดแน่นไปด้วยอำนาจกัดกร่อนปะทุออกมา อากาศรอบตัวดาบสั่นกระพือราวกับกำลังหลอมละลาย
เหล่าสิ่งมีชีวิตใต้ไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหตุใดทั้งสองถึงได้หันมาสู้กันเอง? แต่อย่างไรพวกมันก็ไม่จำเป็นต้องสนใจและตั้งใจจะกำจัดทิ้งทั้งสองคน
ปัง!
หลิงฮันกับเชี่ยตงหลายเข้าปะทะห้ำหั่นกัน ทั้งสองต้องป้องกันทั้งการโจมด้วยกันเองกับการโจมตีจากสิ่งมีชีวิตใต้พิภพ
ตามหลักแล้วหลิงฮันสมควรตกตายไปแล้วด้วยซ้ำ จอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นกลางนั้นไม่มีทางเลยที่จะป้องกันการโจมตีของจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดชั้นสูงสุดได้
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เชี่ยตงหลายไม่อาจจินตนาการได้… เหตุใดหมอนี่ถึงยังไม่ตายอีก?
“คนที่จะตายคือเจ้า!” หลิงฮันกล่าวอย่างเย็นชา “เพื่อสะสางความแค้นส่วนตัว กองทัพทั้งกองทัพถึงกับถูกใช้เป็นเบี้ยของเจ้า เกรงว่าเจ้าคงสูญเสียจิตสำนึกจนกลายเป็นบ้าไปแล้ว?”
“ฮ่าๆๆ กองทัพต้องมาตายเพื่อเจ้าแบบนี้ เจ้าจะนอนยังตายอย่างสงบได้อีกรึเปล่า?” เชี่ยตงหลายกวัดแกว่งกระบี่ใบมือ แสงสีทองส่องประกายพร้อมกับคลื่นพลังแห่งการกัดกร่อนสีดำที่ค่อยๆหนาแน่นขึ้น
“เจ้ามันเสียสติจนกู่ไม่กลับแล้ว!” หลิงฮันเลิกพล่ามไร้สาระ สามัญสำนึกของเชี่ยตงหลายไม่เหลืออยู่แล้ว พูดไปก็มีแต่เปลืองน้ำลาย
เขาสะบั้นดาบอสูรนิรันดร์ปลดปล่อยทักษะดาบฟ้าคำราม สิ่งมีชีวิตใต้พิภพรอบๆเขาถูกหั่นร่างขาดเป็นชิ้นพร้อมกับลอยกระเด็น
ในสถานการณ์ทั่วตนระดับดารายังไม่ลงมือ สิ่งมีชีวิตใตพิภพระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดย่อมหวาดกลัวที่จะต้านหลิงฮันที่ถือดาบอสูรนิรันดร์เอาไว้ในมือ แต่แน่นอนว่าหากเป็นระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดที่มีพลังต่อสู้สี่ดาวแล้ว พวกเขาย่อมมีพลังเพียงพอในการจัดการหลิงฮัน
ยกตัวอย่างเช่นในกรณีเชี่ยตงหลาย ในตอนที่เขาใช้กระบี่โจมตีหลิงฮันไม่กล้าที่จะตอบโต้ซึ่งๆหน้าและเลือกโคจรย่างก้าวไล่ตามดาราเพื่อหลบหลีก ยิ่งทั้งสองสู้กันสิ่งมีชีวิตใต้พิภพที่ถูกสังหารเพราะลูกหลงก็ยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้น
ทั้งสองสังหารสิ่งมีชีวิตใต้พิภพไปมากมายจนค่อยๆดึงดูดความสนใจของสิ่งมีชีวิตใต้พิภพที่แข็งแกร่ง เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสสวรรค์ของอีกฝ่าย ทั้งหลิงฮันและเชี่ยตงหลายต่างรู้สึกเย็นยะเยือก
“ระดับสุริยันจันทราตัวจ้อยบังอาจสังหารคนของข้า!” มือขนาดใหญ่ประทับลงมาจากท้องฟ้าลงสู้บริเวณที่หลิงฮันกับเชี่ยตงหลายกำลังสู้กัน
มือที่ร่วงลงมาจากสวรรค์ชั้นฟ้าราวกับจะบดขยี้ท้องฟ้าให้พังทลาย
ปรมาจารย์ระดับดารา!
ใบหน้าของเชี่ยตงหลายเปลี่ยนไปทันที เขาไม่ยอมให้ตัวเองมาตายกับหลิงฮันที่นี่แน่ ต้องรีบหนี! เขารีบนำตราประทับออกมาติดร่าง ‘ครืนน’ แสงสีทองส่องสว่างออกมาและโอบคลุมทั่วร่างเชี่ยตงหลาย
‘พรึบ’ ร่างของเขากลายเป็นบอลแสงสีแทงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
“คิดหนี?” หลิงฮันโคจรศรฆ่ามังกรทะลวงดาราเต็มกำลังยิงไล่ตามเชี่ยตงหลาย
ตราประทับสำหรับหลบหนีที่ถูกสร้างโดยตัวตนระดับวารีนิรันดร์นั้นว่องไวมาก ถ้าเพียงศรฆ่ามังกรทะลวงดาราธรรมดาย่อมไม่มีทางไล่ตามทัน หลิงฮันจึงเลือกใช้ศรฆ่ามังกรทะลวงดาราเต็มกำลัง พริบตาที่ยิงศรออกไปปราณก่อเกิดในร่างเขาก็แห้งเหือดทันที
‘ฉัวะ’ ลูกศรเปล่งประกายเจิดจ้าก่อนที่จะมองเห็นโลหิตสาดกระจาย เชี่ยตงหลายกรีดร้องโอดครวญก่อนที่จะร่วงหล่นจากท้องฟ้า
ไม่คาดฝันว่าจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดที่เป็นอัจฉริยะสี่ดาวจะถูกจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นกลางสอยร่วง! แต่ใครใช้ให้เชี่ยตงหลายชะล่าใจคิดว่าไม่มีใครไล่ตามตัวเองทันกันล่ะ?
เพียงแต่ว่าเชี่ยตงหลายก็ถือว่าแข็งแกร่งพอตัว ไม่เช่นนั้นศรที่ยิงออกไปเมื่อครู่คงทะลวงร่างเขาจนแหลกเป็นชิ้นๆไปแล้ว
“น่าสนใจ!” มือขนาดใหญ่คว้าร่างเชี่ยตงหลายเอาไว้และวกกลับมาคว้าหลิงฮันต่อ
หลิงฮันสูญเสียพลังปราณไปหมดแล้ว เขาไม่สามารถคงสภาพร่างผู้ใหญ่เอาไว้ได้ทำให้กลับสู่ร่างของทารก เขาไม่ลังเลที่จะหลบเข้าไปซ่อนตัวในหอคอยทมิฬ
มือใหญ่คว้าเอาไว้ได้เพียงอากาศที่ว่างเปล่า ทันใดนั้นร่างๆหนึ่งก็ปรากฏตามมาติดๆ เขาเป็นชายสวมชุดเทาที่มีรูปลักษณ์ทั่วไป แต่หนวดเคราที่ขึ้นเต็มไปหน้าของเขาทำให้ดูแล้วน่าหวาดกลัว
เชี่ยตงหลายถูกชายคนนั้นจับตัวไว้ในสภาพไร้สติ แขนขาของเขาห้อยลงมาโดยมีเลือดไหลหยดลงสู่พื้น
“หายไปไหนแล้ว?” ปรมาจารย์ที่เพิ่งปรากฏตัวกวาดสายตามองด้วยความตะลึงที่จู่ๆหลิงฮันก็หายตัวไป
มดปลวกระดับสุริยันจันทราสามารถหลบหนีจากเขาไปได้ต่อหน้าต่อตางั้นรึ?
“น่าสนใจ!” เขากล่าวพึมพำพร้อมกับปล่อยสัมผัสสวรรค์ตามหาหลิงฮัน
ตอนที่ 1290
หลิงฮันรู้สึกว่าเขาได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว
จำนวนของสิ่งมีชีวิตใต้พิภพที่ตายด้วยเงื้อมเขานั้นมีนับร้อย ตอนนี้พลังของเขาไม่มีเหลือแล้วทำให้ไม่สามารถสู้รบได้อีกต่อไป
ยิ่งกว่านั้นหากรวมกับตอนนี้ ปรมาจารย์ระดับดาราที่ต้องการไล่ล่าเขามีถึงสองคนแล้ว เกรงว่าเขาเขาไม่สามารถเปิดเผยตัวได้ไปอีกสักพัก
ธิดาซื่อเยว่รับปากสัญญาว่าจะดูแลสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ให้เขา ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนางในสงคราม เพราะอย่างไรตัวนางเองก็เป็นจอมยุทธที่ทรงพลังที่สุดคนหนึ่ง หากไม่ใช่ปรมาจารย์ระดับดาราก็ยากที่จะทำร้ายนางได้
หลิงฮันเริ่มฟื่นฟูพลังของตัวเอง เขาวางผลึกก่อเกิดหลายสิบก้อนไว้รอบๆและดูดซับเข้าไปในตันเถียนอย่างบ้าคลั่ง
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงปราณก่อเกิดของเขาก็ฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์ แต่ในทางกลับกันกายหยาบของเขานั้นฟื้นฟูกลับสู่สภาพสมบูรณ์ก่อนพลังปราณเสียอีก
เขามองออกไปนอกหอคอยทมิฬและพบว่าปรมาจารย์ชุดเทายังไม่ไปไหนไกล อีกฝ่ายยืนโดดเด่นอย่างองอาจแพร่กระกายสัมผัสสวรรค์ตามหาตำแหน่งของเขา
ให้ตายเถอะ ยังไม่ไปอีก!
เพื่อไม่ใช่เสียเวลา หลิงฮันจึงตัดสินใจฝึกฝนหลอมเม็ดยา
หนึ่งวันถัดมาเขามองออกไปด้านนอกและพบว่าสงครามสิ้นสุดแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างล่าถอยกลับไปเหลือทิ้งไว้เพียงร่างที่ไร้ชีวิตนับไม่ถ้วนและรอยเลือดจำนวนมหาศาลที่ย้อมอยู่บนพื้นดิน
หลิงฮันออกมาจากหอคอยทมิฬและรุดกลับไปยังค่ายที่พัก
สงครามครั้งนี้ฝั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เสียหายอย่างมาก
สามกองทัพใหญ่กับจอมยุทธพเนจรรวมกันแล้วมีจำนวนราวๆเจ็ดแสนคน เมื่อกำลังเสริมมาถึงจำนวนของจอมยุทธฝั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้เพิ่มขึ้นเป็นราวๆหนึ่งล้านสามแสน เพียงแต่ว่าพลังของพวกเขาไม่สามารถทัดเทียมกับฝั่งดินแดนใต้พิภพได้เนื่องจากพวกมันทั้งหมดมีระดับสุริยันจันทรา
หลังจากสงครามนี้จำนวนจอมยุทธของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ลดลงไปเหลือราวๆแปดแสนคน จอมยุทธที่ตายส่วนใหญ่คือระดับภูผาวารีและสุริยันจันทราขั้นต้น แม้แต่ตัวตนระดับดาราก็ยังตกตายไปถึงสามก่อให้เกิดความตกตะลึงไปทั่วดาวหยุนติ่ง
มีข่าวเกิดขึ้นว่าดินแดนใต้พิภพกำลังตามหาอะไรบางอย่างในสนามรบสองดินแดน ซึ่งทุกคนต่างมั่นใจและเชื่อกันว่าดินแดนใต้พิภพไม่ได้พยายามยึดครองดวงดาวแต่พยายามตามหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ที่นี่!
ข่าวอีกข่าวหนึ่งคือเชี่ยตงหลายยังไม่ตายแต่ถูกจับไปเป็นตัวประกัน พวกมันให้ตระกูลเชี่ยไถ่ตัวเขาด้วยผลึกก่อเกิดจำนวนมาก
หลิงฮันตะลึงมาก หมอนี่เหตุใดถึงดวงแข็งขนาดนี้… นี่เขายังไม่ตายอีก?
แต่หากคิดดีๆ ก่อนหน้านี้เชี่ยตงหลายได้ใช้ตราประทับเพื่อหลบหนีแต่ก็ถูกเขาขัดขวางเสียก่อนและถูกปรมาจารย์ของสิ่งมีชีวิตใต้พิภพจับตัวไป บางทีปรมาจารย์คนนั้นอาจจะเห็นว่าเชี่ยตงหลายมีตราประทับทีล้ำค่าทำให้คาดเดาว่าเชี่ยตงหลายมาจากตระกูลที่ยิ่งใหญ่จึงใช้เป็นสินค้าขายแลกเปลี่ยนกับผลึกก่อเกิด
หลิงฮันไม่ใช่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากกองทัพที่ถูกนำโดยเชี่ยตงหลาย มีสิบคนที่รอดมาได้ซึ่งแต่ละคนต่างเปิดเผยเล่าว่าเชี่ยตงหลายเป็นผู้นำทัพเอาแต่ใจที่พาพวกเขาไปสู่ความตาย
แต่ตระกูลเชี่ยที่ต้องการภาพลักษณ์ที่ดีได้ปล่อยข่าวออกมาคัดค้านทันที พวกเขากล่าวว่าเชี่ยตงหลายเป็นวีรบุรุษผู้กล้าที่เสียสละตนเองสู้จนตัวตายจนถูกฝ่ายศัตรูจับกุมตัวไป
เมื่อตระกูลเชี่ยที่ทรงอำนาจเป็นคนกล่าวเช่นนี้ ใครจะกล้าต่อต้าน?
เชี่ยตงหลายกลายเป็นวีรบุรุษ ซึ่งตระกูลเชี่ยได้เห็นแก่ความดีความชอบนั้นจึงทำการไถ่ตัวเขากลับมาด้วยผลึกก่อเกิดจำนวนมหาศาล
ต่อหน้าสาธารณะตระกูลเชี่ยปฏิบัติต่อเชี่ยตงหลายเป็นดั่งวีรบุรุษ ส่วนภายในตระกูลนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เขาทำให้ตระกูลต้องสูญเสียทรัพยากรไปจำนวนมาก เป็นไปได้รึที่ตระกูลจะไม่ลงโทษ?
เชี่ยตงหลายถูกเรียกตัวกลับตระกูลทันที ส่วนด้วยเหตุผลอันใดนั้นบุคคลภายนอกย่อมไม่มีทางรับรู้
หลิงฮันอดคิดไม่ได้ว่าขนาดนี้แล้วเชี่ยตงหลายยังไม่ตายอีก… นี่เขาเป็นแมลงสาปหรืออย่างไร?
แต่หลิงฮันไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเขาถูกเชี่ยตงหลายเกลียดยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า นอกจากจะถูกหลิงฮันทำร้ายจนถูกจับตัวไปแล้วสถานะในตระกูลของเขายังลดลงไปอีก
ในขณะที่สองดินแดนห้ำหั่นกัน จู่ๆดินแดนใต้พิภพก็มุ่งเป้าโจมตีอย่างบ้าคลั่งใส่กองทัพจันทราม่วง
แม้สามกองทัพใหญ่จะรวมกลุ่มกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายการโจมตีของพวกมันก็ยังเพ่งเล็งไปยังกองทัพจันทราม่วงอยู่ดี เพื่อทำให้ข้อสงสัยนี้กระจ่าง สามกองทัพจึงจงใจแยกกองทัพยังอย่างลับๆ ซึ่งผลลัพธ์ก็ชัดเจนยิ่งขึ้น
เป็นไปได้รึไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใต้พิภพเหล่านี้จะต้องการตัวสตรีจำนวนมาก?
ตอนนี้มีการสันนิษฐานมากมายเกิดขึ้น มีข้อสันนิษฐานหนึ่งที่กล่าวว่าดินแดนใต้พิภพที่ตลาดค้าขายมนุษย์ซึ่งพวกมันต้องการนำเหล่าสตรีไปให้กำเนิดทายาทเลือดผสมของเผ่าใต้พิภพกับเผ่ามนุษย์ เด็กที่เกิดจากสองเผ่าพันธุ์บางทีอาจจะมีพลังของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองดินแดน
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วอีกหลายปีสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากสองเผ่าพันธุ์จะสามารถบุกรุกดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างง่ายดาย
ข้อสันนิษฐานมีเหตุผลพอฟังขึ้นก็จริงแต่ก็ยังเต็มไปด้วยช่องโหว่มากมาย
ไม่ต้องกล่าวเลยว่าวิธีการนี้ต้องใช้เวลาเตรียมการกี่ปี แถมเด็กที่เกิดมาจะมีกี่คนที่เป็นอัจฉริยะ? ถ้าไม่ใช่อัจฉริยะแล้ว พวกเขาจะมีพลังมากพอที่จะบดขยี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์งั้นรึ?
ยิ่งกว่านั้นเหล่าสิ่งมีชีวิตใต้พิภพจะเชื่อใจเด็กที่เกิดใหม่เหล่านั้นรึไงกัน? พวกเขาจะยินยอมอบทรัพยากรบ่มเพาะให้พวกเขาเหล่านั้น?
อย่างน้อยหลิงฮันคนหนึ่งก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น
แต่จู่ๆเขาก็คิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา
ที่กองทัพจันทราม่วงมีสัตว์อสูรน้อยอยู่ ซึ่งสัตว์อสูรน้อยตนนั้นก็มาจากดินแดนใต้พิภพ
เป็นไปได้รึไม่ว่าที่ดินแดนใต้พิภพเพ่งเล็งกองทัพจันทราม่วงจะเป็นเพราะสัตว์อสูรน้อยตนนั้น?
เหลือเชื่อยิ่งนัก สัตว์อสูรที่มีดีแค่น่ารักนั่นน่ะรึ? แต่เหตุการณ์บุกรุกก็เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่สัตว์อสูรน้อยปรากฏตัว เช่นนั้นแล้วที่ดินแดนใต้พิภพบุกรุกดินแดนศักดิ์สิทธิ์และเพ่งเล็งเป้าหมายไปที่กองทัพจันทราม่วงก็เพราะสัตว์อสูรน้อย?
ไม่อาจทิ้งข้อสันนิษฐานข้อนี้ไปได้ แม้จะฟังดูเหลือเชื่อแต่ความจริงก็คือความจริง
ตอนที่ 1291
สัตว์อสูรน้อยตัวนั้นจะต้องไม่ธรรมดา ถึงทำให้กองทัพดินแดนใต้พิภพเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
แต่ทำไมไม่มุ่งเป้าหมายไปที่สัตว์อสูรน้อยตัวนั้นโดยตรงเลยล่ะ?
คำตอบนั้นง่ายมาก หากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตระหนักว่าเป้าหมายของพวกเขาคือสัตว์อสูรตัวนั้นและรู้ว่ามันไม่ธรรมดา สงครามครั้งนี้ก็จะเกิดการสูญเสียมากยิ่งขึ้นไปอีก
หลิงฮันอดสงสัยไม่ได้ สัตว์อสูรตัวน้อยนั้นสำคัญขนาดไหนกันถึงทำให้ดินแดนใต้พิภพยอมสูญเสียมหาศาลเพื่อให้ได้มันมา
แม้ว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงแค่การคาดเดาของเขา แต่เขาก็ค่อยข้างมั่นใจทีเดียวว่านี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของดินแดนใต้พิภพ ส่วนเรื่องข่าวลือพวกสมบัติหรือลักพาตัวผู้หญิงนั้นไม่ได้เป็นความจริง
แต่ใครจะเชื่อคำพูดของเขา?
สัตว์อสูรตัวเล็กระดับภูผาวารีเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดสงครามครั้งใหญ่?
เหลวไหล!
หลิงฮันอยากนำเรื่องนี้ไปบอกให้ธิดาซื่อเย่วทราบ แต่คิดไปคิดมานางก็อาจคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ
ตามความคิดเห็นของเขา ถ้าส่งสัตว์อสูรตัวน้อยกลับไปที่ดินแดนใต้พิภพ พวกมันก็น่าจะล่าถอย แล้วถ้าธิดาซื่อเย่วเชื่อคำพูดของเขา แล้วถ้านางใช้สัตว์อสูรตัวน้อยข่มขู่กองทัพดินแดนใต้พิภพล่ะ?
มันอาจทำให้สงครามทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น!
หลิงฮันตัดสินใจจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองและตามหาสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะเพื่อส่งสัตว์อสูรตัวน้อยกลับไปที่ดินแดนใต้พิภพเพื่อยุติสงคราม มิฉะนั้นจะมีการสูญเสียมากยิ่งขึ้น
เนื่องจากการสูญเสียเกือบทั้งกองทัพของหลิงฮัน ทำให้ค่ายทหารที่เขาอยู่ไม่มีอะไรทำและตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้ถูกย้ายให้ไปเข้าร่วมกับกองทัพอื่น ทำให้พวกเขามีอิสระมาก จึงทำให้หลิงฮันออกจากค่ายทหารที่เขาอยู่ได้อย่างง่ายดายและไปที่ค่ายกองทัพจันทราม่วง
แต่เขาไม่สามารถเข้าไปในค่ายกองทัพจันทราม่วงได้ กฎของที่นี่เข้มงวดมาก ถึงแม้ว่าหลิงฮันจะมีแผ่นป้ายที่ได้รับมาจากธิดาซื่อเย่ว แต่มันก็ไร้ประโยชน์ เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงทำสงคราม
แต่โชคดีที่ตอนนี้หลิงฮันค่อนข้างคุ้นเคยกับกองทัพจันทราม่วง เมื่อเขาพบเจอหญิงสาวกลุ่มหนึ่ง เขาก็ขอให้พวกนางไปแจ้งสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะว่าเขามาหา แล้วหลังจากนั้นไม่นานสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะก็ปรากฏตัว
นางกำลังกอดสัตว์อสูรตัวน้อย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หลิงฮันแปลกใจ ที่เขาแปลกใจคือมันไม่มีกลิ่นอายชั่วร้ายจากสัตว์อสูรตัวน้อยนี้เลย ราวกับว่ามันเป็นสัตว์อสูรที่ถือกำเนิดขึ้นบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่แรก
ถ้าก่อนหน้านี้หลิงฮันไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง เขาคงไม่สงสัยว่าสัตว์อสูรน้อยตัวนี้มาจากดินแดนใต้พิภพ
และนี่ทำให้หลิงฮันคิดว่าการคาดเดาของเขามีความถูกต้องมากยิ่งขึ้น สัตว์อสูรน้อยตัวนี้ไม่ธรรมดา!
“เจ้ามาหาข้ามีอะไรอย่างนั้นรึ?” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะถาม
หลิงฮันพยักหน้า แล้วบอกความคิดเห็นของเขาให้นางฟัง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะก็รู้สึกตกใจและคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่นางก็ไม่ได้พูดแย้งอะไรหลิงฮันโดยตรง เพียงแค่พูดว่า “เจ้าแน่ใจหรือ?”
“ข้าค่อนข้างมั่นใจมากทีเดียว” หลิงฮันพยักหน้า
“นำทาง!”
เห็นได้ชัดว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะเชื่อในคำพูดของหลิงฮันมาก ในเมื่อหลิงฮันมั่นใจ นางก็เลือกที่จะเชื่อหลิงฮัน
ทั้งสองคนออกจากค่ายทหารและมุ่งหน้าไปที่ส่วนลึกของสนามรบสองดินแดน โดยผ่านแนวป้องกันของดินแดนใต้พิภพไป เพราะอย่างไรก็ตามสนามรบสองดินแดนนั้นใหญ่เกินกว่าที่ดินแดนใต้พิภพจะปิดล้อมได้อย่างสมบูรณ์
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสามารถออกจากค่ายทหารได้ภายในเวลาที่กำหนด หากไปนานเกินไปนางจะถูกมองว่าเป็นทหารหนีทัพ
“เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะพาเจ้าตัวน้อยนี่ไปที่ดินแดนใต้พิภพเอง” หลิงฮันกล่าว
สีหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ในสายตาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนใต้พิภพคือสถานที่ที่อันตรายที่สุด มันเต็มไปด้วยสิ่งชั่วร้าย และถึงแม้หลิงฮันจะเป็นคนที่มีพรสวรรค์ แต่อย่างไรก็ตามเขายังเป็นแค่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นกลางเท่านั้น
ไปที่ดินแดนใต้พิภพมันจะอันตรายแค่ไหน?
“ไม่ต้องกังวล เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้ายังมีหอคอยทมิฬ?” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน แต่ท้ายที่สุดนางก็ส่งสัตว์อสูรตัวน้อยให้กับหลิงฮัน ซึ่งทำให้มันส่งเสียงร้องโวยวาย ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่ามันไม่อยากจะพลัดพรากจากสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะหรือกลัวถูกหลิงฮันฆ่าตายกันแน่
หลิงฮันไม่อาจปล่อยให้เจ้าสัตว์อสูรตัวน้อยส่งเสียงร้องได้ หลังจากที่คว้าตัวมันมา เขาก็รีบมุ่งหน้าไปที่ดินแดนใต้พิภพทันที
ตอนนี้ทั้งสองฝั่งกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ที่แนวหน้า ดังนั้นพื้นที่แถบนี้จึงไม่มีใครแม้แต่คนเดียว ทำให้หลิงฮันสามารถเข้าไปในใจกลางของสนามรบสองดินแดนได้อย่างง่ายดาย และอำนาจแห่งกฎเกณฑ์โดยรอบก็เริ่มวุ่นวายมากยิ่งขึ้น
เพราะที่นี่คือจุดเชื่อมต่อระหว่างดินแดนศักดิ์สิทธิ์และดินแดนใต้พิภพ
หลิงฮันเดินอย่างมั่นคง ที่นี่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ปะทะกันหนักหน่วงที่สุด ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่นี่ และทำได้แค่พึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเองเท่านั้น
เมื่อเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ก็ปรากฏอีกครั้งและกลายเป็นสภาพแวดล้อมใหม่ที่ไม่ใช่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
นี่คือการเปลี่ยนแปลงของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์
หลิงฮันเคลื่อนไหวและปลดปล่อยกลิ่นอายจ้าวอสูรออกมาปกคลุมร่างกาย ตอนนี้หากมีใครเห็นเขาก็คงคิดว่าเขาเป็นจอมยุทธจากดินแดนใต้พิภพ
กลิ่นอายของสัตว์อสูรตัวน้อยเองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน กลิ่นอายของมันเริ่มกลมกลืนกับดินแดนใต้พิภพ เหมือนกับว่ามันมีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม
ความสามารถของมันทำให้หลิงฮันประหลาดใจ มันเป็นตัวอะไรกันแน่? ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก!
“จู! จู!” สัตว์อสูรตัวน้อยแกว่งกรงเล็บใส่หน้าหลิงฮัน เหมือนกับมันพยายามดิ้นรนเพื่อกลับไปหาสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ
“ฮ่าฮ่าฮ่า นางเป็นภรรยาของข้า!” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม
พรึบ!
ทันใดนั้นเองก็มีใครบางคนปรากฏตัวกะทันหัน กระทั่งหลิงฮันก็ยังไม่รู้ว่าเขาปรากฏตัวมาจากที่ไหน ราวกับว่าอีกฝ่ายอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว แต่หลิงฮันแค่หาอีกฝ่ายไม่พบ
มันเป็นชายรูปร่างผอมสูง กล้ามเหนือของเขาแน่นราวกับก้อนหิน และมีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัว เพียงแค่ขยับตัวเล็กน้อยก็ทำให้ห้วงอากาศเกิดรอยแยกแล้ว
“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก ในที่สุดก็หานายน้อยพบ!” ชายร่างสูงหัวเราะและเผยรอยยิ้มปิติยินดี จากนั้นเขาก็เอื้อมมือเพื่อคว้าร่างของสัตว์อสูรตัวน้อย แล้วพยักหน้าให้กับหลิงฮันพร้อมกับพูดว่า “เจ้าทำได้ดีมาก ข้าจะพานายน้อยกลับไปก่อน และจะมอบรางวัลให้กับเจ้าทีหลัง – และนี่คือเหรียญตราที่สามารถทำให้เจ้าเข้าสู่วังปีศาจแห่งความโกลาหลได้เพื่อรับรางวัล”
เขาโยนเหรียญตราสีเงินให้กับหลิงฮัน จากนั้นเขาก็หายไปในพริบตา
หลิงฮันรู้สึกโล่งอก เขาแทบจะหายใจไม่ออกเมื่อตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของอีกฝ่าย
จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์!
และแน่นอนว่าเป้าหมายที่แท้จริงของดินแดนใต้พิภพคือสัตว์อสูรน้อยตัวนั้น กระทั่งจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ยังเรียกมันว่า ‘นายน้อย’ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมดินแดนใต้พิภพถึงก่อสงคราม สัตว์อสูรน้อยตัวนั้นจะต้องมีความสำคัญมากอย่างคาดไม่ถึง
ตอนที่ 1292
กองทัพดินแดนใต้พิภพล่าถอยไปแล้ว
เช่นเดียวกับตอนที่สงครามปะทุขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุและจบลงอย่างกะทันหัน
แต่เมื่อสงครามจบลงแล้ว แน่นอนว่าทุกคนย่อมมีความสุข พวกเขาจะสนเรื่องพวกนั้นไปทำไม?
เมื่อหลิงฮันกลับมา เขาก็เห็นกองกำลังหนึ่งของดินแดนใต้พิภพกำลังล่าถอยกลับไปที่ดินแดนใต้พิภพ และเป็นเพราะกลิ่นอายจ้าวอสูรที่ปกคลุมร่างกาย จึงทำให้พวกมันคิดว่าเขาเป็นพวกเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาไม่ได้เดินหลบและมุ่งไปข้างหน้า อย่างไรก็ตาม เมื่อสงครามจบลง ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ สนามรบสองดินแดนยังคงเป็นสถานที่ฝึกฝนและแสวงหาศิลาวิญญาณปฐพี
เกรงว่าแม้กระทั่งทหารส่วนใหญ่ของดินแดนใต้พิภพก็ยังไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมถึงเป็นฝ่ายเริ่มก่อสงคราม มิฉะนั้นทั้งที่กองทัพดินแดนใต้พิภพมีจำนวนมากมหาศาลขนาดนั้น แต่ความลับก็ยังไม่ถูกเปิดเผย คนที่เหตุผลคงมีเพียงแค่ตัวตนระดับสูงของดินแดนใต้พิภพเท่านั้น
หลิงฮันยังคงครุ่นคิดถึงตอนที่กองทัพดินแดนใต้พิภพเพิ่งจะเริ่มบุกเข้ามา ถ้าชายชุดขาวคนนั้นถามเขาว่าเห็นสัตว์อสูรตัวเล็กๆบ้างไหม สงครามครั้งนี้ก็คงไม่เกิดและคงไม่มีผู้คนที่ต้องตกตายมากขนาดนี้
เมื่อเขากลับไปที่ค่ายทหาร เขาก็เห็นทุกคนกำลังฉลองชัยชนะครั้งนี้
สงครามไร้ซึ่งความปราณี แน่นอนว่าคนที่ตายคือคนที่อ่อนแอ แต่เมื่ออยู่ในสนามรบชีวิตของทุกคนก็แขวนอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลา ก่อนเริ่มสงครามทุกคนจะเขียนพินัยกรรมของตัวเอง ถ้าพวกเขาตายไปสนามรบ อย่างน้อยก็ยังมีอะไรส่งกลับไปที่บ้านเกิดของพวกเขาบ้าง
เมื่อสงคราบจบลง ทุกคนก็สามารถทำตัวผ่อนคลายได้
แต่กองทัพของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ถอนกำลังและตรึงกำลังเอาไว้ เพราะพวกเขายังไม่แน่ใจว่าดินแดนใต้พิภพยุติสงครามจริงหรือไม่
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะสัตว์อสูรน้อยตัวนั้นตัวเดียว และถึงแม้หลิงฮันจะบอกความจริงให้คนอื่นรู้ ก็คงไม่มีใครเชื่อเขา – นอกจากสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ
เนื่องจากการถอนกำลังของกองทัพดินแดนใต้พิภพเป็นเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้ ทุกคนจึงคิดว่ากองทัพดินแดนใต้พิภพเจอสมบัติที่กำลังตามหาอยู่แล้วเลยถอนกำลังจากไป
แต่ก็ยังมีคนพูดแย้งและต้องการตอบโต้ดินแดนใต้พิภพเพื่อนำสมบติล้ำค่ากลับมา
แม้จะมีคนโลภหลายคน แต่ก็มีผู้สนับสนุนพวกเขาไม่กี่คน
หากต้องการเข้าสู่ดินแดนใต้พิภพ อย่างแรกเลยคือต้องสู้กับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพก่อน และยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ พลังต่อสู้ก็จะลดลง มันอันตรายเกินไป!
ยิ่งไปกว่านั้น หน้าที่ของพวกเขาทุกคนคือต่อต้านการรุกรานของดินแดนใต้พิภพ อย่างไรเสีย เมื่อพลังอำนาจของดาวหยุนติ่งสูงขึ้นเท่าไหร่ มันก็จะกินอาณาเขตดินแดนใต้พิภพเรื่อยๆ
ดังนั้น การโต้กลับจึงเป็นเพียงแค่คำพูด และคนส่วนใหญ่ยังคิดว่าระดับจอมยุทธของดาวหยุนติ่งยังไม่เพียงพอที่จะบดขยี้ดินแดนใต้พิภพได้ มันเป็นเพียงแค่การพาตัวเองไปตายต่างถิ่น
สิบวันต่อมา กองทัพจันทราม่วง กองทัพเวหาแหวกว่าย กองทัพบัญญัตินิพพาน กลับไปยังฐานทัพของตัวเอง และกองกำลังทหารผสมก็ถูกยุบ ส่วนทหารกองหนุนก็ถูกส่งกลับไป ในที่สุดสงครามระหว่างสองดินแดนก็จบลง
จากนี้เป็นต้นไป ผู้คนบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงไม่เข้าใจเหตุผลอยู่ดี ว่าทำไมดินแดนใต้พิภพถึงก่อสงคราม ทำให้ทหารของทั้งสองฝ่ายจำนวนมากต้องตายไปอย่างไร้ค่า
และมีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นว่าทำไมถึงเกิดสงครามขึ้น บางทีมันอาจเป็นเพราะความขี้เล่นของสัตว์อสูรตัวนั้น และมาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์โดยบังเอิญ ถ้ามันไม่พบกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ แต่เจอกับหลิงฮันแทนล่ะก็…เขาอาจฆ่ามันไปทำอาหารไปแล้ว
หากเขาทำแบบนั้นไปจริง ดินแดนใต้พิภพจะต้องบ้าคลั่งอย่างแน่นอน และคงไม่แปลกที่ดาวหยุนติ่งจะถูกทำลายทั้งดวงดาว
เมื่อคิดเช่นนั้น หลิงฮันก็ถึงกับปาดเหงื่อ
ในฐานะที่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะเป็นทหาร นางจึงไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก และเหลือเวลาอีกแค่สองปีเท่านั้นก็จะถึงการชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดน ดังนั้นหลิงฮันจึงไม่รีบจากไปจากที่นี่และยังคงออกตะเวนค้นหาศิลาวิญญาณปฐพีในสนามรบสองดินแดนต่อ
อย่างไรก็ตาม จอมยุทธจากห้านิกายโบราณก็กลับมาตามล่าเขาอีกครั้ง
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สงครามระหว่างดินแดนศักดิ์สิทธิ์และดินแดนใต้พิภพทำให้เกิดความสูญเสียมหาศาล ทำให้ห้านิกายโบราณได้รับพบกระทบมากที่สุด เพราะเมื่อเกิดสงครามพวกเขาก็ต้องส่งจอมยุทธรดับสุริยันจันทราเกือบทั้งหมดเข้าร่วมสงคราม
เมื่อจำนวนคนที่ถูกมาเพิ่มขึ้น จำนวนคนตายก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
แต่หลิงฮันจะไม่สังหารอีกฝ่ายก็ไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายยังคงตามล่าเขาอย่างไม่หยุดหย่อน
เดิมทีห้านิกายกายโฐราณมีจอมยุทธระดับสุริยันจันทราเกือบสองพันคน แต่ตอนนี้เหลือแค่พันกว่าคนเท่านั้น พวกเขาส่วนใหญ่ตายไปเพราะสงครามครั้งก่อนและถูกหลิงฮันฆ่าตายไปจำนวนหนึ่ง
แล้วตอนนี้ห้านิกายโบราณได้ส่งปรมาจารย์มาหลายคน ซึ่งแต่ละคนต่างก็เป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดหรือแม้กระทั่งเป็นอัจฉริยะมากกว่าสองดาว ถึงจะมีอัจฉริยะไม่มาก แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้หลิงฮันเติบโตไปได้มากกว่านี้
เมื่อถูกตามล่า หลิงฮันก็เข้าไปแอบในหอคอยทมิฬอีกครั้ง
สามเดือนต่อมา หลิงฮันก็สามารถขัดเกลากายหยาบด้วยเพลิงนิรันดร์ได้อีกครั้ง
หลิงฮันกลั้นลมหายใจและกระโดดเข้าไปในเปลวเพลิง สามวันต่อมา คราวนี้ร่างกายของเขาเหมือนเป็นเด็กประมาณหนึ่งปี
“ก้าวหน้าเร็วมากมาก!” หอคอยน้อยกล่าวชมเชย ซึ่งหาได้ยากมากที่มันจะพูดดีแบบนี้
หลิงฮันยิ้ม เขากระหายความแข็งแกร่ง ด้วยแรงกดดันดังกล่าวมันทำให้เขาทำความเข้าใจเทคนิคคัมภีร์สวรรค์ได้เร็วมากยิ่งขึ้น และทำให้เขามีความก้าวหน้ากระบวนการเกิดใหม่จากเถ้าถ่าน
เขาหยิบเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งออกมาและเริ่มฝึกฝนใต้ต้นสังสารวัฎ
ครั้งนี้ เขาไม่มีแผนที่จะออกไปข้างนอกหอคอยทมิฬ ยังไงก็ตามห้านิกายโบราณก็ยังคงตามล่าเขาอยู่ ดังนั้นเขาจะต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเพื่อที่จะสามารถต่อกรกับปรมาจารย์ของห้านิกายโบราณได้
สามวันต่อมา หลังจากที่ดูดซับเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งเสร็จ หลิงฮันก็ทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นกลางชั้นสูง
หลังจากสะสมพลังมาเป็นเวลาหลายปี เขาก็อยากจะทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราขั้นสูง
ใต้ต้นสังสารวัฎ เวลาหนึ่งวันเท่ากับหนึ่งปี หลิงฮันฝึกฝนไปแล้วสี่สิบสามวัน เขาสะสัมพลังได้มากพอที่จะออกไปรับทัณฑ์สวรรค์ด้านนอกหอคอยทมิฬแล้ว
เปรี๊ยง!
หลิงฮันยกมือขวาขึ้นและเกิดเสียงฟ้าร้องที่น่าสะพรึงกลัว อักขระศักดิ์สิทธิ์บนฝ่ามือของเขากำลังส่องแสงสว่าง มันดูคล้ายกับลวดลายสายฟ้า แต่ถ้ามองให้จะเป็นอักขระหลายร้อยล้านล้านตัว
นี่คือเจตจำนงแห่งเต๋าที่ได้มาจากการสังเกตการณ์ทัณฑ์สวรรค์และก่อเป็นอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่มีเพียงแค่หลิงฮันเท่านั้นที่สามารถทำความเข้าใจมันได้ เพราะนี่คือความเข้าใจของเขาเอง
แม้แต่ตัวตนระดับเซียนก็ไม่สามารถทำความเข้าใจมันได้ มันเป็นของหลิงฮันเพียงคนเดียวเท่านั้น
ตอนที่ 1293
“ในที่สุดการพัฒนาของข้าก็เริ่มเป็นรูปธรรมเสียที!” หลิงฮันมีความสุข ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะสามารถใช้อำนาจสวรรค์จากการทำความความเข้าใจถึงหลักการของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ได้แต่ก็ยังไม่สามารถควบแน่นให้ก่อเกิดเป็นรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ ความเข้าใจในตอนนั้นของเขายังน้อยเกินไปทำให้ไม่สามารถนำอำนาจสวรรค์มาใช้ได้อย่างอิสระ
ด้วยพลังของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ แม้จะไม่สามารถเทียบกับอำนาจทั้งหมดของสวรรค์และปฐพีได้ แต่หากเทียบกับทักษะสายฟ้าอื่นๆแล้วมันทรงพลังกล้าไม่รู้กี่เท่า
“ต้องฝึกฝนยิ่งขึ้น ครั้งหน้าข้าต้องบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุด!”
หลิงฮันตั้งมั่นในใจ ตราบใดที่เขาบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดได้เขาจะสามารถกวาดล้างเหล่าปรมาจารย์ของห้านิกายโบราณได้ด้วยพลังต่อสู้ของตนเอง
เขาเริ่มขัดเกลาพลังบ่มเพาะต่อ
เขาบ่มเพาะพลังภายใต้ต้นสังสารวัฏอย่างน่าเบื่อก่อนจะเปลี่ยนไปฝึกฝนหลอมเม็ดยา ไม่ว่าอย่างไรเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับแปดก็จำเป็นต้องใช้เวลาหลอมที่ยาวนาน การหลอมครั้งนึงกินเวลาถึงครึ่งเดือน เมื่อเวลาผ่านไปสามเดือนเขาฝึกหลอมไปได้แค่ไม่กี่ครั้ง
หลิงฮันทำการขัดเกลากายหยาบด้วยเพลิงนิรันดร์อีกครั้งก่อนที่จะดูดซับเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียววันเวลาก็ผ่านไปหนึ่งปี
ในที่สุดหลิงฮันก็ยกระดับเป็นสุริยันจันทราขั้นสูงสุด
นั่นหมายถึงกายหยาบของเขาเลื่อนระดับเป็นแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับแปดหรือเก้าแล้ว พลังป้องกันเช่นนี้แทบจะทำให้เขาไร้เทียมทานในระดับสุริยันจันทรา ตอนนี้ร่างกายของเขาเติบโตกลายเป็นเด็ดอายุราวๆสี่ถึงห้าปีแล้ว ความเร็วที่ทำให้ร่างกายเติบโตได้เร็วเช่นนี้น่าตกตะลึงมาก
แม้แต่หอคอยน้อยก็ยังเอ่ยชมว่าต่อให้เจ้านายของหอคอยทมิฬคนก่อนก็ไม่สามารถทำได้ดีไปกว่าหลิงฮัน
แต่ไม่ว่าอย่างไรในที่สุดเขาก็บรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดแล้ว เหอๆ ในที่สุดก็ถึงเวลากดขี่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เสียที!
ภรรยาผู้โหดเหี้ยมของข้า คอยดูแล้วกัน!
หลังจากขัดเกลาระดับพลังให้มันคงแล้วหลิงฮันก็มุ่งหน้ากลับไปเมืองเขี้ยวหมาป่า เขานำศิลาวิญญาณปฐพีกับเม็ดยาที่หลอมขึ้นมามากมายไปขายและแลกเปลี่ยนเป็นแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์เพื่อยกระดับดาบอสูรนิรันดร์
เขาเคลื่อนไหวโดยไม่ปิดบังตัวตนแม้แต่น้อยทำให้ห้านิกายโบราณพบตัวเขาได้อย่างง่ายดาย ด้วยเครื่อข่ายของพวกเขาผ่านไปไม่นานเหล่าปรมาจารย์ก็รุดกันเข้ามาล้อมรอบตัวหลิงฮัน
“เจ้าหนู แม้พวกเราจะอยู่คนละฝ่าย แต่ข้าขอชื่นชมเจ้า!” ชายคนหนึ่งก้าวเดินออกมาพร้อมกับถือดาบเอาไว้ในมือ รอบกายของเขาปกคลุมไว้ด้วยเจตจำนงแห่งดาบที่น่าอัศจรรย์
เขาคือหนึ่งในตัวตนระดับยักษ์ใหญ่ของนิกายดาบสวรรค์ท ชื่อแซ่ของเขาคือหานเฟิง เขาบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดชั้นสูงสุดเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน ตัวเขาคืออัจฉริยะสี่ดาว แม้หลังจากนั้นเขาจะขัดเกลาพลังมากว่าล้านปีระดับพลังก็ไม่ก้าวหน้าแม้แต่น้อย มีเพียงพลังต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
มีคำกล่าวว่าคนที่สามารถต้านทานดาบของหานเฟิงได้ในระดับสุริยันจันทรา คนคนจะถือว่าเป็นปรมาจารย์ที่แท้จริงและมีพลังเพียงพอจะติดร้อยอันดับแรกของจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา!
แน่นอนว่าคำกล่าวนี้มันเกินจริงไปหน่อย เพราะอย่างไรก็ยังมีอัจฉริยะที่แท้จริงบางคนที่สามารถขัดเกลาพลังจนบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสมบูรณ์ได้
แม้แต่ปรมาจารย์ที่แท้จริงอย่างหายเฟิงยังถูกส่งตัวออกมาไล่ล่า ดูเหมือนว่าห้านิกายโบราณจะตั้งใจกำจัดหลิงฮันทิ้งอย่างแท้จริงแล้ว
ไม่เพียงแค่หานเฟิงคนเดียว ปรมาจารย์หลายคนที่ล้อมรอบหลิงฮันนั้น มีเฉียนอี่จากนิกายกระบี่ไร้เทียมทาน กงซือฉีฮวาจากนิกายนกอมตะเมฆา ซางกว่านเฉียวจากนิกายอัสนีคราม เที่ยอู๋หยาจากนิกายมังกรปฐพีอยู่ด้วย พวกเขาทั้งสี่มีพลังไม่ได้ด้อยไปกว่าหานเฟิงมากนัก
แต่ตอนนี้ตัวตนระดับสูงที่แข็งแกร่งเช่นนั้นต่างปรากฏตัวที่นี่ทุกคน
การที่หลิงฮันหายตัวไปเป็นเวลาทำให้ห้านิกายโบราณวิตกกังวลเป็นอย่างมาก พรสวรรค์ของเจ้าหนูนี่อัศจรรย์เกินจะบรรยาย ไม่มีใครรู้ว่าหากเขาหายตัวไปซักแปดหรือสิบปีแล้วปรากฏตัวอีกที หลิงฮันจะกลายเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดเลยรึเปล่า
“ขั้นสูงสุด!” ซางกว่านเฉียวขมวดคิ้ว แม้นางจะมีเป็นหญิงชราแล้ว แต่ริ้วรอยบนใบหน้าก็ไม่อาจทำให้ความงดงามบนใบหน้าของนางหายไปได้หมด เห็นได้ชัดว่าในอดีตวันวานนางเป็นสตรีที่งดงามขนาดไหน
คนของห้านิกายโบราณแสดงท่าทีตกตะลึงอย่างปิดบังไม่มิด พวกเขาต่างกังวลว่าหลังจากการหายตัวไปของหลิงฮัน อีกฝ่ายอาจจะบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดก็เป็นได้ ซึ่งสิ่งที่พวกเขาเป็นกังวลก็กลายเป็นจริงเสียแล้ว แถมระยะเวลายังสั้นเกินกว่าที่พวกเขาจะรับได้อีกด้วย!
เพียงแค่… สี่ปีเท่านั้น!
ในตอนที่พวกเขาเห็นหลิงฮันที่ค่ายพักในสนามรบ อีกฝ่ายยังมีพลังบ่มเพาะเพียงระดับสุริยันจันทราขั้นกลางชั้นปลายเท่านั้น
“ก็แล้วอย่างไร!” หานเฟิงกล่าวอย่างยิ่งยโส เขาเชื่อว่าดาบของตนเองนนั้นไร้เทียมทานที่สุด ไม่มีจอมยุทธระดับสุริยันจันทราคนใดที่ดาบของเขาไม่สามารถพิชิตได้
“ใช่แล้ว ครั้งนี้ไม่เพียงเราจะมาปรมาจารย์มาด้วยกันมากมาย แต่ยังนำอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์หลายชิ้นติดตัวมาด้วย ขนาดนี้พวกเราจะสังหารเขาไม่ได้เชียวรึ?” กงซือฉีฮวากล่าวอย่างเย็นชา นางเองก็เป็นสตรีที่งดงาม เพียงแต่ว่าตอนนี้นางเป็นเหมือนกับซางกว่านเฉียว บนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยริ้วรอยไม่หลงเหลือความเยาว์วัย
“ทุกคน ให้ข้าเป็นคนลงมือก่อน!” หานเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงฮึกเหิม
Anchor
ซางกว่านเฉียวและคนอื่นๆมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้า หานเฟิงถูกขนานนามว่าเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งของห้านิกายโบราณ พลังต่อสู้ของเขานั้นลึกล้ำเกินจะหยั่งถึง
หานเฟิงกำดาบก้าวเดินขึ้นหน้าพร้อมกับปลดปล่อยเจตจำนงแห่งดาบออกมา เจตจำนงเหล่านั้นผสานควบแน่นรวมตัวกัน ‘ครืนน’ เจตจำนงแห่งดาบของเขาแปรเปลี่ยนเป็นกงล้อแห่งดาบปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง ‘พรึบ พรึบ พรึบ’ หลังจากนั้นกงล้อแห่งดาบอันที่สอง สองที่สามก็ถูกควบแน่นขึ้นตามๆนั้นจนสุดท้ายก็มีกงล้อแห่งดาบปรากฏออกมานับพัน
“อั่ก!” จอมยุทธของห้านิกายโบราณหลายคนรอบข้างกระอักโลหิตออกมาทันที ต่อให้พวกเขาจะเป็นปรมาจารย์ระดับสุริยันจันทราเหมือนกัน แต่ก็ไม่สามารถต้านทานเจตจำนงแห่งดาบของหานเฟิงไหว
ฉายาปรมาจารย์อันดันหนึ่งแห่งห้านิกายโบราณของหายเฟิงไม่ได้มีไว้โอ้อวดเฉยๆ
หลิงฮันพาดมือไว้ด้านหลังอย่างไม่แยแส
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่าพลังต่อสู้ในตอนนี้ของเขานั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าอีกฝ่าย แค่กายหยาบของเขาเพียงอย่างเดียวเกรงว่าหานเฟิงคงไม่สามารถทำให้แม้แต่เส้นผมของเขาร่วงพื้น ถ้าหากอีกฝ่ายขัดเกลาพลังบ่มเพาะจะบรรลุขั้นสมบูรณ์หลิงฮันอาจจะแสดงท่าทีลำบากออกมาบ้าง เพราะอย่างไรขั้นสมบูรณ์ก็คือพลังที่เทียบเท่ากับระดับดารา
“ฮ่าๆๆ นั่นน้องชายหลิงไม่ใช่รึไง?” เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกับชายสวมชุดคลุมขาวเดินออกมาจากฝูงชน ใบหน้าของเขาถูกปิดเอาไว้ด้วยเศษผ้า แม้แต่ดวงตาทั้งสองข้างก็ถูกปิดเอาไว้อย่างมิดชิด
เมื่อเห็นชายคนนั้นเดินอย่างไม่สนใจโลก ผู้คนรอบข้างคงคิดว่าเขาเป็นพรรคพวกของห้านิกายโบราณ แต่ทันทีที่ทั้งคนของห้านิกายโบราณเห็นชายผู้นี้เดินใกล้เข้ามา พวกเขาก็หวาดกลัวจนเยี่ยวแทบราด เนื่องจากกลิ่นอายอันทรงพลังของอีกฝ่ายยิ่งใหญ่จนพวกเขาหายใจไม่ทั่วท้อง
ต่อหน้าอีกฝ่ายพวกเขารู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงมดปลวกตัวกระจ้อย
“พี่ชาย อู่เมี่ยน!” หลิงฮันหัวเราะ ดวงตาของเขากวาดมองอีกฝ่ายก่อนจะกล่าว “ยินดีกับพี่ชายอู่เมี่ยนด้วยที่ยกระดับพลังไปอีกขั้นแล้ว!”
อีกฝ่ายบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสมบูรณ์ชั้นสูงสุดเรียบร้อย!
ตอนที่ 1294
ที่จริงหลิงฮันไม่ได้มองเห็นพลังบ่มเพาะของอู่เมี่ยน
แต่ก่อนหน้านี้พลังบ่มเพาะของอีกฝ่ายคือขั้นสมบูรณ์ชั้นปลาย ตอนนี้เมื่ออู่เมี่ยนปรากฏตัวอีกครั้งและแข็งแกร่งขึ้นย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายยกระดับได้สำเร็จแล้ว
ปรมาจารย์ของห้านิกายโบราณทั้งตะลึงและโมโห เหตุใดถึงได้มีคนนอกเข้ามาแทรกได้? ดูเหมือนอีกฝ่ายยังเป็นสหายกับหลิงฮันแถมยังทรงพลังมากอีกด้วย!
อู่เมี่ยนยิ้มและกล่าว “การพูดคุยแลกเปลี่ยนกับน้องชายหลิงฮันทำให้วิสัยทัศน์ของข้ากว้างขึ้น! ฮ่าๆ น้องชายหลิงฮันมีเวลารึไม่ พวกเขาไปพูดคุยกันอีกเป็นอย่างไร?” เขาตื่นเต้นจนไม่เห็นคนของห้านิกาบโบราณอยู่ในสายตา
ที่จริงเขาก็มีคุณสมบัติจะทำเช่นนั้นเนื่องจากเขาบรรลุขั้นสมบูรณ์ขั้นสูงสุดแล้ว สถานะของเขาทัดเทียมกับตัวตนระดับดารา
แล้วตัวตนระดับดาราจะแยแสระดับสุริยันจันทราตัวจ้อยรึ?
หลิงฮันยิ้ม “พี่ชายอู่เมี่ยนรอสักครู่ ขอข้าสะสางกับคนเหล่านี้ก่อน!”
“ให้ข้าช่วยไหม?” ดวงตาของอู่เมี่ยนกวาดมองอย่างไม่สนใจ
“ไม่จำเป็น!” หลิงฮันส่ายหัว
“อืม” อู่เมี่ยนพยักหน้าก่อนจะเดินไปด้านข้างและนั่งลง
หานเฟิงและคนอื่นๆกลายเป็นเกรี้ยวกราด แต่ถึงอย่างไรพลังของอู่เมี่ยนนั้นก็ลึกลับจนไม่อาจมองเห็นได้ทะลุปุโปร่ง เพราะงั้นในเมื่ออีกฝ่านไม่คิดจะยื่นมือเข้ามาแทรกแซงก็อย่าไปยั่วยุจะดีกว่า
สิ่งที่พวกเขาต้องทำในตอนนี้คือจำจัดหลิงฮันทิ้งเพื่อลบล้างภัยพิบัติของห้านิกาย
“ตาย!” หานเฟิงเป็นฝ่ายลงมือก่อน เขายกดาบชี้ขึ้นฟ้า ‘พรึบ’ กงล้อดาบด้านหลังของเขาระเบิดออก เล่มดาบนับหมื่นพุ่งเข้าใส่หลิงฮันพร้อมกัน
อู่เมี่ยนพยักหน้า “พลังของชายคนนั้นไม่อ่อนแอเลย แม้พลังต่อสู้จะแค่สี่ดาว แต่วิถีแห่งดาบของเขาสูงส่งมาก หากเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราทั่วไปคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
ดาบนับพันกระหน่ำพุ่งใส่หลิงฮัน ดาบทุกๆเล่มผสานเอาไว้ด้วยอำนาจแห่งสุริยันจันทราขั้นสูงสุด แม้จะเป็นราชันเช่นอู่เมี่ยนก็คงเลือกที่จะป้องกันหรือหลบการโจมตีนี้แทนที่จะรับซึ่งๆหน้า
ฉายาปรมาจารย์อันดับหนึ่งไม่ได้มีไว้ประดับเฉยๆ
หลิงฮันยกมือขวาขึ้นก่อนจะกำหมัดต่อยออกไป
‘ปัง ปัง ปัง ปัง’ ดาบนับไม่ถ้วนปะทะกับหมัดของหลิงฮันก่อให้เกิดประกายสว่างจ้าราวกับเป็นดอกไม้ไฟลูกใหญ่ ร่างของหลิงฮันถูกพลักถอยหลังเล็กน้อย เมื่อดาบนับพันถูกบดขยี้เป็นเศษซากร่างของหลิงฮันก็ถอยไปร้อยก้าว
แต่หมัดของเขาหรือผิวพนังไม่ปรากฏรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย
อะไรกัน!
คนของห้านิกายโบรารอ้าปากค้าง ในด้านของพลังโจมตี วิถีดาบเรียกได้ว่าทรงพลังที่สุด ในหมู่พวกเขาหานเฟิงเองก็เป็นปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นกัน
แต่ถึงอย่างนั้นการโจมตีสุดกำลังของหานเฟิงกลับถูกหลิงฮันป้องกันเอาไว้ได้อย่างไม่ยากเย็น เรื่องนี้ทำให้พวกเขาทุกคนตะลึงจนไร้คำบรรยาย
ฝืนสวรรค์! เจ้าหนูจากโลกใบเล็กคนนี้ฝืนสวรรค์เกินไป!
หลิงฮันบิดตัวและยิ้ม “อืม ถือว่าเป็นการโจมตีที่รุนแรงเล็กน้อย พอจะทำให้เขาเจ็บๆได้บ้าง”
พอจะทำให้เจ็บได้บ้าง?!
คนของห้านิกายโบราณไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ดาบของหานเฟิงทำให้หลิงฮันรู้สึกเจ็บ… แต่ไม่สามารถทำให้เกิดบาดแผล
อู่เมี่ยนปรบมือและยิ้ม “ที่แท้กายหยาบของน้องชายหลิงฮันก็มีระดับเหนือกว่าระดับพลังบ่มเพาะ! เกรงว่าหากจะทำลายการป้องกันของน้องหลิงฮันข้าคงต้องโจมตีด้วยพลังทั้งหมด”
ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนสี ดาบของหานเฟิงไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้กับผิวหนังของหลิงฮันแม้แต่รอยเดียว แต่คนคนนี้กลับกล่าวว่าตนเองสามารถทำลายการป้องกันของหลิงฮันได้ นี่เขาโอ้อวดหรือว่าพูดจริงกันแน่?
ถ้าที่อีกฝ่ายกล่าวเป็นความจริงก็น่าสะพรึงกลัวมาก ที่เขานั่งดูข้างก็อาจจะเพราะเตรียมตัวเข้าช่วยหลิงฮัน!
“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ลงมือหรอก” อู่เมี่ยนหัวเราะ “แค่ขยะพวกเจ้า น้องชายหลิงฮันสามารถจัดการด้วยตัวเองได้อยู่แล้ว”
ฮึ่ม!
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งห้าคนเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที ถ้าไม่ใช่เพาะหวั่นเกรงต่อพลังของอีกฝ่าย พวกเขาคนมีสักคนที่ลงมือแล้ว
หานเฟิงสูดหายใจและกล่าว “ข้าไม่เคยเลื่อมใสใครมาก่อน แต่สำหรับเจ้า ถึงแม้เจ้าจะเป็นคนที่ถูกข้าคนนี้บดขยี้ ข้าก็จะให้เกียร์ติเจ้าโดยการเขียนคำสรรเสริญให้เจ้า! เจ้ามาถึงจุดนี้หลังจากเปิดสวรรค์เพียงสิบปี แถมยังมีพลังต่อสู้เช่นนั้นอีก ข้าขอยอมรับว่าเจ้าน่าอัศจรรย์มาก!”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรปลอมๆเช่นนั้น” หลิงฮันกล่าวอย่างเย็นชา “พลังต่อสู้ของข้านั้นได้มาจากการฝึกฝนของตัวข้าเอง แล้วพวกเจ้าล่ะ? เกรงว่าเม็ดยาที่หลอมจากโลกของข้าคงถูกพวกเจ้ากินเข้าไปกว่าครึ่ง? สุนัขเฒ่า ข้าจะตัดหัวเจ้าเพื่อเป็นการไว้ทุกข์ให้กับสิ่งมีชีวิตนับพันล้านที่ตายไป!”
“หืม?” อู่เมี่ยนเค้นเสียงเย็นชาและจ้องมองไปยังหานเฟิง
เห็นได้ชัดว่าเขารู้ว่าเม็ดยาที่หลอมจากโลกหมายถึงอะไร
จิตสังหารของหานเฟิงปะทุ “สำหรับคนใกล้ตายเช่นเจ้านับว่าพูดมากจริงๆ!” คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ‘พรึบ’ ดาบสี่เล่มปรากฏออกมาจากระหว่างคิ้วของหานเฟิง ดาบเหล่านั้นปลดปล่อยออร่าอันทรงพลังที่ไม่ได้ไปกว่าตัวเขาเลย
อุปกรณ์กรณ์มิติที่ผสานเข้ากับพลังบ่มเพาะ!
เช่นนั้นแล้วดาบที่เขาถืออยู่คงเป็นอุปกรณ์ศักดิ์ทั่วไป ไม่ใช่ดาบที่ผสานเข้ากับพลังบ่มเพาะ
ที่จริงแล้วการผสานพลังบ่มเพาะดับอุปกรณ์ศักดิ์นั้นช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ก็จริง แต่เจตจำนงของคนคนนั้นจะอ่อนแอลงเนื่องจากต้องแบ่งพลังสุริยันจันทราออกเป็นส่วนๆ เพียงแต่ว่าทั้งๆที่หานเฟิงผสานพลังเข้ากับอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ถึงสี่ชิ้น แต่เจตจำนงของเขากลับไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย
นี่คงเป็นเพราะเม็ดยาที่หลอมจากสิ่งมีชีวิตนับล้าน!
“เจ้าตัวบัดซบ!” หลิงฮันคำรามพร้อมกับปล่อยหมัดใส่หานเฟิง ‘ครืนน’ เขาโคจรอำนาจสวรรค์ปลดปล่อยกลิ่นอายของผู้อยู่บนจุดสูงสุดของโลก
กลิ่นอายนี้ไม่ใช่ราชาแต่เป็นตัวตนที่เหนือกว่า
ต่อให้เป็นราชันก็ต้องแหงนมองท้องฟ้า แต่หลิงฮันคือตัวแทนที่ยืนข้างเจตจำนงแห่งสวรรค์และปฐพี!
พลังต่อสู้ของหานเฟิงลดลงทันที
ก่อนนี้อำนาจสวรรค์ของหลิงฮันสมควรลดพลังต่อสู้ของศัตรูได้หนึ่งดาว แต่เมื่อการรู้แจ้งในอำนาจสวรรค์ของเขายกระดับขึ้น พลังต่อสู้ของศัตรูจึงถูกลดลงสองดาว
ระดับพลังของพวกเขาห่างกันสามชั้นย่อย หานเฟิงเป็นอัจฉริยะสี่ดาว ด้วยเม็ดยาที่หลอมจะสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนทำให้พลังต่อสู้ที่แท้จริงของเขาคือราวๆห้าดาว หลิงฮันที่เป็นอัจฉริยะหกดาวนั้นหากหักลบกับความต่างระดับพลังสามชั้นย่อย พลังต่อสู้ของเขาจึงต่างกับอีกฝ่ายสองดาว
แต่เมื่ออำนาจสวรรค์ถูกใช้ ความต่างสองดาวนั่นก็หายไป
การต่อสู้นี้ทั้งสองคนมีพลังต่อสู้ทัดเทียมกัน!
หลิงฮันคำรามราวกับฟ้าผ่าในขณะที่ปล่อยหมัดเข้าใส่หานเฟิง หมัดของเขาปกคลุมไปด้วยสายฟ้าที่น่าสะพรึงกลัว
ปัง ปัง ปัง ปัง
หลิงฮันใช้หมัดเปล่าปะทะกับดาบทั้งสี่เล่มของหานเฟิง พลังของปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของห้านิกายโบราณนั้นเกือบจะทัดเทียมกัน พวกเขาแต่ละคนสามารถจัดการจอมยุทธระดับสุริยันจันทราทุกคนได้อย่างไม่ยากเย็น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงฮัน หานเฟิงกลับไม่มีท่าทีว่าจะได้เปรียบแม้แต่น้อย
คนของห้านิกายโบราณอ้าปากค้าง หานเฟิงที่เป็นปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของห้านิกายโบราณไม่สามารถเอาชนะจอมยุทธที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่ระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดได้?
ร่างของทั้งห้าคนสั่นสะท้าน หรือว่าห้านิกายโบราณที่ตั้งรากฐานมาหลายล้านปีจนนับไม่ถ้วนจะมีโชคชะตาถูกทำลายด้วยมือของหลิงฮันจริงๆ?
ตอนที่ 1295
หลิงฮันที่เกรี้ยวกราดและบ้าคลั่งเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อหมื่นปีก่อนที่ทุกคนที่เขารู้จักต้องถูกใช้เป็นวัตถุดิบในการหลอมเป็นเม็ดยา
และบุคคลตรงหน้าเขานี้คือหนึ่งในตัวการที่มีส่วนร่วมในแผนการนั้น!
ฆ่า!
รูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ปะทุออกมาจากร่างของเขา เจตจำนงแห่งยุทธโคจรกรไปทั่วร่างระเบิดอำนาจอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา
หานเฟิงตะลึง
พลังต่อสู้ของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าหลิงฮัน แต่เจ้าหนูนี่เป็นสัตว์ประหลาดที่แท้จริง ดาบของเขาไม่สามารถสร้างบาดแผลใดๆให้กับอีกฝ่ายได้เลย อย่างมากก็ทำได้ก็แค่ฟันเสื้อผ้าให้ขาดเป็นชิ้นๆ
จะเอาอย่างไรต่อดี?
ปราณก่อเกิดของเขามีจำกัด ต่อหน้ากายหยาบที่ไร้เทียมทานของอีกฝ่ายทำให้รู้สึกหวาดกลัว
“โจมตีพร้อมกัน!” พวกซางกว่านเฉียวสี่คนไม่ลังเล สถานการณ์เช่นนี้ใครจะไปสนว่าต้องเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัว พวกเขานำอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ออกมาและพุ่งเข้าจู่โจม
“น้องชายหลิง?” อู่เมี่ยนเอ่ยถาม
“ไม่จำเป็น ข้าจัดการได้!” หลิงฮันกล่าวอย่างมั่นใจ
“เจ้าเด็กน้อย ไปลงนรกซะ!” ด้านหลังของกงซือฉีฮวาปรากฏปีกนกอมตะขนาดใหญ่สองร้อยฟุต หากมองให้ดีๆจะพบว่าสีของปีกนั้นมีทั้งเข้มและอ่อนไม่สม่ำเสมอกันเนื่องจากเปลวเพลิงของนางไม่บริสุทธิ์พอ
ดูเหมือนว่าสายเลือดของนางจะด้อยกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์มากนัก
“คำพูดนั้นควรเป็นของข้า!” หลิงฮันคำรามและปลดปล่อยพลังต่อสู้ทั้งหมด
เงาของมังกรที่แท้จริงทั้งเก้าโอบรอบไปทั่วร่างกายของเขา กายหยาบและพลังปราณในร่างผสานรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ หลิงฮันในตอนนี้สามารถปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังออกไปได้โดยไม่ต้องใช้ทักษะยุทธใดๆ!
แม้รูปแบบการต่อสู้เช่นนี้จะเรียบง่ายและหยาบกระด้างแต่ก็ทรงพลัง
‘ปัง ปัง ปัง ปัง’ ปรมาจารย์ของห้านิกายโบราณที่ร่วมมือกันกระหน่ำโจมตี แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ถูกหลิงฮันกำราบจนต้องกระโดดล่าถอย
กายหยาบของหลิงฮันไร้เทียมทานทั้งในด้านโจมตีและป้องกัน พลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป!
ตูม!
หลิงฮันปล่อยหมัดใส่หน้าเที่ยอู๋หยา ครึ่งหน้าของอีกฝ่ายถูกกระแทกจนบอบช้ำ แม้แต่จิตวิญญาณก็ได้รับผลกระทบ
เที่ยอู๋หยาไม่กล้าตอบโต้ซึ่งๆหน้า เขาล่าถอยอย่างต่อเนื่องเพื่อเว้นระยะห่าง
แต่หลิงฮันจะยอมให้เขาทำเช่นนั้น?
“ทุกคนรีบนำอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ออกมา” หานเฟินตะโกนอย่างร้อนรน
ที่บริเวณด้านข้างมีศิษย์ของห้านิกายยืนอยู่นิกายละสิบคน แต่ละนิกายนำอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ออกมา หนึ่งดาบ หนึ่งกระบี่ หนึ่งกระจก หนึ่งปิ่นปักผม หนึ่งใบมีด
‘ครืนนน’ อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าดูดซับพลังปราณจำนวนมหาศาลของศิษย์ทั้งห้าสิบคนเข้าไป พวกเขาทั้งห้าสิบทรุดลงกับพื้นทันที แต่ละคนมีใบหน้าซีดขาวราวกับเจ็บป่วย ในขณะเดียวกัน อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าได้ฟื้นสภาพและปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวออกมา
อู่เมี่ยนแสดงท่าทีตะลึงและกล่าว “น้องหลิง พลังของอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้านั่นแฝงไว้ด้วยพลังของระดับสุริยันจันทราขั้นสมบูรณ์ชั้นกลางเป็นอย่างน้อย เจ้าแน่ใจว่าไม่ต้องการให้ข้าช่วย?”
ถ้าเขาลงมือคงสามารถจัดการอาวุธเหล่านั้นได้ไม่ยากเย็น แต่ไม่รู้ว่าหลิงฮันจะต้องการรึไม่
“ไม่จำเป็น!” หลิงฮันกล่าว เขามั่นใจในกายหยาบของตนเอง ยิ่งกว่านั้นเขาก็ยังมีคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ต่อให้กายกายหยาบจะได้รับบาดเจ็บเขาก็สามารถฟื้นฟูบาดแผลได้ทันที
พลังป้องกันอันไร้เทียมทานว่าน่าสะพรึงกลัวแล้ว แต่พลังป้องกันอันไร้เทียมทานที่ผสานกับพลังฟื้นฟูที่ฝืนสวรรค์นั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า
ตูม!
อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าปลดปล่อยการโจมตีออกมา มันไม่ใช่เพียงอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับแปดแต่เหนือกว่านั้นแน่นอนเนื่องจากไม่รู้ว่าพวกมันถูกห้านิกายโบราณหลอมขัดเกลามาแล้วกี่แสนกี่ล้านปี
พลังทำลายของพวกมันเกรงว่าจะเทียบเท่าปรมาจารย์ระดับสุริยันจันทราขั้นกลางถึงห้าคน
ที่น่าหวาดหวั่นก็คืออุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้รับผลกระทบของอำนาจสวรรค์ หลิงอันพยักหน้าในใจ เขาคิดถูกแล้วที่ไม่พลีผลามบุกไปยังห้านิกายโบราณ
เขานำดาบอสูรนิรันดร์ออกมา ปราณดาบปะทุขึ้นสูงเสียดฟ้าพร้อมอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองฝ่ายได้เข้าปะทะกัน
ระดับของดาบวารีนิรันดร์นั้นยังไม่สูงมาก แต่ด้วยการมีมันผ่านการขัดเกลาด้วยทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์มาด้วยกันกับหลิงฮันทำให้พลังของมันสูงกว่าระดับของตัวมันเอง และด้วยการที่รากฐานของมันคือแร่โลหะนิรันดร์ พลังของมันจึงไม่แพ้อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับแปดแน่นอน ไม่เช่นนั้นแล้วมันคงไม่สามารถดึงดูดสายตาของอู่เมี่ยนได้ตั้งแต่แรกเห็น
ปราณดาบสั่นสะท้านทันทีที่หลิงฮันโจมตีโต้ตอบ แต่เนื่องจากการโจมตีที่พุ่งเข้ามาเปรียบเสมือนการโจมตีจากปรมาจารย์ระดับสุริยันจันทราขั้นสมบูรณ์ทั้งห้า หลิงฮันจึงถูกสะกดให้ล่าถอยไม่สามารถไล่ตามเที่ยอู๋หยาได้อีกต่อไป
ถึงแม้ตอนนี้หลิงฮันจะถูกสะกดเอาไว้ได้ แต่คนของห้านนิกายก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี
หลิงฮันไม่เหมือนกับอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้านี้ เขายังมีช่องว่างให้พัฒนาต่อไปได้อีก อย่างน้อยเขาก็สามารถยกระดับพลังของตนเองได้อีกสามชั้นย่อยซึ่งก็คือระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดชั้นสูงสุด
ประเด็นก็ถือใครจะไปรับประกันได้ว่าหลิงฮันจะไม่บรรลุระดับดารา?
หากเป็นเช่นนั้น ห้านิกายโบราณคงทำได้เพียงรอคอยความพินาศ!
“ใช้ทุกอย่างที่มี พวกเราต้องกำจัดเจ้าหนูนั่นให้ได้!” หานเฟิงคำราม หากพลาดโอกาศนี้ไปเกรงว่าคงไม่มีครั้งต่อไปแล้ว
“รวมพลังกันปกป้องนิกาย!”
ปรมาจารย์ทั้งห้าไม่โจมตีเนื่องจากรู้ตัวว่าพลังของตนเองเทียบกับอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าไม่ได้ พวกเขาเลือกที่จะควบคุมอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำให้พวกมันโจมตีได้แม่นยำยิ่งขึ้น
เพื่อที่จะทำให้อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าทรงพลัง พวกเขาต้องสูญเสียไปมากมาย ก่อนหน้านี้ศิษย์ทั้งห้าสิบคาก็ถูกดูดพลังปราณไปจนเกลี้ยง ตอนนี้ทุกคนตกอยู่ในสภาพไร้เรี่ยวแรง
หากต้องการกำจัดหลิงฮัน อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าจะต้องถูกกระตุ้นพลังอย่างเต็มที่
อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้านั้นไม่สามารถคงสภาพพลังเอาไว้ได้นานเนื่องจากห้านิกายโบราณได้รับสืบทอดพวกมันมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว รูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์บางส่วนเลือนรางหายไป แม้มันจะมีพลังอำนาจเหลืออยู่แต่ก็ไม่อาจเทียบกับยุคสมัยก่อน
“ทุกคนจงมอบพลังชีวิตเข้าไปให้หมด!” หานเฟิงกล่าวให้ศิษย์ของห้านิกายทุกคนส่งพลังชีวิตเข้าไปในอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าเพื่อคงสภาพพลังของพวกมันเอาไว้
พลังของศิษย์ทุกคนมีจำกัด หลังจากถูกดูดไปก่อนหน้านี้พลังของพวกเขาก็ยังไม่ฟื้นฟูกลับมาแล้วจะส่งพลังเพิ่มเข้าไปอีกได้อย่างไร? ถ้าหากพลังปราณไม่เหลือก็ต้องใช้พลังชีวิตทดแทน!
ครั้งนี้ศิษย์ของนิกายทั้งห้าไม่เพียงใบหน้าซีดเผือด พลังชีวิตของพวกเขาได้ถูกดูดไปจนแทบไม่เหลือทำให้ส่งผลต่อรากฐานพลังบ่มเพาะและการพัฒนาในอนาคต!
ถ้าไม่ใช่เพราะเข้าตาจน หานเฟิงไม่มีทางเลือกวิธีนี้แน่ แต่ใครใช้ให้หลิงฮันน่าสะพรึงกลัวเกินไปกันล่ะ? หากไม่สังหารอีกฝ่ายในตอนนี้ ห้านิกายโบราณคงมีโชคชะตาที่ต้องล่มสลาย
ดังนั้นต่อให้ต้องสูญเสียศิษย์ไปมากกว่าร้อยคนที่นี่ พวกเขาก็ต้องกำจัดภัยพิบัติตรงหน้าทิ้งให้ได้
ภายใต้แรงกดดันของอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้า หลิงฮันได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ไม่เพียงร่างของเขาจะชโลมไปด้วยโลหิต แต่กระดูกของเขายังเกิดรอยแตกร้าวหลายส่วน เพราะอย่างไรกายหยาบของเขาก็ยังยกระดับไปไม่ถึงแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้า
ปรมาจารย์ทั้งห้าเผยรอยยิ้มออกมา หลังจากสูญเสียไปมากมาย ในที่สุดพวกเขาก็จะกำจัดศัตรูตรงหน้าได้เสียที
ตอนที่ 1296
อู่เมี่ยนประหลาดใจ เหตุใดหลิงฮันถึงยังไม่ขอความช่วยเหลืออีก?
หากปล่อยไว้เช่นนี้อีกไม่กี่ลมหายใจ หลิงฮันจะต้องตายแน่นอน!
เหล่าคนของห้านิกายโบราณถอนหายใจโล่งอก พวกเขายอมเสียพลังชีวิตไปกว่าหมื่นปีก็เพื่อผลลัพธ์เช่นนี้
ไปลงนรกซะ!
ครืนนน!
อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์พุ่งลงจากท้องฟ้าด้วยพลังทำลายระดับสุริยันจันทราขั้นสมบูรณ์ชั้นกลางที่น่าสะพรึงกลัว อำนาจของพวกมันพัวพันกันและโจมตีใส่หลิงฮัน
“จบแล้ว!”
“ในที่สุดก็กำจัดได้เสียที!”
“ห้านิกายจงเจริญ!”
ศิษย์ของห้านิกายโบราณส่งเสียงโห่ดีใจ ตั้งแต่วันนี้ไปพวกเขาจะได้นอนหลับสนิทเสียที
อู่เมี่ยนมีสีหน้ามืดหม่นไปชั่วครู่ก่อนจะเผยรอยยิ้ม สัมผัสสวรรค์ของเขาเฉียบแหลมมากจึงรับรู้การเปลี่ยนแปลงหลังจากที่อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์โจมตี
หายเฟิงและปรมาจารย์คนอื่นๆโล่งใจ พวกเขากล่าวให้ศิษย์ของนิกายทั้งห้ามารวมกลุ่มกับเพื่อเตรียมตัวกลับนิกาย
แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวินาทีต่อมาได้ทำให้คนของห้านิกายตกอยู่ในความสิ้นหวัง
หลิงฮันยังคงยืนอยู่จุดเดิม ไม่เพียงแต่ร่างของเขาไม่ถูกบดขยี้เป็นเศษเนื้อ แต่บาดแผลรอบตัวกลับหายเป็นปลิดทิ้งราวกับไม่เคยมีบาดแผลใดๆ
นี่มันเป็นไปได้อย่างไร!
ไม่ใช่แค่คนของห้านิกายที่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่อู่เมี่ยนเองก็ตกตะลึงมากเช่นกัน ถึงแม้สัมผัสสวรรค์ของเขาจะพบว่าหลิงฮันยังไม่ตาย แต่เขาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีสภาพไร้รอยขีดข่วนเช่นนี้ได้อย่างไร
มีความเป็นไปได้อย่างเดียวคือความสามารถในการฟื้นฟูของหลิงฮันนั้นอัศจรรย์จนสามารถฟื้นฟูบาดแผลให้หายเป็นปลิดทิ้ง สภาพร่างกายจึงกลับสู่สภาพที่สมบูรณ์ที่สุด
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลิงฮันได้ใช้หยดวารีนิรันดร์ฟื้นฟูบาดแผลจนกลับเป็นปกติ
เขายิ้มและกล่าว “โจมตีต่อสิ จะเกรงเพื่ออะไร?”
ใครเกรงใจเจ้ากัน!
ศิษย์ของห้านิกายโบราณโอดครวญ พวกเขายอมเสียอายุไปกว่าหมื่นปีเพื่อคงสภาพของอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าเอาไว้ นี่พวกเขาต้องเสียอายุขัยหมื่นปีไปเปล่างั้นรึ?
ต้องรู้ก่อนว่าต่อให้เป็นระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดก็มีอายุขัยเพียงสี่ล้านปีเท่านั้น แต่เหล่าศิษย์ส่วนยังนั้นมีระดับพลังเพียงขั้นต้น อายุขัยของพวกเขาอย่างมากคือหนึ่งล้านปี เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะทนได้อย่างไรหากต้องเสียอายุขัยไปเปล่าๆ?
“ใส่พลังชีวิตเข้าไปในอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ต่อ พวกเราต้องกำจัดเจ้าหนูนั่นให้ได้!” เที่ยอู๋หยาตะโกน หลังจากเวลาผ่านไปซักพัก พลังต่อสู้ของเขาก็ฟื้นฟูกลับมาบ้างแล้ว อย่างน้อยก็สามารถควบคุมอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ได้
คนของห้านิกายโบราณคร่ำครวญในใจ พวกเจ้าทั้งห้าแค่ควบคุมอุปกร์ศักดิ์สิทธิ์ คนที่ต้องศูญเสียอายุขัยคือพวกข้า!
ทำไมพวกเขาต้องทำตามที่ทั้งห้าคนสั่งอย่างเอาเป็นเอาตายด้วย?
แต่ตอนนี้… ตราบใดที่หลิงฮันไม่ตาย พวกเขาก็ต้องตายแทน หากเป็นแบบนั้นพวกเขาขอเลือกเสียอายุขัยบางส่วนดีกว่า อย่างน้อยก็ดีกว่ารอคอยความตายไม่ใช่รึไง?
สู้จนตัวตาย!
ศิษย์ของห้านิกายส่งพลังให้กับอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง เมื่อปราณก่อเกิดไม่เพียงพอ พลังชีวิตจะถูกดูดเข้าไปแทน
‘ครืนนน’ อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าส่องประกายและปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวอีกครั้ง
หลิงฮันเค้นเสียงกล่าว “ต่อให้โจมตีข้าเป็นร้อยครั้งก็ไม่มีประโยชน์ วันนี้คือวันที่ข้าจะทวงคือความยุติธรรมให้กับทวีปฮงเทียน!”
“คนโง่ที่พูดแต่เรื่องเพ้อฝัน!” หานเฟิงและคนอื่นๆแสยะยิ้ม ตราบใดที่อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้ายังสามารถใช้งานได้ หลิงฮันก็มีแต่จะถูกกำจัด พวกเขาไม่เชื่อว่าหลิงฮันจะฟื้นฟูบาดแผลได้อย่างไร้จำกัด
อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าโจมตีหลิงฮันอีกครั้ง ครั้งนี้หลิงฮันโคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์เอาไว้ล่วงหน้า หากมีบาดแผลเกิดขึ้นกับร่างเขาแม้แต่เล็กน้อย บาดแผลนั้นจะฟื้นสภาพทันที ต่อให้เป็นบาดแผลที่สาหัสก็จะกลายเป็นบาดแผลที่เล็กๆน้อยพร้อมกับจะถูกรักษาอย่างรวดเร็ว
หลังจากรู้แจ้งถึงความลึกล้ำของกำเนิดใหม่จากเถ้าถ่าน พลังฟื้นฟูของเขาก็น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิม
และนี่ยังไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริงของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์
คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ไม่เพียงทำสามารถฟื้นฟูบาดแผลได้อย่างมีประสิทธิภาพแต่ยังช่วยเสริมกายหยาบของเขาให้แข็งแกร่งด้วย จากที่หอคอยน้อยบอกเขา หากเข้าใจหลักการของสัตว์อสูรต้นกำเนิดพิภพที่เป็นต้นแบบของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ได้ ในขณะที่โคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์แม้ตัวเขาจะเป็นจอมยุทธระดับดาราก็สามารถรับการโจมตีจากตัวตนระดับเซียนได้
แต่แน่นอนว่าหลังจากรับการโจมตีขนาดนั้นครั้งนึงแล้ว หลิงฮันจะไม่สามารถโคจรคัมภีร์สวรรค์ได้ไปอีกสักพัก
แต่เท่านั้นก็น่าสะพรึงกลัวมากแล้ว จอมยุทธระดับดาราที่ป้องกันการโจมตีของเซียนได้ เรื่องเช่นนี้มันเหนือสามัญอย่างสิ้นเชิง!
แต่การจะทำความเข้าใจส่วนนั้นของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ หลิงฮันจำเป็นต้องบรรลุระดับดาราเสียก่อน เมื่อนั้นหอคอยทมิฬชั้นที่ห้าจะเปิดออกและ ธาตุทั้งห้าในหอคอยทมิฬจะถูกเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์และจะสามารถจำลองสภาพแวดล้อมแห่งเซียนได้
ปัง ปัง ปัง!
อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้ากระหน่ำโจมตีราวกับห่าฝนเพื่อสังหารหลิงฮัน ภายใต้พลังฟื้นฟูของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างเจิดจ้าสีทองราวกับเป็นเทพสงคราม
หลิงฮันมีท่าทีผ่อนคลายในขณะที่คนของห้านิกายโบราณพยายามเผาผลาญพลังชีวิตของตนเองเพื่อเพิ่มพลังให้อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าปลดปล่อยพลังโจมตีที่รุนแรงที่สุดออกมา หากไม่ผลาญพลังชีวิตอย่างต่อเนื่องพลังของอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์จะลดลงและไม่สามารถกำจัดหลิงฮันได้
หลิงฮันแสยะยิ้ม สิ่งมีชีวิตมากมายหลายยุคสมัยของทวีปฮงเทียนถูกขโมยชีวิตไปหลอมเป็นเม็ดยาเพื่อคนเหล่านี้ ดังนั้งแล้วเขาจึงอยากจะให้คนเหล่านี้รู้สึกถึงความรู้สึกเช่นนั้นบ้าง
การกระหน่ำโมตียังคงดำเนินต่อไป ในสายตาของคนของห้านิกายโบราณ การต่อสู้ครั้งนี้ดุเดือดเป็นอย่างมาก ตราบใดที่พวกเขาประมาทแม้แต่นิดเดียว หลิงฮันจะหลบหนีการโจมตีไปได้ สภาพของพวกเขาในตอนนี้ค่อยๆอ่อนแรงลงเรื่อยๆ
พวกเขาแต่ละคนมีพลังชีวิตจำกัด แต่อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้ากลับดูดพลังชีวิตของพวกเขาอย่างละโมภโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกคือปรมาจารย์ทั้งห้าต่างหากที่เป็นคนออกคำสั่งไม่ให้พวกเขาหยุด
ในสายตาหานเฟิงและปรมาจารย์คนอื่นๆ ไม่ว่าใครพวกเขาก็ยอมสละทิ้งได้หมด ตราบใดที่สามารถกำจัดหลิงฮัน แค่ศิษย์ระดับสุริยันจันทราไม่กี่ร้อยคนจะนับเป็นอันใดได้?
แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องผิดหวัง
หลิงฮันโคจรหยดวารีนิรันดร์ ถึงแม้ประสิทธิภาพจะไม่ดีเท่าครั้งแรก แต่ก็ช่วยรักษาบาดแผลได้ดีเยี่ยม
หานเฟิงและคนอื่นๆไร้สิ้นหนทาง ตอนนี้คนของพวกเขากว่าร้อยคนถูกดูดพลังชีวิตจนแห้งเหือด แต่เหตุใดเจ้าหนูนั่นยังคงอื่นนิ่งโดยไร้บาดแผล แบบนี้พวกเขาจะไปสู้ได้อย่างไร?
“ถอย!” พวกเขากล่าวอย่างหมดหวัง
คนของห้านิกายไม่เหลือพลังชีวิตส่งให้กับอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าแล้ว ต่อให้สู้ต่อไปก็ไร้ความหมาย พวกเขาต้องรีบออกจากที่นี่
“คิดหนี?” หลิงฮันยิ้ม “พวกเจ้าโจมตีข้าเสียนาน คราวนี้ถึงทีข้าบ้าง!”
หลิงฮันลงมือหวัดแกว่งดาบ ปราณดาบทะยานทั่วท้องฟ้า ภายในพริบตาศิษย์นับสิบของห้านิกายโบราณก็ถูกสังหาร ที่จริงต่อให้หลิงฮันไม่ลงมือ คนเหล่านี้ก็มีชีวิตต่อไปได้อีกไม่กี่วันอยู่ดี
หานเฟิงและปรมาจารย์คนอื่นล่าถอย ด้วยพลังต่อสู้ของพวกเขา ถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากอำนาจสวรรค์ก็ยังพอต่อสู้ได้ทัดเทียมหลิงฮัน เพียงแต่ว่าหากปะทะกันระยะยาวสุดท้ายแล้วหลิงฮันจะเป็นฝ่ายชนะด้วยกายหยาบที่ไร้เทียมทาน เพราะงั้นแล้วตอนนี้พวกเขาจึงต้องหลบหนีหลิงฮันอย่างไม่มีทางเลือก
ที่จริงหลิงฮันสามารถไล่ตามพวกเขาทันด้วยทักษะย่างก้าวไล่ตามดารา แต่หลังจากไล่ตามทันแล้วทั้งห้าคนคงร่วมมือกันจนการสังหารทั้งห้าเป็นเรื่องลำบาก
เช่นนั้นแล้ว เขาจึงตัดสินใจว่าเอาไว้ตอนที่บุกห้านิกายค่อยไปชำระหนี้แค้นทีเดียว
ตอนที่ 1297
“น้องชายหลิง เจ้าเป็นคนที่น่าทึ่งมาก!” อู๋เมี่ยนพูดด้วยความจริงใจ “ถ้าข้าระดับพลังของข้าอยู่ในระดับเดียวกับเจ้า ข้าคงไม่ใช่คู่มือของเจ้า”
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้างั้นข้าจะพยายามฝึกฝนให้หนัก เพื่อที่จะได้ต่อสู้ในระดับพลังเดียวกับพี่ชายอู่เมี่ยนให้เร็วที่สุด”
ถึงหลิงฮันจะพูดแบบนั้น แต่อู๋เมี่ยนก็ไม่คิดว่าหลิงฮันพูดเกินจริง ยิ่งระดับบ่มเพาะพลังต่ำเท่าไหร่ ก็จะใช้เวลาฝึกฝนน้อยเท่านั้น แต่หลังจากที่ทะลวงผ่านระดับดารา การทะลวงผ่านแต่ละขั้นใช้เวลาเป็นล้านปี แม้เวลาหนึ่งล้านปีจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเขาก็ตาม
แต่แน่นอนว่าอัจฉริยริยะอย่างพวกเขาไม่ควรใช้เวลาฝึกฝนเป็นล้ายปี อาจจะแค่หมื่นปีหรือแสนปีเท่านั้น แต่ว่าช่องว่างระหว่างหลิงฮันกับเขามันกว้างใหญ่แค่ไหนกัน? หลิงฮันจะใช้เวลาฝึกฝนหมื่นปีเพื่อไล่ตามเขาให้ทัน?
“ดูเหมือนว่าข้าเองก็ต้องพยายามให้มากกว่านี้ เดี๋ยวเจ้าจะตามข้าทัน” อู๋เมี่ยนหัวเราะ
“จริงสิ พี่ชายอู่เมี่ยนมาเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดนอย่างนั้นหรือ?” หลิงฮันถาม
“ข้าได้ยินมาว่าดาวหยุนติง มีอัจฉริยะที่เย่อหยิ่งมากคนหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่าเย่วหยิง ข้าอยากรู้มาตลอดว่าอัจฉริยะจากดินแดนใต้พิภพจะแข็งแกร่งแค่ไหน และต้องการปะมือกับเย่วหยิง” อู๋เมี่ยนกล่าว
อัจฉริยะระดับราชาอย่างเขามักจะออกเดินทางเพื่อท้าทางคนที่แข็งแกร่งกว่า เพื่อค้นหาข้อบกพร่องของตัวเองและจะได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นคนที่จะสามารถสร้างแรงผลักดันให้กับเขาได้จึงมีเพียงแค่อัจฉริยะระดับราชาเหมือนกัน
แม้ว่าความแข็งแกร่งของหลิงฮันจะยังอ่อนแอกว่า แต่ถ้าเป็นการต่อสู้ในระดับพลังเดียวกัน อู๋เมี่ยนคิดเขาไม่มีโอกาสชนะ
เย่วหยิง?
หลิงฮันพูดพึมพัมอยู่ในใจ ทำไมคนผู้นี้ถึงไม่ตั้งชื่อให้มันดีกว่านี้หน่อย? และดูเหมือนว่าทั้งอู๋เมี่ยนและเย่วหยิงต่างก็ไม่ใช่ชื่อ
“พี่ชายอู๋เมี่ยน ข้าจะกลับไปที่เมืองเขี้ยวหมาป่า แล้วพี่ชายอู๋เมี่ยนล่ะ?”
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
หลังจากที่ทั้งสองคนเดินทางมาถึงเมืองเขี้ยวหมาป่า หลิงฮันนำศิลาวิญญาณปฐพีจำนวนมากไปให้กับโรงประมูลตระกูลจิน แทนที่จะนำไปประมูล แต่เขากลับขาย เพราะขี้เกียจรอให้ถึงวันประมูล
หลังจากที่แลกเปลี่ยนเป็นแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ได้จำนวนมาก หลิงฮันก็เริ่มยกระดับดาบอสูรนิรันดร์อีกครั้ง
ในระหว่างสงครามที่ดินแดนใต้พิภพรุกรานดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หลิงฮันได้สังหารจอมยุทธของดินแดนใต้พิภพไปหลายคน แน่นอนว่าอาวุธที่ใช้โดยอีกฝ่ายถูกเขาเก็บรวบรวมมา ในเมื่อจอมยุทธระดับสุริยันจันทราเป็นคนใช้ อย่างน้อยอาวุธที่เขาเก็บมาก็ต้องเป็นแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับห้า
ถึงแร่เหล็กระดับห้าจะไม่มีประโยชน์อะไร แต่เขาก็สามารถนำมันไปขายเพื่อซื้อแร่เหล็กระดับหกกับเม็ดยาได้ ความมั่งคั่งคือสิ่งสำคัญ และหลิงฮันก็ซื้อแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับหกมาจำนวนมาก
แต่โชคร้ายหลังจากที่ดาบอสูรนิรันดร์ดูดกลืนแร่เหล็กไปหมดแล้ว มันก็ยังไม่เลื่อนระดับเป็นระดับเจ็ด ซึ่งดูเหมือนว่าจำนวนแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับหกที่หลิงฮันให้มันกลืนกินเข้าไปจะเติมเต็มได้แค่หนึ่งในสามเท่านั้น
หลังจากที่เขาและอู๋เมี่ยนพูดคุยกัน สิบวันต่อมาอู๋เมี่ยนก็ได้รับประโยชน์อย่างมากและตัดสินใจปิดด่านฝึกตนทันทีเพื่อทำให้พลังของเขามั่นคง แล้วหลังจากที่จบการชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดน เขาก็จะเริ่มทะลวงผ่านระดับดารา
ในขณะที่หลิงฮันนั่งหลอมเม็ดยาอยู่ในเมือง ตอนนี้เขาต้องการเงินเพื่อนำไปซื้อแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับหกเพื่อยกระดับดาบอสูรนิรันดร์ให้เป็นระดับเจ็ด
ในหอคอยทมิฬ อีแร้งเพลิงสีครามเองก็เติบโตขึ้นมากเช่นกัน และตอนนี้มันกำลังเกาะอยู่บนต้นสังสารวัฎ ซึ่งมันสามารถขอคำแนะนำจากเซียนหวู๋เฉียนได้เป็นครั้งคราว
ทั้งที่มันเพิ่งเกิดมาแค่หนึ่งปี แต่ก็ทะลวงผ่านระดับห้วงวิญญาณแล้ว ซึ่งเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก
แม้ว่าความแข็งแกร่งของมันจะไม่สามารถช่วยเหลืออะไรหลิงฮันได้ แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถใช้มันบินไปส่งจดหมายไปที่กองทัพจันทราม่วงหรือเมืองเขี้ยวหมาป่าเพื่อส่งจดหมายรักของหลิงฮันและสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ
หลิงฮันเองก็ได้วางแผนเอาไว้ว่าจะช่วยอีแร้งเพลิงสีครามบ่มเพาะพลัง มันมีความเป็นไปได้สูงมากที่มันจะทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราหรือแม้กระทั่งระดับดารา – ซึ่งมันไม่ใช่ปัญหาถ้าได้รับความช่วยเหลือจากจักรพรรดินักปรุงยาอย่างเขา
การปรุงยาได้กลายเป็นกิจกรรมหลักของหลิงฮัน โดยมีเป้าหมายเพื่อเงิน กระทั่งถึงขั้นหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งขึ้นมาและมอบให้กับโรงประมูลตระกูลจินเพื่อขายแทนเขา
การปรากฏขึ้นของเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งทำให้เมืองเขี้ยวหมาป่าตกอยู่ในความวุ่นวาย เพราะเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งเปรียบเสมือนเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา ซึ่งสามาถทำให้พวกเขาทะลวงผ่านขั้นเล็กได้และประหยัดเวลาฝึกฝนไปหลายหมื่นปี
นั่นหมายความว่าพวกเขาสามารถใช้เวลาหมื่นปีกว่านั้นทำความเข้าใจเจตจำนงแห่งเต๋าเพื่อทะลวงผ่านระดับที่สูงขึ้นได้
โลกแห่งวรยุทธนั้นช่างโหดร้าย ถ้าไม่สามารถทะลวงผ่านระดับต่อไปได้ ก็จะมีเพียงแค่รอความตายเท่านั้น!
แล้วใครจะไม่กลัวตาย?
ดังนั้นเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งจึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่ต้องใช้เวลาครึ่งเดือนในการดูดซับและสามารถใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้น อย่างที่สองความมั่งคลั่งของจอมยุทธระดับสุริยันจันทราไม่สามารถเทียบกับจอมยุทธระดับดาราและจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ได้เลย ถึงแม้ว่าหลิงฮันจะนำเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งไปขายหกเม็ด แต่รายได้รวมของเขาก็ยังไม่เท่าศิลาวิญญาณปฐพี
โชคยังดีที่ยังมีเวลาเหลืออยู่ และหลิงฮันเชื่อว่าเวลาที่เหลืออยู่น่าจะเพียงพอที่จะยกระดับดาบอสูรนิรันดร์เป็นระดับเจ็ดก่อนที่การชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดนจะเริ่ม
ส่วนสงครามกับห้านิกายโบราณ ทำให้หลิงฮันเข้าใจว่าเขายังประเมินพวกมันต่ำไป เพราะอย่างไรพวกมันก็มีรากฐานมานานหลายล้านปี ดังนั้นตอนนี้เขาจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเอง
เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องตะลุยโบราณสถาน เพียงแค่รอสามเดือนกระโดดเข้าไปในกองเพลิงนิรันดร์ แล้วกินเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งก็เพียงพอแล้ว
…
ในตอนนี้การชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดนกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
หลิงฮันได้รับข่าวดีมากมาย ข่าวดีแรกคือเขามีแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับหกเพียงพอที่จะยกระดับดาบอสูรนิรันดร์เป็นระดับเจ็ด ข่าวดีที่สองคือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะเป็นอิสระจากกองทัพจันทราม่วงแล้ว
แต่นางยังไม่อยากออกจากสนามรบสองดินแดนเพราะตระกูลเชี่ยยังคงไล่ตามนางอยู่ และโชคยังดีที่การชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดนจัดขึ้นที่สนามรบสองดินแดนแห่งนี้
ดังนั้น นางยังคงพักอาศัยอยู่ในกองทัพจันทราม่วงและรอที่จะออกไปจากดาวหยุนติงพร้อมกับหลิงฮัน หากเป็นแบบนั้นก็สามารถพูดได้ว่าเป็นคนตระกูลหลิงแล้วจริงๆ
จากนั้น หลิงฮันและสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะก็เดินทางไปที่ป่าภูผาวารี
ตอนที่ 1298
ป่าภูผาวารีคือสถานที่จัดงานชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดน
แต่มันไม่ใช่สถานที่ที่ทุกคนสามารถเข้าไปได้ ในทางตรงกันข้าม การเข้าไปในป่าภูผาวารีคือบททดสอบแรก เพื่อกำจัดคนจำนวนมากที่คิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะออกไป มีเพียงแค่อัจฉริยะที่แท้จริงเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้
มันมีพื้นที่ขนาดใหญ่ แต่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทุกตารางนิ้ว ไม่มีใครสามารถย่างก้าวเข้าไปได้ แม้จะเป็นจอมยุทธระดับเซียนก็ไม่มีข้อยกเว้น
ทุก 77777 ปี อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ในป่าภูผาวารีจะเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่แค่ครึ่งเดือนเท่านั้น ดังนั้นช่วงเวลาดังกล่าวอำนาจแห่งกฎเกณฑ์จะไม่เป็นอันตราย มีเพียงแค่อัจฉริยะที่แท้จริงเท่านั้นที่ฝ่าเข้าไปได้ ส่วนจอมยุทธทั่วไปยังคงเป็นอุปสรรค
นอกจากนั้น หุบเขาสุริยันจันทราเองก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทุกๆ 77777 ปีเช่นกัน แต่ตอนนี้ป่าภูผาวารีผ่านมาแล้ว 33333 ปี ดังนั้นการชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดนจึงถูกจัดที่นี่ แต่หลังจากนี้อีก 33333 ปี การชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดนก็จะจัดขึ้นอีกครั้งในหุบเขาสุริยันจันทรา แล้วหลังจากนั้นอีก 44444 ปีก็จะกลับมาจัดที่ป่าภูผาวารีอีกครั้ง
เพราะการชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดนแต่ละครั้งใช้ต้องรอนานหลายหมื่นปี ดังนั้นอัจฉริยะจากทั้งสองดินแดนจึงให้ความสำคัญกับมันเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแค่จะได้ปะมือกับอัจฉริยะจากดินแดนอื่นเท่านั้น แต่ยังได้ปะมือกับอัจฉริยะดินแดนเดียวกันอีกด้วย
เช่นเดียวกับอู๋เมี่ยนที่เดินทางมาที่ดาวหยุนติ่งก็เพื่อเข้าร่วมการชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดน
การปะทะกันของอัจฉริยะทั้งสองคนแดนสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของทั้งสองฝั่งได้ และนี่เองก็เป็นเหตุผลว่าทำไมตัวตนระดับสูงของทั้งสองดินแดนถึงกระตุ้นให้อัจฉริยะของตนเข้าไปมีส่วนร่วมในการชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดน และคนที่โดดเด่นก็จะได้รับรางวัลตอบแทนมากมาย
พูดตามตรงแล้ว เหตุผลที่หลิงฮันเข้าร่วมก็คือรางวัลตอบแทน
จักรวรรดิราชวงศ์ทั้งสองแห่งร่วมมือกันประกาศว่าถ้าใครสามารถครอบครองตำแหน่งอันดับหนึ่งได้ รางวัลที่พวกเขาจะมอบให้คือแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบ!
ตั้งแต่แร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าขึ้นไป จำนวนของมันมีน้อยมาก และในเมื่อหลิงฮันต้องการยกระดับดาบอสูรนิรันร์ไปถึงแร่เหล็กนิรันดร์ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะไม่พลาดโอกาสที่จะได้รับแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง และหวังว่าในอนาคตดาบอสูรนิรันดร์จะมีความกระหายลดน้อยลง
แม้ว่าป่าภูผาวารีจะถูกเรียกว่าป่า แต่มีทางเข้าเพียงแค่ทางเดียวเท่านั้นคือช่องแคบหุบเขาลึก
ตอนนี้ช่องแคบถูกปิดกั้นด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ ทำให้ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ แต่หลังจากนี้อีกไม่กี่วัน อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ก็จะเปิดออก และให้คนที่คิดว่ามีความสามารถเข้าไป
เนื่องจากเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วัน จึงมีผู้คนมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ บางคนมาเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดน บางคนมาเพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง และวางแผนที่จะจับตาดูอยู่ข้างนอก ซึ่งสามารถนำไปพูดอวดได้หลายร้อยปี
ทุกคนต่างก็เป็นจอมยุทธที่ทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้ากันแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะฝนตกหรือลมแรง ทุกคนก็ยังคงนั่งและยืนรอให้ถึงเวลา
อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของที่นี่แปลกมาก ดูเหมือนว่ามันสามารถผสมผสานอำนาจของดินแดนศักดิ์สิทธิ์และดินแดนใต้พิภพได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธจากดินแดนใต้พิภพหรือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้ ดังนั้นในป่าภูผาวารีและหุบเขาสุริยันจันทรา จึงเป็นสถานที่ประลองที่ยุติธรรม หากแพ้ก็ไม่มีคำแก้ตัว
หลิงฮันและสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะกำลังนั่งอยู่ด้วยกันอย่างเงียบๆ ในขณะที่โสมเฒ่าก็ตะเวนหาเหยื่อที่เป็นสาวงาม และเจ้ากระต่ายก็จ้องมองกระเป๋าของคนอื่นๆ ตราบใดที่มีเม็ดยาล้ำค่าซ่อนอยู่ มันก็จะไม่พลาดที่จะหาโอกาสแย่งชิง
มีเพียงแค่อีแร้งเพลิงสีครามเท่านั้นที่เชื่อฟังและยืนอยู่ด้านหลังหลิงฮันและสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ และกระพือปีกเป็นบางครั้งเพื่อจิกขนของตัวเอง
หลิงฮันเรียกมันว่า “เสี่ยวชิง”
“ข้าได้ยินมาว่าครั้งนี้แม้แต่หยางหลินก็ยังมาที่นี่!”
“หืม เรื่องจริงงั้นรึ?”
“หยางหลินเป็นใคร?”
“นี่เจ้าไม่รู้จักหยางหลิน? เขาเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของดาวฮุ่ยฟง และถูกขนานนามว่าราชาไร้พ่าย ซึ่งเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่ศิษย์ส่วนตัวของจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์เท่านั้น แต่ยังกล่าวกันว่าหลังจากที่เขาได้ออกเดินทาง เขาก็ได้รับอาวุธเซียนไม่สมบูรณ์!”
“อาวุธเซียนไม่สมบูรณ์!”
“หยางหลินช่างเป็นคนที่โชคดียิ่งนักถึงได้รับอาวุธเซียนมา แม้จะไม่สมบูรณ์ก็ตาม แต่ยังไงก็ทรงพลังอยู่ดี และว่ากันว่ากระทั่งจอมยุทธระดับดาราขั้นต้นก็ยังสามารถสยบจอมยุทธระดับดาราขั้นกลางได้!”
“ตอนนี้หยางหลินยังเป็นแค่จอมยุทธระดับสุริยันจันทรา เมื่อใดที่เขาทะลวงผ่านระดับดารา บางทีเขาก็อาจสยบจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ก็เป็นได้!”
“นี่เจ้าไม่พูดเกินจริงไปหน่อยหรือ?”
“ถ้าเขามีอาวุธเซียน ทำไมจอมยุทธที่แข็งแกร่งกว่าไม่แย่งชิงมันไปล่ะ?”
“จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์คงไม่ได้หวาดกลัวเขาใช่หรือไม่?”
“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง? เจ้ารู้หรือไม่อาวุธเซียนคืออะไร? ตราบใดที่อาวุธเซียนไม่สนใจเจ้า แม้เจ้าจะเป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ถึงจะฆ่าหยางหลินไปก็เท่านั้น”
ทุกคนพยักหน้า ถึงแม้จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์จะฆ่าหยางหลินตายก็ไม่ได้รับการยอมรับจากอาวุธเซียนอยู่ดี
หลิงฮันนั่งฟังอย่างเงียบๆ และจำชื่อไว้ในใจ
หยางหลินสมควรที่จะเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด นอกจากอู๋เมี่ยน
“หากเป็นเช่นนั้น หยางหลินก็ควรจะเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งของการชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดนครั้งนี้หรือไม่?”
“ไม่!”
“ข้าได้ยินมาว่ามีอัจฉริยะจากจักรวรรดิราชวงศ์เฉียนเฟิงแห่งดาวไป๋หม่าเองก็มีสุดยอดอัจฉริยะ นางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของจักรพรรดิ ชื่อของนางคือ ‘หยุน’ หลังจากที่ฝึกฝนบ่มเพาะพลังเพียงแค่สองร้อยปีก็ทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดแล้ว”
“ใช่ ใช่ ข้าเองก็ได้ยินเรื่องของแม่นางหยุน และยังได้ยินมาอีกว่านางประลองกับคนอื่นมาทั้งหมด 376 ครั้ง แต่ก็ไม่เคยแพ้แม้แต่ครั้งเดียว และคู่ต่อสู้ของนางแต่ละคนก็ยังเป็นคนที่มีระดับพลังสูงกว่ามากอีกด้วย…”
“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่พวกเจ้าลืมอะไรไปหรือเปล่า? พวกเราเองก็มีราชารุ่นเยาว์”
“หลิงฮัน!”
“หึ่ม! หลิงฮันงั้นรึ? คนที่ข้าจะพูดถึงคือเย่วหยิงแห่งจักรพรรดิราชวงศ์หลันหยุนต่างหาก!”
“เย่วหยิงสามารถเรียกตัวเองว่าราชารุ่นเยาว์ได้ และไม่มีใครสามารถต่อกรกับเขาได้ในช่วงอายุและระดับพลังเดียวกัน”
“แต่ยังไงก็ประมาทหลิงฮันไม่ได้!” คนที่เอ่ยชื่อหลิงฮันไม่อาจยอมรับได้ “ข้าได้ยินคนอื่นพูดมาว่านิกายดาบสวรรค์ นิกายมังกรปฐพี และอีกสามนิกายโบราณร่วมมือกันเพื่อสังหารหลิงฮัน แต่มันกลับกลายเป็นว่าหลิงฮันต่างหากที่สังหารพวกเขา ซึ่งเขาเองก็สมควรที่จะเป็นราชารุ่นเยาว์เช่นกัน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า นิกายดาบสวรรค์ ห้านิกายโบราณงั้นรึ! กระทั่งจอมยุทธระดับดารายังไม่มีในนิกายที่ถูกหลิงฮันฆ่าตายก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก” ใครบางคนกล่าวอย่างเหยียดหยาม
ทุกคนหัวเราะกันอย่างขบขัน ความแข็งแกร่งของหยางหลิน แม่นางหยุน และเย่วหยิงนั้นได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง แต่หลิงฮันล่ะ? เขาก็แค่จอมยุทธหน้าใหม่ที่เพิ่งมีชื่อเสียงเท่านั้น
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะยืนขึ้นและพูดว่า “ถ้าพวกเจ้าคนใดคิดว่าหลิงฮันไม่แข็งแกร่ง ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าเห็น!”
ตอนที่ 1299
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ปลดปล่อยอำนาจที่ทรงพลังออกมา ปีกขนาดยักษ์ทั้งสองของเขากระพืออยู่ด้านหลังพร้อมกับเปลวเพลิงราวกับเป็นนกอมตะที่แท้จริง
นางไม่อาจยอมให้ใครมาดูถูกหลิงฮันของนางได้
ที่แห่งนี้ไม่มีจอมยุทธระดับดารา จอมยุทธระดับสุริยันจันทราทั่วไปเองก็ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันจากนางได้ พวกเขารู้สึกว่าสตรีผู้นี้สามารถเผาพวกเขาให้เป็นเถ้าถ่านได้เพียงแต่กระพือปีก
“ฮ่าๆๆ เป็นสตรีที่เลือดร้อนยิ่งนัก จะรังเกียจรึไม่หากจะแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับข้าหนึ่งหรือสองกระบวนท่า?” เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินเข้ามาใกล้และจ้องมองสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความปรารถนาอยากเป็นเจ้าของ
สตรีที่งดงามนั้นหาไม่ยากก็จริง แต่สตรีที่งดงามและบ่มเพาะพลังจนบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดได้นั้นเป็นดั่งไข่มุขล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ไม่เปิดปากพูด นางยกมือขวาควบแน่นเปลวเพลิงนับไม่ถ้วนกลายเป็นดาบ
ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มและกล่าว “ข้ามีนามว่าหรงเทา ไม่ทราบว่าแม่นางมีชื่อแซ่ว่าอะไร?” แม้เขาจะกล่าวว่าขอแลกเปลี่ยนกระบวนท่า แต่เขาก็ไม่ได้ต้องการปะทะกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์จริงๆ เขาเพียงต้องการหาเรื่องพูดคุยกับนางเท่านั้น
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ไม่แยแสและโจมตีใส่อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“นั่นมันเสียมารยาทไปหน่อยนะ!” หรงเทาตอบโต้สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ด้วยพลังทั้งหมดอย่างไม่ลังเล เขาคิดจะแสดงพลังเพื่อสยบสตรีที่งดงามตรงหน้านี้ให้เร็วที่สุด
เขาพบเจอสตรีมามากมายและรู้สตรีเช่นสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์นั้นหยิ่งทะนงในตนเอง หากจะพูดหว่านล้อมให้อีกฝ่ายตกลงรักตนเองนั้นย่อมไม่มีประโยชน์ ก่อนอื่นเขาต้องโค่นนางลงให้ได้เพื่อทำลายความความทะนงตนของนาง
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เองก็ใช้พลั้งทั้งหมดออกไปเช่นกัน นางต้องการจัดการคู่ต่อสู้ให้เร็วที่สุดเพื่อสร้างชื่อเสียงให้หลิงฮัน
หลังจากทั้งสองเข้าปะทะห้ำหั่นกัน หรงเทาก็แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาเนื่องจากเขาพบว่าพลังต่อสู้ของอีกฝ่ายทรงพลังอย่างมาก… ทรงพลังจนถึงขั้นที่ว่าเขามองไม่เห็นโอกาสชนะแม้แต่น้อย
ทั้งสองมีพลังบ่มเพาะระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดชั้นสูงสุดเหมือนกัน แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เป็นอัจฉริยะสี่ดาว ในขณะที่หรงเทาเป็นเพียงอัจฉริยะสองดาว ความต่างเพียงสองดาวนี้เพียงพอให้สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์บดขยี้อีกฝ่ายอย่างง่ายดาย
ผ่านไปไม่นานทรงเทาก็ถูกฟาดฟันด้วยดาบเพลิงจนรีบเผ่นหนีไป
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์สลายดาบเปลวเพลิงและกล่าวอย่างไม่แยแส “ในระดับพลังเดียวกัน หลิงฮันสามารถเอาชนะข้าได้”
ว่าไงนะ!
ทุกคนอุทานออกมา ทรงเทาที่แข็งแกร่งขนาดนั้นได้พ่ายแพ้ให้กับดาบเพลิงของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์อย่างง่ายดายทั้งๆที่ทั้งสองมีระดับพลังและความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เท่ากัน
แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กลับปล่าวประกาศด้วยตนเองว่าตัวนางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงฮัน!
หลิงฮันที่ว่าแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยรึ?
อย่างน้อยชื่อของหลิงฮันก็ได้ประทับลงไปในจิตใจของพวกเขา บางทีอีกฝ่ายอาจจะเป็นอัจฉริยะหน้าใหม่ที่กำลังพุ่งทะยาน
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ทำไมเจ้าต้องไปเสียเวลาทำอะไรเช่นนั้นด้วย? เมื่อถึงตอนที่ข้าเหยียบย่ำอัจฉริยะผู้เข้าร่วมทุกคนและชิงอันดับหนึ่งมาครอง พวกเขาก็จะรับรู้เอง”
“ข้าแค่ทนฟังคนอื่นพูดดูถูกเจ้าไม่ได้!” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กล่าวด้วยท่าทีที่บ่งบอกว่าตนเองเป็นภรรยาของหลิงฮัน
หลิงฮันจิตใจสั่นสะท้านและกล่าว “เปลี่ยนสถานที่กันดีกว่า สามีผู้นี้อยากจะให้รางัวลภรรยาเสียหน่อย”
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กรอดตา “ถ้าเจ้ากล้า ข้าจะทุบตีเจ้า!”
หลิงฮันแสยะยิ้ม “ไม่ใช่เจ้ากล่าวเองรึว่าในระดับพลังเดียวกัน เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า?”
“นั่นข้าแค่โกหก ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องมือหรือเท้าของข้าแม้แต่นิดเดียว ข้าจะทุบตีเจ้า!” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กล่าวเตือน
หลิงฮันหัวเราะและยิ้มจนถึงปลายหู “ภรรยาข้า เจ้าเชื่อไหมว่าต่อให้เป็นตอนนี้ข้าก็ปราบเจ้าได้!”
“เจ้ากล้ารึ!” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์จ้องมองด้วยสายตาสั่นเครือ
จิตใจของหลิงฮันหวั่นไหว เขาอยากจะลงเมื่อเสียแต่ตอนนี้เลย แต่ทันใดนั้นเองเบื้องหน้าของเขาก็ก็การสั่นสะเทือนพร้อมกับเรือเหินดาราที่ลอยลงมาจากท้องฟ้า ผู้คนที่อยู่รอบด้านรีบขยับหนีอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่เรือลงจอดและเปิดออกมา รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งก็เดินลงมา ไม่สิ จะกล่าวว่าเป็นรุ่นเยาว์ที่อายุน้อยก็ไม่ถูก อีกฝ่ายแค่มีรูปลักษณ์เหมือนอายุสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น กลิ่นอายที่สัมผัสได้จากอีกฝ่ายทรงพลังเป็นอย่างมาก
เขาคืออัจฉริยะระดับราชา การก้าวเดินหนึ่งก้าวรุนแรงราวจะทำให้ดวงดาวสั่นไหว
“หยางหลิน!”
ใครบางคนเอ่ยชื่อของรุ่นเยาว์ผู้นั้นด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน
เขาคือหยางหลิน ไม่เพียงมีพรสวรรค์ในศาสตร์แห่งวรยุทธที่น่าอัศจรรย์ แต่ยังมีวาสนาที่ฝืนสวรรค์อีกด้วย เขาโชคดีได้ครอบครองอาวุธเซียนไม่สมบูรณ์ซึ่งต่อให้เป็นศัตรูระดับดาราขั้นต่ำเขาก็สามารถต่อกรได้
“หยางหลิน ข้ารักท่าน!”
“โปรดทำลูกกับข้าเถิด!”
สตรีใจเด็ดบางคนกล่าวสารภาพรักอย่างว่องไวจนน่ากลัว
หยางหลินเดินไปด้านหน้าโดยมีบุรุษและสตรีสี่คนเดินตาม กลิ่นอายของทั้งสี่คนนั้นยิ่งใหญ่ราวกับเป็นมังกรหรือนกอมตะในหมู่ผู้คน ดูจากท่าทีการเดินของพวกเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่าทั้งสี่สมควรเป็นผู้ติดตามของหยางหลิน
น่าตกตะลึงมาก ทั้งสี่คนนั้นกล่าวได้ว่าเป็นอัจฉริยะไม่ผิดแน่ แต่พวกเขากลับยอมศิโรราบให้กับหยางหลิน จากมุมมองนี้สามารถคาดเดาได้ว่าพลังของหยางหลินนั้นน่าหวาดกลัวขนาดไหน
“แข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าพี่ชายอู่เมี่ยน” หลิงฮันพยักหน้าพร้อมกับวิจารณ์
อีกฝ่ายไม่ใช่รุ่นเยาว์อย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเขากินอะไรเข้าไปถึงได้คงความเยาว์วัยเอาไว้ได้
ขณะที่หยางหลินเดินผ่าน ทุกคนได้ขยับเปิดทางให้เขาเดินโดยไม่ต้องบอกกล่าว อย่าว่าแต่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราไม่กล้าล่วงเกินเขาต่อ ต่อให้เป็นจอมยุทธระดับดาราก็อาจจะถูกกำราบด้วยอาวุธเซียนไม่สมบูรณ์ของอีกฝ่าย
หลิงฮันถอนหายใจและรู้สึกว่าอาวุธเซียนไม่สมบูรณ์นั้นทรงพลังเกินไป ตัวเขานั้นมีเพียงหอคอยทมิฬที่ช่วยได้เพียงเป็นที่ซ่อนตัว… ช่างน่าขายหน้าจริงๆ
“ขอโทษด้วยแล้วกัน” หอคอยน้อยกล่าวอย่างเย็นชา
หยางหลินเดินไปได้สักครู่ก็มีอีกคนปรากฏตัวด้วยท่าทีองอาจ นางเป็นสตรีที่งดงามราวเทพธิดา เสน่ห์ของนางไม่ด้อยไปกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ แต่กลิ่นอายของนางนั้นดูเหนือกว่ารราวกับเป็นราชินีที่สูงศักดิ์
แม่นางหยุน บุตรสตรีของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิราชวงศ์เฉียนเฟิง
ที่ด้านข้างนางมีบุรุษหล่อเหลายืนอยู่อย่างใกล้ชิด ไม่รู้ว่ามีชายฉกรรจ์มากมายกี่คนมองไปยังเขาด้วยแววตาอิจฉา
“ชายคนนั้นคือศิษย์ของจักรพรรดิเฉียนเฟิง นามว่าซั่วเฉียน เขาเองก็เป็นอัจฉริยะเช่นกันแต่ก็ยังด้อยกว่าแม่นางหยุน เพียงแต่ว่าเขาบ่มเพาะพลังมาเป็นเวลานานแล้วจนตอนนี้ได้ด้าวเท้าเข้าสู้ระดับดาราเรียบร้อย”
“มีคำกล่าวว่าจักรพรรดิเฉียนเฟิงตั้งใจจะให้ทั้งสองครองรักกัน และดูจากท่าทีของแม่นางหยุนแล้ว นางเองก็เหมือนจะสนใจศิษย์พี่ของตนอยู่เช่นกัน”
ซั่วเฉียนทำหน้าที่มาส่งแม่นางหยุน เขานั่งอยู่บนดาวเหินดาราที่หรูหราซึ่งถูกสลักเอาไว้ด้วยรูปแบบอาคมที่สามารถต้านทานภัยพิบัติทางอวกาศ
หลิงฮันดวงตาลุกโชนเนื่องจากเรือเหินดาราล้ำนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์มากมาย ถ้าเขาได้มันมาไม่ต้องกล่าวเลยว่า ดาบอสูรนิรันดร์จะยกระดับเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับแปด แต่ยังคงยกระดับได้สูงกว่านั้นอีกครึ่งระดับด้วย
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เห็นเช่นนั้นก็อดรู้หึงไม่ได้และบิดไปที่ข้อมือของหลิงฮัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น