Alchemy Emperor of the Divine Dao 1234-1254
ตอนที่ 1234
การขยับตัวทุกครั้งของหลินอวีฉีนั้นเย้ายวนมาก
ที่หลิงฮันประหลาดใจก็คือคำว่านายหญิงที่สาวใช้ใช้เรียกนางนั้น นางก็สมควรจะเป็นสตรีที่แต่งงานแล้ว แต่ชุดที่นางสวมใส่กลับไม่แสดงให้เห็นว่านางแต่งงานแม้แต่น้อย
แต่ถึงอย่างไรนั่นก็ไม่ใช่เรื่องของเขาอยู่ดี
รถม้าคันนี้มีขนาดใหญ่ หลินอวีฉีหันมามองเขาและยิ้ม “เชิญนายน้อยหลิงนั่งตามสบาย!”
หลิงฮันยิ้มและนั่งลง “ท่านชวนข้ามาเช่นนี้ไม่ทราบว่ามีธุระอันใด?” ตอนนี้เขากำลังจะมุ่งหน้าไปยังหุบเขาต้นกำเนิดวารีเพื่อตามหาสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ เขาไม่ต้องการเสียเวลาอยู่ที่นี่
เมื่อเห็นแววตาอันเร่งรีบของเขา หลินอวีฉีก็ชะงักทันที
นางเป็นสตรีที่งดงามและยั่วยวน นางชอบความรู้สึกที่ได้ทำให้ผู้คนลุ่มหลงและและไม่เคยปฏิเสธว่าตนเองเป็นปีศาจสาวทรงเสน่ห์ ก็ใครใช้ให้นางมีรูปลักษณ์ที่งดงามเช่นนี้กันล่ะ?
แววตาที่เหมือนจะเร่งรีบออกไปจากที่ของหลิงฮันทำให้นางรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก!
ถ้าหลิงฮันแค่ทำหน้าตาไม่สนใจนาง นางก็พอเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงจะแกล้ทำเป็นเสแสร้ง แต่ตอนนี้ใบหน้าของหลิงฮันนั้นสงบนิ่งและจ้องมองนางด้วยแววตาที่เร่งรีบ หลินอวีฉีจึงเชื่อว่าบุรุษตรงหน้าไม่ต้องการพบเจอนางจริงๆ
แววตาไม่มีทางโกหก… ยิ่งหลินอวีฉีคุ้นชินกับบุรษมามากแล้ว อีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่นั้นนางสามารถเดาได้ง่ายมาก
ช่างน่าหงุดหงิดอะไรเช่นนี้!
“หากไม่มีธุระอะไร ข้าจะคุยกับนายน้องหลิงไม่ได้รึไง?” นางกล่าว
หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “ถ้าท่านไม่มีอะไรจะพูดข้าคงต้องขอตัวก่อน!”
เขายืนขึ้นและกำลังจะก้าวออกจากรถม้า
“หยุดก่อน! หยุดก่อน!” หลินอวีฉีระเบิดอารมณ์และอยู่ก็ปรากฏอยู่ด้านหน้าหลิงฮัน ความเร็วของนางนั้นรวดเร็วจนใบหน้าหลิงฮันชะงัก สตรีงดงามนางนี้ที่แท้ก็เป็นปรมาจารย์
การเคลื่อนไหวของนางเมื่อครู่เขามองเห็นได้เพียงเรือนราง ถ้าหากอีกฝ่ายต้องการโจมตีเขา เขาคงไม่มีทางรอด!
เพียงแต่ว่าด้วยการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ ยอดเขาสองลูกของนางแทบจะถลนออกมาโดนตัวเขา หลิงฮันขมวดคิ้วและก้าวถอยกลับเข้ารถม้า
ขุมกำลังที่เขาไปล่วงเกินมีมากพอแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการจะล่วงเกินใครเพื่อสร้างศัตรูเพิ่มอีก
เมื่อหลินอวีฉีเห็นเช่นนั้นนางก็เผลอกระตาปริบๆด้วยท่าทางออดอ้อน ความเย้ายวนนี้เพียงพอจะทำให้นางมัดใจชายทั่วโลกได้ นางหัวเราะและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “เจ้าก้าวถอยเพราะหวาดกลัวอะไรรึ? หรือว่าเจ้ากลัวว่าข้าจะกินเจ้า?”
เป็นอย่างที่นางว่า!
หลิงฮันพยักหน้าไปตามตรงและกล่าว “นายหญิง ท่านควรจะรักนวลสงวนตัวกว่านี้หน่อย!”
หลินอวีฉียิ้มอย่างมีเลศนัย “ฮึฮึ แล้วเจ้าอยากจะลองชิมนายหญิงคนนี้ดูไหมล่ะ?”
เจ้าเด็กน้อยตัวดี… คราวนี้ติดกับข้ารึยังล่ะ?
ตราบใดที่เจ้าแสดงท่าทีน่ารังเกียจออกมาแม้แต่นิดเดียว ข้าจะสั่งสอนเจ้าในข้อหาที่ก่อนหน้านี้ทำให้ข้าเสียหน้า
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “นายหญิงคงจะดื่มหนักไปแล้ว ท่านไม่รู้รึไงว่าการดื่มจนเมาน่ะมันไม่ดี! เอาล่ะ ข้าไม่มีเวลามั่วเล่นกับท่านมากนัก ข้าขอลาตรงนี้แล้วกัน!”
หลินอวีฉีโอดครวญ บุรุษผู้นี้ปฏิเสธนางอีกแล้ว
“ฮืออ!” จู่ๆนางก็ล้มลงกับพื้นและร้องไห้น้ำตาคลอ
นี่เจ้าทำอะไร?
ข้ายังไม่ทันสัมผัสเจ้าแม้แต่ปลายเล็บ เหตุใดเจ้าถึงมีสภาพเช่นนั้นได้?
เลิกวุ่นวายกับข้าและปล่อยข้าไปได้แล้ว!
หลิงฮันต้องการจะยกเท้าก้าวเดินออกไป แต่หลินอวีฉีได้นั่งร้องไห้ขวางทางเขาเอาไว้ พลังของสตรีผู้นี้น่าสะพรึงกลัวมาก หลิงฮันจึงไม่รู้จะทำอย่างไหรกับนางที่ขวาทางเขาอยู่ดี
“คนอันธพาล!” หลินอวีฉีร้องไห้ ด้วยใบหน้าที่งดงามของนาง น้ำตาที่ไหลออกมาทำให้ดูยั่งยวนและน่าสงสาร ไม่ว่าชายใดก็ต้องเกิดแรงกระตุ้นอยากเข้าไปโอบปลอบนาง
หลิงฮันกัดฟัน เสน่ห์ของสตรีผู้นี้ไม่ใช่ธรรมดาเลย เราเริ่มรู้สึกหวั่นไหวบ้างแล้ว
เขารีบนึกถึงจักรพรรดินีแห่งดาราอย่างรวดเร็ว ใบหน้างดงามที่หาใครเปรียบของอีกฝ่ายทำให้จิตใจฟุ้งซ่านของหลิงฮันสงบและสตรีตรงหน้าก็ไม่สามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้อีกต่อไป
จักรพรรดินีเรียกได้ว่าเป็นย้าต้านเสน่ห์ชั้นดีสำหรับเขา!
หลินอวีฉีโอดครวญไม่สบอารมณ์อีกครั้ง ขนาดนางงัดไม้นี้ออกมาใช้แล้ว เข้ายังไม่แสดงท่าทีหื่นกระหายออกมาอีก?
หรือข้าจะต้องถอดเสื้อผ้าให้เขาดู?
นางส่ายหัวทันที นางเพียงแค่ต้องการเล่นกับความรู้สึกของบุรุษเท่านั้น นางไม่ได้อยากจะทำเรื่องอะไรที่ทำให้ตัวนางต้องเสียหาย
“นายน้อยหลิง เชิญนั่งก่อน!” จู่ๆนางก็กล่าวขึ้นมา แล้วน้ำตาบนใบหน้าที่งดงามเมื่อครู่ล่ะหายไปไหนแล้ว?
หลิงฮันหงุดหงิดจนแทบจะบ้าคลั่ง เจ้าคิดว่าพวกเราเป็นมิตรสหายกันรึอย่างไรถึงได้เล่นอะไรแบบนี้?
แต่พลังของสตรีผู้นี้ก็ยากจะหยั่งถึง ถ้านางไม่ปล่อยเขาไปหลิงฮันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหอคอยทมิฬ เพียงแต่ว่าตั้งแต่เขารู้ถึงการมีอยู่ของดินแดนแห่งเซียน หลิงฮันก็เริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้นและไม่ต้องการเปิดเผยความลับของหอคอยทมิฬให้ผู้ใดรู้
หอคอยทมิฬเป็นสิ่งที่ล้ำค่าขนาดไหน?
มันสามารถทำให้ต้นสังสารวัฏที่ต้องใช้เวลาสิบสองล้านล้านปีในการเติบโตลดเหลือเพียงสามปีเท่านั้น ถึงแม้พลังของหอคอยทมิฬจะยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่แต่สนตอนนี้พลังของมันก็เรียกว่าท้าทายสวรรค์เกินพอแล้ว
แม้จะเป็นในดินแดนแห่งเซียน เกรงว่าหอคอยทมิฬก็คงนับว่าเป็นสมบัติล้ำค่า?
เขายังไม่ทันจะบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งเลย หากตัวตนจากดินแดนแห่งเซียนรู้ว่าเขาครอบครองหอคอยทมิฬล่ะก็… เขาคงหนีไม่พ้นความตาย
ตอนที่ 1235
“สรุปแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่?” หลิงฮันถามอย่างใจเย็น ตอนนี้เขายังไม่รู้ตัวตนของอีกฝ่ายดี
หลินอวีฉียิ้มและพูดว่า “ข้าเป็นนายหญิงของตำหนักเป่าหลินสาขาเมืองต้าหยิง”
หลิงฮันคิดว่ามันแปลกเล็กน้อย ทั้งที่นางมีเสน่ห์ขนาดนี้ แต่กลับเป็นได้แค่ผู้นำตำหนักเป่าหลินสาขาเมืองต้าหยิง? เขาเก็บข้อสงสัยไว้ในใจ แต่ใบหน้าของแลดูนิ่งมากและพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นประมุขหลินนี่เอง”
“ข้าไม่ชอบวิธีการเรียกแบบนั้น!” หลินอวีฉีส่ายหัว จากนั้นนางก็ยกขาสูงนั่งไขว่ห้างเผยให้เห็นต้นขาที่เรียวขาวเหมือนกับงาช้าง
เนื่องจากการตกแต่งภายในรถม้านั้นหรูหราเป็นอย่างมาก พื้นถูกปูด้วยพรมหนา นางจึงไม่สวมรองเท้าและเผยให้เห็นข้อเท้าที่งดงามและเล็บของนางทาด้วยสีแดงสดใสบนเท้าที่ขาวเนียน หากหลิงฮันมีความชอบไม่เหมือนใคร เขาคงคุกเข่าและเลียเท้าของนางไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังกระดิกเท้าไปมาที่ชายทุกคนจะต้องแอบมองเข้าไปในใต้กระโปรงของนางโดยที่ไม่ได้ตั้งใจเพื่อมองหาขุมทรัพย์ที่อยู่ในนั้น
แต่น่าเสียดายที่เห็นได้แค่ต้นขาที่ขาวเนียนเท่านั้น
“ข้าอนุญาตให้เจ้าเรียกข้าว่าพี่หญิง!” หลินอวีฉีกล่าว
“นายหญิงหลิน!” หลิงฮันไม่ไหวติ่ง
“พี่สาวหลิน!” หลินอวีฉีค่อนข้างเอาแต่ใจ
“นายหญิงหลิน!” หลิงฮันยังคงเรียกคำเดิม
หลินอวีฉีถอนหายใจ นางไม่เคยเห็นผู้ชายแบบนี้มาก่อน ทั้งเย็นชาและไม่แยแส แต่นั่นก็ทำให้นางเกิดความอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้น แม้นางจะรู้ดีว่าเมื่อใดที่สตรีต้องการรู้เรื่องเกี่ยวกับบุรุษ นั่นอาจเป็นสัญญาณของอันตรายที่จะตกหลุมรัก
ถึงกระนั้น นางก็มั่นใจว่าสามารถควบคุมตัวเองได้ที่นางต้องทำคือให้อีกฝ่ายมึนเมาลุ่มหลงในตัวนาง
“ก็ได้!” หลินอวีฉีไม่ต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไป “น้องชายฮัน เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าได้สร้างปัญหามากแค่ไหนหลังจากที่เจ้าหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งสำเร็จ?”
ปากของหลิงฮันกระตุก สตรีคนนี้ยอมแพ้ยากจริงๆ แม้ว่านางจะขอให้เขาเรียกว่าพี่สาวไม่สำเร็จ แต่นางก็ยังเรียกเขาว่า “น้องชายฮัน”
แต่เขาก็ขี้เกียจเถียงอีกฝ่าย และเพียงแค่ถามกลับไปว่า “ปัญหาอะไรอย่างนั้นรึ?”
“เม็ดยาปราณโลหิตคลั่งสามารถยกระดับสุริยันจันทราได้ขั้นเล็ก แล้วกล่าวกันว่ามันเป็นวเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา ถ้าเจ้ายังไม่บรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสมบูรณ์ เจ้าจะต้องถูกจับตามองอย่างไม่ต้องสงสัย” หลินอวีฉีกล่าว
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “หากเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าจอมยุทธระดับสุริยันจันทราควรต้อนรับข้าและให้เกียรติข้าในฐานะแขกหรอกหรือ?”
หลินอวีฉีระเบิดเสียงหัวเราะและส่ายหัว แล้วพูดว่า “น้องชายฮันไม่มีภูมิหลังอะไรและยังสังกัดอยู่ในตำหนักฮันหลิงเล็กๆ แล้วเจ้าคิดว่าขุมพลังใหญ่ๆจะเกรงกลัวเจ้าอย่างนั้นรึ?”
“ตราบใดที่ข่าวดังกล่าวแพร่กระจายไปออก น้องชายฮันอาจถูกลักพาตัวและถูกบังคับให้หลอมเม็ดยาตลอดทั้งวันทั้งคืน”
“หรือว่าน้องชายฮันจะคิดว่าสถานะของนักปรุงยานั้นสามารถทำอะไรก็ได้บนโลกใบนี้?”
ไม่ใช่อย่างแน่นอน
เหตุผลที่นักปรุงยามีสถานะสูงส่งนั่นเป็นเพราะความต้องการเม็ดยาของเหล่าจอมยุทธ เนื่องจากตำแหน่งที่พวกเขาได้รับมาจากจอมยุทธ เช่นนั้นก็ต้องตระหนักถึงจุดอยู่ของจอมยุทธด้วย
นักปรุงยาที่ไร้ผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ก็เป็นได้แค่เครื่องมือที่ใช้สำหรับปรุงยาเท่านั้น
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “แล้วนายหญิงต้องการแนะนำอะไรกับข้า?”
“เข้าร่วมกับตำหนักเป่าหลิน!” หลินอวีฉีกล่าวออกมาทันที
ก่อนหน้านี้นางแสดงอารมณ์ต่างๆนาๆออกมา เพื่อให้เขาหลงในเสน่ห์และรูปร่างหน้าตาของนาง แต่ทันใดนั้นนางก็เริ่มเปลี่ยนเป็นพูดจริงจัง อารมณ์ของนางเปลี่ยนเร็วมากจนหลิงฮันตามไม่ทัน
หลิงฮันส่ายหน้าและพูดว่า “ถึงแม้ตำหนักเป่าหลินของเจ้าจะยิ่งใหญ่และมีศักยภาพสูง อย่างไรก็ตามมันเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะออกจากตำหนักฮันหลิง”
หลินอวีฉียิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ข้าไม่ได้ขอให้น้องชายฮันออกจากตำหนักฮันหลิง เนื่องจากน้องชายฮันมีตำแห่งเป็นผู้อาวุโสของตำหนักฮันหลิงอยู่แล้ว ทำไมเจ้าไม่มาเป็นแขกอาวุโสของตำหนักเป่าหลินของพวกเราล่ะ?”
หลิงฮันรู้สึกตกตะลึง นี่เป็นข้อเสนอที่ไม่เลว
ตำหนักเป่าหลินเป็นเหมือนยักษ์ใหญ่และมีสาขามากมายบนดาวหยุนติ่ง กระทั่งจักรพรรดิเพลิงสวรรค์ยังต้องไว้หน้าอยู่บ้าง เช่นนั้นจะมีจอมยุทธระดับสุริยันจันทราคนใดกล้าลักพาตัวเขา?
อย่างไรก็ตาม หลิงฮันไม่ได้กลัวว่าจะถูกลักพาตัวเพื่อเป็นเครื่องมือที่ใช้ปรุงยาตลอดทั้งวันทั้งคืน แต่เป็นเรื่องของห้านิกายโบราณ
ห้านิกายโบราณตั้งรากฐานอยู่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์มานานหลายปี ยิ่งไปกว่านั้นยังคิดใช้สิ่งมีชีวิตบนทวีปฮงเทียนหลอมเป็นเม็ดยา เรื่องพวกนั้นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้จริงหรือ? เบื้องหลังพวกมัน…บางทีอาจมีจอมยุทธที่แข็งแกร่งคอยบังการอยู่เบื้องหลัง
สมมติถ้าหลิงฮันเป็นจอมยุทธที่แข็งแกร่งและบุกไปโจมตีห้านิกายโบราณ แน่นอนว่าพวกมันจะต้องร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ที่อยู่เบื้องหลัง อย่างไรก็ตามถ้าหลิงฮันเป็นคนของตำหนักเป่าหลิน ขุมพลังที่อยู่เบื้องหลังห้านิกายโบราณจะกล้าทำอะไรเขาหรือไม่?
แล้วถึงแม้ว่าห้านิกายโบราณจะไม่มีคนหนุนอยู่เบื้องหลัง อย่างน้อยพวกมันก็ต้องมีพันธมิตร ซึ่งความยิ่งใหญ่ของตำหนักเป่าหลินก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้คนพวกนั้นหวาดกลัว
ไม่เลว การมีอยู่ของตำหนักเป่าหลินนั้นมีประโยชน์มาก!
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก หลิงฮันก็พยักหน้าและพูดว่า “การเคารพเทียบไม่ได้กับการทำตามคำสั่ง ขอบคุณนายหญิง”
ฉินอวีฉียิ้มและยกนิ้วขึ้นมาแล้วพูดว่า “อย่างไรก็ตาม ข้ามีเงื่อนไขอยู่หนึ่งข้อ”
หลิงฮันพยักหน้า อีกฝ่ายไม่มีทางช่วยเขาอย่างไม่มีเหตุผล ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีเงื่อนไข เขาพูดว่า “เงื่อนไขอะไร?” ถ้าอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้ เขาก็จะตอบตกลง
แต่ถ้าต้องการให้เขาอุทิศชีวิตแล้วล่ะก็ เขาไม่มีทางยอมรับเงื่อนไขนี้เด็ดขาด
หลินอวีฉีพูดเงื่อนไข “เงื่อนไขของข้ามีอยู่สองข้อ เจ้าสามารถเลือกข้อใดข้อหนึ่งก็ได้ ข้อแรกหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งให้ข้าทุกปี ข้อสอง สอนวิธีการหลอมเม็ดยาโลหิตคลั่งให้กับซินเหยียน”
เงื่อนไขทั้งสองข้อไม่ใช่เรื่องง่าย
หลิงฮันคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “นายหญิง แล้วท่านหาผลราชาพิรุณสีชาดได้หรือไม่?” นี่คือวัตถุดิบหลักในการหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง หากไม่มีมัน ทุกอย่างก็จะสูญเปล่า
“หากข้าหามันมาไม่ได้ ข้าจะตั้งเงื่อนไขแบบนี้ได้อย่างไร?” หลินอวีฉีกล่าวด้วยความมั่นใจ
หลิงฮันพยักหน้าอย่างช้าๆและพูดว่า “ตกลง ข้าจะสอนหานซินเหยียนหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง”
ถ้าเขาเลือกเงื่อนไขแรก มันก็จะเท่ากับว่าเขามีพันธะกับตำหนักเป่าหลินไปตลอดทั้งชีวิต ดังนั้นเงื่อนไขที่สองจึงดูดีกว่าเงื่อนไขแรก แม้ว่าจะต้องใช้เวลาสอนวิธีปรุงยานานก็ตาม อย่างไรเขาก็สอนแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็แค่คัดลอกสูตรปรุงยาให้กับหานซินเหยียนก็พอ เพราะอีกฝ่ายก็เป็นนักปรุงยาระดับแปดแล้ว ที่เขาต้องทำคือชี้แนะและให้คำแนะนำ มันน่าจะใช้เวลาไม่มากเท่าไหร่สำหรับเขา
หลินอวีฉีดูผิดหวังเล็กน้อย คำตอบของหลิงฮันพิสูจน์ให้เห็นว่านางยังมีเสน่ห์ไม่มากพอที่จะทำให้เขาเลือกข้อแรก มิฉะนั้น อีกฝ่ายคงเลือกข้อแรกไปแล้ว มันจะไม่ดีได้อย่างไรในเมื่อสามารถเห็นหน้านางได้หลายครั้ง?
ตอนที่ 1236
ในที่สุดหลินอวีฉีก็ปล่อยหลิงฮันลงจากรถม้า และไม่คิดโปรยเสน่ห์ใส่อีกฝ่ายอีกต่อไป
อ๊าก!
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่หลิงฮันลงจากรถม้าไปแล้ว ช่วยไม่ได้ที่เขาจะส่งเสียงตะโกน เพราะขณะที่เขาพูดคุยกับหลินอวีฉี เขาจึงไม่รู้ว่ารถม้ามุ่งหน้าไปที่ไหนและถูกปล่อยลงกลางป่าทึบ โดยไม่มีร่องรอยของเมืองอยู่รอบๆเลย
อย่างที่คิด เขาจะต้องระมัดระวังนางไว้ให้ดี!
แล้วดูเหมือนว่าสาวใช้คนนั้นจะเกียจเขา ดังนั้นนางจึงใช้ประโยชน์จากการที่ข้าไม่รู้ว่ารถม้าเคลื่อนที่ไปที่ไหน แล้วตั้งใจปล่อยข้าไว้กลางป่าทึบใช่หรือไม่?
หลิงฮันรีบส่ายหัวและกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ หลังจากสักเกตุดูอยู่สักพัก เขาก็มุ่งหน้าไปที่เมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง หลังจากถามตำแห่งที่อยู่ของเขาแล้ว เขาก็รู้ว่าเมืองเล็กๆแห่งนี้อยู่ห่างจากเมืองต้าหยิงประมาณแปดร้อยไมล์
รถม้าคันนั้นช่างรวดเร็วยิ่งนัก!
แต่หลิงฮันไม่ได้มุ่งหน้ากลับไปที่เมืองต้าหยิงในทันที นั่นเป็นเพราะเป้าหมายเดิมของเขาคือหุบเขาต้นกำเนิดวารี และบังเอิญว่ามันเป็นทิศเดียวกับที่เขาจะมุ่งหน้าไปที่หุบเขาต้นกำเนิดวารีพอดี นั่นเท่ากับว่าเขาโดยสารมาโดยรถม้าแทน
ถ้าสาวใช้คนนั้นรู้เขา นางจะโกรธหรือไม่?
หลิงฮันหัวเราะและเริ่มออกเดินทางต่อ
สองวันต่อมา หลิงฮันก็เดินทางมาถึงหุบเขาต้นกำเนิดวารี ตามข้อมูลที่ได้รับจากคังซิวหยวนและหยุนหยงหวัง เขาจะต้องไปยังสถานที่แห่งหนึ่งในหุบเขาที่มีน้ำตก ดอกไม้และตำหนักเล็กๆ ราวกับสวนสวรรค์
นี่คือสถานที่ที่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะอาศัยอยู่อย่างสันโดษ
หลิงฮันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและเดินวนไปวนมาพร้อมกับคิดอยู่ในใจว่าเขาจะพูดอะไรดีในตอนที่เจอสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ
ในขณะที่คิด หลิงฮันก็เดินมาถึงประตู เขายกมือขึ้นและเคาะประตู แล้วเกิดความตึงเครียดอย่างรุนแรงในใจ
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านในที่กำลังเข้ามาใกล้
หลิงฮันขมวดคิ้วอย่างกะทันหัน ตามข้อมูลสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะควรอาศัยอยู่คนเดียว มันเป็นเสียงฝีเท้าของคนสามคนได้อย่างไร?
ผิดปกติ!
แววตาของหลิงฮันกลายเป็นเย็นชาขึ้นมาทันทีและเผยจิตสังหารที่รุนแรง ถ้าใครกล้าที่จะทำร้ายสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ เขาจะฆ่าอย่างไม่ลังเล
เอี๊ยด เมื่อประตูไม้เปิดออกก็มีคนสามคนเดินออกมา
ทั้งสามคนเป็นชายที่สวมเกราะต่อสู้และถ้าจ้องมองให้ดีจะเห็นว่าเกราะของพวกเขามีบางจุดที่ชำรุดและมีร่องรอยของเลือด และชายทั้งสามคนนี้น่าจะมีอายุประมาณสามสิบปีและสีหน้าที่เคร่งขรึม
“เจ้าเป็นใคร?” ชายคนหนึ่งถามด้วยแรงกดดันของผู้บังคับบัญชา
จากแรงกดดันที่เขาปลดปล่อยออกมาเขาน่าจะเป็นแม่ทัพในกองทัพ ดังนั้นจึงเหมือนว่าเขากำลังจ้องมองพลทหารตัวเล็กๆด้วยแรงกดดันที่น่าเกรงขาม
แต่หลิงฮันก็ไม่ไหวติง และพูดเบาๆว่า “แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร?”
“สามห้าว!” ชายอีกสองคนรีบชักกระบี่ออกมาจากที่เอวแทบจะพร้อมกันและส่งเสียงคำรามพร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหารที่รุนแรงออกมา ซึ่งมันเป็นจิตสังหารที่ได้รับจากการต่อสู้ในสนามรบมาเป็นเวลานาน
ชายที่ยืนอยู่ตรงกลางเอื้อมมือออกไปและกดปลายกระบี่ของทั้งสองคนเอาไว้ จากนั้นก็พูดกับหลิงฮันว่า “ข้าคือหม่าจางมือซ้ายของท่านแม่ทัพเชี่ยที่ได้รับคำสั่งให้มาที่นี่!”
แม่ทัพเชี่ย? มือซ้าย?
หลิงฮันประหลาดใจ เขารู้ว่าทั้งสามเป็นทหารในกองทัพ แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจคือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับกองทัพ มิฉะนั้นทั้งสามคนจะปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
เขาคิดอยู่ชั่วครู่และพูดว่า “ข้าคือหลิงฮัน ข้าเดินทางมาที่นี่เพื่อพบสหายเก่า ข้าไม่รู้ว่าผู้อาวุโสหม่าจะขัดขวางข้าหรือไม่?”
“นี่เจ้ากล้าพูดจาไม่ให้เกียรติท่านหม่าจางอย่างนั้นรึ?” ทหารคนหนึ่งกล่าว แต่คราวนี้เขาไม่ชักกระบี่ออกมา
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ที่นี่ไม่ใช่สนามรบ ถึงจะมีตำแหน่งแม่ทัพแล้วมันทำไม!”
“เอาล่ะ เอาล่ะ สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะไม่อยู่ที่นี่แล้ว ในเมื่อเจ้าอ้างว่าตัวเองเป็นสหายเก่ากับนาง เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่านางไปที่ไหน?” หม่าจางจ้องมองไปที่หลิงฮันด้วยแววตาที่เผยให้เห็นถึงจิตสังหาร ซึ่งทำให้หลิงฮันรู้สึกเหมือนมีกระบี่จ่ออยู่ที่คอ
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะหายไปแล้ว?
หัวใจของหลิงฮันเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ทำไมสามคนนี้ถึงมาหาสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ ใครเป็นคนออกคำสั่ง? แล้วสีหน้าของหลิงฮันเองก็กลายเป็นเย็นชาเช่นกัน
“ข้าอยากรู้ว่าทำไมพวกเจ้าถึงต้องการตามหาสหายของข้า!” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“จัดการ!” หม่าจางไม่ตอบและสั่งให้ลูกน้องเก็บหลิงฮัน
พรึบ พรึบ ทหารทั้งสองคนกระโจนใส่หลิงฮันทันที แน่นอนว่าพวกเขาไม่ใช่ทหารธรรมดา มิฉะนั้นจะเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้นได้อย่างไร
แต่หลิงฮันก็ขี้เกียจปะมือด้วย และใช้ทักษะจิตเจ็ดสังหาร ทำให้ทั้งสองคนหยุดชะงักอย่างกะทันหัน กระทั่งกระบี่ยังหลุดมือ และนั่งลงกับพื้น
ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะตกตะลึง อีกฝ่ายเป็นแค่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้นเหมือนกัน แต่เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย กระทั่งโจมตียังทำไม่ได้ ช่องว่างระหว่างพวกเขากับอีกฝ่ายห่างชั้นกันมาก
“หืม?” แววตาของหม่าจางเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจและโลหิตเริ่มเดือดพล่าน ความแข็งแกร่งของหลิงฮันกระตุ้นให้เขาเหมือนกับอยู่ในสนามรบและกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าหวาดกลัว
“ทำไมพวกเจ้าถึงต้องการตัวสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะ?” หลิงฮันถามอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่คิดที่จะปกปิดความแข็งแกร่งของตัวเองอีกต่อไปและปลดปล่อยแรงกดดันทั้งหมดออกมา
“เจ้าหนู เจ้าบ้าไปแล้ว!” หม่าจางชักกระบี่ออกมาจากข้างเอว แสงที่หนาวเย็นเปล่งประกายบนใบกระบี่และทิ่มแทงไปที่หลิงฮัน
หลิงฮันต่อยหมัดออกไปต้านรับคมกระบี่ของอีกฝ่าย
ตู้ม หมัดของหลิงฮันปะทะกับกระบี่ก่อให้เกิดแสงสว่างสไวไปทั่ว ตู้ม ทหารสองคนที่อยู่ได้ข้างถูกพัดกระเด็นภายใต้แรงปะทะ แล้วประตูของตำหนักก็พังทลายในพริบตา
หลิงฮันรู้สึกโกรธและพูดว่า “เจ้าพวกสารเลว พวกเจ้ากล้าทำลายสถานที่แห่งนี้อย่างนั้นรึ!” เขายกกำปั้นขึ้นและต่อยไปที่หม่าจาง
หม่าจางทั้งรู้สึกโกรธและตกตะลึง มันไม่ใช่เขาคนเดียวซักหน่อยที่ทำร้ายที่นี่ เจ้าเองก็เป็นคนลงมือด้วยมิใช่รึ? แล้วยังกล้าตำหนิเขาฝ่ายเดียวอีก แต่ยังไงก็ตาม เจ้าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ทั้งที่เป็นแค่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้น แต่ทำไมถึงมีพลังต่อสู้ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย?
ต้องทราบก่อนว่าเขาเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นกลาง ทั้งที่เขาควรเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่กลับทำได้แค่ต่อสู้อย่างสูสีเท่านั้น
น่าทึ่งมาก ในจักรวรรดิราชวงศ์เพลิงสวรรค์มีเด็กแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
“กล้าหาญมาก!” เขาตะโกน และกวัดแกว่งกระบี่ไปมา อย่างไรก็ตามเขาเป็นทหารที่ผ่านสนามรบมานับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือการต่อสู้
“หึ่ม!” หลิงฮันชกต่อยไปที่หม่าจางอย่างไม่หยุดมือ
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! การต่อสู้ที่ดุเดือดของทั้งสองคน ทำให้ตำหนักที่อยู่ท่ามกลางสวนและน้ำตกดั่งสวนสวรรค์ถูกทำลายและกลายเป็นซากปรักหักพัง
ตอนที่ 1237
หลังจากและเปลี่ยนกระบวนท่ากันไปสักพัก หลิงฮันกับหม่าจางก็หยุดมือพร้อมกัน
พวกเขาไม่ได้สู้กันอย่างเอาจริงเอาจังแต่สู้เพื่อลองเชิงว่าอีกฝ่ายซ่อนอะไรเอาไว้
“เจ้าหนู แล้วเราคงได้พบกันใหม่!” หม่าจางจากไปพร้อมกับทหารอีกสองคน
“แน่นอน พวกเราต้องได้พบกันอีกแน่ เจ้าจะต้องซ่อมสวนแห่งนี้ให้เหมือนเดิม!” หลิงฮันกล่าวตามหลัง
เขามองแผ่นหลังของอีกฝ่ายโดยที่ไม่ได้ไล่ตามไป
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็กำลังเร่งรีบเหมือนกันที่มาที่นี่แล้วไม่พบสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ นอกจากเขาก็รู้แล้วว่าคนเหล่านี้เป็นใคร… พวกเขาเป็นคนที่อยู่ภายใต้คนที่ถูกเรียกว่าแม่ทัพเชี่ย
แม่ทัพเชี่ย? นั่นคงเป็นชี่ยเฉียน หนึ่งในสี่ตระกูลอำนาจใหญ่ของจักรวรรดิราชวงศ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ ผู้นำของพวกเขาคือตัวตนระดับวารีนิรันดร์ ส่วนมีขั้นพลังเท่าใดนั้นไม่มีใครรู้ ถ้าหากตัวตนระดับนั้นไม่เป็นคนบอกจากปากตัวเอง ใครจะสามารถมองเห็นระดับพลังบ่มเพาะของเขา?
หลิงฮันเดินทางออกจากที่นี่ บางทีพวกคังซิวหยวนอาจจะรู้ก็ได้ว่าจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์จะมุ่งหน้าไปที่ไหน หรือบางทีนางอาจจะไปตำหนักฮันหลิงโดยที่พวกเขาสวนทางกัน
สองวันต่อมาเขากลับมาถึงเมืองต้าหยิง
“อาจารย์! ท่านอาจารย์!” คังซิวหยวนตะโกนเรียกทันทีที่เห็นเขา ใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเร่งรีบ
“เกิดอะไรขึ้น?” หลิงฮันถาม
“ข้าได้รับจดหมายจากพี่สาว!” คังซิวหยวนยื่นกระหมายให้เขา
หลิงฮันรับมาอย่างไม่รีรอและกวาดสายตาอ่านตั้งแต่ต้นยันจบทันที
เนื้อหาที่เขียนไว้ไม่มีอะไรซับซ้อน
นิกายนกอมตะเมฆากำลังพยายามเพิ่มอำนาจของตัวเองโดยใช้ความช่วยเหลือจากแม่ทัพเชี่ย แต่ตัวตนระดับวารีนิรันดร์อย่างแม่ทัพเชี่ยจะแยแสนิกายที่มีอำนาจเพียงระดับสุริยันจันทราได้อย่างไร
ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกขอความช่วยเหลือผ่านทางเชี่ยตงหลายซึ่งเป็นหลานคนที่เจ็ดของแม่ทัพเชี่ย
เชี่ยตงหลายเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดที่โดดเด่นของตระกูลเชี่ย เขามีอายุเพียงหนึ่งแสนปีก็บรรลุระดับสุริยันจันทร์ขั้นสูงสุดแล้วและมีสิทธิ์มีเสียงในตระกูลเชี่ยพอสมควร ถ้าหากเขาทะลวงผ่านระดับดาราได้ เชี่ยตงหลายก็จะกลายเป็นเสาหลักของตระกูลเชี่ย
นิกายนกอมตะเมฆาคิดผูกมิดกับตระกูลเชี่ยผ่านเชี่ยตงหลายที่ว่า
เชี่ยตงหลายที่ถูกเชิญมานิกายนั้นได้ตกหลุดรักสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เพียงแค่ชำเลืองมองครั้งเดียว หลังจากนั้นเองเขาได้ส่งจดหมายมาที่นิกายเพื่อขอสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ไปเป็นนางสนมของตน
คนที่มีสถานะเช่นเขาไม่สามารถตัดสินแต่งงานรับใครมาเป็นภรรยาได้ด้วยตนเองแต่ต้องผ่านตระกูลเชี่ย
แน่นอนว่าขุมอำนาจเล็กๆอย่างนิกายนกอมตะเมฆาย่อมไม่มีศิษย์เป็นตัวเลือกในการเป็นภรรยาของเขา แต่ในมุมมองของนิกายนกอมตะเมฆาแค่นางสนมก็คือว่าสูงส่งมากพอแล้ว
ด้วยเหตุนั้นแล้วนิกายนกอมตะเมฆาจึงยอมรับข้อตกลงแต่โดยดี แต่ในด้านของจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ล่ะ?
แม้นางจะไม่ยินยอมและสามารถต่อต้านนิกายนกอมตะเมฆาแต่นางจะสามารถต่อต้านตระกูลเชี่ยที่ยิ่งใหญ่ได้รึ?
ดังนั้นนางจึงตัดสินใจเดินทางไปยังสนามรบสองดินแดน มีเพียงที่นั่นเท่านั้นนางจึงจะได้รับารคุ้มครองที่มีอำนาจเหนือกว่าขอบเขตของตระกูลเชี่ย
ในขณะที่คังซิวหยวนได้รับจดหมายฉบับนี้ จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์คงไปถึงสนามรบสองดินแดนเรียบร้อยแล้ว
หลิงฮันเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก บังอาจบังคับให้สตรีของเขาแต่งงานงั้นรึ? นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการตีท้ายครัวเขาหรืออย่างไงกัน? นิกายนกอมตะเมฆาช่างทุเรศยิ่งนักที่กล้าทำเช่นนี้เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง!
แล้วก็เชี่ยตงหลายที่คิดแย่งชิงสตรีของเขาไป เขาจะเอาคืนหมอนั่นเป็นสิบเท่า!
“ข้าจะไปสนามรบสองดินแดนเดี๋ยวนี้!” หลิงฮันตัดสินใจทันที สนามรบสองดินแดนเป็นสถานที่ที่ทุกปี ทุกเดือน ทุกอาทิตย์และทุกวันจะมีคนตายนับไม่ถ้วน
จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์มีระดับบ่มเพาะคือสุริยันจันทราขั้นสูงสุด สำหรับสนามรบสองดินแดนแล้วพลังเท่านั้นยังไม่เพียงพอ
ถ้าจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ได้รับบาดเจ็บจากที่นั่นล่ะก็ เขาจะกลับไปถลกหนังเชี่ยตงหลายแน่นอน! ส่วนนิกายนกอมตะเมฆา พวกมันต้องชดใช้ด้วยชีวิต
“อาจารย์ ให้พวกเราไปด้วย!” คังซิวหยวนและหยุนหย่งหวังกล่าว
หลิงฮันส่ายหัว “พวกเจ้าไม่ได้เชี่ยวชาญในศาสตร์วรยุทธ ไปแล้วพวกเจ้าจะช่วยอะไรได้? เอาเวลาไปขัดเกลาทักษะปรุงยาให้ก้าวหน้าขึ้น เมื่อข้ากลับมาหากพวกเจ้ายังไม่ยกระดับเป็นนักปรุงยาระดับหกล่ะก็… คอยดูแล้วกัน!”
“อะไรกัน!” ทั้งอสงคนโอดครวญ การจะยกระดับจากนักปรุงยาระดับห้าเป็นระดับหกจำเป็นต้องสะสมประสบการณ์อย่างน้อยหมื่นปี สำหรับพวกเขาแล้วยังอีกไกล
หลิงฮันไม่สนใจ ตอนนี้ความขัดแย้งระหว่างตำหนักฮันหลิงกับตำหนักเป่าหลิงถูกแก้ไขแล้ว ต่อให้เขาไม่เฝ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องกังวลอะไร แต่เพื่อแสดงความจริงใจ เขาจะมอบสูตรเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งให้กับหานซินเหยียนแล้วค่อยเดินทางไปยังสนามรบสองดินแดน
หลิงฮันออกเดินทางคนเดียวโดยไม่รายงานให้พี่ชายทั้งสองของเขาและติงผิงรับรู้ แม้แต่ผู้ติดตามทั้งสี่คนเขาก็ทิ้งไว้ที่เมืองต้าหยิง สนามรบสองดินแดนเป็นสถานที่ที่อันตรายเกินกว่าจะพาเหล่าสหายของเขาไปด้วย
ในหอคอยทมิฬมีเพียงจักรพรรดิจอมอสูรและโสมเฒ่า
แม้ในหอคอยทมิฬจะไร้พลังวิญญาณต่างกันโลกภายนอก แต่สำหรับโสมเฒ่าแล้วตัวของมันต่างออกไปเนื่องจากมันเป็นสมุนไพรที่เกิดจากสวรรค์และปฐพี ซึ่งหอคอยทมิฬมีความสามารถช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืชทำให้โสมเฒ่าได้รับผลประโยชน์อย่างมาก
นอกจากนี้ภายในหอคอยทมิฬมันก็จะฝังรากของต้นเองข้างๆต้นสังสารวัฏ ระดับของมันพัฒนารวดเร็วมากจนใกล้จะทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราแล้ว
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่โสมเฒ่าจะพยายามบ่มเพาะพลังอย่างหนัก มันมักจะออกมาด้านนอกและเกี้ยวพาราสีสาวๆในเมืองต้าหยิง ตราบใดที่เป็นสตรีที่มีรูปร่างงดงาม สตรีผู้นนั้นก็ยากที่จะหลบหนีโสมเฒ่าพ้น
หลิงฮันมาถึงตำหนักเป่าหลิน เขาสังเกตเห็นว่านักปรุงยาในตำหนักต่างปฏิต่อเขาราวกับเขาเป็นผู้อาวุโสทั้งสิ้น
“ฮ่าๆ ที่เจ้ามานี่คือคิดถึงข้างั้นสินะ?” หลินอวีฉีเดินเข้ามาหาหลิงฮันพร้อมกับกลิ่นอันหอมหวน
จิตใจของหลิงฮันแน่วแน่ไม่หวั่นไหวต่อความเย้ายวนและกล่าวกลับไป “ข้ามาหาหานซินเหยียนเพื่อมอบตำราเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งให้นาง”
หลินอวีฉีอารมณ์เสียทันที ในสาตาของหลิงฮันนางเป็นสตรีที่ไร้เสน่ห์ขนาดนั้นเลยรึไง?
นางพยายามระงับความโกรธและสะบัดมือให้สาวใช้พาหลิงฮันไปหาหานซินเหยียน
ด้วยการนำทางของสาวใช้ หลิงฮันได้เดินมาถึงสวนหลังตำหนักที่เป็นพื้นที่ส่วนตัว บริเวณนี้พบเห็นเพียงสาวใช้จำนวนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีคนนอกอยู่เลยแม้แต่คนเดียว
ตอนที่ 1238
หลังจากพาหลิงฮันมายังหน้าลานที่พักในสวนแล้ว สาวใช้ก็กล่าว “แม่นางหานฝึกฝนอยู่ด้านในนี้ สาวใช้เช่นข้าไม่อาจรบกวนนางได้ เกรงว่านายท่านหลิงคงต้องเคาะประตูเรียกนางเอง”
กล่าวเสร็จนางก็เดินจากไป
หลิงฮันเคาะประตูที่พัก ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าพร้อมกับประตูได้ถูกเปิดออก สตรีที่สวมใส่เพียงชุดบางๆเดินมาต้อนรับเขา
นางคือหานซินเหยียน
อะไรกัน… แม้แต่นางก็ยังพยายามยั่วยวนเขาด้วย?
“กรี๊ดดด!” หานซินเหยียนกรีดร้องและปิดประตูทันที
ผ่านไปสักพักประตูถึงจะเปิดอีกครั้ง คราวนี้นางปรากฏตัวด้วยสภาพที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วพร้อมกับถือดาบเอาไว้ในมือ นางจ้องหลิงฮันเขม็งและคำราม “เจ้าช่างกล้านัก!”
หลิงฮันหลบอย่างรวดเร็ว สตรีผู้นี้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศในศาสตร์แห่งการปรุงยาแต่ด้อยศักยภาพในด้านวรยุทธ เพียงแค่เขาปล่อยอำนาจสวรรค์ออกไป ร่างของอีกฝ่ายก็อ่อนแรงจนไร้แรงสู้
*อำนาจสวรรค์ = พลังที่ได้จากเข้าใจพลังสายฟ้าของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์*
“อย่าเข้าใจข้าผิด ข้าแค่มาเพื่อมอบตำราเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งให้เจ้า” หลิงฮันยิ้ม
หานซินเหยียนชะงักไปครู่หนึ่งแต่ก็ยังพยายามแกว่งดาบต่อ “เจ้าอันธพาล!”
หลิงฮันถอนหายใจ “ข้ายังไม่ได้ทำอะไรกับเจ้าเสียหน่อย? ข้าแค่เคาะประตูปรกติ เป็นเจ้าเองที่โผล่ออกมาสภาพนั้น”
ใบหน้าของหานซินเหยียนเปลี่ยนเป็นสีแดง นางมีนิสัยชอบใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นเวลาศึกษาเม็ดยา เมื่อทำเช่นนั้นนางจะรู้สึกสมองปลอดโปร่ง แถมที่นี่ก็ยังเป็นสวนภายในของหลินอวีฉีที่ไม่มีบุรุษคนใดเดินเผ่นผ่านนางจึงไม่กลัวว่าจะถูกเห็น
แต่ใครจะไปรู้ว่าจู่ๆจะมีบุรุษปรากฎตัวขึ้นที่นี่!
นางจ้องหลิงฮันและกล่าว “เรื่องนี้… ห้ามพูดถึงมันอีกเป็นอันขาด!”
นางไม่ใช่คนไร้เหตุผล แม้จะรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของหลิงฮันนางก็ยังรู้สึกไม่ยินยอมอยู่ดี
“ตกลง!” หลิงฮันกล่าวตามน้ำไป อีกใจหนึ่งก็กลัวว่านางจะใช้เรื่องที่เขาเห็นนางในชุดน้อยชิ้นมาเป็นข้ออ้างที่จะบังคับเขาแต่งงาน
เขาโยนตำราให้นางและกล่าว “นี่คือตำราเม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง เจ้านำไปฝึกฝนด้วยตัวเองก่อน ข้าคงจากเมืองต้าหยิงไปสักพัก หากไม่เข้าใจส่วนไหนเจ้าจดบันทึกเอาไว้แล้วค่อยถามข้าทีหลังเมื่อข้ากลับมา”
หานซินเหยียนไม่สบอารมณ์ นางกับเขาเป็นนักปรุงยาระดับแปดเหมือนกัน เหตุใดเจ้าถึงปฏิบัติกับข้าราวกับเจ้าเป็นผู้อาวุโส?
หลิงฮันโบกมือลาและออกจากจำหนักเป่าหลิน เขาเดินทางออกจากชายแดนของจักรวรรดิราชวงศ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์และมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งของสนามรบสองดินแดน ที่นั่นเป็นสถานที่ที่มีจุดเชื่อมต่อระหว่างดินแดนพิภพกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ณ ที่แห่งนั้นดินแดนใต้พิภพสามารถรุกรานดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ ในยทางกลับกันดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ก็สามารถรุกรานดินแดนใต้พิภพเช่นกัน
อุปกรณ์บินแหวกเมฆาถูกปรับแต่งแล้วทำให้ไม่เหมาะสมที่จะใช้เดินจากภายในดวงดาว แต่โชคดีที่หลิงฮันเชี่ยวชาญทักษะย่างก้าวไล่ตามดาราแล้ว เมื่อผสานกับความเข้าในใจอำนาจของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์แล้ว การเคลื่อนไหวของเขาจึงรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ
ผ่านไปเพียงสิบสองวันเขาก็มาถึงสนามรบสองดินแดน โดยก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่เขาได้กินเม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง
หลิงฮันใช้เวลาสามวันในการดูดซับเม็ดยาและทะลวงผ่านเข้าสู้ระดับสุริยันจันทราขั้นต้นชั้นกลาง
เหตุผลที่ทำไมเม็ดยาชนิดนี้ถึงถูกเรียกว่าเม็ดยาปราณโลหิต ‘คลั่ง’ ก็เพราะฤทธิ์ที่รุนแรงของเม็ดยา แม้แต่กายหยาบของหลิงฮันที่เทียบกับแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับหกก็ยังได้รับบาดเจ็บจนกระดูกร้าวเล็กน้อย
ไม่น่าแปลกใจที่นอกจากจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดแล้ว จอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นอื่นต้องกินเม็ดยาภายใต้การคุ้มกันของปรมาจารย์ ไม่เช่นนั้นร่างของพวกเขาจะระเบิดเนื่องจากพลังงานอันรุนแรงของเม็ดยา
เม็ดยาปราณโลหิตคลั่งมีฤทธิ์รุนแรงขนาดไหน? มันสามารถช่วยยกระดับให้จอมยุทธระดับสุริยันจันทราได้หนึ่งขั้นย่อย หากกินเข้าไปและดูดซับไม่ไหว ความรุนแรงของระเบิดที่จะเกิดขึ้นนั้นสามารถบดขยี้ได้แม้แต่จอมยุทธระดับดาราขั้นต้น!
หลังจากดูดซับเม็ดยาเรียบร้อยแล้วเขาพบว่าในร่างของเขามีสิ่งสกปรกตกค้างเอาไว้จากเม็ดยา หากเขากินเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งติดต่อกัน ไม่เพียงพลังบ่มเพาะจะไม่เพิ่มขึ้นแต่ยังจะเป็นการวางยาพิษฆ่าตัวตาย
หลิงฮันตรวจสอบร่างกายและพบว่าหากย่อยสลายพิษในร่างทุกๆวันจำเป็นต้องใช้เวลาสามปีถึงจะสลายได้หมด
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือเขาต้องรออีกสามปีถึงจะกินเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งเม็ดที่สองได้ เมื่อคิดต่อไปอีกคือเขาจะบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดได้ในอีกห้าสิบปี
ความเร็วในการบ่มเพาะเช่นนี้ถือว่าน่ากลัวรึเปล่า?
จอมยุทธระดับสุริยันจันทราทั่วไปต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะบรรลุขั้นสูงสุด? สี่ล้านปี!
คนอื่นใช้เวลาสี่ล้านปีในขณะที่เขาใช้เวลาห้าสิบปี นี่ยังไม่พอจะเรียกว่ารวดเร็วรึยังไง?
แน่นอนหากเทียบกับฮูหนิวแล้ว นางนั้นอยู่ในขุมกำลังของดินแดนแห่งเซียน สำหรับพวกเขาการสร้างจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งก็เหมือนกับขุมกำลังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างจอมยุทธระดับทลายมิติ
ที่มั่นของสนามรบสองดินแดนฝั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีชื่อว่าเมืองเขี้ยวหมาป่า
จุดประสงค์ในการสร้างเมืองเขี้ยวหมาป่าขึ้นมาก็เพื่อเป็นที่พักให้กับจอมยุทธที่สู้รบกับสิ่งมีชีวิตจากดินแดนใต้พิภพ เมื่อใดที่เมืองเขี้ยวหมาป่าล่มสลาย กองทัพจากดินแดนใต้พิภพจะรุกรานไปทั่วดาวหยุนติ่งทันที
Anchor
ดาวหยุนติ่งมีจักรวรรดิราชวงศ์เพียงสองจักรวรรดิคือจักรวรรดิราชวงศ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์และจักรวรรดิราชวงศ์เมฆาคราม กองกำลังหลักที่จะปกป้องดาวดวงนี้จึงมีเพียงสองจักรวรรดิราชวงศ์นี้เท่านั้น ที่สนามรบสองดินแดนแห่งนี้ ไม่ว่าจะจอมยุทธมนุษย์หรือสัตว์อสูรที่บรรลุระดับพระเจ้าก็ล้วนแต่ร่วมมือกัน
ที่สนามรบสองดินแดนแห่งนี้มีกองทัพที่โด่งดังอยู่คือ กองทัพจันทราม่วงที่อยู่ภายใต้การควบคุมของธิดาซื่อเยว่ กองทัพเวหาแหวกว่ายภายใต้ราชันสวรรค์เฉินเฟิง กองทัพกองทัพบัญญัตินิพพานภายใต้นักพรตกว่างฉิง พวกเขาสร้างกองกำลังขึ้นมาเพื่อรวมใจไล่ล่าสิ่งมีชีวิตใต้พิภพ
เมื่อมาถึงสนามรบสองดินแดน ทุกคนสามารถเลือกได้อย่างอิสระว่าจะเข้าร่วมกับกองกำลังใดและสามารถสะสมแต้มสังหารได้
แต่หากจอมยุทธคนใดต้องการไล่ล่าสิ่งมีชีวิตใต้พิภพเพียงลำพังก็ไม่ใช่ปัญหา แม้จะไล่ล่าคนเดียวก็สามารถสะสมแต้มสังหารได้เช่นกัน
นอกจากนี้ในสนามรบสองดินแดนแต้มสังหารก็ยังถูกใช้เป็นค่าเงินสำหรับแลกเปลี่ยนเม็ดยาต่างๆ อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์และทักษะบ่มเพาะ
หากแต้มสังหารถูกสะสมจนถึงจำนวนที่กำหนดไว้ถึงจะสามารถถอนตัวจากสนามรบสองดินแดนได้
ตอนที่ 1239
หากจะถอนตัว จอมยุทธระดับภูผาวารีจำเป็นต้องใช้แต้มสังหารหนึ่งร้อยแต้ม ระดับสุริยันจันทราหนึ่งหมื่นแต้ม ระดับดาราหนึ่งล้านแต้ม ส่วนระดับวารีนิรันดร์นั้นจำเป็นต้องใช้มากขึ้นหนึ่งร้อยล้านแต้ม
ทำไมจำนวนถึงได้ห่างกันมากขนาดนั้น?
เหตุผลก็ง่ายมาก ยิ่งระดับพลังต่างกันความยากที่จะสังหารก็จะต่างกันได้ด้วย
ยกตัวอย่างเช่นในส่วนของระดับภูผาวารีนั้น หากสังหารสิ่งมีชีวิตใต้พิภพที่เทียบเท่าระดับภูผาวารีขั้นต้นจะได้รับแต้มสังหารเพียงแต้มเดียว ขั้นกลางได้ห้าแต้ม ขั้นสูงได้สิบแต้ม และขั้นสูงสุดได้ยี่สิบแต้ม หรือจะพูดง่ายๆคือจอมยุทธระดับภูผาวารีสามารถถอนตัวได้หากสังหารสิ่งมีชีวิตใต้พิภพที่มีระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดห้าตัว
พอเป็นระดับสุริยันจันทรา แต้มสังหารสิ่งมีชีวิตใต้พิภพจะเริ่มที่หนึ่งร้อยแต้ม
นอกจากนั้นสนามรบสองดินแดนยังมีกฎว่าหากหยุดสะสมแต้มสังหารไปเป็นเวลานานคนผู้นั้นจะถูกลงโทษ
เมื่อหลิงฮันรู้เรื่องนี้เขาก็ลองคาดเดาในใจ
ที่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์มาที่สนามรบสองดินแดนนั้น จุดประสงค์แรกก็เพื่อหลบซ่อนตัวจากตระกูลเชี่ย นางจะต้องเข้าร่วมกองทัพใดกองทัพหนึ่งแน่นอน หากไม่เข้าร่วมกองกำลังแล้วถูกตระกูลเชี่ยพบเจอตัว นางคงหลบหนีไม่พ้นชะตากรรมที่จะถูกพวกเขาใช้อำนาจบังคับส่งตัวนางกลับ
เช่นนั้นแล้วกองทัพใดที่นางจะเข้าร่วม?
กองทัพจันทราม่วง!
เหตุผลนั้นง่ายมาก นอกจากกองทัพจันทราม่วงแล้วกองทัพอื่นเป็นกองทัพที่มีจำนวนบุรุษมากกว่าสตรี
ในโลกแห่งวรยุทธ จำนวนของจอมยุทธสตรีนั้นมีน้อยมาก ยิ่งเป็นในสนามรบสองดินแดนแห่งนี้ด้วยแล้ว จำนวนของสตรียิ่งน้อยกว่าเดิมและคงหนีไม่พ้นความจริงที่ว่าบุรุษนั้นเป็นใหญ่
มีเพียงกองทัพจันทราม่วงเท่านั้นที่มีผู้นำกองทัพเป็นสตรีและมีจอมยุทธในกองทัพเป็นสตรีทุกคน
หลิงฮันสอบถามและได้รู้ว่าบุรุษไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมกับกองทัพจันทราม่วง พวกนางรับเพียงจอมยุทธสตรีเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้พวกนางถูกข่มเหง กองทัพจันทราม่วงถึงห้าแม้กระทั่งไม่ยินยอมให้บุรุษเข้าไปในค่ายพักของพวกนาง หากมีบุรุษผู้ใดฝ่าฝืน… มันผู้นั้นจะถูกสังหาร
ดังนั้นหลิงฮันจึงไม่ผลีผลามเข้าไปยังกองทัพจันทราม่วงและตัดสินใจอาศัยอยู่ด้านนอกของค่ายพักกองทัพจันทราม่วงแทน หากเขาพบเห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เดินผ่านเขาจะเข้าไปพูดคุยกับนาง
แต่ต่อให้เขาพบเจอนาง สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ก็ไม่สามารถออกจากที่นี่ไปได้ทันทีอยู่ดี
ถ้าออกจากสนามรบสองดินแดนโดยที่ยังสะสมแต้มสังหารไม่พอ คนคนนั้นจะถูกตราหน้าว่าเป็นทหารหนีทัพ ผู้ที่ถูกตราหน้าเช่นนั้นไม่ว่าไปที่ไหนก็จะไม่มีใครยอมรับ
ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอยู่ที่นี่ไปสักระยะหนึ่งแล้ว หลิงฮันจึงตัดสินใจไปลงชื่อที่เมืองเขี้ยวหมาป่า การจะคำนวณแต้มสังหารนั้นง่ายมาก เมื่อสังหารสิ่งมีชีวิตใต้พิภพได้ เพียงแค่นำศพของพวกมันเก็บเอาไว้ในอุปกรณ์มิติและนำกลับมาเมืองเขี้ยวหมาป่าก็จะมีคนทำหน้าที่ตำนวณแต้มสังหารและลงบันทึกให้
และด้วยเพราะเหตุนี้ บางคนจึงเลือกทางลัดโดยการปล้นศพจากคนอื่น บ้างก็ถึงขนาดสังหารมนุษย์ด้วยกันเพื่อปิดปาก
พวกเดนสังคมมีอยู่ทุกที่
หลิงฮันคิดเรื่อยเปื่อยจนเดินมาถึงบริเวณที่ห่างจากค่ายพักกองทัพจันทราม่วงหนึ่งร้อยไมล่ เขาจะรอสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ที่นี่
แต่ว่าสภาพแวดล้อมของสนามรบสองดินแดน… ย่ำแย่มาก
พลังวิญญาณของที่นี่เบาบางจนแทบจะสัมผัสไม่ได้ แต่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของที่นี่ก็เปราะบางมากเช่นกัน หลิงลองพยายามและพบว่าเขาสามารถบินได้เล็กน้อย
อย่างที่รู้กันว่าบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเพียงจอมยุทธระดับดาราขึ้นไปถึงจะสามารถเหาะเหินได้
ดูเหมือนว่าการที่สองพิภพบรรจบเข้าหากัน แม้แต่สวรรค์และปฐพีก็ยังได้รับผลกระทบ
เช่นนั้นหากเขาลองเข้าใกล้ให้มากกว่านี้ล่ะ?
จุดเชื่อมต่อระหว่างดินแดนใต้พิภพกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ห่างออกไปอีกพันไมล์
เขาลองเปลี่ยนตำแหน่งดูและพบว่าอำนาแห่งกฎเกณฑ์รุนแรงขึ้นกว่าปรกติ
ดูเหมือนว่าผลกระทบของสวรรค์และปฐพีจะไม่เพียงแค่อ่อนลงกว่าปกติแต่มันได้เสียสมดุลไปแล้ว บางที่ผลกระทบจะเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่บางที่จะเกิดผลกระทบรุนแรงมาก เช่นนั้นแล้วหากลองทำความคุ้นเคยกับมันได้ก็จะมีประโยชน์อย่างมาก
ในสนามรบ การใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญมาก
“เจ้าหนู ที่นี่คือที่ไหน?” โสมเฒ่าออกมาจากหอคอยทมิฬและตกลึงทันทีที่เห็นสภาพแวดกล้อมภายนอก “เจ้าพานายท่านโสมมาที่ไหน?”
สถานที่แห่งนี้ชวนให้รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีและตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ทำไมหลิงฮันต้องมายังที่แบบนี้ด้วย?
“เจ้าหนู เจ้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ” โสมเฒ่าชี้ไปยังหลิงฮัน
หลิงฮันไม่สนใจและกล่าวออกมาลอยๆ “ดูเหมือนข้าต้องเรียกฮูหนิวมากินซุปโสมแก่หม้อใหญ่เสียแล้ว”
โสมเฒ่าหน้าเปลี่ยนสีทันที มันหวาดกลัวฮูหนิวมาก แค่ได้ยินชื่อตัวของมันก็เย็กยะเยือกแล้ว โสมเฒ่ารีบยิ้มและกล่าว “เจ้าหนู พวกเราเป็นสหายซี้กัน! ไม่ว่าเจ้าไปไหนข้าย่อมไปด้วยโดยพูดพล่ามทําเพลงอยู่แล้ว!”
หลิงฮันเค้นเสียง ‘ฮึ’ ออกมาและเลิกสนใจโสมเฒ่าและเรียกเรียกจักรพรรดิจอมอสูรออกมา มือที่ขาดไปข้างหนึ่งของมันทำให้รูปแบบอาคมที่สลักเอาไว้หายไปหลายส่วน พลังต่อสู้ของมันลดลงอย่างมาก
แต่นั่นก็ไม่สำคัญ หลิงฮันกลายเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพลังของอีกฝ่ายแล้ว
สิ่งที่หลิงฮันต้องการจากจักรพรรดิจอมอสูรก็คือความรู้เกี่ยวกับดินแดนใต้พิภพ อีกฝ่ายมีความคุ้นเคยกับสิ่งมีชีวิตได้พิภพ ยิ่งกว่านั้นเพื่อที่เขาจะผ่านเข้าไปยังดินแดนแห่งเซียนได้ เขาต้องเป็นต้องเข้าใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งดินแดนใต้พิภพและดินแดนศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเฒ่าโสมได้ยินเรื่องราวจากหลิงฮันและรู้ว่ามันอยู่ที่ไหนมันก็แทบอยากจะร้องไห้ออกมา แต่พอได้ยินเกี่ยวกับกองทัพจันทราม่วง สีหน้าของมันก็เบ่งบานและกล่าวออกมาทันที “นายท่านโสมจะไปสำรวจสถานการณ์หาข้อมูลเสียหน่อย!”
หลังจากพูดจบมันก็รีบวิ่งจากไปด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
ไม่ก็บอกก็รู้ว่าเจ้านั่นต้องไปยังค่ายที่พักซึ่งมีแต่จอมยุทธสตรีแน่นอน โสมเฒ่าแม้จะยังไม่ทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราแต่มันเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก
หลิงฮันฟังจักรพรรดิจอมอสูรเล่าเกี่ยวกับดินแดนใต้พิภพ แต่เนื่องจากจักรพรรดิจอมอสูรเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตชั้นล่างของดินแดนใต้พิภพความรู้ของมันจึงมีจำกัด โดยเฉพาะข้อมูลของตัวตนระดับจ้าวอสูรซึ่งแทบจะเป็นศูนย์
“เจ้าหนู! ช่วยนายท่านโสมด้วย!” สามวันต่อมา จู่เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือของโสมเฒ่า เสียงของมันดังก้องมาแต่ไกล
“ฮ่าๆๆ มาอยู่ในชามข้าวของท่านกระต่ายเสียดีๆ!”
หลิงฮันลุกขึ้นยืนและมองเห็นโสมเฒ่ากำลังวิ่งหนีอย่างลนลาน ด้านหลังของมันมีกระต่ายที่สูงครึ่งคนวิ่งไล่ตามมา ความเร็วของทั้งสองสูสีไล่เลี่ยกัน หากหลิงฮันไม่ใช้เนตรแห่งสัจธรรมคงไม่อาจมองเห็นร่างของพวกมันได้เลย
เจ้ากระต่าย!
หลิงฮันตกตะลึง เหตุใดเจ้ากระต่ายที่สมควรอยู่ในทวีปฮงเทียนบนดาวเหอหนิงถึงได้มาปรากฏตัวที่นี่?
ตอนที่ 1240
ความเร็วของโสมเฒ่านั้นรวดเร็วมาก แต่เจ้ากระต่ายเองก็รวดเร็วเหมือนกัน ยิ่งมันไล่ตามโสมเฒ่ามากเท่าไหร่ กรงเล็บของมันก็ยิ่งใกล้ถึงตัวโสมเฒ่ามากขึ้นเท่านั้น
“ข้าตายแน่!” โสมเฒ่ากรีดร้องและรีบเร่งความเร็ว แต่ก็ยังไม่สามารถสลัดเจ้ากระต่ายหลุด
เมื่อมันเห็นหลิงฮันอยู่ตรงหน้า มันก็รีบวิ่งไปหาหลิงฮันด้วยสีหน้ามีความสุข
พรึบ เงาสีขาววิ่งผ่าน และเมื่อมันเห็นหลิงฮัน มันก็รู้สึกตกตะลึงและพูดว่า “เจ้าหนู รีบช่วยข้าจับโสมแก่นี่ซะ แล้วข้าจะแบ่งส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งให้เจ้า!”
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “เจ้าเป็นของข้าอยู่แล้ว ทำไมข้าจะต้องขอส่วนแบ่งจากเจ้าด้วย?”
เขาปล่อยฝ่ามือออกไปเพื่อหยุดการเคลื่อนที่ของเจ้ากระต่าย
“เจ้าหนู อย่าเข้ามาขัดขวางข้า!” เจ้ากระต่ายกรีดร้องและเร่งความเร็วราวกับสายฟ้าเพื่อหลบฝ่ามือของหลิงฮันและวิ่งไล่ตามโสมเฒ่าต่อ
หืม? เจ้ากระต่ายนี่ทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราแล้ว?
หลิงฮันประหลาดใจ ความเร็วของมันน่าทึ่งมาก เขาจับตามองไม่ทันเลย!
ถึงจะคิดเช่นนั้น แต่เขาก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง แล้วใช้ปราณดาบเพื่อหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของเจ้ากระต่าย ด้วยทักษะอัสนีคำรามที่รวดเร็วและทรงพลัง หากคู่ต่อสู้เป็นระดับสุริยันจันทราเหมือนกันก็แทบจะหลบหลีกไม่พ้นและไม่สามารถต้านทานได้
“เจ้าหนู ถ้าเจ้าสังหารเจ้ากระต่ายตัวนี้ให้ข้า ข้าจะตบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม!” โสมเฒ่าหยิบชุดชั้นในสีชมพูออกมาที่ไม่รู้ว่ามันเอามาจากไหนและยื่นให้กับหลิงฮัน
สีหน้าของหลิงฮันกลายเป็นบูดบึ้ง ชุดชั้นในสีชมพูที่มันหยิบออกมา เขาไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามันเอามาจากที่ไหน
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เจ้ากระต่ายระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน และนอนขำกลิ้งอยู่บนพื้น
“ขำอะไรของเจ้า?” โสมเฒ่ากล่าว “เจ้าหนู นี่เจ้ารู้จักเจ้ากระต่ายโง่ตัวนี้ด้วยอย่างนั้นรึ?”
“เจ้าหัวไชเท้า เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?” เจ้ากระต่ายลุกขึ้นมาอย่างกะทันหันและจ้องมองด้วยตาแดงก่ำ
หลิงฮันถอนหายใจ ทำไมรอบตัวเขาถึงมีแต่ตัวประหลาด? เขายื่นมือออกไปและพูดว่า “เจ้ากระต่าย ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” มันควรจะอยู่ที่จักรวรรดิต้าหลิง
“เมื่อข้ามาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็วิ่งไปทั่วทุกที่ แต่โชคร้ายข้าเผลอเข้าไปในรูปแบบอาคมโบราณและโผล่ออกมาที่นี่” เจ้ากระต่ายถอนหายใจ “อย่างไรก็ตาม ข้าก็ได้พบเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์บางอย่างเข้า หลังจากที่กินมันเข้าไปมันก็ทำให้ระดับพลังของข้ากลายเป็นระดับสุริยันจันทรา”
ทำไมมันถึงโชคดีขนาดนี้?
หลิงฮันส่ายหัว ทั้งที่เขาฝึกฝนอย่างหนักถึงจะทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราได้ ความก้าวหน้าของเขาถือว่าน่าอัศจรรย์ แต่เขาก็ไม่สามารถทนต่อความโชคดีของเจ้ากระต่ายนี่ได้ เจอเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์และกินมันเข้าไปก็ทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราแล้ว?
อย่างไรก็ตาม ถ้าระดับบ่มเพาะพลังเพิ่มขึ้นโดยผลของเม็ดยา รากฐานพลังจะไม่มั่นคงและเป็นไปไม่ได้ที่จะปลดปล่อยพลังออกมาได้เต็มที่
“เจ้ากระต่ายโง่ จงคุกเข่าต่อหน้าข้าซะเพื่อเป็นการขอโทษที่ไล่ตามข้ามาตลอดทาง!” โสมเฒ่ากล่าว
“เจ้าหัวไชเท้าเฒ่ามาที่ชามข้าวของข้าซะดีๆ!” แน่นอนว่าเจ้ากระต่ายจะไม่แสดงความอ่อนแอ
“หยุด!” หลิงฮันยื่นมือออกไปและหยุดเจ้ากระต่าย “เจ้ากระต่าย รูปแบบอาคมโบราณที่เจ้าว่ามันอยู่ที่ไหน?”
เขาไม่คิดเลยว่าดาวเหอหนิงจะมีรูปแบบอาคมเคลื่อนย้ายเชื่อมต่อกับที่นี่ ดังนั้นตอนที่เขาจะเดินทางกลับก็จะสะดวกมาขึ้นและไม่ต้องเสียเวลาเดินทางสองปี
“เจ้าหนู ทำไมข้าจะต้องบอกเจ้าด้วย” เจ้ากระต่ายส่ายหัวและพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “รูปแบบอาคมโบราณนั้นมีความซับซ้อนมาก มันจะต้องมีพิกัดที่สอดคล้องกันเพื่อไปยังอีกสถานที่หนึ่ง เจ้ารู้หรือไงว่าดาวเหอหนิงอยู่ที่ไหน หากเจ้าไม่รู้ก็มีแต่ส่งตัวเองไปที่ไหนก็ไม่รู้”
หลังจากที่ได้ยินหลิงฮันรู้สึกแปลกและพูดว่า “ถ้างั้นการที่เจ้ามาที่นี่ได้ นั่นหมายความว่าเจ้ารู้พิกัดใช่หรือไม่?” ถ้าไม่ใช่มันจะเคลื่อนย้ายจากดาวเหอหนิงมาที่ดาวหยุนติงได้อย่างไร? และมันน่าจะเดินทางกลับตามทางเดิม
แววตาของเจ้ากระต่ายเปลี่ยนไป ตอนแรกที่มันพูดออกมา มันยังไม่ทันคิดให้รอบคอบ ดังนั้นตอนนี้มันจึงพูดส่งๆไปเพราะไม่ต้องการให้หลิงฮันรู้
“หึ่ม รูปแบบอาคมเคลื่อนย้ายนั่นเก่าแก่เกินไป หลังจากที่ข้าเดินทางมาที่นี่มันก็หายไปแล้ว” มันส่ายหน้าและทำสีหน้าโศกเศร้า
หลิงฮันถอนหายใจ ดูเหมือนว่าตอนเดินทางกลับเขาจะต้องพึ่งพาพาหนะแหวกเมฆาเหมือนเดิม โชคดีที่เดินทางแค่สองปี ซึ่งเขาสามารถฝึกฝนอยู่ในหอคอยทมิฬได้อย่างไม่เสียเวลาเปล่า
“จะว่าไปแล้วดูเหมือนเจ้าจะคุ้นเคยกับที่นี่มาก?” หลิงฮันไม่พูดถึงรูปแบบอาคมเคลื่อนย้ายอีกต่อไปและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“นั่นเป็นเพราะ!” เจ้ากระต่ายกล่าวด้วยท่าทางภาคภูมิใจ “ข้ากินเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์เข้าไป ทำให้พลังของเขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ดังนั้นที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการต่อสู้”
นอกจากนั้นดาวหยุนติงยังเป็นสถานที่ที่เผ่ามนุษย์และสัตว์อสูรสามารถอาศัยอยู่ร่วมกันได้เพราะมีศัตรูร่วมกัน กลับกันหากที่นี่เป็นดาวเหอหนิง เจ้ากระต่ายคงถูกฆ่าไปทำอาหารไปแล้ว
ทว่าแววตาของโสมเฒ่ากลับเปล่งประกาย มันพูดกระซิบอยู่ข้างหูหลิงฮันว่า “เจ้าหนู สังหารเจ้ากระต่ายตัวนี้ซะ มันบอกว่ามีพลังของเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์อยู่ในร่างกาย ถ้าพวกเรากินมัน มันก็จะทำให้พวกเราก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด!”
“เจ้าหัวไชเท้า นี่้เจ้ากำลังซุบซิบอะไรอยู่?” เจ้ากระต่ายหูดีมาก มันกลายเป็นตื่นตัวและพูดว่า “ข้าต่างหากที่จะเป็นฝ่ายกินเจ้า!”
“หึ่ม กระต่ายโง่อย่างเจ้าน่ะรึจะกินข้า มันยังเร็วไปล้านปี!” โสมเฒ่าใช้หลิงฮันเป็นเกราะกำบังและรีบหลบไปอยู่ด้านข้าง
เจ้ากระต่ายวิ่งไล่โสมเฒ่าอยู่รอบตัวหลิงฮันเป็นวงกลม และซักพักมันก็เริ่มทำให้หงุดหงิด
ตุบ! ตุบ!
หลิงฮันยื่นมืออกไปคว้าตัวโสมเฒ่าและเจ้ากระต่ายพร้อมกัน แล้วพูดว่า “พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถทำเนื้อกระต่ายตุ๋นและโสมตุ๋นได้พร้อมกัน?”
เจ้ากระต่ายและโสมเฒ่าพากันตัวสั่น เมื่อนึงถึงฮูหนิวที่อยู่ข้างกายเด็กคนนี้
หลิงฮันโยนโสมเฒ่าและเจ้ากระต่ายลงกับพื้น จากนั้นเขาก็พูดว่า “เจ้ากระต่าย ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่มาสองปี เจ้ารู้อะไรบ้าง?”
เจ้ากระต่ายหันไปมองโสมเฒ่าและอดที่จะกลืนน้ำลายไม่ได้ จากนั้นมันก็พูดว่า “สนามรบสองดินแดนมีพลังปราณที่เบาบางมาก มันเป็นสถานที่ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับจอมยุทธ ทว่าเนื่องจากที่นี่คือสถานที่ที่ทั้งสองดินแดนเชื่อมต่อกัน จึงทำให้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้ำหั่นซึ่งกันและกัน แล้วกลายเป็นก้อนพลัง”
“โอ้ว?” หลิงฮันรู้สึกแปลกใจ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์นั้นไม่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะทำความเข้าใจมัน แต่การห้ำหั่นซึ่งกันและกันทำให้มันกลายเป็นพลังงาน?”
“มันเรียกว่าศิลาวิญญาณปฐพีที่ทำให้เจ้าสามารถยกระดับความเข้าใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้!” เจ้ากระต่ายกล่าว “ข้าเคยได้รับมันมาก้อนหนึ่ง หลังจากที่ดูดซับพลัง มันก็ได้สร้างความก้าวหน้าในวิถีแห่งเต๋าให้ครั้งอย่างมาก”
“ฮ่าฮ่าฮ่า และว่ากันว่าบางครั้งก็มีจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งมาที่สนามรบสองดินแดนเพื่อตามหาศิลาวิญญาณปฐพี แต่มันเป็นอะไรที่หาได้ยากมาก และยิ่งเจ้ามีระดับพลังสูงเท่าไหร่ เจ้าก็จะยิ่งต้องใช้ศิลาวิญญาณปฐพีมากขึ้นเท่านั้น”
หลังจากที่ได้ยิน หลิงฮันไม่รู้สึกแปลกใจว่าทำไมจักรวรรดิราชวงศ์ทั้งสองแห่งถึงกระตือรืนร้นที่จะต่อกรกับดินแดนใต้พิภพหรือเหตุผลว่าทำไมสิ่งมีชีวิตของทั้งสองดินแดนต่อสู้กันทุกคน นั่นเพราะเป็นทุกคนต่างต้องการศิลาวิญญาณปฐพีที่อยู่ที่นี่!
ตอนที่ 1241
“ศิลาวิญญาณปฐพีอยู่ที่ไหน?” หลิงฮันถาม
“เจ้าไม่น่าถาม มันแน่นอนอยู่แล้วว่าจะต้องอยู่ในสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองโลกห่ำหั่นกันมากที่สุด” เจ้ากระต่ายกล่าว
“นั่นหมายความว่าห่างออกไปหนึ่งหมื่นไมล์ตรงหน้า” หลิงฮันกล่าว ถ้าไปไกลกว่านั้นมันก็จะเป็นดินแดนใต้พิภพ ในเมื่อที่นี่คือฐานที่มั่นของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อีกฝั่งหนึ่งก็น่าจะเป็นฐานที่มั่นของดินแดนใต้พิภพ
ยิ่งพวกเขาอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากเท่าไหร่ ก็จะมีสิ่งมีชีวิตจากทั้งสองดินแดนแย่งศิลาวิญญาณปฐพีมากขึ้นเท่านั้น
ท้ายที่สุดนี่เป็นสงครามบุกโจมตี หรือสงครามป้องกันด้วยเองกันแน่ หรือมันเป็นแค่การใช้ประโยชน์จากสงคราม?
หลิงฮันส่ายหัว เขาขี้เกียจคิดมากเกินไป ในเมื่อเขามีต้นสังสารวัฎอยู่แล้ว เขาเลยไม่ต้องการศิลาวิญญาณปฐพีเท่าไหร่นัก ยิ่งไปกว่านั้นเป้าหมายการเดินทางของเขาครั้งนี้คือก็เพื่อตามหาสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะเท่านั้น
เขายังคงรอให้กองกำลังจันทราม่วงเคลื่อนไหว หลังจากที่โสมเฒ่าและเจ้ากระต่ายทะเลาะกันเสร็จ พวกมันก็กอดคออย่างสนิทสนมราวกับเป็นเพื่อนซี้
จากนั้นเจ้ากระต่ายและโสมเฒ่าก็บอกเขาว่าจะไปตามหาศิลาวิญญาณปฐพีด้วยกัน แล้วทั้งสองคนก็รีบวิ่งจากไปทันที แต่หลิงฮันก็ไม่ได้สนใจ
ระหว่างรอ เขาหยุดฝึกฝนวรยุทธและปรุงยาเอาไว้ก่อน ก่อนหน้านี้เขาได้รับสูตรหลอมเม็ดยาโบราณมาหลายสูตร แม้ว่าเขาจะกลายเป็นนักปรุงยาระดับแปดแล้ว แต่จำนวนสูตรปรุงยาที่เขาครอบครองอยู่นั้นยังถือว่าน้อยมาก แล้วเขาจะคู่ควรกับชื่อจักรพรรดินักปรุงยาได้อย่างไร?
เขาปล่อยจักรพรรดิจอมอสูรออกมาด้านนอก ส่วนหลิงฮันก็เข้าไปในหอคอยทมิฬ ถ้ากองกำลังจันทราม่วงมีการเคลื่อนไหวอะไร จักรพรรดิจอมอสูรก็จะส่งเสียงเรียกเขา
ปัง!
หลิงฮันเพิ่งจะมาถึงต้นสังสารวัฎ เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงอยู่ใกล้ๆเลยรีบออกจากหอคอยทมิฬทันที แต่สิ่งที่เขาเห็นคือจักรพรรดิจอมอสูรกำลังต่อสู้กับกลุ่มคนอยู่
คนกลุ่มนี้มีแค่สามคนที่เป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา ส่วนคนที่เหลือเป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารี อย่างไรก็ตามหุ่นเชิดที่จักรพรรดิจอมอสูรสิงอยู่นั้นก็ได้รับความเสียหายหนักมาก พลังของมันจึงลดเหลือแค่ระดับภูผาวารีเท่านั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะหุ่นเชิดตัวนี้เป็นหุ่นเชิดระดับสุริยันจันทรา ภายใต้การถูกลุมโจมตี จักรพรรดิจอมอสูรคนจะตายไปนานแล้ว
หลิงฮันไม่พอใจ เขารีบกระโจนออกไปและพูดว่า “หยุด!”
“นายท่าน!” จักรพรรดิจอมอสูรกรีดร้อง และรีบหลบไปอยู่ด้านข้างหลิงฮันทันที การปรากฏตัวของหลิงฮันเป็นเหมือนพระเจ้าที่เข้ามาช่วยชีวิตของมัน ทำให้มันรู้สึกตื่นเต้นจนอยากจะร้องไห้ออกมา
ทว่าคนกลุ่มนั้นก็ยังคงไม่หยุดมือและแอบแสยะยิ้ม คนผู้หนึ่งเดินออกมาและพูดว่า “เจ้าคนชั่วช้า เจ้ากล้าดีอย่างไรที่สมรู้ร่วมคิดกับปีศาจจากดินแดนใต้พิภพ!”
หรือว่าคนพวกนี้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของจักรพรรดิจอมอสูรแล้ว?
หลิงฮันต่อยหมัดออกไปและบังคับให้คนที่พูดถอยหลัง “หุ่นเชิดตัวนี้คือข้ารับใช้ของข้า แล้วมันจะเกี่ยวข้องกับดินแดนใต้พิภพได้อย่างไร?”
จักรพรรดิจอมอสูรหลบอยู่ด้านหลังหลิงฮันและพูดว่า “นายท่าน คำสั่งที่นายท่านมอบหมายให้ข้าจับตาดูการเคลื่อนไหวของกองกำลังจันทราม่วง ข้าเลยออกจากหุ่นเชิดตัวนี้ ด้วยเหตุนี้ทำให้ข้าถูกคนพวกนี้เห็น พวกมันเลยแห่กันเข้ามาสังหารข้า”
ก่อนหน้านี้มันกลายเป็นหมอกดำ ถึงจะบินบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็สามารถยืดร่างกายเพื่อสังเกตการณ์จากที่สูงได้ แต่มันกลับกลายเป็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
หลิงฮันพยักหน้า เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ความผิดของจักรพรรดิจอมอสูร มันแค่ต้องการทำตามคำสั่งของเขาให้สำเร็จลุล่วง
“เจ้าหนู หากเจ้าไม่หลบจะถือว่าเจ้าเป็นคนทรยศของดินแดนศักดิ์สิทธิ์และจะต้องถูกประหาร!” อีกฝ่ายพูดข่มขู่
“หยุดพูดเหลวไหลกับมันได้แล้ว บางทีเจ้าเด็กนี่อาจเป็นจอมยุทธจากดินแดนใต้พิภพที่ปลอมตัวมาก็ได้ รีบสังหารเจ้าเด็กนี่ซะ!”
“บางทีเจ้าเด็กนี่อาจเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่ก็เป็นได้และน่าจะมีสมบัติติดตัวมากมาย!”
คนเหล่านั้นเริ่มแสดงสีหน้าโลภมากออกมาให้เห็น
หลิงฮันกล่าว “พวกเจ้าคงเป็นโจรปล้นคนอื่นที่ชอบปล้นคนที่อยู่คนเดียว”
“ฮึ่ม!” คนเหล่านั้นแสยะยิ้ม “ในเมื่อเจ้าคิดแบบนั้น เช่นนั้นก็ตายซะ!”
ถึงหลิงฮันจะเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา แต่เขาก็อยู่แค่ระดับสุริยันจันทราขั้นต้นชั้นกลางเท่านั้นและตัวคนเดียว ขณะที่อีกฝ่ายมีจอมยุทธระดับสุริยันจันทราสามคน
แววตาของหลิงฮันเผยให้เห็นถึงจิตสังหาร ในเมื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็จะสังหารพวกมันให้มัน
“ลุมมันเลย!”
คนกลุ่มนี้ไม่สนการต่อสู้ตัวต่อตัว และจอมยุทธมากกว่าสิบคนก็กระโจนเข้าหาหลิงฮันและจักรพรรดิจอมอสูรพร้อมกัน
สีหน้าของหลิงฮันดูมืดมนและเขาก็พูดว่า “ถ้าพวกเจ้าไปต่อสู้กับจอมยุทธจากดินแดนใต้พิภพที่อยู่ตรงหน้า และไม่รอดักซุ่มโจมตีคนที่อยู่ที่นี่ พวกเจ้าคงไม่มีจุดจบเช่นนี้!” หลิงฮันตวัดนิ้วและหัวของโจรผู้หนึ่งก็หลุดออกจากบ่าทันทีและดวงวิญญาณของมันก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ จากนั้นร่างกายของมันก็ดิ้นไปมาอยู่ซักพักก่อนที่จะแน่นิ่งอย่างสมบูรณ์
“เจ้ากล้า!” กลุ่มโจรต่างแสดงความโกรธเกรี้ยว ถึงจอมยุทธระดับภูผาวารีคนหนึ่งจะถูกสังหารได้อย่างง่ายดาย แต่พวกมันก็ยังไร้ความหวาดกลัวและโจมตีหลิงฮันต่อ
ตู้ม!
หลิงฮันปล่อยฝ่ามือออกไปและหัวของโจรอีกคนหนึ่งก็ลอยขึ้นไปในอากาศและร่างของมันก็แน่นิ่งหายไปพร้อมกับดวงวิญญาณ
ถ้าต้องการสังหารจอมยุทธขอบเขตพระเจ้าจะต้องบดขยี้ดวงวิญญาณของอีกฝ่าย มิฉะนั้นวิญญาณของมันอาจหลุดรอดไปได้ และถ้ามันได้กายหยาบใหม่ก็อาจทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! หัวของกลุ่มโจรระเบิดออกจากบ่าทีละคน ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกมันมีกันหลายสิบคน แต่ตอนนี้เหลือแค่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราสามคนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ทั้งสามคนที่เหลือรอดอยู่ก็รู้สึกหวาดหวั่นด้วยความโกรธ เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเป็นเหมือเทพสังหาร เพียงแค่หนึ่งฝ่ามือก็สามารถสังหารหนึ่งในพรรคพวกของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ความแข็งแกร่งดังกล่าวทำให้พวกมันหวาดกลัว
แข็งแกร่งมาก
“บัดซบ!” หนึ่งในสามโจรตะโกน “น้องสอง น้องสาม อย่าลังเลที่จะใช้ยันต์อาคมของพวกเจ้า มิฉะนั้นพวกเราจะไม่มีวันรอดออกจากที่นี่” จากนั้นเขาก็นำยันต์อาคมใบหนึ่งแปะที่หน้าอก
ทันใดนั้นแสงสีแดงก็ระเบิดออกมาจากร่างกายของเขากลายเป็นเปลวเพลิงที่ไม่รู้จบ และทำให้กลิ่นอายของเขาแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า
สองคนที่เหลือรีบนำยันต์อาคมออกมาและแปะบนร่างกาย
พวกมันทั้งสามคนฝึกฝนทักษะเดียวกันและใช้ยันต์อาคมแบบเดียวกัน แสงสีแดงอันร้อนแรงระเบิดออกมาจากร่างและทำให้พลังของพวกมันทะยานสูงขึ้นไปอยู่ที่ระดับสุริยันจันทราขั้นกลาง
“ตาย!” ทั้งสามคนผสานการโจมตีเพื่อที่จะฆ่าหลิงฮัน
หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจ ยันต์อาคมประเภทเสริมพลังต่อสู้นั้นล้ำค่ามาก แต่โจรสามคนกลับมีไว้ครอบครอง – หรือว่ามันจะแลกมาจากแต้มสังหาร?
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงมีจอมยุทธจำนวนมาก เพราะในสนามรบก็เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ ตราบใดที่พวกเขาสามารถสะสมแต้มสังหารได้มากพอ ก็สามารถแลกเปลี่ยนเป็นสมบัติได้ทั้งหมด
แต่น่าเสียดายที่ยันต์อาคมเสริมพลังต่อสู้กลับถูกใช้โดยโจรสามคนนี้ ช่างเป็นอะไรที่น่าเสียดายจริงๆ
หลิงฮันโคจรพลังอำนาจสวรรค์ และทั้งสามคนก็คุกเข่าลงกับพื้นอย่างไร้พลัง
พวกมันแค่พึ่งพาพลังของยันต์อาคมเพื่อยกระดับพลังต่อสู้ แต่ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณของพวกมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย แล้วพวกมันจะต่อต้านอำนาจสวรรค์ของหลิงฮันได้อย่างไร?
ตอนที่ 1242
“อย่าสังหารข้า!!”
ทั้งสามคนหวาดกลัวและโอดครวญร้องไห้น้ำตาไหล เมื่อต้องเผชิญหน้ากับช่วงความเป็นความตาย พวกเขาแต่ละคนได้แสดงนิสัยสันดานที่แท้จริงของแต่ละคนออกมา พวกเขาไม่สนใจชีวิตของสหายอีกต่อไป
“พวกเจ้ามีค่าอะไรที่จะปล่อยให้มีชีวิตต่อไป?” หลิงฮันกล่าว
“นายท่าน ให้จักรพรรดิน้อยจัดการเอง!” จักรพรรดิจอมอสูรเค้นเสียงฮึดฮัด ก่อนหน้านี้มันถูกทั้งสามคนนี้รุมโจมตี เป็นธรรมดาที่เมื่อมีโอกาสมันจึงต้องการแก้แค้นเอาคืน
มันเป็นสิ่งมีชีวิตใต้พิภพที่ชั่วร้าย การสังหารมนุษย์ไม่ได้ทำให้มันรู้สึกผิดหรือสงสารแม้แต่น้อย
“ไม่! ไม่!” ทั้งสามคนร้องโอดครวญ
“ยกโทษให้ข้าด้วย ข้ามีแผนที่เก่าแก่ที่จะนำทางไปสู่ตำแหน่งที่ตั้งของสมบัติโบราณ!” ชายคนหนึ่งกล่าว
“ว่าไงนะ!” อีกสองคนอุทานออกมา
“ไหนเจ้าบอกว่าทำแผนที่ที่ว่าหายไปแล้วไง?”
“ที่แท้เจ้าก็ตั้งใจเก็บมันเอาไว้คนเดียว!”
ทั้งสองคนสถบด่าอย่างเกรี้ยวกราด
จักรพรรดิจอมอสูรมองไปยังหลิงฮันและรู้ว่าหลิงฮันสนใจแผนที่สมบัติที่ว่า มันทำขรึมและเค้นเสียงกล่าว “แผนที่สมบัติอันใด จงมอบมันมาเดี๋ยวนี้!”
“หากข้ามอบให้เจ้าต้องไว้ชีวิตข้านะ?” ชายคนนั้นเอ่ยถาม
ตูม!
จักรพรรดิจอมอสูรปล่อยหมัดใส่ชายคนนั้นและกล่าวข่มขู่ “เจ้ามีสิทธิ์ต่อรองงั้นรึ?”
ชายคนนั้นหวาดกลัวจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว เขารีบกล่าวออกมา “อย่าสังหารข้า! ข้าจะพาเจ้าไปยังที่ซ่อนแผนที่เอง”
“เจ้าไม่ได้เก็บไว้กับตัว?” จักรพรรดิจอมอสูรถาม
“ไม่!” ชายคนนั้นรีบส่ายหัว ถึงแม้พวกเขาทั้งสามคนจะเป็นสหายกันแต่ก็ไม่มีใครเชื่อใจกันและกัน เช่นนั้นแล้วเขาจะเสี่ยงเก็บแผนที่สมบัติไว้ในอุปกรณ์มิติได้อย่างไร?
หากมีโอกาสพวกเขาก็อาจจะปล้อนกันเองได้ ดังนั้นสมบัติล้ำค่าจึงไม่อาจเก็บไว้กับตัวเดินไปไหนมาไหน
จักรพรรดิจอมอสูรมองไปยังหลิงฮันและเห็นท่าทีของหลิงฮันยังคงแน่นิ่งเช่นเดิม มันตัดสินใจสังหารชายสองคนที่ไร้ประโยชน์ด้วยการปล่อยหมัดระเบิดหัว ชายที่เหลืออยู่หวาดกลัวจนฉี่แตกออกมา
ถึงแม้พวกเขาทั้งสามคนจะเคยสังหารคนมามากมาย แต่เมื่อเห็นพวกตัวเองโดนระเบิดหัวเช่นนี้ เขาก็อดรู้สึกเข่าอ่อนไม่ได้
จักรพรรดิจอมอสูรให้นักล่าที่เหลืออยู่นำทางโดยที่หลิงฮันเดินตามหลังมา นักล่าได้พาพวกเขาไปยังหุบเขาเล็กๆแห่งหนึ่ง เมื่อเขาขยับโขดหินออก ด้านล่างโขดหินก็มีแหวนมิติวงหนึ่งซ่อนเอาไว้บริเวณรอยร้าวของใต้โขดหิน
ถ้าไม่ใช่เพราะนักล่าเป็นคนบอกที่ซ่อน คงแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนหาแหวนมิติวงนี้พบ
จักรพรรดิจอมอสูรหยิบแหวนมิติไปมอบให้หลิงฮันด้วยท่าทีประจบสอพลอ
หลิงฮันรับแหวนมาและใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบ ด้านในมีของอยู่เล็กน้อยอย่างเช่นผลึกก่อเกิด ทักษะบ่มเพาะ แร่โลหะรวมถึงแผนที่
เขานำแผนที่ออกมาจากแหวนและกล่าว “แผนที่นี้มีที่มายังไง?”
“ข้าเองก็ไม่รู้ ข้าเพียงเจอมันตอนที่ปล้นคนกลุ่มหนึ่ง” นักล่ากล่าว “ทีนี้จะช่วยปล่อยข้าไปได้รึยัง?”
“ปล่อยตัวน้องสาวเจ้าน่ะสิ!” จักรพรรดิจอมอสูรปล่อยหมัดสังหารนักล่าทันที
หลิงฮันไม่มีความสารแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรจุดประสงค์ของคนพวกนี้คือการปล้นฆ่า การกระทำที่น่ารังเกียจของพวกเขาไม่น่าเห็นใจแม้แต่น้อย
“ที่นี่… คือที่ไหน?” หลิงฮันมองดูแผนที่ บริเวณจุดกึ่งกลางของแผนที่ถูกวงกลมไว้ด้วยหมึกสีแดง มันสมควรเป็นที่ที่มีสมบัติอยู่ เพียงแต่ว่าภูมิประเทศบริเวณรอบๆจุดที่ถูกวงไว้นั้นเขาไม่คุ้นแม้แต่น้อย
“เมื่อพูดถึงสมบัติแล้ว ข้ายังมีภารกิจต้องตามหาตำแหน่งเขตแดนลี้ลับสิบสองสวรรค์อีก”
หลิงฮันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนอยู่บนโลกใบเล็ก เขตแดนลี้ลับสิบสองสวรรค์ถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์สิบสองคนที่คอยรับใช้ราชันวารีสวรรค์ ตราบใดที่เขาหาที่ตั้งของสิบสองเขตแดนลี้ลับสวรรค์เจอ เขาจะได้รู้ตำแหน่งที่ซ่อนสมบัติสืบทอดที่แท้จริงของราชันวารีสวรรค์
ก่อนหน้านี้หลิงฮันอาศัยอยู่ที่ดาวเหอหนิงมาตลอด ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะหาตำแหน่งเขตแดนพบ แต่ตอนนี้เขาออกเดินทางมายังดาวหยุนติ่ง บางทีเขาอาจจะลองเดินทางตามหาดู
“ว่าแต่ว่าแต่ว่าใครคือราชันวารีสวรรค์กัน?”
“ทักษะศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าได้รับจากเขตแดนลี้ลับบนโลกใบเล็กนั้น ไม่ว่าจะเป็นทักษะกายาเก้ามังกรทรราชหรือทักษะศรฆ่ามังกรทะลวงดาราก็ล้วนแต่เป็นทักษะศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง ด้วยวิสัยทัศน์ของข้าในตอนนี้ราชันวารีสวรรค์สมควรเป็นตัวตนระดับวารีนิรันดร์เป็นอย่างน้อย”
“จริงสิ จำได้ว่าข้าได้รับไข่มาจากเขตแดนลี้ลับด้วย”
หลิงฮันครุ่นคิดและนำไข่ออกมาทันที
ไข่ใบนี้เป็นสิ่งที่เขาได้รับมาจากขตแดนลี้ลับสิบสองสวรรค์ เขาเก็บมันเอาไว้ในหอคอยทมิฬตลอดตั้งแต่ได้รับมา และเพราะว่าไข่ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรเสียทีเขาจึงลืมมันไปสนิท
“ไข่ใบนี้มีพลังงานชีวิต มันยังสามารถฟักได้อยู่”
“แต่ต้องรออีกนานเท่าใด?”
“นี่คือไข่ที่เป็นทายาทของอีแร้งเพลิงสีคราม โดยปรกติแล้วมันไม่สมควรใช้เวลาฟักนานขนาดนี้ หรือจะเป็นเพราะหอคอยทมิฬ? มิติภายในหอคอยทมิฬสามารถนำสิ่งมีชีวิตเข้าไปอยู่ได้ก็จริง แต่ภายในนั้นไม่มีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ใดๆ มันไม่ใช่โลกที่แท้จริง”
“ไข่ใบนี้เป็นไข่ของอีแร้งเพลิงสีคราม… แต่หากฟักออกมาแล้วมันจะยังเป็นอีแร้งเพลิงสีครามอยู่รึเปล่า?”
“หรือข้าควรจะกินไปเลยดีนะ?”
ความคิดนี้แวบผ่านเข้ามาในหัวหลิงฮัน แต่สุดท้ายเขาก็เลือกจะเก็บไข่เอาไว้แบบนี้ บางทีถ้าเขานำมันออกมารับแสงแดดภายนอก ไข่อาจจะฟักตัวก็เป็นได้
เขาวางไข่เอาไว้ข้างๆและนั่งบนโขดหินก่อนจะเริ่มคิดอะไรบางอย่าง
“หากต้องการลงไปยังโลกใบเล็กจำเป็นต้องมีการช่วยเหลือการจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา และด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่แบ่งแยกระหว่างสองโลกจอมยุทธที่ลงไปจะต้องผนึกพลังบ่มเพาะของตนเองให้เหลือเพียงระดับทลายมิติ”
“นอกเสียจากว่าเป็นจะตัวตนจากดินแดนแห่งเซียนถึงจะสามารถเมินเฉยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของโลกใบเล็กได้”
“เดี๋ยวก่อน เช่นนั้นเฒ่าจักรพรรดิเพลิงอัสนีที่ข้าเจอ… ก็เป็นตัวตนจากดินแดนแห่งเซียนน่ะสิ?”
จักรพรรดิเพลิงอัสนีมอบภารกิจให้เขาตามหาเขามังกรแท้จริงและขนนกอมตะสวรรค์ซึ่งพวกมันล้วนแต่เป็นสัตว์อสูรระดับเซียน จากคำพูดที่ดูไม่แยแสของเฒ่าจักรพรรดิเพลิงอัสนีเมื่อพูดถึงเขามังกรแท้จริงกับขนนกอมตะสวรรค์แล้ว หลิงฮันก็พอเข้าใจได้หากอีกฝ่ายเป็นตัวตนจากดินแดนแห่งเซียน
“ให้ตายเถอะ เหตุใดทวีปฮงเทียนถึงได้ดึงดูดสัตว์ประหลาดมามากมายเช่นนี้?”
หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจ จักรพรรดิจอมอสูรเคยบอกว่าทวีปฮงเทียนนั้นครั้งหนึ่งเคยขึ้นมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผ่านการเปิดสวรรค์แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงย้อนกลับไปยังโลกใบเล็กได้ การเปิดสวรรค์ของหลิงฮันเป็นครั้งที่สองของทวีปฮงเทียน
“บางทีเรื่องนี้ข้าคงหาคำตอบได้หลังจากเข้าไปยังดินแดนแห่งเซียนได้แล้วเท่านั้น”
“อย่างน้อยที่รู้ตอนนี้ก็คือจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งไม่สามารถนำแผ่นดินจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ลงไปยังโลกใบเล็กได้ ที่พวกเขาทำได้คือสร้างโลกและทำลายดวงดาว”
“ที่ข้าได้รับสืบทอดหอคอยทมิฬดูถ้าจะเป็นอะไรที่อันตรายเสียแล้ว”
หลิงฮันส่ายหัว เขานำไข่กลับเข้าไปในหอคอยทมิฬและรอให้กองกำลังของกองทัพจันทราม่วงเคลื่อนไหว
ตูม!
แต่ทันใดนั้นเอง คลื่นดาบที่ส่องสว่างก็พุ่งเข้ามาใส่หลิงฮัน พลังของมันนั้นน่าสะพรึงกลัวจนราวกับท้องฟ้าจะล่มสลาย
“ตายซะเจ้านักล่า!”
ตอนที่ 1243
คลื่นดาบรวดเร็วมาก มันเคลื่อนที่มาถึงเป้าหมายก่อนที่เสียงจะตามมาเสียอีก
หลิงฮันกำหมัดตอบโต้ ‘ตูม’ คลื่นดาบแตกสลายทันที ร่างของคนคนหนึ่งถูกคลื่นหมัดของเขากระแทกเช่นกัน
อีกฝ่ายสามารถสลายพลังหมัดของหลิงฮันได้และร่วงลงพื้นอย่างมั่นคง
อีกฝ่ายเป็นสตรีที่รูปลักษณ์ดูมีอายุในช่วงยี่สิบปี นางมีใบหน้าที่งดงามแต่ดูหยิ่งยโส ดูแล้วนางคงไม่ใช่คุณหนูจากตระกูลใหญ่แต่เป็นสตรีที่ถูกประคบประหงมโดยนิกาย
ทันใดนั้นได้คนเจ็ดคนเดินตามเข้ามา ทั้งเจ็ดเป็นบุรุษทั้งหมด ในกลุ่มพวกเขามีคนเดียวที่เป็นชายชราผมขาวโดยที่อีกหกคนเป็นรุ่นเยาว์
“ศิษย์น้อง!” รุ่นเยาว์ทั้งหกพุ่งเข้ามาหาสตรีคนนั้นทันที
“ศิษย์น้อง เจ้าไม่บาดเจ็บใช่รึไม่?”
“หมอนั่นทำร้ายเจ้ารึ?”
“ฮึ่ม กล้ามากที่ทำร้ายศิษย์น้องของข้า!”
รุ่นเยาว์เหล่านั้นเอาอกเอาใจสตรีงามพร้อมกับสบถด่าหลิงฮันไปด้วย แววตาของพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารและเมินเฉยความจริงที่ว่าสตรีผู้นนั้นเป็นฝ่ายลงมือก่อนไปอย่างสิ้นเชิง
หลิงฮันอดหัวเราะไม่ได้ สตรีผู้นั้นเป็นคนลงมือก่อนเขาแค่ป้องกันตัวเท่านั้น เขาส่ายหัวและกล่าว “พวกเจ้าไม่รู้สึกว่านางต้องฝ่ายอธิบายและขอโทษข้าบ้างรึไง?”
“อธิบาย?”
“ขอโทษ?”
เหล่ารุ่นเยาว์ยิ้มอย่างเย็นชา ทำร้ายศิษย์น้องของพวกนางแล้วยังคิดจะให้พวกเขาอธิบายกับขอโทษงั้นรึ? หมอนี่ยังสติดีอยู่รึเปล่า?
“ฮึ่ม เจ้ามันพวกนักล่า มีเหตุผลอะไรข้าต้องอธิบายและขอโทษเจ้าด้วย!” สตรีผู้นั้นกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ความสงสัยในใจหลิงฮันก็หายไปทันที
เป็นความจริงที่ต่อหน้านักล่าที่ปล้นชิงสังหารผู้อื่นนั้นไม่จำเป็นต้องพูดพล่ามอะไร แต่ส่วนไหนของข้าที่เจ้ามองแล้วเป็นนักล่ากัน?
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นนักล่า?” หลิงฮันส่ายหัว “ตาของเจ้าคงมีปัญหาแล้ว ข้าว่าเจ้าควรดูแลรักษาตาของเจ้าบ้างนะ!”
“เจ้าหัวขโมย แผนที่ในมือของเจ้าเป็นของศิษย์พี่ข้า ถ้าเจ้าไม่ใช่นักล่าเจ้าจะมีมันอยู่ในมือได้อย่างไร?” สตรีผู้นั้นพยายามระงับความโกรธและคำรามใส่หลิงฮัน
“ช่างน่าขัน!” หลิงฮันตะคอกกลับ “ข้าจะบังเอิญสังหารนักล่าแล้วได้ของของพวกมันมาไม่ได้รึไง?”
“เหอๆ หนุ่มน้อย หากเป็นเช่นนั้นก็คืนแผนที่มาให้พวกเราซะ” ชายชราเปิดปากพูด เขากล่าวด้วยน้ำเสียงโทนต่ำแต่อัดแน่นไปด้วยพลัง
ชายชราคือจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูง แน่นอนว่าเขาไม่เห็นหลิงฮันอยู่ในสายตา
หลิงฮันหัวเราะ “ข้าไม่รู้ว่าแผนที่นี้แต่เดิมเป็นของพวกเจ้ารึไม่ แต่ในเมื่อข้าได้มันมาแล้วและพวกเจ้าต้องการได้คืน ทำไมพวกเจ้าไม่พูดจาให้น่าฟังเสียหน่อยล่ะ?”
“ข้าไม่ใช่ทาสบริวารของพวกเจ้า แต่พวกเจ้ากลับทำท่าทีสูงส่งใส่ข้า ทำไมข้าต้องคืนให้ด้วย?”
“โอหัง!” รุ่นเยาว์คำราม “แผนที่นั่นเป็นของพวกเรา เจ้าก็ต้องคืนให้พวกเรา?”
หลิงฮันชะงัก “ของพวกเจ้า? แผนที่แผ่นนี้อาจจะถูกเขียนขึ้นเมื่อหลายสิบล้านปีก่อนก็ได้ เกรงว่าเจ้าของมันคงตายไปนานแล้ว เหตุใดมันถึงกลายเป็นของพวกเจ้าได้?”
“เจ้าหนู เจ้ากำลังคิดหาเรื่องใส่ตัวอยู่งั้นรึ?” ชายชรากล่าวด้วยเสียงหนักอึ้ง
“ท่านอาจารย์เจ็ด ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาสนทนากับคนเช่นนั้น จัดการเขาเลยดีกว่า!” สตรีผู้นั้นกล่าว
ชายชราครุ่นคิดชั่วครู่และกล่าว “อืม พยายามอย่าทำให้เขาบาดเจ็บล่ะ”
รุ่นเยาว์ทั้งเจ็ดแสยะยิ้ม พยายามอย่าทำให้บาดเจ็บก็หมายถึงแม้จะทำให้บาดเจ็บก็ไม่มีปัญหา
กลุ่มคนเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าพวกโจรนักล่าก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะชายชราที่มีพลังระดับสุริยันจันทราขั้นสูง รุ่นเยาว์ทั้งเจ็ดก็เป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราเช่นกัน ขั้นพลังของพวกเขาและนางคือขั้นต้นชั้นต่ำไปจนถึงปลาย ไม่มีใครเลยที่บรรลุขั้นกลาง
ถ้าหากพวกเขาไม่มีพลังเช่นนี้ พวกเขาจะกล้าไล่ตามหานักล่าได้อย่างไร?
ดูเหมือนว่าแผนที่แผ่นนี้จะล้ำค่ามากจริงๆ
หลิงฮันครุ่นคิดและนำแผนที่เก็บเข้าไปในหอคอยทมิฬ เขากล่าวอย่างเย็นชา “แม้พวกเจ้าจะไม่ใช่นักล่า แต่นิสัยของพวกเจ้าก็เลวร้ายไม่ต่างกัน ข้าขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย… จงขอโทษข้าซะ!”
“ไร้สาระสิ้นดี เวลาเช่นนี้ยังกล้าขู่พวกข้ารึ?”
“สังหารเขาเลย อุปกรณ์มิติไม่สามารถหนีไปได้อยู่แล้ว!”
“ถูกแล้ว สังหารเขาเลย อย่างไรพวกเราก็เป็นถึงศิษย์ของนิกายดาบสวรรค์!”
ทั้งเจ็ดคนกล่าวตามๆกัน
นิกายดาบสวรรค์?
จิตสังหารของหลิงฮันทะลักออกมาทันที เขายังไม่ทันได้ตามหาห้านิกายโบราณก็เกิดเรื่องนี้ก่อนเสียแล้ว
ที่แท้ก็เป็นคนของห้านิกายโบราณ… ถึงว่าทำไมช่างยิ่งยโสนัก
เขากล่าวอย่างไม่แยแส “พวกเจ้าไม่กลัวว่าข้าจะมีผู้หนุนหลังที่เหนือกว่านิกายดาบสวรรค์บ้างรึ?”
“เหอๆ คนที่มีผู้หนุนกลังเขาไม่เดินเผ่นผ่านไปมาคนเดียวหรอก คนเหล่านั้นต้องมีผู้คุ้มกันคอยคุ้มครองอยู่ในเงามืด” รุ่นนเยาว์คนหนึ่งเกรี้ยวกราด นี่คิดว่าพวกเขาเป็นคนโง่รึไง
“ไหนๆแล้วจะบอกให้แล้วกัน” รุ่นเยาว์อีกคนหนึ่งกล่าวแทรก “พวกข้าที่อยู่ที่นี่ทุกคนล้วนมาจากตระกูลใหญ่ที่มีสัญลักษณ์บ่งบอกชัดเจน!” เขาพับแขนขึ้นเผนให้เห็นสัญลักษณ์ที่สลักเอาไว้ มันมีขนาดเล็กมาก หากไม่สังเกตดีๆคงมองไม่เห็น
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “ขอบคุณที่บอก เพื่อเป็นการตอบแทนข้าจะส่งพวกเจ้าไปลงนรกให้เอง!”
เขาตั้งใจจะบดขยี้ห้านิกายโบราณอยู่แล้ว แต่ใช่ว่าเขาจะต้องการสังหารทุกคนในนิกาย เขาคิดว่าในนิกายที่ชั่วร้ายก็ต้องมีคนดีอยู่บ้าง ดังนั้นเขาจึงคิดจะยุบห้านิกายทิ้งและสังหารเฉพาะตัวตนระดับสูงของนิกายเท่านั้น คนอื่นๆเขาจะปล่อยให้รอดชีวิต
แต่เมื่อเห็นเหล่าคนที่อยู่ตรงหน้าแล้ว จิตสังหารของเขาก็พลุกพล่านออกมา
“พูดจาใหญ่โต!” ทั้งเจ็ดคนแสยะยิ้ม อย่ามองว่าพวกเขาเป็นรุ่นเยาว์ไร้เดียงสา พวกเขาแต่ละคนต่างบ่มเพาะพลังมาแล้วกว่าสองหรือสามแสนปี มือของพวกเขาเปื้อนเลือดมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะมีความรู้สึกเมตตาต่อเป้าหมาย
“แผนที่สมบัตินั่นล้ำค่ามาก จะให้เจ้ามีชีวิตต่อไปคงไม่ได้!”
“ฆ่า!”
ทั้งเจ็ดคนลงมืออย่างไรความปรานี
หลิงฮันเค้นเสียง เขาใช้หนึ่งนิ้วปล่อยปราณดาบราวกับสายฝนเข้าใส่รุ่นเยาว์ทั้งเจ็ด
ที่เขาไม่สังหารคนเหล่านี้ตั้งแต่แรกไม่ใช่เพราะเขาอ่อนโยนหรือเมตตา แต่เป็นเพราะเขาไม่มีนิสัยของสังหารใครมั่วซั่ว แต่ว่าตอนนี้คนเหล่านี้เป็นฝ่ายแส่หาความตายเองเขาก็ไม่รังเกียจที่จะสนองความต้องการของพวกเขา
“ไม่ดีแล้ว!” เมื่อชายชราเห็นการโจมตีของหลิงฮันเขาก็ตกตะลึงทันที
น่าสะพรึงกลัว… แค่นิ้วนิ้วเดียวกลับสามารถปลดปล่อยการโจมตีที่รุนแรงเกือบจะเทียบเท่าเขาได้เลย
ต้องรู้ก่อนว่าหลิงฮันทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราขั้นต้นชั้นกลางแล้ว ด้วยพลังต่อสู้หกดาวของเขาทำให้เขาสามารถปลดปล่อยการโจมตีได้รุนแรงเท่ากับระดับสุริยันจันทราขั้นกลางชั้นสูงสุด
‘ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ’ ทั้งเจ็ดคนถูกปราณดาบเชือดเฉือนพร้อมกันและไม่มีใครเลยที่รอดชีวิต
แม้ชายชราจะลงมือแล้วแต่ก็ยังช้าไป เขาทำได้เพียงมองลูกศิษย์ทั้งเจ็ดถูกสังหาร
ทั้งเจ็ดคนนี้คืออัจฉริยะที่นิกายฟูมฟักมาเป็นเวลากว่าสองถึงสามแสนปี!
โลหิตในใจของชายชราแทบจะไหลหยดออกมา
เขามองไปยังหลิงฮันด้วยท่าทีโหดเหี้ยม “เจ้าหนู ข้าจะแล่เนื้อของเจ้าเป็นชิ้นๆแล้วนำไปให้สุนัขกินให้หมด!”
ตอนที่ 1244
จอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายดาบสวรรค์คือจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสมบูรณ์ ดังนั้น แม้จะเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้นก็ถือว่าเป็นขุมพลังสำคัญของนิกายดาบสรรค์ อาจกล่าวได้ว่าผู้นำนิกายก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้
แต่ตอนนี้คนเหล่านั้นกลับถูกอีกฝ่ายฆ่าเป็นผักเป็นปลา
ชายชรามีเหตุผลเพียงพอที่จะโกรธเกรี้ยว เขาระเบิดพลังปราณออกมาและโจมตีใส่หลิงฮันด้วยปราณดาบที่แหลมคม
ระดับสุริยันจันทราขั้นกลาง!
ตู้ม!
หลิงฮันต้านรับการโจมตีของอีกฝ่ายด้วยหมัด ร่างกายของเขากระเด็นไปด้านหลังทันที ความแตกต่างพลังต่อสู้สองดาวเป็นช่องว่างที่ใหญ่มาก ถึงขั้นทำให้เขาต้องกระอักเลือด แต่โชคดีที่เขามีกายหยาบที่แข็งแกร่ง
“ไม่เลว!” ชายชราจ้องมองหลิงฮันด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ระดับบ่มเพาะพลังของเขาเหนือกว่าหลิงฮันสองขั้น ในทางทฤษฎีแล้ว ระหว่างเขากับหลิงฮันควรมีพลังต่อสู้ห่างกันแปดดาวและหลิงฮันควรถูกเขาสังหารทันที ทว่าความจริงมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น หลิงฮันไม่ตายและไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาแค่บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เรื่องแบบนี้เขาจะเชื่อได้อย่างไร?
“แต่ยังไงเจ้าก็ต้องตายวันนี้!” ชายชรากล่าวอย่างเย็นชา เขามีความได้เปรียบเหนือกว่าหลิงฮันอย่างชัดเจน ถึงการโจมตีเมื่อครู่จะไม่สามารถฆ่าหลิงฮันได้ แต่ตราบใดที่เขาโจมตีต่อเนื่อง เจ้าเด็กนี่จะต้องตายอย่างแน่นอน
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ไม่แน่เสมอไป!” จากนั้นเขาก็หยิบเม็ดยาระเบิดอัสนีออกมาและกินมัน ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็ปรากฏแสงของสายฟ้าอยู่รอบด้วย และทำให้พลังต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นมาก
เม็ดยาระเบิดอสนีสามารถเพิ่มพลังต่อสู้ได้สองดาว!
หลิงฮันสะบัดแขนขาไปมา ตอนนี้เขารู้สึกเต็มไปด้วยพลัง
เม็ดยาระเบิดอัสนีเป็นเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับหก ตามทฤษฎีแล้วมันสามารถเพิ่มพลังต่อสู้ได้สองดาว อย่างไรก็ตามยิ่งมีระดับพลังสูงเท่าไหร่ ประสิทธิภาพของมันก็จะลดลงเท่านั้น
พลังต่อสู้ของหลิงฮันในปัจจุบันอยู่ที่ระดับสุริยันจันทราขั้นกลาง ถึงพลังต่อสู้ของเขาจะไม่เพิ่มขึ้นสองดาว แต่แค่หนึ่งดาวก็น่ากลัวแล้ว และทำให้เขาแข็งแกร่งกว่าเดิมสิบเท่า
“ตาข้า!” หลิงฮันกระโจนไปข้างหน้าและโจมตีใส่ชายชรานิกายดาบสวรรค์
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ทั้งสองคนปะทะกันอย่างดุเดือด ในเรื่องของความแข็งแกร่ง หลิงฮันยังคงเป็นรอง นั่นเป็นเพราะมันยังคงมีช่องว่างระหว่างพลังต่อสู้หนึ่งดาวอยู่ดี
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าหนู หากเจ้าตายเร็ว เจ้าก็จะไม่ต้องทุกข์ทรมาน และข้าจะเป็นคนส่งเจ้าไปลงนรกเอง อย่างน้อยเจ้าจะได้ตายอย่างไม่เจ็บปวด!” ชายชรากล่าวด้วยความมั่นใจ ไม่ว่ายังไงก็ตามฝ่ายตรงข้ามใช้เม็ดยาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งอยู่ดี
“มันยังเร็วเกินไปที่เจ้าจะมีความสุข!” หลิงฮันโคจรพลังของทัณฑ์สวรรค์และปลดปล่อยอำนาจสวรรค์ออกมา
“อะไรกัน!”
สีหน้าของชายชรากลายเป็นซีดขาวทันที อำนาจพลังนั่นทำให้เขาหวาดหวั่นไปถึงดวงวิญญาณ
เด็กแบบนี้จะมีพลังแบบนั้นได้ยังไงกัน? มันน่ากลัวมากและก่อความหวาดกลัวขึ้นอยู่ในใจของเขาอย่างไม่รู้จบ ราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับอำนาจแห่งสวรรค์และปฐพี ด้วยอำนาจพลังดังกล่าวทำให้พลังต่อสู้ของเขาลดลงถึงสิบเท่า
“มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไงกัน!” ช่วยไม่ได้ที่เขาจะอุทาน
หลิงฮันยิ้มเล็กน้อย นอกจากเขาแล้วใครจะไม่ตื่นตระหนกเมื่อเผชิญหน้ากับอำนาจสวรรค์จากทัณฑ์สวรรค์? แต่กายหยาบของเขาเหนือกว่าระดับบ่มเพาะของตัวเอง แม้จะเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์เขาก็สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้
“ตาย!”
ถึงชายชราจะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ไม่ตื่นตระหนก ตอนนี้พลังต่อสู้ของพวกเขาทั้งสองคนอยู่ในระดับเดียวกันเท่านั้น แล้วทำไมเขาจะต้องหวาดกลัวด้วย?
“เจ้าต้องการสังหารข้า มันยังเร็วไปล้านปี!” ชายชราตะโกน จากนั้นเขาก็กวัดแกว่งดาบยาวไปที่หลิงฮัน
ตัวเขาเป็นถึงผู้อาวุโสของนิกายดาบสวรรค์ แน่นอนว่าเขาต้องเชี่ยวชาญการใช้ดาบ และดาบที่อยู่ในมือของเขาก็ยังเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ด และเขากวัดแกว่งดาบฝึกฝนร่วมกับมันมานานแสนนาน อาจกล่าวได้ว่าทั้งคนและดาบกลายเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว สองหัวย่อมดีกว่าหนึ่งหัว
เขากวัดแกว่งดาบด้วยจิตใจที่สงบนิ่ง ราวกับพยัคฆ์ที่กระโจนพุ่งเข้าหาเหยื่อและปลดปล่อยปราณดาบนับไม่ถ้วนออกมาเพื่อสยบหลิงฮัน
“เจ้าทำได้แค่นี้เองรึ?” หลิงฮันแสยะยิ้ม และนำดาบอสูรนิรันด์ออกมา
ตู้ม!
แสงสว่างระเบิดออกมาจากดาบพร้อมกับพลังที่น่าสะพรึงกลัว ต้องทราบก่อนว่าดาบอสูรนิรันดร์เองก็ทรงพลังขึ้นหลายเท่าหลังจากหลิงฮันรับทัณฑ์สวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นมันได้รับการขัดเกลาด้วยเจตจำนงของหลิงฮันตลอดทั้งวันทั้งคืน ดังนั้นมันจึงใช้อำนาจสวรรค์ได้เหมือนกัน
แม้ว่าดาบอสูรนิรันดร์จะยังคงเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับห้า แต่พลังของมันเหนือกว่านั้นมาก เช่นเดียวกับหลิงฮันที่ไม่สามารถประเมินความแข็งแกร่งที่แท้จริงได้ด้วยขอบเขตพลังในปัจจุบัน
ทันทีที่ดาบอสูรนิรันดร์ถูกกวัดแกว่ง ดาบในมือของชายชราก็หายไปทันที
ด้วยคุณสมบัติพิเศษของแร่เหล็กกลืนกิน ในอนาคตมันจะกลายเป็นแร่เหล็กนิรันดร์!
ครั้งนี้ชายชรารู้สึกตื่นตระหนกอย่างแท้จริง ดาบของอีกฝ่ายทรงพลังเกินไป ซึ่งทำให้เขาเกิดความรู้สึกหวาดกลัว
หลิงฮันใช้ทักษะดาบอัสนีคำราม และสะบั้นดาบออกไปในคราวเดียว
ชายชรารีบหลบหลีกอย่างรวดเร็ว แต่ทักษะดาบของอีกฝ่ายนั้นทั้งรวดเร็วและทรงพลัง ทำให้เขามีเวลาหลบไม่มากพอและสิ่งเดียวที่รู้สึกอยู่ในใจคือเขาประมาทอีกฝ่ายมากเกินไปถึงมีจุดจบเช่นนี้
ร่างของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อและสัมผัสได้ถึงความตายที่กำลังมาเยือน ถ้าเขาประมาท เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เขาหวาดกลัวและแค่อยากออกไปจากที่นี่เท่านั้น เพื่อไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้นิกายดาบสวรรค์ทราบและส่งจอมยุทธที่แข็งแกร่งมาสังหารเจ้าเด็กคนนี้
หลิงฮันมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น ความแข็งแกร่งของดาบอสูรนิรันดร์ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงมาก สมแล้วที่มันจะกลายเป็นแร่เหล็กนิรันดร์ในอนาคต
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
โลหิตสาดกระจายไปทั่ว ร่างของชายชราชโลมไปด้วยเลือด นี่คือพลังที่แท้จริงของดาบอสูรนิรันดร์ เมื่อดาบเคลื่อนไหวก็จะเกิดเงาดาบขึ้นนับพันซ้อนทับกัน
“เจ้าเป็นใครกันแน่? ทำไมเจ้าถึงกล้ารุกรานนิกายดาบสวรรค์ของข้า!” ชายชราพยายามใช้พลังที่เหลือส่งเสียงตะโกน
หลิงฮันเกือบจะหลุดหัวเราะ สมองของเจ้ามีปัญหาหรือเปล่า? เห็นได้ชัดว่าเจ้าเป็นคนเข้ามารุกรานข้าก่อน แล้วเจ้าจะเปลี่ยนดำเป็นขาวได้อย่างไร? เขาส่ายหัวและพูดว่า “พูดตามตรง ข้าเกลียดชังนิกายดาบสวรรค์ของเจ้ามาก และวันหนึ่ง ข้าจะถอนรากถอนโคลนนิกายดาบสวรรค์ของเจ้าออกไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์!”
ชายชราตกตะลึง อีกฝ่ายมีความเกลียดชังกับนิกายดาบสวรรค์?
“ก่อนตายข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟัง ข้าเป็นจอมยุทธที่มาจากทวีปฮงเทียน!” หลิงฮันกล่าวด้วยเสียงเย็นชา และกวัดแกว่งดาบอสูรนิรันดร์ทำให้เกิดเงาดาบนับพันทับซ้อนกัน
เงาดาบแต่ละเล่มเต็มไปด้วยอำนาจพลังของหลิงฮัน แล้วชายชราจะป้องกันได้อย่างไร?
“จ…จ…เจ้าคือหลิงฮัน อ๊าก-!” ชายชราดูเหมือนจะนึกถึงใครบางคนขึ้นมา และถูกอีกฝ่ายตัดแขนทำให้โลหิตพุ่งกระจายไปทั่ว
อย่างไรก็ตาม แววตาของเขายังคงจ้องมองหลิงฮันด้วยความตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อ
ทุกคนในห้านิกายโบราณต่างรู้ว่าหลิงฮันประสบความสำเร็จในการเปิดสวรรค์และขึ้นมาบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แล้วทราบดีว่าอีกฝ่ายจะต้องกลับมาแก้แค้นพวกเขาอย่างแน่นอน
ทว่าเพียงแค่ไม่กี่ปีต่อมา เขากลับทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราแล้ว? ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพลังต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวมาก ทั้งที่เขาเป็นแค่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้น แต่กลับต่อกรกับจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นกลางได้ กระทั่งเขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้
ศัตรูตัวฉกาจเช่นนี้ กลับอยู่ภายใต้ลมหายใจของห้านิกายโบราณ!
ตอนที่ 1245
“เจ้าเฒ่า ตอนนี้รู้ถึงชะตากรรมของตัวเองรึยัง?” หลิงฮันยิ้ม
ชายชราจากนิกายดาบสวรรค์จ้องมองหลิงฮัน ปราณก่อเกิดค่อยๆถูกปล่อยออกมาจากแขนข้างที่ขาดของเขาและก่อตัวเป็นรูปร่างมือ สำหรับจอมยุทธระดับพระเจ้าแล้วการสูญเสียแขนหรือขาไม่ได้ส่งผลให้สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปอย่างสมบูรณ์
แต่ตอนนี้ชายชราไม่มีกระจิตกระใจจะสู้แล้ว เขาต้องรีบกลับไปยังนิกายดาบสวรรค์เพื่อรายงานให้เบื้องบนรู้ว่าหลิงฮันมาที่นี่แล้ว
เจ้าเด็กนี่มีพรสวรรค์น่ากลัวราวกับสัตว์ประหลาด ถ้าปล่อยหลิงฮันเอาไว้อีกสิบยี่สิบปีเขาจะไม่บรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดหรือระดับดาราเลยรึ? เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้ห้านิกายโบราณร่วมมือกันก็คงหยุดหลิงฮันไม่ได้
แต่ว่าตอนนี้ห้านิกายโบราณยังมีปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งอยู่มากพอสมควร คนที่แข็งแกร่งที่สุดมีพลังต่อสู้ถึงสี่ดาวด้วยซ้ำ เขาต้องรีบให้ปรมาจารย์เหล่านั้นลงมือสังหารเจ้าหนูนี่บัดเดี๋ยวนี้
‘ข้าต้องนำเรื่องนี้ไปรายงาน จะมาตายที่นี่ไม่ได้’
ชายชรากล่าวกับตัวเอง เขาไม่ยอมรับว่าที่จริงแล้วเขาหวาดกลัวความตายแต่หลอกตัวเองว่าเขาต้องทำภารกิจสำคัญให้ลุล่วง
ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บจนแขนขาดทำให้พลังต่อสู้ลดลงจากปรกติ ถึงแม้เขาจะเป็นผู้อาวุโสของนิกายดาบสวรรค์แต่ตำแหน่งในนิกายของเขาก็ถูกจำกัดเอาไว้ทำให้ไม่มีไพ่ลับใดๆติดตัว
สมบัติที่ใช้ปกป้องชีวิตของเขาคืออุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ด แต่โชคร้ายที่มันไม่สามารถใช้ต่อกรหลิงฮันได้
ชายชราสิ้นหวังเป็นอย่างยิ่ง แต่ตราบใดที่เขาสามารถหลบหนีไปถึงเมืองเขี้ยวหมาป่าได้ หลิงฮันก็จะลงมือกับเขาไม่ได้แล้ว ไม่ว่าจะมีความบาดหมางอันใดกันเมืองเขี้ยวหมาป่าก็มีข้อห้ามไม่ให้สังหารกันเอง
เผ่นให้ไว!
หลิงฮันแสยะยิ้ม เฒ่าชรานี่คิดจะหนีจากเงื้อมมือของเขา?
หลิงฮันสะบั้นดาบอสูรนิรันดร์ปลดปล่อยคลื่นแสงนับพันออกไป คลื่นดาบนับพันนั้นไม่ใช่ทักษะสามพันดาบลึกลับแต่เป็นคลื่นดาบที่เกิดจากพลังของดาบอสูรนิรันดร์เอง นี่คืออำนาจของดาบที่ในอนาคตจะได้กลายเป็นโลหะระดับนิรันดร์
‘ครืนน’ ปราณดาบส่องสว่างทั่วท้องฟ้าอย่างน่าสะพรึงกลัว
ชายชราใช้อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็บในมือตอบโต้เพื่อสร้างโอกาสหลบหนี
หลิงฮันสะบัดดาบอสูรนิรันดร์อีกครั้งโดยตัวเขาได้ใช้ทักษะศรฆ่ามังกรทะลวงดาราออกไปพร้อมๆกัน ‘พรึบ’ ลูกศรถูกยิ่งออกไปด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า
ฉัวะ!
หลังของชายชราถูกยิงทะลุทันที ร่างของเขาล้มลงกับพื้นและร้องโอดครวญ ลูกศรที่ถูกยิงมาทำให้เขาเจ็บปวดอย่างมาก
คลื่นดาบที่เกิดจากดาบอสูรนิรันดร์ก็กำราบอุปกรณ์ระดับเจ็ดของชราชราได้อย่างราบคาบ นับว่าเป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการได้เลยที่อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าจะเหนือกว่าอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ด เรื่องแบบนี้มันทำลายตรรกะของวิถียุทธไปอย่างสิ้นเชิง
ที่เป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะวัสดุที่ใช้สร้างดาบอสูรนิรันดร์นั้นทรงพลังเกินไป
ร่างของหลิงฮันยืดตรงราบกับเป็นใบดาบและใช้นิ้วปลดปล่อยทักษะดาบฟ้าคำรามออกไป
กายหยาบของเขาเทียบได้กับแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับหก ดังนั้นการโจมตีด้วยนิ้วของเขาจึงไม่อาจดูถูกได้ นิ้วของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหก
ชายชราพยายามเอาชีวิตรอดจนถึงที่สุด แต่สุดท้ายเขาก็ถูกคลื่นดาบนับพันผ่าออกเป็นสองซีก เพียงแต่ว่าจอมยุทธระดับพระเจ้าไม่มีทางตายง่าย วิญญาณของเขาลอยออกจากร่างและบินหนี
โดยปรกติแล้วหากไม่มีกายหยาบ วิญญาณก็จะไม่มีที่ยึดเหนี่ยวและสุดท้ายก็จะสลายหายไป แต่ยิ่งเป็นวิญญาณที่แข็งแกร่งจะเสื่อมสลายก็จะช้าลงไป วิญญาณของจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสามารถคงสภาพอยู่หลายเดือนเพียงพอให้หาร่างใหม่หรือสิงเข้าร่างคนอื่น
“ฮึ่ม!” นิ้วของหลิงฮันตั้งตรงและปล่อยปราณดาบไล่ตาม ‘ฉัวะ’ วิญญาณของชายชราถูกสะบั้นขาดและสลายไปทันที
ดาบอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ของชายชราสั่นสะท้านทันที มันพยายามลอยหนีแต่ก็ถูกดาบอสูรนิรันดร์โจมตีจนเจตจำนงพังทลายและกลายสภาพเป็นเพียงดาบธรรมดา
หากไร้ซึ่งเจตจำนง อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใช่อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป พวกมันเป็นพียงอาวุธธรรมดา
หลิงฮันเก็บดาบขึ้นมา ดาบเล่มนี้สามารถนำไปให้ดาบอสูรนิรันดร์กลืนกินได้ เขาไม่คิดจะทิ้งมันไปอย่างเสียเปล่า
“ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะพบกับห้านิกายโบราณในสถานการณ์เช่นนี้ เพียงแต่ว่าทั้งๆที่พวกมันสูญเสียแผนที่สมบัติไปแล้วแต่ก็ยังส่งคนมาตามหา นั่นแสดงว่าแผนที่สมบัติย่อมไม่ธรรมดา!” หลิงฮันนำแผนที่สมบัติออกมาดูอีกครั้ง แต่ความรู้เกี่ยวกับดาวหยุนติ่งของเขานั้นน้อยนิดเกินไปทำให้ไม่รู้ว่าแผนที่ชี้ไปยังสถานที่แห่งใด
“หรือบางทีแม้แต่ห้านิกายโบราณก็อาจจะไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ที่ไหน ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่มัวเสียเวลาพกแผนที่เดินไปมาแต่คงไปตามหาสมบัติแล้ว”
หลิงฮันเดินกลับไปจุดพักของเขาที่เดิมเพื่อรอคอยให้กองทัพจันทราม่วงเคลื่อนไหว เขานำไข่ออกมารับแสงแดดเพื่อดูว่าไข่จะฟักรึไม่
ผ่านไปหลายวันเจ้ากระต่ายกับโสมเฒ่าก็กลับมา สภาพของพวกมันยับเยิบมาก ดูเหมือนว่าพวกมันจะพบเจอกับสิ่งมีชีวิตใต้พิภพที่แข็งแกร่งมา ถ้าไม่ใช่เพราะพวกมันรวดเร็วจนหนีรอดมาได้พวกมันคงกลายเป็นซุปโสมกระต่ายไปแล้ว
“ฮันน้อย รีบไปกับนายท่านกระต่ายเร็ว เจ้าต้องแก้แค้นเอาคืนให้ข้า!” เจ้ากระต่ายดึงแขนหลิงฮัน
“ใช่แล้วๆ นายท่านโสมไม่เคยตกอยู่ในสภาพเช่นนี้มาก่อน ข้าไม่มีทางลืมความแค้นครั้งนี้เด็ดขาด! ดาบมังกรตาเดียวนั่นเกือบจะคร่าชีวิตของนายท่านโสมไปแล้ว” โสมเฒ่านำชุดชั้นในสีชมพูออกมาสูดดมก่อนจะกลับมาสดชื่นอีกครั้ง
‘ตุบ’ หลิงฮันเตะโสมเฒ่า เหตุใดสวรรค์และปฐพีถึงได้ให้กำเนิดจิตวิญญาณห้าธาตุที่ลามกเช่นนี้?
“ข้าไม่มีเวลาไปทำเรื่องไร้สาระเช่นนั้น!” หลิงฮันปฏิเสธ “พวกเจ้านั่นแหละช่วยข้าตรวจสอบซะว่าเมื่อไหร่กองทัพจันทราม่วงจะเคลื่อนไหว”
“เจ้าหนู นายท่านโสมคิดว่าตัวเองเป็นที่สุดแล้วนะ” โสมเฒ่าทำท่าทีราวกับเลื่อมใสหลิงฮัน “แต่ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะยิ่งกว่านายท่านโสมเสียอีก เจ้าคิดถึงขนาดจะทำมิดีไม่ร้ายกับพวกนางทั้งกองทัพ นายท่านโสมไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรแล้วจริงๆ”
หลิงฮันยิ้มและเตะอีกครั้ง ‘อ้ากก’ โสมเฒ่ากรีดร้องพร้อมกับลอยกระเด็นขึ้นฟ้ากลายเป็นดวงดาวบนท้องฟ้า
“หืม!”
หลิงฮันลุกขึ้นยืน ในระยะร้อยไมล์ข้างหน้าเขามองเห็นกลุ่มคนของกองทัพจันทราม่วง
ด้วยสายตายของเขา แม้จะเป็นระยะที่เกินกว่าร้อยไมล์เขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน แต่เพราะกองทัพจันทราม่วงมีปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์อยู่เขาจึงไม่กล้ามองลึกไปมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์อาจจะนึกว่าเขาจงใจสอดแนมกองทัพก็ได้ หากเป็นเช่นเขาคงไม่พ้นถูกอีกฝ่ายไล่สังหาร
ถึงแม้ทุกคนที่นี่จะอยู่ในข้อตกลงห้ามสังหารกัน แต่ถ้าหากตัวตนระดับวารีนิรันดร์ลงมือ ใครจะกล้าต่อต้านเอาผิดพวกเขา?
ไม่ว่าจะที่ไหนเมื่อไหร่ โลกนี้ก็ยังยึดตามกฎที่ว่าผู้แข็งแกร่งคือราชา!
ในที่สุดกองทัพจันทราม่วงเคลื่อนไหวแล้ว แม้ว่าจะเป็นเพียงกองกำลังเล็กๆก็ตาม
หลิงฮันโคจรเนตรแห่งสัจธรรมทำให้มองเห็นทุกคนในกองทัพเล็กได้อย่างชัดเจน
กองกำลังนี้มีคนเพียงหนึ่งร้อยคน หลิงฮันมองตั้งแต่หัวแถวจนถึงท้ายแถว เมื่อสายตาของเขากวาดผ่านไปราวๆหนึ่งในสามของจำนวนคนทั้งหมด สายตาของเขาก็ชะงักหยุดอยู่ที่คนคนหนึ่งพร้อมกับแสดงท่าทีตื่นเต้นทันที
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์!
ตอนที่ 1246
หลังจากผ่านไปหมื่นปี ในที่สุดข้าก็ได้เจอเจ้าอีกครั้ง
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เป็นอัจฉริยะ ผ่านไปเพียงหมื่นปีนางก็บรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดแล้ว ซึ่งนั่นช่วยให้รูปลักษณ์ของนางไม่แก่ตัวแม้แต่น้อยแถมยังงดงามกว่าแต่ก่อนด้วย
นางเป็นสตรีที่งดงามที่สุดแห่งทวีปฮงเทียน และต่อให้เป็นบนทวีปฮงเทียนนางก็ยังนับว่าเป็นสตรีงามล่มเมืองอยู่ดี ไม่เช่นนั้นทายาทเชี่ยตงหลายคงไม่ตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกพบ
ผ่านไปสักพักสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ก็รู้สึกเหมือนถูกใครจ้องมองอยู่และหันไปยังทิศทางของหลิงฮัน
“มีอะไรงั้นรึ?” ข้างๆสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์มีสตรีที่รูปลักษณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ยืนอยู่ นางเห็นว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์มีทางทีแปลกๆจึงได้เอ่ยถามขึ้นมา
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ยิ้มและส่ายหัว “ไม่อะไร!” นางเก็บความสงสัยไว้ในใจ หรือว่าตระกูลเชี่ยจะพบตัวนางได้ไวเพียงนี้?
หลิงฮันเฝ้ามองจนกระทั่งกองกำลังเล็กๆนี้เดินออกจากค่ายพักและเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้าหนู อย่างเพิ่งลืมนายท่านโสม!” โสมเถ้าวิ่งไล่ตามมา สตรีงดงมนี่ล่ะคือสิ่งที่มันชอบที่สุด
เจ้ากระต่ายเค้นเสียงถอนหายใจและเดินตามไปเช่นกัน เนื่องจากทิศทางที่หลิงฮันมุ่งหน้าไปคือตำแหน่งส่วนลึกของสนามรบสองดินแดน มันจึงหวังไว้ลึกๆว่าหลิงฮันจะแก้แค้นให้มัน
ทั้งสาม‘คน’เดินกองกำลังเล็กๆไป อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของที่นี่แปลกประหลาดอย่างมาก การเดินทางอย่างเร่งรีบจึงไม่สมควรทำเท่าไหร่ เมื่อผ่านไปหนึ่งวันพวกเขาเดินทางได้เพียงหนึ่งพันไมล์เท่านั้น
พอตกค่ำกองกำลังขนาดเล็กได้หยุดเดินทางและตั้งค่ายพักแรมยามค่ำคืนเพื่อพักผ่อนให้ทุกคนมีสภาพร่างกายพร้อมที่สุด
พวกหลิงฮันทั้งสามหยุดเดินต่อและพักแรมเช่นกัน
โสมเฒ่ากระดี๊กระด๊าอยากจะลอบเข้าไปค่ายพักแรมของพวกนางอย่างมากแต่ก็ถูกหลิงฮันทุบตีเสียก่อน ล้อเล่นรึเปล่า? ค่ายพักแรมนั่นมีภรรยาของเขาอยู่ เขาจะยอมให้โสมเฒ่าลอบเข้าไปแอบดูนางได้อย่างไร?
“เจ้าหนู ทำไมเจ้าถึงขี้เหนี้ยวเช่นนี้ มีพี่สาวสวยๆมากมายจนาดนั้นเจ้าคิดจะเหมาคนเดียวไม่แบ่งนายท่านโสมเลยรึ?!” โสมเฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เลิกไร้สาระได้แล้ว ไม่เช่นนั้นข้าจะจับเจ้าลงหม้อ!” หลิงฮันขู่
“เอาเลยๆ!” เจ้ากระต่ายน้ำลายไหล “ท่านกระต่ายเตรียมฟืนไว้พร้อมแล้ว!” มันโยนถ่านไม้มากมายออกมา ถ่านไม้ที่ว่าไม่ได้ทำจากไม้ทั่วไปแต่ทำจากไม้แดงแข็งซึ่งเป็นไม้ชั้นดีสำหรับหลอมเม็ดยา
ใช้ไม้ฟื้นชนิดนี้ทำอาหาร… ช่างเลิศหรูนัก
โสมเฒ่าชะงักและชี้ไปยังเจ้ากระต่าย “อะไรกัน! เจ้ากับข้าเอาชีวิตรอดเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาเมื่อตอนกลางวัน พวกเราเป็นดั่งพี่น้องกันแล้วเหตุใดเจ้ายังคิดจะกินนายท่านโสมอีก?”
“เอาน่า อย่างไรเจ้าก็ไม่ตกนรกหรอก เพราะอย่างไรเจ้าก็เสียชีวิตเพราะยอมเสียสละร่างกายให้พวกข้ากิน ท่านกระต่ายผู้นี้จะจดจำวีรกรรมของเจ้าเอาไว้ไม่ลืมเลย! ฮันน้อย เจ้าว่าเราต้องล้างโสมต้นนี้ก่อนรึเปล่า?”
“ล้างน้องสาวเจ้าสิ!” โสมเฒ่ารีบเผ่นไปหลบอยู่ไกลๆ มันกลัวว่าทั้งสองจะจับมันต้มกินจริงๆ
หลิงฮันเลิกสนใจคู่หูสองตัวและหันมาคิดว่าจะหาทางคุยกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ยังไงดี
วันต่อมา กองกำลังก็เดินทางต่อไปได้อีกพันไมล์
หลังจากผ่านไปสี่วันพวกนางก็ไปถึงส่วนลึกของสนามรบสองดินแดน สภาพแวดล้อมของที่นี่ยิ่งแย่ไปกว่าเดิม พลังวิญญาณน้อยนิดแถบจะไม่มี แถมอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ก็ยังเสียสมดุลอย่างรุนแรงอีก บางจุดก็เป็นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ บางจุดก็เป็นของดินแดนใต้พิภพ
เพราะงั้นแล้วหากเกิดสงครามระหว่างของดินแดนขึ้นที่นี่ แต่ละฝ่ายจะต้องเลือกตำแหน่งจุดยืนให้ดี ไม่เช่นนั้นจะเสียเปรียบได้
ในวันนี้เอง ในที่สุดกองกำลังของกองทัพจันทราม่วงก็พบกับกองกำลังจากดินแดนใต้พิภพ
อีกฝ่ายเป็นกองกำลังขนาดเล็กเช่นกัน เมื่อทั้งสองฝ่ายพบกันก็ไม่มีฝ่ายใดพูดพร่ำทำเพลงและเข้าปะทะกันทันที
นี่ล่ะคือโอกาสของเขา!
หลิงฮันพุ่งออกไปและลงมือสังหารกองกำลังของดินแดนใต้พิภพ
เมื่อเจอสิ่งมีชีวิตจากดินแดนใต้พิภพทุกคนมีหน้าที่จัดการพวกมันอยู่แล้ว และหลังจากที่การต่อสู้จบลงเขาจะหาโอกาสนทนากับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ได้ไม่ยาก
สิ่งมีชีวิตใต้พิภพแตกต่างจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์
รอบตัวพวกมันอบอวลไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายและมืดมน มองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าพวกมันต่างจากมนุษย์
ถ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นหยาง ดินแดนใต้พิภพก็เป็นหยิน ถ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นไฟ ดินแดนใต้พิภพก็เป็นน้ำ ดินแดนทั้งสองเปรียบได้กับกระดาษด้านหน้าและด้านหลัง
สิ่งมีชีวิตใต้พิภพของกองกำลังนี้มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ หัวของพวกมันมีเขาแท่งยาวสองข้างและมีหาวยาวงอกออกมา เนื่องจากรอบกายพวกมันอบอวลไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย พวกมันจึงแตกต่างจากสัตว์อสูรของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่แปลงร่างเป็นมนุษย์
พวกมันแต่ละตัวบ้างก็ใช้หอก บ้างก็ใช้ดาบ กระบี่ในการต่อสู้ ระดับพลังของพวกมันมีตั้งแต่ระดับภูผาวารีไปจนถึงสุริยันจันทรา
จอมยุทธของกองกำลังของกองทัพจันทราม่วงก็มีพลังใกล้เคียงกัน ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด
หลิงฮันเดินเข้ามาโดยไม่กล่าวอะไรและเริ่มล่าสังหารหมู่ทันที
เขาไม่ใช้ดาบอสูรนิรันดร์แต่เลือกที่จะใช้หมัดแทน
แม้เขาวิถีหมัดจะไม่ใช่วิถีที่เขาถนัดที่สุด แต่เขาก็ทำความเข้าใจเศษเสี้ยวของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ได้แล้ว หมัดแต่ละหมัดของเขาล้วนแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจที่ทรงพลัง หากไม่ใช่จอมยุทธที่แข็งแกร่งทัดเทียมเขา แค่โดนหมัดเพียงหมัดเดียวย่อมหนีไม่พ้นความตาย
หลิงฮันโจมตีราวกับเป็นเครื่องจักรสังหาร หลังจากสังหารเสร็จตัวหนึ่งเขาก็เหวี่ยงหวัดสังหารอีกตัวต่อทันทีและเก็บร่างพวกมันเข้าไปในหอคอยทมิฬ ซากศพของสิ่งมีชีวิตใต้พิภพสามารถใช้แลกเป็นแต้มสังหารได้เขาย่อมไม่ทิ้งไปเฉยๆ
หลังจากสังหารสิ่งมีชีวิตใต้พิภพไปหลายสิบตัว ในที่สุดเขาก็ตกเป็นเป้าสนใจของสิ่งมีชีวิตใต้พิภพตัวที่แข็งแกร่ง สิ่งมีชีวิตใต้พิภพตนนั้นสวมเกราะเต็มตัว มันจ้องมองและเหวี่ยงหอกเข้าใส่เขา
“ฮึ่ม!” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เค้นเสียงและเข้ามาแทรก ด้านหลังของนางมีปีกนกอมตะยาวหลายร้อยไมล์สยายไปมาและปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง เพียงนางกระพือปีกเปลวเพลิงอันร้อนระอุก็แพร่กระจายไปหลายพันไมล์
ปีกของนางปลดปล่อยขนนกเพลิงนับร้อยนับพันเข้าใส่สิ่งมีชีวิตใต้พิภพที่แข็งแกร่งตนนั้น
“ตรงนี้ข้าจัดการเอง เจ้าไปตรงอื่น!” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กล่าว
หลิงฮันหัวเราะและไม่โต้เถียงนาง เขาปล่อยหมัดพุ่งเข้าใส่สิ่งมีชีวิตใต้พิภพตนอื่น
ด้วยการช่วยเหลือของนาง สิ่งมีชีวิตใต้พิภพในระดับสุริยันจันทราขั้นต่ำต่างถูกสังหารอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เหลืออยู่เพียงเจ็ดตัวที่มีพลังเทียบเท่าระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุด พวกมันไม่สู้ต่อแต่เลือกที่จะล่าถอย
กองทัพจันทราม่วงไล่ล่าพวกมันอยู่ชั่วครู่แต่ก็ไม่สามารถสังหารพวกมันได้ มีเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ได้รับบาดเจ็บหนัก
“น้องชาย ขอบคุณเจ้ามาก!” สตรีจากกองกำลังกองทัพจันทราม่วงมองการสูญเสียของฝั่งตัวเองก่อนที่จะกล่าวขอบคุณหลิงฮัน
“ทุกคนมีหน้าที่สังหารสิ่งมีชีวิตใต้พิภพอยู่แล้ว” หลิงฮันกล่าวและมองไปยังสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ “ขอบคุณแม่นางเช่นกันที่เมื่อครู่ช่วยข้าเอาไว้”
ตอนที่ 1247
“พวกเราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า?” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์รู้สึกแปลกใจ
ถึงอีกฝ่ายจะเป็นคนแปลกหน้า แต่เขาทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยและทำให้นางเกิดหวั่นไหวอยู่ในใจ
สมแล้วที่เป็นภรรยาของเขา!
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “เรื่องนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้”
“จริงสิน้องชาย เจ้ามีนามว่าอะไรอย่างนั้นหรือ?” อย่างไรก็ตาม มีสตรีหลายคนในกองทัพจันทราม่วง และพวกนางแต่ละคนต่างหันมาจ้องมองหลิงฮันด้วยความสนใจ
หลิงฮันจ้องมองไปที่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์และพูดว่า “หลิงฮัน”
“หืม!” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์อดที่จะอุทานออกมาไม่ได้
“พี่สาววิหคอมตะสวรรค์ ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า?” หญิงสาวจำนวนหนึ่งจ้องมองไปที่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์
“ไม่มีอะไร” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์ส่ายหัว ชายหนุ่มตรงหน้าจะต้องเป็นคนชื่อเหมือนเท่านั้น หลิงฮันที่นางรู้จักน่าจะตายอยู่ในทวีปฮงเทียนแล้ว
“ทุกคน ข้ามีเม็ดยารักษาอาการบาดเจ็บจำนวนมากมาแจก มันสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว” หลิงฮันตัดสินใจนำเม็ดยาออกมาแจกเพื่อซื้อใจพวกนาง
เห็นได้ชัดว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์จะอยู่ในกองกำลังจันทราม่วงซักพัก ซึ่งกองกำลังจันทราม่วงนั้นปฏิเสธบุรุษ ดังนั้นหลิงฮันเลยอยากจะสร้างความสัมพันธ์กับพวกนาง
พวกนางดูมีความสุขมาก เพราะสิ่งสำคัญที่สุดของจอมยุทธคือเม็ดยา แม้ราคาของมันจะไม่สามารถเทียบกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่เนื่องจากมันเป็นเม็ดยาที่ใช้แล้วหมดไป เม็ดยาจึงมีราคาแพงมากในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
หลิงฮันแจกจ่ายเม็ดยาให้กับพวกนาง ซึ่งการกระทำของเขาดูใจดีเกินจนกลายเป็นแกะดำ
“ไม่เป็นไร ข้าเป็นนักปรุงยา แค่เม็ดยาพวกนี้ถือว่าเล็กน้อย” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลังจากพูดจบ ทุกคนก็ดูประหลาดใจมากยิ่งขึ้น
นักปรุงยาคือคนที่มีสถานะสูงส่ง ถ้านักปรุงยาคนหนึ่งมีระดับบ่มเพาะพลังเท่ากับจอมยุทธผู้หนึ่ง นักปรุงยาคนนั้นก็จะมีสถานะสูงส่งกว่าจอมยุทธผู้นั้นมาก
มันถูกกำหนดโดยความต้องการ
สตรีหลายคนจ้องมองหลิงฮันด้วยแววตาที่สดใส โลกของจอมยุทธนั้นโหดร้าย ถึงพวกนางจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ใครจะไปรู้ว่าชีวิตของตัวเองจะถึงฆาตวันใด บางทีอาจจะเป็นพรุ่งนี้ก็เป็นได้ แต่นักปรุงยานั้นเป็นตัวตนที่มีความมั่นคง ตราบใดที่เขาไม่ริเริ่มเข้าไปแทรกแซงความบาดหมางระหว่างจอมยุทธ สถานะของนักปรุงยาก็จะไม่สั่นคลอน
ดังนั้น การได้แต่งงานกับนักปรุงยาจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
“ปรมาจารย์หลิง ท่านเป็นนักปรุงยาระดับไหนหรือ?” หญิงสาวทุกคนรีบถามเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ก็แค่ระดับแปดน่ะ” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้มและเพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์กับพวกนาง หลิงฮันเลยไม่ปกปิด
ทว่าคำตอบของเขาทำให้พวกนางจ้องมองหลิงฮันด้วยแววตาที่เปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม ถ้าพวกนางสามารถกินหลิงฮันได้ พวกนางคงจับเขากินไปแล้ว…
ไข่เต่าทองคำ!
อย่างไรก็ตาม หลิงฮันแค่พูดว่าตัวเองเป็นนักปรุงยาระดับแปด ส่วนมันจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จนั้น แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถบอกได้ด้วยคำพูดของอีกฝ่าย
หลิงฮันแค่ต้องการดึงดูดความสนใจจากพวกนาง และใช้โอกาสนี้พักอาศัยอยู่ที่ค่ายพักแรมของกองทัพจันทราม่วง ท้ายที่สุดเขาก็เป็นนักปรุงยาระดับแปดจริงๆ
ค่ายที่พักของกองทัพจันทราม่วงไม่อนุญาตให้ผู้ชายเข้าไป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงทุกคนที่อยู่ในกองทัพจันทราม่วงจะเกลียดผู้ชาย ในความเป็นจริง พวกนางส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิงปกติ แม้จะมีบางคนดื้อดึงก็ตาม
การต่อสู้ที่นี่สามารถเสียชีวิตได้ตลอดเวลา และบางทีชายหญิงอาจร่วมรักกันเพื่อบรรเทาความกดดัน ดังนั้นถ้าผู้นำของกองทัพจันทราม่วงไม่มีกฎเกณฑ์ที่เด็ดขาด เช่นนั้นค่ายที่พักของกองทัพจันทราม่วงก็คงไม่ต่างไปจากซ่อง
แน่นอนว่าสถานะนักปรุงยาของหลิงฮันทำให้หญิงสาวหลายคนสนใจเขา
อย่างไรก็ตามเพื่อประโยชน์ของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์แล้ว เขาจะหลอมเม็ดยาบางอย่างให้กับนาง อย่างเช่นเม็ดยาที่มีระดับต่ำกว่าระดับห้า เขาสามารถหลอมเสร็จได้ภายในวันเดียว ซึ่งจอมยุทธส่วนใหญ่ของกองทัพจันทราม่วงเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารี ถ้าเขาหลอมเสร็จและมอบให้กับนาง ความแข็งแกร่งโดยรวมของกองทัพจันทราม่วงก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเส้นตรง
แม้ว่าจะมีบางคนไม่เชื่อว่าเขาเป็นนักปรุงยาระดับแปดเพราะดูเยาว์วัยเกินไป แต่อย่างน้อยก็เป็นนักปรุงยาระดับสี่อย่างไม่ต้องสงสัย
แค่เป็นนักปรุงยาระดับสี่ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว เพราะหลิงฮันยังเยาว์วัยเกินไป การที่คนอย่างเขาเป็นนักปรุงยาระดับสี่ได้ด้วยอายุเพียงแค่นี้ แล้วในอนาคตเขาจะเป็นนักปรุงยาระดับห้า ระดับหก หรือแม้กระทั่งระดับแปดไม่ได้ได้อย่างไร?
ดังนั้น หลังจากผ่านไปสองสามวัน อย่างน้อยเก้าในสิบส่วนของผู้หญิงภายในค่ายพักแรมของกองกำลังย่อยของกองทัพจันทราม่วงมักจะไปที่กระโจมของหลิงฮันเพื่อโปรยเสน่ห์ใส่
…..
“น้องสาววิหคอมตะสวรรค์ช่วยส่งจดหมายฉบับนี้ให้กับปรมาจารย์หลิงที!”
ในป่าเล็กๆที่อยู่ข้างทาง สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์ถูกหญิงสาววัยกลางคนหนึ่งลากเข้าไปและขอให้นางส่งจดหมายให้กับหลิงฮัน
ช่วยไม่ได้ที่หญิงวัยกลางคนคนดังกล่าวจะรู้สึกประหลาดใจ นางมีชื่อว่าจูหลี่หยุน และนางเป็นสหายที่ดีกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์ที่พบเจอกันในกองทัพจันทราม่วง ถึงนางจะมีระดับบ่มเพาะพลังเท่ากัน แต่นางก็มีอายุมากกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์ นางมีอายุมากกว่าหนึ่งล้านแปดแสนปี ดังนั้นนางจึงกลายเป็นหญิงสาววัยกลางคนไปแล้ว
“พี่สาวหยุน หรือว่าท่านเองก็สนใจในตัวชายหนุ่มคนนั้น?” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
จูหลี่หยุนยิ้มด้วยความเขินอายและพูดว่า “แม้กระทั่งเจ้าก็ยังหยอกล้อข้า!”
เมื่อเห็นหญิงสาววัยกลางคนยิ้มอย่างเขินอายราวกับสาวน้อย สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์ก็อดหัวเราะไม่ได้และพูดว่า “ทำไมท่านไม่ส่งจดหมายด้วยตัวเองล่ะ?”
“ข้าไม่กล้า!” จูหลี่หยุนกล่าว
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์ส่ายหัวและพูดว่า “บางทีชายหนุ่มคนนั้นอาจไม่ใช่นักปรุงยาระดับแปดก็ได้ และ-” นางไม่อยากจะพูดตรงๆ แต่หลิงฮันยังเด็กเกินไป แต่เขาจะหวั่นไหวเพราะหญิงสาววัยกลางคนได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นมีหญิงสาวมากมายที่ต้องการพิชิตใจหลิงฮัน แล้วทำไมเขาจะต้องเลือกจูหลี่หยุนด้วย นางดูธรรมดาเกินไป
“หรือเจ้าจะเป็นห่วงว่าพี่สาวของเจ้าจะไม่สวยพอ?” จูหลี่หยุนยิ้มอย่างมั่นใจ “ตอนนี้ข้าเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสมบูรณ์ ซึ่งยังพอมีหลังที่จะทะลวงผ่านระดับดาราในอนาคต ถ้าชายหนุ่มคนนั้นฉลาด เขาจะต้องแต่งงานกับข้าแน่เพื่อผลประโยชน์ของตัวเขาเอง”
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์ถอนหายใจและส่ายหัวอยู่ในใจ ดูเหมือนสหายสนิทของนางจะไม่ได้สนใจหลิงฮัน แต่ที่สนใจคือสถานะนักปรุงยาของอีกฝ่าย จากนั้นนางก็พูดว่า “ตกลง ข้าจะส่งจดหมายให้พี่สาวหยุนเอง”
“อย่าลืมพูดถึงข้าในแง่ดีล่ะ!” จูหลี่หยุนรีบคว้าแขนของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์ “เจ้าเป็นคนที่งดงามมาก ไม่ว่าจะเป็นชายใดก็ต้องเชื่อฟังเจ้าอยู่แล้ว”
ด้วยเหตุนี้เองทำสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์ขมวดคิ้วเล็กน้อยเผยให้เห็นถึงความไม่พอใจ
“ขอโทษน้องสาววิหคอมตะสวรรค์ ที่ข้าเผลอพูดแบบนั้นออกไป ข้าไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้น” จูหลี่หยุนกล่าวอย่างเร่งรีบ
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์พยักหน้าและพูดว่า “ถ้างั้นข้าขอตัวไปส่งจดหมายให้พี่สาวหยุน”
นางเดินตรงไปที่กระโจมหลิงของหลิงฮันและพูดว่า “ปรมาจารย์หลิงอยู่ไหม?”
“ข้ามาแล้ว!” ทันทีที่หลิงฮันได้ยินเสียง เขาก็รีบเดินออกมาจากกระโจมทันที แม้ว่าจะมีหญิงสาวมากมายหลายคนมาหาเขาที่กระโจม แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์นั้นแตกต่าง นางจงใจสร้างระยะห่างกับเขาเพื่อไม่ให้เขามีโอกาสได้อยู่กับนางเพียงลำพัง
แต่อย่างน้อยนางก็อยู่ที่นี่
เมื่อเห็นหลิงฮันจ้องมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ช่วยไม่ได้ที่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์จะเผยสีหน้าไม่พอใจ แต่เมื่อนางได้รับความไว้วางใจจากคนอื่น นางก็ต้องทำหน้าที่ให้สำเร็จและยื่นจดหมายให้กับหลิงฮันพร้อมกับพูดว่า “นี่คือจดหมายจากพี่สาวของข้าที่ขอให้ข้ามอบให้เจ้า นางอาจเกินไปที่จะมอบให้เจ้าด้วยตัวเองและขอให้ข้าเป็นคนให้แทน”
จดหมายรัก?
เพียงแค่เหลือบมองหลิงฮันก็เดาได้ทันที และช่วยไม่ได้ที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไป
ภรรยาของข้า เป็นคนมาส่งจดหมายรักของคนอื่นให้ข้าด้วยตัวเอง นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน?
ตอนที่ 1248
หลิงฮันไม่รับจดหมายและเพียงแค่ยิ้มออกมา
“มีอะไรตลกอย่างนั้นหรือ?” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์ดูไม่พอใจ
“ถ้าข้ารับเจ้าจะไม่เสียใจทีหลังใช่หรือไม่?” หลิงฮันถาม
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะไม่เข้าใจคำถามของหลิงฮัน นางจะเสียใจทีหลังอะไร? และพูดต่อว่า “พี่สาวหยุนเป็นผู้หญิงที่ดี และข้าหวังว่าเจ้าจะดูแลนางได้ดี”
พรวด!
หลิงฮันแทบสำลัก พี่สาวหยุน? หลายวันก่อนเขารู้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะมีสหายคนสนิทที่ชื่อว่าจูหลี่หยุน ที่แท้เป็นหญิงวัยกลางคน!
วัวแก่คิดจะกินหญ้าอ่อน?
แม้ว่าอายุจะไม่สำคัญสำหรับจอมยุทธที่ทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้าแล้ว แต่อย่างน้อยก็ให้อายุมันสัมพัทธ์กันหน่อยได้ไหม? เมื่อนึกถึงใบหน้าที่เหี่ยวย่นของจูหลี่หยุน ช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะหนาวสั่นไปทั้งตัว
นี่ทำให้เขากินนอนไม่หลับ
“ถ้างั้นข้าขอพูดว่าข้าไม่ได้สนใจหญิงอื่น แต่เป็นเจ้าต่างหากที่พาหญิงอื่นมาในอ้อมแขนของข้า และยังเป็นหญิงวัยกลางคนอีกต่างหากที่สามารถเป็นย่าของข้าได้เลย เจ้าคิดว่ามันดีหรือไม่?” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์แสดงท่าทีตื่นตัว และไม่เข้าใจที่ชายหนุ่มคนนี้พูด
มันไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะนางเป็นหญิงสาวที่งดงามแม้จะอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม และจิตใจของนางยังถูกแช่แข็งมาเป็นเวลานานและไม่มีวันละลายไปกับชายคนใดก็ตาม
“โปรดรับจดหมายฉบับนี้ไว้ด้วย!” นางกล่าว “สิ่งสำคัญที่สุดคือเจ้าควรหวงแหนคนที่รักเจ้า อย่าได้โลภมาก!”
“ถ้างั้นข้าพูดพูดบ้าง คนที่ข้าหวงแหนที่สุดก็อยู่ตรงหน้านี้แล้ว!” หลิงฮันมองสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์ด้วยความรักที่มีให้อย่างลึกซึ้งและพูดว่า “ข้าไม่ได้เห็นหน้าเจ้ามาตั้งหนึ่งหมื่นปี แต่เจ้ากลับไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย”
“เจ้ากำลังพูดถึงอะไร!” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” หลิงฮันยิ้มและวาดมือกลางอากาศเป็นอักษร
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์เผยสีหน้าตกตะลึงอย่างไม่น่าเชื่อและอุทานออกมาว่า “เจ้ารู้ชื่อของข้าได้ยังไง!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์เป็นลูกหลานของวิหคเพลิงโบราณ บางคนที่มีสายเลือดบริสุทธ์จะทำให้พลังทางสายเลือดวิหคเพลิงโบราณตื่นขึ้น และหนึ่งในคุณสมบัติที่น่าทึ่งที่สุดคือพวกเขาจะปลุกชื่อที่แท้จริงให้ตื่นขึ้น
ชื่อดังกล่าวอยู่ในสายเลือด มีเพียงแค่นางคนเดียวเท่านั้นที่รู้
ชื่อที่แท้จริงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคนที่มีสายเลือดวิหคเพลิงโบราณ ตามกฎของเผ่าพันธุ์หากชื่อที่แท้จริงถูกคนอื่นรู้เข้า พวกเขาจะมีเพียงแค่สองทางเลือก
หนึ่งแต่งงาน สองฆ่าอีกฝ่าย!
ทั้งชีวิตของนาง นางเคยบอกชื่อที่แท้จริงให้กับชายคนหนึ่งเพียงคนเดียวเท่านั้น
แต่ชายคนนั้นสมควรที่จะตายไปนานแล้ว!
“เจ้า…เจ้าเป็นใครกันแน่?” แค่อีกฝ่ายเรียกตัวเองว่าหลิงฮันนางก็รู้สึกแปลกใจแล้ว และต้องแปลกใจมากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่ออีกฝ่ายรู้ชื่อที่แท้จริงของนาง
“ยัยโง่ เจ้ากลั่นแกล้งข้ามานานหลายปี แล้วตอนนี้ยังลืมข้าอีกรึ?” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หลิงฮัน! เจ้าคือหลิงฮันจริงๆงั้นรึ!” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์สั่นสะท้านไปทั้งตัว สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“ใช่แล้ว ข้ากลับมาแล้ว!” หลิงฮันพยักหน้า
“เรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นได้ยังไง?” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์กล่าวด้วยความงุงงง
“ไม่มีสิ่งใดภายใต้สวรรค์ที่เป็นไปไม่ได้” หลิงฮันส่ายหน้าและถอนหายใจ “หมื่นปีก่อน ข้าไปที่โบราณสถานแห่งหนึ่ง ซึ่งโบราณสถานแห่งนั้นทำให้ข้าต้องสูญเสียกายหยาบไป แต่ดวงวิญญาณของข้ากลับไม่สูญสลาย เมื่อเวลาผ่านไปหลายพันปี ในที่สุดข้าก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง”
“ข้ามาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วยการเปิดสวรรค์เพื่อตามหาเจ้า!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์ยังคงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ “อย่างเจ้าจะเปิดสวรรค์ได้อย่างไร?” หลิงฮันที่นางรู้จักถูกนางกลั่นแกล้งและข่มเหงเป็นว่าเล่น แม้นางจะมองว่าหลิงฮันเป็นสามีของตัวเอง แต่นางก็เป็นคนที่หยิ่งทนงและมีเสน่ห์ แต่ไม่อ่อนโยน
ถึงนางจะไม่มั่นใจว่าการเปิดสวรรค์บนโลกใบเล็กเป็นเช่นไร แต่หลิงฮันที่แสนอ่อนแอที่นางรู้จักในอดีตจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งแบบนั้นได้อย่างไร?
“ฮ่าฮ่าฮ่า สามสิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ สามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ เวลาเปลี่ยนคนย่อมเปลี่ยน และข้าไม่ใช่คนโง่ที่จะหมกมุ่นปรุงยาเพียงอย่างเดียว!” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม “ภรรยาข้า ในอดีตข้าถูกเจ้ากลั่นแกล้งไม่นับครั้งไม่ถ้วน แต่คราวนี้เมื่ออยู่ในระดับเดียวกัน มันจะเป็นข้าที่จะกลั่นแกล้งเจ้ากลับ”
“ค…ใครเป็นภรรยาของเจ้ากัน?” ใบหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์กลายเป็นสีแดงทันที นางเขินอายเกินไปที่จะพูดในสิ่งที่คิด แต่นางก็เชื่อว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคือหลิงฮันคนเดียวกับที่นางรู้จัก ข้อพิสูจน์คือเขารู้จักชื่อที่แท้จริงของนาง ซึ่งแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “แล้วใครพูดว่าตัวเองเป็นคนตระกูลหลิงกันล่ะ?”
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์ดูเขินอายเป็นอย่างมาก นางเคยพูดว่าเป็นสมาชิกที่เหลือรอดเพียงคนเดียวของตระกูลหลิง อย่างแรกที่นางพูดแบบนั้นก็คือเพื่อเป็นการรำลึกถึงหลิงฮันและอย่างที่สองคือไม่ให้คนอื่นมาตามคอยรังควาน
แต่ตอนนี้สามีของนางยังมีชีวิตอยู่
“ภรรยาข้า เจ้าแน่ใจหรือที่จะส่งจดหมายรักฉบับนี้ให้กับข้า?” หลิงฮันชี้ไปที่จดหมายรักในมือของนาง
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์รู้สึกละอายใจ และรีบเก็บจดหมายรักทันทีพร้อมกับพูดว่า “อย่ามาพูดเยาะเย้ยข้า!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ภรรยาข้ามานี่สิ ผ่านไปตั้งหมื่นปี เจ้าจะไม่วิ่งเข้ามาจูบข้าหน่อยหรือ?”
“ฝันไปเถอะ!” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์รีบผลักหลิงฮันออกไป “ข้าไม่ได้เห็นเจ้าตั้งหนึ่งหมื่นปี เจ้ากลายเป็นคนโรคจิตแบบนี้ได้ยังไง? หรือว่าเจ้าจะมีหญิงอื่น?” เมื่อนางพูดประโยคสุดท้ายจบ จิตสังหารก็แผ่ออกมาจากร่างกายของนางทันที
เม็ดเหงื่อของหลิงฮันไหลพราก สัญชาตญาณของผู้หญิงช่างน่ากลัวจริงๆ และเขาก็รีบพูดตอบกลับไปว่า “ข้าอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาเพียงคนเดียวของข้า!”
ที่หลิงฮันพูดเป็นความจริง เพราะอย่างไรเสีย หลิวอู๋ตง สุ่ยเยี่ยนยวี่ และคนอื่นๆถูกฮูหนิวพาตัวไปที่ดินแดนแห่งเซียนหมดแล้ว และตอนนี้จักรพรรดินีแห่งดาราหายนะก็ยังไม่ใช่ภรรยาของเขาเสียหน่อย
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์รู้สึกสงสัยและคิดว่าที่หลิงฮันพูดมันแปลก ทำไมถึงพูดว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์? แต่เขาก็มาที่นี่ด้วยการเปิดสวรรค์ นั่นหมายความว่าตอนนี้ทวีปฮงเทียนก็อยู่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วเหมือนกัน ในเมื่อเขาพูดว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มันก็น่าจะครอบคลุมทั้งหมด
แต่ทำไมนางถึงรู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น?
“ทำไมเจ้าถึงพูดเจาะจงว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์?” นางถาม
หลิงฮันหัวเราะกลบเกลื่อนและพูดว่า “เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าหลายปีที่ผ่านมาข้าเผชิญหน้ากับอะไรมาบ้าง?”
สีหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหคอมตะสวรรค์เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน นางคิดมาตลอดว่าหลิงฮันตายแล้ว ตอนนี้เมื่อได้เจอเขาอีกครั้งหนึ่ง ทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นและลืมทุกอย่าง แล้วอยากรู้เรื่องที่ผ่านมาของหลิงฮันทั้งหมดแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ตาม
หลิงฮันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้่นหลังจากที่เขากลับมาเกิดใหม่ และเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในทวีปฮงเทียน ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่พูดถึงหลิวอู๋ตงกับจูเสวี่ยนเอ๋อและคนอื่นๆ และเมื่อเขามาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ไม่พูดถึงจักรพรรดินีแห่งดาราหายนะ
ถ้าเขาพูดเรื่องพวกนั้นออกมาจะต้องเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน?
ตอนที่ 1249
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์อยู่กับหลิงฮันต่ออีกสักพักก่อนจะขอตัวกลับ
นางรู้ความลับมากมายของหลิงฮัน แต่นางยังไม่รู้ถึงการมีอยู่ของหอคอยทมิฬเนื่องจากบริเวณนี้มีคนเยอะเกินไปหลิงฮันจึงต้องรอให้พวกเขาอยู่กันสองคนก่อนถึงจะพานางเข้าไปในหอคอยทมิฬ
ยิ่งกว่านั้นพวกเขาก็ไม่สามารถออกไปจากสนามรบสองดินแดนได้ง่ายๆด้วย พวกเขาต้องเก็บสะสมแต้มสังหารให้เพียงพอเสียก่อน ดังนั้นเป้าหมายหลักตอนนี้การไล่ลามสังหารสิ่งมีชีวิตใต้พิภพ
ยิ่งกว่านั้นหากเป็นกองกำลังแล้วแต้มสังหารจะถูกแบ่งอย่างเท่าเทียม ต่อให้หลิงฮันจะมอบซากศพของสิ่งมีชีวิตใต้พิภพในหอคอยทมิฬให้นางก็ไม่มีประโยชน์
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าแม้กองกำลังจะเป็นที่พึ่งที่ปลอดภัยแต่การสะสมแต้มสังหารก็ทำได้ช้าเช่นกัน
เพราะเหตุนี้หลิงฮันจึงต้องรอจนกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์จะถอนตัวได้เสียก่อนเขาถึงจะได้ตัวนางกลับมา
“น้องสาว เขาว่าอย่างไรบ้าง?” เมื่อสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กลับมา จูหลี่หยุนก็เอ่ยถามด้วยท่าทีเป็นกังวลทันที
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์อดรู้สึกผิดไม่ได้
หลิงฮันนั้นเรียกได้ว่าเป็นบุรุษที่ถูกลิขิตให้คู่กับนางมาตั้งแต่หมื่นปีก่อนแล้ว แต่นางกลับสัญญากับสหายสนิทว่าจะนำจดหมายรักไปให้บุรุษของตัวเอง
“เรื่องนั้น…” นางกล่าวอย่างกระอุกกระอัก
สีหน้าของจูหลี่หยุนเปลี่ยนไป “เจ้าได้มอบจดหมายให้ปรมาจารย์หลิงรึเปล่า?”
“พี่สาวหยุน เขาคนนั้นไม่ได้ถูกลิขิตให้ครองคู่กับท่าน โปรดลืมเขาเสียเถอะ!” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์โน้มน้าว
จูหลี่หยุนแน่นิ่งไม่กล่าวอะไรและจ้องมองอีกฝ่ายชั่วขณะ “เจ้าคงไม่ได้ชอบเขาหรอกนะ?”
เป็นอย่างที่นางคิด… แต่ในกรณีของนางนั้นนางชอบเขามาเป็นเวลาหมื่นปีแล้ว!
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี นางทำได้เพียงจ้องหน้าอีกฝ่าย
“ข้าเข้าใจความคิดของเจ้าแล้ว!” จูหลี่หยุนเผยท่าทีเกรี้ยวกราดและชี้ไปยังสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ “นังผู้หญิงสำส่อน! ข้าปฏิบัติกับเจ้าราวกับเป็นน้องสาวแท้ๆ แต่เจ้ากลับหักหลังข้า! แม้แต่บุรุษของพี่สาวตนเองเจ้ายังแย่งได้ลงคอ!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์แสดงสีหน้าโมโหออกมาเช่นกันและกล่าว “แล้วคิดว่าต่อให้ไม่มีข้า หลิงฮันจะหลงรักท่านรึไง?”
“ทำไมจะไม่ล่ะ?” จูหลี่หยุนกล่าวเสียงดัง “ข้าเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดส่วนเขาดูแล้วคงเป็นเพียงนักปรุงยาระดับห้าเท่านั้น หากจะพูดจริงๆเขาต่างหากที่ต้องเข้าหาข้า! เช่นนั้นแล้วเข้ามีเหตุผลอะไรที่จะไม่พอใจในตัวข้า?”
จอมยุทธป้า เจ้ามองตัวเองสูงเกินไปแล้ว!
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เชื่อว่าหลิงฮันไม่มีทางโกหก เขาเป็นถึงนักปรุงยาระดับแปด ต่อหน้าเขาจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดไม่สามารถนับเป็นอันใดได้
แม่เจ้าจะงดงามแต่อายุของเจ้าก็เยอะแล้ว ด้วยสถานะของเจ้าเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าหลิงฮันต้องเป็นฝ่ายเข้าหาเจ้า?
แม้สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์จะรู้สึกสงสารจูหลี่หยุน แต่เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายนางก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที
“คนทรยศ ตั้งแต่นี้ไปพวกเราสองคนแตกหักกัน!” จูหลี่หยุนกล่าวและเดินจากไป
สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ส่ายหัว อีกฝ่ายเป็นสหายคนเดียวตั้งแต่ที่นางเข้าร่วมกองกำลังนี้ ช่างโชคร้ายที่พวกเขาคงไปกันไม่ได้เสียแล้ว
จูหลี่หยุนย่อมไม่ยอมแพ้แค่นี้ นางมุ่งหน้าไปหาหลิงฮันทันที ในเมื่อสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ไม่ช่วยนาง นางก็ต้องลงมือเอง ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่านางเขินอายจึงได้ฝากอีกฝ่ายไปส่งจดหมายให้ แต่นางทำเช่นนั้นเพราะอยากสร้างความประทับใจกับหลิงฮัน
แต่ต่อให้นางมาสารภาพเองมีรึที่หลิงฮันจะสนใจนาง?
ขนาดหลินอวีฉีที่ทั้งงดงามและยั่วยวนยังทำเขาหวั่นไหวไม่ได้ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงนางที่อยู่ในช่วงวัยกลางคนเลย
หลังจากถูกหลิงฮันปฏิเสธ จูหลี่หยุนก็กลับมาที่พักของตัวเอง ใบหน้าของนางเย็นชาและกล่าวอย่างโกรธแค้น “สตรีชนกอมตะสวรรค์ เจ้าคิดว่าตนเองงดงามแล้วจะคว้าบุรุษผู้ใดไปก็ได้รึ? ขนาดข้าเป็นสหายเจ้าเจ้ายังแย่งบุรุษที่เข้าหมายปองเอาไว้ไปเป็นของตัวเอง!”
“ฮึ่ม ตระกูลี่ยกำลังตามหาตัวเจ้าอยู่สินะ งั้นข้าจะช่วยพวกเขาหน่อยแล้วกัน!”
“แล้วก็เจ้าบุรุษหน้าโง่นั่น! ทำมาเป็นพูดดีว่ามีสตรีที่ชอบอยู่แล้วและพวกเราไม่เหมาะสมกัน! เหอะๆ เจ้าคงคิดว่านังผู้หญิงสำส่อนนั่นดีกว่าข้างั้นสินะ?”
“เจ้ากล้าหักหน้าข้า! คอยดูเถอะ เมื่อใดที่คนของตระกูลเชี่ยมาเจ้าจะต้องถูกสังหารไปด้วย!”
“เป็นแค่นักปรุงยาระดับห้าแต่กล้าทำตัวโอหัง!”
“ฮึ่ม!”
นางปล่อยนกขนาดเท่าผึ้งบินขึ้นฟ้า นกขนาดเล็กตัวนี้แม้จะไม่มีความสามารถในการต่อสู้ แต่มันสามารถบินได้ด้วยความเร็วสูงมาก ความเร็วของมันเทียบได้กับจอมยุทธระดับดาราซึ่งนางจับมันได้ด้วยความบังเอิญและฝึกมันให้เป็นนกส่งข่าวสาร
นางเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราแก่ประสบการณ์ที่สะสมแต้มสังหารได้จำนวนมากจนสามารถถอนตัวได้หลายสิบรอบแล้ว แต่ที่นางยังคงอยู่ในกองทัพจันทราม่วงเป็นเพราะความปลอดภัยของที่นี่และสามารถใช้แต้มสังหารแลกเปลี่ยนเป็นเม็ดยา อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์และทรัพยากรอย่างอื่นได้
ตอนที่นางมายังสนามรบสองดินแดนครั้งแรกนางเป็นเพียงจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้นเท่านั้น แต่ตอนนี้นางบรรลุขั้นสูงสุดแล้วซึ่งเป็นเพราะนางแลกเปลี่ยนแต้มสังหารเป็นเม็ดยาเป็นจำนวนมหาศาล แน่นอนว่าพรสวรรค์ในศาสตร์วรยุทธของนางก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน ไม่เช่นนั้นด้วยความช่วยเหลือของเม็ดยาอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ
นกที่นางส่งไปคงใช้เวลาไม่นานในการส่งข่าวไปถึงหูตระกูลเชี่ยว และอีกไม่เกินสองเดือนตระกูลเชี่ยจะต้องมาที่นี่แน่นอน
“ที่เหลือก็รอดูการแสดงสนุกๆ!”
……
ในวันถัดมากองกำลังของกองทัพจันทราม่วงพบเจอกับกองกำลังสิ่งมีชีวิตใต้พิภพอีกครั้งแต่ก็ลงเอยด้วยชัยชนะ หลิงฮันใช้เม็ดยาระเบิดอัสนีไปมากมายให้กับกองกำลังกองทัพจันทราม่วง แม้ผลลัพธ์จะทำให้พลังต่อสู้ของพวกนางเพิ่มขึ้นเพียงหนึ่งดาวก็อย่าดูถูก การที่ทั้งกองทัพมีพลังต่อสู้เพิ่มขึ้นหนึ่งดาวสมควรเรียกว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างมากเลยถึงจะถูก
แต่ชัยชนะของพวกนางก็ต้องหยุดลงเพราะกองทัพของดินแดนใต้พิภพได้ส่งกองกำลังที่ทรงพลังยิ่งขึ้นมาปะทะกับพวกนาง กองกำลังที่มาใหม่คือกองกำลังที่เต็มไปด้วยตัวตนระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุด จำนวนของพวกมันมีมากกว่าห้าสิบตัว
กองกำลังของกองทัพจันทราม่วงไม่กล้าต่อกรและล่าถอยทันที
เป้าหมายของพวกนางในการเดินทางครั้งนี้คือไล่ล่าสิ่งมีชีวิตใต้พิภพและค้นหาศิลาวิญญาณปฐพี ตอนนี้พวกนางสังหารศัตรูได้มากมายแล้วและค้นหาศิลาวิญญาณปฐพีไม่พบเสียที แถมศัตรูก็ยังกองกำลังที่ทรงพลังมาอีก เพราะงั้นพวกนางจึงตัดสินใจกลับค่ายที่พักของกองทัพจันทราม่วง
เนื่องจากหลิงฮันไม่สามารถเข้าไปยังอาณาเขตของกองทัพจันทราม่วงได้เขาจึงไม่กลับไปกับพวกนางแต่ขอแยกตัว สำหรับเขาที่มีหอคอยทมิฬภัยอันตรายของสนามรบสองดินแดนไม่ใช่เรื่องที่ต้องนำมาใส่ใจแม้แต่น้อย
เขาต้องการสังหารสิ่งมีชีวิตใต้พิภพให้มากกว่านี้เพื่อสะสมแต้มสังหาร เขาสามารถนำแต้มที่ว่าไปแลกเปลี่ยนเป็นแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ได้ ยิ่งกว่านั้นถ้าหากพบเจอศิลาวิญญาณปฐพีก็ยิ่งดีใหญ่ เขาจะแลกเปลี่ยนมันเป็นแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์จำนวนมหาศาล
ตอนนี้สิ่งที่จำเป็นมากกว่าการยกรับพลังของตัวเขาเองก็คือการหลอมดาบอสูรนิรันดร์ให้คุณภาพสูงยิ่งขึ้น
เขาตัดสินใจเข้าไปยังส่วนที่ลึกกว่าเดิมของสนามรบสองดินแดนเพื่อล่าสังหารสิ่งมีชีวิตใต้พิภพ
ตอนที่ 1250
เรื่องที่หลิงฮันจะเข้าไปยังส่วนลึกของสนามรบสองดินแดนนั้น ทั้งโสมเม่ากับเจ้ากระต่ายต่างก็เห็นด้วย พวกเขาตั้งใจจะให้หลิงฮันแก้แค้นสิ่งมีชีวิตใต้พิภพตนนั้นให้กับพวกมัน
ที่สนามรบสองดินแดนแห่งนี้จะเกิดการปะทะกันระหว่างจอมยุทธกับสิ่งมีชีวิตใต้พิภพระดับภูผาวารีกับสุริยันจันทราเป็นส่วนใหญ่ โดยปกติแล้วตัวตนระดับดาราจะไม่ปรากฏให้เห็น แต่เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาปรากฏตัว ระดับของสงครามปะทะก็จะรุนแรงขึ้นไปอีกขั้น
ถึงแม้จะมีการปะทะกันระหว่างสองภพอยู่เรื่อยๆแต่ในหลายปีมานี้ก็ยังไม่มีสงครามครั้งใหญ่เกิดขึ้นเลยสักครั้ง เรียกได้ว่าสถานะในตอนนี้สามารถควบคุมได้อยู่
ในขณะเดียวกันไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์จากดินแดนใต้พิภพหรือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาต่างไม่กล้าบุกรุกไปยังส่วนลึกของดินแต่ละฝ่ายทั้งสิ้นเนื่องจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์จะส่งผลให้พลังต่อสู่ของพวกเขาลดลงมหาศาล
แม้พลังบ่มเพาะจะเท่าเดิม แต่หากใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ไม่ได้ก็จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมาก
อย่างเช่นหลิงฮันในตอนนี้ ด้วยระดับพลังของเขาทำให้สามารถทำความเข้าใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้อย่างจำกัดแต่ก็มีพลังต่อสู้ถึงหกดาว
เมื่อพบศัตรูที่มีระดับพลังสูงกว่าเขาและเชี่ยวชาญอำนาจแห่งกฎเกณฑ์มากกว่า เขาก็สามารถต่อกรกับอีกฝ่ายได้ เนื่องจากอีกฝ่ายจะไม่สามารถใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้เต็มที่
สมมุติหากจอมยุทธระดับดาราขั้นสูงบุกรุกไปยังโลกใต้พิภพ พลังของจอมยุทธที่ว่าอาจจะลดลงไปเป็นระดับดาราขั้นกลางหรืออาจจะขั้นต้นเลยก็เป็นได้
ด้วยเหตุนั้นแล้วตัวตนระดับสูงของแต่ละดินแดนจึงพยายามไม่บุกรุกกันและกัน
แต่สำหรับหลิงฮันเขาตระหนักถึงพลังต่อสู้ของตนเองดี แถมตอนนี้ระดับพลังของเขาก็ยังต่ำอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพย่อมยังไม่ส่งผลต่อเขามากเท่าไหร่ ต่อให้เขาเข้าไปยังดินแดนใต้พิภพเขาก็ยังไม่เสียเปรียบมาก
ยิ่งกว่าเขาก็ดูดซับพลังจากแก่นพลังของจ้าวอสูรเอาไว้ด้วย แม้จะเป็นแค่เศษเสี้ยงพลังแต่จ้าวอสูรก็ถือว่าตัวตนที่ทรงพลังที่สุดของดินแดนใต้พิภพ เมื่อใดที่เขาโคจรปราณอสูรเขาจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพ
นี่นับว่าเป็นข้อได้เปรียบอย่างมาก
หลิงฮันเดินลึกเข้าไปในสนามรบสองดินแดนและพยายามปรับตัวให้เข้ากับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดน
ไม่ว่าจะของดินแดนไหนความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเขายังน้อยนิดเนื่องจากระดับพลังที่ยังต่ำอยู่ และนี่ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีของเขา
ผ่านไปสิบวันหลิงฮันก็ปรับตัวได้สำเร็จ ตอนนี้เขาเป็นราวกับปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ
ณ ที่แห่งนี้ที่ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งมีชีวิตจากดินแดนใต้พิภพต่างก็ต้องได้รับผลกระทบจนพลังต่อสู้ลดลง แต่หลิงฮันไม่ได้รับผลกระทบที่ว่าแม้แต่น้อย เขาสามารถปลดปล่อยพลังได้เต็มที่
นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วแต่ก็หาศิลาวิญญาณปฐพีไม่พบเสียที เฒ่าโสมกับเจ้ากระต่ายรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก
“เห้อ!” จู่ๆเฒ่าโสมก็อุทานออกมา มันเช็ดเหงื่อที่หน้าผากราวกับรู้สึกเหน็ดเหนื่อย “นี่ข้าก็ยุ่งมากหลายวันแล้ว ข้าว่าข้าขอกลับไปดูสตรีเหล่านั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า!”
“พวกเรายังไม่ได้แก้แค้นสิ่งมีชีวิตใต้พิภพตนนั้นเลยนะ!” เจ้ากระต่ายไม่สบอารมณ์ มันปลดปล่อยกลิ่นอายที่เย็นชาออกมาพร้อมกับดวงตาที่เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน
หลิงฮันนั่งและกำลังวางแผนจะกินอาหาร แม้แต่ในสถานที่เช่นนี้เขาก็ไม่สามารถแก้นิสัยนี้ได้
เขาจุดไฟและนำเนื้อสัตว์อสูรออกมาใส่หม้อจากนั้นค่อยสมุนไพรลงไป กลิ่นหอมลอยฟุ้งออกมาจนเขารู้สึกเศร้าใจ ที่นี่ไม่มีสัตว์อสูรให้ล่า แล้วเขาจะกินเนื้ออะไรในอนาคต?
“ใส่ไข่ลงไปด้วย ข้าได้ยินมาว่าไข่ช่วยฟื้นฟูกำลังได้ดี” เจ้ากระต่ายหยิบไข่ด้วยอุ้งเท้าสองข้างและโยนลงในหม้อ
“นายท่านโสมก็ชอบไข่!” โสมเฒ่ารีบกล่าว
หลิงฮันต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ต้องหยุดชะชัก “มีศัตรู!”
สายตาของเขามองไปยังเนินเขาที่ไม่ไกลเท่าไหร่ ที่นั่นมีสิ่งมีชีวิตร่างบางอยู่อยู่ เขาพาดมือเอาไว้ด้านหลังและปลดปล่อยกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกออกมา เสื้อผ้าของพลิ้วไหวเล็กน้อย
สิ่งมีชีวิตใต้พิภพ!
เขาสามารถแยะได้ด้วยตาเปล่าเนื่องจากกลิ่นอายของพวกมันนั้นต่างจากมนุษย์ กลิ่นอายของพวกมันทั้งชั่วร้ายและมืดมน
แต่ที่ทำให้หลิงฮันประหลาดใจก็คือนอกจากกลิ่นอายแล้ว สิ่งมีชีวิตตนนั้นไม่มีส่วนใดที่แตกต่างกับมนุษย์แม้แต่นิดเดียว
เขาเป็นชายหนุ่มที่ในช่วงอายุยี่สิบปีและมีรูปลักษณ์หล่อเหลา
“หมอนั่นไง!” เจ้ากระต่ายและโสมเฒ่าชี้ไปยังทิศทางเดียวกัน “ฮันน้อย เป็นไอ้บัดซบนั่น!”
ที่เจ้ากระต่ายกับโศมเฒ่าบอกว่าถูกสิ่งมีชีวิตใต้พิภพไล่ล่าก่อนหน้านี้หมายถึงหมอนี่งั้นรึ?
“จัดการมันเลย!”
“วันนี้นายท่านโสมจะเปิดเตาปิ้งเนื้อสิ่งมีชีวิตใต้พิภพ!”
ทั้งเจ้ากระต่ายและโสมเฒ่าคำรามอย่างเกรี้ยวกราด แต่พวกมันทั้งสองก็ไม่ได้ผลีผลามลงมือแส่หาความตาย
ชายหนุ่มใต้พิภพกระโดดลงมาด้านหน้าหลิงฮันและปลดปล่อยกลิ่นอายทรงพลังระดับสุริยันจันทราออกมา แต่ความรู้สึกที่สัมผัสระดับพลังของอีกฝ่ายทำให้หลิงฮันรู้สึกว่าแตกต่างกับตัวเขาอย่างสิ้นเชิง
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์คือพลังแห่งการสร้าง ส่วนดินแดนใต้พิภพคือพลังแห่งการทำลาย ทั้งสองเป็นเหมือนสวรรค์และปฐพีที่ตรงข้ามกัน
“ไสหัวไป!” ชายหนุ่มคนนั้นกล่าว “เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะตายด้วยเงื้อมมือข้า”
ฮ่าๆ ช่างโอหังนัก!
หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “แต่บางทีเจ้าอาจจะมีคุณสมบัติที่จะตายด้วยเงื้อมมือข้า!”
แววตาของชายหนุ่มกลายเป็นครมกริบ ‘ครืนน’ แววตาสองข้างของเขาร้อนระอุราวกับเปลวเพลิง
หลิงฮันรับรู้ได้ทันทีว่าชายตรงหน้าคือราชาเหมือนกับเขา สิ่งมีชีวิตใต้พิภพที่มีศักยภาพระดับราชา
เป็นคู่ต่อสู้ที่ดี
“ข้าคือองค์ชายมังกรทมิฬ อ้าวซื่อหยุน เจ้าเป็นใคร?” ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวอย่างไม่แยแส ด้านหลังของเขาปรากฏเงาของมังกรทมิฬแท้จริง กรงเล็บและเขี้ยวของมันทำให้สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันรุนแรง
แปลกมาก!
หลิงฮันกล่าวในใจ ไม่คาดคิดว่าดินแดนใต้พิภพก็มีมังกรจริงเช่นกัน แถมแซ่อ้าวงั้นรึ? เหตุใดแซ่ของอีกฝ่ายถึงได้เหมือนกับตระกูลมังกรของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เลย?
ทั้งสองดินแดนเป็นเหมือนน้ำกับไฟ เป็นไปได้ด้วยรึที่สองตระกูลจากสองดินแดนจะแต่งงานกัน?
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “หลิงฮัน!”
“หากเจ้ารับสามกระบวนท่าจากข้าได้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” อ้าวซื่อหยุนกล่าวอย่างเย็นชา
ตอนที่ 1251
หลิงฮันอดที่จะหัวเราะไม่ได้ ในจอมยุทธขอบเขตพลังเดียวกันไม่มีใครสามารถสังหารเขาภายในสามกระบวนท่าได้
-อ้าวซื่อหยุนเป็นแค่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้นชั้นสูง แต่เขามีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งกว่าหลิงฮันเล็กน้อย
“ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจตัวเองมาก ข้าชักอยากจะต่อสู้กับเจ้าแล้วสิ” หลิงฮันกล่าว
อ้าวซื่อหยุนกล่าวอย่างเย็นชา “หึ่ม ข้าจะสั่งสอนเจ้าเองภายในสามกระบวนท่า!” เขาเบื่อท่าทางอวดดีของหลิงฮัน นี่เขารู้หรือไม่ว่าสถานะองค์ชายมังกรทมิฬหมายถึงอะไร?
อ้าวซื่อหยุนเคลื่อนไหวและปล่อยฝ่ามือออกไป ทันใดนั้นกรงเล็บมังกรทมิฬก็ตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างกะทันหัน และกดทับไปที่หลิงฮัน อักขระศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นและรวมตัวกันเป็นเปลวเพลิงทมิฬที่น่าสะพรึงกลัว
มังกรทมิฬขึ้นชื่อเรื่องเปลวเพลิงทมิฬ มันเป็นเปลวเพลิงที่ร้อนแรงที่สุดและไม่มีอะไรที่มันไม่สามารถเผาให้มอดไหม้ได้
หลิงฮันดูแปลกใจเล็กน้อย นี่น่ะหรือทายาทของเผ่ามังกรที่แท้จริง?
แข็งแกร่งมาก!
เขารู้สึกได้ว่าถ้าสัมผัสกับเปลวเพลิงของอีกฝ่ายเข้า ร่างกายของเขาจะมอดไหม้ และมันไม่ใช่เปลวเพลิงที่สามารถดับได้โดยทันที มันอาจต้องใช้เวลาสิบวันหรืออาจครึ่งเดือนถึงจะดับ
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถดูแคลนอีกฝ่ายได้!
หลิงฮันสะบัดนิ้วและใช้ทักษะดาบอัสนีคำราม เปรี๊ยง ทันใดนั้นปราณดาบของหลิงฮันก็ตั้งฉากกับท้องฟ้าและตัดผ่านกรงเล็บมังกรทมิฬ
ตู้ม ปราณดาบตัดผ่านกรงเล็บมังกรทมิฬได้อย่างง่ายดายและแตกสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
อ้าวซื่อหยุนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย และพูดว่า “ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีความสามารถอยู่บ้าง!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า หากข้าไม่มีความสามารถ ข้าจะกล้ามาที่นี่อย่างนั้นรึ?” หลิงฮันกล่าวอย่างเย็นชา
ทันใดนั้นอ้าวซื่อหยุนก็พูดว่า “เจ้าเองก็มาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดนเหมือนกัน?”
การชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดนคืออะไร?
หลิงฮันพึมพัมอยู่ในใจ แต่ใบหน้าของเขายังคงแน่นิ่งและพูดว่า “แล้วเจ้าล่ะ?”
“เหลวไหล ถ้าข้าไม่ผ่านการคัดเลือก แล้วใครจะผ่านการคัดเลือก?” อ้าวซื่อหยุนกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
“ข้าลืมบอกเจ้าอย่าง คนประเภทที่ข้าเกลียดที่สุดคือคนที่หยิ่งยโสเช่นเจ้า” หลิงฮันกล่าว
“แล้วไง?” อ้าวซื่อหยุนแสยะยิ้ม “ยังเหลืออีกสองกระบวนท่า ข้าจะทดสอบดูว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมหรือไม่!”
เขาโจมตีใส่หลิงฮันอีกครั้ง และยังคงใช้กระบวนท่าเดินเปลี่ยนฝ่ามือเป็นกรงเล็บมังกร แต่ครั้งนี้กรงเล็บมังกรทั้งกรงเล็บถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงทมิฬ เหมือนกับสัตว์อสูรที่ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อทำลายล้างโลกฝั่งนี้
หลิงฮันสูดลมหายใจและปล่อยลมหายใจออกมา
ฟริ้ว สายลมที่รุนแรงพัดโหมกระหน่ำ เปลวเพลิงที่ห่อหุ้มกรงเล็บมังกรถูกพัดหายไปเหลือเพียงแค่กรงเล็บมังกรที่แหลมคมธรรมดาเท่านั้น มันไม่ใช่ภัยคุกคามอีกต่อไป
ปากของอ้าวซื่อหยุนกระตุก นี่เจ้าจงใจใช่หรือไม่? ทั้งที่รู้ว่าข้ากำลังโกรธ แต่เจ้าก็ยังปล่อยลมหายใจออกมาเพื่อปัดเป่าเปลวเพลิงของข้า เจ้าต้องการให้ข้าโกรธเกรี้ยวมากขึ้นใช่หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ศัตรูที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่สามารถมองข้ามได้ เปลวเพลิงทมิฬของเขาคือการผสานพลังกับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ แล้วจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้นจะป้องกันได้อย่างไร
ต้องทราบก่อนว่า ในสนามรบเขาสามารถสังหารจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์มามากมาย ซึ่งแต่ละคนนั้นไม่สามารถต่อต้านเปลวเพลิงทมิฬของเขาได้เลย แต่ไม่คิดเลยว่าจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้นที่อยู่ตรงหน้าจะสามารถต้านรับมันได้
นั่นหมายความว่าอย่างไร?
อีกฝ่ายก็เป็นจอมยุทธระดับราชาเหมือนกัน!
อ้าวซื่อหยุนกระหายชัยชนะมากยิ่งขึ้น ทั้งที่ระดับบ่มเพาะพลังของเขาเหนือกว่าหลิงฮันอย่างชัดเจน อีกฝ่ายเป็นแค่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้น ถ้าเขาไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้โดยเร็ว นั่นไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าตัวเขาอย่างนั้นหรือ?
“หึ่ม ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีอัจฉริยะที่สามารถต่อกรกับข้าได้อย่างสูสีได้อย่างไร?” อ้าวซื่อหยุนแสยะยิ้มและปลดปล่อยจิตสังหาร คราวนี้เขาเริ่มเอาจริงและปรากฏมังกรทมิฬอยู่ด้านหลังเขา และทำให้พลังต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ตู้ม เปลวเพลิงทมิฬลุกโชนออกมา ราวกับว่าทุกที่ที่เขาไปจะถูกมอดไหม้กลายเป็นความว่างเปล่า
แต่หลิงฮันก็ยังคงไร้ความหวาดกลัว เขาเองก็ยกระดับพลังต่อสู้ของตัวเองและกระโจนเข้าหาอีกฝ่ายด้วยหมัด โดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นทายาทมังกรหรือหนอน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาทุกคนก็ต้องสยบ
ปัง!
หมัดของทั้งสองคนปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่หมัดของพวกเขาปะทะกันก็จะทำให้เกิดคลื่นกระแทกจนทำให้ท้องฟ้าและปฐพีสูญเสียสีสันของมันไป
ทั้งที่ทั้งสองคนเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้น แต่การต่อสู้ของพวกเขาทั้งสองคนเกือบจะเทียบเท่ากับจอมยุทธระดับดารา
“ฮันน้อย บดขยี้กระดูกของมันอย่างให้เหลือ วันนี้ข้าอยากกินกระดูกงูย่อง!”
“เจ้าหนู นายท่านโสมเองก็หิวแล้ว ข้าอยากจะลองดื่มโลหิตของจอมยุทธที่มาจากดินแดนใต้พิภพยิ่งนัก!”
เจ้ากระต่ายและโสมเฒ่าเป็นกำลังใจให้หลิงฮัน แต่พวกมันทั้งสองตัวไม่มีประโยชน์อะไรเลยและรอกินอย่างเดียว
อ้าวซื่อหยุนทั้งประหลาดใจและโกรธ
ในฐานะที่เขาเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง แน่นอนว่าเขาสามารถได้ยินพวกมันพูดขณะที่เขาต่อสู้อยู่ได้ คำพูดของโสมเฒ่าและเจ้ากระต่ายไม่มีทางที่เขาไม่ได้ยิน พวกเจ้าต้องการกินกระดูกและโลหิตของข้าอย่างนั้นรึ? น่าขยะแขยงยิ่งนัก
แต่ความแข็งแกร่งของหลิงฮันก็ทำให้เขาประหลาดใจเช่นกัน
ในสนามรบสองดินแดน เนื่องจากการปะทะกันของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์จากทั้งสองโลก ทำให้มันกลายเป็นสถานที่ที่พลังไม่เสถียร ซึ่งทำให้พลังต่อสู้ของจอมยุทธลดลงไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือดินแดนใต้พิภพก็ตามต่างก็ได้รับผลกระทบ แต่สถานที่ที่พวกเขาต่อสู้กันอยู่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพแข็งแกร่งกว่ามาก ในทางทฤษฎีแล้วหลิงฮันควรจะอ่อนแอกว่าเขา
ทว่าเขากลับต่อสู้กับอีกฝ่ายได้แค่สูสีเท่านั้น!
เห็นได้ชัดว่าระดับบ่มเพาะพลังของเขาเหนือกว่าอีกฝ่ายสองขั้นเล็ก นั่นหมายความว่าเขามีพลังต่อสู้เหนือกว่าสองดาวและยังมีข้อได้เปรียบจากพื้นที่ที่ต่อสู้กันอยู่อีก แต่กลับทำได้แค่ต่อสู้อย่างสูสี? ถ้าต่อสู้ในสถานที่ที่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่ง เช่นนั้นไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นฝ่ายแพ้หรอกหรือ?
“ดูเหมือนเจ้าจะแข็งแกร่งอยู่บ้าง แต่ความแข็งแกร่งแค่นั้นมันยังไม่พอ!” แน่นอนว่าอ้าวซื่อหยุนไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องคำรามของเขา เขาหยุดสู้กับหลิงฮันอย่างกะทันหันและใช้เทคนิคลับเพื่อเพิ่มพลังต่อสู้
เมื่อหลิงฮันเห็นการเคลื่อนไหวดังกล่าว เขาใช้นิ้วเป็นดาบและโจมตีออกไปด้วยทักษะดาบอัสนีคำรามที่รวดเร็วและทรงพลัง
ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นจอมยุทธที่แข็งแกร่ง และเป็นเรื่องยากที่จะโค่นล้มฝ่ายตรงข้ามได้
แต่อ้าวซื่อหยุนไม่ได้ประหลาดใจแค่คนเดียว หลิงฮันเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในการต่อสู้ระดับเดียวกัน เขาคือคนที่ไร้พ่าย!
หลิงฮันเต็มไปด้วยความมั่นใจ เพราะเขามีกายหยาบและพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง
“อำนาจแห่งมังกร!” อ้าวซื่อหยุนคำราม เงามังกรที่อยู่ด้านหลังของเขาปลดปล่อยพลังที่น่าสะพรึงกลัวออกมาอย่างกะทันหัน มันเป็นพลังที่แม้แต่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงก็ต้องสั่นด้วยความกลัว
ตอนที่ 1252
มังกรเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัว
ตามตำนานกล่าวไว้ว่ามังกรคือสิ่งมีชีวิตอันเป็นที่รักของสวรรค์และปฐพี มันเกิดมาพร้อมกับความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามและเมื่อโตเต็มวัยจะเทียบได้กับตัวตนสร้างสรรพสิ่ง
นี่เพียงพอที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นอิจฉาจนตาย พวกมันไม่จำเป็นต้องฝึกฝนบ่มเพาะพลัง กิน ดื่ม นอนหลับ แค่โตเต็มวัยก็กลายเป็นตัวตนสร้างสรรพสิ่งแล้ว อย่างไรก็ตามความโปรดปรานของสวรรค์ก็มีขีดจำกัด ด้วยการจำกัดพลังตามความบริสุทธิ์ของเลือดมังกร หากมีสายเลือดมังกรที่เจือจาง มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทะลวงผ่านระดับสร้างสรรพสิ่งได้อย่างง่ายดาย
ท้ายที่สุดมังกรก็ไม่ได้แตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตทั่วไป มันแค่มีความสามารถพิเศษบางอย่างเท่านั้น
อย่างเช่น อำนาจมังกร
เมื่ออำนาจมังกรถูกปลดปล่อย สวรรค์และปฐพีจะสูญเสียสีสันของมันไป!
แน่นอนว่าสายเลือดมังกรของอ้าวซื่อหยุนนั้นอยู่ไกลจากคำว่าบริสุทธิ์ หากต้องการทะลวงผ่านระดับสร้างสรรพสิ่ง เขาก็ทำได้แค่พึ่งพาความแข็งแกร่งของตนเองเท่านั้น สายเลือดมังกรไม่มีส่วนช่วยเหลือแต่อย่างใด
ถ้าเขาสามารถทะลวงผ่านระดับสร้างสรรพสิ่งได้ สายเลือดของเขาก็จะกลายเป็นมังกรที่แท้จริง และถ้าเขาแต่งงานกับสตรีที่มีสายเลือดมังกรที่แท้จริงเหมือนกัน ลูกหลานที่คลอดออกมาของพวกเขาก็อาจมีสายเลือดที่แท้จริงและอยู่ในระดับสร้างสรรพสิ่งตั้งแต่แรกเกิด
ถึงตอนนี้อำนาจมังกรของอ้าวซื่อหยุนจะไม่สามารถเทียบเคียงกับมังกรที่แท้จริงได้ก็ตาม ถึงอีกฝ่ายจะเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูง แต่อำนาจมังกรของเขาก็สามารถทำให้พลังของคู่ต่อสู้ลดลงได้หนึ่งดาวหรือสองดาว
ในสมัยบรรพกาล มังกรเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด ไม่มีสัตว์อสูรตัวใดสามารถต้านทานอำนาจพลังของมันได้ เว้นแต่วิหคอมตะเท่านั้น และมังกรสามารถปลดปล่อยอำนาจพลังปกคลุมได้ไกลถึงสิบไมล์
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ภายในรัศมีสิบไมล์ความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะลดลงหนึ่งหรือสองดาว “ภายใต้อำนาจมังกรของข้า เจ้าคิดว่ายังมีความสามารถที่จะต่อสู้กับข้าอีกหรือไม่?” อ้าวซื่อหยุนแสยะยิ้ม การที่อีกฝ่ายสามารถบังคับให้เขาใช้อำนาจมังกรได้ นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าเด็กจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อ่อนแอ
หู่!
อำนาจมังกรเข้าปกคลุม ราวกับมีเสียงคำรามของมังกรดังอยู่ในห้วงวิญญาณของหลิงฮัน ซึ่งทำให้เขาตกใจ
อำนาจมังกร?
หลิงฮันรู้สึกขบขัน เพราะเขาเองก็สามารถใช้อำนาจสวรรค์ได้ – และก่อนหน้านี้เขาก็ได้ดูดซับพลังของแก่นจ้าวอสูร แล้วจ้าวอสูรคือตัวตนระดับใด? ระดับสร้างสรรพสิ่ง!
ระดับสร้างสรรพสิ่งเหมือนกัน ใครต้องกลัวใคร? นอกจากนั้นความแข็งแกร่งของอ้าวซื่อหยุนยังห่างไกลจากคำว่ามังกรที่แท้จริงหลายขุม
ต้องการข่มข้าอย่างนั้นรึ?
“อะไรกัน!” เมื่อเห็นหลิงฮันยังคงยืนหยัดอย่างไม่ไหวติ่ง ช่วยไม่ได้ที่อ้าวซื่อหยุนจะแปลกใจ นี่เป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงมาก เหตุใดอำนาจมังกรของเขาถึงไม่มีผลกระทบกับเจ้าหมอนี่?
ทั้งที่เขามีระดับบ่มเพาะพลังมากกว่าและยังใช้อำนาจมังกร แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย นี่หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าอีกฝ่ายจะมีสายเลือดสัตว์เทพโบราณเหมือนกัน อย่างเช่น วิหคอมตะหรือเต่าทมิฬ
เจ้าเด็กนี่สืบเชื้อสายมาจากสัตว์เทพโบราณเหมือนกัน?
หากเป็นเช่นนั้น…เท่ากับว่าเขาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ!
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้มีสายเลือดสัตว์เทพโบราณอะไรนั่น ข้าก็แค่มนุษย์ธรรมดาและไม่มีสายเลือดของสัตว์เดรัจฉานแม้แต่น้อย!”
“ฮันน้อย เจ้าพูดอะไร! เจ้าจะบอกว่าข้าเป็นสัตว์เดรัจฉานอย่างนั้นรึ?” เจ้ากระต่ายไม่ได้วิ่งเข้าใส่หลิงฮัน แต่เลือกส่งเสียงตะโกนอยู่ในระยะไกล
มันมากเกินไปที่บอกว่าเขาเป็นสัตว์เดรัจฉาน!
ใบหน้าของอ้าวซื่อหยุนกลายเป็นหน้าเกลียจ โลหิตมังกรคือความภาคภูมิใจของเขา แต่ในสายตาของหลิงฮันกลับเป็นแค่สัตว์เดรัจฉาน?
ยอมรับไม่ได้!
“ย่อมได้ เช่นนั้นข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าสัตว์เดรัจฉานที่เจ้าพูดถึงแข็งแกร่งกว่าเจ้าแค่ไหน!” อ้าวซื่อหยุนคำราม เปลวเพลิงทมิฬลุกโชนออกมาจากร่างกายอย่างบ้าคลั่งราวกับต้องการเผาท้องฟ้าให้มอดไหม้
“ตามที่เจ้าต้องการ!” หลิงฮันปลดปล่อยอำนาจสวรรค์ ปัง อำนาจมังกรที่ปกคลุมอยู่รอบด้วยเขากระจายหายไปทันที
มังกรเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาจากสวรรค์และปฐพีใช่หรือไม่? แล้วมันจะเทียบกับอำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีได้อย่างไร?
อำนาจสวรรค์เป็นพลังที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก!
อย่างน้อยก็ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
“อะไรกัน!” สีหน้าของอ้าวซื่อหยุนเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และพบว่าพลังต่อสู้ของตัวเองลดลงหนึ่งดาว
นี่เป็นเรื่องที่ตลกอย่างแท้จริง ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายปลดปล่อยอำนาจมังกรเพื่อยับยั้งพลังของฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเขาจะได้รับผลกระทบจากอำนาจสวรรค์ที่หลิงฮันปลดปล่อยออกมา และมันเขาเองที่พลังต่อสู้ลดลงหนึ่งดาว
ร่างกายของเขาเริ่มสั่น อีกฝ่ายมีแค่คนเดียว แต่ทำไมถึงทำให้เขารู้สึกเหมือนยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ถึงเขาจะมีสายเลือดมังกรก็จริง แต่มันกลับทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างไปจากไส้เดือนตัวเล็กๆ ไม่ว่าเขาจะกัดฟันต่อต้านแค่ไหน พลังต่อสู้ของเขาก็ลดลงหนึ่งดาวอยู่ดี อย่างไรก็ตามพลังต่อสู้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเท่านั้น มันไม่ใช่ทั้งหมด
เขานำหอกยาวออกมา หากมองให้ดีหอกที่เขานำออกมานั้นทำมาจากกระดูกสันหลังของมังกร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจสวรรค์
หลิงฮันไม่แปลกใจที่หอกกระดูกมังกรนั่นสามารถต่อต้านอำนาจสวรรค์ได้ เขายิ้มและพูดว่า “นั่นคงเป็นกระดูกสันหลังของบรรพบุรุษของเจ้า การที่เจ้าเอามันออกมาใช้เป็นอาวุธ นี่เจ้าไม่กลัวว่าบรรพบุรุษของเจ้าจะตายอย่างไม่สงบสุขหรือไง?”
“หึ่ม ผู้คนตระกูลอ้าวของข้า หลังจากที่ตกตายไปกระดูกของพวกเขาจะถูกนำไปสร้างเป็นอาวุธเพื่อผลประโยชน์ของคนรุ่นต่อไปในอนาคต แม้แต่ข้าก็ไม่มีข้อยกเว้น!” อ้าวซื่อหยุนกล่าวอย่างเย็นชา “ดังนั้น อย่าเสียเวลาเปล่าที่จะปั่นหัวข้าด้วยวิธีนี้”
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “เจ้าช่างภาคภูมิใจตัวเองเสียจริง หอกของเจ้ามันจะแค่ไหนกันเชียว”
“ย่อมได้ ข้าจะให้เจ้าลิ้มรสความแข็งแกร่งของหอกของข้า!” อ้าวซื่อหยุนคำรามและพุ่งเข้าหาหลิงฮันพร้อมกับหอกในมือ
หอกที่อยู่ในมือของเขามันไม่ธรรมดา มันมีอำนาจมังกรอันล้นหล่ามแผ่ออกมา ราวกับเป็นมังกรเฒ่าในสมัยบรรพกาลที่ต้องการต่อกรกับสวรรค์ทั้งเก้า
ชิ้ง หลิงฮันเรียกดาบอสูรนิรันดร์ออกมา
ในเมื่ออีกฝ่ายใช้อาวุธ เขาจะสู้มือเปล่าได้อย่างไร?
ทันทีที่ดาบอสูรนิรันดร์ปรากฏออกมา อำนาจสวรรค์อันไร้ที่สิ้นสุดก็ระเบิดออกมา นี่คือดาบที่จะกลายเป็นแร่เหล็กนิรันดร์ในอนาคต!
แม้ว่าหอกเล่มนั้นจะถูกสร้างขึ้นมาจากกระดูกมังกร แต่มันก็ต้องสั่นไหวอยู่ดีเมื่อเจออำนาจพลังของดาบอสูรนิรันดร์ แล้วอำนาจมังกรก็ถูกทำลาย
นี่คือความต่างชั้น ถึงดาบอสูรนิรันดร์จะเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับห้า แต่ในเรื่องของความแข็งแกร่งนั้นมันอยู่เหนือกว่านั้นมาก
อ้าวซื่อหยุนตกตะลึกมาก ทำไมเขาถึงเป็นรองหลิงฮันทุกด้าน? ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีข้อได้เปรียบในเรื่องของระดับบ่มเพาะพลังสองขั้นเล็ก ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นล่ะก็….เขาคงพ่ายแพ้ไปนานแล้ว
“ต่อหน้าโลหิตมังกรที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของข้า ทุกอย่างจะต้องสยบ!” อ้าวซื่อหยุนส่งเสียงคำราม และแขนของเขาทั้งแขนก็กลายเป็นกรงเล็บมังกรอย่างสมบูรณ์ และถือหอกกระดูกมังกรอยู่ในมือแทงไปที่หลิงฮัน
อำนาจมังกรที่เอ่อล้นออกมา ทำให้เขาดูเหมือนเป็นมังกรที่แท้จริง
ในขณะที่หลิงฮันหัวเราะและกวัดแกว่งดาบไปมา เงาดาบที่ทับซ้อนกันทำให้เขาดูเหมือนจักรพรรดิสวรรค์
เดิมทีทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างสูสี แต่เมื่อหลิงฮันปลดปล่อยอำนาจสวรรค์ออกมา เขาก็เป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างท่วมท้น และตอนนี้ทั้งสองคนก็ต่อสู้ด้วยอาวุธกันทั้งคู่ ทำให้ช่องว่างระหว่างอ้าวซื่อหยุนและหลิงฮันเริ่มขยายใหญ่ขึ้น
อ้าวซื่อหยุนพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ดาบอสูรนิรันดร์ระเบิดปราณดาบอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา ซึ่งดาบแต่ละเล่มเทียบได้กับการโจมตีสุดพลังของหลิงฮัน ในเมื่อเขากวัดแกว่งดาบหนึ่งทีทำให้เกิดเงาดาบนับพัน แล้วใครจะหยุดมันได้?
ตอนที่ 1253
ต่อหน้าพลังของหลิงฮัน อ้าวซื่อหยุนทำได้เพียงล่าถอย
การปะทะกันของทั้งสองอ้าวซื่อหยุนเป็นฝ่ายรับการโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว โขดหินบริเวณรอบๆพังทลายไปไม่รู้กี่ก้อน ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธหรือสิ่งมีชีวิตใต้พิภพระดับภูผาวารีที่อยู่ใกล้ๆต่างก็หวาดกลัวจนฉี่ราดและรีบเผ่นหนีไปให้ไกล
การต่อสู้ของทั้งสองก่อให้เกิดผลกระทบรอบด้านที่รุนแรง
ที่จริงไม่เพียงแต่ระดับภูผาวารีเท่านั้น แม้แต่เหล่าระดับสุริยันจันทราก็ยังหวาดหวั่นและกล้ามองการต่อสู้จากระยะที่ห่างไกลเท่านั้น
แม้แต่ตัวตนระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดก็ยังปาดเหงื่อ อัจฉริยะเช่นสองคนนี้บางทีคงใช้เวลาไม่ถึงหมื่นปีก็คงไล่ตามพวกเขาได้ทัน
“บัดซบ!” อ้าวซื่อหยุนคำราม เขาคิดมาตลอดว่าตนเองนั้นไร้เทียมทานที่สุดในดินแดนใต้พิภพ แต่การที่ต้องมาพ่ายแพ้ทุกๆด้านให้กับมนุษย์คนนี้ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
เป็นไปได้ด้วยรึที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีสัตว์ประหลาดเช่นนี้อยู่จริงๆ?
“ข้าไม่ยอมรับ! ไม่มีทาง!” เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาปูดบวม
ในเมื่อพระเจ้าให้กำเนิดอัจฉริยะเช่นเขาแล้ว เหตุใดต้องส่งหลิงฮันเพิ่มมาด้วย?
หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “เจ้าประเมินตัวเองสูงไป! สวรรค์และปฐพีนั้นกว้างใหญ่และไม่ขาดแคลนเหล่าอัจฉริยะ เจ้าไม่ควรมั่นใจในตัวเองมากเกินไป”
ยกตัวเขาง่ายๆ เขาเพิ่งจะเดินทางข้ามดวงดาวเพียงสองดวงยังพบเจออัจฉริยะมากมาย อย่างเช่นเหอเต๋ากับหวู่เหวินตง ถ้าเป็นในระดับพลังเดียวกันแล้ว ทั้งสองคนไม่ด้อยไปกว่าอ้าวซื่อหยุนแน่นอน
เขาเชื่อว่าดินแดนใต้พิภพไม่มีทางอ่อนแอไปกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่รู้ว่าที่นั่นจะมีอัจฉริยะมากมายขนาดไหน?
“หลิงฮัน ข้ายอมรับว่าเจ้าแข็งแกร่ง แต่เทียบกับอัจฉริยะของดินแดนข้าแล้วเจ้ายังห่างชั้น!” อ้าวซื่อหยุนรู้ว่าเขาไม่สามารถโค่นหลิงฮันได้ หากใช้ตราประทับหรือเม็ดยาในการเอาชนะมันก็ไม่นับว่าเป็นชัยชนะของตัวเขาเอง
อัจฉริยะเช่นเขาย่อมยอมรับชัยชนะด้วยวิธีเช่นนั้นไม่ได้ เขาจะใช้วิธีนั้นก็ต่อเมื่อต้องการเอชีวิตรอดเท่านั้น หากเป็นการประลองแพ้ก็คือแพ้
ที่เขากล่าวออกไปเช่นนั้นก็เพราะไม่ต้องการใช้หลิงฮันหยิ่งผยอง
“โอ้ งั้นรึ?” หลิงฮันยิ้มเล็กน้อย
“ใช่แล้ว ดินแดนของข้ามีอัจฉริยะที่ชื่อฉื้อหวงจี่่ คนคนนั้นอายุเพียงสองร้อยปีก็บรรลุระดับสุริยันจันทราแล้ว เทียบกับเขาแล้วเจ้าก็เป็นเพียงหิ่งห้อยที่บินไล่ตามดวงจันทร์!” ฉื้อหวงจี่่พยายามตัดกำลังใจหลิงฮัน
หลิงฮันอดหัวเราะไม่ได้ ถ้าข้ายังเป็นเพียงหิ่งห้อย แล้วเจ้าล่ะ?
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้การที่สามารถบรรลุระดับสุริยันจันทราในอายุสองร้อยปีนั้นนับว่ากลัวมาก!
คิดว่ามีจอมยุทธระดับสุริยันันทราจำนวนเท่าใดที่ทะลวงผ่านระดับดาราได้? อัตราส่วนนั้นคิดคร่าวๆคือประมาณหนึ่งในพัน
ความยากลำบากในการทะลวงผ่านเรียกได้ว่าราวกับไต่เต้าสวรรค์!
ฉื้อหวงจี่่ผู้นี้เขาสามารถบรรลุระดับสุริยันจันทราด้วยอายุสองร้อยปี นั่นหมายความว่าหากเขาต้องการ ในอีกไม่กี่ร้อยปีเขาจะสามารถทะลวงผ่านระดับดารา!
ความเร็วในการบ่มเพาะเช่นนี้ คนคนนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวมาก
ตัวของหลิงฮันนั้นแม้จะบ่มเพาะพลังมาเพียงสามสิบปี แต่หลังจากทะลวงผ่านระดับพลังของพระเจ้าเขาก็พึ่งพำอำนาจของต้นสังสารวัฏในการบ่มเพาะ ภายใต้ต้นสังสารวัฏเขาสามารถทำความเข้าใจศาสตร์วรยุทธหนึ่งวันได้เท่ากับหนึ่งปี หากนับจริงๆเขาบ่มเพาะพลังเกินสองร้อยปีแล้ว
“บางที… ฉื้อหวงจี่่คนนั้นอาจจะครอบครองสมบัติคล้ายๆหอคอยทมิฬที่สามารถเร่งการไหลของกระแสเวลาได้” หลิงฮันคาดเขาเช่นนี้ก็เพราะหอคอยน้อยเคยบอกเขาว่าหากหอคอยทมิฬถูกซ่อมแซมแล้ว มันจะสามารถเร่งกระแสเวลาได้ ระยะเวลาหนึ่งวันในหอคอยทมิฬจะเท่ากับโลกภายนอกสิบวันหรืออาจเป็นเดือนเป็นปี!
นั่นไม่ใช่การเร่งเวลาเพียงแค่ส่วนของวิญญาณแต่ระดับพลังบ่มเพาะก็จะถูกเร่งเวลาด้วย
หลิงฮันยิ้ม ความเร็วใรการบ่มเพาะไม่ใช่ความโดดเด่นที่สุดของเขาแต่เป็นกายหยาบที่ไร้เทียมทานจากคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ต่างหาก! แน่นอนว่าเขาไม่มีเหตุผลจะต้องโอ้อวดกับอีกฝ่าย “โอ้ งั้นข้าจะรอพบกันคนที่เจ้าว่า!”
“แน่นอน! สามปีหลังจากนี้ที่การชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดน ฉื้อหวงจี่่จะให้เจ้าลิ้มรสความสิ้นหวังที่นั่น!” อ้าวซื่อหยุนเก็บหอกและนำตราประทับแปะร่างพร้อมกับเผ่นหนีไป
แต่หลิงฮันก็ไม่ไล่ตามอยู่แล้ว ด้านหน้านี้คืออาณาเขตของเหล่าสิ่งมีชีวิตใต้พิภพ เขาไม่รู้ว่าที่นั่นมีตัวตนระดับสูงอยู่มากมายเพียงใด พลังของเขาในตอนนี้ยังไม่เพียงพอจะต่อกรกับคนเหล่านั้น
เขายืนแน่นิ่งและเก็บดาบอสูรนิรันดร์ จิตใจของเขาในตอนนี้อยู่ในสภาวะหนักอึ้ง
หากเขาต้องการล้มล้างห้านิกายโบราณเขาต้องมีพลังบ่มเพาะระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดเป็นอย่างน้อย แต่ห้านิกายโบราณนั้นตั้งรากฐานมาแล้วไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนปีมาแล้ว พวกเขาย่อมมีไพ่ลับมากมาย บางทีบ่มเพาะระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดอาจจะไม่เพียงพอ
เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วหลิงฮันคงต้องรอไปอีกหลายสิบยี่สิบปี ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ห้ามผลีผลามเด็ดขาด
‘ตุบ ตุบ ตุบ’ คนจำนวนหนึ่งปรากฏตัว พวกเขาเป็นตัวตนระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดทั้งหมด พวกเขาทุกคนข้องมองหลิงฮันไม่วางตา
คนเหล่านี้คือสิ่งมีชีวิตใต้พิภพ ไม่ว่าคนไหนก็ไม่ปิดบังจิตสังหารแม้แต่น้อย
รุ่นเยาว์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์คนนี้มีพรสวรรค์น่ากลัวเกินไป พวกเขาจะต้องกำจัดเสียแต่เนิ่นๆ ไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้เขาสยายปีกเต็มที่ได้จะกลายเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ของดินแดนใต้พิภพ
“เหอๆ คิดว่าจะพวกเจ้าจะทำตามใจชอบได้ง่ายๆ?” เหล่าจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดของฝั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวเช่นกัน ในเมื่อคนของดินแดนใต้พิภพของต้องการกำจัดหลิงฮัน แน่นอนว่าพวกเขาต้องขัดขวาง
“สังหารให้หมด!” เหล่าสิ่งมีชีวิตใต้พิภพไม่มัวลังเล ทั้งสองดินแดนเข่นฆ่าสังหารกันมานานหลายปีแล้ว เพลิงแค้นของพวกเขาร้อนระอุจนไม่มีวันดับ
“หนุ่มน้อย เจ้าหลบไปก่อน!” จอมยุทธของดินแดนศักดิ์สิทธิ์กล่าวกับหลิงฮัน
ที่จริงแล้วไม่มีใครต้องการปะทะกันทั้งๆที่ไม่ได้เตรียมการมาก่อน ดังนั้นเหล่าจอมยุทธของฝั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์จึงคิดจะสู้ถ่วงเวลาให้หลิงฮันเอาชีวิตรอดไปได้เท่านั้น พวกเขาไม่คิดจะสู้เป็นตายกับกลุ่มสิ่งมีชีวิตใต้พิภพตรงหน้า
ถ้าการปะทะครั้งนี้ยืดยาว ไม่ว่าผลลัพธ์จะลงเอยแบบไหนพวกเขาก็ต้องสูญเสียอย่างมหาศาล
ทุกคนมาที่สนามรบสองดินแดนเพื่อสังหารสิ่งชีวิตใต้พิภพก็จริง แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็มีจุดประสงค์เพื่อตามหาศิลาวิญญาณปฐพีด้วย ใครกันจะอยากทิ้งชีวิตไว้ที่นี่?
เพราะงั้นแล้วเมื่อใดที่หลิงฮันหนีรอดไปได้ การปะทะครั้งนี้ก็จะสิ้นสุด
หลิงฮันพยักหน้าและโคจรทักษะย่างก้าวไล่ตามดารา ร่างของเขาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและหายไปทันที
ก่อนหน้านี้เหล่าจอมยุทธของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถหยุดอ้าวซื่อหยุนไว้ได้ ครั้งนี้เหล่าสิ่งมีชีวิตใต้พิภพก็ไม่สามารถหยุดหลิงฮันได้เช่นกัน
“ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ ระดับพลังของข้าในตอนนี้ต่ำเกินไป ข้าต้องหาทางยกระดับพลังให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่เช่นนั้นหลังจากนี้สามปีเมื่อข้าไปการชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดน ข้าคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉื้อหวงจี่่ ”
หลิงฮันครุ่นคิดในขณะเผ่นหนี
ตอนที่ 1254
หลิงฮันมั่นใจในศักยภาพของตัวเองแต่ก็ไม่ได้คิดว่าตนเองสูงส่งที่สุด
หลังจากหลบหนีมาได้เขาก็หยุดรอโสมเฒ่ากับเจ้ากระต่าย
เมื่อพวกมันมาถึงหลิงฮันก็กล่าว “เจ้ากระต่าย เจ้าอยากไปที่ดีๆรึไม่?”
“ที่ดีๆอะไรของเจ้า?” เจ้ากระต่ายถาม ตัวมันยังไม่เคยเข้าไปในหอคอยทมิฬ
หลิงฮันหัวเราะ เขาจับเฒ่าโสมโยนเข้าไปในหอคอยทมิฬก่อนค่อยคว้าร่างของเจ้ากระต่ายตามเข้าไป
“ที่นี่มัน… ที่นี่มันที่ไหนกัน!” เจ้ากระต่ายตกตะลึง อุปกรณ์มิติศักดิ์ศิทธิ์เป็นสิ่งที่ตัวมันไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะพบเจอ
“เอาล่ะ รีบบ่มเพาะพลังได้แล้ว!” หลิงฮันโยนมันไปยังใต้ต้นสังสารวัฏ เขาขี้เกียจอธิบายอะไรมากจึงให้โสมเฒ่ารับหน้าที่แทน
ผ่านไปสักพักเสียงอุทานของเจ้ากระต่ายก็ดังขึ้น มันตะลึงจนกลั้นปากไม่อยู่ ใต้ต้นไม้ต้นนี้ต่อให้เป็นระดับพลังสูงสุดอย่างระดับสร้างสรรพสิ่งก็สามารถบรรลุได้?
หลิงฮันยิ้มและเรียกหอคอยน้อย “มีวิธีไหนช่วยขจัดพิษของเสียในร่างของข้าเร็วๆรึไม่?”
หอคอยน้อยสั่นขึ้นลงเล็กน้อยและกล่าว “ย่อมมี!”
หลิงฮันดีใจขึ้นมาทันที “เช่นนั้นก็บอกทีว่าข้าควรทำอย่างไร?” หากเขาสามารถขจัดพิษของเสียในร่างได้ เขาจะสามารถบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดได้ในระยะเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นก็จะได้ขัดเกลาระดับพลังให้ถึงขั้นสมบูรณ์
“หอคอยทมิฬชั้นที่สี่ถูกเปิดแล้ว เจ้าสามารถหยิบยืมอำนาจเปลวเพลิงจากชั้นนั้นมาใช้ขัดเกลาร่างกายได้ทุกๆสามเดือน ด้วยอำนาจของเปลวเพลิงที่ว่าทั้งร่างของเจ้าจะมอดไหม้ไม่เหลือ” หอคอยน้อยกล่าว
ปากของหลิงฮันกระตุก เหตุใดมันถึงฟังดูน่ากลัวขนาดนั้น?
ที่จริงหอคอยน้อยเคยบอกก่อนหน้านี้นานแล้วว่าหอคอยทมิฬมีเปลวเพลิงที่สามารถใช้ขัดเกลากายหยาบได้ เพียงแต่ว่าหอคอยน้อยกล่าวเพียงครั้งเดียวแล้วก็ไม่เอ่ยถึงอีกเลยเขาจึงลืมไปเสียสนิท
เขาถามต่อ “มันจะเป็นอันตรายต่อข้ารึไม่?”
“แน่นอน!” หอคอยน้อยพยักหน้า “ถ้าเจ้าทนอำนาจของเพลิงไม่ได้ร่างของเจ้าถูกเผาเป็นเศษฝุ่น ไม่สิแม้แต่เศษฝุ่นก็คงไม่เหลือ แต่หากเป็นเช่นนั้นได้ก็ดี ข้าก็ได้จะเลิกอดทนกับเจ้านายงี่เง่าเสียที”
เจ้าหอคอยทมิฬบัดซบ ไม่เหน็บข้าสักครั้งเจ้าจะตายรึไง!
หลิงฮันคิดในใจก่อนจะกล่าว “ทำไมก่อนหน้านี้เจ้าไม่บอกข้า?”
“เจ้าอยากตายเร็วขนาดนั้นเลย?” หอคอยน้อยกล่าวถาม “ข้าต้องการรอให้เจ้าบรรลุระดับดาราเสียก่อนถึงจะค่อยให้เจ้าขัดเกากายหยาบให้บรรลุระดับใหม่ด้วยวิธีนี้”
ที่จริงหอคอยน้อยนั้นมีนิสัยประเภทปากหยาบแต่จิตใจดี มันจัดเตรียมกำหนดการในการบ่มเพาะขัดเกลาพลังเอาไว้ให้หลิงฮันแล้ว
หลิงฮันแอบประหลาดใจ “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? กายหยาบของข้ายังสามารถขัดเกลาให้แข็งแกร่งขึ้นได้อีกเท่าตัวงั้นรึ?”
“จะพูดว่าเท่าตัวก็ดูเกินจริงเล็กน้อย แต่กายหยาบของเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าตอนนี้มากแน่นอน อำนาจที่ทรงพลังของเปลวเพลิงจะทำให้เจ้ากำเนิดใหม่จากเถ้าถ่าน” หอคอยน้อยกล่าว
หลิงฮันแสดงสีหน้าเด็ดเดี่ยว ที่โลกใบเล็กกายหยาบของเขานั้นจะเหนือกว่าระดับพลังบ่มเพาะหนึ่งระดับใหญ่ทำให้เขาเป็นสัตว์ประหลาดที่แท้จริง แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จอมยุทธที่มีพลังบ่มเพาะเท่ากันจะทำให้เขาบาดเจ็บได้
ส่วนบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์น่ะรึ?
กายหยาบของเขาเหนือกว่าพลังบ่มเพาะเพียงแค่ขั้นย่อยเท่านั้น
ตราบใดที่ศัตรูระดับเดียวกันมีพลังต่อสู้เกินกว่าสี่ดาวย่อมสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้เนื่องจากพลังต่อสู้สี่ดาวเทียบได้กับขั้นย่อยของระดับพลังบ่มเพาะ
(ระดับใหญ่เช่นจากระดับภูผาวารีไประดับสุริยันจันทรา ขั้นย่อยเช่นระดับสุริยันจันทราขั้นกลางไปขั้นสูง)
แม้จะกล่าวว่าอัจฉริยะห้าดาวมีอยู่เพียงในตำนวน แต่ความเป็นจริงแล้วอัจฉริยะนั้นมีอยู่ทั่วทุกที่ ตัวหลิงฮันเองที่เป็นอัจฉริยะย่อมมีโอกาสสูงที่จะพบเจอกับอัจฉริยะคนอื่น
เพราะงั้นแล้วกายหยาบของเขาในตอนนี้แม้จะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าไร้พ่าย
“แล้วอะไรคือกำเนิดใหม่จากเถ้าถ่าน?” หลิงฮันถาม
“เปลวเพลิงของวิหคเพลิงอมตะคือพลังชีวิตที่ไม่มีวันมอดดับ แม้ตายไปแล้วก็สามารถเกิดใหม่ได้” หอคอยน้อยกล่าว “ส่วนหนึ่งของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์หยิบยืมทักษะลับในการคืนชีพของวิหคเพลิงอมตะมาปรับใช้!”
“วิหคเพลิงอมตะ? หลิงฮันตกตะลึง “ไม่ใช่นกอมตะสวรรค์หรอกรึ?”
“เหอะ นกอมตะสวรรค์จะนำไปเทียบกับวิหคเพลิงอมตะได้อย่างไร?” หอคอยน้อยกล่าวอย่างเหยียดหยาม
“นั่นก็หมายความว่าคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์หยิบยืมพลังของสัตว์เทพมาใช้?” หลิงฮันถามด้วยความสงสัยงง
“พลังต่างๆของเหล่าสัตว์อสูรต้นกำเนิดพิภพจากดินแดนแห่งเซียนถูกนำมาหล่อหลอมอยู่ในคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์!” หอคอยน้อยกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
หลิงฮันอุทาน ‘โอ้’ ออกมา เขาไม่เคยไปยังดินแดนแห่งเซียนจึงไม่รู้ว่าสัตว์อสูรต้นกำเนิดพิภพที่ว่าเป็นอย่างไร แต่ที่รู้ๆก็คือคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์จะต้องเป็นทักษะที่ทรงพลังมากแน่นอน
“งั้นก็เริ่มกันเลย!” หลิงฮันพยักหน้า สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ว่าจะการล้มล้างห้านิกายโบราณหรือการชุมนุมของผู้ถูกเลือกแห่งสองดินแดนในที่สามปี สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้ก็คือความแข็งแกร่ง
“เจ้าควรคิดให้รอบคอบก่อน ถ้าเจ้าผ่านมันไปไม่ได้ชีวิตของเจ้าจะจบลงตรงนี้!” หอคอยน้อยกล่าวเตือน “ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าใช่ว่าจะไม่มีโอกาสผ่านการขัดเกลาด้วยเปลวเพลิงในระดับสุริยันจันทรา แต่โอกาสล้มเหลวก็ยังสูงอยู่ดี แต่หากเจ้าขัดเกลาเปลวเพลิงในตอนที่บรรลุระดับดาราแล้ว โอกาสสำเร็จจะมีเพิ่มขึ้น”
หลิงฮันหัวเราะ “ในเมื่อเจ้าบอกว่าข้ามีโอกาสทำสำเร็จข้าก็เชื่อว่าข้าต้องทำได้!”
หอคอยน้อยพยักหน้าและกล่าว “ข้าให้เวลาเจ้าสามวัน เจ้าต้องจดจำรายละเอียดทุกส่วนของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ให้ดีถึงจะผ่านการขัดเกลาด้วยเปลวเพลิงได้ หากล้มเหลว… สิ่งที่รอเจ้าอยู่มีเพียงความตาย!”
“เข้าใจแล้ว!”
หลิงฮันนั่งสมาธิด้านใต้ต้นสังสารวัฏและทบทวนเนื้อหาทุกส่วนของของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์อย่างละเอียด หลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่มีอะไรตกหล่นเขาก็ลืมตาลุกขึ้นยืน
เวลาได้ผ่านไปห้าวัยแล้วไม่ใช่สามวันตามที่หอคอยน้อยบอกไว้
เขาใช้เวลาทบทวนไปถึงห้าปี!
“เริ่มกันเลย!” หลิงฮันถอนหายใจ
หอคอยน้อยส่งหลิงฮันไปยังตำแหน่งที่ห่างไกล ที่นั่นมีเตาหลอมเก่าแก่ขนาดมหึมาที่หลิงฮันไม่เคยเห็นตั้งอยู่
“หืม ทำไมจู่ๆถึงมีเตาโผลขึ้นมาได้?” หลิงฮันประหลาดใจ “หอคอยน้อย เจ้ายังมีเรื่องที่ไม่บอกข้าอีกมากมายขนาดไหนกัน?”
หอคอยน้อยไม่กล่าวตอบ
“นี่ ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ!” หลิงฮันกล่าวด้วยเสียงที่ดังขึ้น
“โอ้ งั้นหรอกรึ?” หอคอยน้อยไม่แยแส “ข้าไม่เห็นได้ยินเลย เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
หลิงฮันถามคำถามเดิมออกไปแต่หอคอยน้อยก็ยังนิ่งเงียบ
ที่จริงเจ้าหอคอยปากไม่ตรงกับใจนี้ไม่คิดจะตอบเขาตั้งแต่แรกแล้วจึงแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“เข้าไปได้แล้ว!” หอคอยน้อยสั่นไหวเล็กน้อย ทันใดนั้นฝาเตาก็เปิดออก เปลวเพลิงอันร้อนระอุปะทุขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรุนแรง เมือเทียบกันแล้วเพลิงทมิฬของอ้าวซื่อหยินดูเป็นเด็กน้อยไปเลย
หลิงฮันเผลอกัดฟันอย่างหวาดหวั่น หากเข้าไปในเปลวเพลิงที่ร้อนเช่นนี้ บางทีเขาอาจจะถูกเผาเป็นเถ้าถ่านในพริบตาเลยก็ได้
นี่เป็นการขัดเกลากายหยายจริงๆรึ? ไม่ใช่ว่าเป็นการล่อให้เขาไปฆ่าตัวตายหรอกนะ?
“จำไว้ให้ดี สิ่งเดียวที่สามารถทำให้เจ้ารอดชีวิตได้คือคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์เท่านั้น เจ้าต้องโคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์อยู่ตลอดเวลา” หอคอยน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “เจ้าจะรอดชีวิตจากความตายแล้วได้กำเนิดใหม่หรือไม่นั้นคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์คือตัวช่วยเดียว ห้ามคิดต่อต้านเปลวเพลงตรงหน้าเด็ดขาดเพราะมันเป็นไปไม่ได้”
“เพลิงตรงหน้าไม่ใช่เปลวเพลิงทั่วไปแต่เป็นเพลิงนิรันดร์!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น