Alchemy Emperor of the Divine Dao 1157-1170
ตอนที่ 1157
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
ทุกการโจมตีของหลิงฮันเต็มไปด้วยความโกรธ เขาต้องการให้อู๋เจ๋อยอมรับความพ่ายแพ้ นี่คือสิ่งที่เขาต้องชดใช้ที่ใช้วิธีการสกปรกกับจักรพรรดิพิรุณ
แต่อย่างน้อยอู๋เจ๋อเองก็เป็นอัจฉริยะคนหนึ่งเหมือนกัน ถ้าหลิงฮันสร้างภูผาวารีสายที่ห้าไม่สำเร็จ เขาก็คงไม่สามารถเอาชนะอู๋เจ๋อได้
ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างดุเดือด
“พระเจ้า จอมยุทธระดับภูผาวารีแข็งแกร่งขนาดนี้เลยรึ!”
“ในทางกลับกัน ข้ายังเป็นแค่จอมยุทธตัวน้อยที่ยังไม่ทะลวงผ่านระดับภูผาวารี”
“ข้าต้องสร้างภูผาวารีสายที่ห้าให้จงได้!”
ทุกคนอุทาน และมีหลายคนตัดสินใจอนาคตของตัวเอง พวกเขาจะไม่ทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราจนกว่าจะสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้สำเร็จ สิ่งนี้มีผลกระทบอย่างมากต่อนิกายสวรรค์เยือกแข็ง เนื่องจากกลุ่มคนพวกนนี้มีบางคนที่ตัดสินใจจะสร้างภูผาวารีสายที่ห้าให้สำเร็จ ซึ่งนั่นอาจทำให้พวกเขาติดอยู่ระดับภูผาวารีตลอดชีวิตที่เหลือ และพลาดการทะลวงผ่านสุริยันจันทรา
ท้ายที่สุด แม้ว่าศิษย์เมล็ดพันธุ์จะมีพรสวรรค์มากแค่ไหน แต่คนที่จะสามารถสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้นั้นมีเพียงแค่หยิบมือ
หลิงฮันส่งเสียงคำรามอย่างต่อเนื่อง แล้วโจมตีออกไปด้วยเจตจำนงแห่งดาบผสานกับทักษะบัญญัติดาบเร็ว ทำให้การโจมตีของเขาทั้งรวดเร็วและมีพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัว
นี่คือทักษะที่หลิงฮันคิดค้นขึ้น และเขาเรียกมันว่า “ทักษะดาบฟ้าคำราม”
ที่เขาใช้ชื่อทักษะดาบฟ้าคำรามนั่นเป็นเพราะแสงเคลื่อนที่ได้เร็วที่สุดในโลก และยิ่งเขาแข็งแกร่งขึ้น พลังของทักษะดาบฟ้าคำรามก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
เพราะนี่ไม่ใช่การโจมตีตายตัว แต่เป็นการโจมตีที่เกี่ยวข้องกับความเข้าใจในพลังเต๋า
เปรี๊ยง เปรี๊ยง หลิงฮันจับดาบอสูรนิรันดร์ การรวมกันของดาบและผู้ใช้ ทำให้ทักษะดาบฟ้าคำรามอยู่ในระดับที่สูงขึ้น
หลังจากผ่านไปอีกสิบกระบวนท่า ถึงแม้อู๋เจ๋อจะยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ในความเป็นจริงเขาก็ได้พ่ายแพ้ไปแล้ว
ไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับการพ่ายแพ้
แม้จะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ใช่ว่าจะแข็งแกร่งเท่ากัน!
ทุกคนหุบปากเงียบ แต่ก็มีหลายคนแสดงสีหน้าตื่นเต้น อู๋เจ๋อที่เป็นหนึ่งในหกราชามาเป็นเวลานาน ถึงเวลาแล้วที่เขาจะร่วงหล่นและส่งผลกระทบต่อตำแหน่งของพวกเขา
และผู้ที่ทำเช่นนั้นคือหลิงฮัน!
ศิษย์ใหม่ที่มีความทะเยอทะยาน ในตอนนี้พวกเขาได้รับแรงบันดาลใจจากหลิงฮัน มันทำให้พวกเขามีกำลังใจมากยิ่งขึ้นที่จะสร้างภูผาวารีสายที่ห้าให้สำเร็จ เพราะตราบใดที่พวกเขาทะลวงผ่านจุดนี้ได้ พวกเขาก็จะกลายเป็นเหมือนหลิงฮันและเข้ามาแทนที่หกราชาคนเก่า
การต่อสู้ของหลิงฮันนั้นเปิดโหมโรงเพื่อล้มราชา
หลังจากต่อสู้มาหลายกระบวนท่า ในที่สุดอู๋เจ๋อก็พ่ายแพ้ให้กับหลิงฮันและถูกดาบของหลิงฮันทิ้งรอยแผลลึกไว้ที่อกด้านซ้าย นี่คือความเมตตาของหลิงฮํน มิฉะนั้นร่างของอู๋เจ๋อคงถูกแยกออกเป็นสองส่วนไปแล้ว
นอกจากนี้การต่อสู้ครั้งนี้เป็นเพียงแค่การแลกเปลี่ยนวรยุทธ และหลิงฮันทำไปเพื่อทวงความยุติธรรมให้กับจักรพรรดิพิรุณ แต่เดิมพวกเขาทั้งสองคนไม่ได้เป็นศัตรูอาฆาตแค้นอะไรกัน
อย่างไรก็ตาม การที่อู๋เจ๋อพ่ายแพ้ต่อหน้าทุกคน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเขาจะต้องเกลียดชังหลิงฮันอย่างแน่นอน
อู๋เจ๋อจ้องมองหลิงฮันด้วยความเกลียดชัง จากนั้นเขาก็หันหลังและเดินจากไป โดยไม่สนใจว่างานเลี้ยงน้ำชาครั้งนี้จะจบลงแล้วหรือไม่
“ศิษย์น้องอู๋ แล้วเรื่องงานเลี้ยงน้ำชาล่ะ?” หลิงฮันถามพรางหัวเราะ
อู๋เจ๋อนิ่งเงียบไม่หันหน้ากลับมา เขาเพียงแค่ยกมือขึ้นและโยนใบชาหยางสิบใบที่สัญญาเอาไว้ก่อนหน้านี้ แต่เขาไม่ได้โยนมันให้กับหลิงฮัน แต่เป็นเหอเต๋า
จากนั้นอู๋เจ๋อก็รีบเดินลงไปจากเทือกเขา และร่างของเขาก็หายเข้าไปในก้อนเมฆ
หลิงฮันปรบมืออย่างไม่แยแส จากนั้นเขาก็กลับไปยังตำแหน่งเดิมและแสร้งทำเป็นหลับ
ใบหน้าของเขาดูนิ่งมาก ทั้งที่เขาแข็งแกร่งพอที่จะท้าทายหกราชาอย่างเหอเต๋อต่อก็ยังได้
ในแง่ของพลังต่อสู้ เขาไม่ได้แข็งแกร่งกว่าอู๋เจ๋อมากนัก แต่เป็นเพราะเขามีดาบอสูรนิรันดร์ ซึ่งเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังมาก แม้มันจะยังไม่บรรลุขั้นที่สี่ก็ตาม
อย่างที่สองเป็นเพราะกายหยาบ มันทำให้เขาสามารถเพิกเฉยต่อการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะชนะหนึ่งในหกราชา แต่ถ้าเป็นการต่อสู้ที่เดิมพันด้วยชีวิต ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะมีไพ่ลับอะไรและจำนวนเท่าไหร่และจะเทหน้าตักขนาดไหน
แน่นอนว่าหลิงฮันก็แค่ระมัดระวังตัวมากขึ้นและห้ามประมาท แต่ยังไงเขาก็ยังเชื่อว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายชนะ
ติงผิงจ้องมองดูอาจารย์ของตัวเองด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น
แข็งแกร่งมาก!
อาจารย์ของเขามักจะเป็นแบบนี้ตลอด และชอบทำให้ทุกคนประหลาดใจอยู่เสมอ เขาจะต้องนำหลิงฮันมาเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่เพื่อก้าวข้ามอาจารย์ แต่เขาจะไม่ทำให้อาจารย์ต้องเสียงหน้าและทำให้ชื่อเสียงต้องมัวหมอง
…
การแลกเปลี่ยนวรยุทธยังคงดำเนินต่อไป
แต่ทว่าหลัจากที่ทุกคนเห็นการต่อสู้ระหว่างหลิงฮันและราชาอย่างอู๋เจ๋อ การต่อสู้ที่เหลือดูน่าเบื่อขึ้นมาทันที แล้วในไม่ช้าก็ไม่มีใครท้าผู้อื่นสู้อีก ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มถกเถียงเรื่องการฝึกฝนวรยุทธแทน
คนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เป็นอัจฉริยะแนวหน้า แต่พวกเขาทุกคนไม่มีใครเก่งรอบด้าน แต่ละคนนั้นมีจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง ดังนั้นแม้จะเป็นปัญหาเล็กๆ ทุกคนก็พยักหน้ารับฟัง
บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนไม่มีความลับและพูดประสบการณ์ของตัวเองแลกเปลี่ยนกับของคนอื่น แน่นอนว่าพวกเขาแค่พูดถึงประสบการณ์ คงไม่มีใครถ่ายทอดทักษะลับและเทคนิคให้แก่คนอื่น หากทำเช่นนั้นมันไม่ได้เรียกว่าใจกว้าง แต่เรียกว่าโง่
แม้แต่หลิงฮันก็ยังได้รับประโยชน์มากมายจากการพูดคุยครั้งนี้
“โอ้ว ในที่สุดน้ำก็เดือดซักที เช่นนั้นพวกเรามาดื่มชากันเถอะ” เหอเต๋าหัวเราะ ในที่สุดก็มีไอร้อนลอยออกมาจากกาน้ำ แต่ที่แปลกคือไอร้อนไม่กระจายตัวออกไป แต่มันกลับก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างที่งดงาม
ตอนที่ 1158
อันที่จริงทั้งเหอเต๋าและอู๋เจ๋อนั้นไม่ได้นับว่าเป็นคนที่เลวร้ายอะไร อย่างน้อยพวกเขาก็ยินดีแบ่งปันทรัพยากรล้ำค่าให้กับเหล่าศิษย์น้อง ถ้าไม่ใช่เพราะอู๋เจ๋อยึดติดกับชัยชนะเกินไปถึงขนาดใช้วิธีไม่ซื่อกับจักรพรรดิพิรุณ หลิงฮันคงไม่ท้าทายและหักหน้าเขาต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้
หลังจากที่ไถ่ถามศิษย์รอบข้าง หลิงฮันถึงรู้ว่าสี่ราชาที่เหลือออกไปนอกนิกายเพื่อฝึกฝน
ในความเป็นจริงศิษย์ของนิกายสวรรค์เยือกแข็งนั้นมีปฏิสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีต่อกัน ถ้าศิษย์พี่ได้รับทรัพยากรที่ล้ำค่ามาระหว่างการเดินทางฝึกตน พวกเขาก็จะนำมาแบ่งปันให้กับศิษย์ใหม่ของนิกาย การแบ่งปันเหล่านี้คือขนบธรรมเนียม
เมื่อราชาอีกสี่คนกลับมา พวกเขาก็จะแบ่งกับทรัพยากรล้ำค่าให้กับหลิงฮันและศิษย์ใหม่คนอื่นๆเช่นกัน การกระทำเช่นนี้ล้วนสืบต่อกับมารุ่นต่อรุ่นจนกลายเป็นธรรมเนียมของนิกาย
ศิษย์ใหม่สิบคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดจะถูกเลือกให้เป็นผู้ดื่มด่ำกับชาที่ต้มจากใบชาหยาง แน่นอนว่าหลิงฮันถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในสิบแน่นอน ถ้าเขาไม่มีคุณสมบัติให้ถูกเลือก ใครกันจะถูกเลือก?
จักรพรรดิพิรุณก็ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในสิบเช่นกัน เพียงแต่ว่าติงผิงนั้นไม่ได้รับเลือกเนื่องจากเขาแพ้ให้กับหลันหลวน ไม่ว่าจะแพ้ด้วยเหตุผลอะไรแพ้ก็คือแพ้ นั่นแสดงให้เห็นว่าจิตใจของเขายังฝึกฝนมาไม่ได้
เหอเต๋าเดินเข้ามาใกล้เขาและถาม “น้องชายฮัน เจ้าสนใจไปสำรวจดินแดนโบราณรึไม่?”
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ดินแดนโบราณที่ว่าเป็นเช่นไร?”
“มีความเป็นไปได้สูงมากว่ามันจะเป็นดินแดนจากนิกายยักษ์ใหญ่ในอดีต แม้จะดูเหมือนนิกายที่ว่าได้ถูกทำลายไปแล้ว แต่สมบัติทรัพยากรล้ำค่านั้นยังคงหลงเหลืออยู่ในซากนิกาย” เหอเต๋ากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง เขารู้ว่าไม่มีทางชักจูงหลิงฮันได้ถ้าหากไม่เปิดเผยข้อมูลบางอย่างออกไป
“ขนาดแข็งแกร่งอย่างพี่ชายเหอยังจำเป็นต้องมาชวนข้างั้นรึ?” หลิงฮันกล่าว
เหอเต๋ายิ้ม “ที่นั่นมีคลังสมบัติอยู่ มันจะเปิดได้ก็ต่อเมื่อคนเจ็ดคนร่วมมือกัน ยิ่งกว่านั้น คนเจ็ดคนที่ว่าจำเป็นจะต้องบรรลุระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์!”
หลิงฮันตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ‘ต้องมีเงื่อนไขที่สูงขนาดนั้นเพื่อเปิดคลังสมบัติเลยงั้นรึ?’
นิกายโบราณนิกายนี้จะต้องแข็งแกร่งมากเป็นแน่ นิกายสวรรค์เยือกแข็งรวบรวมอัจฉริยะมาจากดวงดาวหลายร้อยดวง แต่ถึงอย่างนั้นจอมยุทธที่สร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้กลับมีเพียงเจ็ดคนจากคนรุ่นใหม่
“ถ้าเช่นนั้น ข้าคิดว่าข้าคงไปได้!” ความสนใจของหลิงฮันถูกกระตุ้น “พวกเราจะเดินทางกันเมื่อใด?”
เหอเต๋าหัวเราะเสียงดังและกล่าว “ไม่จำเป็นต้องรีบ! ดินแดนแห่งนี้อยู่ในการควบคุมของนิกายของเรา ความจริงคือมันเป็นเขตแดนลี้ลับที่จะเปิดทุกร้อยปีซึ่งตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเวลาเปิดอีกครั้งแล้ว พวกเราอาจจะออกเดินทางในอีกครึ่งปี”
สำหรับจอมยุทธระดับพระเจ้า เวลาครึ่งปีเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก
“นิกายต้องการเปิดคลังสมบัติมานานแล้ว แต่เงื่อนไงคนที่จะเปิดและเข้าไปข้างในได้มันเข้มงวดเกินไป ก่อนหน้านี้มีเพียงพวกข้าหกคนที่บรรลุระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์ พวกเราทำได้เพียงถอนหายใจเมื่อต้องปล่อยผ่านคลังสมบัตินั่นไป”
“ถ้าไม่ใช่เพราะคลังสมบัตินั่น เฉินจู๋เอ๋อ สืออันเกาและหวู่เหวินตงคงทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราไปหมดหลายสิบปีก่อนแล้ว เพียงแต่ว่าพวกเขาตั้งความหวังเอาไว้ว่าสักวันจะได้เข้าไปในคลังสมบัตินั่นจึงไม่ทะลวงผ่านระดับเสียที ทุกคนตั้งใจทะลวงผ่านเมื่อสำรวจคลังสมบัติเรียบร้อยแล้ว”
“ฮ่าๆ แต่สวรรค์ก็ทำให้ความปรารถนาเป็นจริงแล้ว ตอนนี้เมื่อมีน้องชายฮันมาร่วมด้วย พวกเราจะได้มีโอกาสเปิดคลังสมบัตินั่นเสียที”
หลิงฮันตกตะลึง “ท่านจะบอกว่าเฉินจู๋เอ๋อ สืออันเกาและหวู่เหวินตง พวกเขาบรรลุระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์อย่างแท้จริงแล้ว?”
เหลือเชื่อ!
ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกเขาต้องมีพลังต่อสู้ไม่น้อยกว่าสิบดาว! หรือก็คือพวกเขามีพลังต่อสู้ที่ทัดเทียมกับจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้น!
เหอเต๋ายิ้มมุมปาก “ทั้งสามคนสร้างภูผาวารีสายที่ห้ามาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว แต่ถ้าเองก็ไม่มั่นใจว่าพวกเขาบรรลุขั้นสมบูรณ์ที่แท้จริงรึยัง”
หลังจากสร้างภูผาลูกที่ห้าสำเร็จพลังต่อสู้ของคนคนนั้นก็จะมากเกินกว่าเจ็ดดาว เมื่อขัดเกลาไปเรื่อยๆจนวารีสายที่ห้าปรากฏก็จะมีพลังต่อสู้จะเพิ่มขึ้นเกินกว่าแปดดาวและเก้าดาว!
หลิงฮันรู้สึกสงสัยและถามออกไป “แล้วพี่ชายเหอล่ะ?”
“เหอๆ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหอเต๋า “ข้าตามหลังพวกเขาอยู่เล็กน้อย ข้าเพิ่มสร้างวารีสายที่ห้าได้เมื่อไม่กี่วันก่อน”
หรือก็คือพลังต่อสู้ของเขาคือเก้าดาว!
เมื่อเทียบกับราชาคนอื่นๆแล้ว อู๋เจ๋อนั้นอ่อนแอที่สุด ภูผาของเขายังไม่ถูกขัดเกลาจนสมบูรณ์อย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นพลังต่อสู้ของเขาก็คงจะไม่เหนือกว่าหลิงฮันแค่เล็กน้อย
‘สมกับเป็นศิษย์ราชา! พวกเขาช่างแข็งแกร่ง’
หลิงฮันไม่กล้าดูถูกหกราชามาตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินการอธิบายจากเหอเต๋าเขายิ่งมองพวกเขาสูงขึ้นไปอีก แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช้ว่าหลิงฮันจะหวาดกลัวพวกเขา เขาเองก็มีไพ่ลับของตัวเองที่ทำให้ไม่ต้องหวาดกลัวใคร
ศิษย์ทุกคนดื่มชาและแลกเปลี่ยนศาสตร์วรยุทธกันต่อ
ชาที่ดื่มเป็นชาที่ดีซึ่งถูกต้มด้วยน้ำคุณภาพยอดเยี่ยม เหล่าอัจฉณิยะที่กินเข้าไปต่างมีแสงสว่างปะทุออกจากร่างกายจากการทำความเข้าใจศาสตร์แห่งเต๋าวรยุทธ
เพียงแต่ว่าก็มีคนที่เป็นข้อยกเว้นเช่นหลิงฮันที่ไม่ปรากฏแสงสว่างปะทุออกจากร่าง
ซึ่งนั่นก็ช่วยไม่เขา ตัวเขาเคยดื่มชากำเนิดใหม่มาก่อนแล้วในทวีปฮงเทียน เพียงแค่ชาที่ต้มจากใบชาหยางจะเกิดผลได้อย่างไร?
ร่างของหลิงฮันกับเหอเต๋าไม่มีแสงปะทุออกมา อีกฝ่ายเองก็เคยดื่มชานี่ชาที่ยอดเยี่ยมกว่านี้มาก่อนแล้ว
ทั้งสองมองหน้ากันและยิ้ม พวกเขาประเมิณอีกฝ่ายสูงยิ่งขึ้นไปอีก
ครืนนน!
ทันใดนั้นเองออร่าที่ทรงพลังก็แพร่กระจายไปทั่วยอดเขาราวกับว่าเทพมารกำลังจุติมาบนโลก ความหนาวเย็นก่อตัวขึ้นในหัวใจของทุกคน
‘ใครกัน?!’
ทุกคนชะงัก ที่นี่คือยอดเขาที่สำคัญของนิกายสวรรค์เยือกแข็ง ใครกันที่กล้าแสดงอำนาจเหิมเกริมเช่นนี้?
ความคิดนี้แวบผ่านเข้ามาในหัวของทุกคนก่อนที่จะมีชายชุดคลุมขาวเดินใกล้เข้ามา สองมือของเขาผาดเอาไว้ที่ด้านหลัง
เขาเป็นบุรุษที่หล่อเหลา ผิวของเขาราวกับหยกชั้นดีและมีร่างกายที่เพรียวบาง บุรุษเช่นนี้ย่อมสามารถทำให้สตรีหลงรักเพียงแค่ชายตามอง
“นะ นายท่านหยาง!” ใครหลายคนอุทานออกมาด้วยความตะลึง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์ แต่พวกเขาก็ยังแสดงท่าทีหวาดกลัวและเคารพเมื่อเห็นหน้าชายคนนี้
หยางฮ่าว สุดยอดอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ เขาบรรลุระดับสุริยันจันทราด้วยอายุเพียงหกร้อยปี ยิ่งกว่านั้นเขายังไร้เทียมทานในหมู่จอมยุทธที่ระดับพลังเท่ากัน อัจฉริยะคนอื่นเป็นเพียงหินรองเท้าให้เขาก้าวขึ้นไป
ตอนนี้เขามีพลังบ่มเพาะระดับอะไรแล้ว? ไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้ๆคือเขาต้องพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดแน่นอน
ระดับสุริยันจันทรากับภูผาวารีนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ต่อให้เป็นจอมยุทธที่บรรลุขั้นสมบูรณ์ของระดับภูผาวารีก็สามารถต่อกรได้เพียงจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต่ำสุด
ศิษย์มากมายยืนขึ้นและโค้งอย่างเคารพให้กับหยางฮ่าว “เคารพนายท่านหยาง!”
ในนิกายสวรรค์เยือกแข็ง เหล่าจอมยุทธที่มีพลังบ่มเพาะสูงกว่ามากจะถูกเรียกว่านายท่านมากกว่าจะถูกเรียกว่าศิษย์พี่หรืออาจารย์
เหอเต๋านิ่งเงียบ เขากำลังจะบรรลุระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์แท้จริงแล้ว การทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราสำหรับเขาเป็นเรื่องง่ายมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องหวาดกลัวหรือเคารพหยางฮ่าว
เพียงแต่ว่าในโลกแห่งการฝึกตนพลังก็ยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ดังนั้นตราบใดที่เขายังไม่ทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราเขาก็จะไม่ยั่วยุหยางฮ่าว
ออร่าแสนโหดเหี้ยมถูกปลดปล่อยออกมาจากหยางฮ่าว เขาเป็นดั่งเทพมารที่ผู้คนทำได้เพียงคุกเข่าแหงนหน้ามอง
เขากวาดสายตาไปรอบๆยอดเขาก่อนจะกล่าวอย่างใจเย็น “คนไหนคือฮันหลิง?”
ตอนที่ 1159
ใครคือฮันหลิง?
หยางเฮ่ามาที่นี่เพื่อหาหลิงฮัน?
หลายคนไม่รู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นยังไง พวกเขาคิดว่าหยางเฮ่าคงได้ยินเรื่องที่ว่าหลิงฮันสามารถเอาชนะอู๋เจ๋อได้ ดังนั้นเขาจึงรีบมุ่งหน้ามาหาหลิงฮัน นี่ทำให้กังสือหยุนเห็นแสงสว่างของความหวังอีกครั้ง
ช่วยไม่ได้ที่นางจะเผยสีหน้ามีความสุข ในที่สุดหยางเฮ่าก็เคลื่อนไหว!
จางหลงไม่สามารถจัดการหลิงฮันได้ แล้วถ้าเป็นหยางเฮ่าล่ะ?
ถ้าหลิงฮันสามารถต่อกรกับหยางเฮ่าได้จริง หากเป็นเช่นนั้นนางก็จะไม่ปรากฏตัวออกมาให้หลิงฮันเห็นตลอดชีวิตที่เหลือของนาง ถ้าเจอเขา นางจะอ้อมหนีทันที
หลิงฮันลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ข้าคือฮันหลิง มีอะไรที่ข้าพอช่วยเจ้าได้บ้าง?”
หยางเฮ่าจ้องมองไปที่หลิงฮันและพูดว่า “ข้ามีสองตัวเลือกให้เจ้าเลือก ข้อแรกส่งค่าเสียหายให้ข้าในฐานะที่เจ้าฆ่าผู้ติดตามของข้าสองคน และให้เจ้ามาเป็นผู้ติดตามของข้า ข้อสองหากข้าเห็นเจ้าเมื่อใด ข้าก็จะทุบตีเจ้าจนกว่าเจ้าจะลาออกจากนิกาย และข้าจะสังหารเจ้าด้วยตัวเอง!
หืม!
ทุกคนตกใจ ก่อนหน้านี้หลิงฮันมีอนาคตที่สดใส เขามีโอกาสสูงมากที่จะกลายเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายสวรรค์เยือกแข็ง แต่ภายในพริบตาสถานการณ์ก็กลับตาลปัตร
เขามีเรื่องกับหยางเฮ่า!
จะเชื่อฟังและยอมเป็นสุนัขรับใช้ของหยางเฮ่าหรือจะออกจากนิกายด้วยคำขู่ฆ่า!
แม้ว่าหยางเฮ่าจะพูดข่มขู่ แต่เขาก็ไม่สามารถฆ่าใครได้จนกว่าหลิงฮันจะออกจากนิกาย แต่ทุกคนทราบดีว่าเมื่อใดที่หลิงฮันออกจากนิกาย หยางเฮ่าจะต้องเริ่มเคลื่อนไหวทันที
หลิงฮันยังมีอนาคตอยู่อีกหรือไม่?
“เจ้าจะเลือกข้อไหน?” หยางเฮ่าถามอีกครั้ง
“ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง พอดีข้าไม่ชอบตัวเลือกทั้งสองข้อนี้!” หลิงฮันส่ายหัว
“มันไม่สำคัญว่าเจ้าจะชอบหรือไม่ชอบ ประเด็นสำคัญคือข้าสร้างตัวเลือกให้กับเจ้า ซึ่งเจ้าทำได้แค่เลือกเท่านั้น!” หยางเฮ่าตะโกนด้วยความไม่พอใจ
เขามีคุณสมบัติดังกล่าว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้างั้นข้าขอเลือกข้อที่สาม – ข้าไม่สนใจตัวเลือกของเจ้า!” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อใดที่ข้าทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทรา ข้าก็จะอยู่ในระดับเดียวกับเจ้า แล้วเมื่อถึงตอนนั้นมันจะเป็นเวลาของเจ้าที่ต้องตัดสินใจเลือก”
ทุกคนแทบกระอักโลหิตเมื่อได้ยิน
แค่มีปัญหากับหยางเฮ่าก็มากพอแล้ว แต่นี่เขายังกล้าพูดจายั่วยุอีกฝ่ายอีก?
หลิงฮันไม่สนใจ ถึงแม้เขาจะลดตัวไปเป็นผู้ติดตามของอีกฝ่าย แต่คิดว่าหยางเฮ่าจะปล่อยเขาไปหรือไม่? แน่นอนว่าไม่!
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แล้วทำไมเขาจะต้องลดศักดิ์ศรีของตัวเองด้วย?
หยางเฮ่าแสยะยิ้มและพูดว่า “เจ้าเป็นคนที่ปากดียิ่งนัก แต่นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าต้องการ!” เขายกมือขึ้นและทันใดนั้นอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็เปล่งแสงสว่างไสว ราวกับท้องฟ้ากำลังจะพังทลาย
แข็งแกร่ง! แข็งแกร่งมาก!
ต่อหน้าคนอย่างเขา ทำให้บุคคลที่ถูกเรียกว่าหกราชาดูกลายเป็นตัวตลกไปเลย
เขาแข็งแกร่งกว่าหกราชามาก!
หลิงฮันแสยะยิ้มและพูดว่า “เจ้าเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา แต่ต้องการต่อสู้กับข้า?”
“แล้วมันทำไม?” หยางเฮ่าไม่สนใจ จากนั้นเขาก็ผลักฝ่ามือโจมตีใส่หลิงฮัน
ตู้ม!
ฝ่ามือที่อัดแน่นด้วยพลังปราณมหาศาลตกลงมาจากท้องฟ้า โดยที่ไม่ใช้ทักษะอะไรทั้งสิ้น แต่การโจมตีครั้งนี้ยิ่งใหญ่ราวกับท้องฟ้ากำลังพังทลาย แม้แต่เหอเต๋าเองก็ยังไม่คิดว่าจะสามารถรับฝ่ามือนี้ได้
จอมยุทธระดับภูผาวารีกับจอมยุทธระดับสุริยันจันทรานั้นแตกต่างกันราวกับสวรรค์และปฐพี เว้นแต่จะมีพลังต่อสู้มากกว่าสิบดาวถึงจะต่อกรกับจอมยุทธระดับสุริยันจันทราได้ แต่ได้แค่จอมยุทธระดับสุริยันขั้นต้นเท่านั้น
แต่หยางเฮ่าคือใคร?
แม้ว่าเขาจะเพิ่งทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทรา แต่เขาก็เป็นสุดยอดอัจฉริยะ แล้วใครจะสามารถต่อกรกับเขาได้?
แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีพรสวรรค์มากแค่ไหนนั้นไม่สำคัญ
เจ้าต้องการทำร้ายข้างั้นหรือ?
ไม่มีทาง!
หลิงฮันนำยันต์อาคมราชสีห์คลั่งออกมา – สุ่ยเยี่ยนยวี่คืนยันต์อาคมราชสีห์คลั่งและยันต์อาคมเหล็กไหลให้กับเขาแล้ว ทันใดนั้นความแข็งแกร่งของหลิงฮันก็พุ่งทะยานไปถึงจุดสูงสุดของระดับสุริยันจันทราในพริบตา
อย่างไรก็ตาม ยันต์อาคมก็เป็นได้แค่ยันต์อาคมเท่านั้น มันผลักดันพลังของเขาให้ถึงจุดสูงสุดของระดับสุริยันจันทรา แต่ยังไม่ใช่ขั้นสมบูรณ์
ปัง!
กำปั้นของหลิงฮันพุ่งทะยานออกไปข้างหน้าพร้อมกับเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำปะทะกับฝ่ามือของหยางเฮ่า
ปัง!
ฝ่ามือและหมัดอัคคีปะทะกัน ทำให้เกิดแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวแพร่กระจายไปทั่วพื้นที่
“หืม?” หยางเฮ่าดูแปลกใจเล็กน้อย “ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมียันต์อาคม! แต่ยังไงก็ตาม มันทำให้เจ้ามีพลังของ…จอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงเท่านั้น ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าว่าพลังแค่นั้นจะหยุดข้าได้อย่างนั้นรึ?”
หยางเฮ่าก้าวไปข้างหน้า ทันใดนั้นพลังที่น่าสะพรึงกลัวก็เอ่อล้นออกมาจากร่างกายผสมผสานกับพลังของอักขระศักดิ์สิทธิ์
“ข้าทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราขั้นสมบูรณ์เมื่อสิบสองปีก่อน!” เขาพูดอย่างภาคภูมิใจ
เมื่อได้ยินแบบนี้ ทุกคนแทบจะเป็นลม ความเร็วในการก้าวหน้าของเขามันน่าสะพรึงกลัวมาก!
“ทำลาย!” หยางเฮ่าโจมตีและมีลำแสงพุ่งออกมาจากนิ้วของเขา
หลิงฮันต่อยหมัดออกไป ตู้ม ลำแสงนั่นถูกทำลายทันที
หืม การโจมตีนี้มัน…เหมือนพลังต่อสู้จะยังไม่มากไปกว่าสามดาว!
หลิงฮันประหลาดใจที่พลังต่อสู้ของหยางเฮ่าเท่ากับเขา ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายทะลวงผ่านขั้นสมบูรณ์แบบของระดับภูผาวารีหรอกหรือ?
เรื่องแบบนี้เป็นไปได้ด้วย?
หลิงฮันคำรามและต่อสู้อย่างดุเดือดกับหยางเฮ่า
แม้หยางเฮ่าจะดูถูกหลิงฮัน แต่เขาก็ไม่กล้าประมาท
หลังจากปะทะกันหลายครั้ง หลิงฮันก็มั่นใจว่าความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าอีกฝ่าย อาจกล่าวได้ว่าพลังของพวกเขาทั้งสองคนเท่ากัน และช่วยไม่ได้ที่เขาจะขอคำแนะนำจากเซียนอู๋เซียง
“เจ้าเด็กโง่!” เซียนอู๋เซียงหัวเราะ “แม้ว่าเจ้าจะเคยเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีที่มีพลังต่อสู้สิบดาว เมื่อใดที่เจ้าทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทรา เจ้าคิดหรือว่าจะรักษาพลังต่อสู้สิบดาวเอาไว้ได้ตลอดอย่างงั้นรึ?”
แบบนี้นี่เอง!
หลิงฮันเริ่มเข้าใจเล็กน้อย “หมายความว่าหลังจากที่ทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราพลังจะลดลง?”
“เจ้าจะใช้คำว่าลดลงไม่ได้ เพราะระดับสุริยันจันทราแข็งแกร่งกว่าระดับภูผาวารีมาก พลังต่อสู้สิบดาวของเจ้าเปรียบได้กับระดับสุริยันจันทราขั้นต้น ดังนั้นหลังจากที่ทะลวงผ่านระดับนี้ พลังต่อสู้สิบดาวของเจ้าจะเหลือหกดาว เหมือนกับตอนที่เจ้าเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติยี่สิบดาว หลังจากที่เจ้าทะลวงผ่านระดับภูผาวารีไม่ใช่ว่าพลังต่อสู้ของเจ้าก็ลดลงหรอกหรือ?” อู๋เซียนเซียงอธิบาย
หลิงฮันเข้าใจว่าสาเหตุหลักคือช่องว่างระหว่างขอบเขตพลังระดับพระเจ้านั้นใหญ่เกินไป ทำให้ความสามารถในการขัดเกลาพลังต่อสู้ลดลงไปมากหลังจากที่ทะลวงผ่าน
จากสิบดาวเหลือหกดาว และหกดาวก็อาจลดเหลือสองสามดาวได้เช่นกัน
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอัจฉริยะห้าดาวถึงหาตัวจับได้ยาก มันค่อนข้างสมเหตุสมผล
ตอนที่ 1160
หยางฮ่าวเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและกล่าว “ถึงแม้พละกำลังของเจ้าจะทัดเทียมกับข้า แต่พละกำลังก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพลังต่อสู้!”
คำพูดของเขาไม่ผิดนัก ยันต์อาคมราชสีห์คลั่งช่วยเพิ่มพละกำลังของหลิงฮันเท่านั้น มันไม่ได้ช่วยเพิ่มความเร็วหรือพลังป้องกัน ยิ่งกว่านั้นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเขาก็ยังเป็นเพียงของระดับภูผาวารี
ดังนั้นระหว่างเขากับหยางฮ่าวจึงยังมีช่องว่างขนาดใหญ่อยู่ดี
การโจมตีเมื่อครู่ของหยางฮ่าวเป็นเพียงการโจมตีออกมาลวกๆ แม้เขาจะใช้พลังของระดับสุริยันจันทราแต่เขาก็ไม่ได้ใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาไม่ยอมอ่อนข้อแล้ว เขาปลดปล่อยอำนาจอันไร้ขีดจำกัดออกมารอบกาย ตัวเขาราวกับเป็นจักรพรรดิที่จุติลงมายังยอดเขาแห่งนี้
“กำราบ!” หยางฮ่าวปล่อยหมัด รูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์อันส่องสว่างทะลักออกมาจากมือเขาราวกับจะเปลี่ยนโลกให้กลายเป็นสีขาวโพลน
เขาถูกทำให้ล่าถอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขามีพละกำลังพอที่จะป้องกันตัวเองจากหยางฮ่าวเท่านั้น เพียงแต่ว่าความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเขาด้อยกว่าอีกฝ่ายหลายขุม
เขานำดาบอสูรนิรันดร์ออกมาด้วยสีหน้าที่เย็นชา
เขาจำเป็นต้องใช้พลังทั้งหมดที่มี ถ้าเขาเอาแต่ปะทะกับหยางฮ่าวโดยตรง ชะตาของเขาคงหนีไม่พ้นความพ่ายแพ้
“เจ้ายังไม่ยอมจำนนต่อข้าอีก?” หยางฮ่าวยกมือขึ้น มือปราณก่อเกิดขนาดมหึมาปรากฏขึ้นกลางอากาศและคว้าไปยังหลิงฮัน คราวนี้มือปราณก่อเกิดมีการสลักรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วนเอาไว้มากมาย มันไม่ใช่มือปราณก่อเกิดที่จะถูกทำลายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
หลิงฮันปลดปล่อยทักษะดาบฟ้าคำราม
ฉัวะ!
ความเร็วของเขาน่าตกตะลึงมาก ด้วยการสนับสนุนจากยันต์อาคมการโจมตีครั้งนี้ของเขาจึงสามารถทดแทนความต่างของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้ เพียงแต่ว่ากายหยาบของเขาไม่สามารถทนทานต่อการโจมตีที่ใช้ออกไป
แกร่ก แกร่ก แกร่ก
เมื่อดาบฟ้าคำรามถูกใช้ออกไป กระดูกหลายส่วนของเขาก็เกิดเสียงแตกร้าว ผิวหนังและกล้ามเนือของเขาฉีกขาดพร้อมกับโลหิตที่สาดกระจายกลางอากาศ
หยางฮ่าวตกตะลึงเล็กน้อย เขายกมือขึ้นมาบังใบหน้าเอาไว้ก่อนที่จะพบว่าบนมือของเขามีรอยเลือดติดอยู่
เพลงดาบเมื่อครู่ของหลิงฮันทำให้เขาบาดเจ็บและทิ้งรอยขีดข่วนเอาไว้ที่ใบหน้า
แม้จะเป็นเพียงบาดแผลเล็กๆน้อยๆ แต่หยางฮ่าวก็ไม่มีทางยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้เด็ดขาด
เขาเป็นราชาผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง แถมพลังบ่มเพาะของเขาก็ยังสูงกว่าหลิงฮันหลายเท่า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังถูกทำให้ได้รับบาดแผล… นี่มันเป็นความอัปยศที่สุดในชีวิต!
แม้หลิงฮันจะทำให้หยางฮ่าวให้รับบาดเจ็บได้ แต่สภาพของเขาย่ำแย่กว่าหยางฮ่าวมากนัก ร่างของเขาชุ่มไปด้วยเลือดราวกับถูกทุบตีมาหลายร้อยครั้ง หยางฮ่าวรู้ดีว่าเขาไม่ได้เป็นคนทำให้หลิงฮันบาดเจ็บแต่หลิงฮันได้รับบาดเจ็บเองจากการที่ไม่สามารถต้านทานพลังของตัวเองไหว
‘ข้าดูถูกเขามากไปหน่อย’ หยางฮ่าวคิดในใจ
เขายืนนิ่งไร้การเคลื่อนไหว แต่ถึงอย่างนั้นรอบกายของเขากลับปลดปล่อยออร่าแสงสีแดงที่ทรงอำนาจออกมาทำให้ผู้คนโดยรอบหายใจไม่ทั่วท้อง
เขาลงมืออีกครั้งโดยการปล่อยฝ่ามือออกไป
หลิงฮันต้องการจะใช้ทักษะบัญญัติดาบไว แต่ก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าการเคลื่อนไหวของเขาถูกผนึกเอาไว้
‘นี่เป็นทักษะลับของหยางฮ่าว?’
ตูม!
ฝ่ามือของหยางฮ่าวเข้าปะทะ ตำแหน่งที่เขาโจมตีเกิดระเบิดราวกับปล่องภูเขาไฟปะทุ หลิงฮันกระอักโลหิตหลายครั้งในขณะที่ร่างของเขาถูกส่งลอยกระเด็นออกไป
เมื่อครู่เขาใช้ยันต์อาคมเหล็กไหลเตรียมเอาไว้ ถ้าไม่ทำเช่นนั้นเกรงว่าสภาพของเขาคงไม่จบอยู่ที่กระอักโลหิต แต่กระดูกทั่วร่างคงแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี
“หืม? ดูเหมือนเจ้าจะมีสมบัติล้ำค่าอยู่ไม่น้อยนะ!” หยางฮ่าวอุทานด้วยท่าทีประหลาดใจ มดปลวดระดับภูผาวารีสามารถดิ้นรนต่อสู้และรับการโจมตีของเขาได้เพียงเพราะยันต์อาคมสองแผ่น เรื่องแบบนี้มันน่าตกตะลึงมากจริงๆ
หลิงฮันโคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ กระดูกที่แตกหักของเขาฟื้นสภาพอย่างรวดเร็วโดยที่เขาไม่คิดจะฟื้นฟูบาดแผลตามร่างกายให้เปล่าประโยชน์ เมื่อกระดูกของเขาใกล้จะฟื้นสภาพเสร็จเขาก็หัวเราะเสียงดังและกล่าว “ข้าจะมีสมบัติอะไรแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า? หยางฮ่าว จงรับดาบของข้า!”
เขาปลดปล่อยทักษะดาบฟ้าคำรามอีกครั้ง ทักษะดาบเปล่งประกายเยือกเย็นเชือดเฉือนผ่านชั้นฟ้า
ครั้งนี้หยางฮ่าวเตรียมตัวเอาไว้แล้ว เขาไขว้แขนป้องกันร่างเอาไว้พร้อมกับสร้างโซ่พลังปราณเป็นรูปกากบาทเพื่อเป็นโล่คุ้มกัน
หลิงฮันใช้ยันต์อาคมเหล็กไหล พลังป้องกันของเขาเพิ่มขึ้นเป็นระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดทำให้ร่างของเขาไม่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของตัวเอง
ดาบของเขาตัดผ่านโซ่พลังปราณรูปกากบาทก่อนที่เม็ดโลหิตจะลอยออกมากลางอากาศ
ใบหน้าของหยางฮ่าวเปลี่ยนเป็นมืดมน เขาถูกทำให้ได้รับบาดแผลอีกแล้ว ครั้งนี้เขามีรอยขีดข่วนที่มือ
แม้แผลจะไม่ลึก แต่เขาถูกทำให้บาดเจ็บถึงสองครั้งจากคนคนเดียว ในมุมมองของเขา เรื่องเช่นนี้เขายอมรับไม่ได้เด็ดขาด!
ถ้าหลิงฮันเป็นจอมยุทธระดับดาราก็ยังพอว่า แต่ประเด็นก็คือเขาไม่ใช่! มดปลวกระดับภูผาวารีทำให้เขามีบาดแผลถึงสองครั้ง นี่มันเรื่องบ้าบอคอแตกสิ้นดี!
หยางฮ่าวกัดฟันแค้น ความโกรธของเขาแปรเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิงพิโรธ เขาโจมตีอีกครั้งโดยการขยับมือเล็กน้อย ทันใดนั้นเมฆสีดำก็ก่อตัวกันบนท้องฟ้าเหนือหัวหลิงฮัน
เปรี๊ยะ…
เส้นสายฟ้าแวบผ่านท้องฟ้า หยางฮ่าวเรียกใช้อำนาจแห่งอัสนี!
ทุกคนตกตะลึงเมื่อเห็นสิ่งนี้ หยางฮ่าวน่าสะพรึงกลัวเกินไป! เขาสามารถเรียกใช้ได้แม้กระทั่งอำนาจของสายฟ้า!
ตูม!
เส้นสายฟ้านับไม่ถ้วนกระหน่ำพุ่งลงใส่หลิงฮันราวกับอสรพิษกำลังเริงระบำ
แม้หลังจากที่เมฆสีดำสลายไปหลิงฮันจะยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่เสื้อผ้าของเขาถูกฉีกขาดกระเซอะกระเซิง ผิวของเขาถูกเผาไหม้เป็นแถบจนเกรียม
ถ้าไม่ใช่เพราะยันต์อาคมเหล็กไหล เป็นไปได้ว่าเขาคงถูกสังหารจากการโจมตีเมื่อครู่แล้ว
หลิงฮันใช้สัมผัสสวรรค์สื่อสารกับจักรพรรดิพิรุณและติงผิงไม่ให้ทั้งสองเข้ามาช่วยเหลือเขาเพราะพลังของพวกเขาด้อยกว่าหยางฮ่าวมาก มันจะเป็นการกระทำที่โง่มากหากพวกเขาระงับอารมณ์ไม่อยู่และเข้ามายุ่งกับการต่อสู้นี้
แต่เขาก็รู้สึกสับสนไม่น้อยเช่นกัน นิกายมีกฎว่าห้ามศิษย์ที่ระดับพลังสูงกว่าทำร้ายศิษย์ที่ระดับพลังต่ำกว่า เพียงแต่ว่าการต่อสู้ที่ดุเดือดก็เริ่มมาสักพักแล้ว เขาทำใจเชื่อไม่ลงว่าจะไม่มีผู้อาวุโสคนใดสังเกตเห็น
เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่ก้าวออกมาเพื่อห้ามการต่อสู้ทั้งๆที่สังเกตเห็นแล้ว นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
ร่างของหลิงฮันโงนเงนก่อนที่จะกระอักโลหิตคำโตออกมา
เขาไม่ใช่ระดับสุริยันจันทราที่แท้จริง ดังนั้นเมื่อต้องสู้กับอัจฉริยะอย่างหยางฮ่าวเขาจึงเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมาก
แต่ว่าไม่มีใครเลยที่จะดูถูกเขาเพราะเรื่องนี้ ในทางกลับกันทุกคนรู้สึกยกย่องเขาด้วยซ้ำ เขาเป็นสัตว์ประหลาดที่แท้จริง! เขาสามารถและเปลี่ยนกระบวนท่ากับหยางฮ่าวได้แถมยังทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดแผลถึงสองครั้ง!
ถ้าระดับพลังของทั้งคู่เท่ากัน… หลิงฮันจะต้องมีพลังที่สามารถบดขยี้หยางฮ่าวที่เป็นตำนานไร้เทียมทานได้อย่างไม่เหลือซากแน่นอน!
“เจ้ายังไหวรึไม่?” หยางฮ่าวถามด้วยรอยยิ้มเย็นชา เขาไม่รู้สึกอายแม้แต่น้อยที่สู้กับคนที่อ่อนแอกว่า ในสายตาของเขา เขาแค่กำลังเหยียบย่ำมดปลวกให้ตายเท่านั้น ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นมดปลวกทำไมเขาจะต้องเก็บมาใส่ใจด้วย?
หลิงฮันหัวเราะลั่นก่อนจะกล่าว “ทำไมข้าจะไม่ไหวล่ะ?”
จิตวิญญาณต่อสู้ของเขาลุกโชน
หยางฮ่าวเค้นเสียงด้วยความไม่พอใจ ที่จริงเขาหวังให้หลิงฮันยอมสยบต่อเขา เขายอมรับว่าต่อให้หลิงฮันจะอ่อนแอกว่าเขาแต่อีกฝ่ายก็ทิ้งความหวาดกลัวไว้ในจิตใจของเขาเช่นกัน ถ้าในอนาคตพลังบ่มเพาะของพวกเขาเท่ากันล่ะ? ดังนั้นเขาจึงต้องการให้อีกฝ่ายสยบต่อเขา เพียงแต่ว่าเขาไม่นึกว่าหลิงฮันจะดื้อด้านเพียงนี้
เขารู้สึกปราบปลื้มกับการที่นิกายปฏิบัติต่อเขาเป็นพิเศษมาก แต่ถึงอย่างนั้นนิกายก็ไม่มีทางยอมให้เขาสังหารใครโดยพลการ ที่เขาสามารถโจมตีหลิงฮันให้ก็เป็นเพราะเขามีเหตุผลอันสมควร ผู้ติดตามของเขาถูกหลิงฮันสังหาร ดังนั้นนิกายจึงยอมให้เขาลงมือบ้างเล็กน้อย แต่พวกเขาไม่มีทางยอมให้เขาสังหารศิษย์นิกายเดียวกันแน่นอน
หลิงฮันเป็นสุดยอดอัจฉริยะ นิกายได้ตั้งความหวังไว้กับเขาสูงมาก นี่เป็นอีกเหตุผลที่ว่าทำไมนิกายถึงยอมให้หยางฮ่าวโจมตีหลิงฮัน พวกเขาไม่ต้องการให้หลิงฮันอวดดีในพลังของตนเองจนเกินไป
‘เอาเถอะ ข้าจะเหยียบย่ำอัจฉริยะตรงหน้าให้เขาลืมบทเรียนในวันนี้ไม่ลงเลย ข้าจะบดขยี้เขาให้ถึงขนาดที่ว่าเขาจะต้องหวาดกลัวข้าทุกครั้งที่พบหน้าในอนาคต!’
หยางฮ่าวขยับแขนทั้งสองข้างควบคุมโซ่พลังปราณให้เคลื่อนไหวไปมากลางอากาศ
ตอนที่ 1161
หยางฮ่าวเหนือกว่าหลิงฮันในทุกๆด้าน
ต่อให้เป็นพลังป้องกันจากยันต์อาคมเหล็กไหลหลิงฮันก็ยังได้รับบาดแผลจำนวนมาก ถ้าไม่ใช่เพราะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์เขาคงยืนผงาดอยู่ไม่ได้จนถึงตอนนี้
ศิษย์โดยรอบอดชื่นชมความทรหดของหลิงฮันไม่ได้
ไม่เพียงแค่พลังป้องกัน ความสามารถในการฟื้นฟูของเขาก็ยังน่าตกตะลึง แต่ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดคือกลังใจของเขา
ต่อให้เป็นคนที่มีพลังบ่มเพาะเท่าหยางฮ่าวพ่ายแพ้ให้กับหยางฮ่าวก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจหรือน่าอัปยศอะไร ดังนั้นถ้าหากดูจากพลังบ่มเพาะของหลิงฮันที่ต่ำกว่าหยางฮ่าวหลายเท่านั้น เขาจะเป็นฝ่ายแพ้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติมาก
ในเมื่อเป็นแบบนั้น เหตุใดเขาจะต้องดิ้นรนขนาดนี้?
ต่อให้ฝืนต่อไปหลิงฮันก็ไม่ต่างอะไรกับกระสอบทราย เขาสามารถสร้างรอยแผลให้กับหยางฮ่าวได้ ต่อให้เป็นเพียงรอยแผลเล็กๆ แต่บาดแผลก็คือบาดแผล การที่เขาทำให้ขนาดนี้ก็ถือว่าน่าอัศจรรย์มากแล้วแท้ๆ ลองเป็นศิษย์คนอื่นที่มีระดับพลังต่ำกว่าดาราดูสิ จะมีใครบ้างที่เท่าเช่นนี้ได้?
สุดท้ายหลิงฮันต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แน่นอน แต่เขาก็แพ้อย่างมีเกียรติ ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้ว!
“เจ้าจะดิ้นรนได้ถึงเมื่อไหร่?” หยางฮ่าวกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา ในความเป็นจริงเขาสามารถโจมตีหลิงฮันได้รุนแรงกว่านี้ แต่เขาจงใจรั้งพลังเอาไว้เพื่อทรมานหลิงฮันให้นานยิ่งขึ้น
สถาระราชาของเขาถูกทำให้มัวหมอง! เรื่องนี้ไม่อาจยอมปล่อยไปได้!
จิตวิญญาณต่อสู้ของหลิงฮันลุกโชนยิ่งขึ้นในขณะที่เช็ดเลือดมุมปาก เขาไม่ใช่คนที่จะยอมถูกทุบตีอย่างเสียเปล่า การสู้กับศัตรูเช่นนี้ช่วยให้เขาเข้าใจทักษะดาบฟ้าคำรามได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
เขาอยากจะสู้ต่อแต่ว่าอำนาจของยันต์อาคมราชสีห์คลั่งกับยันต์อาคมเหล็กไหลใกล้จะหมดแล้ว
‘ข้าจะทำอย่างไรต่อไปดี?’
‘หรือข้าต้องเข้าไปซ่อนตัวในหอคอยทมิฬจริงๆ? แต่นั่นจะเป็นการเปิดเผยความลับของอุปกรณ์มิติระดับศักดิ์สิทธิ์! ถ้าหากเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย เกรงว่าว่าปรมาจารย์สามวิถีอาจจะรู้สึกสนใจในเรื่องนี้…’
“พอแค่นั้น!” เสียงคำรามอันเย็นชาดังขึ้น
หยางฮ่าวหันไปมองยังต้นเสียงและพบกับสตรีคนหนึ่งที่ดูงดงามและไร้เดียงสา เพียงแต่ว่าพลังบ่มเพาะของนางคือระดับภูผาวารีเท่านั้น นางมีสิทธิ์อะไรมาออกคำสั่งกับเขา?
เขาเมินเฉยนางและปล่อยฝ่ามือใส่หลิงฮันอีกครั้ง
ปัง!
ประกายแสงแวบผ่านขึ้นมาวูบหนึ่ง ร่างของสตรีปรากฏอยู่ด้านหน้าหลิงฮันอย่างลึกลับ มืออันเพรียงบางของนางยกขึ้นและสลายการโมตีจากฝ่ามือได้อย่างง่ายดาย
หยางฮ่าวตกตะลึงจนถึงขีดสุด นางไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าสตรีผู้นี้ปรากฏตัวมาอยู่ด้านหน้าหลิงฮันได้อย่างไร!
‘มีบางอย่างผิดปกติ!’ เขาอุทานในใจ
ออร่าของสตรีตรงหน้าปั่นป่วนไม่มั่นคง นางเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีอย่างเห็นได้ชัดแต่แรงกดดันที่ปล่อยออกมาจากร่างของนางกลับทำให้จิตใจของเขาสั่นสะท้าน ที่จริงเขาถึงขนาดเกิดความรู้สึกหวาดกลัวเลยด้วยซ้ำ
มันเป็นแรงกดดันจากจอมยุทธที่ระดับพลังสูงกว่า
เป็นไปได้อย่างไร?
เขาเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา ดังนั้นอีกฝ่ายจะต้องเป็นระดับดาราถึงจะสามารถกดดันเขาได้ แต่สตรีตรงหน้าน่ะรึจะเป็นจอมยุทธระดับดารา? ช่างน่าขัน!
เขาปฏิเสธที่จะเชื่อว่านางเป็นจอมยุทธระดับดารา
หยางฮ่าวโจมตีอีกครั้ง ครั้งนี้เขาผลักฝ่ามือเข้าใส่สตรีตรงหน้า
“ข้าบอกให้พอ! เจ้าแส่หาที่ตายรึไง?” สีหน้าอันเยือกเย็นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางและตอบโต้กลับไปด้วยฝ่ามือ
ตูม!
หยางฮ่าวถูกส่งลอยกระเด็น โลหิตสาดกระจายออกมาจากร่างของเขาก่อนจะร่วงลงพื้นและแน่นิ่งไม่ขยับ
เขาถูกซัดจนหมดสติ
ศิษย์ทุกคนบนยอดเขารู้สึกราวกับใบหน้าของตนเองบิดเบี้ยว พวกเขาไม่อยากจะเสื้อสิ่งที่ตาของพวกเขาเห็น
สตรีรุ่นเยาว์ผู้เป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์ที่เพิ่งเข้าร่วมกับนิกาย ก่อนหน้านี้ไม่ได้ได้ทำตัวโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่ตอนนี้ล่ะ? เพิ่งเพิ่งจะซัดร่างของหยางฮ่าวกระเด็นด้วยฝ่ามือเดียว! พลังของนางต้องน่าสะพรึงกลัวระดับไหน?
“นะ นางเป็นใครกัน? ไม่ใช่ว่านางแข็งแกร่งเกินไปรึไง…”
“นางคือหูเฟยหยิน นางมาจากจักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะของดาวเฟยหยุน”
“ใช่แล้ว นางคือราชีนีที่เก้าของจักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะ”
“ไม่น่าเชื่อ! ไม่ใช่ว่านางเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีรึไง? เหตุใดจอมยุทธระดับภูผาวารีถึงได้แข็งแกร่งผิดมนุษย์ขนาดนั้น?”
“เอ่อ… ฮันหลิงเองก็เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารี เขาเองก็แข็งแกร่งผิดมนุษย์เหมือนกันไม่ใช่รึ”
“แต่นั่นมันต่างกัน!”
ทุกคนเต็มไปด้วยความรู้สึกตกตะลึง พวกเขายังพอรับได้ในความแข็งแกร่งของหลิงฮันที่เกิดจากการใช้ยันต์ แต่ในกรณีของหูเฟยหยินล่ะ? พลังของนางไม่ใช่แค่ระดับสุริยันจันทราแต่อาจจะเป็นระดับดารา!
พวกเขายอมรับความจริงเรื่องนี้ไม่ได้ จอมยุทธระดับภูผาวารีไม่มีทางแข็งแกร่งได้ขนาดนั้นต่อให้กินโอสถศักดิ์สิทธิ์เข้าไป!
มีเพียงหลิงฮันคนเดียวที่รู้ว่าสตรีผู้นี้ไม่ใช่หูเฟยหยินแต่เป็นจักรพรรดินีที่เข้าควบคุมร่าง
เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดินีมีความรู้สึกเป็นห่วงเขาอยู่ในจิตใจ เมื่อเห็นเขาถูกทำร้ายนางจึงออกมาปกป้องสามีของตนเอง!
‘เหอๆ แม้จะปากจะแข็งแต่จิตใจอ่อนโยน ข้าชอบจริงๆ’
หยางฮ่าวฟื้นสติกลับมาและมองไปยังหูเฟยหยินด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ นางปล่อยฝ่ามือออกมาลวกๆแต่เขากลับพ่ายแพ้หมดสภาพ ที่จริงเขาไม่มีเวลาให้ตอบโต้ใดๆเลยด้วยซ้ำ ความต่างของเขากับนางมันกว้างใหญ่ขนาดไหนกัน?
เขาสมควรจะไร้เทียมทานในหมู่จอมยุทธระดับพลังเดียวกันแท้ แต่ตอนนี้ล่ะ? มีทั้งจอมยุทธระดับภูผาวารีที่ต่อต้านเขาได้ด้วยความยากลำบาก กับอีกคนที่ซัดเขาจนหมดสภาพด้วยฝ่ามือเดียว เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
“เจ้าสนุกกับการต่อสู้เมื่อครู่รึเปล่า?” หูเฟยหยินถามอย่างเย็นชา ตอนนี้เป็นจักรพรรดินีแห่งดาราที่ควบคุมร่างอยู่ นางโจมตีออกไปในขณะที่เพิ่งถามคำถามกับหยางฮ่าว
ตูม!
ร่างของหยางฮ่าวลอยกระเด็นกลางอากาศ โลหิตของเขาสาดกระจายอีกครั้ง ครั้งนี้พลังชีวิตจำนวนมากของเขาเริ่มแห้งเหือดลงไป
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนถึงขั้นที่รากฐานการบ่มเพาะพลังของเขาได้รับผลกระทบ
ชายวันกลางคนปรากฏตัวและกล่าว “ฮึ่ม อย่าได้มากเกินไป!”
ด้านหลังของชายวัยกลางคนมีจอมยุทธระดับดาราอีกสองคนบินตามมา พวกเขาทั้งสองทำหน้าที่คุ้มกันหยางฮ่าว
ถึงแม้ก่อนหน้านี้หยางฮ่าวจะลงมือ แต่เขาก็แค่ต่อสู้เพื่อลดความอวดดีของหลิงฮัน แต่ตอนนี้หย่างฮ่าวได้ถูกโจมตีจนส่งผลต่อพลังชีวิต เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้ไม่ได้เพราะหยางฮ่าวถูกนิกายตั้งความหวังเอาไว้สูงมาก
“เจ้ากล้าหยุดข้า?” จักรพรรดินีแห่งดารากล่าวอย่างเยือกเย็น อำนาจอันไร้ที่สุดสิ้นปะทุออกมาจากร่างของนาง
ชายวัยกลางคนยิ้ม “เจ้าคือจักรพรรดินีแห่งดาราสินะ? เจ้าคงจะทิ้งจิตวิญญาณบางส่วนเอาไว้บนร่างของสตรีผู้นี้เพื่อป้องป้องนาง เพียงแต่ว่ามันก็เป็นแค่จิตวิญญาณบางส่วนเท่านั้น ข้าไม่อยากลงมือจนถึงขั้นต้องลบจิตวิญญาณที่เจ้าสลักเอาไว้ทิ้งไป ทำไมพวกเราไม่แยกย้ายกันไปแต่โดยดีล่ะ?”
ใครจะไปเดาได้ว่าจักรพรรดินีแห่งดาราเป็นเผ่าเก้าอสรพิษ?
มุมปากของจักรพรรดินียกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่โหดเหี้ยมและกล่าว “เจ้าก็ลองดูสิ!”
นางเป็นสตรีที่มีคุณสมบัติแห่งผู้ปกครองเหนือสรรพสิ่ง นางไม่รีรอและใช้ฝ่ามือโจมตีออกไปทันที อำนาจแห่งระดับดาราระเบิดออกมารอบตัวนางอย่างรุนแรงราวกับสวรรค์จะพังทลาย ดวงดาราจะร่วงหล่นลงมา
สีหน้าของชายวันกลางคนเปลี่ยนไปทันที ‘เหตุใดนางถึงได้ทรงพลังเพียงนี้?!’
เขาไม่มีเวลาให้คิดและรีบป้องกันการโจมตีของนางอย่างรวดเร็ว
ปัง!
เขาถูกจักรพรรดินีแห่งดาราซัดจนร่างลอยกระเด็น
ทุกคนชะงักจนพูดอะไรไม่ออก
ตอนที่ 1162
ชายวัยกลางคนผู้นี้มีขื่อว่าเว่ยเจ๋อเฉิง เขาเป็นจอมยุทธระดับดาราขั้นกลางและมีชื่อเสียงมากในนิกาย
ทั้งที่อยู่ในนิกายสวรรค์เยือกแข็ง ยังมีคนที่กล้าโจมตีใส่เขา ใครจะทำใจเชื่อเรื่องนี้ได้กัน?
และคนที่โจมตีเขานั้นทำไปเพื่อปกป้องศิษย์ที่เป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีเท่านั้น!
มันน่าเหลือเชื่อ
ไม่ว่าหยางเฮ่าจะแข็งแกร่งหรือมีพรสวรรค์มากแค่ไหน เขาก็เป็นแค่จอมยุทธระดับสุริยันจันทรา มันจะเทียบกับจอมยุทธระดับดาราได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตามความพ่ายแพ้ของหยางเฮ่าทำให้ทุกคนตกตะลึง แล้วตอนนี้เว่ยเจ๋อเฉิงยังมีพ่ายแพ้อีก นี่ทำให้พวกเขาแทบจะไม่อยากเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้น
เว่ยเจ๋อเฉิงพยายามลุกขึ้นยืนและกัดฟันแน่น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ หากเป็นจักรพรรดินีแห่งดาราหายนะมาที่นี่ด้วยตัวเอง นางจะแข็งแกร่งขนาดไหน?
“ข้ายอมรับว่าความแข็งแกร่งของเจ้านั้นน่าทึ่งมาก แต่ที่นี่คือนิกายสวรรค์เยือกแข็ง!’ เว่ยเจ๋อเฉิงกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว
จักรพรรดินีแห่งดาราหายนะเพิกเฉยเขาอย่างสมบูรณ์ นางลุกขึ้นยืนพรางสะบัดมือและพูดว่า “ถ้าเจ้าเลี้ยงสุนัขและปล่อยให้ไปไล่กัดคนอื่น ข้าจะเลาะฟันของมัน!”
ช่วยไม่ได้ที่หยางเฮ่าจะรู้สึกอับอาย นี่เขาถูกเรียกว่าสุนัข!
แต่ตอนนี้เขาสามารถพูดโต้แย้งอะไรได้หรือเปล่า?
นางคือจักรพรรดินีแห่งดาราหายนะ!
หยางเฮ่าจ้องมองไปที่หลิงฮันด้วยความเกลียดชัง เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะชายคนนี้ที่ทำให้เขาต้องอับอายขายหน้าในที่สาธารณะ!
หลิงฮันยิ้มให้กับหยางเฮ่า จักรพรรดินีแห่งดาราหายนะคือภรรยาของเขา มันสมควรแล้วที่เขาจะได้รับความช่วยเหลือจากนาง
ใครขอให้เจ้ามาข่มข้าด้วยระดับพลังที่สูงกว่ากันล่ะ?
หากเป็นการต่อสู้ในระดับเดียวกัน เขาจำเป็นต้องกลัวใครด้วยหรือ?
เว่ยเจ๋อเฉิงเผยสีหน้าแห่งความโกรธ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจักรพรรดินีแห่งดาราหายนะ ทำให้เขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ และทำได้แค่กลืนคำพูดลงไปในคอ
นี่คือความแตกต่างระหว่างผู้ที่แข็งแกร่งกว่าและผู้ที่อ่อนแอกว่า
“จงจำคำพูดของข้าเอาไว้!” จักรพรรดินีแห่งดาราหายนะหันไปเหลือบมองหยางเฮ่าอีกครั้ง จากนั้นนางก็หลับตาลงและลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แล้วแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวของนางก็หายไป
ใช่แล้ว หูเฟยหยินกลับมาเป็นเหมือนเดิม
“หืม ทำไมพวกเจ้าถึงจ้องมองข้าแบบนั้น?” หูเฟยหยินกล่าวด้วยใบหน้าที่สับสนอย่างไร้เดียงสา
ช่วยไม่ได้ที่ทุกคนจะดูแปลกใจ ใครจะคิดว่าหญิงสาวที่ไร้เดียงสาจะมีอีกด้านหนึ่งที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น
ถึงแม้ว่ากลิ่นอายของจักรพรรดินีแห่งดาราหายนะจะหายไปแล้ว แต่เว่ยเจ๋อเฉิงก็ไม่กล้าทำอะไรหูเฟยหยิน เขาเพียงแค่จ้องมองนาง จากนั้นก็คว้าตัวหยางเฮ่าและลงจากยอดเขา
– เพราะเขาถูกจักรพรรดินีโจมตีสองครั้ง ถึงแม้เขาจะไม่ตาย แต่หยางเฮ่าก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งร้ายแรงกว่าหลิงฮันสิบถึงยี่สิบเท่า
นี่คือความประสงค์ของนาง หากเจ้าทำร้ายคนของข้า ข้าก็จะทำให้เจ้าชดใช้สิบเท่า!
“นางช่างเป็นคนที่น่าเกรงขามยิ่งนัก!” หลิงฮันกล่าวในใจ “ข้าไม่แปลกใจเลยที่ข้าจะไม่ได้แต่งงานกับนางจนกว่าข้าจะกลายเป็นจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่ง มิฉะนั้นข้าคงถูกพลังของนางข่มอยู่ตลอดและเป็นรอง ในฐานะที่ข้าเป็นชายชาตรี ข้าจะเป็นรองนางได้อย่างไร?”
หลังจากที่เรื่องทุกอย่างจบลง ทุกคนก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ต่อและแยกย้ายจากไปทีละคน
“ศิษย์พี่ฮัน ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าข้าจะไปพูดคุยกับท่าน” เหอเต๋ากล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็โบกมือซ้ายและเดินจากไป
หลิงฮันพยักหน้าและพูดว่า “ไว้ค่อยพูดคุยกันวันหลัง”
“ศิษย์พี่ฮัน ท่านรู้จักชายที่ชื่อหลิงฮันหรือไม่?” เส้าสือสือและคนอื่นเดินเข้ามาหาและจ้องมองหลิงฮัน
เขาเองก็เป็นคนที่มีกายหยาบน่าสะพรึงกลัว พวกเขาไม่เชื่อว่าจะมีสัตว์ประหลาดแบบนั้นอยู่สองตัวบนโลก นอกจากนั้น ชายคนนี้ยังเรียกตัวเองว่าฮันหลิน ไม่ใช่หลิงฮันหรอกหรือ?
“ข้าเดาว่าอาจเป็นเจ้า แต่ก็ไม่สามารถทำใจเชื่อได้ นั่นเป็นเพราะเมื่อสองปีก่อนเจ้ายังอ่อนแอกว่าข้า” ซูจิงพูดด้วยอารมณ์ “หลังจากนานไม่นานเจ้าก็เหนือกว่าพวกเราทุกคน เรื่องแบบนั้นจะให้พวกเราทำใจเชื่อได้อย่างไร?”
“หึหึ มันเป็นเพราะโชคชะตา!” หลิงฮันกล่าว
“หากไม่ใช้กำลังคงไม่ได้คำตอบ!”
“พาเขาไปดื่มให้เมา!”
“ใช่แล้ว ถ้าเขาเมาจะต้องพูดความจริงแน่!”
พวกเขาดึงหลิงฮัน จักรพรรดิพิรุณแะติงผิงไปดื่มด้วยกัน แต่ที่ทำให้หลิงฮันแปลกใจคือเซี่ยอู๋เซียตามพวกเขาไปด้วย ทั้งที่ตอนแรกพวกเขาเป็นศัตรูกัน แต่โดยไม่คาดคิดอีกฝ่ายจะเปลี่ยนความคิดที่มีต่อหลิงฮัน
ด้านล่างนิกายสวรรค์เยือกแข็งมีเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งอยู่ ซึ่งมีร้านอาหารและทุกอย่างให้บริการ
เมื่อพูดถึงเขตแดนลี้ลับ มีหลายคนที่รู้เรื่องพวกนั้น
“ที่เจ้าพูดมันน่าจะเป็นเขตแดนลี้ลับ” เส้าสือสือพยักหน้า
“อย่างไรก็ตาม แม้แต่ปรมาจารย์สามวิถียังเข้าไปไม่ได้ หากพวกเราเข้าไปจะไม่ตายอยู่ที่นั้นหรอกหรือ”
“แต่ยังไงมันก็มีทักษะลับมากมายตั้งแต่สมัยโบราณกาล บวกกับเม็ดยาและสมุนไพรระดับสูง นี่ทำให้มันน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้น”
“เพราะมีเพียงแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ ดังนั้นจึงมีหลายคนที่ยังไม่ทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราเพื่อแสวงหาโชคก่อนที่จะทะลวงผ่าน”
“แต่ข้าได้ยินมาว่าบางคนถูกขั้นลดระดับพลังของตัวเองเพื่อให้สามารถเข้าไปในเขตแดนลี้ลับ”
“ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้” เซี่ยอู๋เฉียนกล่าว “และถึงแม้ข้าจะลดระดับพลังของตัวเอง ข้าก็สามารถยกระดับความแข็งแกร่งได้หากใช้เม็ดยาบางอย่าง นอกจากนั้นข้ายังเข้าใจพลังแห่งกฎเกณฑ์ของระดับสุริยันจัทราอยู่แล้ว ดังนั้นข้าจึงใช้พลังของระดับสุริยันจันทราได้”
“เทียบเท่ากับว่ายังเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา!”
ตอนที่ 1163
หลิงฮันประหลาดใจเล็กน้อย ต้องทำถึงขนาดนั้นเพื่อเข้าไปในเขตแดนลี้ลับเลยรึ? นี่เป็นข้อยืนยันว่าสถานที่แห่งนั้นน่าอัศจรรย์ขนาดไหน ไม่เช่นนั้นทำไมขุมอำนาจที่ทรงพลังเหล่านั้นถึงต้องเตรียมการมากมายด้วย?
“จากที่ดูๆแล้ว ข้าจะติดสอบห้อยตามไปกับพวกเจ้าเมื่อดินแดนลี้ลับเปิดก็แล้วกัน” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
พวกเขาเหล่านี้เป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจที่ทรงพลัง ดังนั้นพวกเขาจะต้องรู้ข้อมูลของเขตแดนลี้ลับเป็นอย่างดีแน่นอน หลิงฮันไม่เชื่อว่าขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาจะนิ่งเฉยเมื่อเขตแดนลี้ลับเปิดออก
บางทีเหล่าจอมยุทธที่ลดพลังของตนเองลงมาเป็นระดับภูผาวารีอาจจะติดตามพวกเขาเข้าไปในเขตแดนลี้ลับด้วย
“ฮ่าๆๆ!” เส้าซือซือและคนอื่นๆหัวเราะ
“น้องชายหลิง หากเจ้าเข้าร่วมกับจักรวรรดิพันเหมันต์เกรียงไกรของข้าล่ะก็ เจ้าสามารถขออะไรก็ตามใจต้องการ!” เส้าซือซือกล่าวด้วยแววตาเปล่งประกาย รอบกายของนางเต็ฒไปด้วยบรรยากาศอันยั่วยวน
ข้อเสนอกับสายตายของนางราวกับจะบอกว่า “ข้ายอมแพ้กระทั่งจะแต่งงานกับเจ้า”
“ฮ่าๆ น้องชายหลิง ข้ามีน้องสาวอยู่คนนึง นางเป็นสตรีงดงามถึงขนาดที่ทุกแคว้นต่างเมืองล้วนไล่ตามนาง!” ตูอันกล่าวอย่างเร่งรีบ “เจ้ากับนางเป็นคู่สร้างคู่สมที่สวรรค์ประทาน! ข้ารับประกันเลยว่าข้าสามารถมอบตำแหน่งใหญ่โตให้กับเจ้าได้”
“เข้าร่วมจักรวรรดิของข้าแล้วพวกเราจะกลายเป็นพี่น้องร่วมสาบาน!” เซี่ยอู๋เฉียนกล่าว
หลิงฮันแสดงพรสวรรค์ออกมาให้ประจักษ์แล้ว การได้ตัวเขามาคุ้มค่ากับข้อเสนอที่กล่าวออกไป
ถึงแม้หลิงฮันจะล่วงเกินหยางฮ่าว แต่หยางฮ่าวก็เป็นเพียงจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา พื้นเพของอีกฝ่ายก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าของพวกเขา กล่าวได้ว่าตราบใดที่หยางฮ่าวไม่ทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว
หรือต่อให้เขาสามารถบรรุระดับวารีนิรันดร์ได้จริงๆ แต่นั่นจะเป็นระเวลาอีกกี่ปีให้หลัง?
หย่างฮ่าวใช้เวลาน้องกว่าพันปีในการบรรลุระดับสุริยันจันทราก็จริง แต่ความต่างในการทะลวงผ่านไปยังระดับสวรรค์นั้นจะยกระดับความยากขึ้นอีกหลายเท่า ดังนั้นจึงไม่ต้องกล่าวถึงระดับวารีนิรันดร์เลย ในจักรวาลแห่งนี้มีระดับวารีนิรันดร์เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
หลิงฮันเปลี่ยนเรื่องเลี่ยงไม่ตอบข้อเสนอของพวกเขา เขามีขุมอำนาจของตัวเองอยู่แล้ว จะให้เขาไปเข้าร่วมกับจักรวรรดิอื่นได้อย่างไร? ถ้าหากเขาต้องเข้าร่วมจริงๆขุมอำนาจที่ว่าก็ต้องเป็นAnchorจักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะ
นั่นเพราะจักรพรรดินีเป็นของเขาแล้ว!
เมื่อการรวมตัวเสร็จสิ้น หลิงฮันก็ไปพบจักรพรรดิพิรุณ เฟิงโผหยุน มู่หรงซิงและเฮอเหลียนเทียนหยุนเพื่อกินดื่มอีกครั้ง
ตอนนี้หลิงฮันมาถึงแล้วดังนั้นพวกเขาจึงสามารถบ่มเพาะพลังภายใต้ต้นสังสารวัฏได้อีกครั้ง
ในขณะเดียวกัน หลิงฮันได้พาสุ่ยเยี่ยนยวี่หลบไปยังทุ่งดอกไม้ที่ห่างไกลออกไปจากต้นสังสารวัฏ
“ภรรยาข้า ลูกของเขาช่างโชคดีนัก!” หลิงฮันกล่าวด้วยสีหน้าชื่นชมพร้อมกับใช้มือขยำไปยังหน้าอกคู่งามของนาง
หน้าอกของเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนมีขนาดเล็กเกินไปเมื่อเทียบกันแล้ว ถือว่าบุตรของโชคดีมากที่ไม่อดตายเพราะหน้าอกขนาดเล็กของนาง
ถึงแม้พวกเขาจะเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว สุ่ยเยี่ยนยวี่ก็ยังเคอะเขิน ใลหน้าของนางแดงเผือดและกัดเข้าที่ข้อมือของเขา “เจ้าคนลามก!”
“เหอๆ ภรรข้า ข้าชอบที่เจ้าเป็นแบบนี้จริงๆ” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เจ้าเป็นสตรีที่มีความงดงามอันเย้ายวน แต่เจ้าก็มีนิสัยที่เขินอายได้ง่าย”
“ฮึ่ม! โรคจิต!”
…
หลังจากการต่อสู้กับอู๋เจ๋อและหยางฮ่าว หลิงฮันก็กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วนิกายสวรรค์เยือกแข็ง ถึงแม้หูเฟยหยินจะแสดงอำนาจที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าหลิงฮัน แต่ทุกคนรู้ว่านั่นเป็นพลังจากเสี้ยวจิตวิญญาณที่ทิ้งเอาไว้บนร่างของนาง พลังที่แท้จริงของนางจัดอยู่ในระดับธรรมดาเท่านั้น
เช้าวันต่อมาผู้คนนับไม่ถ้วนแห่กันมาทักทายหลิงฮัน พวกเขาต้องการเป็นสหายกับเขาหรือไม่อย่างน้อยก็แค่อยากรู้จักกับเขา
หลิงฮันไม่ทำท่าทีหยิงยโสต่อคนเหล่านั้น กลับกันเขาพูดคุยล้อเล่นอย่างสนุกสนานกับพวกเขา…
นั่นเพราะในสายตาของเขา คนเหล่านี้คือถุงเงินเดินได้!
เหล่าศิษย์ที่เข้าร่วมกับนิกายสวรรค์เยือกแข็งได้นั้น ดั้งเดิมพวกเขาล้วนแต่เป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจที่ทรงพลัง สิ่งเดียวที่พวกเขามีอย่างไม่ขาดแคลนคือเงินทอง
เขาจำเป็นต้องหาเงินจำนวนมาก เพราะงั้นเขาจึงมุ่งมั่นใช้เวลาไปกับการปรุงยา เมื่อใดที่เขาปรุงยาสำเร็จ คนเหล่านี้ก็จะกลายมาเป็นลูกค้าของเขา
หลิงฮันยิ้มแย้มด้วยความสุข
ท่าทีของเขาต้อนรับทุกคนอย่างอบอุ่นทำให้เหล่าคนที่มาหาต่างรู้สึกปลาบปลื้ม พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าหลิงฮันจะเป็นกันเองและถ่อมตัวเช่นนี้
ในขณะเดียวกัน สุ่ยเยี่ยนยวี่ส่ายหัวด้วยความเวทนา นางรู้จักนิสัยของหลิงฮันดี นางเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังคิด คนเหล่านั้นกำลังถูกปฏิบัติราวกับเป็นหมูในอวยที่รอวันเฉือดขาย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขากลับคิดไปเองว่าหลิงฮันเป็นคนถ่อมตัวไม่หยิ่งยโส พวกเขากำลังจะถูกใช้เป็นแหล่งหาผลประโยขน์ของเขา
แต่พอนางลองมาคิดถึงตัวเอง ไม่ใชว่ว่านางก็เคยคิดเช่นนั้นและถูกเขากุมหัวใจหรอกรึ?
“เจ้าอันธพาล!” น้ำเสียงของนางทั้งอับอายและอ่อนหวาน
“อะแฮ่ม ท่านคือศิษย์พี่ฮันสินะ ข้าพูดถูกรึไม่?” ชายชุดเขียวเดินเข้ามาใกล้ แววตาของเขาแสดงออกถึงความตกตะลึงเมื่อกวาดสายตามองไปยังสุ่ยเยี่ยนยวี่ เขาชำเลืองมองนางอีกครั้งก่อนจะหันสายตากลับมายังหลิงฮัน
ความประทับใจแรกพบของหลิงฮันที่มีต่อชายชุดเขียวตกไปอยู่ในระดับต่ำสุดทันที “ถูกแล้ว ข้าคือฮันหลิง” เขากล่าวอย่างไม่แยแส
ชายชุดเขียวยิ้มอย่างอวดดีและกล่าว “ข้าคือกายหยงซือ ข้ามาจากกองกำลังก่าว”
“อะไรคือกองกำลังก่าว?” หลิงฮันเกลียดเวลาที่มีคนแสดงท่าทีอวดดีต่อหน้าเขา เขารู้สึกไม่สบอารมณ์เวลามองไปยังใบหน้าที่หยิ่งยโสของชายชุดเขียว
ท่าทีของกายหยงซือยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและกล่าว “ศิษย์พี่ฮัน ท่านไม่รู้งั้นรึ? นิกายสวรรค์เยือกแข็งของเราที่จริงแล้วแบ่งออกเป็นหายกองกำลัง ผู้ก่อตั้งนิกายรับศิษย์ทั้งหมดเก้าคน ซึ่งกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดเก้ากองกำลังได้ถูกนำโดยศิษย์ทั้งเก้า กองกำลังก่าวก็เป็นหนึ่งในเก้ากองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด”
หลิงฮันตกตะลึงเล็กน้อย ปรมาจารย์สามวิถีไม่ได้มีความคิดจะปกครองจักรวาล แต่ดูเหมือนศิษย์ทั้งเก้าของเขาจะไม่ใช่พวกรักสงบเสียเท่าไหร่
เมื่อใดที่ปรมาจารย์สามวิถีสิ้นอายุขัย จักรวาลแห่งนี้จะต้องตกอยู่ในสงครามอันยุ่งเหยิงเป็นแน่ ประวัติศาสตร์ของจักรวลจะถูกเขียนขึ้นมาใหม่
“แล้วไง?” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส
ร่องรอยความโกรธปรากฏขึ้นบนใบหน้าของกายหยงซือ หลิงฮันได้ยินแล้วไม่ใช่รึว่าเขามาจากกองกำลังก่าว? กองกำลังที่ถูกตั้งขึ้นโดยหนึ่งในศิษย์ของปรมาจารย์สามวิถี… แต่ถึงอย่างไรกายหยางซือก็พยายามระงับความโกรธเอาไว้และตั้งสมาธิไปกับเป้าหมายที่เขามาในวันนี้ “ข้าเป็นตัวแทนของนายน้อยมาเชิญศิษย์พี่ฮันเข้าร่วมกองกำลังก่าวของพวกเราเป็นกรณีพิเศษ”
ตอนที่ 1164
“ข้าไม่สนใจ” หลิงฮันพูดโดยไม่ต้องคิดและปฏิเสธทันที
กายหยางซือกล่าว “ศิษย์พี่ฮัน ท่านจะไม่เก็บไปคิดหน่อยหรือ?”
“หูของเจ้ามีปัญหาเลยไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือมันเป็นเพราะสมองของเจ้ามีปัญหากันแน่?” หลิงฮันถาม
กายหยางซือรู้สึกเหลือเชื่อ หรือว่าเขาจะอธิบายไม่ชัดเจน?
“ศิษย์พี่ฮัน ท่านรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของกองกำลังก่าวหรือไม่?” เขาคิดว่าต้องอธิบายเพิ่มเติม “นายท่านก่าว ผู้นำของกองกำลังก่าวคือหนึ่งในสี่ศิษย์ของปรมาจารย์สามวิถี เขาเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงและในอนาคตมีโอกาสสูงมากที่เขาจะทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์!”
“ส่วนผู้นำกลุ่มย่อยของกองกำลังก่าวของพวกเรา ก่าวฮวงตอนนี้เป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูง และในอนาคตเขาจะกลายเป็นปรมาจารย์ยุทธระดับดารา!”
หลิงฮันอยากจะหัวเราะ แค่จอมยุทธระดับดาราก็เรียกตัวเองว่าปรมาจารย์ยุทธแล้ว?
ช่างหยิ่งยโส!
เขาส่ายหัวและพูดว่า “เจ้าพูดพล่ามจบหรือยัง?”
“ฮันหลิง เจ้าไม่ควรปฏิเสธ นายน้อยของข้าไม่อาจยอมรับคำปฏิเสธของเจ้าได้!” กายหยงซือกล่าว
“เจ้าพูดแบบนั้นมันทำให้ข้ากลัวเหลือเกิน!” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
กายหยงซือโกรธ ชายคนนี้กล้าพูดจาลองดีกับก่าวฮวง? เขาเค้นเสียงและพูดว่า “ถ้าเจ้าทำให้นายน้อยไม่พอใจ เจ้าจะไม่สามารถเดินเล่นในนิกายสวรรค์เยือกแข็งได้! เจ้าควรรู้เอาไว้ว่านายน้อยของข้าฝึกฝนมานานกว่าสามแสนปี และกลายเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงแล้ว และจะสามารถทะลวงผ่านระดับดาราได้ภายในล้านปีอย่างแน่นอน!”
นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่ง
แม้ว่าเวลาสามแสนปีจะนานมาก แต่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงนั้นจะมีอายุขัยสี่แสนปี จอมยุทธระดับสุริยันจันทราสามารถมีอายุขัยได้มากถึงสี่ล้านปี การที่เขาทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสามแสนปีนั้นถือว่าไม่ธรรมดา
แต่หลิงฮันไม่คิดอย่างนั้น ใช้เวลาสามแสนปีเพื่อทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราขั้นสูงอาจเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะ อย่างไรก็ตามถ้าอยู่ในนิกายสวรรค์เยือกแข็งก็ไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาและไม่อาจเรียกว่าอัจฉิรยะได้
เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือที่นี่คือแหล่งรวมอัจฉิรยะ
หลิงฮันโบกมือและพูดว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าพูดจบแล้วก็เชิญไสหัวไปได้แล้ว อย่าให้ข้าต้องไล่ออกไป”
กายหยงซือโกรธจนตัวสั่น เจ้าเด็กนี่อวดดีเกินไปแล้ว!
“จ..เจ้าทำตัวอวดดีเกินไปแล้ว แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ!” กายหยงซื่อกล่าวด้วยความเกรี้ยวกราด
แววตาของหลิงฮันส่องประกายเย็นชา “เจ้ากล้าข่มขู่ข้างั้นรึ?” เขาหันหน้าไปพูดกับสุ่ยเยี่ยนยวี่ว่า “ภรรยาข้า หากมีแขกมาที่บ้านข้าและพูดจาข่มขู่ข้า เจ้าคิดว่าข้าควรทำเช่นไรดี?”
“แน่นอน ไล่มันออกไป!” สุ่ยเยี่ยนยวี่พูดโดยไม่ต้องคิด เมื่อได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของหลิงฮันก็ปรากฏรอยยิ้มขณะที่เขาหันไปจ้องมองกายหยงซื่อ
“เจ้าคิดจะทำอะไร!” กายหยงซื่อรู้สึกหนาวเย็นเหมือนเป็นลางว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
“ส่งแขก!” หลิงฮันปล่อยฝ่ามือออกไป ตู้ม ทำให้อีกฝ่ายกระเด็นไปไกล
เขารู้สึกโกรธจริงๆ ทั้งที่เจ้ามาที่บ้านของข้า แต่ยังกล้าพูดจาข่มขู่ข้าอีก นี่ถือเป็นการไม่ไว้หน้าหรือไม่?
“จ..เจ้าอย่าได้ลืมว่าข้าเป็นคนของนายน้อยก่าว” กายหยงซือกรีดร้อง
“หรือเจ้าจะไม่พอใจ?” หลิงฮันทำท่าจะลงมืออีกครั้ง
กายหยงซือเป็นแค่คนหยิ่งยโส หลังจากที่ถูกฝ่ามือของหลิงฮันเมื่อครู่ เขาก็รีบร้องขอความเมตตาและไม่กล้าพูดอะไรอีก
หลิงฮันหยุดมือและพูดว่า “ถ้าเจ้าก้าวผ่านประตูนี้อีกครั้ง ข้าจะหักขาของเจ้า เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจ! ข้าเข้าใจแล้ว!” กังหยงซือพยักหน้าอย่างรวดเร็ว และตอนนี้เขาคิดแค่ว่าจะหลบหนีออกไปจากที่นี่เท่านั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้างั้นไสหัวไปได้แล้ว!” หลิงฮันโยนกังหยงซือออกไป
กังหยงซือรีบลุกขึ้นยืนและไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อ หลังจากวิ่งออกมาหลายร้อยเมตร เขาก็หันหลังกลับไปมองและดูเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นสีหน้าที่เย็นชาของหลิงฮัน ช่วยไม่ได้ที่เขาจะกลืนคำพูดเหล่านั้นลงไปในคอทันทีและรีบวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
“น่าเบื่อ!’ หลิงฮันส่ายหัว
สุ่ยเยี่ยนยวี่เองก็ส่ายหัวและพูดว่า “ถ้าเจ้าต้องการปฏิเสธ ทำไมเจ้าต้องทำให้เรื่องมันเลวร้ายด้วย?”
“เจ้านั่นทำตัวหยิ่งยโสเกินไปและต้องการจะเอาชนะข้าให้ได้” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม
สุ่ยเยี่ยนยวี่ถอนหายใจ นางรู้ดีว่าหลิงฮันเป็นคนยังไง เขาเองก็เป็นคนที่ภาคภูมิใจในตัวเองสูงและมีความก้าวหน้าที่เหมือนกับการโปยบิน
“ยังไงเจ้าก็ต้องระวังตัวด้วย” นางทำได้แค่พูดเตือนหลิงฮันเท่านั้น
ถึงหลิงฮันจะเป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์ แต่ก็มีหลายกองกำลังในนิกายสวรรค์เยือกแข็ง เขาจะต้องระมัดระวังตัวเองหลังจากออกจากนิกาย
แต่หลิงฮันมีหอคอยทมิฬ ซึ่งมากพอที่เขาจะปกป้องตัวเองได้
เมื่อนางคิดเช่นนั้น มันก็ทำให้นางหายห่วง
หลิงฮันออกจากที่พักและไปที่เมืองที่อยู่เชิงเขา เขาอยากรู้จะสามารถหาสูตรปรุงยาใหม่ๆได้จากที่นี่หรือไม่
– ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว เหลือเพียงแค่สมุนไพรระดับสูงที่รอให้เขาหลอมเป็นเม็ดยาเท่านั้น แล้วเขาก็จะได้รับผลึกก่อเกิดจำนวนมาก
เขามาที่เมือง แล้วหลังจากที่เดินสำรวจเป็นวงกลม ก่อนที่เขาจะหยุดอยู่ที่ร้านค้าแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า ร้านตระกูลโม่
“ร้านตระกูลโม่?” หลิงฮันเดินเข้าไป ในตอนที่เขาถูกลอบสังและหลงทางอยู่ในอวกาศ เป็นคนจากตระกูลโม่นั่นเองที่ช่วยพาเขามาส่งที่ดาวหนานเฟิง
“นายน้อย ไม่ทราบว่าท่านกำลังตามหาอะไรอยู่งั้นหรือ? พวกเรามีทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเม็ดยา สมุนไพร วัสดุดิบ เพียงแค่ท่านเปิดปากพูดไม่มีอะไรที่พวกข้าไม่สามารถหามาได้!” พนักงานร้านกล่าว
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ถ้างั้นที่นี่มีสูตรปรุงยาขายหรือไม่?”
“สูตรปรุงยา?” พนักงานเผยสีหน้าประหลาดใจ
ตำราจำพวกทักษะยุทธ เทคนิคบ่มเพาะพลัง สูตรปรุงยาและรูปแบบอาคมนั้นไม่ค่อยมีใครขายเพราะความพิเศษของพวกมัน
“ไม่มีอย่างนั้นหรือ?” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม
“มันจะไม่มีได้อย่างไร!” พนักงานรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีจำนวนที่จำกัดมาก ราคาของมันจึงแพงเป็นพิเศษ”
“ข้าไม่สนว่ามันจะถูกหรือแพง” หลิงฮันกล่าว สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือเงิน เพราะเขาต้องการซื้อแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์เพื่อยกระดับดาบอสูรนิรันดร์ ซึ่งมันต้องใช้แร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์มหาศาล และราคาของแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์นั้นมากแค่ไหนกัน?
“คนที่ต่ำต้อยอย่างข้าคงไม่ตัดสินใจเรื่องพวกนั้นด้วยตัวเอง เช่นนั้นข้าขอตัวไปรายงานให้เฒ่าแก่ทราบเรื่องก่อน” ชายคนนี้ไม่กล้าตัดสินใจเอง
“ตกลง!” หลิงฮันพยักหน้า
หลังจากนั้นไม่นาน หลิงฮันก็เห็นชายชราคนหนึ่งเดินออกมา ซึ่งเขาเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูง หลังจากที่ชายชราเห็นหลิงฮัน เขาก็ยิ้มออกมาทันทีและพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นนายน้อยฮันนี่เอง!”
หลิงฮันดูแปลกใจและพูดว่า “ท่านรู้อย่างนั้นหรือว่าข้าเป็นใคร?”
“แน่นอน นายน้อยฮันเป็นดาวดวงใหม่แห่งนิกายสวรรค์เยือกแข็ง ข้าจะไม่รู้เรื่องพวกนั้นได้อย่างไร? จริงสิ ไม่ทราบว่านายน้อยฮันต้องการซื้อสูตรปรุงยาอย่างนั้นหรือ?” ชายชรากล่าวชมหลิงฮัน
“ใช่” หลิงฮันพยักหน้า
“ข้าขอเสียมารยาทที่ถาม หรือว่านายน้อยฮันอยากปรุงยาด้วยตัวเอง?” ดวงตาของชายชราเปล่งประกาย
ตอนที่ 1165
หลิงฮันลังเลชั่วขณะ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตระกูลโม่เคยช่วยเหลือเขาไว้เขาก็ไม่ปกปิดความจริงและกล่าวออกไป “ถูกแล้ว ข้าจะหลอมเม็ดยาด้วยตัวเอง”
ชายชราตกตะลึงก่อนที่รอยยิ้มจะกว้างขึ้น “นายน้อยฮัน ชายชราผู้นี้ต้องการทำธุรกิจกับนายน้อย… จริงสิ แซ่ของข้าเองก็เรียกว่าฮัน ช่างบังเอิญอะไรเยี่ยงนี้! ส่วนชื่อของข้าคือหั่ว”
“โอ้ ที่แท้ก็คือผู้จัดการฮันนี่เอง” หลิงฮันกล่าวทักทายก่อนจะกล่าวต่อ “แล้วผู้จัดการฮันต้องการจะทำธุรกิจอะไรกับข้ารึ?”
“ข้าสามารถมอบตำราเม็ดยาให้นายน้อยได้โดยไม่คิดเงิน เพียงแต่ว่าเมื่อนายน้อยหลอมเม็ดยาสำเร็จ ข้าต้องการให้นายน้อยขายเม็ดยาผ่านพวกเราเท่านั้น”
หลิงฮันชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะรู้สึกนับถือในตัวของฮันหั่ว
‘สมกับเป็นนักธุรกิจ’
หากดูแล้วจะเหมือนผู้จัดการฮันเป็นคนใจกว้าง แต่ตำราเม็ดยานั้นเป็นทรัพยากรที่เรียกว่าไร้ค่าหากขายไปแล้ว เพราะอย่างไรมันก็สามารถถูกคัดลอกได้อย่างง่ายดาย ดั้งนั้นต่อให้เขามอบให้หลิงฮันร้านค้าตระกูลโม่ก็ไม่เสียหายอะไร
ยิ่งกว่านั้นต่อให้เขาไม่ได้รับส่วนแบ่งจากเม็ดยาที่หลิงฮันนำมาขาย พวกเขาก็ยังใช้เม็ดยาของหลิงฮันในการเรียกลูกค้าได้
เม็ดยาเป็นทรัพยากรที่ขาดไม่ได้สำหรับจอมยุทธ และในช่วงที่จอมยุทธเดินทางมาซื้อเม็ดยา พวกเขาอาจจะซื้อสินค้าชิ้นอื่นติดไปด้วย ต่อให้พวกเขาซื้อสินค้าชิ้นอื่นแค่ชิ้นเดียว ตระกูลโม่ก็ยังได้รับผลประโยชน์อยู่ดี
ด้วยเหตุผลข้างต้น พวกเขาจึงอยากสร้างสายสัมพันธ์กับหลิงฮันที่เป็นสุดยอดอัจฉริยะ
‘ไม่น่าแปลกใจที่ตระกูลโม่สามารถขยายสาขาไปทั่วจักรวาลได้ พวกเขามีความสามารถในการคว้าโอกาสเอาไว้และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนเอง’
เพียงแต่ว่าฮันหั่วไม่ได้รับรู้เลยว่าข้อเสนอที่จริงใจของเขาจะนำผลประโยชน์มาให้ร้านค้าโม่มากมายขนาดไหน… หลิงฮันคือจักรพรรดิปรุงยา!
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ไม่มีปัญหา! ข้าขอขอบคุณผู้จัดการฮันล่วงหน้าสำหรับตำราเม็ดยา!”
ฮันหั่วรู้สึกดีใจทันทีที่ได้ยินคำตอบของหลิงฮัน ที่จริงเขาไม่ได้หวังอะไรในตัวหลิงฮันมากขนาดนั้น เขาเพียงต้องการสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับหลิงฮันที่เป็นสุดยอดอัจฉริยะเท่านั้นเอง
ในส่วนที่หลิงฮันบอกว่าเขาสามารถหลอมเม็ดยาได้นั้น ผู้จัดการฮันไม่ได้เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรในโลกนี้จะมีคนที่อัจฉริยะขนาดนั้นได้อย่างไร? ถ้าใครคนใดคนหนึ่งมีพรสวรรค์ในวรยุทธ พวกเขาก็คงไม่มีพรสวรรค์ในด้านการปรุงยาหรอกจริงไหม?
ดังนั้นที่เขาให้สูตรเม็ดยากับหลิงฮันจะเรียกว่าการประจบก็ไม่ผิดนัก
“นายน้อยฮันต้องการตำราเม็ดยาระดับไหน?” ฮันหั่วถาม
“ระดับห้า” หลิงฮันกล่าวตอบ เขาสามารถหลอมเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ได้แล้ว เพราะงั้นเป้าหมายต่อไปของเขาก็คือการหลอมเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับห้า
ฮันหั่วเผลอก้าวถอยหลังด้วยความตกใจ ‘ระดับห้า?!’
‘ถ้าเจ้าอยากจะโอ้อวด แค่เม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งก็เพียงพอแล้วไม่ใช่รึไง? มีเหตุผลอะไรที่ต้องเป็นถึงเม็ดยาระดับห้า? ต่อให้เจ้าเป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์ของนิกายสวรรค์เยือกแข็งหรือต่อให้เจ้าได้รับทรัพยากรมากมาย การปรุงยาก็จะผลาญทรัพยากรที่เจ้ามีจนเกลี้ยง โดยเฉพาะในกรณีของเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง’
หลิงฮันยิ้มกว้างพร้อมกับหยิบขวดเม็ดยาออกมาและส่งให้กับผู้จัดการฮัน “เม็ดยาเหล่านี้คือเม็ดยาสวรรค์ครามเร้นลับและเม็ดยาหยกฟ้าที่ข้าหลอมเอง ข้าขอฝากผู้จัดการฮันขายพวกมันให้ข้าหน่อย”
ฮั่วหั่นสับสนเล็กน้อยในขณะที่รับขวดเม็ดยามา หลังจากที่เขามองดูเม็ดยาเขาถึงเพิ่งรู้ว่าหลิงฮันไม่ได้ล้อเล่น
เม็ดยาสวรรค์ครามเร้นลับ… นี่มันเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่!
‘เฮือก! หรือว่าหลิงฮันจะเป็นนักปรุงยาจริงๆ? แถมยังระดับสูงอีกด้วย?’
เขาไม่กล้าทำเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่นๆและรีบเปิดขวดตรวจสอบเม็ดยาอย่างระเอียด
ตระกูลโม่นั่นขายสินค้าทุกอย่างทุกชนิด ดังนั้นฮันหั่วจึงมีความรู้ในด้านปรุงยามากพอสมควร เขารู้ทันทีว่าเม็ดยาเหล่านี้เป็นอย่างที่หลิงฮันกล่าวไม่ผิด พวกมันเป็นเม็ดยาของจริง
‘ฮันหลินหลอมเม็ดยาพวกนี้เองจริงๆรึ?’
ฮันหั่วเลือกที่จะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เพราะอย่างไรเขาก็พยายามจะสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับหลิงฮันอยู่ไม่ใช่รึ? เขาพยักหน้าและกล่าว “นายน้อยฮันโปรดรอสักครู๋ ข้าจะนำตำราเม็ดยามาให้นายน้อยเดี๋ยวนี้ เนื่องจากเป็นสูตรเม็ดยาที่ล้ำค่า ข้าเลยไม่ได้เก็บไว้กับตัวเพราะเกรงว่าจะทำหาย”
“ไม่ต้องกังวล ข้าเข้าใจผู้จัดการฮันดี”
ฮันหั่วเดินหายไปสักพักก่อนจะกลับมายื่นตำราเล่มเล็กๆให้กับหลิงฮัน
หลิงฮันรับมันมาและมองดูหน้าปกที่มีคำว่า ‘เม็ดยาเจ็ดเพลิงลอยล่อง’ เขียนเอาไว้ เขาอ่านเนื้อหาคร่าวๆและพบว่าแทบจะเก้าในสิบส่วนของหนังสือเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับวัตถุดิบที่จำเป็นและขั้นตอนการหลอมเม็ดยา
การจะหลอมเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงนั้นซับซ้อนมาก ตำราเม็ดยาจะกินพื้นที่ทั้งเล่มก็ไม่แปลก
‘เม็ดยาเจ็ดเพลิงลอยล่องสามารถยกระดับพลังต่อสู้ให้กับจอมยุทธที่บ่มเพาะทักษะธาตุเพลืงได้ถึง… สองดาว!’ หลิงฮันตกตะลึงเมื่ออ่านคำอธิบายเม็ดยา
แม้เม็ดยานี้จะไม่มีประโยชน์ต่อเขา แต่ถ้าเขาหลอมมันได้สำเร็จเม็ดยาเหล่านี้ก็จะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับจอมยุทธที่บ่มเพาะทักษะธาตุเพลิง
ยิ่งกว่านั้นเหล่าจอมยุทธระดับสุริยันจันทราย่อมไม่คาดแคลนเงินทอง พวกเขาสามารถซื้อเม็ดยานี้ได้แน่นอน
“นายน้อยฮัน นายน้อยคิดว่าตำราเม็ดยานี้เป็นอย่างไรบ้าง?” ฮันหั่วกล่าว
“ใช้ได้!” หลิงฮันกล่าวและพยักหน้า
“ข้าขอแนะนำนายน้อยฮันเล็กน้อย เม็ดยาเจ็ดเพลิงลอยล่องเป็นเม็ดยาที่หลอมยากมาก ข้าได้ยินมาว่าแม้แต่นักปรุงยาระดับหกที่ไม่สามารถหลอมมันขึ้นมาได้ก็มีจำนวนมหาศาล ดังนั้นอย่าได้ใช้เวลาไปกับเม็ดยานี้มากเกินไป เพราะอย่างไรนายน้อยฮันก็เป็นอัจฉริยะในด้านวรยุทธ”
“ข้าเข้าใจ” หลิงฮันกล่าวตอบ ผู้จัดการฮันแนะนำเขาด้วยความหวังดี เขาจึงไม่รู้สึกโกรธอีกฝ่าย แถมคำพูดของเขาก็ไม่ผิดอะไร ไม่ว่าจะอย่างไรการบ่มเพาะพลังก็สำคัญที่สุด
เพียงแต่ว่าฮันหั่วไม่รับรู้ว่าหลิงฮันครอบครอบต้นสังสารวัฏ ต้นไม้ต้นนี้คือสิ่งที่ท้าทายสวรรค์!
พวกเขาพูดคุยถึงเงื่อนไขการทำการค้าร่วมกันเมื่อหลิงฮันสามารถหลอมเม็ดยาเจ็ดเพลิงลอยล่องได้สำเร็จ
ฮันหั่วคาดหวังในตัวหลิงฮันมากนักดังนั้นเขาจึงเสนอผลประโยชน์ให้หลิงฮันถึงเก้าในสิบส่วน ที่จริงเขาตั้งใจจะมอบผลประโยชน์ให้หลิงฮันคนเดียวเลยด้วยซ้ำ แต่เป็นตัวหลิงฮันเองที่เสนอหนึ่งส่วนให้กับเขา
ฮันหั่วไม่เชื่อจริงๆว่าหลิงฮันจะหลอมเม็ดยานี้สำเร็จ เขาจึงไม่คิดอะไรมากและรับข้อเสนอที่ว่าแบบขอไปที
หลิงฮันซือวัตถุดิบสมุนไพรที่จำเป็นต่อการหลอมเม็ดยาเจ็ดเพลิงลอยล่องเดินทางกลับนิกายสวรรค์เยือกแข็ง
เขาเข้าหอคอยทมิฬไปศึกษาตำราเม็ดยาภายใต้ต้นสังสารวัฏทันที
ขั้นตอนในการหลอมเม็ดยานั้นไม่ได้เข้าใจยากอะไร ต่อให้เป็นคนธรรมดาก็สามารถเลียนแบบขั้นตอนเหล่านี้ได้
เพียงแต่ว่าการควบคุทรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์กับสมุนไพรต่างหากที่ยากลำบาก มันไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ทำได้ มีเพียงคนที่มีสัมผัวสวรรค์ที่แข็งแกร่งและควบคุมได้อย่างเชี่ยวชาญเท่านั้นถึงจะทำได้
ที่จริงขั้นตอนควบคุมรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์นั้นมีความเป็นไปได้อยู่หลายล้านวิธี ดังนั้นหากเป็นคนธรรมดาต่อให้พวกเขาใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่สามารถเรียนรู้มันได้ ต่อให้เป็นนักปรุงยาระดับห้าหรือหกก็ต้องใช้เวลาหลายร้อยปีในการเรียนรู้
เพราะงั้นจึงสามารถเข้าใจได้ว่าทำไมฮันหั่วถึงไม่คิดว่าหลิงฮันจะสามารถหลอมเม็ดยานี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ
แต่ตรงกันข้าม หลิงฮันนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เขามีต้นสังสารวัฏ!
ใบไม้ของต้นสังสารวัฏพลิ้วไหวในขณะที่หลิงฮันกำลังทำสมาธิ เขาจำลองการหลอมเม็ดยาในใจครั้งแล้วครั้งเล่า
หนึ่งวัน สองวัน สามวัน… วันเวลาค่อยๆผ่านไป
ตอนที่ 1166
หนึ่งวันของโลกภายนอกเท่ากับอยู่ใต้ต้นสังสารวัฎหนึ่งปี!
เจ็ดวันต่อมา หลิงฮันเริ่มลงมือหลอมเม็ดยาเจ็ดเพลิงลอยล่องเป็นครั้งแรก ซึ่งผลลัพธ์แน่นอนว่าเขาหลอมล้มเหลว
มันยังคงมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างสิ่งที่คิดและความเป็นจริง
เมื่อหลอมเม็ดยาล้มเหลว หลิงฮันไม่ฝืนหลอมเม็ดยาต่อ แต่เขาเลือกที่จะนั่งสมาธิเป็นเวลาสองวัน
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเขาใช้เวลาทั้งหมดสองปีเพื่อหาจุดที่ล้มเหลว แล้วหลังจากนั้นเขาก็เริ่มหลอมเม็ดยาเจ็ดเพลิงลอยล่องเป็นครั้งที่สอง แต่ก็ล้มเหลวเหมือนเดิม
ทว่าครั้งนี้หลังจากที่หลิงฮันเรียนรู้จากความล้มเหลว ทำให้เขาเริ่มจับจุดได้เล็กน้อยและเริ่มหลอมเม็ดยาครั้งที่สาม
ประสบความสำเร็จ!
อย่างไรก็ตาม เขาหลอมเม็ดยาได้แค่สองเม็ดเท่านั้น
ในทางทฤษฎี หากหลอมเม็ดยาเจ็ดเพลิงลอยล่องหนึ่งครั้งสามารถหลอมเม็ดยาได้มากที่สุดสี่เม็ด แต่หลิงฮันหลอมสำเร็จครั้งแรกเขาหลอมได้แค่สองเม็ด ด้วยอัตราสำเร็จครึ่งหนึ่ง นี่แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เรื่องเรื่อง และเมื่อหลิงฮันจ้องมองเม็ดยาที่หลอมสำเร็จสองเม็ด มันก็ทำให้เขาไม่ค่อยพอใจยิ่งขึ้นไปอีก
เพราะคุณภาพของมันไม่ได้สูงมากนัก
หลิงฮันเกิดบันดาโทสะโยนและอยากโยนเม็ดยาทั้งสองเม็ดทิ้ง ในฐานะที่เขาเป็นจักรพรรดินักปรุงยา ถ้าเม็ดยาที่เขาหลอมขึ้นมามีคุณภาพต่ำแบบนี้เขาจะมีหน้าไปพบคนอื่นได้อย่างไร? แต่ในขณะที่เขายกมือกำลังโยนเม็ดยาทิ้ง เขาก็ลดมือลง
น่าเสียดาย! อย่างน้อยเม็ดยาทั้งสองเม็ดนี้ก็สามารถขายได้หนึ่งหมื่นผลึกก่อเกิด
“ทำไมข้าถึงรันทดขนาดนี้?” หลิงฮันลูบคางและจ้องมองดาบอสูรนิรันดร์ นี่เขาจะต้องเสียเงินมากแค่ไหนกว่าจะยกระดับดาบอสูรนิรันดร์ให้ไปอยู่จุดสูงสุด
“แต่ยิ่งมันทรงพลังมากขึ้นเท่าไหร่ มันก็คุ้มค่ากับการลงทุนที่เสียไป!”
“ลองอีกครั้ง!”
หลิงฮันซื้อวัตถุดิบปรุงยาทั้งหมดห้าชุด ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากซื้อเพิ่ม แต่เงินที่มีนั้นน่าสงสารเกินไป
การหลอมยาครั้งที่สี่ หลินฮันสามารถหลอมเม็ดยาเจ็ดเพลิงลอยล่องได้สามเม็ดในครั้งเดียว ส่วนในครั้งที่ห้า เขาสามารถหลอมได้ทั้งหมดสี่เม็ด แต่อย่าคิดว่าเขาก้าวหน้าเร็วเชียว นั่นเป็นเพราะหลังจากที่หลิงฮันหลอมยาเสร็จแต่ละครั้ง เขาจะนั่งสมาธิใต้ต้นสังสารวัฎเพื่อลบข้อบกพร่อง
ดังนั้น การหลอมเม็ดยาครั้งที่ห้าอาจเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเม็ดยาและคุณภาพ
“ข้าไม่รู้ว่าถ้าเฒ่าแก่ฮันเห็นจะตกใจสิ่งที่เกิดขึ้นนี้หรือไม่?” หลิงฮันยิ้ม
เพียงแค่หนึ่งเดือน เขาสามารถหลอมเม็ดยาเจ็ดเพลิงลอยล่องได้ทั้งหมดเก้าเม็ด ซึ่งมีสี่เม็ดจัดว่ามีคุณภาพดีเยี่ยม
“ระดับบ่มเพาะพลังของข้าก้าวหน้าขึ้นไม่มากนัก แต่พลังวิญญาณแกร่งกล้าขึ้นมาก” หลิงฮันพูดพึมพัม หลังจากที่เขาใช้เวลาหลอมเม็ดยาเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่มีเวลาฝึกฝนบ่มเพาะพลัง
“ยังไงก็ตาม ข้าคงต้องเอาเม็ดยาไปขายก่อน เพื่อหารายได้ให้มากพอที่จะยกระดับดาบอสูรนิรันดร์เป็นระดับสี่”
หลิงฮันออกมาจากหอคอยทมิฬ แต่หลังจากที่ออกมาเขาก็ได้ยินฟานรู่พูดว่ามีผู้คนจากกองกำลังก่าวมาที่นี่หลายครั้ง แต่เพราะหลิงฮันเก็บตัวฝึกฝนอยู่ พวกเขาจึงทำได้แค่จากไป แต่พวกเขาได้ทิ้งข้อความเอาไว้ว่าก่าวฮวงนั้นโกรธเกรี้ยวมากและต้องการมาที่กองกำลังก่าวด้วยตัวเอง ซึ่งเส้นตายที่ก่าวฮวงกำหนดเอาไว้คือ…เมื่อวานเป็นวันสุดท้าย
“ไร้สาระ” หลิงฮันส่ายหน้าและไม่เก็บเรื่องพวกนั้นมาใส่ใจ จากนั้นเขาก็เดินออกไป
หลิงฮันเดินไปที่เมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่เชิงเขาและไปที่ร้านค้าตระกูลโม่
“นายน้อยฮัน!” ฮันหั่วบังเอิญอยู่ชั้นล่างพอดี เมื่อเขาเห็นหลิงฮัน มันทำให้เขารู้สึกตกใจ ทำไมหลิงฮันถึงมาที่นี่อีกครั้ง?
หรือว่าเขาจะยอมแพ้แล้ว และมาที่นี่เพื่อต้องการเปลี่ยนสูตรปรุงยา?
ในความคิดเห็นของเขา นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมากที่สุด
หลิงฮันหยิบขวดหยกออกมาและพูดว่า “เฒ่าแก่ฮัน ข้าคงต้องรบกวนท่านแล้ว ช่วยข้าขายเม็ดยาพวกนี้หน่อย”
ฮันหั่วไม่รีบรับปาก หลังจากที่เขาหยิบขวดหยกขึ้นมาดู เขาก็พูดว่า “นายน้อยฮัน หรือว่าขวดหยกนี้จะเป็นเม็ดยาสวรรค์ครามเร้นลับ? ครั้งก่อนที่นายน้อยฮันให้ร้านค้าของพวกเราขาย มันสามารถทำกำไรได้มากมาย!”
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “นี่ไม่ใช่เม็ดยาสวรรค์ครามเร้นลับ แต่เป็นเม็ดยาเจ็ดเพลิงลอยล่อง!”
พรวด!
ฮันหั่วแทบสำลัก จากนั้นเขาก็ส่งเสียงกระแอมและสงบสติอารมณ์?
นี่เขาล้อข้าเล่นหรือเปล่า?
เวลาแค่หนึ่งเดือนเขาก็สามารถหลอมเม็ดยาเจ็ดเพลิงลอยล่องสำเร็จแล้ว?
เป็นไปไม่ได้! มันไม่มีทางเป็นไปได้!
แม้ว่ามันจะเป็นเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับห้า แต่การที่จะหลอมสำเร็จนั้นยากมาก แม้แต่นักปรุงยาระดับหกยังเลี่ยงที่จะหลอมมัน แต่หลิงฮันสามารถหลอมมันสำเร็จได้ภายในหนึ่งเดือน? นี่เป็นเรื่องตลกอะไรกัน?
“นายน้อยฮันช่างเป็นคนที่ขบขันยิ่งนัก!” ฮันหั่วหัวเราะ
หลิงฮันเองก็ส่งเสียงหัวเราะและพูดว่า “ใช่ ข้าชอบพูดติดตลก”
ฮันหั่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเขาก็พูดด้วยความอยากรู้อยากเห็น “สรุปแล้วครั้งนี้นายน้อยฮันต้องการขายเม็ดยาอะไร?”
ฮันหั่วเทเม็ดยาออกมายากขวดและมีเม็ดยาสีแดงจำนวนหนึ่งออกมา ที่น่าแปลกใจคือเม็ดยาพวกนี้ดูเหมือนกำลังเดือดพล่าน มันไม่เพียงแค่ร้อนธรรมดา แต่เหมือนเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้
หากคนทั่วไปถือเม็ดยาดังกล่าว เกรงว่ามือของพวกเขาคงจะถูกเผาไหม้ทันที แล้วบางทีกระทั่งจอมยุทธระดับบุปผาวารีก็ยังไม่สามารถสัมผัสมันได้
ฮันหั่วเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงทำให้เขาได้รับผลกระทบเล็กน้อย แต่ที่น่าตกตะลึงกว่าร้อนความของเม็ดยาคือสีหน้าที่เขาแสดงออกมา
นี่มัน!
มันคือเม็ดยาเจ็ดเพลิงลอยล่อง!
“นายน้อยฮัน ท่านแน่ใจหรือว่าไม่ได้ล้อข้าเล่น?” ใบหน้าของฮันหั่วกระตุก เขาแทบจะเป็นลม
หลิงฮันหัวเราะและตบไหล่ของฮันหั่วและพูดว่า “เฒ่าแก่ฮัน ท่านน่าจะลดอารมณ์ขันของท่านลงบ้าง” แม้ว่าอายุของพวกเขาทั้งสองจะห่างกันเป็นหมื่นปี แต่ความสำเร็จของหลิงฮันนั้นเหนือกว่าอีกฝ่ายมาก ดังนั้นตามกฎของโลกแห่งจอมยุทธ หลิงฮันคือผู้อาวุโส และการตบไหล่ผ่านตรงข้ามไม่ได้เป็นการเหยียดหยาม
ฮันหั่วจ้องมองเม็ดยาในมืออย่างระมัดระวัง เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญการประเมินสินค้า ทำให้เขาสามารถสรุปได้ทันทีว่าเม็ดยาเพลิงลอยล่องทั้งเก้าเม็ดเพลิงหลอมเสร็จ!
เม็ดยาเจ็ดเพลิงลอยล่องที่มีความสดใหม่เปลวเพลิงของมันจะมีสีเขียว จากนั้นมันก็จะกลายเป็นสีฟ้า แดง จนกระทั่งกลายเป็นสีดำม่วง
หากเม็ดยาเปลี่ยนเป็นสีดำม่วง นั่นหมายความว่าเวลาผ่านไปนานเกินไป ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพของมันต่ำลงมากจนแทบจะกลายเป็นเม็ดยาไร้ค่า
ฮันหั่วแทบจะกรีดร้อง นี่เป็นเม็ดยาเจ็ดเพลิงลอยล่องของจริง หรือว่าหลิงฮันจะหลอมเม็ดยาสำเร็จจริงๆ?
ช่างแปลกประหลาดอะไรขนาดนี้!
“นายน้อยฮัน ท่านหลอมมันสำเร็จจริงๆอย่างนั้นรึ?”
“ไม่ใช่ ที่เจ้าเห็นตอนนี้มันเป็นแค่ภาพลวงตา” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ครั้งนี้ฮันหั่วขำไม่ออกและพูดว่า “นายน้อยฮัน ท่านทำให้ข้าตกตะลึงมากที่สามารถหลอมเม็ดยาเจ็ดเพลิงลอยล่องสำเร็จในแค่หนึ่งเดือน!”
ตอนที่ 1167
หลิงฮันหัวเราะก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “ผู้จัดการฮัน ข้าอยากรบกวนอะไรท่านเสียหน่อย ข้าต้องการให้ท่านรวบรวมแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสามให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ข้าจะซื้อพวกมันด้วยส่วนแบ่งจากการขายเม็ดยา”
“ไม่มีปัญหา!” ฮันหั่วไม่ไถ่ถามว่าทำไมหลิงฮันถึงต้องการแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก เขาตอบรับคำขอด้วยความมั่นใจ
“เช่นนั้นข้าคงต้องรบกวนผู้จัดการฮันแล้ว!”
“ข้ายินดีจะช่วยนายน้อยฮัน!”
หลิงฮันพยักหน้าและซื้อวัตถุดิบสมุนไพรเพิ่มเติม เขายังต้องหลอมเม็ดยาเจ็ดเพลิงลอยล่องอีก เพราะสิ่งนี้คือแหล่งรายได้ของเขา
ฮันหั่วปาดเหงื่อในขณะที่นำทางหลิงฮันไปซื้อวัตถุดิบ
“ผู้จัดการฮัน ท่านกำลังเสียใจกับข้อตกลงเมื่อครั้งก่อน? ข้าได้ส่วนแบ่งเก้าส่วน ท่านได้หนึ่งส่วน ท่านคงคิดสินะว่ามันเป็นการขาดทุนครั้งใหญ่?”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!” ฮันหั่วรีบส่ายหน้า แม้เขาจะปวดหัวกับเรื่องนั้นอยู่บ้าง แต่ในฐานะผู้ทำการค้าที่เชี่ยวชาญ เขารู้ว่าหลิงฮันไม่จำเป็นเลยที่จะต้องให้เขาเป็นตัวแทนในการขายเม็ดยา
เม็ดยาที่ลำค่าเช่นนั้นต้องกลัวด้วยรึว่าจะไม่มีใครซื้อ? แค่หลิงฮันตะโกนประกาศขายก็รับประกันได้เลยว่าเม็ดยาที่มีจะขายหมดเกลี้ยงแน่นอน
ยิ่งกว่านั้นในตอนแรกเขาก็เป็นคนเสนอให้หลิงฮันรับส่วนแบ่งไปคนเดียวเลยสิบส่วน แต่เป็นหลิงฮันเองที่จงใจมอบส่วนแบ่งให้ร้านค้าตระกูลโม่หนึ่งส่วน นี่ถือว่าเป็นความเอื้อเฟื้ออย่างมากแล้ว
…ฮันหั่วตระหนักในเรื่องนี้ดี หรือว่าที่จริงหลิงฮันจะไม่รู้ว่าความสามารถในการปรุงยาของตนเองนั้นล้ำเลิศขนาดไหน? ทั้งๆที่รู้ว่าสามารถหลอมเม็ดยาเจ็ดเพลิงลอยล่องได้ เขาก็ยังมอบส่วนแบ่งหนึ่งส่วยให้กับพวกเขา จะมีใครบ้างที่ยอมทำเช่นนี้?
“ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจในความใจดีของนายน้อยฮันมาก!”
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมหลิงฮันถึงปฏิบัติต่อร้านค้าตระกูลโม่ดีขนาดนี้
หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “ในระหว่างการเดินทางมายังนิกายสวรรค์เยือกแข็ง ข้าถูกลอบโจมตีและหลงทางอยู่ในอวกาศ โชคดีที่ข้าได้พบเจอยานขนส่งของตระกูลโม่เข้าพอดีซึ่งพวกเขาก็ไม่ทิ้งข้าและให้ข้าขึ้นยานมาด้วย”
ในที่สุดฮันหั่วก็เข้าใจเรื่องราวเสียที เขาผสานมือคารวะด้วยความเคารพและกล่าว “นายน้อยฮันช่างเป็นคนที่จริงใจโดยแท้!”
สำหรับตระกูลโม่แล้วการช่วยเหลือนั่นอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่การกระทำของพวกเขากลับทำให้ได้รับมิตรภาพจากรุ่นเยาว์ระดับราชาเป็นของตอบแทน… พวกเขาถือว่าได้กำไรมหาศาล
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ผู้จัดการฮัน ช่วยจัดการเรื่องที่ข้าขอไปให้เร็วที่สุดได้ยิ่งดี ไม่ต้องสนใจว่าจะเป็นแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสามชนิดใด ต่อให้พวกมันจะมีสภาพเสื่อมโทรมหรือไม่บริสุทธิ์ก็ไม่มีปัญหา ขอแค่พวกมันเป็นแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์รระดับสามก็พอแล้ว”
“ข้าจะจำที่ท่านบอกเอาไว้ เช่นนั้นในอีกหนึ่งเดือนขอให้นายน้อยฮันกลับมาใหม่ ข้าจะทำให้นายน้อยตกตะลึงแน่นอน” ฮันหั่วกล่าวด้วยความมั่นใจ
เขาตัดสินใจรายงานเรื่องของหลิงฮันไปยังเบื้องบนของตระกูลโม่ ที่จริงการที่หลิงฮันเป็นอัจฉริยะระดับราชาก็คุ้มค้าที่จะสร้างสายสัมพันธ์ด้วยอยู่แล้ว แต่ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือหลิงฮันเป็นคนรักในคุณธรรม เขาจะรายงานเรื่องนี่ไปยังเบื้องบนของตระกูลโม่และให้พวกเขารวบรวมแร่โลหะจำนวนมหาศาลให้หลิงฮัน
ถ้าเพียงแค่แร่โลหะระดับสามสามารถช่วยให้พวกเขาสร้างสายสัมพันธ์กับอัจฉริยะระดับราชาได้ก็นับว่าคุ้มค่า! นอกจากนั้นความสำเร็จในศาสตร์แห่งการปรุงยาของหลิงฮันก็น่าตกตะลึง เขาสามารถหลอมเม็ดยาเจ็ดเพลิงลอยล่องได้ในระยะเวลาแค่เดือนเดียว!
“จริงสิ ข้าลืมไปเลยว่านายน้อยฮันมีเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารี เช่นนั้นแล้วเขาสามรถหลอมเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าได้อย่างไร?”
“หรือการจะสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้จะทำให้เทียบเท่ากับระดับสุริยันจันทรา?”
“ฝึกฝนทั้งวิถีวรยุทธและศาสตร์ปรุงยา แถมยังเชี่ยวชาญทั้งสองด้าน… ตระกูลโม่จะต้องไม่ปล่อยให้อัจฉริยะเช่นนี้หลุดมือไปเด็ดขาด บางทีรุ่นเยาว์ผู้นี้อาจจะสามารถเหยียบย่ำจักรวาลได้ในสักวัน พวกเราจะต้องผูกมัดกับเขาไว้แม้ว่าจะต้องสูญเสียกำไรขนาดไหน!”
ฮันหั่วพึมพำ แม้เขาจะแซ่ฮันแต่เขาก็เป็นสมาชิตระกูลโม่เพราะแต่งงานเข้าไปยังตระกูลโม่ ทั้งบุตรและหลานของเขาต่างก็ใช้แซ่โม่
…
หลิงฮันเดินเรื่อยเปื่อย ตอนนี้เขามีแหล่งหาแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ที่ไว้วางใจได้แล้วทำให้เขาอารมณ์ดีมาก ต่อไปสิ่งที่เขาต้องทำคือเตรียมตัวเข้าไปในเขตแดนลี้ลับ ในขณะที่เข้าไปยังเขตแดนลี้ลับเขาต้องขัดเกลาพลังให้เกือบจะใกล้ทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทรา
และเมื่อเขาทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราเมื่อไหร่ เขาจะออกเดินทางตามหาสถานที่ตั้งของห้านิกายโบราณและตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ เขาไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้ยืดยาวต่อไปได้อีก
‘สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์… เป็นเวลาหลายร้อยหลายพันปีแล้วที่พวกเราพบกันครั้งสุดท้าย ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง’
เมื่อนางเห็นเขาอีกครั้งนางจะต้องตะลึงมากเป็นแน่ ไม่เพียงแค่เขาเป็นคนตายที่ฟื้นคืนชีพ แต่พลังบ่มเพาะของเขายังพัฒนาได้อย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ เพียงระยะไม่เกินพันปีเขาสมควรจะบรรลุระดับสุริยันจันทราแล้ว เพียงแค่เรื่องนี้เขาก็นับว่าเหนือกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์และจักรพรรดิดาบ
เขาถูกสตรีผู้นั้นรังแกมาเป็นเวลาหลายสิบปี ครั้งนี้ถึงเวลาเอาคืนแล้ว!
คิดว่าเขาจะปล่อยนางไปโดยไม่ฟาดก้นอันยั่วยวนของนางงั้นรึ?
อีกเรื่องคือตอนนี้บุตรของเขาก็น่าจะโตพอสมควรแล้ว! ครอบครัวของเขาเป็นอย่างไรบ้าง? สาวน้อยฮูหนิวคงจะสมเป็นสตรีมากขึ้นแล้วล่ะมั้ง? แล้วเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน หลิวยู่ตง หลีซื่อซานล่ะ?
หลิงฮันถอนหายใจ ช่วงเวลาในชีวิตนี้ของเขาผ่านไปไม่กี่ปี แต่เขากลับมีความรู้สึกต่างๆมากกว่าระยะเวลาสองร้อยปีในชีวิตที่แล้วเสียอีก
ระหว่างมุ่งหน้ากลับนิกายสวรรค์เยือกแข็ง หลิงฮันตัดสินใจเก็บความรู้สึกตต่างๆเอาไว้ในก้นบึ้งของจิตใจ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าพลังอำนาจ มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นเขาจึงจะสามารถทำในสิ่งที่ต้องการได้
“ฮันหลิง!” เสียงตะโกนอันโหดเหี้ยมดังขึ้นมาจากระยะไกล
เขามองไปทางต้นเสียงและพบว่าที่นั่นมีคนสี่คนยืนอยู่ด้านหน้าทางเข้าที่พักของเขา พวกเขาทุกคนมีท่าทางเกรี้ยวกราด หลิงฮันจำได้อยู่สองคนในหมู่พวกเขา หนึ่งคือฟูเหลียงเย่ อีกคนคือกายหยงซือ
ทำไมพวกเขาถึงยังมาที่นี่อีก?
“ฮันหลิน นี่คือโอกาสสุดท้ายของเจ้า นายน้อยก่าวกล่าวว่าถ้าเจ้าใช่เข่าเดินขึ้นไปยังยอดเขาในวันนี้ นายน้อยจะยกโทษให้กับการกระทำที่เสียมารยาทครั้งก่อนของเจ้า” กายหยงซือกล่าวอย่างหยิ่งยโส
หลิงฮันมองไปยังอีกฝ่ายและกล่าว “นี่เจ้าเป็นคนขี้ลืมขนาดนั้นเลย? เจ้าวอนอยากถูกทุบตีอีกครั้ง?”
“ฮันหลิง!” ชายวัยกลางคนพูดแทรก เสียงของเขาหนักแน่นราวกับฟ้าผ่า เมื่อเขาอ้าปากพูด ออร่าอันน่าสะพรึงกลัวก็ถูกปลดปล่อยออกมา
ระดับสุริยันจันทรา!
ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมวันนี้กายหยงซือถึงอวดดีกว่าเดิม ดูเหมือนว่าเขาจะมีผู้ช่วยที่ทรงพลังอยู่ด้วย
ในขณะเดียวกันฟูเหลียงเย่แสยะยิ้มอย่างเย็นชา เขาเองก็เข้าร่วมกับกองกำลังก่าวเหมือนกัน ทันทีที่รู้ว่าพวกเขาจะมาจัดการกับหลิงฮัน เขาก็เสนอตัวขอติดตามมาด้วย เขาต้องการเห็นหลิงฮันยอมจำนนต่อคนที่มีพลังเหนือกว่า!
…แต่ต่อให้ไม่ยอมจำนนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอแค่หลิงฮันได้รับความอัปยศก็เพียงพอแล้ว
เพราะอย่างไรศิษย์ระดับสุริยันจันทราก็ไม่สามารถลงมือกับศิษย์ระดับภูผาวารีได้ตามใจชอบ ใช่ว่าทุกคนจะชื่อว่าหยางฮ่าวเสียหน่อย แต่ว่าถ้าหากศิษย์ระดับสุริยันจันทราลงมือกับหลิงฮันอย่างลับๆจากนั้นค่อยให้ศิษย์ระดับภูผาวารีจัดการเผด็จศึกล่ะก็ใครจะกล่าวหาพวกเขาได้?
หลิงฮันเดินผ่านทั้งสี่คนไปเปิดประตู เขาเดินเข้าที่พักและค่อยๆปิดประตู
ฮึ่ม!
กายหยงซือและคนอื่นคนโกรธจนแทบจะเป็นบ้า ที่หลิงฮันทำนั้นหมายถึงอะไร? หรือว่าอีกฝ่ายมองเห็นพวกเขาเป็นเพียงอากาศธาตุถึงได้เมินเฉยพวกเขาแบบนี้?
“ฮันหลิง!” กายหยงซือจับประตูเอาไว้เพื่อหยุดไม่ให้หลิงฮันปิดประตู
ในนิกายสวรรค์เยือกแข็ง มีกฎข้อหนึ่งที่ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามฝ่าฝืนเด็ดขาด นั่นคือห้ามเข้าไปยังที่พักของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาติ
นั่นเพราะถ้าหากมีคนกำลังเก็บตัวบ่มเพาะพลังอยู่ การบุกรุกอาจจะทำให้คนคนนั้นพิการเลยก็เป็นได้!
เหตุการณ์เช่นนี้คือสิ่งที่นิกายไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้น!
โดยปกติแล้วตราบใดที่มีพลังบ่มเพาะเท่ากัน ศิษย์ทุกคนสามารถท้าสู้ได้ตามใจชอบก็จริงและไม่มีใครคิดจะหยุดพวกเขา แต่เมื่อใดที่กลับเข้าไปยังที่พักของตนเองแล้วก็เปรียบเหมือนเขตหวงห้าม ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ตามเข้าไปทำอะไรได้
ต่อให้เป็นหยางฮ่าวก็ไม่กล้าฝ่าฝืนกฎข้อนี้
ดังนั้นเมื่อเห็นหลิงฮันเดินเข้าในไปที้พัก กายหยงซือจึงเป็นกังวลขึ้นมาทันทีทันใด
หลิงฮันเผยรอยยิ้ม เขายื่นมือออกไปคว้าร่างอีกฝ่ายเอาไว้ซึ่งกายหยงซือก็ถูกสยบไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อต้านในพริบตา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะลืมคำเตือนของข้าคราวก่อนไปแล้วสินะ เจ้าถึงได้กลับมาอีกครั้ง!”
ตอนที่ 1168
เดิมทีกายหยงซือไม่คิดที่จะบุกเข้าไปในที่พักของหลิงฮัน แต่เขากลับถูกอีกฝ่ายลากเข้าไป
เพี๊ยะ! ก่อนที่สติของเขาจะกลับมา หลิงฮันก็ตบเข้าไปที่ใบหน้าของเขาอย่างรุนแรง
“ช่วยข้าด้วย!” กายหยงซือรีบร้องขอความช่วยเหลือจากจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา
จอมยุทธระดับสุริยันจันทราที่เขาพามาด้วยนั้นมีชื่อว่าจูเทียนโฉว แต่เขาเป็นแค่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นกลางเท่านั้น ถึงกระนั้นแม้หลิงฮันจะสามารถสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้ แต่เขาก็สามารถสยบหลิงฮันได้อย่างง่ายดาย ช่องว่างระหว่างพวกเขาทั้งสองคนใหญ่เกินไป
เขาโกรธมากจนมีควันออกจากจมูก ก่อนหน้านี้หลิงฮันปิดประตูใส่พวกเขา แล้วตอนนี้ยังคว้าตัวกายหยงซือเข้าไปตบอีก นี่เจ้าไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาเลยหรือไงกัน?
“ปล่อยมือของเจ้าซะ!” เขาตะโกนด้วยน้ำเสียงที่โกรธเกรี้ยว และมีพลังปราณไหลออกมาจากร่างกายอย่างไม่สามารถควบคุมได้
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “ถ้าข้าไม่ปล่อยแล้วเจ้าจะทำไมหรือ?”
“เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ!” จูเทียนโฉวก้าวไปข้างหน้าและพลังของจอมยุทธระดับสุริยันจันทราก็ระเบิดออกมาเหมือนมหาสมุทร
“หึ่ม ดูซะว่าเจ้ากำลังยืนอยู่ที่ไหน!” หลิงฮันชี้ไปที่ประตูและพูดว่า “ที่นี่คือที่พักของข้า หากข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเข้ามา เจ้าทราบหรือไม่ว่าจะถูกลงโทษเช่นไรหากก้าวผ่านประตูนี้เข้ามา?”
ช่วยไม่ได้ที่จูเทียนโฉวจะรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า นี่เป็นกฎของนิกาย ซึ่งไม่มีใครสามารถแหกกฎได้ ต่อให้เป็นศิษย์ระดับเมล็ดพันธุ์ก็ตาม
เพรี๊ยะ!
หลิงฮันตบหน้ากายหยงซืออีกครั้ง ทำให้ปากของกายหยงซือแตกและกระอักโลหิตออกมาพร้อมกับเศษฟันที่แตกหัก
ใบหน้าของจูเทียนโฉวกระตุก เจ้าเด็กนี่จงใจยั่วยุข้าอย่างนั้นรึ?
นี่มันจะมากเกินไปแล้ว!
ความหนาวเย็นก่อตัวขึ้นในใจของฟูเหลียงเย่ เจ้าหมอนี่บ้าไปแล้ว?
เขารุกรานหยางฮ่าว และตอนนี้ยังรุกรานกองกำลังก่าว นี่แส่หาความตายอย่างนั้นหรือ?
เพี๊ยะ หลิงฮันยังคงตบหน้ากายหยงซือไม่หยุด และทำให้อีกฝ่ายกระอักโลหิตออกมาพร้อมกับเศษฟันอีกครั้ง
ด้วยความแข็งแกร่งของหลิงฮัน มันคงไม่ใช่ปัญหาที่เขาจะทำให้กายหยงซือฟันหลุดหมดปากด้วยการตบเพียงครั้งเดียว แต่เขาเลือกที่จะตบหลายครั้งแสดงให้เห็นว่าเขาจงใจ
จูเทียนโฉวโกรธจนตัวสั่นและพูดว่า “หากเจ้าปล่อยตัวกายหยงซือ วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป!’
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” หลิงฮันหัวเราะและชี้นิ้วใส่จูเทียนโฉว “สมองของเจ้ามีปัญหาหรือไง? ทั้งที่พวกเจ้าเป็นฝ่ายเข้ามาหาเรื่องข้า แต่กลับพูดว่าวันนี้จะปล่อยข้าไป? น่าขันสิ้นดี!”
เพี๊ยะ หลิงฮันตบกายหยงซืออีกครั้ง แน่นอนว่ากายหยงซือกระอักโลหิตออกมาพร้อมกับฟันอีกซี่
แต่ตอนนี้กายหยงซือรู้สึกอัปยศเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าจูเทียนโฉวกำลังคุกคามหลิงฮัน แต่ทำไมเจ้าถึงตบหน้าข้าไม่หยุด?
“ฮันหลิน!” จูเทียนโฉวเริ่มหมดความอดทน เขาชี้นิ้วไปที่หลิงฮันและพูดว่า “เจ้ายังต้องการอยู่ที่นิกายสวรรค์เยือกแข็งต่อหรือไม่?”
“เฮ้อ นี่เจ้าพูดข่มขู่ข้าอีกแล้ว!” หลิงฮันถอายใจ เขายกมือขึ้นและตบเข้าไปที่ใบหน้าของกายหยงซืออีกครั้ง ทำให้ฟันของอีกฝ่ายหลุดออกมาสี่ซี่แล้ว
“ผู้อาวุโสจู ได้โปรดหยุดพูดได้แล้ว!” กายหยงซือกรีดร้อง ทั้งสองคนทะเลาะกัน แล้วทำไมต้องมาลงที่ข้าด้วย?
จูเทียนโฉวเค้นเสียง ทำไมเจ้าถึงอ่อนแอขนาดนี้?
นี่เจ้าเป็นผู้ติดตามของก่าวฮวงได้อย่างไร? แล้วคนที่สามารถเข้าร่วมนิกายนี้ได้ไม่ใช่ว่าเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตัวเองหรอกหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อเจ้าเป็นสมาชิกของกองกำลังก่าว การที่เจ้าถูกคนภายนอกกลั่นแกล้ง มันเท่ากับว่าทำให้กองกำลังก่าวทั้งหมดเสียหน้า
จูเทียนโฉวผสานมือและเรียกโซ่หลายสิบเส้นออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าเคลื่อนที่ไปทางหลิงฮัน เขาต้องการทำให้หลิงฮันกับกายหยงซือออกมาจากประตู
หลิงฮันแสยะยิ้มและผลักกายหยงซือไปอยู่ด้านหน้า
“อ๊าก!” กายหยงซือกรีดร้อง ร่างของเขาถูกโซ่หลายสิบเส้นแทงทะลุ และมีเส้นหนึ่งที่แทงเข้าไปในก้น สีหน้าของเขาจึงกลายเป็นสีฟ้าทันที
ในแง่ของพลัง หลิงฮันไม่สามารถเทียบกับจอมยุทธระดับสุริยันจันทราได้ แต่ประเด็นคือร่างกายของกายหยงสือไม่สามารถแบกรับพลังของหลิงฮันได้ เขากำลังถูกจูเทียนโฉวกับหลิงฮันดึงร่างของเขาไปมา ทำให้เขาส่งเสียงกรีดร้องอย่างหนัก ร่างกายของเขากำลังฉีกขาด
อย่างไรก็ตาม กายหยงซือก็เป็นจอมยุทธขอบเขตพระเจ้าเหมือนกัน แม้ร่างกายจะถูกดึงจนแยกออกจากกัน เขาก็ยังไม่ตาย
เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาดังไปทั่วท้องฟ้า
“อ๊าก!” กายหยงซือส่งเสียงร้องที่น่าสังเวช ร่างกายของเขาถูกแยกออกเป็นสองส่วน ร่างกายส่วนหนึ่งถูกจูเทียนโฉวดึงกลับไป และในที่สุดก็หลุดพ้นจากน้ำมือของหลิงฮัน
“โอ้ว ขอโทษที!” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม
ขอโทษน้องสาวเจ้าสิ! นี่เจ้ายังมีความจริงใจบ้างไหม?
หากกายหยงซือแข็งแกร่งพอ เขาคงฆ่าหลิงฮันไปแล้ว แต่เนื่องจากเขาไม่มีพลังที่จะทำเช่นนั้น เขาจึงทำได้กลืนคำพูดเข้าไปในคอและกลืนเม็ดยาพร้อมกับโคจรพลังปราณเพื่อรักษาบาดแผล
จูเทียนโฉวจ้องมองหลิงฮัน แต่ที่นี่คือที่พักของหลิงฮัน เขาเลยไม่สามารถบุกรุกเข้าไปได้ มิฉะนั้นมันจะเป็นการฝ่าฝืนกฎของนิกาย
เขาหายใจเข้าลึกๆระงับความโกรธลงและพูดว่า “นายน้อยฝากข้อความถึงเจ้าว่า ถ้าเจ้าต้องการรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับกองกำลังก่าว เจ้าจะต้องนำหยดเซียนหยวนอย่างน้อยสามหยดกลับมาจากเขตแดนลี้ลับให้กับนายน้อย!”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามองหลิงฮันอีก
ฟูเหลียงเย่และสหายอีกคนหนึ่งรีบติดตามจูเทียนโฉวไปที หากขืนอยู่ต่อและถูกหลิงฮันโจมตี พวกเขาจะไปทำอะไรได้?
“รอข้าด้วย!” กายหยงซือยังรักษาบาดแผลไม่เสร็จ เขายังรู้สึกเจ็บปวดมาก แต่เขาไม่ต้องการถูกหลิงฮันทำร้ายอีกครั้ง
“ที่ก่าวฮวงต้องการให้ข้าเข้าร่วมกองกำลังก่าว หรือว่าบางทีเป้าหมายของมันจะเป็นหยดเซียนหยวน?” หลิงฮันพูดพึมพัม “มันเป็นสมบัติอะไรถึงทำให้จอมยุทธระดับดาราต้องการมัน?”
“ถ้างั้นข้าควรไปถามใครสักคน”
หลิงฮันกลับเข้าไปในที่พักและบอกให้ฟานรู่ปิดประตู ห้ามให้ใครเข้ามารบกวนเป็นอันขาด จากนั้นเขาก็เข้าไปในหอคอยทมิฬเพื่อถามเซียนอู๋เซียง
ตอนที่ 1169
“หยดเซียนหยวน?” เซียนหวู่เซียงครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะตอบ “หลังจากจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ตกตาย โลหิตของพวกเขาจะแห้งเหือดหลังจากที่เวลาผ่านไปนานแสนนาน และถ้าหากแก่นพลังภายในโลหิตไม่แห้งเหือดไปอย่างสมบูรณ์ก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นหยดเซียนหยวน”
“สำหรับจอมยุทธที่ระดับพลังต่ำกว่าวารีนิรันดร์ สิ่งนี้เรียกได้ว่าเป็นสมบัติแสนล้ำค่า ทุกๆหยดของหยดเซียนหยวนนั้นอัดแน่นไปด้วยความหยั่งรู้อันลึกซึ้งเกี่ยวกับกฎแห่งสวรรค์และปฐพีของจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ มันสามารถช่วยเร่งความเร็วในการบ่มเพาะพลังได้อย่างยอดเยี่ยม”
หลิงฮันเข้าใจทันทีและไม่แปลกใจที่ก่าวฮวงยึดติดกับหยดเซียนหยวนขนาดนั้น อีกฝ่ายบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดแล้ว แต่ก้าวสุดท้ายที่จะทะลวงผ่านไปยังระดับดาราเป็นอะไรที่ยากลำบากมาก ต่อให้เป็นบิดาของเขาที่เป็นจอมยุทธระดับดาราอยู่แล้วก็ไม่มีหนทางช่วยเหลือ
บางทีถ้าหากก่าวฮวงดูดซับหยดเซียนหยวนเข้าไปสามหยด เขาอาจะมีโอกาสทะลวงผ่านระดับดารา
แม้หลิงฮันจะไม่เคยพบเจอก่าวฮวงมาก่อน แต่ดูจากท่าทีการกระทำของเขา ชายคนนี้จะต้องมีนิสัยละโมบโลภมากไม่ผิดแน่ เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับปัจจัยที่จะทำให้เขาทะลวงผ่านไปยังระดับดาราเขาจึงต้องการหยดเซียนหยวนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ความยากลำบากในการคว้าหยดเซียนหยวนมาครอบครองจะต้องสูงมากแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก้าวฮวงก็ยังโลภมากและต้องการถึงสามหยด
“จอมยุทธระดับสุริยันจันทราไม่สามารถเข้าไปในเขตแดนลี้ลับได้ เพราะงั้นเขาจึงตามหาจอมยุทธระดับภูผาวารีที่แข็งแกร่งให้ทำหน้าที่หาหยดเซียนหยวนมาให้เขา” หลิงฮันส่ายหัว “เป็นคนที่เห็นแก่ตัวอะไรเยี่ยงนี้ เขามีสิทธิ์อะไรบังคับคนอื่นให้มอบสมบัติที่ได้มาอย่างยากลำบากให้แก่ตัวเอง?”
หลิงฮันอดรู้สึกไม่สบอารมรณ์ไม่ได้และเริ่มลงมือหลอมเม็ดยาอีกครั้ง
ก่อนเข้าไปในเขตแดนลี้ลับ เขาจะต้องขัดเกลาดาบอสูรนิรันดร์เป็นอันดับแรกซึ่งจำเป็นต้องใช้ผลึกก่อเกิดจำนวนมหาศาล
ครั้งนี้หลิงฮันไม่ได้ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการหลอมเม็ดยา เขาแบ่งเวลาไปขัดเกลาปราณก่อเกิดและกายหยายของตนเองด้วย
เพียงแต่ว่าหลังจากเวลาผ่านไปเพียงครึ่งเดือน หลิงฮันก็ต้องหยุดการหลอมเม็ดยากลางคัน
เหยียนเฮิงเหอกำลังจะทะลวงผ่านระดับ!
เขาไม่สามารถปล่อยให้เหยียนเฮิงเหอปรากฎตัวและรับบททดสอบสายฟ้าสวรรค์ในนิกาย ดังนั้นหลิงฮันจึงเป็นฝ่ายออกจากนิกายไปเองก่อนจะเรียกอุปกรณ์บินแหวกเมฆาออกมาและมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่ห่างไกล เขานำตัวเหยียนเฮิงเหอออกมาและให้ผ่านบททดสอบสายฟ้าสวรรค์ที่นั่น
เนื่องจากรากฐานของเหยียนเฮิงเหอนั้นมั่นคงและเขาเป็นอัจฉริยะมาตั้งแต่แรก เขาจึงสามารถผ่านบททดสอบสายฟ้าสวรรค์ได้อย่างไม่ยากเย็น นั่นหมายถึงหลิงฮันจะมีจอมยุทธระดับพระเจ้าอยู่ข้างกายเพิ่มอีกคนหนึ่ง
ชางเย่เองก็ไม่พบปัญหาในการผ่านบททดสอบสายฟ้าสวรรค์เช่นกัน เพียงแต่ว่าในกรณีของกวงหยวนกับชูหวู่จิว… พวกเขาอาจจะค่อนข้างลำบาก
นั่นก็ช่วยไม่ได้ ในด้านของพรสวรรค์แล้วทั้งสองนั้นธรรมดาสามัญ ที่โลกใบเล็กทั้งสองคนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะอยู่บ้าง แต่จะให้พูดแล้วขีดจำกัดของพวกเขาถูกได้ถูกกำหนดเอาไว้ที่ระดับบุปผาผลิบาน แต่ตอนนี้หลิงฮันบังคับผลักดันจนพวกเขาพัฒนาเป็นระดับทลายมิติและอาจจะทะลวงผ่านเข้าสู่ระดับพระเจ้าได้ แต่การทำเช่นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าพลังของตนเองนั้นอยู่เหนือการควบคุม
เพราะงั้นพวกเขาอาจจะบรรลุพลังสูงสุดถึงเพียงแค่ระดับภูผาวารีเท่านั้น
ในความคิดของหลิงฮันนั้น ชางเย่กับเหยียนเฮิงเหอนั้นยังพอมีช่องว่างให้พัฒนาต่อไปได้อยู่ แต่สำหรับงกวงหยวนกับชูหวู่จิว ขีดจำกัดของพวกเขาคงจะหยุดอยู่เท่านี้
เขาเดินทางกลับนิกายสวรรค์เยือกแข็งและเก็บตัวฝึกฝนต่อ
เมื่อกำหนดสิ้นเดือนมาถึง เขาก็นำเม็ดยาที่หลอมเรียบร้อยแล้วไปส่งให้กับร้านค้าตระกูลโม่
“โอ้ แร่โลหะศักดิ์สิทธิ์มากมายเพียงนี้!” หลิงฮันตกตะลึง อุปกรณ์มิติที่ฮันหั่วมอบให้เขานั้นอัดแน่นไปด้วยแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ แม้เขาจะรู้สึกเม็ดยานั้นสร้างกำไรให้เขามหาศาล แต่มันจะมากมายขนาดนี้เลย?
“โฮะๆ ข้ารายงานเรื่องของนายน้อยฮันไปยังตระกูลโม่ ซึ่งตระกูลได้สั่งการกับข้าว่าต้องทำให้คำขอของนายน้อยฮันให้สำเร็จลุร่วงอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง” ฮันหั่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าใช้เวลาทั้งเดือนในการรวบรวมแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนั้นตระกูลก็ยังมีคำสั่งให้ขนส่งแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์มาจากดาวดวงอื่นๆอีก ตราบใดที่นายน้อยฮันไม่กล่าวว่าพอ การขนส่งแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่หยุด”
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ท่านไม่กลัวว่าข้าจะหลอมเม็ดยาได้ไม่เพียงพอในการหาเงินมาจ่ายงั้นรึ?”
“ฮ่าๆ ตราบใดที่นายน้อยฮันรู้สึกยินดี แค่แร่โลหะศักดิ์สิทธิ์นิดๆหน่อยๆจะไปมีค่าอะไร?” ฮันหั่วกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ตระกูลโม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นตระกูลการค้าที่ใหญ่ที่สุดในจักรวาล แม้คำพูดของฮั่นหั่วจะดูโอ้อวดไปบ้างแต่เขาก็มีสิทธิ์ที่จะกล่าวแบบนั้น
หลิงฮันประหลาดใจมาก ตระกูลโม่ให้ค่าตัวเขาไว้สูงมาก พวกเขาลงทุนกับเขามากมายขนาดนี้ก่อนที่จะบรรลุระดับสุริยันจันทราเสียอีก
แต่เมื่อใดที่หลิงฮันกลายเป็นจอมยุทธระดับดาราในอนาคต ผลกำไรที่ตระกูลโม่จะได้กลับนั้นจะมากมายจนน่าสะพรึงกลัว
ถ้าหลิงฮันสามารถพัฒนาไปได้เหนือกว่านั้นอีกและบรรลุระดับวารีนิรันดร์ อำนาจของตระกูลโม่ก็จะทะยานสูงเสียดฟ้า
“ขอบคุณมาก” หลิงฮันไม่อ้อมค้อม
เขามั่นใจว่าเขาจะสามารถบรรลุระดับดาราและระดับวารีนิรันดร์ได้ หรือบางทีอาจจะระดับสร้างสรรพสิ่งเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่ตระกูลโม่ลงทุนกับเขาในวันนี้ ในอนาคตพวกเขาจะได้รับผลตอบแทนกลับหลายร้อยเท่าแน่นอน
เมื่อกลับมาถึงนิกายสวรรค์เยือกแข็ง หลิงฮันก็ขัดเกลาเพิ่มระดับให้กับดาบอสูรนิรันดร์
แคล๊ง แคล๊ง แคล๊ง แคล๊ง ในเวลาเพียงครึ่งวัน แร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดก็กลายเป็นเศษโลหะ แต่ดาบอสูรนิรันดร์ยังคงห่างไกลจากระดับสี่
ยิ่งระดับสูงขึ้น แร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องใช้ก็มากขึ้นด้วย
หลิงฮันทำได้เพียงรอคอยต่อไป ซึ่งโชคดีที่ยังเหลือเวลาอีกสามเดือนเขตแดนลี้ลับถึงจะเปิดออก
นิกายสวรรค์เยือกแข็งเริ่มแบ่งสิทธิ์ในหารเข้าร่วมเขตแดนลี้ลับ นอกจากศิษย์ระดับภูผาวารีของนิกายแล้ว มีสิทธิ์เข้าร่วมบางส่วนถูกมอบให้กับขุมอำนาจนอกนิกาย ส่วนขุมอำนาจเหล่านั้นต้องใช้อะไรแลกสิทธิ์เข้าร่วมมานั้นมีเพียงผู้เกี่ยวข้องรับผิดชอบเท่านั้นถึงจะรู้
หลิงฮันไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องเหล่านั้น เขาจึงใช้เวลาไปกับการบ่มเพาะพลังและปรุงยา
แก่นพลังจ้าวอสูรถูกดูดซับมามากพอสมควรแล้ว โชคดีที่เขาเป็นจักรพรรดิปรุงยาที่สามารถหลอมเม็ดยาสนับสนุนการบ่มเพาะพลังของตัวเองได้ แม้ผลลัพธ์จะไม่ยอดเยี่ยมเท่าแก่นพลังจ้าวอสูรแต่เขาสามารถหลอมเม็ดยาได้อย่างไม่มีปริมาณจำกัดเหมือนแก่นพลังจ้าวอสูร
ข่าวดีค่อยๆเกิดขึ้นทีละอย่าง
ด้วยทรัพยากรโลหะศักดิ์สิทธิ์อันไร้ขีดจำกัดที่ตระกูลโม่มอบให้เขา ในที่สุดดาบอสูรนิรันดร์ก็พัฒนาเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ ครั้งนี้เขาต้องการแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ในการขัดเกลาดาบอสูรนิรันดร์
แม้ระดับของแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์จะเพิ่มมาแค่ระดับเดียว แต่ราคานั้นเพิ่มสูงขึ้นหลายสิบเท่า
ดังนั้นหลิงฮันจึงรู้สึกละอายที่จะพึ่งพาตระกูลโม่ เขาตั้งใจจะจ่ายหนี้ที่ติดค้างตอนนี้ก่อนแล้วค่อยคิดหาวิธีซื้อแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่จำนวนมาก
เขาฝากความหวังเอาไว้ที่การเดินทางไปยังเขตแดนลี้ลับครั้งนี้ ถ้าเขาได้รับทักษะลับติดมือกลับมาบ้างและนำไปขายล่ะก็ กำไรคงจะมหาศาลทีเดียว
นอกจากเรื่องนี้แล้ว ตัวเขาในตอนนี้บรรลุช่วงกลางของระดับสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย พลังต่อสู้ของเขาพัฒนาเป็นแปดดาว
จักรพรรดิพิรุณ ติงผิง สุ่ยเยี่ยนยวี่ หูเฟยหยินและคนอื่นๆก็มีพัฒนาการอย่างเห็นได้ชัด แต่คนที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็ยังคงเป็นจักรพรรดิพิรุณที่พัฒนามาเป็นระดับภูผาวารีขั้นกลางชั้นสูงสุด ต่อให้เป็นเพราะเขาได้รับเม็ดยาจากหลิงฮันและมีต้นสังสารวัฏ การพัฒนาที่รวดเร็วเช่นนี้ก็น่าตกตะลึงอยู่ดี
ในด้านของเฟิงโปหยุน ติงผิงและคนอื่นๆนั้น พวกเขาเพิ่งบรรลุระดับภูผาวารีขั้นกลาง ความห่างของพวกเขากับจักรพรรดิพิรุณค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับสุ่ยเยี่ยนยวี่ นางบรรลุระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นสูงสุดแล้ว ส่วนหูเฟยหยินนั้นนางเป็นกรณีพิเศษ ในเมื่อนางเป็นร่างแยกของจักรพรรดินีแห่งดารา ตราบใดที่นางฝึกฝนอย่างจริงจังความเร็วในการบ่มเพาะพลังของนางย่อมรวดเร็วไม่แพ้ใคร นางทะลวงผ่านมายังระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดแล้วและกำลังฝึกฝนเพื่อให้บรรลุขั้นสมบูรณ์
…
และแล้วในที่สุดเขตแดนลี้ลับก็เปิดออก
ตอนที่ 1170
เขตแดนลี้ลับไม่ได้ตั้งอยู่ในภูเขาเทียนเฟิง แต่เป็นหุบเขามรณะ ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไปหนึ่งแสนไมล?
แม้จะห่างไกลแต่ก็ยังเป็นพื้นที่ที่ได้รับอิทธิพลจากนิกายสวรรค์เยือกแข็ง แต่มันเป็นสถานที่ต้องห้ามเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน – ตามชื่อของมันหุบเขามรณะไม่ว่าใครก็ตามที่มาที่นี่จะต้องตาย
จนกระทั่งปรมาจารย์สามวิถีเดินทางมาที่หุบเขามรณะด้วยตัวเองและกำจัดสิ่งชั่วร้ายทั้งหมดออกไป แล้วโบราณสถานตั้งแต่สมัยอดีตกาลก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็นอีกครั้ง
แม้ปรมาจารย์สามวิถีจะสามารถแก้ไขรูปแบบอาคมได้บางส่วน แต่เขาก็ไม่สามารถทำลายรูปแบบอาคมได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงมีโอกาสเข้ามาที่นี่เพียงแค่ครั้งเดียวในทุกร้อยปี เพราะอำนาจพลังของรูปแบบอาคมจะลดลงในช่วงเวลานี้ นอกจากนั้นปรมาจารย์สามวิถียังเป็นผู้รับผิดชอบในการเปิดประตูที่จะพาทุกคนเข้าไปข้างใน
ถึงกระนั้นคนที่สามารถเข้าไปได้คือห้ามมีพลังมากกว่าระดับภูผาวารี หากเหนือกว่านั้นจะไม่สามารถเข้าไปได้ และหากดึงดันที่จะเข้าไปผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
ภายในหุบเขามรณะ มันไม่มีสิ่งชีวิตอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ต้นไม้ สัตว์อสูรหรือแม้กระทั่งนก
ทั้งหุบเขาถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำที่ไม่สามารถระบุได้ว่ามันไหลออกมาจากที่ไหน และครอบคลุมทั้งหุบเขา ทำให้ผู้คนที่เห็นต้องถอยห่างออกจากมันทันทีและไม่มีใครกล้าสัมผัส
แต่ทว่าตอนนี้ภายในหุบเขามรณะกลับเต็มไปด้วยกลุ่มคน บางคนที่ไม่ได้รับสิทธิ์จากนิกายสวรรค์เยือกแข็งพวกเขาก็ยังเดินทางมาที่นี่เพื่อลองเสี่ยงโชค
หลิงฮันกวาดสายตามองและเห็นคนที่รู้จัก แต่ไม่ได้เจอกันมานาน
– ซาหยวน!
ใบหน้าของเขาดูเย็นชาขึ้นมาทันทีและเผยให้เห็นถึงจิตสังหาร ความเกลียดชังที่เกิดขึ้นในอดีต หลิงฮันไม่มีทางลืมเด็ดขาด
ก่อนหน้านี้หลิงฮันอยากแก้แค้น แต่ไม่มีโอกาส อีกฝ่ายอยู่ในนิกายตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน แล้วเขาจะฆ่าซาหยวนได้อย่างไร?
แต่ตอนนี้ล่ะ?
พวกเขาไม่ได้อยู่ในนิกายสวรรค์เยือกแข็ง แต่เป็นเขตแดนลี้ลับ
ซาหยวน หนี้แค้นของข้าจะใช้คืนให้อย่างสาสม!
“เจ้านั่นคือซาหยวน?” จักรพรรดิพิรุณถาม เขาเคยได้ยินหลิงฮันพูดถึงศัตรูที่ชื่อว่าจ้าวหลุนกับซาหยวนก่อนหน้านี้
หลิงฮันพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ มันคือซาหยวน”
“ถ้างั้นพวกเราสี่พี่น้องมาร่วมมือกันจัดการมันกันเถอะ!” มู่หลงชิงกล่าว
หลิงฮันส่ายหัวและพูดว่า “ข้าจะจัดการด้วยตัวเอง!’
ถึงแม้พี่น้องทั้งสามคนของเขาจะร่วมมือกัน แต่ช่องว่างระหว่างพวกเขากับซาหยวนนั้นยังแตกต่างกันเกินไป แม้จะร่วมมือกันก็ใช่ว่าจะชนะ
“หลังจากที่เข้าสู่เขตแดนลี้ลับ พวกข้าจะแยกกันไปตามทางของตัวเอง” จักรพรรดิพิรุณกล่าว
เฟิงโป๋วหยุนพยักหน้าเห็นด้วย พวกเขามีความภาคภูมิใจเป็นของตัวเอง ดังนั้นพวกเขาเลยไม่ต้องการพึ่งพาหลิงฮันตลอดเวลา
หลิงฮันรู้ดีว่าไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของพวกเขาได้ เขาทำได้แค่พยักหน้าและพูดว่า “ระมัดระวังตัวด้วย!”
“ฮันหลิน!” เหอเต๋อและอู๋เจ๋อเดินเข้ามาหาหลิงฮันพร้อมกับชายหนุ่มและหญิงสาวอีกสี่คน
ผู้คนที่อยู่รอบข้างรีบหลีกทางให้กับพวกเขาทั้งหกคนทันที
นี่คือหกราชาของนิกายสวรค์เยือกแข็ง พวกเขาคือจอมยุทธระดับภูผาวารีที่ไม่มีใครสามารถต่อกรด้วยได้ และหลังจากที่เข้าสู่เขตแดนลี้ลับ พวกเขาจะกลายเป็นจอมยุทธไร้พ่ายอย่างแท้จริง เพราะจอมยุทธระดับสุริยันจันทราไม่สามารถเข้ามาได้ แล้วใครจะสามารถต่อกรกับหกราชาอย่างพวกเขาได้กัน?
แน่นอนว่าตอนนี้มีราชาทั้งหมดเจ็ดคน
หลิงฮันพยักหน้าและพูดว่า “ไม่ได้เจอกันนาน”
พวกเขาเคยพบกันมาก่อนเพื่อหารือเกี่ยวกับการเปิดคลังสมบัติ เนื่องจากคลังสมบัติอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของดินแดนลี้ลับ และมีอันตรายมากมายระหว่างทาง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการหารือก่อนที่จะไปถึงคลังสมบัติ
อู๋เจ๋อลบความอับอายที่ฝ่ายแพ้ให้กับหลิงฮันไป และกลับมามั่นใจในตัวเองอีกครั้ง แต่ยังไงก็ตาม เขาก็ไม่กล้าสบตามองหลิงฮัน
“ถึงเวลาแล้ว!”
จากนั้นไม่นานก็มีชายคนหนึ่งลงมาจากท้องฟ้า ราวกับว่าเขาเป็นเทพสวรรค์ที่เดินลงมายังโลกเบื้องล่าง
“ปรมาจารย์สามวิถี!”
หลายคนอุทานด้วยความเคารพนับถือ
ในจักรวาลนี้ จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นในสายตาของพวกเขาทุกคนปรมาจารย์สามวิถีจึงเป็นเหมือนเทพเจ้าที่แท้จริง
อย่างไรก็ตามไม่มีใครสามารถเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาได้
ใบหน้าของเขาปกคลุมไปด้วยพลังจึงไม่สามารถระบุได้ว่าเขาตัวสูงหรือตัวเตี้ย แม้กระทั่งเป็นชายหรือหญิงก็ไม่สามารถระบุได้ หากไม่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับเขาก็จะไม่สามารถระบุตัวตนที่แท้จริงของเขาได้เลย
พรึบ มีผู้คนจำนวนมากกำลังบินอยู่บนท้องฟ้าและมายืนอยู่ด้านหลังปรมาจารย์สามวิถีทีละคน พวกเขามีทั้งหมดยี่สิบสี่คน
พวกเขาเหล่านั้นคือจอมยุทธระดับดาราทั้งยี่สิบสี่คนของนิกายสวรรค์เยือกแข็ง และดูเหมือนวันนี้จะเป็นวันที่สำคัญมากถึงทำให้พวกเขาทั้งยี่สิบสี่คนปรากฏตัวพร้อมกัน
หลิงฮันกวาดสายตามองพวกเขาทั้งยี่สิบสี่คน ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ปกปิดใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขาเลย ทำให้มองเห็นใบหน้าของพวกเขาได้อย่างชัดเจน นอกจากเว่ยเจ๋อเฉิงแล้ว หลิงฮันไม่รู้จักใครเลย
ปรมาจารย์สามวิถีไม่พูดจาไร้สาระและเริ่มโคจรพลังออกมากำจัดหมอกดำที่นี่ แต่บรรยากาศภายในหุบเขาก็ยังคงมืดมน แต่ก็ดีกว่าก่อนหน้านี้มาก
นี่เป็นขั้นตอนที่จำเป็น มิฉะนั้นจอมยุทธระดับดาราจะไม่สามารถเข้าไปได้และถูกขับไล่ออกมา
ปรมาจารย์สามวิถีเดินเข้าไปในหุบเขา และจอมยุทธระดับดาราทั้งยี่สิบสี่คนก็คอยช่วยเหลือเขากำจัดหมอกดำ
ทุกคนที่ได้รับสิทธิ์ให้เข้าไปในเขตแดนลี้ลับจะได้รับจี้หยกที่จะเปล่งแสงรางๆออกมาก่อตัวเป็นม่านพลังและปกป้องคนผู้นั้น
แต่ก็มีบางคนเดินปะปนเข้าไปด้วย ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาไม่มีจี้หยก
ที่น่าแปลกคือเหล่าผู้อาวุโสของนิกายสวรรค์เยือกแข็งกลับไม่ขับไล่พวกเขาออกไป และปล่อยให้พวกเขาเดินปะปนเข้าไปพร้อมกับคนที่มีจี้หยก ซึ่งทำให้หลายคนรู้สึกสับสน
แล้วแบบนี้จะมีสิทธิ์เข้าไปในเขตแดนลี้ลับไปทำไม?
แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็ได้รับคำตอบ
“อ๊าก!” ใครบางคนส่งเสียงกรีดร้องและล้มลงกับพื้น ร่างกายของเขาดิ้นไปดิ้นมาด้วยความทรมาน หลังจากนั้นชั่วครู่ลมหายใจของเขาก็หายไปและตายในที่สุด
หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจ เพราะเขาไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติเลย ชายคนนั้นตายโดยไม่มีสาเหตุ
จอมยุทธที่ทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้า พวกเขาไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ แล้วพวกเขาจะตายอย่างกะทันหันได้อย่างไร?
หรือมันจะเป็นเพราะจี้หยก? นี่คือสาเหตุใช่หรือไม่?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น