Alchemy Emperor of the Divine Dao 1227-1233
ตอนที่ 1227
เม็ดยาชำระล้างกระดูกเป็นหนึ่งในเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดชั้นยอด ซึ่งไม่เพียงแค่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังหลอมได้ยากลำบากมากด้วย
ปรมาจารย์หลี่…ไม่สามารถหลอมได้!
ตำหนักเป่าหลินนั้นทรงพลังมากและชายชราอย่างเขาก็สามารถพูดอย่างตรงไปตรงมาได้ว่า เขาได้รับความไว้วางใจจากตำหนักเป่าหลินมาก เขาจึงมีสิทธิ์เรียนรู้สูตรปรุงยามากมาย
ถึงเม็ดยาชำระล้างกระดูกจะเป็นเม็ดยาโบราณ แต่ตำหนักเป่าหลินก็มีเหมือนกัน
ปรมาจารย์หลีเองก็เคยศึกษาเม็ดยากระดูก แต่หลังจากที่เขาทำเตาหลอมระเบิดนับร้อยครั้ง เขาก็ไม่กล้าหลอมอีกต่อไป
เขาทนไม่ได้กับความล้มเหลว!
ถึงนักปรุงยาจะมั่งคั่ง แต่วัตถุดิบที่ใช้ปรุงยาระดับเจ็ดนั้นแพงมาก ทำให้การหลอมแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก
เขาไม่อยากจะแสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็น แต่เม็ดยาชำระล้างกระดูกเขาไม่สามารถหลอมมันได้จริงๆ ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที ถ้าหลิงฮันสามารถหลอมเม็ดยาชำระล้างกระดูกได้จริง เช่นนั้นไม่ว่าเขาจะหลอมเม็ดยาระดับเจ็ดอะไรขึ้นมา มันก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี
ไม่เชื่อ! ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าเด็กนี่หลอมเม็ดยาชำระล้างกระดูกได้!
“ข้าจะหลอมเม็ดยาสี่เมฆาสี่เม็ด!”
นี่คือเม็ดยาระดับเจ็ดที่ยากที่สุดที่เขาสามารถหลอมขึ้นมาได้ ถึงมันจะไม่ดีเท่าเม็ดยาชำระล้างกระดูกก็ตาม
ทั้งคู่จัดเตรียมวัตถุดิบ จากนั้นก็เริ่มปรุงยา
เหอจิงหยุนที่พ่ายแพ้ไปแล้ว ในตอนนี้สีหน้าของเขาดูมีสีสันขึ้นมาทันที ทั้งที่เขาได้รับความอัปยศครั้งใหญ่จากหลิงฮัน เขาควรออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดจะดีกว่า มิฉะนั้นมันมีแต่ทำให้ตัวเองอับอายมากยิ่งขึ้น
แต่เขายังไม่อยากจากไป และต้องการดูการประลองด้วยตาตัวเอง เพราะเขาอยากเห็นหลิงฮันพ่ายแพ้
ทว่าเขาก็ค้นพบบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง
ความสามารถของหลิงฮันดูเหนือกว่าปรมาจารย์หลีมาก!
ต้องทราบก่อนว่าหลิงฮันหลอมเม็ดยาชำระล้างกระดูก ซึ่งยากกว่าการหลอมเม็ดยาสี่เมฆามาก แล้วท่าทีที่สงบนิ่งแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร?
ความสามารถของทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
น่าเสียดายที่ปรมาจารย์หลีไม่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจได้เลย
เม็ดยาสี่เมฆาสี่เม็ดคือเม็ดยาระดับเจ็ดที่ยากที่สุดที่เขาสามารถหลอมขึ้นมาได้ แต่การที่เขาหลอมมันขึ้นมาได้ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหลอมสำเร็จทุกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะต้องระมัดระวังให้มาก
การหลอมเม็ดยาระดับเจ็ดนั้นกินเวลานานมาก อย่างน้อยยี่สิบวัน และถ้าเป็นเม็ดยาระดับแปดคงไม่ต้องพูดถึง กว่าจะหลอมมันเสร็จอย่างน้อยใช้เวลาหนึ่งเดือน
ระหว่างรอพวกเขาทำอะไร? นอกจากผู้คนจากตำหนักเป่าหลินและตำหนักฮันหลิงแล้ว คนอื่นๆต่างกลับไปทำอะไรอย่างอื่น และมันไม่สายเกินไปที่จะกลับมาดูการประลองต่อในอีกสิบวันข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงวันที่สิบหก ปรมาจารย์หลีก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้
เตาหลอมของเขาระเบิด!
ตู้ม!
เสียงก้องกังวานดังอยู่ในเตาหลอม และเตาหลอมก็ระเบิดทันที แต่โชคดีที่มันเป็นการระเบิดที่ไม่รุนแรงนัก มิฉะนั้นประชากรอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของที่นี่จะถูกสังหารและได้รับบาดเจ็บ
ปรมาจารย์หลีพ่ายแพ้ไปแล้ว ตอนนี้เขาจึงหวังแค่ว่าหลิงฮันจะทำเตาหลอมระเบิด มิฉะนั้นตราบใดที่อีกฝ่ายหลอมเม็ดยาสำเร็จก็จะเป็นผู้ชนะทันที
หลายวันต่อมา หลิงฮันหยุดและปรบมือเปิดฝาเตา แล้วมีเม็ดยาสามเม็ดลอยออกมาพร้อมกับแสง
สมบูรณ์แบบ!
ปรมาจารย์หลีล้มตัวลงกับพื้น อีกฝ่ายหลอมเม็ดยาชำระล้างกระดูกสำเร็จ ถึงเขาจะไม่ทำเตาหลอมระเบิดและหลอมเม็ดยาสี่เมฆาสำเร็จก็ยังแพ้อยู่ดี
หลิงฮันถือเม็ดยาชำระล้างกระดูกสามเม็ดในมือและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ปรมาจารย์หลี เจ้าต้องการตรวจสอบหรือไม่?”
“ไม่!” ปรมาจารย์หลีสูญเสียความหยิ่งยโสไปจนหมด ก่อนหน้านี้หลังจากที่เขาจับตาดูการปรุงยาของหลิงฮัน เทคนิคที่หลิงฮันใช้ทำให้เขาดูเพลินมาก ราวกับเป็นการไหลของกระแสน้ำและก้อนเมฆ และไม่สามารถละสายตาได้เลย
เขาลุกขึ้นยืนและผลักฝูงชนออกไป จากนั้นก็เดินไปอยู่ด้านหน้าหลิงฮันพร้อมกับโค้งคำนับ
ทุกคนถอนหายใจ นี่คือนักปรุงยาระดับเจ็ดเชียวนะ!
ปรมาจารย์หลีพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าจะทำตามที่พูดและจะไม่กลับมาที่เมืองต้าหยิงอีก! แต่…ข้าแค่พูดว่าออกจากเมืองต้าหยิงเท่านั้น ไม่ได้พูดว่าจะออกจากตำหนักเป่าหลิน มันก็เหมือนกับข้าย้ายไปอยู่สาขาอื่นเท่านั้น”
ทุกคนต่างคิดว่าตาเฒ่าคนนี้ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก ทั้งที่แพ้เขาก็ยังอยู่ตำหนักเป่าหลินต่อเพียงแค่เปลี่ยนสามารถ เช่นนั้นการประลองจะมีความหมายอะไร?
อย่างไรก็ตาม การที่เขาถูกบังคับให้ออกจากเมืองต้าหยิงถือเป็นความเสื่อมเสีย
ผู้คนจากตำหนักเป่าหลินต่างก้มหน้าก้มตา ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขามีโอกาสชนะการประลองครั้งนี้สูงมาก แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็พ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช เพราะพวกเขาคงไม่มีทางพานักปรุงยาระดับแปดมาประลองได้ ดังนั้นจึงทำได้แค่ล่าถอย
การประลองครั้งนี้เป็นการประลองปรุงยา ถึงตำหนักเป่าหลินจะมีจอมยุทธแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถลงมืออะไรได้ นั่นเป็นเพราะมันยังมีกฎที่พวกเขาต้องปฏิบัติตามอยู่
“คำนับปรมาจารย์หลิง!” หยุนหยงหวังและคังซิวหยวนพาผู้คนของตำหนักฮันหลิงมาโค้งคำนับต่อหลิงฮันเพื่อแสดงความเคารพ
ถึงหลิงฮันจะดูเยาว์วัย แต่เขาก็เป็นนักปรุงยาระดับเจ็ด
หลิงฮันสมควรได้รับการยกย่อง แต่ทั้งสองคนคือศิษย์ของเขา เขาจึงรีบยกมือขึ้นให้หยุดและพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องเชิดชูข้าขนาดนั้น”
หยุนหยงหวังและคังซิวหยวนพาหลิงฮันไปที่ห้องโถงหลัก แน่นอนว่ายังมีผู้คนรวบตัวกันอยู่ด้านนอก นั่นเป็นเพราะหลังจากที่การประลองครั้งนี้จบลง จึงมีจอมยุทธหลายคนแห่กันมาซื้อเป็นยา เนื่องจากชัยชนะของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความสามารถของนักปรุงยาและเม็ดยาที่หลอมสำเร็จ
“ปรมาจารย์หลิง เหตุใดท่านถึงช่วยพวกข้า?” หยุนหยงหวังถามด้วยความสับสน
ด้วยพรสวรรค์ด้านปรุงยาของหลิงฮัน เขาสามารถมีอนาคตที่ดีขึ้นได้หากเข้าร่วมตำหนักเป่าหลิน แล้วทำไมเขาต้องเข้าร่วมตำหนักฮันหลิงเล็กๆของพวกเขาด้วย? กระทั่งไม่ลังเลที่จะทำเพื่อตำหนักฮันหลิง
หลิงฮันจิบชา หลังจากนั้นชั่วครู่เขาก็พูดว่า “ข้ามีความเกี่ยวข้องกับอาจารย์ของพวกเจ้า”
หยุนหยงหวังและคังซิวหยวนหันไปจ้องมองหน้ากันทันที มีความเกี่ยวข้องกับอาจารย์ของพวกข้า? ต้องทราบก่อนว่าพวกเขาเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน และเห็นได้ชัดว่า…ในทวีปฮงเทียนไม่มีทางที่จะมีใครขึ้นมาได้ นอกจากพวกเขาทั้งห้าคน
“หลายปีก่อน ข้ามาจากทวีปฮงเทียนด้วยการเปิดสวรรค์” หลิงฮันตัดสินใจเปิดเผยความลับเล็กน้อย
“หือ!” หยุนหยงหวังและคังซิวหยวนยืนขึ้นแทบจะพร้อมกันด้วยความตกตะลึง
ทวีปฮงเทียน มันเป็นทวีปฮงเทียน!
“มันเป็นไปได้ยังไง!” คังซิวหยวนส่ายหน้าไปมา จะไม่มีใครรู้ได้อย่างไรว่าทวีปฮงเทียนถูกควบคุมโดยห้านิกายโบราณ อย่าว่าแต่การเปิดสวรรค์เลย ถึงจะเป็นจอมยุทธระดับมิติและจะฝ่าขึ้นไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะจะถูกค่ายอาคมของห้านิกายโบราณยับยั้งเอาไว้
การเปิดสวรรค์สำเร็จนั่นหมายความว่าผ่านห้านิกายโบราณมาได้ เรื่องแบบนั้นมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ไม่มีทางเป็นไปได้เพราะมีห้านิกายโบราณอยู่? แต่พวกมันสามารถปกคลุมท้องฟ้าด้วยมือข้างเดียวได้หรือไม่?”
มันเป็นเรื่องจริง?
หยุนหยงหวังและคังซิวหยวนมองหน้ากัน และพวกเขารู้สึกว่าความพยายามตลอดหมื่นปีที่ผ่านมาของพวกเขาทั้งสามคนจะละลายกลายเป็นน้ำไปแล้ว
ตอนที่ 1228
เมื่อหยุนหยงหวัง คังซิวหยวนและเฉินหลุยจิงเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาไม่มีวันลืมเรื่องของดินแดนฮงเทียน ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามอย่างหนักและหวังจะโค่นห้านิกายโบราณสักวันหนึ่งเพื่อปลดปล่อยหลายร้อยล้านชีวืตในทวีปฮงเทียน
ตอนนี้พวกเขาสองคนกลายเป็นนักปรุงยาระดับห้า ส่วนเฉินหลุยจิงกลายเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นกลาง ถ้าพวกเขาพยายามเช่นนี้ต่อไปอย่างไม่ย่อท้อก็อาจมีสักวันหนึ่งที่พวกเขาสามารถเผชิญหน้ากับห้านิกายโบราณ
นี่คือความหมายของการมีชีวิตอยู่ของพวกเขา
ทว่าตอนนี้กลับมีคนบอกพวกเขาว่าทวีปฮงเทียนขึ้นมาบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผ่านการเปิดสวรรค์ นี่ทำให้พวกเขาตกตะลึงมาก เช่นนั้นต่อไปนี้พวกเขาควรทำอะไรดี?
“ล…แล้วห้านิกายโบราณสาขาย่อยที่อยู่ในทวีปฮงเทียนล่ะ?” คังซิวหยวนถาม
“แน่นอน หายไปแล้ว” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หายไปแล้ว!
คังซิวหยวนและหยุนหยงหวังไม่อยากจะเชื่อ ห้านิกายที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในทวีปฮงเทียนหายไปแล้ว?
เมื่อพวกเขาทั้งสองคนจ้องมองหลิงฮันตกตะลึง และเกิดความรู้สึกแปลกๆ พรสวรรค์ด้านปรุงยาของชายหนุ่มคนนี้น่าทึ่งมากและยังมาจากทวีปฮงเทียน ทั้งยังเรียกตัวเองว่าหลิงฮัน จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะนึกถึงอาจารย์
ถึงเวลาจะผ่านไปหมื่นปี แต่ถ้าอาจารย์ของพวกเขายังไม่ตายและทะลวงผ่านระดับทลายมิติแล้วล่ะ? เช่นนั้นเขาก็จะมีอายุขัยเพิ่มมากขึ้นและยังมีชีวิตอยู่!
ชื่อแซ่เดียวกันและยังมีพรสวรรค์ด้านปรุงยาที่ยากจะหยั่งถึง
“เอ่อ…ผู้อาวุโส พวกเราควรจ่ายให้ท่านเท่าไหร่ดี?” คังซิวหยวนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
อีกฝ่ายเป็นนักปรุงยาระดับเจ็ด เมื่อเทียบกับตำหนักฮันหลิงแล้วมันมีขนาดเล็กเกินไปสำหรับเขา
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ไม่จำเป็น ข้าหลอมเม็ดยาให้พวกเจ้าฟรี”
ทั้งคังซิวหยวนและหยุนหยงหวังต่างก็รู้สึกประหลาดใจ นี่มันมากเกินไปแล้ว!
แค่มีนักปรุงยาระดับเจ็ดอยู่ในตำหนักฮันหลิงของพวกเขา ก็สามารถเพิ่มชื่อเสียงให้กับตำหนักฮันหลิงได้อย่างมากแล้ว แต่เขากลับไม่รับค่าแรงและหลอมเม็ดยาให้ฟรี
นั่นหมายความว่า…ผลประโยชน์ทั้งหมดตกเป็นของพวกเขา
ถึงจะปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนดีเช่นนี้อยู่บนโลก แต่นี่มันดีเกินกว่าที่จะทำใจเชื่อได้
เมื่อพวกเขาถามถึงเหตุผล หลิงฮันเพียงแค่ยิ้มกลับมาและไม่ตอบคำถามของพวกเขา แล้วปล่อยให้ทั้งสองคาใจ
ในทางกลับกัน เฟิงโป๋วหยุน เฮ่อเหลียนเทียนหยุน มู่หลงชิงและติงผิงทำหน้าที่ของตัวเองในการหาข้อมูลเฉพาะของห้านิกายโบราณ รวมถึงที่อยู่ของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะ กาลเวลาผ่านไปนานหนึ่งหมื่นปี…บางทีนิสัยของคนก็อาจเปลี่ยน
ยิ่งไปกว่านั้น อัจฉริยะอย่างพวกเขาจะประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ได้ก็ต่อเมื่อผ่านการต่อสู้จริง ไม่ใช่ปิดด่านฝึกฝนบ่มเพาะพลังอยู่ตลอดเวลา
ส่วนคนที่อยู่ด้านในหอคอทมิฬอย่างกวงหยวนและชูหวู่จิว พวกเขาสะสมพลังจนมากพอแล้วที่จะทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้า
ดังนั้น หลิงฮันเลยพาพวกเขาไปด้านนอกเมืองเพื่อรับทัณฑ์สวรรค์
ครึ่งวันต่อมา สภาพของทั้งสองคนเหมือนกับถูกฟ้าผ่าเกือบตาย ถ้าไม่ได้เม็ดยาช่วยชีวิตที่หลิงฮันเตรียมเอาไว้ล่ะก็ พวกเขาอาจจะไม่รอดก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเขาทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้าแล้ว!
สำหรับพวกเขานี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ
พวกเขาเองก็สามารถทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้าได้!
เขาแบมืออกมา เปรี๊ยง เกิดประกายสายฟ้าที่น่าสะพรึงกลัว ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธคนใดก็ต้องหวาดหวั่น สายฟ้านี่มันเป็นไปด้วยแรงกดดันที่น่าเกรงขาม
“หลังจากสังเกตทัณฑ์สวรรค์อยู่หลายครั้ง ในที่สุดข้าก็เข้าใจเศษเสี้ยวพลังสายฟ้าของทัณฑ์สวรรค์!” หลิงฮันหัวเราะ และดาบอสูรนิรันดร์ก็ลอยไปมาอยู่บนหัวของเขา ในฐานะที่มันเป็นดาบของหลิงฮัน จึงเป็นธรรมดาที่มันจะมีเจตจำนงของเขาอยู่ ดังนั้น
ตอนนี้แม้จะเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นกลางทั่วไปก็ต้องคุกเข่าและยอมจำนนต่อพลังสายฟ้าของสวรรค์
ชูหวู่จิวและกวงหยวนรีบวิ่งเข้ามาคุกเข่าลงอยู่ด้านหน้าหลิงอันและพูดว่า “ขอบคุณนายน้อยฮันเป็นอย่างยิ่ง ความสำเร็จทั้งหมดเป็นเพราะท่าน!”
พูดตามตรง ถ้าพวกเขาไม่ได้หลิงฮันช่วย ระดับพลังของพวกเขาในตอนนี้คงอยู่ที่ระดับห้วงจิตวิญญาณและไม่มีทางบรรลุระดับนี้ได้ตลอดชีวิตที่เหลือของพวกเขา และถ้าไม่ได้ติดตามหลิงฮัน ป่านนี้พวกเขาคงเป็นได้แค่จอมยุทธทั่วไปในจักรวรรดิราชวงศ์ต้าหลิง
พวกเขาโชคดีที่ได้รู้จักหลิงฮัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพวกเขาเลือกอย่างชาญฉลาดและติดตามถูกคน มิฉะนั้น ทำไมหลิงฮันถึงมีผู้ติดตามแค่สี่คนที่อยู่รอบตัวเขา?
หลิงฮันโบกมือและให้พวกเขาทั้งสองคนลุกขึ้นยืน และไม่ให้ทั้งสองคนฝึกฝนอยู่ในหอคอยทมิฬอีก พวกเขาต้องเดินตามเส้นทางของตัวเองได้แล้ว มิฉะนั้นทัณฑ์สวรรค์ครั้งต่อไป อาจทำให้พวกเขาตายได้
ทั้งสามคนกลับไปที่เมืองต้าหยิง โดยที่ชูหวู่จิวและกวางหยวนในฐานะตัวแทนของหลิงฮันไปอยู่ที่ตำหนักฮันหลิง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นพวกเขาก็สามารถติดต่อหลิงฮันได้ทันที ในขณะที่หลิงฮันกำลังฝึกหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง
หากเขาสามารถหลอมมันได้สำเร็จ เขาก็จะพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว
ชางเย่และหยวนเฉินเหอเองก็ออกจากหอคอยทมิฬ พวกเขาเดินทางไปที่ภูเขานอกเมืองต้าหยิงเพื่อต่อสู้กับพวกโจรและขัดเกลาความสามารถในการต่อสู้ของตัวเอง นั่นเป็นเพราะพวกเขาเก็บตัวฝึกฝนบ่มเพาะพลังนานเกินไป ถ้าไม่ได้ต่อสู้จริงบ้าง มันอาจทำให้พวกเขาไม่ประสบความในอนาคต
ในสถานการณ์ที่สงบเช่นนี้ หลิงฮันยังคงฝึกฝนหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งอย่างต่อเนื่อง
ตามทฤษฎีแล้ว จอมยุทธระดับสุริยันจันทราจะสามารถหลอมเม็ดยาระดับแปดได้ แต่ระดับนักปรุงยาและบ่มเพาะพลังนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บางทีนักปรุงยาระดับเจ็ดอาจเป็นแค่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้น ส่วนนักปรุงยาระดับหนึ่งเป็นถึงจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูง
ระดับบ่มเพาะพลังเป็นเพียงแค่ตัวกำหนดขีดจำกัดของเม็ดยาที่จะหลอมได้ นั่นเป็นเพราะนักปรุงยาต้องใช้ทั้งพลังปราณและพลังของเปลวเพลิง
เมื่อหลิงฮันก้าวเข้าสู่ระดับสุริยันจันทรา เขาจึงตัดสินใจที่จะลองหลอมเม็ดยาระดับแปด และด้วยความสามารถของเขามันไม่ใช่ปัญหาเลยที่จะบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูง ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาที่จะหลอมเม็ดยาระดับเก้า…
……
ตำหนักเป่าหลิน
“โอ้ ตำหนักฮันหลิงมีนักปรุงยาที่มีพรสวรรค์แบบนั้นอยู่ด้วย? แม้กระทั่งปรมาจารย์หลีก็ยังพ่ายแพ้?” หญิงสาวที่งดงามคนหนึ่งนั่งไขว่ห้างกล่าว เรียวขาของนางขาวเนียบราวกับหยก
เสียงที่อ่อนหวานของนางนั้นฟังดูมีเสน่ห์มากจนผู้คนที่นั่งอยู่ที่นี่รู้สึกนั่งไม่ติดเก้าอี้ แต่เมื่อพวกเขาคำนึงถึงตัวตนของนาง ก็ไม่มีใครแสดงสีหน้าหยาบคายออกมาให้เห็นและแสดงความเคารพนับถือเมื่ออยู่ต่อหน้านาง
นางคือผู้นำตำหนักเป่าหลินแห่งเมืองต้าหยิง ชื่อของนางคือหลินอวีฉี นางเพิ่งดำรงตำแหน่งผู้นำได้ไม่ถึงสามเดือน และตามข่าวลือว่ากันว่าหลินอวีฉีมีอิทธิพลมากในตำหนักเป่าหลินสาขาหลัก แล้วด้วยเหตุผลบางอย่างนางจึงถูกย้ายมาที่นี่
แล้วใครจะกล้ามีความคิดไม่ดีกับนาง?
ตอนที่ 1229
หลินอวีฉีกวาดสายตามอง ทำให้ทุกคนนั่งอย่างนิ่งเงียบทันที
สถานะของนางนั้นสูงส่งจนไม่มีใครกล้าล่วงเกิน กระทั่งจ้องมองนางยังเป็นเรื่องยาก – ไม่ใช่ว่านางเป็นคนน่ารังเกียจ แต่นางมีเสน่ห์มากเกินไปจนพวกเขากลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่อยู่
หากทำเช่นนั้นก็จะเป็นการรนหาที่ตาย
“นายหญิงที่เคารพ สถานการณ์ในปัจจุบันยอดขายของพวกเขาตกลงอย่างน้อยยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เพราะกระแสนิยมของตำหนักฮันหลิง” นักปรุงยาเฒ่าคนหนึ่งกล่าว
หลินอวีฉีเอนกายพิงเก้าอี้และพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า “หลังจากผ่านไปหลายวัน เจ้ายังไม่คิดวิธีแก้ปัญหาอีกหรือ?”
“นายหญิง การประลองปรุงยาแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของนักปรุงยา พวกเราพ่ายแพ้ให้กับตำหนักฮันหลิงในเม็ดยาระดับสูง ดังนั้นลูกค้าจำนวนมากจึงสูญเสียความมั่นใจตำหนักเป่าหลินของพวกเรา และวิธีการที่จะแก้สถานการณ์เช่นนี้ได้ ท่านจะต้องเอาชนะตำหนักฮันหลิงด้วยการประลองปรุงยา” นักปรุงยาเฒ่ากล่าว
การมาของหลินอวีฉีนั้นยิ่งใหญ่เกินไป แม้แต่ปรมาจารย์นักปรุงยาก็ยังต้องให้เกียรตินาง
“อย่าพูดจาไร้สาระ เจ้ามีวิธีการแก้ปัญหายังไงก็พูดออกมาเร็วเข้า” ฉินอวีฉีโบกมือด้วยความรีบร้อน
ปรมาจารย์เฒ่ากล่าว “มีอยู่สองวิธี” เขาหยุดพูดและพูดต่อว่า “อย่างแรก คนที่ตำหนักฮันหลิงสามารถพึ่งพาได้มีเพียงแค่นักปรุงยาที่ชื่อหลิงฮันคนเดียวเท่านั้น ถ้าเขาสามารถโน้มน้าวเขาได้ เช่นนั้นตำหนักฮันหลิงก็จะกลับเป็นเหมือนเดิม”
ฉินอวีฉีพยักหน้าและพูดว่า “แล้ววิธีที่สองล่ะ?”
“หลิงฮันเรียกตัวเองว่าเป็นนักปรุงยาระดับเจ็ด ที่พวกเขาต้องทำก็คือเชิญนักปรุงยาระดับแปดมาที่นี่และประลองกับเขา ไม่ว่าจะเป็นการประลองหลอมเม็ดยาระดับเจ็ดหรือระดับแปด พวกเขาก็ชนะอยู่ดี” ปรมาจารย์เฒ่ากล่าว
“อย่างไรก็ตาม ตำหนักหลินเป่าสาขาของพวกเราไม่มีนักปรุงยาระดับแปด ถ้าจะเชิญเขามาที่เมืองต้าหยิงแห่งนี้ อย่างน้อยจะต้องใช้เวลาสองถึงสามเดือน และถ้าระหว่างทางเกิดการล่าช้าก็อาจจะต้องรอนานไปอีก”
หลินอวีฉีคิดไตร่ตรองอยู่สักพัก จากนั้นนางก็พูดว่า “ดูเหมือนวิธีการทั้งสองที่เจ้าพูดก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ อย่างแรกพวกเราจะโน้มน้าวหลิงฮันก่อน ถ้าเขายินดีที่จะเชื่อฟังก็ถือเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเขาปฏิเสธที่จะเชื่อว่าเช่นนั้นก็สยบเขาซะ”
“ขอรับ!” นักปรุงยาเฒ่าพยักหน้า และเขาเชื่อว่าหลิงฮันจะต้องเห็นด้วย ตราบใดที่เขาไม่ใช่คนโง่
ทว่ามันกลับไม่เป็นไปตามที่เขาคิด แม้แต่หน้าของหลิงฮันก็ยังไม่ได้เห็น ทั้งยังถูกผู้ติดตามทั้งสองคนของหลิงฮันไล่กลับมาอีก หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นถึงหูหลินอวีฉี ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนางกลายเป็นโกรธเกรี้ยวทันที และเปลี่ยนไปใช้วิธีที่สองคือเชิญนักปรุงยาระดับแปดมาที่นี่ให้เร็วที่สุดเพื่อสยบหลิงฮัน
แต่น่าเสียดายที่นักปรุงยาระดับแปดติดภารกิจอยู่ ว่ากันว่าพวกเขาได้รับสูตรปรุงยาโบราณมาและอยู่ในระหว่างการศึกษา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ และตำหนักเป่าหลินก็ทำได้แค่จ้องมองดูการเติบโตของตำหนักฮันหลิงในแต่ละวัน
แต่อย่างน้องครึ่งปีไม่ว่านักปรุงยาระดับแปดจะศึกษาสูตรปรุงยาเข้าใจแล้วหรือไม่ก็ตาม พวกเขาก็ต้องมีเวลาพัก
ในเวลาเดียวกัน หลิงฮันเองก็กำลังศึกษาเม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง
ในอดีตเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งถูกเรียกว่าเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา มันไม่เพียงแค่มีประสิทธิภาพน่าทึ่งเท่านั้น แต่ยังหลอมยากเป็นพิเศษ ความซับซ้อนของมันเทียบได้กับเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้าขั้นต่ำ
หลังจากผ่านไปครึ่ง ในที่สุดหลิงฮันก็เข้าใจอย่างถ่องแท้
ต่อไปคือการหลอมจริง
หลิงฮันยังคงปวดใจอยู่เล็กน้อย เพราะเขาไม่เคยหลอมมันสำเร็จมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว มันเท่ากับว่าเขาสูญเสียผลราชาพิรุณสีชาดอย่างสูญเปล่า
แต่ถ้าเขาไม่หลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง มันก็จะสูญเปล่ายิ่งกว่าที่เก็บเอาไว้เฉยๆ
หลังจากที่พยายามหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งอยู่หลายครั้ง ผลลัพธ์ที่ได้คือ
ล้มเหลว! ล้มเหลว! ล้มเหลว! ล้มเหลว!
เม็ดยาระดับแปดหลอมได้ยากเป็นอย่างยิ่ง แม้หลิงฮันจะเข้าใจวิถีการหลอมเป็นอย่างดีแล้ว แต่ในการหลอมจริง มันก็ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ดี
หลิงฮันเริ่มเคร่งเครียด ผลพิรุณสีชาดที่เขามีเริ่มลดลงเรื่อยๆ จากหนึ่งร้อยยี่สิบเก้าเป็นแปดสิบเจ็ด นี่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาล้มเหลวไปทั้งหมดกี่ครั้ง
จนกระทั่งเหลือผลราชาพิรุณสีชาดสี่สิบหกผล ในที่สุดหลิงฮันก็หลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งสำเร็จ
แต่แค่หนึ่งเม็ดเท่านั้น!
มันไม่ใช่เพราะความสามารถของเขาไม่ถึง แต่เป็นเพราะเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งสามารถหลอมได้เตาละหนึ่งเม็ดเท่านั้น คุณภาพของมันไม่ได้วัดจากปริมาณที่หลอมสำเร็จ
ใช่ ในที่สุด!
หลิงฮันส่งเสียงหัวเราะ เขาไม่รีบใช้เม็ดยาปราณโลหิตคลั่งนี้ทันที แต่กลับนั่งลงบนพื้นและสรุปข้อผิดพลาดทั้งหมดจากการปรุงยาครั้งนี้ แล้วนิสัยนี้เองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขามีความก้าวหน้าในศาสตร์ปรุงยาเป็นอย่างมาก
ด้วยความช่วยเหลือจากต้นสังสารวัฎ ทำให้เขาเกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
อีกสองวันต่อมา หลังจากที่สรุปข้อผิดพลาดของตัวเองเสร็จ เขาก็เริ่มหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งต่อ
ในเมื่อเขาเคยหลอมสำเร็จมาแล้ว เม็ดยาที่หลอมก็เริ่มมีคุณภาพสูงขึ้นทีละเล็กน้อย
หลิงฮันยิ้มกริ่ม ถ้าเขาใช้เม็ดยาปราณโลหิตคลั่งทั้งสองอย่างต่อเนื่อง ระดับบ่มเพาะพลังของเขาก็จะเพิ่มสองขั้นเล็ก และนั่นจะทำให้พลังต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นอีกสองดาว
อย่างไรก็ตาม ถ้าเขากินเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งหนึ่งเม็ดจะต้องใช้เวลาดูดซับสามวัน หลิงฮันคิดว่าเขาเก็บตัวมานานมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงคิดว่าคงได้เวลาออกไปเพื่อดูสถานการณ์โลกภายนอก
เขาออกมาจากหอคอยทมิฬ และทันทีที่ผลักประตูห้อง ชูหวู่จิวก็รีบวิ่งมาหาด้วยท่าทางตื่นตระหนก “นายน้อยฮัน ในที่สุดท่านก็ออกมาสักที!”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ตำหนักเป่าหลินกลับมาท้าประลองอีกครั้ง และพวกเขาต้องการประลองกับนายน้อยฮัน” ชูหวู่จิ่วกล่าว “การประลองเกิดขึ้นตั้งแต่สองเดือนก่อนแล้ว แต่นายน้อยฮันไม่ออกมาสักที ตอนนี้ทุกคนจึงคิดว่านายน้อยฮันหวาดกลัวจนไม่กล้าออกมา”
หลิงฮันอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เขาไม่เคยให้ความสนใจความคิดเห็นของคนอื่น ในเมื่อเขารู้ตัวของตัวเอง แล้วจะสนความคิดของคนอื่นไปทำไม?
“หากเป็นเช่นนั้นไปที่ตำหนักฮันหลิง!”
หลิงฮันไปที่ตำหนักฮันหลิง และเมื่อมาถึงเขาก็พบว่าลูกค้าที่มาซื้อเม็ดยาแทบจะไม่มี ราวกับเป็นตำหนักร้าง
ดูเหมือนชื่อเสียงของตำหนักฮันหลิงที่สะสมเอาไว้ก่อนหน้านี้จะหายไปเพราะทุกคนคิดว่าหลิงฮันไม่กล้าออกมาประลอง
“ผู้อาวุโส ในที่สุดท่านก็ออกมาสักที!” เมื่อเห็นหลิงฮัน หยุนหยงหวังและคังซิวหยวนก็รีบเดินเข้ามาหาทันที
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ก่อนหน้านี้พวกมันมาที่นี่เพื่อท้าพวกเราประลอง ถ้างั้นวันนี้พวกเราจะไปที่ตำหนักเป่าหลินและท้าพวกมันประลองอีกครั้ง!”
“ไปกันเลย!” หยุนหยงหวังและคังซิวหยวนพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น
ตอนที่ 1230
“เพียงแต่ว่าครั้งนี้ตำหนักเป่าหลินได้ส่งนักปรุงยาระดับแปดที่ถูกขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะมาเป็นผู้ประลอง” คังซิวหยวนกล่าวทักทันที
นักปรุงยาระดับแปด?
หลิงฮันยิ้ม ถ้าเป็นเมื่อครึ่งปีก่อนเขาอาจจะคิดหนัก หากให้นักปรุงยาระดับแปดมาหลอมเม็ดยาระดับเจ็ด อัตราหลอมสำเร็จและคุณภาพของเม็ดยาก็จะเหนือกว่าเม็ดยาที่นักปรุงยาระดับเจ็ดหลอมหนึ่งขั้น
แม้เขาจะมั่นใจในตัวเองแค่ไหน เรื่องที่ไม่คาดคิดก็อาจจะเกิดขึ้นได้
แต่ตอนนี้เขาหลอมเม็ดยาเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งสำเร็จแล้ว ฝีมือของเขาในตอนนี้เกือบจะเทียบได้กับนักปรุงยาระดับเก้า มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องกลัวนักปรุงยาระดับแปดด้วย?
“ไม่ใช่ปัญหา!” หลิงฮันกล่าว
คังซิวหยวนกับหยุนหย่งหวังมองหน้ากันและพยักหน้า พวกเขาคิดไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าหลิงฮันนั้นประสบความสำเร็จในศาสตร์แห่งการปรุงยาอย่างน่าอัศจรรย์ ถ้าเม็ดยาระดับเจ็ดที่เขาหลอมมีคุณภาพยอดเยี่ยม นักปรุงยาระดับแปดก็ใช่ว่าจะชนะเอาได้เสมอไป
ทั้งสามคนมุ่งหน้าไปถึงตำหนักเปาหลิงในไม่ช้า
ตำหนักเป่าหลินนั้นตรงข้ามกับตำนักพวกเขาโดยสิ้นเชิง ขนาดของตำหนักเป่าหลินนั้นมีขนาดใหญ่กว่าตำหนักฮันหลิงมากกว่าสิบเท่า มันราวกับไม่ใช่ตำหนักขายเม็ดยาแต่เป็นพระราชวังที่งดงาม
ด้วยการที่พวกเขาเป็นตำหนักที่ทรงอิทธิพลมาตั้งแต่แรก แม้จะแพ้กระประลองไปแต่ชื่อเสียงของพวกเขาก็ฟื้นกลับมาอย่างรวดเร็ว ลูกค้าต่อแถวเข้าออกประตูตำหนักไม่ขาดสาย
หลิงฮันเดินเข้าไปอย่างมั่นใจและกล่าวเสียงดัง “ข้าผู้อาวุโสหลิงฮันจากตำหนักฮันหลิงมาขอท้าประลอง นักปรุงยาคนใดในที่นี้กล้ารับทำท้าของข้าบ้าง?”
เมื่อเสียงดังลั่นของหลิงฮันถูกเอ่ยออกไป แถวของลูกค้าก็หยุดชะงักแน่นิ่งทันทีและหันควับมามองหลิงฮัน
ตำหนักฮันหลิงมาขอท้าประลอง?
กำลังจะมีการแสดงสนุกให้ดู!
ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงดังมาจากฝั่งของตำหนักเป่าหลิน “โอ้ ปรมาจารย์หลิงผู้ขี้ขลาดในที่สุดก็กล้าโผล่หัวมาแล้ว?”
“เมื่อครู่คือเสียงสุนัจเห่างั้นรึ?” หลิงฮันเอ่ยขึ้นทันที
“จะ เจ้ากล้าเรียกข้าว่าเป็นสุนัขงั้นรึ?” เสียงนั่นเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด
“ฮ่าๆ ข้าพูดถึงสุนัขแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า?” หลิงฮันหัวเราะ “หรือที่เจ้าร้อนตัวเป็นเพราะตัวเจ้าเองมีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับสุนัข?”
“บัดซบ!”
ปัง!
เสียงกระแทกบางอย่างดังสะท้อนออกมา เห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนกำลังเกรี้ยวกราด
“ปรมาจารย์หลิงไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” เสียงชราอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับนักปรุงยาคนเฒ่าที่ปรากฏตัวออกมาจากห้องโถงตำหนัก เนื่องจากบันไดจากพื้นตำหนักไปถึงห้องโถงเป็นระนาบต่ำขึ้นสูง ชายชราจึงดูราวกำลังก้มมองหลิงฮันด้วยท่าทีดูถูก
‘โอ้ กล้าเล่นแง่เช่นนี้กับเขา?’
ทันใดนั้นร่างของหลิงฮันก็ขยายใหญ่ขึ้น ปราณก่อเกิดที่ทรงพลังถูกปลดปล่อยออกมา เขาก้มมองนักปรุงยาเฒ่าและกล่าว “ข้ามาที่นี่เพื่อท้าประลอง มีคนที่พอมีคุณสมบัติประลองกับข้าได้ในตำหนักเป่าหลินรึไม่?”
มุมปากของชายชรากระตุก รุ่นเยาว์ผู้นี้ต้องการเอาชนะแม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้? เขายิ่มและกล่าว “เช่นนั้นปรมาจารย์หลิงช่วยตามมาสักครู่ ชายชราผู้นี้จะไปแจ้งปรมาจารย์ของตำหนักเป่าหลินให้”
เขาหันเดินกลับเข้าห้องโถง หลิงฮันคืนสภาพร่างกายกลับเป็นขนาดเท่าเดิม เขาทำเช่นนั้นไปเพราะนึกสนุกเท่านั้น
“ไปกันเถอะ!” หลิงฮันกล่าวและเดินนำ
พวกคังซิวหยวนมองหน้ากันและรีบเดินตามหลิงฮัน เมื่อจ้องมองหลิงฮันที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกประหลาด ราวกับว่าพวกเขาได้ย้อนกลับไปในขณะอยู่ในทวีปฉงเทียน พวกเขาเดินตามอาจารย์ของตนที่เดินทางพิชิตศาสตร์แห่งการปรุงยาใต้หล้าจนหลิงฮันได้รับขนานนามว่าจักรพรรดิปรุงยา
ทั้งสามคนเข้าห้องโถงไปอย่างรวดเร็ว ทางตำหนักเป่าหลินเตรียมการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในห้องโถงมีเหล่านักปรุงยาชุดเขายืนเรียงกันราวกับเป็นกำแพงมนุษย์ พวกเขาเอามือกุมหน้าอกเอาไว้ด้วยท่าทีเหนื่อยหอบเหมือนกับเพิ่งรีบมาถึงที่นี่
หลิงฮันนำเก้าอี้ออกมาจากหอคอยทมิฬและนั่งลง เขาไม่ทำตัวเป็นคนนอกแม้แต่น้อย
การกระทำของเขาทำให้ฝั่งตำหนักเป่าหลินเป็นกังวลใจ เจ้าทำตัวคุ้นเคยราวกับตัวเองเป็นเจ้าของที่นี่อย่างนั้นล่ะ…
เมื่อหลิงฮันมาถึงแล้วกำแพงมนุษย์ก็สลายตััััวปรากฏให้เห็นสตรีผู้หนึ่งเดินเข้ามา
นางเป็นที่งดงามและเยือกเย็น หุ่นของนางเพรียวบางและมีผิวที่เนียนดั่งหยก
“เจ้าคือหลิงฮัน?” สตรีเย็นชาผู้นั้นกวาดสายมองหลิงฮันและแสดงท่าทีเหยียดหยามถึงขั้นรังเกียจออกมา “ข้าเป็นนักปรุงยาระดับแปด ทำไมเห็นข้าแล้วยังไม่คารวะสดงความเคารพข้าอีก?”
โอ้ ช่างยิ่งยโสนัก!
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะไม่ใข่นักปรุงยาระดับเก้า?”
ไร้สาระรึเปล่า? ในโลกนี้จะมีนักปรุงยาระดับเก้าที่เยาว์วัยเช่นนี้ได้อย่างไร? เจ้าคิดว่าทุกคนเป็นอัจฉริยะเหมือนข้า หานซินเหยียนผู้นี้รึไง?
สตรีงดงามผู้นี้แสดงท่าทีโอ้อวด นางเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงในศาสตร์แห่งการปรุงยา อายุของนางเพิ่งจะเกินหมื่นปีมานิดหน่อยเท่านั้น ที่นางยังไม่ได้เป็นนักปรุงยาระดับเก้าเป็นเพราะข้อจำกัดในเรื่องพลังบ่มเพาะที่ทำให้พลังวิญญาณของนางไม่กล้าแกร่งพอ
อีกฝ่ายดูแล้วเยาว์วัยกว่านางเสียอีก แต่กลับคิดว่าตนเองจะเหนือกว่านางด้านศาสตร์ปรุงยา?
ยังเร็วไปล้านปี!
“ฮึ่ม งั้นก็มาดูกัน!” หานซินเหยียนกล่าวอย่างโอ้อวด “มาประลองกัน ถ้าเจ้าแพ้เจ้าจะต้องก้มหัวขอโทษข้าหนึ่งร้อยครั้งโทษฐานที่เสียมารยาทกับข้า!”
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ในกรณีที่เจ้าแพ้ สุภาพบุรุษเช่นข้าไม่คิดจะให้เจ้าก้มหัวขอโทษ เจ้าแค่รินชาให้ข้าและเขียนกระดาษสำนึกผิดก็พอ!”
หานซินเหยียนมีสีหน้าเย็นชายิ่งกว่าเดิม นักปรุงยาก็เหมือนกับจอมยุทธ แม้ระดับจะห่างกันระดับเดียว แต่ความต่างนั้นราวกับสวรรค์และปฐพี อีกฝ่ายเป็นเพียงนักปรุงยาระดับเจ็ดแต่กล้าทำตัวอวดดีต่อหน้านักปรุงยาระดับแปดเช่นนาง… นี่มันช่างไร้ความเคารพสิ้นดี!
นางพยายามระดับความโกรธเอาไว้ “เลิกสนทนาไร้สาระแล้วเริ่มประลองปรุงยาได้แล้ว เห็นแก่เจ้าเป็นรุ่นเยาว์ ข้าจะเลือกเม็ดยาที่จะหลอมก่อน เม็ดยาที่ข้าจะหลอมคือ… เม็ดยาชำระล้างกระดูก!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปทันที
ใครไม่รู้บ้างว่าก่อนหน้านี้หลิงฮันหลอมเม็ดยาชำระล้างกระดูกเอาชนะนักปรุงยาหลีของตำหนักเป่าหลินได้ได้อย่างราบคาบ ครั้งนี้หานซินเหยียนได้เลือกหลอมเม็ดยาชำระล้างกระดูกเช่นกัน ท่าทีของนางดูแล้วมั่นใจเป็นอย่างมาก
หลิงฮันสะบัดมือและกล่าว “”วันนี้พวกเราไม่ได้ประลองหลอมเม็ดยาระดับเจ็ด!
“เหอะ งั้นเจ้าอยากประลองหลอมเม็ดยาระดับหกรึไง?” หานซินเหยียนแสยะยิ้มดูถูก
“ผิดแล้ว พวกเราจะประลองหลอมเม็ดยาระดับแปด!” หลิงฮันกล่าว
ณ วินาทีนั้นเอง บรรยากาศรอบข้างได้กลายเป็นเงียบสงัดทันที
เจ้าต้องล้อพวกข้าเล่นแน่ๆ ก่อนหน้านี้เจ้าบอกเองว่าตัวเองเป็นนักปรุงยาระดับเจ็ด ตอนนี้เวลาผ่านไปเพียงครึ่งปีแต่เจ้ากลับบอกว่าเจ้าต้องการหลอมเม็ดยาระดับแปดงั้นรึ? ใครจะไปมีพัฒนาการที่รวดเร็วขนาดนั้น?
คังซิวหยวนกับหยุนหย่งหวังแทบจะเป็นบ้า ท่านล้อเล่นรึเปล่า? หากทำเตาแรกระเบิดไม่ใช่ว่าจะมีโอกาสหลอมเตาต่อไปนะ
หานซินเหยียนแสดงสีหน้าตกตะลึงและกล่าว “อย่าหาว่าข้าอย่างนั้นอย่างนี้เลย เจ้าหลอมเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับแปดได้จริงๆรึ?”
“มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะหลอมไม่ได้ล่ะ?” หลิงฮันนำเตาหลอมออกมา “เม็ดยาที่ข้าจะหลอมวันนี้คือเม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง!”
“ว่าไงนะ!” หานซินเหยียนสั่นสะท้าน
เม็ดยาปราณโลหิตคลั่งคือเม็ดยาที่หายสาปสูญไปแล้ว อย่างน้อยในดาวดวงนี้ก็ไม่มีใครสามารถหลอมมันได้ เม็ดยาชนิดนี้ล้ำค่าอย่างมาก หากมันปรากฏขึ้นมาจะต้องชักนำไปสู่ความโกลาหลเป็นแน่
ตอนที่ 1231
เจ้าเด็กนี้ล้อเล่นรึไง?
หานซินเหยียนอดคิดเช่นนี้ไม่ได้ รุ่นเยาว์ตรงหน้านางดูมั่นใจในตัวเองเกินไป คนเช่นนี้หากไม่ใช่คนที่มีศักยะภาพพอจริงๆก็ต้องเป็นคนบ้า
“งั้นก็ประลองหลอมเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับแปด!” นางกล่าว
ครั้งนี้นางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังและไม่กล้าดูถูกหลิงฮันอีก
“เม็ดยาที่ข้าจะหลอมคือ… เม็ดยาเก้าจักรพรรดิโลกา” เม็ดยาที่ว่าเป็นเม็ดยาระดับแปดเช่นกัน แต่ประสิทธิภาพของมันกับความยากในการหลอมนั้นไม่สามารถเทียบกับเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งได้แม้แต่นิดเดียว เม็ดยาปราณโลหิตคลั่งแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับเก้า ดังนั้นต่อให้นางเลือกหลอมเม็ดยาชนิดใดก็ไม่สามารถเหนือกว่าเม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง
ตราบใดที่หลิงฮันหลอมเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งสำเร็จ ไม่ว่าเม็ดยาจะมีคุณภาพกี่ดาว ผู้ชนะก็ยังคงเป็นหลิงฮัน แต่ในทางกลับกัน ถ้าหลิงฮันทำเตาหลอมระเบิดหลิงฮันก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
“โปรดชี้แนะด้วย!”
ทั้งสองฝ่ายเริ่มจัดเรียงวัตถุดิบ เมื่อหลิงฮันนำผลราชาพิรุณสีชาดออกมา ดวงตาอันงดงามของหานซินเหยียนก็แทบถลน นางมั่นใจแล้วว่าหลิงฮันไม่ได้ล้อเล่น
เจ้าหนูนี่หลอมเม็ดยาโบราณชนิดนี้จนเชี่ยวชาญและสำเร็จจริงๆ?
นางรู้สึกว่าเรื่องแบบนั้นมันไร้สาระสิ้นดี แต่ลึกๆในใจของนางก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าหลิงฮันอาจจะหลอมได้สำเร็จจริงๆ…
หานซินเหยียนชะงักทันที เมื่อครู่นางเผลอคาดเดาไปว่าตัวเองจะแพ้งั้นรึ?
นักปรุงยาคนอื่นแยกย้ายกันไปยืนที่ประตูและวางข่ายอาคมป้องกัน พวกเขาไม่ต้องการให้มีเสียงเล็ดรอดเข้ามารบกวนทั้งสองคน
ในตอนนี้คังซิวหยวนกับหยุนหย่งหวังทำได้เพียงเชื่อในตัวหลิงฮัน ถึงแม้พวกเขาจะทำได้เชื่อไม่ลงก็ตามว่าในเวลาเพียงครึ่งปีผู้อาวุโสของพวกเขาจะพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกระดับได้
‘พรึบ’ เปลวเพลิงถูกจุดขึ้นมา ทั้งปรุงยาทั้งสองเริ่มลงมือหลอมเม็ดยาของตนเอง
หลิงฮีนที่เริ่มลงมือหลอมเม็ดยา เขาได้เข้าสู่โลกส่วนตัวและลืมทุกสิ่งรอบข้าง
ตั้งแต่เขาหลอมเม็ดยามา เม็ดยาปราณโลหิตคลั่งเป็นเม็ดยาที่หลอมได้ยากที่สุดและเป็นขีดจำกัดของเขาในตอนนี้ เพราะงั้นเขาจึงต้องระมัดระวังให้มาก หากเผลอแม้แต่นิดเดียวการหลอมเม็ดยาจะล้มเหลวทันที
เม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับแปดใช้เวลาหลอมราวๆหนึ่งเดือน การหลอมเม็ดยาระดับนี้ไม่เพียงต้องมีความอดทน แต่จำเป็นต้องมีปราณก่อเกิดที่แข็งแกร่งค่อยสนับสนุนด้วย
หากหยุดมือแม้แต่วินาทีเดียวเตาหลอมจะระเบิด
หลิงฮันลืมทุกสิ่งรอบข้างและเพ่งสมาธิไปกับการหลอมเม็ดยา ที่จริงเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งเป็นเม็ดยาที่ตัวเขาในระดับพลังนี้ต้องการมากที่สุด ดังนั้นเขาจึงจริงจังเป็นพิเศษ
ในช่วงเดือนที่ทั้งสองหลอมเม็ดยาอยู่นี้ คนที่ไม่ใช่นักปรุงยาต่างก็เดินออกและกลับเข้ามาในห้องโถงแห่งนี้หลายครั้ง นอกจากนักปรุงยาแล้วใครบ้างจะมีความอดทนขนาดนั้น? ในขณะเดียวกันนักปรุงยาส่วนใหญ่ได้เลือกที่จะเฝ้ามองการประลองของนักปรุงยาระดับแปดทั้งสอง การเฝ้ามองครั้งนี้จะช่วยเหลือพวกเขาได้มากทีเดียว
และเมื่อวันสุดท้ายมาถึง คนทั่วทั้งเมืองก็แออัดแย่งกันมาดูผลลัพธ์ของการประลอง
“เปิดฝาเตา!” หลิงฮันกับหานซินเหยียนแทบจะเปิดฝาเตาหลอมพร้อมกัน ‘พรึบ’ ฝาเตาถูกเปิดออกมาทันที ครั้งนี้หลิงฮันไม่ปกปิดอีกต่อไป เขาใช้ทักษะสามเปลวเพลิงชี้นำที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด
“อะไรกัน!” ทั้งคังซิวหยวนและหยุนหย่งหวังตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ปากของพวกเขากว้างพอจะยัดไข่ไก่เข้าไปได้เลย
‘สามเปลวเพลิงชี้นำ… นั่นมันสามเปลวเพลิงชี้นำไม่ผิดแน่!’
ทั้งสองคนอุทานในใจ แต่สามเปลวเพลิงชี้นำสมควรเป็นทักษะประจำตัวของท่านอาจารย์เพียงคนเดียวและสอนให้กับพวกเขาแค่สองคนเท่านั้น พวกเขาเองก็ไม่ได้สืบทอดทักษะนี้ใครผู้ใดในทวีปฮงเทียนเลย เหตุใดหลิงฮันถึงได้ใช้ทักษะนี้ได้?
หรือเขาเองก็เป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์?
‘ฟุบ’ เม็ดยาลอยออกมาจากเตาหลอม พวกมันส่องแสงสว่างเรือนราวและล่องลอยอยู่กลางอากาศ
‘นั่นคือเม็ดยาปราณโลหิตคลั่ง’
‘หลอมสำเร็จจริงๆ!’
หานซินเหยียนชำเลืองมองและกล่าวในใจ ด้วยสายตาของนางแค่มองผลราชาพิรุณสีชาดและวัตถุดิบอื่นๆก็เดาได้แล้วว่าเม็ดยาที่หลิงฮันหลอมขึ้นมาคือเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งแน่นอน
ตอนนี้ผลการประลองเป็นที่ประจักษ์แล้ว
นางพ่ายแพ้ หลิงฮันคือผู้ชนะ!
“ข้าแพ้แล้ว!” นางยอมรับอย่างไร้ข้อกังขา
ทุกคนอึ้งจนพูดไม่ถูก ใครจะไปคาดคิดว่าหลิงฮันจะกลายเป็นนักปรุงยาระดับแปดแล้วจริงๆ แถมยังเอาชนะอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะอย่างหานซินเหยียนได้!
เหล่าคนของตำหนักเป่าหลินแน่นิ่งราวกับกลายเป็นหิน
หานซินเหยียนเป็นนักปรุงยาอายุน้อย อนาคตภายภาคหน้าของนางนั้นไร้ขีดจำกัด นางเกิดมาเพื่อปรุงยาและเป็นหนึ่งในนักปรุงยาที่อัจฉริยะที่สุดของจักรวรรดิราชวงศ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์
แต่ตอนนี้… นางกลับแพ้ให้กลับนักปรุงยาที่อายุน้อยกว่า
เป็นไปไม่ได้! เรื่องเช่นนี้มันเหลือเชื่อเกินไป!
หานซินเหยียนมีนิสัยยิ่งยโสก็จริง แต่นางก็ไม่ใช่คนไม่รักษาสัญญา นางนำถ้วยชาออกมารินให้หลิงฮันและใช้นิ้วมือสลักอักษรขอโทษหลิงฮัน
หลิงฮันพยักหน้าในใจ จิตใจของสตรีผู้นี้ซื่อตรงและมีพรสวรรค์ในศาสตร์ปรุงยาที่สูงล้ำ เขาอดไม่ได้ที่จะนึกเกิดความคิดอยากรับลูกศิษย์คนที่หก
เพียงแต่ว่าตอนนี้ทั้งสองคนมีสถานะนักปรุงยาอยู่ในระดับเดียวกันและยืนอยู่คนล่ะฝ่าย เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะรับนางเป็นศิษย์ได้
เขาดื่มชาในถ้วยและกล่าว “การประลองเสร็จสิ้นแล้ว น้ำชานั้นข้าเองก็ดื่มหมดแล้วเช่นกัน เช่นนั้นคงต้องขอตัวก่อน!”
“รอก่อน!” หานซินเหยียนรีบเอ่ยขึ้น นางกัดริมฝีปากและกล่าว “ข้าต้องการประลองกับเจ้าอีก!”
“ฮ่าๆ ย่อมได้ แต่นั่ต้องรอให้ข้ามีเวลาเสียก่อน” หลิงฮันหัวเราะ เขาไม่ได้ต้องการหลบเลี่ยงการท้าประลองแต่เขาต้องฝึกฝนวรยุทธด้วย เขาไม่สามารถใช้เวลาไปกับการปรุงยาได้ตลอด
หลิงฮันเดินจากไปพร้อมกับพวกหยุนหย่งหวัง
ผู้ชมด้านนอกก็จากไปเช่นกัน แต่เมื่อทั้งสามคนกลับมายังตำหนักฮันหลิง พวกเขาพบว่าลูกค้าที่มาซื้อเม็ดยานั้นมีจำนวนมากกว่าตอนที่พวกเขาออกจากตำหนักไปอย่างน้อยห้าเท่า และนี่ก็เป็นเพียงช่วงเริ่มต้นเท่านั้น
“ข้าขอเสียมารยาทถามผู้อาวุโส… เมื่อครู่ทักษะหลอมที่ท่านใช้คือสามเปลวเพลิงชี้นำใช่รึไม่?” หลังจากกลับมายังตำหนักฮันหลิง คังซิวหยวนก็อดกลั้นความรู้สึกเอาไว้ไม่ไหวและถามออกไป
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ไม่ผิด!” หลังจากเฝ้าดูมาครึ่งปี หลิงฮันได้พบว่าศิษย์ทั้งสองคนไม่มีความเกี่ยวข้องกับนิกายนกอมตะเมฆา และดูเหมือนทั้งสองจะยังไม่ลืมความแค้นที่มีต่อห้านิกายโบราณด้วย
“ผู้อาวุโส ท่านไปเรียนรู้ทักษะที่ว่ามาจากไหนกัน?” หยุนหย่งหวังถาม
“ที่ไหนน่ะรึ?” หลิงฮันยิ้มก่อนจะกล่าว “นี่เป็นทักษะประจำตัวข้าเอง!”
‘ตุบ ตุบ’ หยุนหย่งหวังและคังซิวหยวนลุกขึ้นยืนพร้อมกับ สีหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงความโกรธอย่างปิดไม่มิด
กล้าบอกว่าทักษะสามเปลวเพลิงชี้นำที่อาจารย์ของพวกเขาคิดค้นเป็นทักษะของตน? ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก ไม่ว่าเจ้าจะช่วยเหลือตำหนักฮันหลิงมากมายขนาดไหนพวกข้าก็ไม่สามารถให้อภัยเจ้าได้
อาจารย์ที่พวกเขาเคารพเทิดทูนไม่อาจถูกดูหมิ่นเช่นนี้!
“ข้าคิดว่าผู้อาวุโสควรจะออกจากตำนักแห่งนี้ไปซะ!” หยุนหย่งหวังกล่าวอย่างเย็นชา
ตอนที่ 1232
คังซิวหยวนเองก็เผยสีหน้าเย็นชาใส่หลิงฮันเช่นกัน
ถึงมันจะเป็นความจริงที่หลิงฮันช่วยเหลือตำหนักฮันหลิงเอาไว้มาก ทั้งยังทำให้ตำหนักฮันหลิงมีชื่อเสียงขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่มีทางยอมให้ใครกล่าวอ้างทักษะของอาจารย์เป็นทักษะของตัวเองอยู่ในตำหนักฮันหลิงนี้ได้ นี่เป็นการไม่ให้เกียรติอาจารย์ของพวกเขา
หลิงฮันหัวเราะและพึงพอใจกับปฏิกิริยาของศิษย์ทั้งสองคนนี้มาก จากนั้นเขาก็พูดว่า “เจ้าจะขับไล่ข้าออกจากตำหนักฮันหลิงอย่างนั้นหรือ?”
“พวกเราจะจ่ายให้ท่านมากพอ” คังซิวหยวนกล่าวอย่างเย็นชา
หลิงฮันพูดต่อว่า “พวกเจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเข้าร่วมกับตำหนักเป่าหลินเลยรึ? พวกเจ้าควรรู้เอาไว้ว่าถ้าข้าเข้าร่วมตำหนักเป่าหลิน ตำหนักฮันหลิงของพวกเจ้าคงอยู่ได้ไม่ถึงสิบวัน และอาจจะต้องปิดกิจการ”
“หึ่ม ข้าไม่รู้หรอกว่าท่านเคยได้ยินคำพูดนี้หรือไม่ ยอมเป็นหยกแหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์!” หยุนหยงหวังกล่าว
หลิงฮันปรบมือและพูดว่า “แล้วยังไง? มันก็แค่คำพูด”
“ท่านควรรีบออกไปจากตำหนักฮันหลิงของพวกข้าจะดีกว่า ส่วนรางวัลข้าจะส่งไปให้ท่านในอีกสองสามวันข้างหน้า” คังซิวหยวนกล่าว
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ข้าจำได้ว่าในฤดูหนาวปีหนึ่ง ข้าเจอเด็กชายคนหนึ่งยืนหนาวสั่นอยู่หน้าโรงเตี๊ยม เมื่อเห็นเช่นนั้นข้าจึงสั่งก๋วยเตี๋ยวให้เด็กคนนั้นชามหนึ่ง จากนั้นเด็กคนนั้นก็ขอติดตามข้า ไม่ว่าข้าจะไปที่ไหนก็จะตามไปทุกที่”
เมื่อได้ยินที่หลิงฮันพูด ร่างกายของคังซิวหยวนสั่นสะท้านทันที แววตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง และรีบจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่กระพริบตา
นั่นคือเหตุการณ์ที่เขากับอาจารย์เจอกันครั้งแรก เขาเป็นเด็กกำพร้าและเกือบตายเพราะความหนาวเย็น หลังจากที่ได้รับก๋วยเตี๋ยวหนึ่งชาม เขาก็ขอติดตามหลิงฮันไปทุกที่
ต่อมา ด้วยความเพียรพยายามของเขา ในที่สุดหลิงฮันก็ยอมรับเขาเป็นศิษย์และเขาก็ไม่ทำให้หลิงฮันผิดหวังด้วยการแสดงพรสวรรค์ด้านปรุงยาให้หลิงฮันเห็น และเริ่มเข้าสู่ศาสตร์ปรุงยา
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาไม่เคยบอกใครมาก่อน!
นี่มัน…หมายความว่า…
หลิงฮันหันไปมองหยุนหยงหวังและพูดอีกครั้งว่า “ส่วนเจ้าคือนายน้อยแห่งตระกูลหยุน เนื่องจากเจ้าถูกคู่หมั้นทอดทิ้งเลยอยากยุติความสัมพันธ์อาจารย์กลับข้า เพราะกลับไปฝึกฝนวรยุทธและกลับไปตบหน้าคู่หมั้นของเจ้าสองที แต่น่าเสียดายที่เจ้ามีพรสวรรค์ด้านปรุงยามากกว่าด้านวรยุทธ และล้มเหลวในการเดินบนเส้นทางวิถีวรยุทธ แต่ท้ายที่สุดเจ้าก็กลายเป็นปรมาจารย์นักปรุงยา”
“หยงหวัง ข้ายังจำได้ว่าครั้งหนึ่งเจ้าเคยถักเสื้อคลุมตัวหนึ่งให้กับข้า แต่มันมีขนาดใหญ่เกินไป จนทำให้พี่น้องทั้งสามคนของเจ้าหัวเราะเรื่องนี้กว่าครึ่งปี”
“อาจารย์ อาจารย์!” หยุนหยงหวังตะโกน ถึงกระนั้นเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเป็นอาจารย์ของเขาจริงๆ
หลิงฮันถอนหายใจและพูดว่า “ในตอนที่ข้าเข้าไปสำรวจโบราณสถานแห่งนั้น ทำให้ข้าต้องจบชีวิตลง แต่จิตวิญญาณของข้ายังคงอยู่ เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งพันปี ข้าก็เกิดใหม่ในร่างของชายหนุ่มคนหนึ่ง”
หยุนหยงหวังและคังซิวหยวนมองหน้ากันด้วยความตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อ
ต้องทราบก่อนว่าแม้แต่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ บุปผาวิญญาณเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุด และใช้เวลาหมื่นล้านปีถึงจะถือกำเนิดขึ้นมาหนึ่งดอก! แต่หลิงฮันสามารถจุติในโลกใบเล็กได้ นี่เป็นเรื่องที่ฝืนกฎสวรรค์ยิ่งนัก
ข้าควรเชื่อคำพูดของเขาหรือไม่?
หลิงฮันหัวเราะและหยิบนำสิ่งของที่พวกเขาทั้งห้าคนเคยใช้ร่วมกันมาก่อน
หยุนหยงหวังและคังซิวหยวนเริ่มตกตะลึงมากยิ่งขึ้น แม้ว่าสิ่งของที่หลิงฮันจะนำออกมาจะไม่ใช่ความลับอะไร ตอนนี้ยิ่งพวกเขาฟังที่หลิงฮันพูดเท่าไหร่ มันก็เริ่มทำให้พวกเขาเชื่อหลิงฮันมากขึ้นเรื่อยๆ
หลักฐานสำคัญที่สุดคือ นอกจากอาจารย์ของพวกเขาแล้ว ใครจะมีพรสวรรค์ด้านปรุงยาที่สูงกว่าเขาอีก?
หากเป็นอาจารย์ของพวกเขาจริง การเลื่อนระดับแปดด้วยเวลาแค่ครึ่งปี…บางทีอาจเป็นไปได้!
“อาจารย์!” หยุนหยงหวังและคังซิวหยุนรีบคุกเข่าลงพร้อมกับน้ำตา
หลิงฮันเองก็รู้สึกตื้นตันใจเช่นกัน เขายกมือขึ้นและพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องสุภาพกับข้าขนาดนั้น ถึงข้าจะไม่ได้เห็นหน้าพวกเจ้ามานานถึงหมื่นปี การที่พวกเจ้ายังอยู่ปลอดภัย และยังมีความก้าวหน้าอย่างมากในด้านปรุงยาและด้านวรยุทธ แค่นี้ก็ทำให้ข้ามีความสุขมากแล้วที่ได้เป็นอาจารย์ของพวกเจ้า”
“อาจารย์-” หยุนหยุงหวังและคังซิวหยวนหลั่งน้ำตาและพูดไม่ออก
“จริงสิ แล้วพี่น้องอีกสองคนของพวกเจ้าไปไหน?” หลิงฮันถาม
ในบรรดาศิษย์ทั้งสี่คน เฉินหลุยจิงคือพี่ใหญ่ หยุนหยงหวังคือพี่รอง คังซิวหยวนคือน้องสาม และเจียงเย่เฟิงคือน้องสี่
ใบหน้าของหยุนหยงหวังเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หลิงฮันมองและพูดว่า “ข้ารู้ดีว่าจะต้องมีการทะเลาะกันระหว่างพี่น้อง หลังจากที่ข้าเห็นสมาคมน้ำแข็งนิรันดร์สองแห่งในทวีปเทียนฮง ข้าก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า?”
หยุนหยงหวังและคังซิวหยวนหันไปมองหน้ากันอีกครั้ง และหยุนหยงหวังก็พูดว่า “ข้าจะเป็นคนพูดเรื่องนี้เอง”
เขาหยุดหายใจครู่หนึ่งและพูดว่า “หลายร้อยปีต่อมาหลังจากที่อาจารย์เสีย-” เขาหยุดพูดอย่างกะทันหันและจ้องมองหลิงฮันด้วยสีหน้าเขินอาย
“ข้าไม่คิดมาก พูดต่อได้เลย” หลิงฮันพูดรอยยิ้ม
“ห้านิกายโบราณเริ่มเผยธาตุแท้ของพวกมันออกมาและในไม่ช้าก็เป็นภัยคุกคามต่อโลก ในเวลานั้นจอมยุทธทุกคนบนโลกต่างพากันลุกขึ้นสู้เพื่อต่อต้านการกดขี่ของห้านิกายโบราณ ทว่าห้านิกายโบราณมีรากฐานที่หยั่งลึกเกินไป ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้ว่าพวกเราจะสามารถสังหารจอมยุทธขอบเขตพระเจ้าได้หลายคน แต่ในท้ายที่สุดพวกเราก็จบลงด้วยความล้มเหลว”
“อย่างไรก็ตาม บุตรสาวของจอมยุทธที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งจากนิกายดาบสวรรค์ที่ลงมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาที่ทวีปฮงเทียนนั้น เกิดตกหลุมรักน้องสี่”
“หืม!” หลิงฮันอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงอุทาน เจียงเย่เฟิงหล่อเหลาถึงขนาดำให้สาวงามจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตกหลุมรัก นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งจริงๆ
“และน้องสี่ก็หลงรักผู้หญิงคนนั้นจริงๆ แล้วอยากให้พวกเราทั้งสามตามเขาไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน แต่แน่นอนว่าพวกเราตอบปฏิเสธไป…” หยุนหยังหวังกล่าว
“เดิมทีพวกเราคิดที่จะตายบนแผ่นดินทวีปเทียนฮง แต่แม่ของอา- แต่เป็นเพราะสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะที่พาพวกเรามาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ในเมื่อเป็นคำพูดของนาง พวกเราจะไม่เชื่อฟังก็ไม่ได้”
ในใจของศิษย์ทั้งสี่คนของเขานั้น สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะเป็นเหมือนแม่ของอาจารย์ คำพูดของนางน่าเกรงขามยิ่งกว่าคำพูดของอาจารย์ซะอีก
หลิงฮันส่ายหัว ถึงเมื่อก่อนเขาจะไม่สามารถเอาชนะสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะได้ แต่ตอนนี้…ไม่น่ามีปัญหา
“แล้วตอนนี้สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะอยู่ที่ไหน?” หลิงฮันถาม น้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความตื่นเต้น
“ถึงแม้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะเกิดบนโลกใบเล็ก แต่สายเลือดของนางนั้นแข็งแกร่งมาก หลังจากที่กลับเข้าสู่นิกายนกอมตะบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นางก็มุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนวรยุทธ และใช้เวลาแค่สามพันปีเท่านั้นในการทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทรา ตอนนี้นางนางจะอยู่จุดสูงสุดของระดับสุริยันจันทราแล้ว” คังซิวหยวนกล่าว
“นางไม่พอใจกับการฝึกฝนของนิกาย และหลังจากทุ่มเทความพยายามอย่างหนักเพื่อนิกาย นางก็ประกาศว่าจะออกจากนิกายและพูดว่าตัวเองเป็นคนของตระกูล-“
เขาหยุดพูดและมองดูหลิงฮัน
หลิงฮันหงุดหงิดและพูดว่า “เจ้าคิดจะทำให้อาจารย์ของเจ้ารู้สึกสงสัยจนตายตาไม่หลับงั้นรึ?”
เขาพูดต่อว่า “นางอ้างว่าเป็นคนตระกูลหลิง”
หลิงฮันลูบคาง ถึงนางจะทำตัวโหดร้ายกับเขาอยู่เสมอ แต่นางก็ยอมรับว่าตัวเองเป็นภรรยาของเขา ไม่ว่านางจะปากไม่ตรงกับใจแค่ไหน แต่เขาก็ชอบนาง!
ตอนที่ 1233
หนึ่งในศิษย์ของเขาเจียนเยว่ซวน ตอนนี้อยู่ที่นิกายดาบสวรรค์ ส่วนเฉินหลุยเจียงได้ออกเดินทางฝึกยุทธทั่วทวีป เขาเป็นจอมยุทธ แน่นอนว่าจำเป็นต้องยดระดับพลังของตนเอง
ในส่วนของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ ตอนนี้นางอาศัยอยู่ที่หุบเขาต้นกำเนิดวารี สถานที่แห่งนั้นอยู่ห่างไกลเพียงสามพันไมล์เท่านั้น
หลิงฮันตัดสินใจไปหาสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ทันที
เรื่องแก้แค้นห้านิกายโบราณเอาไว้ที่หลังได้ แต่เขาไม่ได้พบหน้าสตรีของเขาผู้นี้มาหนึ่งหมื่นปีแล้ว เขาไม่ต้องการจะรอคอยอีกต่อไป
ในขระที่เขาออกมาจากตำหนักฮันหลิงและกำลังจะเดินทาง รถม้าคันหนึ่งก็เคลื่อนที่มาปิดกั้นทางเขาเอาไว้ สาวใช้ที่ควบคุมรถม้ากล่าวกับเขา “ปรมาจารย์หลิง นายหญิงของข้าต้องการพูดคุยกับท่าน”
“นายหญิงของเจ้า?” หลิงฮันมึนงงเล็กน้อย “ใครกัน?”
“ไว้ปรมาจารย์หลิงขึ้นรถม้ามาท่านก็จะรู้เอง” สาวใช้ยิ้มอย่างมีเลศนัย รอยยิ้มของนางดูแล้วช่างยั่วยวนเป็นอย่างมาก
ดูจากชุดที่นางสวมใส่นางคงเป็นคนรับใช้ไม่ผิดแน่นอน แต่ขนาดคบรับใช้ยังมีเสน่ห์เช่นนี้ นายหญิงของนางจะยั่วยวนขนาดไหน?
แต่หลิงฮันในตอนนี้จะมีอารมณ์เช่นนั้นรึ?
เขาส่ายหัวและกล่าว “งั้นก็ช่างมันแล้วกัน” เขาสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อน!” สาวใช้รีบลงจากรถม้าและปิดกั้นทางของหลิงฮันเอาไว้ หน้าอกอันอวบอิ่มของนางแทบจะสัมผัสกับร่างของหลิงฮันจนหลิงฮันต้องยอมก้าวถอยหลบไปด้านหลังเล็กน้อย
“ปรมาจารย์หลิง นายหญิงของข้าเป็นสตรีที่งดงามที่สุดภายใต้ดวงตะวันและจันทรา ไม่รู้ว่ามีบุรามากมายเท่าใดที่ต่อแถวเรียงกันขอเข้าพบนายหญิงของข้า แต่นายหญิงของข้าจะยอมพบไหมนั่นก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของนาง” สาวใช้กล่าวด้วยท่าทีภูมิใจ “ครั้งนี้นายหญิงของข้าเป็นฝ่ายเชิญชวนท่านก่อน หากปฏิเสธท่านไม่กลัวว่านายหญิงของข้าจะเสียใจรึอย่างไร?”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า?” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส
“เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้!” สาวใช้กล่าวและเอื้อมมือไปคว้าจับหลิงฮัน “ปรมาจารย์หลิง ในเมื่อท่านไม่ยอมขึ้นรถม้าแต่โดยดี ข้าก็ต้องใช้กำลังบังคับท่าน!”
‘ครืนนน’ ออร่าที่ทรงพลังถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของนาง ที่แท้นางก็เป็มจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา!
หลิงฮันประหลาดใจ จอมยุทธระดับสุริยันจันทรายังเป็นได้เพียงคนรับใช้?
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว
เขาปล่อยหมัดเข้าใส่อีกฝ่าย เนื่องจากเขาได้คิดค้นทักษะดาบฟ้าคำรามขึ้นมาและทำความเข้าใจบททดสอบสายฟ้าสวรรค์ได้สำเร็จ หมัดของเขาจึงไม่เพียงทรงพลังแต่ยังแฝงไว้ด้วยอำนาจทำลายล้างของสายฟ้าอีกด้วย
‘ตูม’ ประกายสายฟ้าส่องสว่างเจิดจ้า
สาวใช้เผยสีหน้าตกตะลึงทันที นางไม่มีเวลาตั้งท่าป้องกันจึงใช้มือที่เอออกไปกระแทกเข้ากับหมัดของหลิงฮัน ‘ปัง’ เกิดเสียงปะทะที่ดังก้อง ทั้งสองคนล่าถอยออกไปสองสามก้าว
สาวใช้ผู้นี้มีพลังบ่มเพาะระดับสุริยันจันทราขั้นกลางชั้นปลาย ดังนั้นพลังต่อสู้ของนางจึงเทียบเท่าหลิงฮัน พลังทำลายที่เกิดจากหมัดที่แฝงไว้ด้วยอำนาจของบททดสอบสายฟ้าสวรรค์ทำให้ฝ่ามือของนางสั่นสะท้าน
“ข้าไม่คิดเลยว่าปรมาจารย์หลิงฮันจะเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งวรยุทธด้วยเช่นกัน!” สาวใช้โคจรทักษะบ่มเพาะเพื่อหยุดโลหิตที่ไหลจากฝ่ามือ บนใบหน้าของนางปรากฏสีหน้าตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่ได้ร้อนลน “แต่ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นคำสั่งที่ได้รับจากนายหญิง ปรมาจารย์ต้องให้ความร่วมมือกับข้า!”
‘ครืนน’ สุริยันจันทราสองดวงปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของนาง มันไม่ได้ปล่อยคลื่นความร้อนแต่กลับเป็นคลื่นอากาศอันเย็นยะเยือก พื้นที่โดยรอบถูกแช่เป็นน้ำแข็งและมีหิมะตกลงมา
จอมยุทธบางคนฝึกฝนทักษะธาตุน้ำแข็ง พลังสุริยันจันทราของพวกเขาจึงเป็นพลังแห่งเหมันต์และปลดปล่อยความเย็นยะเยือกอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา
หลิงฮันพยักหน้า ระดับยุทธของดาวแห่งนี้เหนือกว่าจักรวาลของดาวเหอหนิง อย่างน้อยในจักรวาลของดาวเหอหนิงก็มีเพียงปรมาจารย์สามวิถีที่บรรลุระดับวารีนิรันดร์ได้ จอมยุทธคนอื่นๆก็บรรลุแค่ระดับภูผาวารี สุริยนัจันทราและดารา
ไอเย็นที่สาวใช้ผู้นี้ปลดปล่อยออกมาทำให้โลหิตในร่างของหลิงฮันแข็งตัว ร่างของเขาเองก็ขยับไม่ได้
เพียงแต่ว่าหากจะเขาชนะเขา แค่นี้มันยังไม่เพียงพอ!
‘พรึบ’ ประกายสายฟ้าปลดปล่อยออกมาจากร่างของเขา ประกายสายฟ้าค่อยๆผสานเข้าด้วยกันและทำให้ความเย็นค่อยๆสลายไปจากร่างของเขา
“หอกเหมันต์!” สาวใช้เค้นเสียง ปราณเหมันต์ถูกควบแน่นกลายเป็นหอกน้ำแข็งเล่มยาวและแทงหอกไปด้านหน้า สายลมรอบข้างหอกเหมันห์ได้ถูกแช่แข็งและกลายสภาพเป็นคมมีดเหมันต์นับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน
หลิงฮันชี้นิ้วปลดปล่อยเจตจำนงแห่งดาบที่ผสานกับอำนาจอัสนีออกไปปะทะเข้ากับคมมีดเหมันต์
‘เพล๊ง เพล๊ง เพล๊ง’ คมมีดนับไม่ถ้วนแตกสลายทันที
หลิงฮันยืดตัวและกล่าว “เท่านี้พอรึยัง?”
สาวใช้คำราม “ยัง!”
นางโจมตีอีกครั้ง รูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างปรากฏขึ้นที่หอกเหมันต์
หลิงฮันเค้นเสียง เขาไม่ปิดบังพลังต่อสู้อีกต่อไปและกระใช้ปล่อยหมัดเข้าใส่หอกเหมันต์
‘แกร่ก แกร่ก แกร่ก’ รอยร้าวปรากฏขึ้นบนหอหเหมันต์ หลังจากโดนโจมตีด้วยหมัดของหลิงฮันหลายครั้งในที่มุดมันก็หักและแตกสลาย สีหน้าของสาวใช้กลายเป็นซีดเผือด ผมของนางกระเซอะกระเซิงไม่เหลือเสน่ห์เย้ายวนอีกต่อไป
นางอดคิดไม่ได้ว่าหลิงฮันมีพลังบ่มเพาะระดับสุริยันจันทราขั้นต้นแท้ๆ แต่เขากับเอาชนะนางด้วยการต่อสู้ซึ่งๆหน้าได้ พลังของเขาอัศจรรย์กินไป! นางไม่ยอมรับความพ่ายแพ้และนำตราอักขระออกมา
“ฉินหลัว พอได้แล้ว!” เสียงหนึ่งดังออกมาจากรถม้า มันคือเสียงของหลินอวีฉีเจ้าของตำหนักเป่าหลินสาขาเมืองต้าหยิง
ประตูรถม้าเปิดออก เผยให้เห็นสตรีงดงามที่นั่งอยู่ด้านใน ความเย้ายวนของนางนัน้ทำให้บุรุษทุกคนที่จ้องมองต้องตกอยู่ในภวังค์
“ปรมาจารย์หลิง ข้าไม่ใช่สัตว์กินเนื้อเสียหน่อย ท่านไม่ต้องกังวลว่าข้าจะกินท่าน” นางหัวเราะอย่างทรงเสน่ห์และเย้ายวน
เมื่อนางปรากฏตัวหลิงฮันก็ไม่สามารถจากไปเฉยๆได้อีกต่อไป เขายิ้มและกล่าว “ไม่ทราบว่าท่านมีธุระอันใดกับข้า?”
“อย่างไรก็ขึ้นรถม้ามาก่อนสิ” หลินอวีฉียิ้ม
หลิงฮันลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะพยักหน้าและเดินขึ้นรถม้า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น