Alchemy Emperor of the Divine Dao 1139-1156

ตอนที่ 1139

 

“เจ้ากล้าดีอย่างไร!!” กังสื่อหยุนคำรามด้วยความโกรธ “เจ้าเป็นเพียงผู้ติดตามชั้นต่ำ แต่กล้าขโมยเตาหลอมธิดาของข้า? นี่เจ้ากำลังดูหมิ่นนิกายสวรรค์เยือกแข็ง?”


กังสื่อหยุนไม่ได้กล่าวผิดแต่อย่างใด ฝ่ายหนึ่งเป็นศิษย์ของนิกายสวรรค์เยือกแข็ง ในขณะที่อีกฝ่ายเป็นเพียงผู้ติดตาม ต่อให้เขาจะติดตามศิษย์เมล็ดพันธุ์ก็ตามแต่หลิงฮันก็ไม่ถูกนับว่าเป็นศิษย์ของนิกายสวรรค์เยือกแข็ง


แต่ทั้งๆที่พลังบ่มเพาะเท่ากันและนางเป็นถึงศิษย์เมล็ดพันธุ์กลับไม่สามารถโค่นผู้ติดตามของศิษย์เมล็ดพันธุ์อีกคนได้ นางจะยังมีหน้าไปขอความช่วยเหลือจากนิกายงั้นรึ?


หลิงฮันยิ้มอย่างเยือกเย็นและกล่าว “ข้าชนะ ข้าจึงนำบางอย่างมาเป็นสินสงคราม ถ้าเจ้าต้องการมันคืนก็ไม่มีปัญหา โค่นข้าให้ได้!”


คำพูดนี้มักจะออกมาจากปากของศิษย์เมล็ดพันธุ์ แต่ตอนนี้คนกล่าวเป็นเพียงผู้ติดตามเท่านั้น ฟังๆดูแล้วช่างเป็นท่าทีที่อวดดีเหลือเกิน


หูเฟยหยินพยักหน้า “ใช่แล้ว ใช่แล้ว! สิ่งนั้นเป็นสินสงครามของหลิง… ของฮันหลิง!” นางเติมน้ำมันเข้ากองไฟ


ไม่ใช่แค่กังสื่อหยุน แต่ศิษย์เมล็ดพันธุ์คนอื่นก็ไม่พอใจเหมือนกัน พวกเขารู้สึกราวกับศักดิ์ศรีของตัวเองถูกเหยียบย่ำ พวกเขาส่งสายห้าเกรี้ยวกราดไปยังหลิงฮัน


หลิงฮันหัวเราะ “พวกเจ้าจะร่วมหัวกันรุมข้า? ฮ่าๆ เข้ามาเลย ข้ารับคำท้าทุกอย่างอยู่แล้ว ต่อให้เจ้าจะท้าสู้ตัวต่อตัวหรือจะบุกมาทั้งหมดก็ตามสบาย! เพียงแต่ว่าหากพวกเจ้าแพ้พวกเจ้าจะต้องสยบต่อข้า!”


เหล่าศิษย์เมล็ดพันธุ์เกรี้ยวกราดยิ่งขึ้นไปอีก


ที่พวกเขาสามารถกลายเป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์นั้นหมายความว่าพวกเขาไร้เทียมทานในหมู่จอมยุทธระดับเดียวกัน เพียงแต่ว่าพวกเขากลับต้องมาถูกคนที่เป็นเพียงผู้ติดตามดูถูกเช่นนี้ จะไม่ให้พวกเขาโกรธได้อย่างไร?


ศิษย์เมล็ดพันธุ์เหล่านี้มีนิสัยหยิ่งยโสและโอ้อวดมาก่อนที่พวกเขาจะเข้าร่วมกับนิกายสวรรค์เยือกเย็นเสียอีก!


เพียงแต่ว่าต่อให้จะเกรี้ยวกราดขนาดไหนก็ไม่มีศิษย์เมล็ดพันธุ์คนใดเลยที่ก้าวออกมาท้าประลองหลิงฮัน


นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก กังสื่อหยุนคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มของพวกเขาแต่นางก็ยังพ่ายแพ้ ต่อให้นางนำเตาหลอมธิดาออกมาใช้แล้วก็ตาม… หากพวกเขาท้าประลองผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างกันไม่ใช่รึไง? บางทีคงมีเพียงจอมยุทธระดับภูผาวารีเพียงหยิบมือจริงๆ กลุ่มคนหยิบมือที่ว่าคือเหล่าศิษย์ที่ถูกขนานนามว่าราชันซึ่งสามารถสร้างภูผาวารีสายที่ห้าขึ้นมาได้!


“ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกับชายร่างผอมที่จู่ๆก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางฝูงชน กลิ่นอายของเขาลึกลับมาก แค่สัมผัสนิดเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนหวาดกลัวไปถึงจิตวิญญาณ


เขาเป็นตัวตนระดับสูง!


เหล่าศิษย์เมล็ดพันธุ์รีบผสานมือคารวะทักทาย “คารวะผู้อาวุโสไห่หยุน!”


สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคารพ


นั่นเป็นพราะผู้อาวุโสไห่หยุนคือจอมยุทธระดับดารา!


ถึงแม้พวกเขาจะเป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์ที่เก้าในสิบส่วนจะสามารถบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดได้ แต่มีเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้นที่จะสามารถกลายเป็นจอมยุทธณะดับดารา


ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าจอมยุทธระดับดาราจะไม่ให้พวกเขาระงับความหยิ่งผยองเอาไว้ได้อย่างไร?


ผู้อาวุโสไห่หยุนสะบัดมือและเบนสายตาไปยังหลิงฮัน ยิ่งเขามองหลิงฮันเท่าไหร่เขาก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้น โชคดีที่สีหน้าของเขาถูกปิดบังเอาไว้ด้วยออร่าบางอย่าง ไม่เช่นนั้นคนอื่นๆจะต้องตะลึงแน่ว่าอะไรทำให้จอมยุทธระดับดาราตกตะลึงได้


“หนุ่มน้อย เจ้าสนใจเข้าร่วมนิกายของเรารึไม่?” ผู้อาวุโสไห่หยุนยิ้มและกล่าว “ข้ารับประกันได้ว่าเจ้าจะมีสถานะเป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์!”


ทุกคนชะงักในคำพูดของเขาแต่ในขณะเดียวกันก็คิดว่าสมเหตุสมผลแล้ว


หลิงฮันสามารถโค่นกังสื่อหยุนที่เป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์ได้ด้วยระดับพลังที่เท่ากัน แต่นี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ความสามารถของหลิงฮันแล้ว ถ้าอัจฉริยะเช่นเขาไม่สามารถเข้าร่วมนิกายและกลายเป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์ได้ก็แปลกแล้ว


เพียงแต่ว่านิกายสวรรค์เยือกแข็งก็มีกฎของมันเอง นิกายจะไม่รับศิษย์นอกระยะเวลาที่กำหนดทุกๆร้อยปี นี่เป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติตามกันมานานแล้ว ถึงอย่างนั้นการที่ผู้อาวุโสไห่หยุนจะทำลายกฎเพื่อหลิงฮันทั้งๆที่พวกเขาเพิ่งจะพบกันเป็นครั้งแรกนั้นเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก


หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะกล่าวตอบ “ข้าต้องการเข้าร่วมนิกายสวรรค์เยือกแข็ง”


นี่เป็นสิ่งที้เขาวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว


ผู้อาวุโสไห่หยุนหัวเราะอย่างพึงพอใจ เขาพยักหน้าและกล่าว “พวกเจ้าที่เหลือเลือกผู้ติดตามกันต่อไป ส่วนฮันหลิงหลังจากนี้มาหาข้าด้วย ข้ามีบางอย่างจะคุยกับเจ้า”


“ขอรับ” หลิงฮันกล่าวและพยักหน้าอย่างสุภาพ นี่คือสิ่งที่ทำเพื่อแสดงแสดงความเคารพต่อตัวตนระดับดารา


ร่างของกังสื่อหยุนสั่นสะท้านด้วยความโกรธ ทีนี้นางจะทำอะไรได้อีก?


หลิงฮันกลายเป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์แล้ว นางไม่สามารถยืมอำนาจของนิกายมาใช้กับอีกฝ่ายได้อีกต่อไป


ไม่มีทาง!


นางจะต้องชำละล้างความอัปยศครั้งนี้ทิ้งไปให้ได้ ถ้านางไม่แข็งแกร่งพอนางก็ต้องยืมมือคนอื่น


หลิงฮันกวาดสายตาไปรอบๆและเดินไปหาหญิงสาวคู่หนึ่งที่ปรากฏตัวออกมาช่วยเขาเมื่อก่อนหน้านี้


สถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว ฝูงชนเปิดทางให้เขาเดินผ่าน สายตาทุกคู่มองเขาด้วยความกระหายและร้อนแรง พวกเขาหวังให้หลิงฮันเลือกพวกเขาเป็นผู้ติดตาม


สตรีงดงามหลายคนสงสายตาให้เขาด้วยความยั่วยวน


น่าเสียดายที่หลิงฮันไม่สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย เขาเดินตรงไปยังคู่หญิงสาว ในขณะเดียวกันราชินีที่เก้าก็ตามเขามาด้วย นางอยู่ที่นี่แล้วรู้สึกเบื่อมากๆ เมื่อได้พบกับสหายเก่าแล้วเป็นธรรมดาที่นางมีเรื่องมากมายอยากจะพูดคุย


หลิงฮันยิ้มและถาม “พี่ชายตรงนั้นน่ะ เจ้าสนใจมาเป็นผู้ติดตามของข้ารึไม่? ส่วนศิษย์น้องของเจ้าก็สามารถเป็นผู้ติดตามของนางได้” เขาชี้นิ้วไปยังหูเฟยหยิน


หูเฟยหยินพยักหน้าให้กับหญิงสาวชุดฟ้า นางไม่มีความคิดจะรับผู้ติดตาม แต่ในเมื่อหลิงฮันเป็นคนเสนอนางก็ไม่สามารถปฏิเสธได้


ศิษย์พี่ศิษย์น้องยินดีอย่างมากกับคำเชิญของหลิงฮัน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังรู้สึกกังวลและหวาดกลัวเล็กน้อย


“ข้าชื่นชอบความปรารถนาดีของพวกเจ้าที่ออกตัวช่วยเหลือข้า สิ่งที่พวกเจ้าทำข้ารู้สึกชื่นชมมาก” หลิงฮันกล่าว


ทั้งสองคนหันหน้ามองกันและพยักหน้า


“ข้ามีนามว่าฟานรู่” ศิษย์คนพี่กล่าว “ศิษย์น้องของข้ามีนามว่าเฉินเซี่ยว ขอขอบคุณพวกท่านมากที่รับพวกเราเป็นผู้ติดตาม นายน้อยฮันกับ…” เขามองไปยังหูเฟยหยินซึ่งยังไม่รู้จักชื่อแซ่


“นางชื่อหูเฟยหยิน” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม


เฉินเซี่ยวย่อตัวทันที “คารวะนายหญิง!”


หูเฟยหยินรีบพยุงนางขึ้นมาและกล่าว “เรียกข้าว่าเฟยเฟยก็ได้ ข้าไม่ชอบให้คนอื่นเรียกข้าว่านายหญิง”


เฉนเซี่ยวพยักหน้าเข้าใจ นางมีความประทับใจที่ดีต่อหูเฟยหยินอย่างรวดเร็ว


“เอาล่ะ งั้นก็เข้านิกายกันเถอะ” หลิงฮันยิ้ม เขาคิดถึงสุ่ยเยี่ยนยวี่มากแล้วก็ต้องการรวมตัวกันกับพี่ชายทั้งสามด้วย


เขาเดินเคียงข้างหูเฟยหยินในขณะที่ฟานรู่และเฉินเซี่ยวเดินตามหลังมาโดยเว้นระยะห่างสองสามก้าว


ศิษย์เมล็ดพันธุ์คนอื่นทำการเลือกผู้ติดตาม บรรยากาศกลายเป็นเอะอะวุ่นวายขึ้นมาทันทีทันใด


หลิงฮันให้ฟานรู่และเฉินเซี่ยวตามหูเฟยหยินไปก่อน ส่วนเขามุ่งหน้าไปหาผู้อาวุโสไห่หยุน


เขาตามผู้อาวุโสไห่หยุนไปยังที่พักบนภูเขาลูกหลักที่สูงที่สุด บนปลายเขานั้นโอบล้อมไปด้วยก้อนเมฆทำให้ดูราวกับเป็นสวรรค์


“นี่ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่แท้จริงของเจ้า เจ้ากำลังถูกตามล่าหลังจากไปล่วงเกินผู้คนมากมายสินะ?” ผู้อาวุโสไห่หยุนถามตรงประเด็นไม่อ้อมค้อม

 

 

 


ตอนที่ 1140

 

หลิงฮันไม่รู้สึกแปลกใจ เขารู้อยู่แล้วด้วยสายตาของจอมยุทธระดับดารา มันเป็นเรื่องยากมากที่จะหลอกอีกฝ่ายได้สำเร็จ


เขาพยักหน้าและพูดว่า “รุ่นเยาว์มีนามว่าหลิงฮัน ข้าถูกคนโจมตีระหว่างที่เดินทางมานิกายสวรรค์เยือกแข็ง ดังนั้นที่ข้าแปรงโฉมก็เพื่อไม่ให้ลากปัญหาเข้าตัว ซึ่งข้าไม่ได้มีเจตนาที่จะหลอกท่านเลย”


ผู้อาวุโสไห่หยุนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ถ้าหลิงฮันพยายามพูดแถไม่บอกความจริง เขาคงไม่ชอบ แต่หลิงฮันพูดอธิบายอย่างไม่ลังเล ซึ่งทำให้เขาประทับใจหลิงฮันอยู่เล็กน้อย


จากนั้นเขาก็ถามหลิงฮันว่า “ใครเป็นศัตรูของเจ้า ซึ่งข้าสามารถช่วยเจ้าได้และเจ้าก็จะไม่ตกเป็นเป้าหมายอีกต่อไป”


เขาพูดด้วยความมั่นใจ


ภายใต้ดวงอาทิตย์ยังมีอะไรที่แข็งแกร่งกว่าจอมยุทธระดับดาราอีกงั้นหรือ?


อย่างน้อยก็ไม่มีในจักรวาลนี้!


หลิงฮันพูดด้วยความเขินอายเล็กน้อยว่า “รุ่นเยาว์มีศัตรูหลายคน”


“พูดมาไม่ต้องเกรงใจ” ผู้อาวุโสไห่หยุนโบกมือ


หลิงฮันพยักหน้าและพูดว่า “ศัตรูของข้าคือบุตรชายของแม่ทัพซาและแม่ทัพจ้าวแห่งจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะ และจักรพรรดิแห่งราชวงศ์สวรรค์นิรันดร์กับจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิราชวงศ์นภาสีคราม นอกจากนั้นยังมีสมาคมราตรีนิรันดร์ที่คอยพยายามลอบสังหารข้าอยู่หลายครั้ง”


อึก!


ผู้อาวุโสไห่หยุนแทบกระอักโลหิต


ในความคิดเห็นของเขาศัตรูของหลิงฮันน่าจะไม่เกินระดับสุริยันจันทรา


ถ้าเป็นเช่นนั้นมันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา เพราะเขาเป็นจอมยุทธระดับดาราที่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขา นี่ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก


แต่ทว่ารุ่นเยาว์ผู้นี้กลับมีศัตรูที่เป็นแม่ทัพซา แม่ทัพจ้าว จักรพรรดิแห่งราชวงศ์สวรรค์นิรันดร์ จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิราชวงศ์นภาสีคราม พวกเขาทุกคนคือจอมยุทธระดับดารา!


เจ้าเด็กนี่ไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้กันแน่!


เขาเป็นแค่จอมยุทธระดับดาราขั้นต้น ความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับแม่ทัพซาและแม่ทัพจ้าว แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับจักรพรรดิแห่งราชวงศ์สวรรค์นิรันดร์ จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิราชวงศ์นภาสีคราม เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะต่อกรด้วยได้เลย!


“เจ้า-” ผู้อาวุโสไห่หยุนมองหลิงฮันด้วยความลังเล ถึงแม้จะเป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์ แต่ก็ได้นำปัญหาที่ใหญ่มากมาให้กับเขา


แต่เมื่อเขาคิดไปคิดมา เขาก็ส่งเสียงหัวเราะ


ทั้งที่เป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีแต่กลับมีปัญหากับจอมยุทธระดับดาราและยังมีชีวิตรอด นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของหลิงฮัน ภายใต้ดวงอาทิตย์จะมีซักกี่คนที่สามารถทำได้?


หากเจ้าเด็กนี่ไม่ตาย อนาคตของเขาจะต้องไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน!


“เจ้าสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้แล้วหรือยัง?” ผู้อาวุโสไห่หยุนถาม


“ขอรับ!” หลิงฮันตอบกลับอย่างไม่ลังเล


“ไม่เลว ในปัจจุบันมีแค่เจ็ดคนเท่านั้นที่สามารถสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้” ผู้อาวุโสไห่หยุนพยักหน้าและจ้องมองหลิงฮันด้วยสายตาที่นุ่มนวล ใครจะไม่ชอบอัจฉริยะแบบเขากัน?


หลิงฮันแปลกใจเล็กน้อย คนรุ่นเดียวกับเขามีคนที่สามารถสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้มากถึงเจ็ดคน?


นี่เป็นเพียงแค่จักรวาลเล็กๆ และมีจักรวาลนับไม่ถ้วนเช่นเดียวกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้นระดับบ่มเพาะพลังของจอมยุทธที่นี่ไม่ได้สูงมากนัก มีจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์เพียงคนเดียวเท่านั้น


ถ้าไปอยู่ในจักรวาลที่ระดับบ่มเพาะพลังของจอมยุทธสูงขึ้นไปอีกจะมีจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ที่เป็นแค่รุ่นเยาว์หรือไม่?


แน่นอนว่าต้องมี


หลิงฮันพยักหน้า แต่วิถีวรยุทธเป็นเหมือนเรือที่แล่นทวนน้ำ ซึ่งยากมากที่จะทะลวงในระดับที่สูงขึ้น แต่ยิ่งมีระดับบ่มเพาะพลังที่สูงมากเท่าไหร่ สภาพแวดล้อมก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย


“เจ้าไปได้แล้วและระมัดระวังตัวให้มาก แล้วเจ้าควรอยู่แต่ในนิกาย” ผู้อาวุโสไห่หยุนกล่าว


หลังจากที่รู้ว่าศัตรูของหลิงฮันเป็นใคร เขาก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวอะไรมากนัก แม้แต่เขาเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะต่อกรกับคนเหล่านั้นได้ทั้งหมด


หลิงฮันโค้งคำนับอีกครั้งและหันหลังจากไป


ที่พักของหลิงฮันอยู่ที่ยอดเขาหิมะขาว ตอนนี้สถานที่พักของเขาได้จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว มันเป็นพระราชวังขนาดเล็กเพียงพอที่จะอาศัยร้อยคน แต่ตอนนี้มีแค่หลิงฮันและฟานรู่เท่านั้นที่อาศัยอยู่


“ใช่แล้ว ยอดเขาหิมะขาวมีพลังปราณที่อุดมสมบูรณ์มาก และพระราชวังแห่งนี้ยังตั้งอยู่ที่นี่ด้วยช่างเหมาะสมที่จะฝึกฝนยิ่งนัก” หลิงฮันพยักหน้าและให้ฟานรู่เลือกห้องพัก ส่วนหลิงฮันนั้นแน่นอนว่าจะนอนในห้องนอนที่ใหญ่ที่สุด


อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงสภาพแวดล้อมบ่มเพาะพลัง มันจะเทียบกับการฝึกฝนบ่มเพาะพลังในหอคอยทมิฬได้อย่างไร? ซึ่งมีต้นสังสารวัฎอยู่!


หลิงฮันฝึกฝนอย่างหนักในหอคอยทมิฬ


ในตอนแรกหลิงฮันพึงพอใจกับความสำเร็จของตัวเองเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่ได้ยินคำผู้อาวุโสไห่หยุนว่ามีคนที่สามารถสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้อีกหกคนอยู่ในนิกาย จึงทำให้หลิงฮันฝึกฝนอย่างหนักและบ้าคลั่ง


– ในระดับภูผาวารี เขาไม่ได้เป็นตัวตนที่ไร้พ่ายอีกต่อไป!


ถ้าเขาทำตัวผ่อนคลาย อาจถูกคนอื่นตามทันหรือช่องว่างระหว่างเขากับคนอื่นๆจะกว้างขึ้นเรื่อย


เขานำผลึกวิญญาณจำนวนมากออกมาวางอยู่รอบตัว ทันใดนั้นพลังปราณมหาศาลก็แผ่ออกมาเหมือนกับหมอกหนาทึบที่ล้อมรอบอยู่รอบตัวและถูกดูดซับโดยเขา


“ดูเหมือนว่ายังไงก็ต้องฝึกฝนและใช้เม็ดยาควบคู่ไปด้วย” ในเวลากลางคืน หลิงฮันหยุดฝึกฝน


เขามองชางเย่และคนอื่นๆ คนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดคือหยวนเฉิงเหอ เขาบรรลุระดับทลายมิติขั้นที่เก้าแล้ว ถ้าเขาไม่ต้องการขัดเกลาพลังให้ถึงขีดสุด เขาก็สามารถทะลวงผ่านระดับภูผาวารีได้ทุกเมื่อ


แต่ตอนนี้เขาไม่ต้องรีบร้อนอะไร ถึงแม้ว่าหยวนเฉิงเหอจะไม่ใช่อัจฉริยะระดับต้นๆ แต่การที่เขาจะมีพลังต่อสู้สิบสี่ดาวก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าเขาขัดเกลาพลังต่อสู้ถึงยี่สิบดาว เขาก็จะสามารถเรียกตัวเองว่าอัจฉริยะระดับต้นๆ


หลิงฮันให้คำแนะนำพวกเขา แล้วออกมาจากหอคอยทมิฬ จากนั้นเขาก็วางแผนที่จะไปหาสุ่ยเยี่ยนยวี่กับจักรพรรดิพิรุณ


หลังจากคิดอยู่ซักพัก เขาก็ตัดสินใจที่จะไปหาสุ่ยเยี่ยนยวี่ก่อน


แน่นอนว่าศิษย์ธรรมดาไม่สามารถอาศัยอยู่บนยอดเขาหิมะขาวได้ แต่ต้องอาศัยอยู่บนยอดเขาวารีทมิฬ ซึ่งต่ำกว่ายอดเขาหิมะขาวมาก หากคนเหล่านั้นมีโอกาสได้ขึ้นมา พวกเขาก็จะรู้ว่าสภาพแวดล้อมบ่มเพาะพลังนั้นแตกต่างกันมากแค่ไหน


ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมศิษย์ธรรมดาถึงต้องการเป็นผู้ติดตามของศิษย์เมล็ดพันธ์ เพราะพวกเขาจะสามารถอาศัยอยู่บนยอดเขาหิมะขาวได้ ซึ่งมีสภาพแวดล้อมบ่มเพาะพลังที่ดีกว่า


หืม ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ!


หลิงฮันกำลังจะถามใครบางคนว่าสุ่ยเยี่ยนยวี่อาศัยอยู่ที่ไหน แต่ในขณะนั้นเองเขาก็เห็นสุ่ยเยี่ยนยวี่อยู่ด้านหน้าโดยบังเอิญ และด้านหลังนางมีชายหนุ่มชุดเขียวเดินตามอยู่ ใบหน้าของเขาค่อนข้างหล่อเหลาทีเดียว

 

 

 


ตอนที่ 1141

 

เพราะระยะทางทำให้หลิงฮันไม่ได้ยินว่าทั้งสองคนกำลังพูดอะไร เขาเห็นแค่ว่าชายหนุ่มชุดเขียวตามติดสุ่ยเยี่ยนยวี่ตลอดเวลา ในขณะที่นางไม่สนใจอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย


เขาไม่ได้เห็นสุ่ยเยี่ยนยวี่มาสองปี แต่นางก็ยังคงงดงามเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ทว่าความงามของนางนั้นมีเสน่ห์ที่เย็นชา ค่อนข้างเหมือนกับจักรพรรดินีอยู่เล็กน้อย


หลิงฮันเผลอคิดถึงจักรพรรดินีอีกแล้ว!


เสน่ห์ของจักรพรรดินีนั้นน่าสะพรึงกลัวมาก จนทำให้เขานึกถึงนางเป็นครั้งคราว


หลิงฮันรีบส่ายหัวและลบภาพของจักรพรรดินีออกไปจากในหัว การนึกถึงผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าสุ่ยเยี่ยนยวี่เป็นเรื่องที่แย่มาก      เขาเดินไปสุ่ยเยี่ยนยวี่ที่กำลังถูกแมลงวันที่น่ารำคาญตามตื้อ แน่นอนว่าเขาจะต้องไล่มันไป


เพราะหลิงฮันเดินตรงดิ่งเข้าไปหาอีกฝ่าย ทำให้ระยะห่างระหว่างพวกเขาใกล้กันในไม่ช้า


“…ศิษย์น้องสุ่ย ทำไมพวกเราไม่ไปหุบเขาชางหยิงกันล่ะ? ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นมีสมุนไพรหายากอยู่และมีหลายคนไปที่นั่นเพื่อแสวงหาโชค!” ชายหนุ่มชุดเขียวกล่าว


“ปี้หวา ข้าพูดกี่ครั้งแล้วว่าอย่าตามข้ามา!” สุ่ยเยี่ยนยวี่กล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว


ถึงแม้นางจะโกรธ แต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่น่าหวาดกลัว ในทางกลับกัน มันทำให้นางดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น


“สวัสดีพวกเจ้าทั้งสองคน” หลิงฮันรีบเดินเข้ามาทักทายและช่วยไม่ได้ที่เขาจะเดินเข้ามาแทรกทั้งสองคน


สุ่ยเยี่ยนยวี่เผยสีหน้ารังเกียจและรีบถอยหนี ถึงแม้นางจะเกลียดปี้หวา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะต้องใกล้ชิดกับผู้ชายคนอื่น


ปี้หวาแสดงสีหน้าไม่พอใจ อีกฝ่ายเป็นใครถึงกล้ามาขัดขวางความรักของเขา?


เขาส่งเสียงกระแอมและพูดว่า “ศิษย์น้องหรือว่าเจ้าจะไม่จักว่าศิษย์พี่ผู้นี้เป็นใคร?


หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ศิษย์น้องเจ้ามีปัญหาอะไร? ข้าต่างหากเป็นศิษย์พี่ของเจ้า!”


ปี้หวาเริ่มโกรธ หลังจากกวาดสายตามองสำรวจหลิงฮันแล้ว อีกฝ่ายไม่น่าจะเป็นศิษย์เมล็ดพันธ์และศิษย์หลัก เพราะเขาจดจำใบหน้าของศิษย์หลักได้ทุกคน ดังนั้นความเป็นไปได้จึงมีเพียงหนึ่งเดียว อีกฝ่ายเป็นแค่ศิษย์ธรรมดาเท่านั้น


ในนิกายสวรรค์เยือกแข็ง ระดับชั้นค่อนข้างเข้มงวด


-ไม่ว่าศิษย์ธรรมดาจะมีระดับบ่มเพาะพลังสูงแค่ไหน แต่ก็ต้องเรียกศิษย์หลักและศิษย์เมล็ดพันธ์ว่าศิษย์พี่ ซึ่งแน่นอนว่าศิษย์หลักก็เหมือนกัน พวกเขาเป็นรองแค่ศิษย์เมล็ดพันธ์เท่านั้น


ทุกคนเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารี ทั้งที่เจ้าเป็นแค่ศิษย์ธรรมดา แต่กล้าเรียกตัวเองว่าศิษย์พี่ต่อหน้าศิษย์หลักอย่างข้าได้อย่างไร?


“เจ้ากล้าดียังไง!” สีหน้าของปี้หวากลายเป็นมืดมน


บางคนที่เดินผ่านไปมา เมื่อพวกเขาเห็นฉากที่เกิดขึ้น พวกเขาก็หยุดดูทันทีและรอดูว่าเรื่องจะจบลงยังไง


หลิงฮันกล่าว “ทำไม หรือเจ้าจะไม่พอใจ?”


“สามห้าว!” ปี้หวาปล่อยหมัดโจมตีใส่หลิงฮัน


ตู้ม หมัดของเขากลายเป็นหมาป่าทมิฬและพุ่งเข้าหาหลิงฮัน


หลิงฮันแสร้งทำเป็นรับมือยากและปล่อยหมัดออกไปมากกว่าสิบหมัดเพื่อต้านทานการโจมตีนี้


“หืม ชายคนนี้เป็นใคร? แม้ว่านี่จะไม่ใช่การโจมตีที่ทรงพลังที่สุด แต่เขาก็สามารถป้องกันการโจมตีของศิษย์หลักอย่างปี้หวาได้ นั่นหมายความว่าเขาเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก!”


“ใช่ ปี้หวาทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นสูงสุดแล้ว ซึ่งเหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามอย่างเห็นได้ชัด”


“จะว่าไปพวกเรามีศิษย์คนนี้อยู่ในเทือกเขาเฮ่ยสุ่ยหรือไม่?”


ทุกคนมองหน้ากันและพากันส่ายหัว


เมื่อปี้หวาเห็นว่าการโจมตีของเขานั้นไร้ผล เขารู้สึกแปลกใจมาก ทั้งที่อีกฝ่ายมีระดับพลังต่ำกว่าเขาแล้วยังเป็นศิษย์ธรรมดา แต่ทำไมถึงต่อกรกับศิษย์หลักอย่างเขาได้?


เขาโจมตีใส่หลิงฮันอีกครั้ง


หลิงฮันยังคงป้องกันไม่ลงมือโจมตี เขาตั้งใจทำให้ตัวเองดูเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และไม่ทำให้สุ่ยเยี่ยนยวี่รู้ตัวว่าเป็นเขา ถึงแม้ว่าจะถูกนางจ้องมอง แต่นางก็ไม่สามารถมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงได้


ในสายตาของสุ่ยเยี่ยนยวี่ นางคงคิดว่าชายคนนี้จะเข้ามาตามตื้อนางอีกคนแน่ จึงทำตัวอวดเก่งเช่นนี้


แต่ในขณะนั้นเองหลิงฮันก็หมดความคิดที่จะเล่นกับปี้หวา – การเล่นสนุกกับผู้ชายจะน่าสนใจกว่าเล่นสนุกกับภรรยาของตัวเองได้อย่างไร?


ปัง!


เขาต่อยไปที่ใบหน้าของปี้หวาและทำให้อีกฝ่ายกระเด็นลอยออกไป


อะไรกัน!


เมื่อเห็นฉากที่เกิดขึ้น ฝูงชนที่มุงดูอยู่รอบข้างถึงกับตกใจและอ้าปากค้าง


อีกฝ่ายคือปี้หวาที่เป็นถึงศิษย์หลักเชียวนะ!


มันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร!


ทุกคนพูดอยู่ในใจ คนแบบปี้หวาจะพลาดท่าแบบนี้ได้อย่างไร?


แม้แต่ปี้หวาเองก็คิดเช่นนั้น หมัดของฝ่ายตรงข้ามทะลุการป้องกันของเขา ทำให้เขาไม่สามารถหลบได้และทำได้แค่ยืนมอง เขากระโดดขึ้นมาจากพื้นและส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธ


ปัง หลังจากที่ปะทะกันอีกครั้ง ปี้หวาก็ถูกซัดปลิวเหมือนเดิม


เรื่องบังเอิญแบบนี้จะเกิดขึ้นซ้ำได้อย่างไร?


ใบหน้าของปี้หวากระตุกและเขาก็กระโจนเข้าใส่หลิงฮันอีกครั้ง แต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ถูกซัดกระเด็นกลับมาอีกครั้ง


ตอนนี้ทุกคนคิดว่ามีบางอย่างที่ผิด


มันจะมีเรื่องบังเอิญแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไงที่คนถูกซัดกระเด็นคือปี้หวา


“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เขากำลังทำบ้าอะไรอยู่?” ใครบางคนเพิ่งมาถึงและกวาดสายตามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย ช่วยไม่ได้ที่เขาจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา


“มีเรื่องอะไรอย่างนั้นรึ?” คนที่อยู่ด้านข้างถาม


“ฮ่าฮ่าฮ่า ปี้หวากำลังหาเรื่องใส่ตัว!” ชายผู้นั้นหัวเราะ “ศิษย์พี่ผู้นี้เป็นยอดอัจฉริยะที่เพิ่งได้เป็นศิษย์เมล็ดพันธ์เมื่อวาน แม้แต่เทพธิดาอย่างศิษย์พี่กังสื่อหยุนยังพ่ายแพ้ให้กับเขา!”


พรวด!


เมื่อได้ยินเช่นนั้นทุกคนแทบกระอักโลหิต

 

 

 


ตอนที่ 1142

 

ในนิกายสวรรค์เยือกแข็ง ศิษย์เมล็ดพันธุ์ทุกคนนับว่าเป็นตัวตนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง


การรับศิษย์นั้น ศิษย์ทั่วไปจะรับรอบละราวๆหนึ่งหมื่นคนและศิษย์หลักจะรับราวๆหนึ่งพันคน ส่วนศิษย์เมล็ดพันธุ์น่ะรึ? อย่างมากก็ไม่เกินร้อยคน!


ซึ่งจำนวนที่ว่าก็ยังขึ้นอยู่แต่ละปีที่รับศิษย์อีก บางครั้งศิษย์เมล็ดพันธุ์ก็มีเพียงสิบคนเท่านั้น


ไม่เคยมีเหตุการณ์ที่ว่าศิษย์ทั่วไปหรือศิษย์หลักบ่มเพาะพลังจนกลายเป็นจอมยุทธระดับดารา มีเพียงศิษย์เมล็ดพันธุ์ถึงจะเป็นได้


และตามทฤษฎีแล้ว มีเพียงหนึ่งในสิบส่วนของศิษย์เมล็ดพันธุ์เท่านั้นที่จะสามารถทะลวงผ่านไปยังระดับดาราได้สำเร็จ


ศิษย์เมล็ดพันธุ์ทุกคนคนต่างก็เป็นจอมยุทธที่อัจฉริยะที่สุดของดาวแต่ละดาว


กลับกลายเป็นว่าหลิงฮันคือศิษย์เมล็ดพันธุ์!


ทุกคนตกตะลึงและก็รู้สึกขบขันไปพร้อมๆกัน ก่อนหน้านี้ปี้หวากล่าวว่าหลิงฮันทะนงในความสามารถของตัวเองเกินไปและแสดงอำนาจว่าตนเองเป็นศิษย์พี่ แต่สุดท้ายล่ะ? หลิงฮันต่างหากที่เป็นศิษย์พี่ตัวจริง!


ปี้หวาได้ยินสิ่งที่ถูกกล่าวขึ้นมาได้อย่างชัดเจน สีหน้าของเขากลายเป็นหม่นหมองไปเรียบร้อยแล้ว นี่มันเป็นความอัปยศอย่างแท้จริง!


เขามองไปยังหลิงฮัน ตอนนี้เขาไม่กล้ามีความคิดโกรธแค้นใดๆอีกต่อไป


จะให้เขาบาดหมางกับศิษย์เมล็ดพันธุ์งั้นรึ?


ถ้าทำแบบนั้นก็แสดงว่าเขาเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว


ปี้หวาล่าถอยไปอยู่อีกด้านหนึ่ง เขาไม่กล้ามีเรื่องกับหลิงฮันต่อ จะอย่างไรศิษย์เมล็ดพันธุ์ก็คือศิษย์เมล็ดพันธุ์ พลังต่อสู้ของพวกเขาน่าสะพรึงกลัวเกินไป


หลิงฮันมองไปยังสุ่ยเยี่ยนยวี่และยิ้มมุมปากก่อนจะถาม “แม่นางข้าช่วยเจ้าเอาไว้ ไม่ใช่ว่าเจ้าสมควรตอบแทนข้าด้วยตัวเองหน่อยรึ”


ผู้คนรอบข้างมองหน้ากันโดยไม่รู้ว่าจะทำหน้าอย่างไรดี


ในเวลากลางวันแสกๆ จู่ๆเจ้าก็ฉวยโอกาสเอาเปรียบกับสตรีเช่นนี้ มันเหมาะสมแล้วจริงๆรึ?


ต่อให้เจ้าเป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์เจ้าก็ไม่สามารถเอาแต่ใจขนาดนั้น!


ที่นี่คือนิกายสวรรค์เยือกแข็ง ถ้าหากแค่ความปลอดภัยของศิษย์คนหนึ่งยังไม่สามารถดูแลได้ แล้วกฎของนิกายจะมีต่อไปเพื่ออะไร?


“ขอบคุณ!” สุ่ยเยี่ยนยวี่ตอบด้วยท่าทีเย็นชา


ปี้หวายังไม่จากไป เขาต้องการเห็นหลิงฮันถูกสุ่ยเยี่ยนยวี่หักหน้า เป็นความจริงที่สตรีนางนี้ไม่ไว้หน้าบุรุษคนใดเลยแม้จะเป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์ ในเมื่อตนเองไม่สามารถได้นางมาครอบครอง เขาก็อยากจะเห็นคนอื่นตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกันตัวเอง


“แล้วถ้าข้ายังยืนกรานไม่ปล่อยเจ้าไปล่ะ?” หลิงฮันเดินเข้าใกล้สุ่ยเยี่ยนยวี่และอ้าแขนออก


“นิกายก็มีกฎของนิกาย!” สุ่ยเยี่ยนยวี่ยังคงเย็นชา ผู้อาวุโสของนิกายไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายทำอะไรก็ได้ตามใจชอบแน่นอน


หลิงฮันหัวเราะในใจและกล่าว “เจ้าคือภรรยาของข้า เรื่องนี่คือโชคชะตาที่กำหนดไว้แล้ว!” เขาใช้เสียงของตัวเองพูดคำเหล่านี้ออกไป


ทันใดนั้นสุ่ยเยี่ยนยวี่ก็ชะงักทันที สีหน้าประหลาดใจยินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันงดงามของนาง แต่ในขณะเดียวกันนางก็ยังรู้สึกกังวลอยู่ เพราะอย่างไรนางก็ไม่สามารถยืนยันตัวตนของชายตรงหน้าด้วยเสียงเพียงอย่างเดียว


“มานี่มา ขอข้ากอดหน่อย!” หลิงฮันกล่าวโดยไม่รอให้สุ่ยเยี่ยนยวี่อณุญาติ เขากอดนางเข้าสู่อ้อมอกทันที


บัดซบ… นี่เขาทำสำเร็จจริงๆรึ?


ทุกคนสูดหายใจลึก ทุกคนรู้สึกว่าศิษย์เมล็ดพันธุ์ผู้นี้ลามากอย่างมากที่กล้าเอาเปรียบศิษย์น้องสตรีต่อหน้าต่อหน้าทุกคนแบบนี้ ไม่ใช่ว่านั่นเป็นการหาเรื่องใส่ตัวงั้นรึ? ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอัจฉริยะขนาดไหน ถ้าเจ้าเหยียบย่ำกฎของนิกายต่อหน้าสาธารณะชนเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถช่วยเจ้าปกปิดความผิดได้


เมื่อถูกโอบกอดสุ่ยเยี่ยนยวี่ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอันคุ้นเคยขึ้นมาทันที


เป็นเขาจริงๆ!


นางอดกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้ไม่ไหวและโอบกอดตอบหลิงฮัน


พรวด!


ทุกคนสำลักออกมา เกิดอะไรขึ้นกันแน่? นางถูกตกได้ง่ายเพียงนี้?


พวกเขาไม่รู้ว่าสุ่ยเยี่ยนยวี่กับหลิงฮันเป็นคนรักกันและคิดว่าสุ่ยเยี่ยนยวี่หวั่นไหวเพียงเพราะการโอบกอดของหลิงฮัน แน่นอนว่าพวกเรารู้สึกเสียดาย… ถ้าพวกเขารู้ก่อนล่ะก็พวกเขาคงใช้กำลังโอบกอดนางและตกนางได้อย่างง่ายไปแล้ว!


ปี้หวากระอักโลหิตออกมาคำใหญ่


เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมดาอย่างแรง ที่แท้สตรีคนนี้ก็ชอบบุรุษที่ใช้กำลังฝืนใจ!


ก่อนหน้านี้เขาไล่ตามตื้อสุ่ยเยี่ยนยวี่อยู่นานแต่ก็ไม่เป็นผล แต่ตอนนี้เพียงแค่ถูกโอบกอดครั้งเดียวสุ่ยเยี่ยนยวี่ก็ใจง่ายเสียแล้ว เห็นแบบนี้แล้วจะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร? เขารู้สึกราวกับว่าตนเองกลายเป็นบุรุษถูกสวมเขาที่โง่งมที่สุในโลก


เมื่อต้องแยกจากกันเป็นเวลาสองปี อารมณ์ของสุ่ยเยี่ยนยวี่ก็ร้อนแรงราวกับเปลวเพลิง นางเป็นฝ่ายเริ่มจูบหลิงฮันก่อน


แน่นอนว่าหลิงฮันย่อมไม่ปล่อยให้นางผิดหวัง เขาจูบตอบนางอย่างร้อนแรง


“ฮึ่มม!” บรรยากาศโดยรอบโกลาหลขึ้นมาทันที


แต่ทันใดนั้นออร่าที่น่าสะพรึงกลัวก็กวาดผ่านไปทั่วบริเวณ ความเยือกเย็นอันไร้สิ้นสุดผุดขึ้นในเบื้องลึกจิตใจของทุกคน


ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ… นอกจากหลิงฮันทุกคนล้มร่วงลงพื้น สุ่ยเยี่ยนยวี่เองก็ไม่ต่างกัน นางพิงร่างหลิงฮันอย่างไร้เรี่ยวแรง เรือนร่างอันงดงามของนางสั่นสะท้านไม่หยุด


หลิงฮันหันไปมองด้วยความตะลึง เขาเห็นหูเฟยหยินจ้องมองเขากับสุ่ยเยี่ยนยวี่ด้วยสีหน้ามืดมน กลิ่นอายที่สูงส่งถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของนาง


แต่ทันใดนั้นเอง หลิงฮันเกิดความคิดว่าสตรีตรงหน้าไม่ใช่หูเฟยหยินที่ไร้เดียงสา


นางคือจักรพรรดินีแห่งดารา!


ก่อนหน้านี้หลิงฮันเคยเห็นจักรพรรดินีปรากฏอยู่ในร่างของหูเฟยหยินมาแล้ว และตอนนี้นางก็ปรากฏตัวอีกครั้ง!


‘แต่ครั้งนี้ไม่มีอันตรายเสียหน่อย เหตุใดนางถึงปรากฏตัว?’


‘เดี่ยวก่อน หรือว่า… นางจะหึงหวง?’


หลิงฮันคิดว่าความคิดนี้ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี แต่นอกจากเรื่องนี้แล้วจะยังเป็นอะไรอื่นได้อีก?


เขาวางร่างของสุ่ยเยี่ยนยวี่ลงและรีบเดินไปหาหูเฟยหยิน เขาคว้าข้อมือนางและกล่าว “มากับข้า!”


หูเฟยหยิน… ไม่สิ จักรพรรดินีแห่งดาราถลึงตา นางราวกับว่ากำลังจะปลดปล่อยออร่าอันทรงเพื่อส่งร่างของหลิงฮันให้กระเด็น แต่ก็ไม่รู้เพราะอะไรจู่ๆจิตใจของนางก็อ่อนไหวและยอมให้เขาคว้าข้อมือเดินไป


ทั้งสองเดินมาถึงภูเขาเหมันต์ขาวอย่างรวดเร็วและเข้าไปยังที่พักของหลิงฮัน


“ท่านเป็นอะไรของท่านกันแน่?” หลิงฮันถาม


จักรพรรดินีแห่งดาราเค้นเสียงดูถูกและกล่าว “เจ้ามีสิทธิถามคำถามกับข้างั้นรึ?”


“เมื่อครู่ท่านเพิ่งเกือบจะสังหารฆ่า ข้าขอถามเหตุผลไม่ได้รึไง?” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์


ที่จริงจักรพรรดินีแห่งดาราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมนางถึงปรากฏตัวออกมา มันเป็นความรู้สึกชั่ววูบที่ถูกกระตุ้นให้นางลงมือ เพียงแต่ว่านางไม่มีทางยอมรับแน่นอน นางกล่าวออกไป “ข้าจะสังหารทุกคนที่ข้าต้องการ จะมีเหตุผลหรือไม่ก็ไม่สำคัญ!”


เป็นสตรีที่ปากไม่ตรงกับใจจริงๆ!


“ท่านต้องอธิบายให้ข้าฟังตรงๆในวันนี้ว่าท่านมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับราชินีที่เก้า? ทำไมท่านถึงปรากฏตัวในร่างของนางได้?” หลิงฮันกล่าว


“เจ้าคิดว่าข้าจะบอกความลับให้กับคนนอกฟัง?” จักรพรรดินีแห่งดาราแสยะยิ้ม แม้นางรู้สึกถึงความบ้าคลั่งที่ปะทุในหัวใจ แต่เขาเป็นเพียงจอมยุทธระดับภูผาวารีเท่านั้น เขามีสิทธิอะไรจะมาต่อรองกับนาง?


เมื่อใดที่จอมยุทธระดับดาราตกต่ำถึงเพียงนั้น?


หลิงฮันจ้องนางอยู่นานสองนานก่อนจะกล่าว “ก็ได้ ข้าจะบอกความลับบางอย่างของข้าให้ท่านฟัง ส่วนท่านก็ห้ามปิดบังอะไรกับข้าเช่นกัน!”


จักรพรรดินีแห่งดาราต้องการจะถามว่า ‘เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน?’ แต่ทุกๆครั้งเหตุการณ์ที่นางใช้เวลาสองปีกับหลิงฮันก็จะผุดขึ้นมาในจิตใจของนางทำให้นางปฏิบัติกับหลิงฮันอ่อนโยนขึ้นโดยไม่รู้ตัว


“อย่าต่อต้านสัมผัสสวรรค์ของข้า ข้าจะพาท่านเข้าไปในอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ของข้า”

 

 

 


ตอนที่ 1143

 

มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จักรพรรดินีจะรู้ว่าหลิงฮันมีอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นอะไรนั้นนางไม่ทราบ


เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนั้นช่วยไม่ได้ที่นางจะสับสน


ในร่างนี้นางไม่สามารถแสดงพลังทั้งหมดออกมาได้ ดังนั้นจึงไม่มีพลังที่คอยปกปิดการแสดงออกทางสีหน้าของนาง ทำให้หลิงฮันสามารถมองเห็นสีหน้าของนางได้อย่างชัดเจน และช่วยไม่ได้ที่เขาจะประหยาดใจ จักรพรรดินีกำลังแสดงท่าทางเขินอาย?


หรือว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นในทางทิศตะวันตก?


“เจ้ากำลังมองอะไร?” จักรพรรดินีโกรธเล็กน้อย


หลิงฮันยิ้มถึงยังไงเขาก็ไม่สามารถยั่วยุนางได้อยู่ดี


“เข้า!” เขาและจักรพรรดินีเข้าไปในหอคอยทมิฬ


“มันเป็นไปได้ยังไง!” จักรพรรดินีแสดงสีหน้าตกตะลึง พื้นที่มิติของอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์นี้กว้างใหญ่เกินไป


“ยังมีอีกหลายอย่างที่ท่านเห็นต้องตกตะลึง!” หลิงฮันพูดด้วยความภาคภูมิใจเล็กน้อย เพราะเขาสามารถทำให้จักรพรรดินีตกตะลึงได้


จักรพรรดินีเริ่มเดินสำรวจ และนั่นก็ทำให้นางรู้สึกตกตะลึงมากยิ่งขึ้น


เพราะมีสมุนไพรมากมายปลูกไว้ที่นี่ รวมถึงสมุนไพรหายากที่ต้องใช้เวลาปลูกนานหลายปี


นี่ทำให้นางทึ่ง หลิงฮันเพิ่งขึ้นมาจากการเปิดสวรรค์ เขาสามารถปลูกสมุนไพรมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร?


มันไม่สมเหตุผล!


“ข้าจะพาท่านไปดูอะไรบางอย่าง” หลิงฮันจับมือของจักรพรรดินีและวิ่งไปข้างหน้า


จักรพรรดินีจะไม่โกรธได้อย่างไร? เขาหลอกจำมือนาง? นางพยายามปล่อยมือออกจากหลิงฮัน แต่ก็พบว่านางไม่มีพลังที่จะขัดขืนเขาได้ นี่ทำให้นางรู้สึกตกตะลึงอีกครั้ง


เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้โดนปิดผนึกพลัง แต่ทำไมถึงขัดขืนจอมยุทธระดับภูผาวารีไม่ได้? เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?


“เจ้า-” นางตกใจ


“ยินดีต้อนรับสู่โลกของข้า!” หลิงฮันหัวเราะ “ที่แห่งนี้ไม่มีใครสามารถขัดขืนข้าได้!”


“หึ่ม!” หอคอยน้อยโผล่ออกมาและทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ


ปากของหลิงฮันกระตุก เขาถอนหายใจและพูดว่า “แน่นอนยังมีจิตวิญญาณของอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เห็นเจ้านายอยู่ในสายตา”


“ข้าขอโทษ” หอคอยน้อยกล่าวอย่างไม่จริงใจจ


จักรพรรดินีดูตกตะลึงอีกครั้ง นี่เป็นอุปกรณ์มิติอะไรกันถึงทำให้ความแข็งแกร่งของหลิงฮันเหนือกว่านางมาก! ยิ่งไปกว่านั้น จิตวิญญาณอุปกรณ์มิตินี้เหมือนกับมนุษย์ มันแตกต่างจากจิตวิญญาณอุปกรณ์มิติทั่วไปอย่างสิ้นเชิง


ด้วยการนำทางของหลิงฮัน ในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงต้นสังสารวัฎ


“เจ้า!” เมื่อเซียนหวู่เซียงเห็นทั้งสองคน เขาจ้องมองไปที่จักรพรรดินีและเผยสีหน้าสับสน “เจ้าคือหญิงสาวเมื่อตอนนั้น แต่นี่ไม่ใช่ร่างของเจ้า!”


“นายน้อยฮัน!” กลุ่มของชางเย่ทั้งสี่คนเดินเข้ามาทักทายหลิงฮัน


หลิงฮันโบกมือและพูดว่า “ไม่เป็นไร พวกเจ้ากลับไปฝึกฝนต่อเถอะ และพยายามทะลวงผ่านระดับภูผาวารีให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้”


“ครับ!” ทั้งสี่คนเดินกลับไปที่ต้นสังสารวัฎและฝึกฝนบ่มเพาะพลังต่อ


จักรพรรดินีมองดูต้นสังสารวัฎและดูเหมือนจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นในไม่ช้า นางก็อุทานออกมาว่า “นี่มันต้นสังสารวัฎ!”


หลิงฮันพยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้อง!”


จักรพรรดินีคิดอยู่ชั่วครู่และพูดว่า “มันคือต้นสังสารวัฎที่เจ้าซื้อมาจากงานประมูลใช่หรือไม่?”


“ท่านฉลาดมาก!” หลิงฮันยกนิ้วให้


แน่นอนจักรพรรดินีไม่สนใจคำพูดชื่นชมของหลิงฮัน แต่ครุ่นคิดมากขึ้นและพูดว่า “เจ้าเพิ่งขึ้นมาบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่กี่ปี ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตามมันก็ไม่มีทางที่ทำให้เจ้ามีสมุนไพรมากมายขนาดนี้ บวกกับต้นสังสารวัฎ ถ้างั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวคือ…”


ดวงตาของนางส่องประกาย “เจ้ามีความสามารถเร่งการเจริญเติบโตของสมุนไพร!”


“ฮ่าฮ่าฮ่า!” หลิงฮันหัวเราะ “แล้วท่านต้องการฝึกฝนอยู่ที่นี่หรือไม่? หากท่านฝึกฝนใต้ต้นสังสารวัฎหนึ่งวันจะเท่ากับหนึ่งปีของโลกภายนอก!”


จักรพรรดินีเผยสีหน้าประหลาดใจ ขณะเดียวกันหัวใจของนางก็เต้นรัว สำหรับคนที่แข็งแกร่งอย่างนางการสะสมพลังปราณเพื่อทะลวงผ่านขั้นถัดไปนั้นใช้เวลานานมาก แต่ถ้าได้ฝึกฝนใต้ต้นสังสารวัฎมันก็จะทำให้นางประหยัดความเวลาได้อย่างมหาศาล


นอกจากนั้น ในจักรภาพนี้มีจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น นี่แสดงให้เห็นว่าการทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์นั้นยากขนาดไหน


“เงื่อนไขของเจ้าคืออะไร?” จักรพรรดินีจ้องมองหลิงฮันทันที การที่เขาเปิดเผยการมีอยู่ของต้นสังสารวัฎจะต้องมีอะไรมากแลกเปลี่ยนแน่นอน เพราะตราบใดที่ความลับของหลิงฮันที่ครอบครองต้นสังสารวัฎรั่วไหล เขาจะต้องถูกจอมยุทธและเซียนนับไม่ถ้วนตามล่า


หลิงฮันกล่าว “เงื่อนไขของข้านั้นง่ายมาก ในเมื่อข้าได้บอกความลับที่ยิ่งใหญ่ของข้าให้ท่านฟังแล้ว ท่านก็ต้องบอกความลับของท่านให้ข้าฟังด้วย”


จักรพรรดินีแสดงสีหน้าไม่พอใจ นี่เจ้าคิดว่าเล่นต่อคำกันหรือไง? เจ้าพูดคำหนึ่งข้าพูดคำหนึ่ง ถึงอย่างนั้นนางก็ยอมรับว่าหลิงฮันคงจะเชื่อใจนางมาก มิฉะนั้นเขาคงไม่บอกความลับของเขาให้นางฟังก่อน


“เจ้าอยากรู้เรื่องอะไร?” จักรพรรดินีถาม


“ท่านมีความสัมพันธ์ยังไงกับร่างกายนี้?” หลิงฮันถาม นี่เป็นร่างกายของหูเฟยหยิน แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นร่างกายของจักรพรรดินี แม้ว่านางจะไม่สามารถใช้พลังได้ทั้งหมด แต่พลังของนางก็ยังอยู่ในระดับดาราอยู่ดี


“ฮ่าฮ่าฮ่า เรื่องนั้นข้ารู้!” เซียนหวู่เซียงยังไม่จากไปไหนและตะโกนอุทานออกมาจากด้านข้าง


“ผู้อาวุโส ท่านรู้อย่างนั้นหรือ?” หลิงฮันถาม


“แน่นอน!” เซียนหวู่เซียงกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “เรื่องนั้นง่ายมาก นางเป็นคนของเผ่าเก้าอสรพิษ!”


หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจ หรือว่ามันจะเกี่ยวข้องกับภูมิหลังเผ่าของนาง?


เมื่อเห็นเช่นนั้นจักรพรรดินีก็ไม่อาจปกปิดความลับได้อีกต่อไปและเริ่มพูดว่า “เผ่าเก้าอสรพิษมีความสามารถสร้างร่างแยกขึ้นมาได้เก้าร่าง”


หลิงฮันตกตะลึง เมื่อสติของเขากลับมา เขาก็พูดว่า “นี่เป็นส่วนหนึ่งของร่างของท่านอย่างนั้นรึ? ราชินีที่เก้า หรือว่าราชินีที่เก้าจะเป็นร่างที่เก้าของท่าน?”


“ไม่เลว!” จักรพรรดินีพยักหน้า


ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเซียนหวู่เซียงถึงพูดว่าพลังของจักรพรรดินีน่าจะอยู่ที่ระดับดาราเก้าดาว เหตุผลที่ไม่เป็นเช่นนั้นเพราะนางแบ่งพลังออกเป็นเก้าส่วน


เมื่อเห็นว่าหลิงฮันยังสงสัย จักรพรรดินีจึงพูดต่อว่า “ข้าได้ฝึกฝนทักษะเก้าสวรรค์และสร้างร่างแยกขึ้นมาเก้าร่าง ตราบใดที่ทุกร่างบรรลุจุดสูงสุดของระดับดารา และกลับมารวมร่างกันอีกครั้ง มันก็จะทำให้ข้าทะลวงผ่านจุดสมบูรณ์แบบของระดับดารา!”


“ในความเป็นจริง ท่านสามารถทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ได้แต่ทำไมท่านถึงไม่ทะลวงผ่าน?” หลิงฮันถาม


“เจ้าคิดเช่นไรล่ะ?” จักรพรรดินีถามอย่างภาคภูมิใจ


หลิงฮันเงียบ แต่ในใจของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมจักรพรรดินีเป็นอย่างมาก


สมแล้วที่เป็นจักรพรรดินี นางมีพรสวรรค์ที่สูงส่งมาก เพื่อที่จะทะลวงผ่านจุดสมบูรณ์แบบของระดับดารา นางไม่ลังเลเลยที่จะสร้างร่างแยกขึ้นมาเก้าร่างเพื่อให้บรรลุจุดสมบูรณ์แบบของระดับดารา

 

 

 


ตอนที่ 1144

 

“ก็หมายความว่าท่านต้องสร้างร่างเก้าร่างทุกๆครั้งที่เจ้าพยายามขัดเกลาพลังเพื่อให้บรรลุจุดสมบูรณ์แบบของระดับพลัง?” หลิงฮันถาม


“ถูกต้อง” จักรพรรดินีแห่งดาราพลักหน้าด้วยท่าทีจริงจัง “ยิ่งพลังบ่มเพาะของข้าสูงขึ้น ระยะเวลาที่ร่างทั้งเก้าของข้าจะบรรลุจุดสมบูรณ์ก็จะนานขึ้นด้วย ถ้าข้ายังคงฝืนทำเช่นนี้จนถึงระดับวารีนิรันดร์ ข้าอาจจะไม่มีเวลาเพียงพอเพื่อบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่ง”


“เพียงแต่ว่า…” นางแน่นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วเพราะตอนนี้มีต้นสังสารวัฏ”


โชคชะตาได้เปลี่ยนไปจริงๆ ยิ่งระดับพลังสูงขึ้นระยะเวลาที่ต้องใช้ในการทำความเข้าใจกฎแห่งเต๋าก็ต้องมากขึ้น เพียงแต่ว่าต้นสังสารวัฏสามารถช่วยเหลือในการทำความเข้าใจได้ ระยะเวลาภายใต้ต้นสังสารวัฏหนึ่งวันจะเท่ากับโลกภายนอกหนึ่งปี ต่อให้คนเก้าสิบคนมาฝึกฝนพร้อมกับเก้าสิบคนก็ไม่มีปัญหา ดังนั้นจึงไม่ต้องกล่าวถึงร่างแยกเก้าร่างเลย


หลิงฮันชำเลืองมองไปยังจักรพรรดินี นางหมายความว่าอย่างไร? นางยังไม่ได้กลายเป็นสมาชิกของตระกูลหลิงเสียหน่อยแต่นางกลับคิดจะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของตระกูลหลิงแล้ว?


“อะแฮ่ม!” หลิงฮันไอเสียงเบาและกล่าว “เรื่องนั้น เอ่อ… ถึงแม้ข้าบอกว่าจะแบ่งปันความลับกับท่านก็จริง แต่ข้าไม่เคยบอกสักครั้งว่าจะแบ่งปันต้นสังสารวัฏกับท่าน!”


“พื้นดินภายใต้สวรรค์ทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของจักรวรรดิ” จักพรรดินีแห่งดารากล่าวอย่างหยิ่งผยอง “เจ้าเป็นประชากรของจักรวรรดิของข้า และข้าก็เมตตามากแล้วที่ยอมให้เจ้าครอบครองต้นสังสารวัฏ เช่นนั้นเจ้ายังต้องการเก็บผลประโยชน์ไว้กับตัวเจ้าคนเดียวน่ะรึ?”


‘บัดซบ! สมกับเป็นจักรพรรดินีผู้ไม่แยแสใคร นางช่างหน้าไม่อายจริงๆ!’


หลิงฮันส่ายหัวและและกล่าว “สิ่งนี้คือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของข้า ข้าจะแบ่งปันกับคนนอกได้อย่างไร? ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะบ่มเพาะพลังที่นี่ แต่ลองมองดูสิ สี่คนที่กำลังฝึกฝนอยู่เป็นผู้ติดตามของข้า ส่วนผู้อาวุโสคนนั้น… ช่างมันเถอะ เขาไม่ใช่คนด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ไม่ใช่หนึ่งในพรรคพวกของเรา ดังนั้นท่านจึงไม่ได้รับอณุญาติให้บ่มเพาะพลังที่นี่”


เซียนหวู่เซียงอดรู้สึกโมโหขึ้นมาไม่ได้ ถ้าเขาไม่ใช่คนงั้นเขาเป็นอะไร? เจ้าไม่เห็นต้องแว้งกัดข้าแบบนั้นก็ได้ไม่ใช่รึไง? อย่างน้อยครั้งหนึ่งเขาก็เคยเป็นถึงเซียนนะ!


‘เห้อ ข้าอยู่ภายใต้อาณาเขตของคนอื่น สิ่งเดียวที่ข้าทำได้คืออดทน’


จักรพรรดินีแห่งดาราจะไม่เข้าใจคำว่าหนึ่งในพรรคพวกของเราได้อย่างไร? ‘หนึ่งในพวกของเรา’ มันหมายถึงอะไรน่ะรึ? นางเค้นเสียงไม่พอใจตอบกลับไป เจ้าหนูนี่กล้าที่จะมีความคิดลามกกับนาง


เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่รู้สึกโกรธ


ถ้าหลิงฮันเป็นบุรุษชั้นต่ำไร้ยางอายจริงๆล่ะก็เขาคงไม่พลักไสนางและทำเรื่องอย่างว่ากับนางไปนานแล้ว ทำไมเขาจะต้องรอจนถึงตอนนี้ด้วย?


‘เป็นคนที่แปลกจริงๆ’


“เข่นนั้นเจ้าต้องการอะไร?” นางถลึงตาและปลปล่อยออร่าที่น่าสะพรึงกลัวออกมาจากร่าง


“เหอๆ ท่านควรคิดให้ดีก่อนจะลงมือทำอะไรดีกว่า” หลิงฮันกล่าวพร้อมหัวเราะเบาๆ “ที่นี่คืออาณาเขตของข้า ไม่ว่าข้าจะกล่าวอะไรออกไปท่านก็ไม่ควรมีท่าทีหยิ่งยโสโอหังเกินไป ไม่เช่นนั้นท่านระวังจะถูกข้าลงโทษ!”


เขาอยากจะจับจักรพรรดินีคนนี้มาตีก้นนานแล้ว ถึงแม้นี่จะไม่ใช่ร่างหลักของจักรพรรดินีก็ตาม แต่นั่นก็ไม่สำคัญ จิตใจและวิญญาณของนางยังอยู่ในร่างนี้ ดังนั้นนางจะต้องรู้สึกเหมือนกับที่ร่างนี้รู้สึกแน่นอน


ออร่าของจักรพรรดินีอ่อนลงทันที ถ้าเป็นโลกภายนอกนางสามารถสยบหลิงฮันได้ในหนึ่งฝ่ามือ แต่ที่นี่ล่ะ? ที่นี่คืออาณาเขตของหลิงฮันที่ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เขาต้องการทุกอย่าง


หลิงฮันภูมือเขาหากัน ท่าทีของเขานั้นราวกับว่ากำลังรอให้จักรพรรดินีแสดงท่าทีปากไม่ตรงกับใจออกมา


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ทำไมจู่ๆท่านถึงปรากฏตัวออกมา? ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะท่านหึงหวงหรอกรึ?”


“หึ” จักรพรรดินีแห่งดาราหัวเราะอย่างเย็นชา “หึงหวง? เจ้าคิดว่าข้ามีเวลามากขนาดนั้น?”


“งั้นทำไมท่านถึงปรากฏตัวออกมาขัดจังหวะล่ะ?” หลิงฮันถามด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ลังเกียจที่จะสละเวลาเพื่อมาคุยกับจักรพรรดินี้ผู้นี้


“ทำไมข้าต้องบอกเจ้า?” จักรพรรดินีแห่งดาราตอบอย่างเย็นชา


หลิงฮันยิ้มเจ้าเล่ห์ “ท่านบังคับข้าเองนะ!”


เขายกร่างจักรพรรดินีขึ้นมาและจับนางนั่งงอตัวบนตักของเขา


เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ!


เขาตีบั้นท้ายของจักรพรรดินี


เขาคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในหอคอยทมิฬ… ถ้าไม่รวมหอคอยน้อยล่ะก็นะ


หลิงฮันไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นบุรุษที่แสนดี สิ่งที่เดียวยับยั้งเขาเอาไว้ไม่ให้ฉวยโอกาสกับจักรพรรดินีเป็นเพราะหลักคุณธรรมที่เขายึดถือ แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ทั้งกอด จูบ และสัมผัสอย่าลึกซึ้งกันแล้ว ในความคิดของหลิงฮันนางเป็นภรรยาของเขาไปเรียบร้อยแล้ว


พวกเขาเลยเถิดกันไปถึงขนาดนั้น เขาจะยอมให้จักรพรรดินีไปแต่งงานกับคนอื่นงั้นรึ? ไม่มีทาง!


จักรพรรดินีพยายามออกแรงเพื่อให้เป็นอิสระ ถูกทำเช่นนี้มันน่าอายเกินไป!


“เจ้าคนน่ารังเกียจ!” นางกัดฟันพูด เพียงแต่ว่าน้ำเสียงของนางนั้นผสมผสานไปด้วยความย้ำยวนและน่าดึงดูด


ตอนนี้นางอยู่ในร่างของหูเฟยหยินและไม่ได้งดงามไร้ที่ติ เพียงแต่ว่าจิตใจของนางก็ยังเป็นของจักรพรรดินี ทุกๆการเคลื่อนไหวของนางล้วนแฝงไว้ด้วยเสน่ห์ของสตรี


หลิงฮันหัวเราะในใจก่อนจะกล่าว “เอาล่ะ ท่านจะบอกข้าได้รึยัง?”


“เจ้าอยากตายรึ?” จักรพรรดินีเอ่ยถามด้วยความโกรธ นางไม่คาดคิดเลยว่าหลิงฮันที่มีความอดทนถึงสองปีจะทำอะไรบ้าบิ่นเช่นนี้ เขากล้าตีบั้นท้ายของนาง!


นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกชาที่แผ่ซ่านไปทั่วบั้นท้าน นางไม่รู้สึกเจ็บด้วยซ้ำแต่มันกลับทำให้อารมณ์บางอย่างภายในจิตใต้สำนึกของถูกจุดขึ้นมาทำให้นางเผลอเกร็งขาเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว


หลิงฮันหัวเราะลั่น “ท่านสำนึกแล้วรึยัง?”


ตีก้นของร่างแยกยังรู้สึกดีเพียงนี้ แล้วถ้าหากเขาตีก้นของร่างหลักล่ะจะรู้สึกดีขนาดไหน?


จิตใจของเขาสั่นสะท้านเมื่อคิดเช่นนี้ เขาตื่นเต้นจนเกือบจะโห่ร้องตะโกนออกมา


“จะ เจ้าชนะ!” จักรพรรดินีทำได้เพียงยอมจำนนต่อหลิงฮัน สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหลือทางเลือกอื่นให้นาง


หลิงฮันยังรู้สึกไม่หนำใจ “ทำไมเจ้าไม่ทนให้นานกว่านี้? เห้อ…”


จักรพรรดินีแห่งดารารู้สึกราวกับจะกลายเป็นบ้า นางเค้นเสียงและกล่าว “ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเจ้าแต่งงานกับข้า!”


พวกเขาทั้งกอดจูบลูบคลำกันมากแล้ว และนางก็ยังไม่สามารถทำใจให้สังหารบุรุษผู้นี้ได้ด้วย ดังนั้นการแต่งงานจึงเป็นตัวเลือกเดียวที่นางมี


“ท่านมีเงื่อนไขอะไร? บอกมาได้เลย!” หลิงฮันกล่าวด้วยท่าทีมั่นใจ


“ข้าจะแต่งงานกับเจ้าเมื่อเจ้าบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่ง!” จักรพรรดินีแห่งดารากล่าว


“เอ่อ… นั่นดูจะเป็นการเล่นลิ้นเกินไปหน่อย!” หลิงฮันไม่ยอมรับ “ท่านมีพรสวรรค์ขนาดนั้นยังเวลาหนึ่งล้านปีเพื่อบรรลุขั้นสูงสุดของระดับดารา ถ้าข้าจะแต่งงานกับท่านไม่ใช่ว่าข้าต้องใช้เวลาถึงสองหรือสามล้านปีเลยรึไง?”


หลิงฮันมั่นใจอย่างมากว่าเขาจะบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งได้ แต่ที่เขากังวลก็คือระยะเวลาที่ยาวนานกว่าจะไปถึงระดับนั้น


แต่อย่างน้อยในความคิดของจักรพรรดินี ระยะเวลาสองถึงสามล้านปีนั้นไม่ได้ยาวนานอะไรเลย


“ข้ากำลังจะบรรลุจุดสมบูรณ์แบบของระดับดาราแล้ว ส่วนจะทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ตอนไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น ถ้าระดับพลังบ่มเพาะของเจ้าต่ำกว่าข้า เจ้าจะมีสิทธิ์แต่งงานกับข้างั้นรึ?” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง


“เข้าใจแล้ว!” หลิงฮันปรบมือและกล่าว “เจ้าตั้งตารอได้เลย โชคชะตาของเจ้าถูกกำหนดให้เป็นภรรยาข้า!”


จักรพรรดนีแห่งดาราเค้นเสียงและกล่าว “นั่นเป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้เจ้ายังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า ถ้าเจ้ากล้า… อ้ายย!”


นางคิดจะกล่าวเตือนหลิงฮัน แต่นางกลับถูกจับนั่งลงบนตักและถูกตีก้นอีกครั้ง


“จักรพรรดินี ท่านเข้าใจอะไรผิดไปอย่างนะ การแต่งงานก็เป็นแค่พิธีการเท่านั้น ถ้าคิดท้าทายอำนาจของสามีท่าน!” หลิงฮันมีความสุขที่เขาหาโอกาสตีก้นของจักรพรรดินีได้อีกครั้ง


“จริงสิ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับจิตวิญญาณของราชินีที่เก้าล่ะ?”

 

 

 


ตอนที่ 1145

 

“ทำไมข้าจะต้องอธิบายให้เจ้าฟัง?” จักรพรรดินีแห่งดารากล่าวอย่างหยิ่งยโส


เพี๊ยะ!


เสียงตีดังขึ้นอีกครั้ง


หลิงฮันสะบัดมือและกล่าว “ดูเหมือนว่าท่านจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองเลยนะ!”


การตีเมื่อครู่ทำให้ความรู้สึกปวดแสบแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของนาง ความรู้สึกประหลาดที่ผุดขึ้นมาของนางยิ่งชัดเจนขึ้นราวกับจะปะทุออกมา นางไม่กล้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่เช่นนั้นหากนางถูกกระตุ้นจนเกิดเรื่องไม่ขาดฝัน ในอนาคตนางจะต้องถูกจับมาอยู่ในสภาพเช่นนี้อีกแน่


“เมื่อพลังบ่มเพาะของร่างนี้บรรลุระดับสวรรค์ เจตจำนงของข้าจะค่อยๆตื่นขึ้นและผสานเข้ากับนาง” จักรพรรดินีกล่าว “ทักษะลับของเผ่าเก้าอสรพิษเป็นเช่นนี้ทั้งหมด ถ้าข้ามีพลังระดับภูผาวารี ร่างแยกก็จะมีปลุกพลังได้เพียงภูผาวารี แต่ถ้าข้ามีพลังระดับวารีนิรันดร์ ร่างแยกของข้าก็จะปลุกพลังได้ถึงระดับวารีนิรันดร์”


หลิงฮันครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะถาม “งั้นก็หมายถึงนางไม่รู้ถึงตัวตนความเป็นมาของท่าน?”


“นางไม่รู้” จักรพรรดินี้แห่งดารากล่าว


สีหน้าของหลิงฮันมืดมนกว่าเดิม “หมายความว่านางจะหายไปเมื่อเจตจำนงของท่าถูกปลุกขึ้นมาอย่างสมบูรณ์?”


“นิสัยที่แตกต่างกันของร่างแยกทั้งเก้าต่างก็แยกออกมาจากตัวข้า” จักรพรรดินีแห่งดารากล่าวในเชิงปลอบใจ “หรือก็คือพวกนางเป็นส่วนหนึ่งของข้า ข้ายังสามารถสร้างร่างแยกได้อีกเมื่อบรรลุะดับวารีนิรันดร์”


หลิงฮันโล่งอกเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขามีความรู้สึกผูกพันธุ์กับราชินีที่เก้าที่แสนไร้เดียงสา


แต่ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวของเขาทำให้สีหน้าเขาดูแปลกประหลาดไปจากเดิม


“มีอะไรงั้นรึ?” จักรพรรดินีแห่งดาราถาม


หลิงฮันลังเลอยู่สักพักก่อนจะกล่าว “ไม่ใช่ว่าถ้าข้าแต่งงานกับท่าน ข้าจะได้ภรรยาเพิ่มมาอีกเก้าคนโดยที่ไม่ต้องเปลืองแรงเลยไม่ใช่รึไงกัน? นี่มันบ้าไปแล้ว! ข้าจะเผด็จศึกพวกท่านทุกคนพร้อมกันอย่างไรดี?”


“จะ เจ้าคนโรคจิต!” จักรพรรดินีแห่งดาราคำรามด้วยความโกรธและทุบร่างหลิงฮันจนลอยกระเด็น


แน่นอนว่าหลิงฮันจงใจให้นางทำเช่นนี้ เขารังแกนางมานานพอสมควรแล้ว หากให้นางระบายอารมณ์เมื่อออกจากหอคอยทมิฬ ความโกรธของนางอาจจะลดลงบ้าง


เขาเดินกลับมาและกล่าว “เอ่อ ภรรยาข้า…”


“ใครเป็นภรรยาเจ้า?” จักรพรรดิแห่งดารากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ นางเพียงแค่ให้โอกาสเขาเท่านั้น สำหรับตอนนี้หลิงฮันยังไม่มีสิทธิ์สู่ขอนางแต่งงาน


หลิงฮันยักไหล่และกล่าว “งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าอะไรดี? ยอดรัก? สุดที่รัก?”


จักรพรรดินีแห่งดาราจ้องมองไปที่เขาด้วยความมึนงง ก่อนหน้านี้นางคิดว่าหลิงฮันจะเป็นคนจริงจัง แต่ใครจะไปนึกว่าที่แท้เขากลับกลายเป็นคนทะเล้นเช่นนี้? นางส่ายหัวในขณะที่คิดว่านางตัดสินใจผิดพลาดไปรึเปล่า


“เรียกข้าว่าองค์จักรพรรดินี!” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเน้นย้ำ


“…”


หลิงฮันพยักหน้า “ก็ได้!”


‘ข้าอาจจะเรียกเจ้าว่าองค์จักรพรรดินีในตอนนี้ แต่ในอนาคตเจ้าจะต้องเรียกข้าว่าท่านสามี!’


“งั้นก็ เอ่อ องค์จักรพรรดินี…”


“ตอนนี้มีแค่พวกเราสองคน มีความจำเป็นต้องเรียกข้าเช่นนั้น?”


“ท่านนี่ไม่น่ารักเอาเสียเลย!” หลิงฮันถอนหายใจก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “แล้วเผ่าสวรรค์บรรพกาลคืออะไร? พวกเขาดูเหมือนจะทรงพลังอย่างมาก”


“เรื่องนี้ข้ารู้!” เซียนหวู่เซียงกล่าว เขาเริ่มทำให้ตนเองเป็นจุดใจอีกครั้ง เขาเป็นถึงเซียนแท้ๆแต่ทั้งสองคนกลับไม่แยแสและเลือกที่จะเมินเฉยเขาอย่างไม่เห็นค่า นี่พวกเขารู้รึเปล่าว่าการจะได้รับคำชี้แนะจากเขานั้นเป็นโอกาสที่หาได้ยากขนาดไหนถึงได้ไม่คว้าโอกาสนี้เอาไว้?


จักรพรรดินีแห่งดาราชำเลืองไปยังก้อนแสง ดูเหมือนสิ่งนี้จะเป็นเซียนที่รู้ดีไปเสียทุกอย่างและนางคงไม่สามารถปิดบังความลับนี้เอาไว้ได้ ไหนๆก็ไหนๆแล้วนางเป็นฝ่ายเล่าเองเลยดีกว่า “เผ่าสวรรค์บรรพกาลเป็นชื่อเรียกรวมของเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลัง พวกเขาปรากฏตัวขึ้นเมื่อยุคสมัยบรรพกาล ซึ่งเผ่าสวรรค์บรรพกาลทุกคนต่างก็ครอบครองความสามารถที่อัศจรรย์”


“เจ้าหนู เจ้าเองก็อาจจะมาจากเผ่าสวรรค์บรรพกาลก็เป็นได้” เซียนหวู่เวียงกล่าวแทรก กายหยาบของหลิงฮันนั้นทรงพลังเป็นอย่างมากและเขารู้สึกว่าการจะมีกายหยาบเช่นนี้ได้ต้องเป็นเผ่าสวรรค์บรรพกาลเท่านั้น


จักรพรรดินีแห่งดาราพยักหน้าเห็นด้วย


แต่ในขณะเดียวกันหลิงฮันส่ายหัวปฏิเสธ เขามาจากตระกูลธรรมดาทั่วไป จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาเป็นหนึ่งในเผ่าสวรรค์บรรพกาล? เหตุผลเดียวที่กายหยาบและจิตวิญญาณของเขาไร้เทียมคือคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์


แม้หลิงฮันจะไม่เคยเห็นเผ่าสวรรค์บรรพกาลคนอื่น แต่จากที่เห็นจักรพรรดนีแห่งดาราแล้วก็รับรู้ได้ว่าพวกเขามีความสามารถที่เหลือเชื่อขนาดไหน เผ่าเก้าอสรพิษสามารถแยกร่างออกมาเก้าร่างได้ ซึ่งหมายถึงพวกเขาจะมีชีวิตสำรองเพิ่มขึ้นเก้าชีวิต ด้วยความสามารถนี้ก็เรียกได้ว่าน่าอัศจรรย์เกินบรรยายแล้ว


“เวลาจะหมดแล้ว ข้าคงต้องไปก่อน” จู่ๆจักรพรรดินีก็กล่าวขึ้นมา


หลิงฮันชะงักก่อนจะกล่าว “งั้นข้าจะพาท่านออกไปเอง”


จักรพรรดินีแห่งดาราสามารถรับรู้สถานการณ์ของหูเฟยหยินได้ แต่นั่นก็เป็นจักรพรรดินีฝ่ายเดียว ในขณะที่หูเฟยหยินนั้นไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่จักรพรรดินีเป็นคนคำควบคุมร่างของนางและสังหารสัตว์อสูร แต่หูเฟยหยินกลับคิดว่าเป็นหลิงฮันที่สังหารสัตว์อสูร


จักรพรรดินีแห่งดาราพยักหน้า ทั้งสองคนออกจากหอคอยทมิฬด้วยกัน


“ที่ข้าเป็นอากาศธาตุรึไง?” เซียนหวู่เซียงพึมพำด้วยท่าทีหม่นหมอง ทำไมพวกเขาถึงได้เมินเขาทั้งคู่เลย?


“ผู้อาวุโส ข้ามีคำถาม!”


“ข้าด้วย!”


ชางเย่และคนอื่นๆเดินเข้ามาใกล้ ทันใดนั้นเองความภาคภูมิใจของเซียนหวู่เซียงก็กลับมาและช่วยชี้แนะพวกเขา


หลังจากออกจากหอคอยทมิฬจักรพรรดินีแห่งดาราก็หลับตาลงก่อนจะเปิดตาอีกครั้ง การกระทำเช่นนี้แม้จะใช้เวลาเพียงพริบตาแต่กลับมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก บรรยากาศยิ่งยโสรอบกายของนางหายไปและกลายเป็นสตรีที่ไร้เดียงดาแทน


“หือ? ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่?” หูเฟยหยินถามด้วยสีหน้ามึนงง นางกัดนิ้วและใช้มืออีกข้างเกาหัวแสดงออกถึงความสับสนอย่างมากที่สุด


“รอข้าอยู่ที่นี่ก่อน” หลิงฮันกล่าว เมื่ออีกฝ่ายหยักหน้าเขาก็เดินไปหาสุ่ยเยี่ยนยวี่ เมื่อพบนางแล้วเขาก็พานางกลับมาด้วย


สุ่ยเยี่ยนยวี่อดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกหวาดกลัวต่อหูเฟยหยินผุดขึ้นมาครู่หนึ่ง “ทำไมออร่าของนางถึงได้น่ากลัวเพียงนั้น?” นางกระซิบถามหลิงฮัน


“ข้าจะอธิบายให้ฟังทีหลัง” หลิงฮันส่ายหัว เขายิ้มไปยังราชินีที่เก้าและกล่าว “ราชินีที่เก้า ข้าจะพาเจ้าไปสถานที่สนุกๆ”


“ได้เลย! ไปกันเลย!” หูเฟยหยินปรบมือด้วยความตื่นเต้น ด้วยนิสัยไร้เดียงสาของนาง นางไม่เคยคิดถึงเลยว่าจะมีใครแอบล่อนางไปขายรึไม่


หลิงฮันใช้สัมผัสสวรรค์โอบคลุมสตรีทั้งสองเอาไว้และพาพวกเขาไปยังต้นสังสารวัฏในหอคอยทมิฬ


“นี่คือต้นสังสารวัฏ” หลิงฮันกล่าวกับหูเฟยหยิน “ตั้งแต่วันนี้เจ้าจะต้องมาบ่มเพาะพลังที่นี่ทุกคืน หากทำเช่นนี้ระดับพลังของเจ้าจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว”


“ข้าต้องบ่มเพาะพลังอีกแล้ว?!” สีหน้าบูดบึ้งปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของหูเฟยหยิน “ข้าเกลียดการบ่มเพาะพลัง! มันทั้งเหนื่อยและน่าเบื่อ!”


หลิงฮันเผลอคิดขึ้นมาว่าหูเฟยหยินนั้นเป็นนิสัยที่แยกออกมาจากจักรพรรดินีแห่งดารา นางคือความไร้เดียงสาที่จักรพรรดินีในตอนนี้ไม่มีเพราะแยกออกมาแล้ว


เช่นนั้นหากตอนที่นางผสานร่างแยกทั้งเก้ากลับสู่ร่างต้น นิสัยของจักรพรรดินีจะเป็นอย่างไรกัน?


“ห้ามอิดออดนะตกลงไหม?” หลิงฮันลูบหัวหูเฟยหยิน “เจ้าต้องตั้งใจบ่มเพาะพลังให้ดี”


หูเฟยหยินพแงแก้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น เพียงแต่นางก็ไม่ได้รังเกียจที่หลิงฮันลูบหัวนาง ในขณะเดียวกันสุ่ยเยี่ยนยวี่แสดงออกถึงสีหน้าที่ตกตะลึง อีกฝ่ายคือราชินีที่เก้านะ! จักรพรรดินีกล่าวว่าให้มองราชินีทั้งเก้าเหมือนกับที่มองนาง ในเมื่อเป็นเช่นนั้นหลิงฮันไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงได้ลูบหัวนาง?!


สุ่ยเยี่ยนยวี่ไม่รับรู้แม้แต่น้อยเลยว่าหลิงฮันนั้น แม้แต่ตีบั้นท้ายของจักรพรรดินีเขาก็ทำมาแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 1146

 

หลังจากพูดหว่านล้อมให้หูเฟยหยินบ่มเพาะพลังได้สำเร็จหลิงฮันก็ไปอยู่กับสุ่ยเยี่ยนยวี่


สิ่งแรกที่เขาทำคือจูบนางอย่างรุ่มร้อน พวกเขาไม่ได้เจอกันมานานกว่าสองปี เขาคิดถึงสตรีที่งดงามและยั่วยวนคนนี้มาก


ในตอนแรกสุ่ยเยี่ยนยวี่ก็พยายามจะดันร่างหลิงฮันออกไป แต่ร่างของนางกลับสั่นสะท้านและฟุบลงในอ้อมกอดหลิงฮัน ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานและส่งสายตาอันยั่วยวน


“อย่า…” นางต้องการจะพลักเขาออกไปแต่ในขณะเดียวกันก็อยากอยู่ในอ้อมแขนของเขา


“ภรรยาข้า เจ้าถูกวางยาพิษ! พิษชนิดนี้จะหายไปทันทีหากข้าหลับนอนกับเจ้า” สีหน้าของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นจริงจังและกล่าว “พิษที่ว่ามีชื่อความพิษรัก มันเป็นพิษที่รุนแรงที่สุดในโลก! ถ้าไม่ใช่ข้าที่สละตัวถอนพิษให้เจ้าแล้วใครจะทำ?”


สุ่ยเยี่ยนยวี่อยากจะกรอกตาแต่ก็เลือกที่จะพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง หลิงฮันจูบนางอย่างกระหายทำให้สติของนางเลือนราง ตอนนี้สิ่งเดียวที่นางต้องการคือการถูกบุรุษผู้นี้กลืนกิน


“ข้ารักเจ้า!” สุ่ยเยี่ยนยวี่พึมพำ


“ข้าก็รักเจ้า!” หลิงฮันขยับนิ้วอย่างเชี่ยวชาญจนพริบตาเดียวร่างของสุ่ยเยี่ยนยวี่ก็เปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้า เขาเลื่อนนิ้วผ่านร่างกายที่งดงามราวกับหยกทำให้เพลิงราคะของนางปะทุอย่างไม่อาจต้านทาน


“ทำรักกับข้า!” สุ่ยเยี่ยนยวี่โอบแขนสองข้างเข้าที่รอบคอหลิงฮัน


นางไม่ได้เห็นคนรักของตัวเองมาเป็นเวลาสองปีทำให้นางรู้สึกเป็นห่วงเขาอย่างมาก แม้ว่านางจะรู้ว่าหลิงฮันต้องปลอดภัยแน่นอนก็ตามที


“ที่รักของข้า!” หลิงฮันจูบสุ่ยเยี่ยนยวี่อย่างดูดดื่ม ครั้งนี้เขาจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่ลิ้มรสจากฝีปากของนางแต่เขาจะเปลี่ยนนางให้กลายเป็นสตรีของเขาเต็มตัว


“อ่อนโยนกับข้าด้วย” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ


“ข้าจะพยายาม…”


เขาดันบางอย่างเข้าไปในร่างของนางด้วยความเสน่หา



หลิงฮันกับสุ่ยเยี่ยนยวี่นอนอยู่ด้วยกันโดยสุ่ยเยี่ยนยวี่อยู่บนตักของหลิงฮัน บนใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจ


“เจ้าอันธพาล… เจ้ารีบทำเช่นนี้กับข้าเพราะเจ้าต้องการจะแต่งงานกับองค์จักรพรรดินี!” สุ่ยเยี่ยนยวี่หยิกหลิงฮันหลังจากที่ได้ยินเขาอธิบายสถานการณ์เกี่ยวกับจักรพรรดินีแห่งดารา


หลิงฮันรีบส่ายหัวปฏิเสธ “นี่เป็นเรื่องของข้ากับเจ้าสองคน คนอื่นไม่เกี่ยว! ภรรยาข้า เจ้าทั้งงดงามและมีเสน่ห์ ข้าอดกลั้นมาเป็นเวลานานแล้ว!”


“จะ เจ้าคนลามาก!” ถึงแม้พวกเขาจะเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว สุ่ยเยี่ยนยวี่ก็ยังไม่สามารถอดทนต่อการเย้าแย่ของหลิงฮัน ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงเผือดทันที


ความไคร่ของหลิงฮันเริ่มถูกกระตุ้นขึ้นมาเมือเห็นท่าทีอันเคอะเขินและยั่วยวนของนาง


“อืมมม!” ทั้งสองกอดรัดกันอยู่ เป็นไปได้อย่างไรถ้าสุ่ยเยี่ยนยวี่จะไม่สังเกตเป็นการเคลื่อนไหวของหลิงฮันน้อย? ดวงตาของนางเปิดกว้างทันที


“ภรรยาข้า ได้เวลาเริ่มยกสองแล้ว!”


หลิงฮันหัวเราะและกดร่างของสุ่ยเยี่ยนยวี่เอาไว้ใต้ร่างของเขา จากนั้นก็ก็เริ่มศึกยกสอง



หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…


นี่คือการร่วมรักวันแรกของสุ่ยเยี่ยนยวี่ ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าทำกี่ครั้งก็ไม่พอ ในขณะเดียวกันหลิงฮันเองก็หลงไหลในสตรีที่งดงามตรงหน้า เขาจึงสามารถร่วมรักกับนางได้โดยลืมความเหนื่อยล้าไปหมดสิ้น


กว่าทั้งสองคนจะอิ่มเอมกับการร่วมรักวันเวลาก็ผ่านไปสามวันเต็ม


ในที่สุดพวกเขาก็ออกจากหอคอยทมิฬ หูเฟยหยินบ่นอิดโอยด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง นางบ่มเพาะพลังภายใต้ต้นสังสารวัฏซึ่งหนึ่งวันจะเท่ากับหนึ่งปี นางที่ฝึกติดต่อกันห้าวันนั้นรู้สึกเบื่อจนแทบจะเป็นบ้า นางตะโกนไม่หยุดว่าอยากจะออกไปข้างนอกแล้ว


หลิงฮันส่ายหัว ใครจะไปคิดว่าจักรพรรดินีจะมีด้านไร้เดียงสาเช่นนี้ด้วย? ถ้าหากจักรพรรดินีเป็นคนแสดงนิสัยเช่นนี้ออกล่ะจะเป็นยังไง?


เขาชัดอยากจะเห็นแล้วสิ


หลังจากออกมาจากหอคอยทมิฬ สุ่ยเยี่ยนยวี่ก็ย้ายออกจากที่พักเก่าของนางและไปอยู่กับหลิงฮัน เมื่อทำเช่นนี้นางจะสามารถดูดซับพลังวิญญาณจากโลกภายนอกและเข้าไปทำความเข้าใจกฎแห่งเต๋าใต้ต้นสังสารวัฏภายในหอคอยทมิฬ


หลิงฮันสามารถมีผู้ติดตามได้สามคนแต่เขารับมาแค่คนเดียว เพราะงั้นที่พักจึงกว้างพอให้ทั้งเขาและสุ่ยเยี่ยนยวี่บ่มเพาะพลัง


สุ่ยเยี่ยนยวี่มุ่งเน้นไปที่การบ่มเพาะพลังในขณะที่หลิงฮันมุ่งเน้นไปยังการฝึกฝนหลอมเม็ดยา


เขาต้องการเงิน


ดาบอสูรนิรันดร์ของเขาตอนนี้ยังเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสามเท่านั้น เขาต้องการพัฒนาให้มันเป็นระดับสี่ ห้า หรือสูงกว่านั้น


เพียงแต่ว่าสิ่งที่จำเป็นก็คือแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์สามและสี่นับไม่ถ้วน การจะซื้อพวกมันต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล


เม็ดยาระดับสูงสุดที่เขาสามารถหลอมได้ในตอนนี้คือเม็ดยาสวรรค์ครามเร้นลับ หนึ่งเม็ดยาสามารถขายได้หลายพันผลึกก่อเกิด ส่วนวัตถุดิบสมุนไพรนั้นเขาได้ปลูกพวกมันเอาไว้ในหอคอยทมิฬเรียบร้อยแล้ว คงอีกไม่นานเขาก็จะสามารถเก็บเกี่ยวพวกมันได้ เพียงแต่ว่าหลิงฮันต้องการหลอมเม็ดยาที่ระดับสูงกว่านี้


แต่แน่นอนว่าเขายังไม่มีสูตรเม็ดยาที่ระดับสูงกว่านี้เขาจึงต้องยอมหลอมเม็ดยาสวรรค์ครามเร้นลับต่อไปก่อน


หลิงฮันเสียใจที่ลืมขอให้จักรพรรดินีแห่งดาราบังคับสมาคมปรุงยาให้คัดลอกสูตรเม็ดยาของพวกเขามาให้ตัวเอง


น่าเสียดายที่เขากับจักรพรรดินีในตอนนั้นยังไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน


แต่จะอย่างไรก็ช่าง ใช่ว่าเขาจะไม่ได้กลับดาวเฟยหยุนเสียหน่อย


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


ใครบางคนเคาะประตูที่พักของเขา


ฟานรู่รีบไปที่ประตูก่อนจะกลับมามอบจดหมายให้เขา “นายน้อยฮัน นี่คือบัตรเชิญถึงท่าน”


หลิงฮันรับจดหมายและอ่านผ่านๆ งานรวมศิษย์เมล็ดพันธุ์จะถูกจัดขึ้น ผู้เข้าร่วมแต่ละคนจะได้เพลิดเพลินชาและแลกเปลี่ยนความเข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์วรยุทธ งานรวมตัวจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ศิษย์เมล็ดพันธุ์ระดับภูผาวารีทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ ศิษย์แต่ละคนก็เข้าร่วมนิกายกันมาได้ซักพักแล้วแต่ยังไม่รวมตัวกันอย่างเป็นทางการเสียที


“จังหวะจะดีเกินไปหน่อยไหม? พวกเขาคงไม่ได้จัดงานนี้ขึ้นเพื่อข้าหรอกนะ?” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาทำลายอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ของกังสื่อหยุนแถมยังเก็บซากที่เหลือไปเป็นสินสงครามอีก สตรีคนนี้จะต้องไปปล่อยเรื่องนี้ไปแน่


“เหอๆ มีศิษย์เมล็ดพันธุ์หกคนที่สร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้ นี่เป็นโอกาสดีที่จะดูว่าพวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหน”


วันรุ่งขึ้นหลิงฮันเดินไปยังยอดเขาด้วยความมั่นใจ


งานรวมตัวจะจัดขึ้นที่ยอดเขาของภูเขาเหมันต์ขาว เขาลูกนี้เป็นภูเขาพิเศษสำหรับศิษย์เมล็ดพันธุ์ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ศิษย์หลักหรือศิษย์ทั่วไปจะมาที่นี่เพื่อดูการต่อสู้ของพวกเขา


ภูเขาเหมันต์ขาวเป็นเขาที่สูงลิ่ว แต่สำหรับจอมยุทธระดับภูผาวารีแล้วความสูงเท่านี้ไม่นับว่าเป็นอันใด  หลิงฮันเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยสักพักก็มาถึงยอดเขา


“โปรดแสดงบัตรเชิญ” ยอดเขามีพื้นที่กว้างขวางมากและมีชายสองคนยืนเฝ้าด้านหน้าทางเข้า ออร่าของทั้งสองแข็งแกร่งมากแม้จะเป็นเพียงผู้คนประตูก็ตาม


พวกเขาอาจจะเป็นผู้ติดตามของใครบางคน ขนาดผู้ติดตามตามยังดูทรงอำนาจเพียงนี้ พอจะเดาได้เลยว่าคนที่พวกเขาติดตามจะแข็งแกร่งขนาดไหน


หลิงฮันยื่นบัตรเชิญให้ดู หนึ่งในพวกเขาจ้องมองดูก่อนท่าทีหยิ่งยโสจะหายไปจากใบหน้า “โอ้ ที่แท้ก็เป็นนายน้อยฮันแน่นอน! เชิญเข้างานได้เลย!”


ยอดเขาเต็มไปด้วยก้อนหินที่ถูกจัดทรงและมีขนาดพอเหมาะ ก้อนหินเหล่านี้คงจะเป็นที่นั่งซึ่งที่นั่งส่วนใหญ่มีคนนั่งไปก่อนแล้ว หลิงฮันมองไปรอบๆและพบเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยหลายคน


เส้าซือซือ ซู่จิง ตูอัน เฉียนหลี่เสวี่ยน จักรพรรดิพิรุณ และติงผิง!


จักรพรรดิพิรุณและติงผิงจำหลิงฮันไม่ได้เพราะยังไม่ได้ยินชื่อของเขา ทั้งสองชำเลืองมองมาที่เขาก่อนจะหันสายตากลับไป


มีคนที่มาถึงหลังเขาอยู่พอสมควร ในหมู่คนเหล่านั้นมีเซี่ยอู๋เฉียน หูเฟยหยินแล้วก็… กังสื่อหยุน!


นางจ้องมองหลิงฮันทันทีที่มาถึง ออร่าที่อำมหิตและเย็นชาถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของนาง

 

 

 


ตอนที่ 1147

 

แน่นอนว่าหลิงฮันไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย กระทั่งขี้เกียจสนใจเลยด้วยซ้ำ แล้วนำผลวิญญาณออกมากิน


มันเป็นแค่ผลวิญญาณระดับสอง ซึ่งไม่ได้ล้ำค่าอะไรมากนัก แต่การที่หลิงฮันนำผลวิญญาณออกมากินเล่นนั้น มันทำให้ทุกคนเสียดายมาก


กังสื่อหยุนแทบจะระเบิดความโกรธออกมา ชายคนนี้ยังนำผลวิญญาณออกมากินราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร? เหมือนกับว่าเขาไม่เห็นนางอยู่ในสายตา!


มีคนเดินทางมาถึงกันเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีใครมาเพิ่ม


ศิษย์เมล็ดพันธุ์ต่างนั่งบนก้อนหิน ส่วนผู้ติดตามคอยยืนอยู่ด้านข้าง เพราะพวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะได้นั่ง


การรวบตัวของศิษย์เมล็ดพันธุ์ทำให้พวกเขาสนใจคนอื่นเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์เมล็ดพันธุ์ทุกคนเชื่อว่าตัวเองนั้นแข็งแกร่งที่สุด โดยปกติแล้วพวกเขาจะใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างจุดยืนของตัวเอง


“ฮ่าฮ่าฮ่า ในเมื่อทุกคนอยู่ที่นี่กันแล้วเช่นนั้นข้าก็จะไม่รอให้เสียเวลาอีกต่อไป” ชายคนหนึ่งลุกขึ้นยืนและยิ้มให้ฝูงชน “บางทีอาจยังมีคนไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร เช่นนั้นข้าจะเริ่มต้นจากการแนะนำตัวเองก่อน ข้าคือเหอเต๋าที่เข้าร่วมกับนิกายสวรรค์เยือกแข็งเมื่อเก้าร้อยปีก่อน”


ชายคนนี้แข็งแกร่งมาก หลิงฮันคิดในใจ


กลิ่นอายของอีกฝ่ายนั้นคลุมเครือและลึกลับเหมือนทะเลเป็นไปได้มากว่าอีกฝ่ายสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้แล้ว ถึงแม้จะมีกลิ่นอายที่คลุมเครือแต่ก็ทรงพลัง


-ถ้าอยู่ในดาวเหอหนิง หลิงฮันอาจไม่คิดเช่นนี้ แต่ที่นี่คือนิกายสวรรค์เยือกแข็ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีอัจฉริยะมารวมตัวกันนับไม่ถ้วน และผู้อาวุโสไห่หยุนเองก็กล่าวไว้ว่า นอกจากหลิงฮันแล้วยังมีศิษย์อีกเจ็ดคนที่สร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้สำเร็จ


นี่นับเฉพาะจอมยุทธระดับภูผาวารี หากนับรวมไปถึงจอมยุทธระดับสุริยันจันทราอาจมีมากกว่านั้น


“เขาคือเหอเต๋า!”


“ในบรรดาศิษย์เมล็ดพันธุ์ที่อยู่ระดับภูผาวารี ความแข็งแกร่งของเขาจัดอยู่ในห้าอันดับแรก”


“หืม? คนที่อยู่ด้านข้างเขาคืออู๋เจ๋อที่เป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์เหมือนกัน และความแข็งแกร่งของเขาสามารถเทียบเคียงกับเหอเต๋าได้”


“เมื่อรวมกับหวู่เหวินตง  สืออันเกา เฉินจู๋เอ๋อ และกวงเป่ยชาน พวกเขาถูกขนานนามว่าราชันน้อยทั้งหก”


ใครบางคนพูดพึมพัมอยู่ด้านข้าง ทำให้หลิงฮันเข้าใจทันทีเมื่อได้ยิน ราชันน้อยทั้งหกคนคือศิษย์ของนิกายสวรรค์เยือกแข็งที่สามารถสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้


“ฮ่าฮ่าฮ่า ในเมื่อมันเป็นงานเลี้ยงน้ำชา แน่นอนว่าจะต้องมีชา” เหอเต๋าหัวเราะ “จากนั้นเขาก็หยิบกาน้ำเล็กๆออกมาจากอุปกรณ์มิติและวางกาน้ำชาเพื่อทำให้น้ำร้อน”


เขาไม่ได้ก่อฝืนหรืออะไรทำนองนั้น แต่ใช้ไฟที่ปล่อยออกมาจากฝ่ามือ


ด้วยเปลวเพลิงของเขา แม้แต่แร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ยังต้องถูกหลอมละลายด้วยความร้อนแรงของเปลวเพลิง และเกรงว่าแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่สี่ก็อาจถูกหลอมละลายอย่างช้าๆ


อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ากาน้ำที่เขานำออกมาจะเล็กและประณีต แต่ก็มีความทนทานต่อความร้อนและไม่ละลายภายใต้เปลวเพลิงของเหอเต๋า


เตานี่ไม่ธรรมดา


หลิงฮันพูดในใจ และคิดว่าถ้าได้มันมาขัดเกลาดาบอสูรนิรันดร์ก็คงจะดี


มันเป็นเรื่องธรรมดาที่น้ำภายในกาน้ำจะเดือดอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งธูปดับก็ไม่มีไอน้ำปรากฏออกมาให้เห็น ซึ่งทำให้ทุกคนสงสัยว่าทำไมน้ำยังไม่เดือด


“ฮ่าฮ่าฮ่า มันเป็นน้ำแข็งราตรีเหมันตร์ต้องใช้เวลานานนิดหน่อยกว่ามันจะละลาย” เหอเต๋าหัวเราะ “อย่างไรก็ตาม พวกเราจะดื่มชากันสามถึงห้าวันได้อย่างไร? ระหว่างที่รอน้ำเดือดพวกเรามาทำอะไรอย่างอื่นกันเถอะ แล้วค่อยดื่มชากันทีหลัง”


“อะไรนะ! น้ำแข็งราตรีเหมันตร์!”


หลายคนอุทาน แต่ก็มีบางคนที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร และเข้าใจหลังจากที่มีคนอธิบายให้ฟัง


“น้ำแข็งราตรีเหมันตร์ก่อตัวจากทางตอนเหนือสุดของดาวเฟยหยุน มันเป็นสถานที่ที่หนาวเเหน็บและปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะตลอดทั้งปี มิหน่ำซ้ำยังมีหลุมน้ำแข็งอยู่ทุกหนแห่ง หากผู้ใดย่างก้าวเข้าไปก็อาจตกลงไปในหลุมและถูกแช่แข็งตลอดไปกาล”


“แม้แต่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราก็ยังลังเลที่ยังไปที่นั่น เพราะที่แห่งนั้นไม่มีสมุนไพรล้ำค่าให้เก็บเกี่ยว แม้กระทั่งสัตว์อสูรก็ยังไม่มี”


“อย่างไรก็ตาม น้ำแข็งราตรีเหมันตร์เป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่ก่อตัวขึ้นมาจากพลังแห่งเต๋า และการได้ดื่มน้ำจากน้ำแข็งที่ละลายมันทำให้สัมผัสถึงความงดงามของน้ำแข็ง”


“จอมยุทธระดับภูผาวารีทั่วไปจะถูกแช่แข็งทันทีเมื่อสัมผัสมัน และหากไม่ตายก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัส”


“สมแล้วที่เป็นศิษย์พี่ มันน่าทึ่งมากที่ศิษย์พี่สามารถเก็บน้ำแข็งราตรีเยือกแข็งมาได้”


แม้ว่าอัจฉริยะส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับความฝ่ายแพ้ แต่ในเมื่อความจริงปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้าพวกเขา ถ้าพวกเขาไม่ยอมรับความห่างชั้น แล้วพวกเขาจะก้าวข้ามฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไร?


ดังนั้น ทุกคนจึงยอมรับและชื่นชมในตัวเหอเต๋า


เหอเต๋ายิ้มและพูดว่า “ข้าแค่โชคดีเท่านั้น หลังจากที่ข้าตามล่าจิ้งจอกน้ำแข็ง มันได้พาข้าไปยังถ้ำน้ำแข็งแห่งหนึ่ง ซึ่งทำให้ข้าได้รับน้ำแข็งราตรีเหมันตร์มาจำนวนหนึ่ง แล้วข้าจึงนำมันออกมาชงชาให้ศิษย์น้องอย่างพวกเจ้าได้ดื่ม”


บางคนรู้สึกแปลกและพูดพึมพัมว่า “ศิษย์พี่ แต่กาน้ำของท่านเล็กขนาดนั้น มันจะเพียงพอให้พวกเราทุกคนได้ดื่มถึงครึ่งแก้วหรือไม่?”


“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง แม้มันจะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ข้าเชื่อว่าเพียงพอให้ทุกคนได้ดื่ม” เหอเต๋าพูดด้วยรอยยิ้ม


อู๋เจ๋อพูดว่า “ศิษย์พี่เหอได้บริจาคน้ำแข็งราตรีเหมันตร์เพื่อชงชา ถ้างั้นข้าจะให้ใบชาหยางไว้ชงชาทีหลัง”


พรวด!


หลายคนแทบสำลักและแสดงท่าทางตื่นเต้น


ใบชาหยางนั้นถือได้ว่าเป็นสมบัติอย่างหนึ่ง มันสามารถช่วยให้จอมยุทธเกิดการรู้แจ้ง แม้แต่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราก็ยังมีผล


ใบชาดังกล่าวไม่ควรนำมาใช้ไร้สาระแบบนี้


มีเพียงแค่จักรพรรดิพิรุณและติ่งผิงเท่านั้นที่ไม่ตื่นตระหนก


เจ้าล้อข้าเล่นหรือเปล่า ใบชาหยางทำให้เกิดการรู้แจ้งงั้นรึ? แล้วต้นสังสารวัฎล่ะ? ฝึกฝนหนึ่งวันเท่ากับหนึ่งปี ใบชาหยางของเจ้าทำได้หรือไม่?


ยิ่งไปกว่านั้น ต้นสังสารวัฎสามารถทำให้เกิดการรู้แจ้งได้ทุกวัน ใบชาหยางของเจ้าจะมีสักกี่ใบกันเชียว?


“อย่างไรก็ตาม ข้ามีใบชาหยางแค่สิบใบเท่านั้น” อู๋เจ๋อกล่าวอีกครั้ง “เอาแบบนี้เป็นไง สิบอันดับแรกของครั้งนี้จะได้ดื่มชาหยาง พวกเจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”


ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยและอดใจรอไม่ไหว มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่คนแข็งแกร่งที่สุดจะได้รับโชคลาภนี้ไป นี่คือความจริงของโลกแห่งวรยุทธ


ผู้แข็งแกร่งคือราชา!


“เอาล่ะ ถ้างั้นเริ่มจากข้าก่อน มีศิษย์น้องคนไหนต้องการให้คำแนะนำแก่ข้าหรือไม่?” ชายหนุ่มคนหนึ่งกระโดดออกมาท้าทายคนอื่นและเรียกอีกฝ่ายว่าศิษย์น้อง นี่แสดงให้เห็นว่าเขามั่นใจตัวเองขนาดไหนและคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งพอ


“ข้าเอง!” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งก้าวออกมา


“ขอความกรุณาด้วย!”


ชายหนุ่มทั้งสองคนโค้งคำนับให้กันและกัน จากนั้นพวกเขาก็เริ่มต่อสู้กันทันที


การต่อสู้ของพวกเขานั้นดุเดือดเป็นอย่างมาก

 

 

 


ตอนที่ 1148

 

พลังบ่มเพาะของทั้งสองคนไม่ได้สูงมากนัก ทั้งคู่เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นกลาง


แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังมีพรสวรรค์ในวิถีของตนเองอยู่ดี ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่สามารถกลายเป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์ของนิกายสวรรค์เยือกแข็ง ยกตัวอย่างเช่นฟานจิน เขาปลดปล่อยออร่าเย็นยะเยือกออกมาจนกลายเป็นน้ำแข็ง เมื่อเป็นเช่นนี้การโจมตีของคู๋ต่อสู้จะถูกแช่ผนึกก่อนจะมาถึงตัวเขา


ในขณะเดียวกัน คู่ต่อสู้ของเขาก็เช่นกัน อีกฝ่ายสามารถกลายร่างเป็นสายฟ้าได้ ทักษะที่เขาใช้ทรงพลังกว่าทักษะอัสนีบาตเกาทิวาเสียอีก รูปแบบอาคมศักดิ์ศิทธิ์โอบล้อมไปทั่วร่างของเขาทำให้ไม่หวาดกลัวต่อการโจมตีของคู่ต่อสู้ที่โจมตีเข้ามา


ต่อให้จะมีระดับพลังมากกว่าพวกเขาหนึ่งขั้นย่อยก็ตาม จอมยุทธระดับภูผาวารีทั่วไปไม่มีทางยืนทัดเทียมพวกเขาได้เลย


การปะทะของทั้งสองคนกลายเป็นดุเดือดในทันที ทั้งคู่ต่างปลกปล่อยพลังโจมตีที่ทรงพลังออกมา


หากไม่นับระดับพลังบ่มเพาะแล้ว พลังต่อสู้ของทั้งคู่นับว่าน่าประทับใจมาก


เห็นได้ชัดว่าไม่อาจดูแคลนศิษย์เมล็ดพันธุ์ได้เลย


หลิงฮันอดคิดไม่ได้ว่าหากเขามีพลังบ่มเพาะเท่ากับทั้งสองคน เขาจะสามารถจัดการทั้งสองคนได้รึไม่


พูดยากจริงๆ…


หลิงฮันลองเปรียบเทียบพลังต่อสู้กับพวกเขาดู ทั้งสองคนไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเขาตอนที่มีพลังบ่มเพาะเท่ากันแม้แต่น้อย แต่นี่ยังไม่นับไพ่ลับของเขารวมเข้าไปด้วย อย่างเช่นหากเขาใช้ทักษะบัญญัติดาบไวกับศรฆ่ามังกรทะลวงดารา พลังต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นสูงมก


ยิ่งกว่านั้นหลิงฮันก็ยังบ่มเพาะทักษะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ที่ช่วยให้เขาขัดเกลากายหยาบได้อย่างน่าสะพรึงกลัว ดังนั้นถ้าเขาต่อสู้กับทั้งสองด้วยระดับพลังบ่มเพาะที่เท่ากัน โชคชะตาได้ตัดสินให้เขาเป็นผู้ชนะเอาไว้แล้ว


หลังจากปะทะกันเป็นเวลานาน ฟานจินก็เป็นฝ่ายชนะอย่างฉิวเฉียด


ทั้งสองคนกับไปนั่งพักผ่อนทำให้ลานประลองพร้อมสำหรับการต่อสู้ของคู่ต่อไป


หลังจากสองคนปะทะกันเสร็จก็มีอีกหลายคู่ที่ขึ้นไปแลกเปลี่ยนวรยุทธอย่างดุเดือด การต่อสู้ของพวกเขาน่าตื่นตาตื่นใจมาก


พวกเขาเป็นสุดยอดอัจฉริยะของนิกาย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครเลยที่ใช้ประโยชน์จากการที่มีพลังบ่มเพาะสูงกว่าจัดการคู่ต่อสู้ ทุกคนจะสู้เฉพาะกับคนที่มีพลังบ่มเพาะเท่าตนเองหรืออย่างน้อยก็ต่างกันหนึ่งขั้นย่อย


แม้จะเรียกว่าหนึ่งขั้นย่อยความต่างของพลังต่อสู้ก็อาจจะมากถึงสามดาว แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ ในโลกแห่งจอมยุทธไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความยุติธรรมอันเท่าเทียม’ อยู่แล้ว


ที่จริงการที่สามารถชนะหรือเสมอในขณะที่ตนเองมีพลังบ่มเพาะต่ำกว่าคู๋ต่อสู้หนึ่งหรือสองขั้นย่อยนั้นเป็นสิ่งที่น่าประทับใจมาก หากทำเช่นนี้ได้จะเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพวกเขาเป็นสุดยอดอัจฉริยะของจริง


แม้หลิงฮันจะคันไม้คันมืออยากสู้ แต่คนที่จะเป็นคู่ต่อสู้ให้เขาได้มีเพียงเหอเต๋ากับอู๋เจ๋อเท่านั้น คนอื่นๆนอกจากสองคนนี้อ่อนแอเกินไปที่จะท้าทายเขา หลิงฮันคร้านที่จะท้าทายคนอื่น ดังนั้นเขาจึงนั่งดูการต่อสู้อยู่อย่างเงียบๆ


หลิงฮันพยักหน้ากับตัวเอง แม้วิถีบ่มเพาะพลังของทุกคนจะต่างกัน แต่การได้ดูการปะทะกันของพวกเขาก็ยังมีประโยชน์ต่อเขา


“ข้าติงผิง โปรดชี้แนะด้วย!”


ในขณะที่กำลังครุ่นคิดเขาก็เห็นลูกศิษย์ของตัวเองกระโดดขึ้นไปบนลานประลอง คู่ต่อสู้ของเขาคือสตรีที่เยาว์วัยและมีรูปลักษณ์งดงามราวกับเทพธิดา นางสวมเสื้อและกระโปรงยาวสีแดงเข้ม แม้จะดูสะดุดตาไปบ้างแต่ก็ยังมีเสน่ห์อยู่ดี


ติงผิงหน้าแดงทันทีเมื่อเห็นสาวงามนางนี้ เขายังอายุน้อยและใช้เวลาทั้งหมดไปกับการบ่มเพาะเพราะหรือไม่ก็เดินทางฝึกตน เพราะงั้นเขาจึงขาดประสบการณ์ในด้านนี้


“หลันหลวน!” สาวงามไม่รีรอ นางบุกโจมตีทันทีที่เอ่ยชื่อเสร็จ


นางใช้ดาบเป็นอาวุธ ปราณดาบนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปในขณะที่นางแทงดาบไปด้านหน้า แม้แต่ชั้นมิติก็ยังถูกฉีกกระชากเกิดเป็นรอยแยกกลางอากาศ


ใบหน้าที่แดงอยู่ของติงผิงหายไปทันทีเมื่อเริ่มแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับคู่ต่อสู้ เขามีสบการณ์ต่อสู้โชกโชนและเข้าใจความโหดเหี้ยมของการต่อสู้เป็นอย่างดี เมื่ออยู่ในสนามรบคู่ต่อสู้ก็นับว่าเป็นศัตรู เขาไม่อาจออมมือให้นางเพียงเพราะมีรูปลักษณ์งดงาม


เขาเกิดมามีโครงสร้างกระดูกที่พิเศษแตกต่างกับคนอื่น เขาสามารถปลดปล่อยพลังโจมตีที่รุนแรงร้อยเท่าซึ่งช่วยยกระดับพลังต่อสู้ของเขาให้เพิ่มขึ้นอีกสองดาว


ในระดับทลายมิติ ติงผิงขัดเกลาพลังจนเกือบจะบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ เมื่อทะลวงผ่านมายังระดับภูผาวารีเขาจึงมีพลังต่อสู้มากกว่าห้าดาวนิดหน่อย และเมื่อรวมกับสองดาวที่เกิดจากโครงสร้างกระดูกอันทรงพลังแล้ว ต่อให้ไม่ต้องใช้ทักษะลับใดๆเลยหมัดเปล่าๆของเขาก็เรียกได้ว่าเป็นอาวุธทำลายล้างที่ทรงพลัง


พลังต่อสู้ของเขามีมากกว่าเจ็ดดาว! ทรงพลังถึงขั้นที่ว่าสามารถโค่นคู๋ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย


เหล่าสุดยอดอัจฉริยะทุกคนตกตะลึงเมื่อเห็นติงผิงปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา


“เด็กหนุ่มนี้… ช่างน่าอัศจรรย์!”


ต่อให้เป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์เช่นพวกเขาก็ยังมีพลังต่อสู้ราวๆห้าถึงหกดาว ถ้าพวกเขาต้องการเพิ่มพลังต่อให้เป็นเจ็ดดาว พวกเขาจำเป็นต้องสร้างภูผาวารีสายที่ห้าเพื่อทำลายขีดจำกัดพลังของตัวเอง


หรือกล่าวได้ว่าพลังต่อสู้หกดาวหรือขีดจำกัดของระดับภูผาวารีขั้นสูงสุด


เพียงแต่ว่าติงผิงได้ทำลายขีดจำกัดที่ว่าและครอบครองพลังต่อสู้เจ็ดดาวโดยที่ไม่ใช้ทักษะลับใดๆ หมัดของเขาธรรมดาและไม่รูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ห่อหุ้ม แต่ถึงอย่างนั้นหมัดของเขากลับทรงพลังราวกับเป็นหมัดของเทพเซียน


พลังบ่มเพาะของหลันหลวนเท่ากับติงผิง ทั้งสองคนเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นต้นชั้นสูงสุด เพียงแต่ว่าพลังของนางอ่อนแอว่าเขามากทำให้ถูกจัดการโดยที่ไม่สามารถทำได้แม้แต่จะโจมตีตอบโต้


นางเป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์ ดังนั้นนางไม่มีทางยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆแน่นอน


“ฮึ้ยย่า!” นางส่งเสียงร้องเบาๆ ทันใดนั้นเส้นแสงสีฟ้าก็ระเบิดออกมาจากร่างของนางและก่อตัวกันกลายเป็นนกขนาดเท่าฝ่ามือมากมายหลายตัวพุ่งเข้าใส่ติงผิง


“หืม? นั่นมันวิหคจะงอยฟ้า!”


“นกเหล่านั้นเป็นนกศักดิ์สิทธิ์จากยุคโบราณ ตามตำนานได้กล่าวไว้ว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยจิกกัดเซียนจนถึงแก่ความตาย!”


ใครบางคนอุทานด้วยความประหลาดใจและเล่าเรื่องราวตำนานที่น่าตะลึงออกมา


เซียนคือตัวตนระดับสร้างสรรค์พสิ่งที่แสนทรงพลัง พวกเขาเป็นตำนานในหมู่ตำนาน แต่ถึงอย่างนั้นวิหคจะงอยฟ้ากลับสามารถจิกเซียนจนตายจริงๆน่ะรึ? พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวขนาดไหนกันแน่?


วิหคจะงอยฟ้าอย่างน้อยร้อยตัวพุ่งเข้าใส่ติงผิง พวกมันอ้าจะงอยปากอันแหลมคมแยกจากกันทำให้ทุกคนสามารถมองเห็นกาหมุนวนของรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ตัวพวกมัน ไม่ว่าใครก็สามารถจินตนาการพลังของนกเหล่านี้ได้… การโจมตีของพวกมันได้ได้อ่อนด้อยไปกว่าการโจมตีของอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์


ขนาดเซียนยังถูกจิกจนตาย ตำนานนี้เป็นข้อยืนยันว่าวิหคเหล่านี้ทรงพลังแค่ไหน ถึงแม้พวกมันจะถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของจอมยุทธระดับภูผาวารีพวกมันก็ยังค่อนข้างทรงพลังอยู่ดี


ติงผิงไม่หวั่นไหวและปล่อยหมัดไปด้านหน้า อำนาจของหมัดทำให้อากาศบีบอัดเข้าหากันจนเกิดเป็นคลื่นพลังที่ลบล้างวิหคจะงอยฟ้าให้หายไปก่อนจะมาถึงตัวเขา


หลันหลวนส่งเสียงร้องอีกครั้ง วิหคจะงอยฟ้าถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของนางและรวมกันกลายเป็นวิหคจะงอยฟ้าขนาดมหึมา ออร่าอันทรงพลังที่สัมผัสได้จากวิหคจะงอยฟ้าเพิ่มสูงขึ้นมหาศาลในพริบตา

 

 

 


ตอนที่ 1149

 

หลันหลวนเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นต้นชั้นสูงสุด แต่ในตอนนี้ด้วยกลิ่นอายของวิหคจะงอยฟ้าทำให้พลังของนางบรรลุขั้นกลางชั้นสูงสุดหรือกระทั่งขั้นสูงชั้นต้น ซึ่งแน่นอนว่าทำให้พลังต่อสู้ของนางเพิ่มมากขึ้น


เมื่อทุกคนเห็นเช่นนั้น พวกเขาทุกคนต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจ


มันเท่ากับว่าพลังของนางเพิ่มขึ้นหนึ่งขั้น!


อย่างไรก็ตามเพื่อแลกมาซึ่งพลังดังกล่าว แน่นอนว่าหลันหลวนต้องได้รับผลกระทบ ใบหน้าที่งดงามของนางกลายเป็นซีดขาวและมีโลหิตไหลออกมาจากมุมปาก ทั้งยังทำให้พลังชีวิตของนางลดลงไปมาก


นางเป็นคนที่มีจิตใจแน่วแน่มาก ทั้งที่มันเป็นแค่การต่อสู้แลกเปลี่ยนวรยุทธ แต่นางกลับทุ่มสุดตัว แล้วถึงแม้ว่านางจะเป็นฝ่ายชนะ แต่ก็เป็นชัยชนะที่สูญเสียอย่างมหาศาล


ติงผิงส่งเสียงคำรามและพุ่งเข้าไปปะทะ แต่ทันทีที่หมัดของเขาสัมผัสกับวิหคจะงอยฟ้า ร่างของเขาก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและทรุดลงกับพื้น มือทั้งสองข้างของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและชุ่มไปด้วยเลือด


ในขณะเดียวกันสภาพของหลันหลวนเองก็ไม่ได้สู้ดีนัก นางนั่งลงกับพื้นด้วยใบหน้าซีดขาวและดูเหน็ดเหนื่อย


หากการโจมตีของนางครั้งนี้ไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้ นางก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เองเพราะหมดแรง


อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นชัยชนะที่น่าสังเวช เพราะติงผิงไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดตอบโต้


จักรพรรดิพิรุณกระโดดออกมาและพยุงร่างของติงผิงกลับไปที่ก้อนหิน แล้วพลางส่ายหัว


ในความเป็นจริงเขาคิดว่าติงผิงสามารถเอาชนะนางได้ แต่เขากลับไม่ทำเช่นนั้น นี่ไม่ได้หมายความว่าเขายอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดีหรอกหรือ?


หลังจากวางติงผิงลง จักรพรรดิพิรุณก็กระโจนออกไปอีกครั้งและพูดว่า “ใครจะเป็นคู่มือให้กับข้า?”


เขาลดสถานะของจักรพรรดิลง แต่ก็ไม่ได้ลดความหยิ่งยโสจองหองของตัวเองลง ที่นี่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถปะมือกับจักรพรรดิพิรุณได้ แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นกลางก็ตาม


“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าเอง!” ชายหนุ่มชุดเขียวกระโจนออกมา บนชุดของเขาตกแต่งไปด้วยเครื่องประดับจำนวนมาก และเครื่องประดับทุกชิ้นต่างปล่อยกลิ่นอายที่ลึกลับออกมา เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เครื่องประดับธรรมดา


ชายหนุ่มคนนี้อาจเป็นคนที่มาจากตระกูลชั้นสูง มิฉะนั้นคงไม่มีเครื่องประดับมากมายบนชุด


“เขาคือเจาซวน”


“เจา? เจ้าหมายถึงตระกูลเจาอย่างนั้นรึ?”


“ใช่แล้ว เขามาจากตระกูลเจา”


ตระกูลเจาเป็นตระกูลใหญ่ บรรพบุรุษของพวกเขาคือจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปพวกเขาก็ไม่สามารถรักษาความรุ่งโรจน์เหมือนแต่ก่อนเอาไว้ได้


เจาซวนนั้นเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานและมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง แต่เขาหยิ่งยโสเกินไปที่คิดว่าในที่แห่งนี้ไม่มีใครสามารถเทียบเขาได้ – อย่างมากพวกเจ้าก็ทะลวงผ่านได้แค่ระดับดารา แต่ขณะนั้นจะกลายเป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์!


ทว่า พลังบ่มเพาะพลังของเขาในตอนนี้ยังค่อนข้างอ่อนแอ เขาเป็นเพียงแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นกลางชั้นสูงเท่านั้น นั่นเป็นเพราะเขายังเยาว์วัยและฝึกฝนวรยุทธได้แค่หนึ่งร้อยปีเท่านั้น แต่การที่เขาบรรลุได้ถึงระดับนี้ได้ถือก็ถือเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากแล้ว


เมื่อระดับพลังสูงขึ้น มันก็ทำให้จักรพรรพิรุณดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น แต่ดูเหมือนว่าใบหน้าของเขาจะไม่สามารถกลับไปเยาว์วัยเหมือนตอนอายุสิบถึงยี่สิบปีได้ ตอนนี้เขาดูเหมือนชายวัยกลางคนอายุยี่สิบแปดปี มันทำให้เขาดูแก่ไปเลยเมื่ออยู่ท่ามกลางคนหนุ่มสาวพวกนี้


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอายุที่แท้จริงของจักรพรรดิพิรุณจะน้อยกว่าคนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่ แต่ใครขอให้เขาทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานตอนอายุใกล้หกสิบปีกันล่ะ?


ในสายตาของทุกคน จักรพรรดิพิรุณถือเป็นคนที่ไม่มีพรสวรรค์


หรือไม่จริง?


เพราะอัจฉริยะอย่างพวกเขาสามารถทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานได้ตั้งแต่ตอนที่อายุเจ็ดหรือแปดปี!


ถึงแม้จะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของเจาซวน แต่ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม – เจ้าแก่นี่เป็นอัจฉริยะเมล็ดพันธุ์เหมือนกับข้า นี่ถือเป็นความอัปยศของข้า!


ดี ข้าจะสอนบทเรียนให้กับมันเอง มันคงดีกว่าถ้าจะทำให้อีกฝ่ายโดนขับไล่ออกจากนิกาย เพื่อไม่ให้สถานะของศิษย์เมล็ดพันธุ์ต้องตกต่ำลง


“เตรียมรับมือ!” เจาซวนดูถูกจักรพรรดิพิรุณมาก และโจมตีอีกฝ่ายด้วยมือข้างเดียว


จักรพรรดิพิรุณโจมตีออกไปเพื่อตอบโต้ ปัง หมัดทั้งสองปะทะกันและทำให้เกิดการระเบิดขึ้น


อะไร!


เจาซวนเผยสีหน้าตกตะลึง เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าการโจมตีของจักรพรรดิพิรุณจะรุนแรงขนาดนี้ ทั้งที่เขาคิดว่าตัวเองนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้แข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิพิรุณเลย ดังนั้นหลังจากที่ปะมือกับจักรพรรดิพิรุณหนึ่งครั้ง เขาก็รีบถอยห่างสร้างระยะและตั้งท่าป้องกัน


จักรพรรดิพิรุณนั้นมีประสบการณ์ต่อสู้ที่โชกโชนมากจนทำให้หลิงฮันยังไม่แน่ใจว่าสามารถเอาชนะจักรพรรดิพิรุณได้ หากระดับพลังทั้งสองคนเท่ากันและห้ามใช้ไพ่ลับ


ปัง ปัง ปัง จักรพรรดิพิรุณเริ่มรุกและไล่ต้อนเจาซวน


เมื่อเจาซวนถูกทำให้ล่าถอยออกไปสิบเจ็ดก้าว เขาก็ถ่มโลหิตออกมาและโจมตีออกไปด้วยหมัด


“เปล่าประโยชน์!” จักรพรรดิพิรุณคำราม


นี่เป็นการแค่การต่อสู้แลกเปลี่ยนวรยุทธเท่านั้น ดังนั้นจะปะมือกันนานเท่าไหร่ก็ได้


หลังจากที่เจาซวนถูกกระหน่ำโจมตีหลายครั้ง ใบหน้าของเขาก็ปูดบวมเหมือนกับหัวหมู


มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?


เขาดูถูกจักรพรรดิพิรุณเอาไว้ แต่กลับไม่มีโอกาสสวนกลับการโจมตีแม้แต่ครั้งเดียว และเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างราบคาบ นี่ถือเป็นความอัปยศที่จะติดตัวไปตลอดชีวิตของเขา!


เขาจะยอมรับความอัปยศดังกล่าวได้อย่างไร? ถ้าในอนาคตเขาต้องการเป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์


“อีกครั้ง!” เจาซวนกระโจนออกไป แต่ครั้งนี้เขาไม่กล้าทำตัวประมาท รอบร่างของเขาเต็มไปด้วยแสงสว่างแห่งเต๋าที่ผสมผสานกับอักขระศักดิ์สิทธิ์ ทำให้พลังต่อสู้ของเขาผลักดันจนถึงขีดสุด


เมื่อทุกคนเห็นการเคลื่อนไหวของเจาซวน พวกเขาต่างพากันส่ายหัวอยู่ในใจ


เจ้าพ่ายแพ้ไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้และนั่นมีแต่จะทำให้เจ้าดูน่าสังเวชมากยิ่งขึ้น


ดังนั้นพรสวรรค์จึงเป็นเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีเพื่อให้กลายเป็นคนที่แข็งแกร่ง แต่ถ้าต้องการกลายเป็นคนที่แข็งแกร่ง พรสวรรค์อย่างเดียวมันยังไม่เพียงพอ


อย่างไรก็ตาม คนอย่างจักรพรรดิพิรุณนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมากและไม่ควรประมาท


จักรพรรดิพิรุณเค้นเสียงอยู่ในลำคอ เขาเองก็เริ่มโกรธแล้วเหมือนกัน คนที่พ่ายแพ้ไปแล้วแต่ยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองมันทำให้เขาดูเหมือนคนโง่


ถ้างั้นรับการโจมตีของข้าไปซะ!


เขาปล่อยหมัดไปที่ใบหน้าของเจาซวน


ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!


หลังจากที่ถูกต่อยทีละหมัดทีละหมัด เจาซวนก็ยังไม่คิดที่จะยอมแพ้และยืนหยัดด้วยพลังทั้งหมด แต่สุดท้ายเขาก็ถูกปราบปรามอย่างสมบูรณ์


“ทำไมหมัดของเขาถึงน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้?”


“ทักษะหมัดของเขาทรงพลังมาก ทุกหมัดของเขาเหมือนกับได้รวบรวมพลังแห่งสวรรค์และปฐพีเอาไว้”


เมื่อทุกคนเห็นจุดแข็งของจักรพรรดิพิรุณ ทำให้พวกเขาตกใจ


ระดับพลังของจักรพรรดิพิรุณไม่ได้สูงมากนัก แต่ถ้าพูดถึงทักษะหมัดแล้ว เขาเหนือกว่าศิษย์เมล็ดพันธุ์ที่อยู่ที่นี่และมาถึงจุดที่ทุกคนทำได้แค่เงยหน้ามอง


“ทักษะหมัดของพี่รองใกล้จะถึงจุดสูงสุดแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าขอแสดงความยินดีด้วย!” หลิงฮันพูดในใจและแสดงรอยยิ้มบนใบหน้า เขาเห็นเต๋าแห่งดาบในสุสานและทักษะหมัดของจักรพรรดิพิรุณก็เหมือนกับพลังเต๋า นี่เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก


ในตอนที่หลิงฮันเห็นเต๋าแห่งดาบ มันทำให้เขาตระหนักถึงหนทางของตนเอง แต่จักรพรดริพิรุณนั้นแค่พึ่งพาความเข้าใจของตัวเอง ซึ่งทำให้หลิงฮันรู้สึกเคารพนับถือเขาเป็นอย่างมาก


พี่รองมีพรสวรรค์ด้านวรยุทธโดยธรรมชาติ

 

 

 


ตอนที่ 1150

 

จักรพรรดิพิรุณรู้สึกโกรธจริงๆหลังจากที่ต่อยออกไปสิบหมัด แล้วเจาซวนก็ถูกซัดกระเด็นออกไปอีกครั้ง


แข็งแกร่งมาก!


ทั้งที่ทั้งสองคนมีระดับพลังใกล้เคียงกัน แต่มันกลับเป็นเจาซวนที่พ่ายแพ้อย่างราบคาบ เขาไม่สามารถเป็นคู่มือให้กับจักรพรรดิพิรุณได้เลย


ต้องทราบก่อนว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่คือศิษย์เมล็ดพันธุ์ที่เป็นสุดยอดอัจฉริยะ หากพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกัน มันควรจะเป็นเรื่องยากที่จะจัดการอีกฝ่ายได้ลง แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นกลับเป็นจักรพรรดิพิรุณที่โจมตีอยู่ฝ่ายเดียว


หลิงฮันรู้ว่าจักรพรรดิพิรุณนั้นต้องการรังแกอีกฝ่าย หากเขาต้องการเอาชนะเพียงแค่สิบกระบวนท่าก็เกินพอแล้ว ไม่ต้องทำให้การต่อสู้มันยืดเยื้อและลากยาวไปเกือบร้อยกระบวนท่า


“มีใครอยากจะสู้กับข้าอีกหรือไม่?” จักรพรรดิพิรุณกล่าวอย่างหยิ่งยโส


ทุกคนมองหน้ากัน แม้แต่คนที่มีพลังบ่มเพาะเท่ากับจักรพรรดิพิรุณยังไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะจักรพรรดิพิรุณได้อย่างไร ส่วนคนที่มีพลังบ่มเพาะเหนือกว่าก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวอะไร แม้แต่เจาซวนที่เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นกลางชั้นสูงก็ยังพ่ายแพ้ได้อย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าคนที่จะปะมือกับจักรพรรดิพิรุณได้เป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นกลางชั้นสูงก็ยังไม่เพียงพอ


แต่ถ้าเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูง ช่องว่างก็จะใหญ่เกินไป ใครต้องการที่จะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้กัน?


ดังนั้น แม้จักรพรรดิพิรุณจะท้าผู้อื่นต่อสู้ แต่ก็ไม่มีใครเสนอตัวต่อสู้กับเขาแม้แต่คนเดียว


“โอ้ว ในเมื่อไม่มีใครเสนอตัว ถ้างั้นข้าจะเป็นคู่มือให้กับเจ้าเอง” อู๋เจ๋อลุกขึ้นยืน


ทุกคนมองหน้ากัน อู๋เจ๋อเป็นหนึ่งในหกราชัน การที่เขาเสนอตัวออกมาสู้แล้วใครจะสามารถเอาชนะเขาได้นอกจากเหอเต๋า? ยิ่งไปกว่านั้นช่องว่างระหว่างระดับพลังห่างกันเกินไป แล้วนี่จะสามารถเรียกว่าการแลกเปลี่ยนวรยุทธได้อีกหรือ?


“เพื่อความเป็นธรรม ข้าจะยับยั้งพลังของตัวเองให้อยู่ในระดับเดียวกับเจ้า” อู๋เจ๋อกล่าวและยับยั้งพลังของตัวเอง กลิ่นอายของเขาลดฮวบอย่างรวดเร็วและอยู่ในระดับใกล้เคียงกับจักรพรรดิพิรุณ


“ศิษย์น้อง แค่นี้ถือว่ายุติธรรมหรือยัง?” อู๋เจ๋อกล่าว


จักรพรรดิพิรุณไม่ตอบ เขาเพียงแค่ส่งเสียงคำรามและเปิดฝ่ายโจมตีใส่อู๋เจ๋อ


ตู้ม หมัดของจักรพรรดิพิรุณนั้นทรงพลังมาก แม้จะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่เขาก็สามารถบังคับให้อู๋เจ๋อต้องถอยหลังได้หนึ่งก้าว


ทุกคนรู้สึกตกตะลึง


นั่นคืออู๋เจ๋อที่เป็นหนึ่งในหกราชันเชียวนะ ซึ่งกล่าวกันว่ามีเพียงห้าคนเท่านั้นที่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ แต่ตอนนี้การต่อสู้ในระดับพลังเดียวกัน จักรพรรดิพิรุณกลับเป็นฝ่ายเหนือกว่าอู๋เจ๋ออย่างเห็นได้ชัด นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน


หากจักรพรรดิพิรุณทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นสูงสุด เขาจะกลายเป็นราชันคนที่เจ็ดหรือไม่?


แม้ว่าอู๋เจ๋อยังคงแสดงรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ภายในใจเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น


เขาไม่คิดเลยว่าทักษะหมัดของจักรพรรดิพิรุณจะทรงพลังที่เพียงนี้ ก่อนที่จะลงมาต่อสู้ด้วยตัวเอง เขาเตรียมใจไว้แล้วว่ามันจะต้องทรงพลัง แต่เมื่อเผชิญหน้าด้วยตัวเอง มันก็ทำให้เขาค้นพบว่าทักษะหมัดของอีกฝ่ายเกือบจะบรรลุระดับเต๋าที่เขาไม่สามารถต่อต้านได้เลย


แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางต่อสู้ แต่นั่นมันจะต้องใช้พลังที่เหนือกว่า ทว่าตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนมีพลังบ่มเพาะเท่ากัน แล้วอู๋เต๋าจะเอาชนะจักรพรรดิพิรุณได้อย่างไร?


เขาไม่สามารถยอมรับความพ่ายแพ้ได้ ถึงแม้ว่าจะต้องปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาก็ตาม


ในฐานะที่เขาเป็นหนึ่งในหกราชัน เขาจะพ่ายแพ้ให้กับจอมยุทธที่อยู่ในระดับเดียวกันได้อย่างไร?


เขาต่อยหมัดออกไปและปะทะกับหมัดของจักรพรรดิพิรุณ


ปัง!


เมื่อหมัดทั้งสองปะทะกัน ทำให้เกิดคลื่นกระแทกที่รุนแรงขึ้นอย่างกะทันหัน แม้แต่ศิษย์เมล็ดพันธุ์ที่อยู่รอบข้างยังต้องโคจรพลังปราณเป็นโล่ป้องกัน


อู๋เจ๋อและจักรพรรดิพิรุณกระเด็นไปด้านหลังพร้อนกัน อู๋เจ๋อกระเด็นไปด้านหลังเจ็ดก้าว ขณะที่จักรพรรดิพิรุณกระเด็นไปด้านหลังเก้าก้าว ยิ่งไปกว่านั้นถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่ากำปั้นของจักรพรรดิพิรุณย้อมไปด้วยเลือดและมีรูปร่างที่บิดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่ากระดูกหัก


การต่อสู้ครั้งนี้จักรพรรดิพิรุณเป็นฝ่ายพ่ายแพ้


“สมแล้วที่เป็นศิษย์พี่อู๋ สมญานามหกราชันไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อโอ้อวด แต่พวกเขานั้นไร้พ่ายให้กับจอมยุทธที่อยู่ในระดับเดียวกัน!” ทุกคนกล่าวชื่นชมในตัวอู๋เจ๋อ


ในขณะที่หลิงฮันจ้องมองไปที่อู๋เจ๋อด้วยสายตาที่เย็นชา


เมื่อครู่ หมัดของอู๋เจ๋อนั้นมีอักขระศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดเก้าสิบเอ็ดแถว!


นั่นหมายความว่าถึงแม้เขาจะไม่ได้คลายพลัง แต่ก็ใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่แข็งแกร่งกว่า


มันไม่ยุติธรรม!


แม้ว่าความแข็งแกร่งจะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับจอมยุทธ แต่พลังแห่งกฎเกณฑ์ก็ไม่ควรประมาท เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสุสาน ความแข็งแกร่งของรูปปั้นหินไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่เนื่องจากพลังของอักขระศักดิ์สิทธิ์จึงทำให้รูปปั้นหินแข็งแกร่งขึ้น


ในขณะต่อสู้ อู๋เจ๋อเคลื่อนไหวอย่างลับๆ แต่การกระทำของเขาจะรอดพ้นจากหลิงฮันที่มีเนตรแห่งสัจธรรมได้อย่างไร?


เจ้ากล้ารังแกพี่รองของข้าอย่างนั้นรึ?


หลิงฮันจ้องมองไปที่อู๋เจ๋อด้วยความโกรธ เขาต้องการเอาคืน


จักรพรรดิพิรุณเป็นคนตรงไปตรงมา ถึงแม้เขาจะค้นพบว่าอีกฝ่ายนั้นเล่นไม่ซื่อ แต่ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายแพ้ เขาก็ไม่มีข้อแก้ตัว เขาพยักหน้าและพูดว่า “ข้าแพ้แล้ว!” หลังจากพูดจบจักรพรรดิพิรุณก็กลับไปยังตำแหน่งเดิมของเขาและนั่งลง


“เจ้าทำดีแล้ว” อู๋เจ๋อแสร้งทำเป็นสุภาพ


“ศิษย์พี่อู๋ ข้าอยากแลกเปลี่ยนวรยุทธกับท่าน!”


หลิงฮันกำลังจะเคลื่อนไหวเพื่อท้าอีกฝ่ายสู้ แต่ในขณะนั้นเองก็มีใครบางคนเร็วกว่าเขา และกระโดดเข้าไปในสนามประลองเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่รอให้การต่อสู้รอบนี้จบลงเท่านั้น


คนที่กระโดดเข้าไปในสนามประลองคือซูจิง


“เข้ามา!” อู๋เจ๋อคลายพลัง อีกฝ่ายเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องยับยั้งพลังของตนเอง “ในฐานะที่ข้าเป็นศิษย์พี่ ข้าจะโจมตีเจ้าทั้งหมดสิบกระบวนท่า ตราบใดที่ศิษย์น้อยซูสามารถรับการโจมตีของข้าทั้งสิบกระบวนท่าได้จะถือว่าข้าเป็นฝ่ายแพ้”


เขาพูดด้วยความมั่นใจ!


แต่ไม่ใช่เรื่องมากเกินไป ในเมื่อเขาไม่ต้องยับยั้งพลังของตัวเอง มันก็เท่ากับว่าเขาจะมีพลังของภูผาวารีสายที่ห้าและมีพลังต่อสู้อย่างน้อยเจ็ดดาว แต่อย่าได้ดูถูกความแตกต่างระหว่างหกดาวกับเจ็ดดาวเชียว ช่องว่างระหว่างหนึ่งดาวนั้นใหญ่มาก


ซูจิงไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย อีกฝ่ายเป็นหนึ่งในหกราชันที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของที่นี่


เมื่อเริ่มต่อสู้ เขาเปิดฉากโจมตีครั้งใหญ่ทันที ร่างของเขาห่อหุ้มด้วยแสงสีแดงเหมือนลาวาและพ่นไอร้อนออกมาจากจมูก


นี่เขายังเป็นมนุษย์อีกหรือ? มันเหมือนกับยักษ์ลาวามากกว่า!


อู๋เจ๋อสงบและดูมั่นใจ หากเขาพ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่าย เขาจะเรียกตัวเองว่าหกราชันได้อีกหรือ?


ซูจิงปล่อยฝ่ามือออกไป ทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงเพลิงและมีลาวาไหลทะลักออกมาราวกับเป็นวันสิ้นโลก


ทุกคนรีบโคจรพลังปราณสร้างเกาะป้องกัน นี่เป็นการต่อสู้ของจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูง มันไม่เหมือนกับการต่อสู้ที่ผ่านมาก


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


ซูจิงและอู๋เจ๋อห่ำหั่นกันอย่างดุเดือด


“กระบวนท่าที่เก้า!” อู๋เจ๋อยิ้มและพูดว่า “ศิษย์น้องซูระมัดระวังตัวให้ดี ข้าจะทำการตอบโต้แล้ว!”

 

 

 


ตอนที่ 1151

 

อู๋เจ๋อปล่อยฝ่ามือออกไปอย่างรุนแรงราวกับท้องฟ้าแหลกสลายดวงดาวร่วงหล่น


ปัง!


ร่างของซูจิงลอยกระเด็นทันที แม้เขาจะถูกชื่นชมว่าเป็นราชาในหมู่รุ่นเยาว์ทำให้เขามีท่าทีเหยียดหยามต่อผู้อื่น เขาแม้กระทั่งเคยโค่นล้มจอมยุทธหัวกะทิระดับภูผาวารีที่อาวุโสกว่า แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าราชาที่แท้จริง เขากลับทำได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้


ซึ่งนั่นก็เพราะอู๋เจ๋อสร้างภูผาวารีสายที่ห้าสำเร็จ พลังของเขาแข็งแกร่งมาก


แต่ก็ใช่ว่าซูจิงจะไม่มีโอกาสก้าวข้ามหรือตามคู่ต่อสู้ได้ทัน ตราบใดที่เขาสามารถสร้างภูผาวารีสายที่ห้าสำเร็จเหมือนกัน ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่ก่อนหน้านั้นหนทางตอนนี้ของเขาคือแค่ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างเดียว


“ศิษย์พี่อู๋ ข้าต้องการคำชี้แนะเช่นกัน” เส้าซือซือเดินเข้ามายังลานประลอง


ใบหน้าของหลิงฮันกลายเป็นมืดมน ทำไมทุกคนต้องมาแย่งเขาสู้กับหมอนั่นด้วย?


‘เอาเถอะ เชิญพวกเจ้าก่อน’


เมื่อไม่มีใครท้าทายอู๋เจ๋อแล้วเขาค่อยลงมือ


อู๋เจ๋อมองไปยังเส้าซือซือ แววตาของเขาชะงักไปเล็กน้อย


สาวงามถือว่าเป็นของล้ำค่า แต่พวกนางส่วนใหญ่เป็นเพียงจอมยุทธธรรมดาเนื่องจากระดับพลังของพระเจ้านั้นกว้างใหญ่เกินไป มีเพียงจอมยุทธสาวงามไม่กี่คนที่จะสามารถพบเจอได้บ้างครั้งคราว เพียงแต่ว่า จอมยุทธสตรีที่ทั้งงดงาม มีพรสวรรค์ในด้านวรยุทธ และมีพื้นเพที่ทรงอำนาจนั้น เป็นสิ่งที่โลกวรยุทธขาดแคลนอย่างแท้จริง


“เชิญศิษย์น้องได้เลย!” น้ำเสียงของอู๋เจ๋อเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลแสดงออกถึงความเป็นศิษย์พี่ทีอ่อนโยน


เหอเต๋ายิ้มอย่าเยือกเย็น เขารู้นิสัยที่แท้จริงของอู๋เจ๋อดี เพียงแต่ว่าเขาไม่คิดว่าเส้าซือซือจะหลงกลเพียงเพราะคำพูดไม่กี่คนของอีกฝ่าย สตรีที่ถูกฟูมฟักโดยตระกูลที่ทรงอำนาจจะถูกหลอกล่อให้รักได้ง่ายๆ?


“ศิษย์พี่ได้โปรดอย่าเข้มงวดกับข้าเกินไป!” เส้าซือซือโค้งอย่างงดงาม คำพูดและการกระทำเช่นนี้ของนางไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้ศัตรูเหยียดหยาม แต่ยังทำให้ศัตรูอ่อนโยนลงด้วย


สีหน้าของอู๋เจ๋อเริ่มคล้อยตาม รอยยิ้มของเขากว้างขึ้นพร้อมกับกล่าว “เชิญศิษย์น้องลงมือ”


เส้าซือซือสะบัดมือนำหอกที่ยาวถึงเก้าเมตรออกมา เมื่อนางกวัดแกว่งมันความงดงามของนางก็ถูกทำให้น่าเกรงขามยิ่งขึ้น แม้แต่จิตใจของจอมยุทธอย่างอู๋เจ๋อก็ยังสั่นไหว


“ลุย!” เส้าซือซือควงหอกบุกโจมตีใส่อู๋เจ๋อ ตัวหอกปลดปล่อยสายฟ้าออกมาทำให้หอกดูราวกับเป็นมังกรอัสนี พลังของมันน่าสะพรึงกลัวมาก


“หืม?” อู๋เจ๋อชะงักเล็กน้อย ความสามารถของนางไม่อาจดูแคลนได้เลย


ปลายหอกทะลวงเข้าหาตัวเขา เส้นสายฟ้าถูกปลดปล่อยออกมาจากตัวหอกทีละเส้นทีละเส้นจนก่อตัวกันเป็นอสรพิษนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้าใส่อู๋เจ๋อ


“น่าสนใจไม่น้อย” อู๋เจ๋อแสดงความคิดเห็นและยิ้ม


ถ้าเขาไม่ได้สร้างภูผาวารีสายที่ห้าเขาคงหวั่นเกรงต่อการโจมตีตรงหน้าไม่น้อย สตรีงดงามผู้นี้จะกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่สูสีกับเขาแน่นอน เพียงแต่ว่าความสามารถของเขาในตอนนี้เหนือกว่านางหลายขุม


จอมยุทธที่ไม่ได้สร้างภูผาวารีสายที่ห้าไม่มีทางเข้าใจแน่ว่าขั้นสมบูรณ์นี้ทรงพลังขนาดไหน!


เขาเพียงแค่พลักฝ่ามือขวาไปด้านหน้า ‘พรึบ’ ปราณรูปร่างมือสีฟ้าเข้มปรากฏขึ้นมาและคว้าไปยังหอก ออร่าของอู๋เจ๋อปะทุออกมากลบออร่าของเส้าซือซือในทันที


เมื่อเส้าซือซือใช้กระบวนท่าหอกเมื่อครู่ ใครบ้างจะกล้าดูถูกสตรีผู้นี้? แต่ถึงอย่างนั้นเพียงแค่อู๋เจ๋อลงมือนิดหน่อย ออร่าของเขาก็สยบเส้าซือซือได้แล้ว


ความต่างของทั้งคู๋ไม่ใช่แค่เล็กน้อยแน่นอน


ตูม!


ฝ่ามือขนาดใหญ่ร่วงลงมาขวางปลายหอกเอาไว้ทันที ด้ามของหอกโค้งงอราวกับว่ามันไม่สามารถต้านทานคลื่นสะท้อนที่รุนแรงเอาไว้ได้และพร้อมจะหักตลอดเวลา


เส้าซือซือส่งเสียงร้องเบาๆ เส้นสายฟ้านับไม่ถ้วนกระเพื่อมไปมารอบตัวนางส่งผลให้พลังของนางลดลงหวบ


“ความสามารถและพรสวรรค์ของศิษย์น้องนั้นน่าประใจอย่างมาก โชคร้ายที่ช่องว่างระหว่างเจ้ากับข้าดันมีมากเกินไป หากไม่สร้างภูผาวารีสายที่ห้าขึ้นมา เจ้าก็ยังถือว่าเป็นจอมยุทธทั่วไป” อู๋เจ๋อยื่นมือออกไปและผลักไปยังอากาศที่ว่างป่าว จากนั้นอำนาจของฝ่ามือยักษ์ก็เพิ่มสูงขึ้นและพลักร่างของเส้าซือซือให้ล่าถอย


เมื่อการโมตีน่าสะพรึงกลัวพุ่งเข้ามา เส้าซือซือก็รีบสะบัดมือขวาทำลายหอกด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าหอกไม่ได้หักจนใช้งานไม่ได้แต่มันถูกหักและเปลี่ยนรูปร่างเป็นโล่เพื่อป้องกันการโจมตีของอู๋เจ๋อ


ดูเหมือนว่าหอกของนางจะไม่ได้ถูกสร้างให้เป็นโลหะศักดิ์สิทธิ์ชิ้นเดียว แต่สร้างเป็นโลหะชิ้นเล็กนับไม่ถ้วนและเชื่อมติดกันด้วยโซ่ขนาดเล็ก มันสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ดั่งที่ใจของนางปรารถนา


‘ฉึบ’ เส้าซือซือสะบัดมืออีกครั้ง โล่ของนางถูกเปลี่ยนกลับเป็นหอกพร้อมกับพุ่งเข้าใส่อู๋เจ๋อ


“ฮ่าๆๆ!” อู๋เจ๋อหัวเราะลั่น เขาไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย เขาใช้มือขนาดใหญ่ลงมือโจมตีอย่างต่อเนื่องจนในที่สุดก็สามารถทำให้เส้าซือซือยอมรับความพ่ายแพ้อย่างไม่มีทางเลือก


ตูอัน หลิวจิงเหริน เซี่ยอู๋เฉียนและคนอื่นๆเดินมายังลานประลองเพื่อท้าทายอู๋เจ๋อ แต่พวกเขาก็ถูกโค่นลงอย่างง่ายดาย อู๋เซียแสดงอำนาจของราชาออกมาอย่างไม่ปกปิด


“สมกับเป็นศิษย์พี่อู๋ แข็งแกร่งอะไรเช่นนี้!”


“มีคนสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้สำเร็จจริงๆด้วย ข้านึกว่าเป็นเพียงตำนานเสียอีก”


“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ศิษย์พี่อู๋สามารถกลายเป็นราชาของหมู่ศิษย์ได้ หลังจากสร้างภูผาวารีสายที่ห้าแล้ว พลังของเขาก็เรียกได้ว่าเทียบเคียงกับระดับสุริยันจันทรา เมื่อต่อสู้กับจอมยุทธระดับภูผาวารี มีแต่จะกลายเป็นการเหยียบย่ำอยู่ฝ่ายเดียว”


“ไม่รู้ว่าจะมีใครที่สามารถรับการโจมตีของศิษย์พี่อู๋ได้ถึงสิบกระบวนท่ารึไม่”


“น่าขัน! เจ้าเคยเห็นจอมยุทธระดับภูผาวารีที่สามารถรับสิบกระบวนท่าจากจอมยุทธระดับภูผาวารีได้รึไง? เรื่องเช่นนั้นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”


คำพูดทุกคนเต็มไปด้วยคำสรรเสริญ พวกเขาไม่ซ่อนความเลื่อมใสที่มีต่ออู๋เจ๋อแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ การจะสร้างภูผาวารีสายที่ห้าเป็นสิ่งที่ยากลำบากจริงๆ


แต่กลับกัน ซูจิงพึมพำออกมาด้วยเสียงเบา “ถ้าจะเพียงแค่รับสิบกระบวนท่าล่ะก็ ข้ารู้สึกว่ามีคนนึงที่มีความสามารถพอจะทำเช่นนั้นได้!”


ดวงตาของเส้าซือซือส่องประกายทันที “ใช่แล้ว!”


ตูอันเองก็พยักหน้า “ถ้าคนคนนั้นมาที่นี่ละก็ มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะสามารถรรับกระบวนท่าของศิษย์พี่อู๋ได้มากกว่าร้อยกระบวนท่า”


ทุกคนตกตะลึง พวกเขาพูดถึงใครกัน เหตุใดเขาถึงได้รับการยกย่องจากศิษย์เมล็ดพันธุ์ขนาดนั้น?


“โอ้ คนคนนั้นเป็นใครกันล่ะ?” อู๋เจ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่ในแววตาของเขาปรากฏร่องรอยเหยียดหยาม พวกเจ้าบ้าบอกันจริง หากไม่ได้สร้างภูผาวารีสายที่ห้า ใครจะสามารถต้านกระบวนท่าของเขาได้?


“หลิงฮัน!” เส้าซือซือ ตูอัน ซูจิง และคนอื่นๆกล่าวพร้อมกัน


“บางทีการต่อสู้อาจจะไม่ถูกตัดสินที่ร้อยกระบวนท่าแต่ลากยาวไปถึงหนึ่งพันกระบวนท่า” แม้แต่เซี่ยอู๋เฉียนก็ยังพูดเช่นนี้ ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะมองหลิงฮันไว้สูงขนาดนั้น


อู๋เสียกลายเป็นเดือดดาล การต่อสู้อาจจะไม่จบแม้แต่หนึ่งพันกระบวนท่า? นี่พวกเจ้ากำลังพล่ามเรื่องไร้สาระอะไรกันอยู่?!


จักรพรรดิพิรุณกับติงผิงมองหน้ากัน คนหนึ่งเผยรอยยิ้มเล็กน้อยในขณะที่อีกคนมีท่าทีภาคภูมิใจ


“โอ้ แล้วหลิงฮันที่ว่าเป็นใครกัน เหตุใดเหล่าศิษย์น้องถึงได้กล่าวถึงเขาเสียดูน่าอัศจรรย์ขนาดนั้น? แล้วก็ทำไมข้าถึงไม่เห็นเขามาเข้าร่วมนิกายพวกเราเลย?” อู๋เจ๋อถาม


เส้าซือซือส่ายหัวและตอบ “เมื่อตอนที่ดาวสุสานปรากฏขึ้น เขาเข้าไปที่นั่นกับพวกเราและตกลงกันว่าจะมาพบกันที่นิกายสวรรค์เยือกแข็ง แต่ข้าไม่นึกเลยว่าจะไม่พบแม้แต่ร่องรอยของเขาหลังจากที่พบกันครั้งสุดท้าย น่าแปลกจริงๆ”


“ฮ่าๆๆๆ!” ทันใดนั้นเสียงหัวเราะของศิษย์เมล็ดพันธุ์หลายคนก็ดังขึ้น พวกเจ้าเล่ามาเสียยาวขนาดนี้ สุดท้ายคนที่ว่าก็ทำไม่ได้แม้แต่เข้าร่วมนิกายเลยไม่ใช่รึไง? แบบนี้เขาจะยังมีคุณสมบัติพอจะถูกเรียกว่าอัจฉริยะอีกรึ?

 

 

 


ตอนที่ 1152

 

“พวกเจ้าหัวเราะอะไร?” หูเฟยหยินถามอย่างไม่พอใจ “หลิงฮันเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดและทรงพลังที่สุด!”


ทุกคนดูแปลกใจ พวกเขาไม่คิดว่าจะมีคนพูดปกป้องหลิงฮัน และนางก็เป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์เหมือนกัน ดังนั้นโดยปกติแล้วศิษย์เมล็ดพันธุ์จะมีความภาคภูมิใจและหยิ่งยโสเป็นของตัวเอง


ดังนั้นทุกคนจึงเกิดความอยากรู้อยากเห็นว่าชายหนุ่มคนนี้จะแข็งแกร่งแค่ไหน?


อู๋เจ๋อเกิดความรู้สึกอิจฉาในใจ เพราะเส้าสือสือกับหูเฟยหยิน สาวงามทั้งสองต่างแสดงความรักที่มีต่อหลิงฮัน ส่วนหูเฟยหยินไม่จำเป็นต้องพูดถึง หากมีใครพูดจาว่าร้ายใส่หลิงฮัน นางจะออกตัวปกป้องเขาทันที


นี่ทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก ทั้งที่เขาเป็นหนึ่งในหกราชัน โดยปกติแล้วจะมีศิษย์หญิงหลายคนคอยเข้ามาหว่านเสน่ห์ใส่ ทว่าในตอนนั้นเขาสนใจแค่การฝึกฝนวรยุทธเท่านั้นและไม่สนใจเรื่องความรักอะไรนั่นเลย แต่ในท้ายที่สุดเขาพบเส้าสือสือกับหูเฟยหยิน ซึ่งทำให้เขาหลงรักตั้งแต่แรกพบ ทว่าพวกนางทั้งสองคนกลับมีใจให้ชายอื่น


“มันเป็นแค่เรื่องล้อเล่นเท่านั้น เจ้าจะคิดมากไปทำไม?” ชายหนุ่มชุดเขียวกล่าว เขาคือฟูเหลียงเย่ที่พ่ายแพ้ให้กับหลิงฮันเมื่อหลายวันก่อน ตอนที่เขาหาผู้ติดตาม


ตอนนี้ที่มือของเขามีผ้าสีขาวพันอยู่ การโจมตีของหลิงฮันที่แฝงมาด้วยเจตจำนงแห่งเต๋าจะสามารถขับไล่ออกไปง่ายๆได้อย่างไร?


หากเจตจำนงแห่งเต๋าไม่หายไป แผลของเขาก็จะไม่ดีขึ้น


“ข้าคิดว่าอีกฝ่ายเป็นแค่ขยะ อีกเป่าก็ปลิวแล้ว” ฟูเหลียงเย่กล่าวเหยียดหยาม


“สาวห้าว!” ติงผิงกระโจนออกไปทันทีและชี้นิ้วใส่ฟูเหลียงเย่ “ขอโทษเดี๋ยวนี้!”


“เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?” ฟูเหลียงเย่ไม่กล้าประมาท ถึงแม้ว่าติงผิงจะพ่ายแพ้ให้กับหลันหลวน แต่ยังไงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก็ไม่ควรมองข้าม และบางทีเขาก็อาจไม่มีโอกาสชนะ


“เพราะหลิงฮันเป็นอาจารย์ของข้า!” ติงผิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


หากไม่มีหลิงฮัน เขาก็คงไม่มีโอกาสมายืนอยู่ที่นี่ สำหรับติงผิงแล้วหลิงฮันเป็นผู้มีพระคุณ ไม่ว่าหลิงฮันจะพูดอะไร เขาก็จะไม่สงสัยในคำพูดของหลิงฮัน แล้วในเมื่อมีคนพูดจาไม่ดีใส่หลิงฮัน เขาจะปล่อยไปได้อย่างไร?


อะไรนะ!


ทุกคนดูตกตะลึงและภาพของหลิงฮันก็ผุดขึ้นมาในหัว


เขาสามารถฝึกฝนศิษย์ของตัวเองให้กลายเป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์ได้อย่างไร?


“เข้ามา!” ติงผิงคำราม เขาโกรธเกรี้ยวมากจนพลังภายในร่างกายเดือดพล่านมากกว่าปกติ


“หืม?”


หลิงฮันประหลาดใจที่เห็นว่าศิษย์คนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ หรือว่าพลังสายเลือดของเขากำลังตื่นขึ้นภายในความโกรธเกรี้ยวและเข้าสู่ระดับใหม่?


ฟูเหลียงเย่พูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นกลาง ข้าไม่อยากรังแกเจ้าให้เสียเวลา!”


เขาไม่มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะติงผิงได้ อย่างที่สองเขายังบาดเจ็บที่มืออยู่ แม้เขาจะมีระดับบ่มเพาะพลังที่เหนือกว่าไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว แต่ในกรณีที่เขาเป็นฝ่ายแพ้โดยศัตรูที่มีระดับบ่มเพาะพลังต่ำกว่า เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?


ติงผิงกำลังจะท้าทายอีกฝ่ายอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นจักรพรรดิพิรุณกระโจนออกมาและกดไหล่ของเขาเอาไว้และส่ายหน้า ติงผิงจึงหมดความคิดที่จะต่อสู้ นั่นเป็นเพราะจักรพรรดิพิรุณคือพี่รอง ถ้าอาจารย์ไม่อยู่เขาก็ต้องเชื่อฟังคำพูดของพี่รอง


“ข้าเองก็เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นกลาง หากข้าเสนอตัวต่อสู้กับเจ้า เจ้าจะถือว่าเป็นการรังแกข้าหรือไม่?” จักรพรรดิพิรุณกล่าว


อึก!


ฟูเหลียงเย่ถึงกับพูดไม่ออก ถึงแม้เขาจะพูดจาไม่ดีใส่คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่มันก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นมิใช่หรือ?


“แล้วเจ้ามีความสัมพันธ์กับหลิงฮันยังไง?” ฟูเหลียงเย่ถาม และเขารู้สึกหวาดกลัวจักรพรรดิพิรุณมากกว่าติงผิง


หากเขาต่อสู้กับติงผิง อย่างน้อยเขาก็ยังมีแต้มต่ออยู่บ้าง แต่ถ้าเขาต่อสู้กับจักรพรรดิพิรุณ เขายังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าจะต่อกรด้วยได้


จักรพรรดิพิรุณยกกำปั้นขึ้นมาและพูดว่า “หลิงฮันเป็นน้องสี่ของข้า!”


พรวด!


ทุกคนรู้สึกตกใจอีกครั้ง ศิษย์คนนี้้เป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์และน้องชายของเขาเองก็ยังเป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์ นี่พวกเจ้าเป็นสัตว์ประหลาดกันหรือไง?


“เข้ามาสู้กับข้า!” จักรพรรดิพิรุณคำราม


ใบหน้าของฟูเหลียงเย่เปลี่ยนไปมาก อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่มีความมั่นใจที่จะต่อสู้กับจักรพรรดิพิรุณ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้รับบาดเจ็บที่มืออยู่ ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “ข้าขอโทษ!”


มันคงเป็นเรื่องน่าละอายถ้าศิษย์เมล็ดพันธุ์กล่าวขอโทษผู้อื่นต่อหน้าทุกคน แต่มันก็ยังดีกว่าพ่ายแพ้ต่อหน้าทุกคน


จักรพรรดิพิรุณพยักหน้าและกลับไปยังที่เดิมเพื่อนั่งลง


น่าเกรงขาม!


ทุกคนจ้องมองจักรพรรดิพิรุณ ซึ่งเขาได้สร้างภาพลักษณ์ที่น่าเกรงขามขึ้นมา ถึงแม้ระดับบ่มเพาะพลังของเขาจะไม่ได้เหนือกว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ แต่ความน่าเกรงขามของเขาช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง และมีไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถปะมือกับเขาได้


ใบหน้าของอู๋เจ๋อดูน่าเกลียดขึ้นมาเล็กน้อย เดิมทีเขาเป็นคนควบคุมบรรยากาศที่อยู่ที่นี่ ทุกอย่างหมุนรอบตัวเขา ซึ่งเขาคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลาง แต่ตอนนี้กลับถูกใครบางคนแย่งชิงความโดดเด่นนั้นไป โดยคนที่เขาไม่เคยพบมาก่อน


“ศิษย์พี่อู๋ ท่านต่อสู้มาหลายคนแล้ว ดังนั้นท่านควรไปพักผ่อนและยกเวทีประลองนี้ให้กับข้า” ชายหนุ่มชุดขาวกระโจนออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้า


“ศิษย์น้องจาง!” ดวงตาของอู๋เจ๋อเบิกกว้างด้วยความดีใจ


ชายหนุ่มชุดขาวมีชื่อว่าจางหลง ในตอนแรกเขากับจางหลงนั้นมีชื่อเสียงพอกันและมีความแข็งแกร่งเท่ากัน แต่เมื่อร้อยปีก่อนเขาสามารถสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้สำเร็จ ในขณะที่จางหลงยังไม่ประสบความสำเร็จและช่องว่างระหว่างพวกเขาก็กว้างขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว


ถึงกระนั้น อู๋เจ๋อก็ไม่กล้าดูหมิ่นจางหลง เพราะพรสวรรค์ของอีกฝ่ายไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย อาจกล่าวได้ว่าโชคของอีกฝ่ายไม่ดีเท่าเขา แต่วันใดที่จางหลงสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้สำเร็จ เขาก็จะกลายเป็นคู่ที่น่าหวาดกลัว


“ฮ่าฮ่าฮ่า เช่นนั้นข้าจะมอบเวทีประลองนี้ให้กับศิษย์น้องจาง” อู๋เจ๋อคิดอยู่ชั่วครู่และพยักหน้า ก่อนที่จะเดินออกมาจากเวทีประลอง


เขาแสดงความแข็งแกร่งให้ทุกคนได้เห็นพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องแสดงมากไปกว่านี้


จางหลงกวาดสายตามอง ถึงแม้เขาจะจ้องมองธรรมดา แต่ก็สามารถทำให้คนที่ถูกจ้องมองรู้สึกหนาวสั่นจากก้นบึ้งของหัวใจราวกับกำลังถูกอสรพิษร้ายจ้องมอง จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่หลายคนจะก้มหน้าลงและไม่กล้าสบตาเขา


ถึงแม้เขาจะสร้างภูผาวารีสายที่ห้าไม่สำเร็จ แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็สามารถบดขยี้จอมยุทธที่อยู่ในระดับเดียวกันได้


ในที่สุดสายตาของเขาก็หยุดอยู่ที่หลิงฮัน


“ศิษยน้องคนนั้น เจ้าสนใจสู้กับข้าหรือไม่?” เขาพูดท้าทาย


ทุกคนรู้สึกแปลกใจ จางหลงต้องการต่อสู้กับหลิงฮัน?


ต้องทราบก่อนว่า จางหลงไม่ได้เข้าร่วมนิกายสวรรค์เยือกแข็งปีก่อน แต่เข้าร่วมเมื่อเก้าร้อยปีที่แล้ว ช่วงเวลาที่เขาฝึกฝนอยู่ในนิกายสวรรค์เยือกแข็งเป็นเวลาเก้าร้อยปี ถึงแม้เขาจะสร้างภูผาวารีสายที่ห้าไม่สำเร็จก็ตาม แต่มันก็ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น


กังสือหยุนแสยะยิ้ม ในที่สุดหลิงฮันก็จะถูกสั่งสอนต่อหน้าทุกคน

 

 

 


ตอนที่ 1153

 

“ศิษย์น้องฮัน เจ้ากล้ารับคำท้าของข้าหรือไม่?” จางหลงกล่าวถาม


หลิงฮันยืนขึ้นและพูดว่า “ในเมื่อเจ้ารอขอความพ่ายแพ้ ข้าก็เต็มใจที่จะมอบให้!”


ชายคนนี้ช่างเป็นคนพูดจาใหญ่โตยิ่งนัก!


เขาพูดจาแบบนั้นไม่กลัวว่าจะเสียหน้าทีหลังเลยหรือ?


จางหลงชักสีหน้าและพูดว่า “ข้าเข้าร่วมนิกายก่อนเจ้าเก้าร้อยปี เจ้าควรเรียกข้าว่าศิษย์พี่!”


“ใครจะเป็นศิษย์พี่หรือศิษย์น้องนั้น ไม่ใช่ว่ามันตัดสินด้วยความแข็งแกร่งหรอกรึ?” หลิงฮันกล่าว


เขาทำตัวอวดดีเช่นนี้ นี่เขาไม่กลัวตกม้าตายทีหลังหรอกหรือ?


ทุกคนต่างพากันส่ายหัว ถึงแม้ว่าหลิงฮันจะเป็นคนที่แข็งแกร่งมากและสามารถเอาชนะกังสือหยุนได้ก่อนที่จะเข้าร่วมนิกาย แต่กังสือหยุนนั้นเข้าร่วมนิกายมาก่อนเขาแค่ปีกว่าเท่านั้น


ดังนั้น จางหลงจึงแตกต่างจากกังสือหยุนอย่างสิ้นเชิง เขาเข้าร่วมนิกายเมื่อเก้าร้อยปีก่อน ช่วงเวลาที่เขาฝึกฝนอยู่ในนิกาย มันทำให้เขาพัฒนาขึ้นมาก แม้จะยังสร้างภูผาวารีสายที่ห้าไม่ได้ก็ตาม


หากสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้สำเร็จ เขาสมควรที่จะไร้พ่าย


“ฮ่าฮ่าฮ่า!” จางหลงแสยะยิ้ม “เจ้าเป็นคนที่บ้าบิ่นมาก ถึงอย่างนั้นข้าก็ชอบศัตรูแบบเจ้า และข้าจะเป็นคนเหยียบย่ำใบหน้าของเจ้าให้จมดิน”


“ไม่ต้องกังวล มันจะเป็นเจ้าต่างหากที่จะถูกเหยียบย่ำอยู่บนพื้น” หลิงฮันส่ายหัว


“เรื่องตลกของเจ้ามันไม่ตลกเลยสักนิด” จางหลงกล่าว


“ข้าไม่ได้พูดเล่น” หลิงฮันกล่าวและยักไหล่


ใบหน้าของจางหลงกลายเป็นหนาวเย็น จากนั้นเขาก็พูดด้วยเสียงที่เย็นชาว่า “เข้ามาได้แล้ว!”


“เพื่อเป็นการต่อให้ ข้าจะให้เจ้าโจมตีใส่ข้าก่อนสามกระบวนท่า” หลิงฮันวางมือไว้ด้านหลัง


“เจ้าคนอวดดี!” จางหลงเกรี้ยวกราดและโจมตีใส่หลิงฮันทันที


ปัง!


หลิงฮันเพียงแค่เบี่ยงตัวหลบและไม่ตอบโต้


ปัง! ปัง!


หลังจากผ่านไปสามกระบวนท่า หลิงฮันยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลยแม้แต่น้อย


ฟ่อ!


ทุกคนดูตกตะลึง พวกเขายอมรับในความแข็งแกร่งของจางหลง นอกจากหกราชันแล้ว ใครยังกล้าพูดต่อให้จางหลงสามกระบวนท่าได้อีก?


แต่หลิงฮันไม่ได้ดีแค่พูดเท่านั้น เขาทำจริง


ความแข็งแกร่งของเขา…หยั่งไม่ถึง!


แม้แต่อู๋เจ๋อกับเหอเต๋าเองก็รู้สึกตกตะลึง พวกเขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าหลิงฮันจะแข็งแกร่งขนาดนี้


“ข้าต่อให้เจ้าสามกระบวนท่าไปแล้ว และต่อไปข้าจะต่อให้เจ้าอีกโดยการต่อสู้ด้วยมือข้างเดียว” หลิงฮันเก็บมือขวาไว้ด้านหลังและยกมือซ้ายขึ้นมา


นี่มัน!


ถึงแม้เจ้าจะทำตัวอวดดี แต่อีกฝ่ายคือจางหลง!


กังสือหยุนรู้สึกตกตะลึงและมีความสุข จางหลงจะต้องโกรธเกรี้ยวมากแน่ๆ แล้วนั่นก็จะทำให้เขาอยากกำจัดหลิงฮัน


ดี! ดี!


นางไม่เชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของจางหลงจะไม่สามารถกำจัดหลิงฮันได้


จางหลงเริ่มโกรธจริงจัง และโจมตีใส่หลิงฮันด้วยความโกรธ


เจ้าต่อให้ข้าสามกระบวนท่าและยังจะต่อสู้กับข้าด้วยมือข้างเดียวอีก การที่เขาถูกอีกฝ่ายดูถูกเหยียดหยามขนาดนี้ ทำให้เขารู้สึกละอายใจเป็นอย่างยิ่ง


“ศิษย์น้อง เจ้าเป็นคนขอให้ข้าทำแบบนี้เองนะ!” ดวงตาของเขาส่องแสงเย็นชา ทันใดนั้นก็มีแสงสีแดงแผ่ออกมาและทำให้ผิวของเขากลายเป็นสีแดงทันที จากนั้นร่างกายของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นและผ้าพันแผลสีขาวที่พันอยู่ก็ฉีกขาดแล้วมือของเขาก็กลายเป็นกรงเล็บเสือ


ใช่แล้ว มันไม่ใช่มือ แต่เป็นกรงเล็บ!


ตอนนี้มือทั้งสองข้างของเขากลายเป็นกรงเล็บและมีอักขระศักดิ์สิทธิ์เกือบเจ็ดสิบแถวส่องประกายอยู่


“หืม นี่มันพลังอะไรกัน ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าพลังของศิษย์พี่จางเหนือกว่าระดับภูผาวารีไปแล้ว?” ใครบางคนอุทาน ซึ่งเขาเองก็เป็นศิษย์เมล็ดพันธุ์เหมือนกัน แต่ถูกข่มด้วยพลังของจางหลง


“ไม่ใช่ พลังของเขาไม่ได้เหนือกว่าระดับภูผาวารี ที่เจ้ารู้สึกแบบนั้นนั่นเป็นเพราะระดับพลังของเจ้ายังต่ำเกินไป”


“นี่คือทักษะที่ยอดเยี่ยมของศิษย์พี่จาง มันเรียกว่าทักษะโลหิตพยัคฆ์คลั่ง เมื่อใดที่เขาใช้ทักษะนี้ มันจะทำให้ความแข็งแกร่งและความเร็วเพิ่มขึ้นมาก”


“พลังของศิษย์พี่จางนั้นได้อยู่บนจุดสูงสุดของระดับภูผาวารีเรียบร้อยแล้ว และน่าจะมีพลังต่อสู้ถึงหกดาว บวกกับพลังของทักษะโลหิตพยัคฆ์คลั่งมันเป็นไปได้มากที่เขาจะมีพลังต่อสู้เจ็ดดาว”


“นี่คือพลังสูงสุด!”


ศิษย์พี่คนหนึ่งที่อยู่นิกายมานานอธิบายสถานะของจางหลงในขณะนี้


อีกฝ่ายสร้างภูผาวารีสายที่ห้าไม่สำเร็จ แต่เขาก็บรรลุระดับสูงสุดของภูผาวารีทั้งสี่สาย


อย่างไรก็ตาม พลังดังกล่าวไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดเวลา ซึ่งแต่ไม่เหมือนกับจอมยุทธที่สร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้ที่เป็นพลังถาวร


จางหลงคำรามและโจมตีใส่หลิงฮันด้วยกรงเล็


พรึบ!


การเคลื่อนไหวของเขานั้นรวดเร็วเกินไป จึงทำให้เขาเหมือนกลายเป็นลำแสงสีแดงที่จอมยุทธระดับภูผาวารีส่วนใหญ่นั้นจับตามองไม่ทัน


ปัง!


หลิงฮันสะบัดมือซ้ายและโจมตีออกไปด้วยปราณดาบ


ตู้ม!


การโจมตีทั้งสองปะทะกัน ทำให้เกิดแสงสว่างจ้าไปทั่วพื้นที่ ซึ่งทำให้หลายคนมองไม่เห็นและไม่สามารถมองการต่อสู้ของพวกเขาได้


แต่แสงนั่นก็ดับลงไปในไม่ช้า พวกเขาเห็นหลิงฮันยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมและเห็นนิ้วชี้กับนิ้วกลางชิดกันกลายเป็นดาบ ในขณะนี่จางหลงลงไปนอนหงายอยู่ใต้เท้าของหลิงฮันและมีโลหิตพุ่งออกมาจากอก


เกิดอะไรขึ้น!


คนที่แข็งแกร่งอย่างจางหลงกลับพ่ายแพ้ด้วยการโจมตีเดียว?


ดวงตาของทุกคนเบิกกว้างและหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ


เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้ยังไง! มันไม่มีทางเป็นไปได้!


ใครบางคนอุทานด้วยความตกตะลึง และคิดว่าพวกเขาฝันไป ก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นจางหลงพยายามโจมตีใส่หลิงฮันอย่างดุเดือดเพื่อเอาชนะ แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขากลับเห็นจางหลงนอนกองอยู่บนพื้น


จางหลงนอนกองอยู่บนพื้นและหมดสติไปเรียบร้อยแล้ว


พ่ายแพ้ พ่ายแพ้อย่างราบคาบ!


หลิงฮันเตะร่างของจางหลงกลับไปยังก้อนหินที่กระโจนออกมา ทำให้ร่างของจางหลงห้อยอยู่ที่ก้อนหิน โดยที่สะโพกของเขาขึ้นไปอยู่บนหินและห้อยแขนลงมาและก้นของเขากำลังกำลังกระดกชี้ฟ้า ฉากดังกล่าวจะยังคงอยู่ในใจของทุกคนที่นี่ตลอดไป


กังสือหยุนรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่ก่อตัวเพิ่มขึ้นในหัวใจ ความแข็งแกร่งของหลิงฮันนั้นเหนือกว่าที่นางจินตนการเอาไว้มาก แม้แต่จางหลงยังพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย นี่หรือเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายสร้างภูผาวารีสายที่ห้าสำเร็จแล้ว?


นิกายสวรรค์เยือกแข็งนั้นได้รวบรวมอัจฉริยะจากหลายร้อยดาวมาไว้ที่นี่ แต่ตอนนี้มีจอมยุทธระดับภูผาวารีที่สามารถสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้แค่หกคนเท่านั้น


อัจฉริยะอย่างพวกเขาถูกมองว่าเป็นสมบัติของนิกาย แล้วนางจะยังมีความหวังที่จะแก้แค้นหลิงฮันสำเร็จได้อย่างไร?


หลิงฮันหันไปจ้องมองนางอย่างเย็นชา ที่จางหลงท้าทายเขาเห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับกังสือหยุน


กังสือหยุนรู้สึกว่าดวงวิญญาณของตัวเองกำลังสั่นคลอน นางรีบก้มหน้าลงทันทีและไม่กล้ามองหลิงฮัน


“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไม่คิดเลยว่าศิษย์น้องฮันจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!” อู๋เจ๋อปรบมือและกล่าวด้วยรอยยิ้ม และแอบหวาดกลัวหลิงฮันอยู่ในใจ


แม้แต่เขาเองก็ยังไม่กล้าดูถูกจางหลง เพราะมันมีความเป็นไปได้มากที่อีกฝ่ายจะสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้สำเร็จและไล่ตามเขาทันอีกครั้ง ดังนั้นคนที่สามารถเอาชนะจางหลงได้ไม่น่ากลัวกว่าหรอกหรือ?


หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “พี่ชายอู๋ ท่านสามารถให้คำแนะนำข้าสักหนึ่งหรือสองกระบวนท่าได้หรือไม่?”

 

 

 


ตอนที่ 1154

 

แม้คำว่าพี่ชายอู๋กับศิษย์พี่อู๋จะต่างกันแต่คำเดียว แต่ความหมายที่ใช้สื่อออกมานั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง


ศิษย์พี่อู๋คือคำเรียกเพื่อแสดงความเคารพที่ยอมรับในความสามารถของอีกฝ่าย ส่วนพี่ชายอู๋นั้นคือคำที่ใช้เรียกอย่างสุภาพแต่ผู้พูดไม่ได้คิดว่าตนเองอ่อนด้อยกว่าอีกฝ่าย


ก็เหมือนกับเหอเต๋ากับอู๋เจ๋อที่เรียกกันว่า ‘พี่ชาย’ ไม่มีฝ่าใดฝ่ายหนึ่งแทนอีกฝ่ายว่า ‘ศิษย์พี่’ นั่นเพราะว่าพวกเขาต่างคิดว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่าย แล้วจะให้พวกเขาก้มหัวให้กันได้อย่างไร?


แต่พวกเขาคือเหอเต๋ากับอู๋เจ๋อที่เป็นหกราชา ส่วนในกรณีหลิงฮันเขาจะมีคุณสมบัติเช่นนั้นรึ?


ใบหน้าของอู๋เจ๋อเปลี่ยนเป็นมืดมน ร่องรอยแห่งความไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า เจ้าหนูนี่คิดว่าตนเองมีสิทธิ์ทัดเทียมเขาเพียงเพราะโค่นจางหลงได้? ที่เขามีความระมัดระวังต่อจางหลงเป็นเพราะศักยะไม่ใช่ความสามารถในตอนนี้ ในอนาคตอีกฝ่ายมีโอกาสก้าวขึ้นมาทัดเทียมกับตัวเขาเท่านั้นเอง


ถ้าเป็นในด้านของความสามารถ แน่นอนว่าเขาย่อมเหยียบย่ำจางหลงได้ด้วยอำนาจของภูผาวารีสายที่ห้า


ในทางตรงข้าม เหอเต๋ายิ้มเล็กน้อย เขายังคงใช้เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้มชาด้วยความสงบนิ่ง


“ศิษย์น้องฮัน ดูเหมือนจะเจ้าอวดดีไปหน่อยนะ” อู๋เจ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


“ศิษย์น้องอู๋ ข้าว่าเจ้าควรจะเรียกข้าว่าศิษย์พี่จะดีกว่า หากเรียกข้าเช่นนั้นต่อให้เจ้าพ่ายแพ้ก็ยังถือว่าไม่น่าอับอาย” หลิงฮันตอบกลับด้วยรอยยิ้ม


พรวด!


ศิษย์คนอื่นๆตกตะลึงจนอ้าปากค้าง พวกเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหลิงฮันนั้นอวดดีมาก แต่พวกเขาไม่คิดว่าหลิงฮันพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้!


พวกเขาทุกคนเป็นศิษย์ของนิกายสวรรค์เยือกเย็นเหมือนกัน ทำไมหลิงฮันจะต้องมีท่าทีเหยียดหยามอู๋เจ๋อเช่นนั้นด้วย?


ถ้าเขาแพ้ในการต่อสู้นี้เขาจะยังมีหน้าอยู่ที่นิกายแห่งนี้ต่ออีกรึไง? ใครที่กล้าเป็นสหายกับเขาหลังจากที่เขากลายเป็นเป้าหมายของอู๋เจ๋อหนึ่งในหกราชา?


หลิงฮันจะสามารถชนะได้จริงๆรึ?


นอกจากคนที่ชื่นชมสรรเสริญเขาอยากมากเช่นหูเฟยหยินแล้ว แทบจะไม่มีใครเลยที่เชื่อว่าหลิงฮันจะเอาชนะอู๋เจ๋อได้


…ต่อให้หลิงฮันเอาชนะจางหลงได้ อู๋เจ๋อก็โค่นล้มพวกซูจิงกับตูนอันได้เช่นกัน อัจฉริยะที่เป็นถึงหกราชา ชื่อเสียงเช่นนี้เพียงพอจะทำทุกคนเชื่อมั่นในตัวเขา


ในนิกายไม่มีใครมีสถานะทัดเทียมกับศิษย์หกราชา


ไม่มีใครเข้าใจได้เลยว่า ทำไมหลิงฮันถึงดูเหมือนจะท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่ออู๋เจ๋อ?


พวกเขาคาดเดาไม่ผิด หลิงฮันเป็นคนมีนิสัยปกป้องคนของตัวเอง ก่อนหน้านี้อู่เจ๋อเล่นไม่ซื่อกับจักรพรรดิพิรุณ จะให้เขาทำเป็นไม่เห็นรึได้อย่างไร?


“ศิษย์น้องฮัน เจ้าเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ!” ใบหน้าของอู๋เจ๋อเต็มไปด้วยความฉุนเฉียว เขายื่นมือขวาออกไป ‘พรึบ’ มือของเขาเปลี่ยนเป็นสีทองบริสุทธิ์ราวกับถูกหลอมด้วยแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์


การต่อสู้หลายครั้งที่ผ่านมาเขาไม่ได้เอาจริง แต่ตอนนี้เขาเตรียมพร้อมจะลงมือเต็มพลังแม้การต่อสู้จะยังไม่เริ่มเนื่องจากเขารู้สึกโมโหอย่างแท้จริง แต่แน่นอนว่ามีอีกเหตุผลที่เขาเอาจริง หลิงฮันแข็งแกร่งพอที่จะโค่นจางหลงด้วยการโจมตีเดียว ต่อให้เป็นอู่เจ๋อก็ไม่กล้าไร้กังวล


หลิงฮันก็ไม่กล้าดูถูกคู่ต่อสู้เช่นกัน กายหยาบของเขาแข็งแกร่งพอให้เขาไร้เทียมทานก็จริง แท้เขาไม่ต้องการใช้วิธีนี้ในการเอาชนะคู่ต่อสู้


เขาต้องการทวงความยุติธรรมให้จักรพรรดิพิรุณ เพราะงั้นเขาจึงต้องชนะอย่างภาคภูมิใจ


“ส่วนศิษย์น้องอู๋ไม่เห็นน่าสนใจแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นเจ้าจะดื้อรั้นไปเพื่ออะไร ทำไมไม่เรียกข้าว่าศิษย์พี่แต่โดยดี?” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“เจ้าพล่ามพอรึยัง!!” อู๋เจ๋อคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ‘ครืนน’ เสียงคำรามของเขาก่อให้เกิดคลื่นเสียงอันทรงพลัง ทุกคนมองเห็นคลื่นกระแทกเสียงสีทองแพร่กระจายไปทั่วทิศทาง


ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ คนรอบข้างอย่างน้อยครึ่งหนึ่งร่วงหล่นจากหินที่นั่ง


อำนาจของเสียงคำรามสามารถแข็งแกร่งได้เพียงนี้!


ทุกคนตกตะลึง ตลอดที่ผ่านมาอู่เจ๋ออาจจะยังใช้พลังไม่ถึงสามในสิบส่วนด้วยซ้ำ


แล้วทีนี้หลิงฮันจะต้านทานไหวได้อย่างไร?


หลิงฮันยืนนิ่งอย่างไม่หวั่นเกรงราว เสียงคำรามเมื่อครู่ทำให้เสื้อคลุมของเขาสะบัดผมปลิวสยายออกเท่านั้น ไม่ได้ทำให้เขาบาดเจ็บใดๆ เขากล่าวออกไปอย่างสงบนิ่ง “การต่อสู้ไม่ได้ตัดสินด้วยการที่ว่าใครเสียงดังกว่าเสียหน่อย ไม่ว่าเจ้าจะคำรามยังไง ศิษย์น้องก็ยังคงเป็นศิษย์นน้อง เรื่องนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้”


“เจ้า!!” อู๋เจ๋อแทบจะเป็นบ้า เขาปล่อยหมัดออกไป


รัศมีแสงสีทองนับไม่ถ้วนสาดลงมาจากท้องฟ้าและเปลี่ยนเป็นใบมัดจำนวนมากฟันลงมาใส่หลิงฮัน


หลิงฮันยกมือขวาขึ้นและสร้างโล่พลังปราณขึ้นเหนือหัว ออร่าที่ทรงพลังไม่แพ้อู๋เจ๋อแม้แต่น้อยถูกปลดปล่อยออกมา


ปัง ปัง ปัง ปัง!


ใบมีดสีทองร่วงลงมาอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่มีเล่มไหนเลยที่ทะลวงโล่พลังปราณของหลิงฮันได้ ในตอนนั้นเอง อู๋เจ๋อก็พุ่งเข้ามาใกล้และปล่อยหมัดที่รุนแรงราวกับดวงดาวจะร่วงหล่นลงมาออกไป


หลิงฮันยกหมัดขึ้นมาด้วยท่าคล้ายๆกันเพื่อจะรับหมัดของอีกฝ่ายด้วยหมัดของเขา


ตูม!


หมัดสองหมัดเข้าปะทะกันเกิดเป็นประกายแสงอันเจิดจ้า คลื่นทำลายแพร่กระจายไปทั่ว ผู้คนที่เพิ่งนั่งบนที่นั่งหินถูกพลักร่วงหล่นจากที่นั่งอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ย่ำแย่กว่า พวกเขาถูกพลักจนร่วงจากยอดเขา


โชคดีที่ยอดเขาไม่สูงมาก พวกเขาร่วงไปไม่ไกลมากก่อนจะตั้งหลักยืนได้


คลื่นพลังจากการปะทะกันของอู๋เจ๋อและหลิงฮันยังไม่จบเท่านั้น อำนาจราชาของทั้งสองคนต้องการกดขี่สยบคนอื่นๆให้พังพินาศ


ครืนนน พลังอันไร้ที่สิ้นสุดก่อตัวขึ้นมาในรูปแบบของคลื่นแสงที่ค่อยๆขยายกว้าง เสียงอึกทึกดังก้องราวกับสวรรค์กำลังพังทลาย


ปัง!


ในที่สุดหมัดของทั้งคู่ก็ปะทะกันเสร็จสิ้น อู๋เจ๋อกะเด็นถอยกลับและพลิกร่างตีลังกาลงพื้นอย่างปลอดภัย ในขณะเดียวกัน หลิงฮันถูกทำให้ก้าวถอยหลังเจ็ดก้าวก่อจะรักษาสมดุลได้


ใครเป็นฝ่ายเหนือกว่า?


พวกเขาไม่เข้าใจสถานการณ์ที่กำลังดูอยู่ ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะเสมอกัน


หลิงฮันขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเพิ่งจะทะลวงผ่านขั้นสมบูรณ์มาไม่นาน ในด้านของพลังแล้วอีกฝ่ายเหนือกว่าเขาเล็กน้อยเท่านั้น ความแตกต่างไม่ได้มากจนเกินไป ในสถานการที่พลังของพวกเขาทั้งคู่พอๆกัน สิ่งที่จะนำมาตัดสินคือทักษะยุทธของใครเหนือกว่าและใครมีพรสวรรค์ในการต่อสู้มากกว่า


สีหน้าของอู๋เจ๋อเปลี่ยนเป็นจริงจังและกล่าว “ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าอวดดีถึงเพียงนั้น ที่แท้ศิษย์น้องฮันก็บรรลุขั้นสมบูรณ์ได้เช่นกัน!”


‘ว่าไงนะ!’


ทุกคนรู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง เจ้าคนอวดดีคนนี้เองก็สร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้สำเร็จ?


ไม่น่าแปลกใจที่เขาสามารถทัดเทียมกับอู๋เจ๋อได้ ทั้งสองยืนอยู่บนขั้นสมบูรณ์ของระดับภูผาวารีเหมือนกัน


“เช่นนั้นพวกเราก็มาต่อสู้กันด้วยพลังทั้งหมดดีกว่า!” อู๋เจ๋อคำรามลั่น เขายื่นแขนทั้งสองข้างออกไป แขนของเขาค่อยๆเล็กลงและเปลี่ยนเป็นใบดาบสีทอง ดาบทั้งข้างถูกปกคลุมไว้ด้วยรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ จำนวนของรูปแบบอาคมมีมากถึงเจ็ดสิบเก้าอัน


เขาคำรามและพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน แขนใบดาบทั้งสองข้างกวัดแกว่งอย่างต่อเนื่องปลดปล่อยปราณดาบโมตีออกไป


หลิงฮันไม่น้อยหน้า เขาใช้สองนิ้วเป็นดาบและพุ่งเข้าไปรับการโจมตี


เฉ้ง เฉ้ง เฉ้ง เฉ้ง!


ทั้งสองคนปะทะกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทั้งสองคนใช้ร่างกายของตนเองโจมตี แต่การปะทะกันของพวกเขากลับเป็นเสียงของโลหะกระทบกัน ผู้คนโดยรอบตะลึง สองคนนี้ขัดเกลากายหยาบจนน่ากลัวถึงขั้นไหนกันแน่?


แต่คนที่รู้สึกตกตะลึงมากที่สุดไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นอู๋เจ๋อ!

 

 

 


ตอนที่ 1155

 

อู๋เจ๋อรู้ดีว่าทักษะบ่มเพาะพลังของเขาสามารถเปลี่ยนอวัยวะให้กลายเป็นดาบศักดิ์ศิทธิ์ได้มีคือส่วนแขนเท่านั้น


ยิ่งกว่านั้นเขาก็ไม่สามารถคงสภาพทักษะนี้ให้อยู่ได้ตลอดเวลา ถ้าเขาเปลี่ยนสภาพแขนนานเกินไปร่างกายเขาจะได้รับบาดเจ็บอย่างที่ไม่อาจรักษาได้ ในขณะเดียวกัน ทางด้านหลิงฮันนั้นดูเหมือนเขาจะไม่ได้โคจรทักษะบ่มใดๆเลย ราวกับว่ากายหยาบของเขาเป็นแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวมันเอง


‘นี่มันน่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว!’


‘สัตว์ประหลาดเช่นนี้มีอยู่จริงได้อย่างไร?’


เขาสูดหายใจลึก พลังของคู่ต่อสู้ตรงหน้าแข็งแกร่งเหนือความคาดหมายของเขาไปเล็กน้อย เขาสะบัดแขนและคำราม “สรวงสวรรค์เบื้องบนขุมนรกเบื้องล่างได้เข่นฆ่าวีรบุรุษนับล้านบนโลก”


ครืนน!


คลื่นแสงแห่งดาบาระเบิดออกมาจากร่างของอู๋เจ๋อ เพียงพริบตาออร่าของเขาก็ทรงพลังขึ้นกว่าเดิมอย่างมหาศาล


‘ตัวข้าคือดาบ!’


เขากระหน่ำปลดปล่อยการโจมตีใส่หลิงฮัน การโจมตีแต่ละครั้งของเขาทั้งดุดันและทรงพลัง เขาดั้งใจจะโค่นหลิงฮันด้วยเจตจำนงดาบที่แข็งแกร่งของเขา


หลิงฮันรับการโจมตีของอู๋เจ๋อด้วยนิ้วมือ ในมือคู่ต่อสู้ไม่ใช้อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์เขาก็จะไม่ใช้ดาบอสูรนิรันดร์เช่นกัน เขาคิดจะโค่นศัตรูให้ราบคาบโดยที่อีกฝ่ายไม่สามารถโต้แย้งได้ว่าเขาเอาเปรียบ


หลิงฮันใช้งานรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์แรงโมถ่วงเพื่อยับยั้งการเคลื่อนไหวของอู๋เจ๋อ


พวกเขามีระดับพลังบ่มเพาะที่เท่ากัน ดังนั้นอู๋เจ๋อจึงไม่อาจหลบหนีผลกระทบจากแรงโน้มถ่วงได้ แต่ผลกระทบที่เขาได้รับเองก็แตกต่างออกไป เขาหยุดชะงักไปเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะปรับสมดุลกลับมาได้และโจมตีต่อ


หลิงฮันหัวเราะในใจและใช้รูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์แรงโน้มถ่วงอย่างต่อเนื่องพร้อมกับตอบโต้การโจมตีของอู๋เจ๋อด้วยนิ้วมือ แม้แรงโน้มถ่วงจะส่งผลต่ออีกฝ่ายแค่เล็กน้อย แต่ในการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่ง ผลกระทบเพียงเล็กน้อยก็มีผลอย่างมากต่อการสู้รบ


เป็นเช่นนั้นจริงๆ อู๋เจ๋อรู้สึกรำคาญรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์แรงโน้มถ่วงมาก แม้มันจะส่งผลกับเขาเพียงนิดเดียวแต่มันก็ทำให้การโจมต่ของเขาคลาดเคลื่อนเล็กน้อยทุกครั้ง


เพียงแต่ว่าพลังต่อสู้ของอู๋เจ๋อเพิ่มขึ้นมาเป็นขั้นใหม่แล้วหลังจากที่ใช้งานหนึ่งในทักษะที่แข็งแกร่งที่สุด เขาดูเหมือนว่ากำลังจะพลิกโต๊ะกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบหลิงฮัน


เกียรติของหลิงฮันเป็นดั่งเพลิงที่โหมกระหน่ำ เขาใช้นิ้วแทนดาบพร้อมกับกระตุ้นใช้งานรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิง เปลวเพลิงอันร้อนระอุปะทุออกมาจากมือขวาของเขาทันที


เปลวเพลิงเหล่านี้ไม่ใช่เพลิงธรรมดาแต่เป็นเพลิงที่เกิดจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ มันร้อนแรงพอที่จะหลอมละลายได้แม้แต่แร่โลหะศักดิ์สิทธิ์!


อู๋เจ๋อขมวดคิ้วเครียด แม้จะเป็นเขาก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้า คู่ต่อสู้ของเขาดูเยาว์วัยกว่าเขามากนัก แต่เหตุใดถึงสามารถประทับรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ไว้บนร่างได้มากมายขนาดนี้?


เขาจะแพ้ไม่ได้!


จิตวิญญาณต่อสู้ของอู๋เจ๋อทะยานสูงเสียดฟ้า เขาเป็นหนึ่งในอัจฉริยะหกราชา เขาจะแพ้ให้กับผู้อื่นได้อย่างไร? หากแพ้ให้กับราชาอีกห้าคนก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเพราะอย่างไรพวกเขาก็เป็นราชาเหมือนกัน แต่ถ้าเขาแพ้การต่อสู้นี้เขาจะรักษาสถานะให้ทัดเทียมกับราชาอีกห้าคนต่อไปได้อย่างไร?


“ฮึ่ม!” เขาคำรามเสียงต่ำ คลื่นเสียงจากการคำรามของเขาเปลี่ยนสภาพเป็นดาบฟันเข้าใส่หลิงฮัน


หลิงฮันเหวี่ยงหมัดเขาหาดาบที่พุ่งเข้ามาอย่างไม่แยแส


ปัง!


ดาบคลื่นเสียงถูกทำให้แตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ความรู้สึกเจ็บปวดกับเสียดแทงเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา


‘หืม? การโจมตีทางจิตวิญญาณ?’


หลิงฮันกระเดาะลิ้นด้วยความสงสัย ใครจะไปคิดว่าคลื่นเสียงดาบจะเป็นเพียงการโจมตีบังหน้าโดยที่การโจมตีที่แท้จริงนั้นกลับกลายเป็นการโจมตีทางจิตวิญญาณ? เพียงแต่ว่าศัตรูของเขาคงนึกไม่ถึงแน่ว่าเขาได้บ่มเพาะจิตวิญญาณไปจนถึงระดับที่ทรงพลังมากๆแล้ว จิตวิญญาณของเขาถูกขัดเกลาด้วยคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ดังเช่นกายหยาบ จิตวิญญาณของเขาจะแข็งแกร่งกว่าพลังบ่มเพาะของเขาหนึ่งขั้น


“อะไรกัน?!” ใบที่สุดสีหน้าตกตะลึงก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของอู๋เจ๋อเมื่อเห็นว่าการโจมตีทางจิตวิญญาณไร้ผล เมื่อครู่เขาใช้ทักษะคลื่นเสียงพินาศซึ่งเป็นทักษะการโจทตีการจิตวิญญาณระดับสูงออกไป ที่จริงทักษะที่ว่าเป็นหนึ่งในทักษะลับของนิกายสวรรค์เยือกแข็ง


เขาได้รับการสอนทักษะนี้เพราะเขาบรรลุขั้นสมบูรณ์ของระดับภูผาวารี ถ้าไม่บรรลุขั้นสมบูณร์ต่อให้จะเป็นศิษย์ที่อัจฉริยะแค่ไหนก็ไม่มีทางได้เรียนรู้ทักษะนี้


หลิงฮันเพิ่งจะเข้าร่วมนิกายไม่นาน แน่นอนว่าเขายังไม่มีทางได้รับการสอนทักษะคลื่นเสียงพินาศแน่นอน แต่ถึงจะเรียนรู้แล้วทักษะนี้ก็ช่วยเพิ่มพลังโจมตีทางจิตวิญญาณเท่านั้น ทักษะไม่ได้ช่วยเพิ่มความสามารถในการป้องกันจิตวิญญาณ


อู๋เจ๋อคำรามเพื่อปกปิดการโจมตีจิตวิญญาณที่ใช้ออกไปเพื่อให้คู่ต่อสู้ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ เพียงแต่ว่าหลิงฮันกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย เรื่องแบบนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไป!


‘หมอนี่เป็นสัตว์ประหลาดแบบไหนกันแน่?!’


หลิงฮันแสยะยิ้มและกล่าว “นั่นเป็นการลอบโจมตีที่แนบเนียนไม่เลวเลย ข้าให้คะแนนเจ้าเก้าเต็มสิบ ข้าหักหนึ่งคะแนนเพราะเจ้าแสดงท่าทีหยิ่งยโสเกินไป”


‘บัดซบ! นี่เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นศิษย์พี่ของข้าจริงๆรึไง?’


สีหน้าของอู๋เจ๋อเย็นชายิ่งขึ้นและในที่สุดก็นำอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ออกมา มันเป็นดาบที่ได้รับความเสียหายเล็กน้อย เพียงแต่ว่าตัวของดาบกลับปลดปล่อยกลิ่นอายและออร่าแห่งบรรพกาลออกมา


“ดาบสามบุปผาสามเมฆา!” เขากล่าวด้วยท่าทีจริงจัง


“ดาบสามบุปผาสามเมฆางั้นรึ!” ใครบางคงอุทานด้วยความตะลึง


“มันคือสมบัติสืบทอดที่ล้ำค่าของตระกูลอู๋! จากคำล่ำลือแล้ว ดาบเล่มนั้นเป็นดาบที่ต้นตระกูลอู๋เคยใช้ ดาบเล่มนั้นดูดซับวิญญาณของต้นตระกูลอู๋เอาไว้ ผู้ที่ใช้ดาบเล่มนั้นจะสามารถทำความเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบของต้นตระกูลอู๋ได้”


“ในอดีตกาล ต้นตระกูลอู๋เป็นจอมยุทธระดับดาราที่ทรงพลัง ตำนานกล่าวว่าเขามีพรสวรรค์สูงส่งถึงขนาดที่ว่าสามารถแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ได้หลายกระบวนท่า!”


“แบบนี้ก็ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมศิษย์พี่อู๋ถึงมีเจตจำนงดาบที่แข็งแกร่ง! นั่นเพราะเขาได้รับสืบทอดดาบสามบุปผาสามเมฆานี่เอง!”


“เจ้าควรภูมิใจนะที่บังคับให้ข้าต้องใช้ดาบสามบุปผาสามเมฆา!” อู๋เจ๋อกล่าว


หลิงฮันหัวเราะเสียงดังก่อนจะกล่าว “ไม่ว่าเจ้าจะใช้อะไรก็ไม่อาจหลีกหนีโชคชะตาที่จะพ่ายแพ้ได้!”


“นิสัยพูดจาโอ้อวดเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีเท่าไหร่ ระวังจะกลายเป็นการตบหน้าตัวเอง!” อู๋เจ๋อพุ่งไปด้านหน้าและสะบั้นด้าบ หมู่เมฆและดอกไม้ก่อตัวขึ้นเป็นรูปธรรมกลางอากาศ


หลิงฮันรู้สึกราวกับตัวเองถูกดึงไปอยู่อีกโลกที่เต็มไปด้วยไปก้อนเมฆและดอกไม้ ในโลกนี้หากเขาขยับแม้แต่นิดเดียวก้อนเมฆและดอกไม้นับไม่ถ้วนก็จะปลดปล่อยจิตสังการที่โหดเหี้ยมออกมา


หลิงฮันไม่หวั่นเกรง ต่อให้ตรงหน้าเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงของแท้ แต่มันจะทรงอำนาจแค่นั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ แม้อู๋เจ๋อจะบรรลุระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์แล้วแต่เขาก็ยังไม่บรรลุขั้นสมบูรณ์อย่างแท้จริง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสามารถใช้พลังต่อสู้ที่ทัดเทียมกับระดับสุริยันจันทรา


ในขณะเดียวกัน กายหยาบของหลิงฮันคือสิ่งที่ตัดสินการต่อสู้นี้แล้วว่าเขาจะเป็นผู้ที่หัวเราะคนสุดท้าย ปัญหาก็คือว่าเขาจะชนะได้อย่างไม่ลำบากหรือชนะอย่างอย่างลำบากแสนเข็นก็เท่านั้นเอง


เขาขยับมือขวาเรียกดาบอสูรนิรันดร์ออกมา ออร่าแห่งความอาฆาตถูกปลดปล่อยออกมาทะยานสูงเสียดฟ้าทันที


ดาบเล่มนี้ถูกสร้างจากแร่โลหะกลืนกิน มันคือแร่โลหะที่สามารถพัฒนากลายเป็นแร่โลหะระดับนิรันดร์ได้ในอนาคต แม้ระดับของดาบในตอนนี้จะยังต่ำ แต่มันก็ถูกขัดเกลาด้วยบททดสอบสายฟ้าสวรรค์มาหลายครั้งและถูกสลักเจตจำนงของหลิงฮันลงไป


แสงสว่างเจิดจ้าปลดปล่อยออกมาจากดาบอสูรนิรันดร์ อำนาจที่ทรงพลังอย่างไม่อาจพรรณนาถูกแสดงออกมาให้ประจักษ์


จักรพรรดิพิรุณและติงผิงลุกขึ้นยืนทันที บนใบหน้าของพวกเขาปรากฏความตื่นเต้นที่ปิดไม่มิด


พวกเขารู้ว่าเขาเป็นหลิงฮันทันทีที่เขานำดาบอสูรนิรันดร์ออกมา พวกเขาเข้าใจทันทีว่าทำไมชายผู้นี้ถึงได้ต้องการเหยียบย่ำอู่เจ๋อ นั่นก็เป็นเพราะอู๋เจ๋อทำให้จักรพรรดิพิรุณได้รับบาดเจ็บจากการเล่นไม่ซื่อ


ด้วยนิสัยของหลิงฮันที่เป็นคนปกป้องคนของตัวเอง เขาจะปล่อยให้เรื่องนี้ปล่อยผ่านไปได้อย่างไร?


ดาบของทั้งสองคนห้ำหั่นกัน เจตจำยงของพวกเขาปะทะกันอย่างดุเดือดจนท้องฟ้าสั่นสะเทือน


ถ้าดาบสามบุปผาสามเมฆามีสภาพปกติที่ไม่ได้รับความเสียหาย ดาบอสูรนิรันดร์ของหลิงฮันคงไม่สามารถต่อกรได้


แต่สภาพของมันในตอนนี้ทัดเทียมกับดาบอสูรนิรันดร์

 

 

 


ตอนที่ 1156

 

หลิงฮันพยักหน้าอย่างลับๆ ในที่สุดดาบอสูรนิรันดร์ก็แสดงพลังอำนาจสูงสุด


ท้ายที่สุด ในเมื่อมันถูกสร้างขึ้นมาจากแร่เหล็กกลืนกิน แล้วมันจะไม่ทรงพลังได้อย่างไร?


หลิงฮันไม่จำเป็นต้องควบคุมดาบเลย เพราะเจตจำนงต่อสู้ของเขานั้นได้ตราตรึงอยู่ในดาบแล้ว เพียงแค่ใช้ความคิดควบคุมก็ไม่แตกต่างการกวัดแกว่งดาบด้วยมือ


นี่เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก ดาบเล่มนี้เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของหลิงฮัน แล้วในเมื่อมันถูกใช้โดยหลิงฮัน เช่นนั้นการโจมตีของเขาจะทรงพลังแค่ไหน?


ช่วยไม่ได้ที่อู๋เจ๋อจะรู้สึกเสียใจ


ก่อนหน้านี้ทุกคนต่อสู้กันโดยไม่ใช่อาวุธ แต่หลิงฮันกลับต้องทำให้เขาต้องเอาจริงและนำดาบสามบุปผาสามเมฆาออกมา นั่นเป็นเพราะเขากระหายชัยชนะและอยากจบการต่อสู้นี้ให้เร็วที่สุด เพื่อทวงศักดิ์ศรีของตัวเองกลับมา


แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับมีอาวุธที่ทรงพลังเทียบเท่าดาบสามบุปผาสามเมฆา และมันเข้ากับหลิงฮันอย่างสมบูรณ์


สถานการณ์ของเขาในตอนนี้ตรงกับสำนวนที่ว่าขโมยไก่ไมได้ เสียข้าวสารอีกกำมือ


ดาบอสูรนิรันดร์นั้นเคลื่อนที่ด้วยตัวของมันเอง ในขณะเดียวกันหลิงฮันก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งต่อยใส่อู๋เจ๋อ ถึงแม้เขาจะเลือกต่อสู้ระยะกลางหรือไกลได้ แต่ยังไงเขาก็ต้องการต่อสู้ระยะประชิด    เพราะเขาฝึกฝนทักษะคัมภีรสวรรค์นิรันดร์ ทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งจนเรียกได้ว่าอาวุธมนุษย์ แล้วด้วยทักษะเก้ามังกรทรราชย์ มันทำให้พลังของเขานั้นไม่มีที่สิ้นสุดและการต่อสู้ในระยะประชิดนั้นเหมาะสมมากกว่า


หมัด เท้า ศอก และกระทั่งหัวก็เป็นอาวุธที่อันตรายถึงตายได้!


ดาบอสูรนิรันดร์นั้นระเบิดแสงอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา ขณะเดียวกันหลิงฮันก็ต่อยหมัดออกไปพร้อมกับใช้อาคมศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิง ทำให้หมัดของเขาทรงพลังเหมือนกับจักรพรรดิพิรุณ


ใครก็ตามที่ทำให้ข้าไม่พอใจ จะต้องถูกข้าบดขยี้!


หมัดของหลิงฮันพุ่งตรงเข้าหาอู๋เจ๋อ โดยไม่คิดที่จะออมมือ หากอีกฝ่ายคิดจะตอบโต้จะต้องประสบกับความทุกข์ทรมาน


อู๋เจ๋อส่งเสียงคำราม เขาจับดาบในมือขวาแน่นและใช้ต้านรับดาบอสูรนิรันดร์ แล้วเปลี่ยนมือขวาเป็นหมัดเพื่อแลกหมัดกับหลิงฮัน


ในฐานะที่เขาเป็นหนึ่งในหกราชา เขาไม่เกรงกลัวผู้ใดที่อยู่ในระดับเดียวกัน


ปัง! ปัง! ปัง!


ทั้งสองคนโจมตีใส่กันไม่หยุด และทั้งสองคนมีพลังเกือบจะเท่ากัน แม้ว่าอู๋เจ๋อจะแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย แต่พลังของเขานั้นก็มีขีดจำกัด


หมัดของพวกเขาทั้งสองคนนั้นรวดเร็วมาก เพียงแค่ต่อสู้กันไม่กี่ลมหายใจ พวกเขาก็แลกหมัดกันไปมาหนึ่งร้อยหมัดแล้ว จนในที่สุดก็มีฝ่ายหนึ่งถูกต่อยกระเด็นไปด้านหลังและสิ้นสุดการต่อสู้ระยะประชิด


แน่นอนว่าหลิงฮันไม่เป็นอะไร แต่ที่แขนซ้ายของอู๋เจ๋อนั้นชโลมไปด้วยโลหิตที่หยุดเป็นสาย แม้แต่แขนของเขาก็ยังสั่นไปมา


การต่อสู้ระยะประชิดนั้นเกราะป้องกันที่ถูกสร้างขึ้นมาจากพลังปราณจะไม่สามารถต้านทานได้มากนัก – นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจอมยุทธส่วนใหญ่ถึงหลีกเลี่ยงการต่อสู้ระยะประชิด แล้วจอมยุทธที่ฝึกฝนบ่มเพาะกายานั้นค่อนข้างมีน้อย


ดังนั้น หลิงฮันจึงเป็นฝ่ายชนะเพราะเขามีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่า!


ปากของอู๋เจ๋อกระตุก เขารู้สึกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น


แค่พลังวิญญาณของหลิงฮันก็น่าสะพรึงแล้ว แล้วนี่เขายังมีกายหยาบที่ผิดปกติอีก


มันจะมีสัตว์ประหลาดแบบนี้อยู่ได้ยังไง?


ทุกคนเองก็รู้สึกตกตะตึง!


เมื่อทั้งสองคนต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมด มันกลับกลายเป็นอู๋เจ๋อที่ได้รับบาดเจ็บ


ใครจะคิดกันล่ะว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น?


ร่างของกังสือหยุนสั่นไม่หยุด ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าตัวเองนั้นได้ยั่วยุสัตว์ประหลาดเข้าให้แล้ว


ตราบใดที่ชายคนนี้ไม่ตายไปซะก่อน ความสำเร็จของเขาในอนาคตจะทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง!


หลิงฮันยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ศิษย์น้องอู๋ เจ้ายอมรับความพ่ายแพ้หรือยัง?”


สีหน้าของอู๋เจ๋อกลายเป็นซีดขาว แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร


เขาเป็นหนึ่งในหกราชาที่ไม่มีใครกล้าไม่ไว้หน้าเขา แต่เจ้ากลับทำตัวอวดดีขนาดนี้คิดดีแล้วหรือ?


“ฮันหลิน เจ้าชักจะมากเกินไปแล้ว!” อู๋เจ๋อกัดฟันแน่น


แม้ว่าเขาจะยังมีไพ่ลับเหลืออยู่บ้าง แต่เมื่อคำนึงถึงกายหยาบที่น่าสะพรึงกลัวของอีกฝ่ายแล้ว ไพ่ลับของเขาจะเอาชนะกายหยาบของอีกฝ่ายได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นเพียงแค่การแลกเปลี่ยนวรยุทธเท่านั้น


ดังนั้น เขาจึงหวังว่าหลิงฮันจะผ่อนปรนและไม่สร้างปัญหามากไปกว่านี้


“เรียกข้าว่าศิษย์พี่ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป” หลิงฮันยิ้มเล็กน้อย อีกฝ่ายเล่นสกปรกกับจักรพรรดิพิรุณ แล้วคิดว่าเขาจะปล่อยตัวไปง่ายๆได้อย่างไร?


ดวงตาของอู๋เจ๋อกลายเป็นมืดมน เขากำหมัดขวาแน่นและไม่ยอมรับความพ่ายแพ้


“เจ้าคิดว่าเอาชนะข้าได้แล้วงั้นรึ?” ทันใดนั้นตรงหน้าผากของอู๋เจ๋อก็มีอักขระบางอย่างเปล่งแสงสลัวออกมา


“นั่นมันอะไรกัน!”


ผู้คนที่อยู่รอบข้างตกใจ


เพียงแค่จ้องมองก็ทำให้จิตใจของพวกเขาเหมือนถูกดาบนับไม่ถ้วนกระหน่ำแทง มันทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างอธิบายไม่ถูก


“นี่มัน…นี่มัน…มันคือทักษะฝันร้ายอันสิ้นหวัง!” ใครบางคนอุทาน “พระเจ้า ศิษย์พี่อู๋ได้เรียนรู้ทักษะโบราณนี้แล้ว!”


“มันเป็นหนึ่งในทักษะลับของนิกายสวรรค์เยือกแข็ง และเป็นทักษะที่ยากจะฝึกฝน ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีผู้ใดเคยฝึกสำเร็จมาก่อนและไม่คิดว่าอู๋เจ๋อจะใช้ทักษะนี้”


กลิ่นอายของอู๋เจ๋อเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน มันปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขาราวกับเขากลายเป็นนกเค้าแมวที่จะนำพาฝันร้ายที่ไม่มีที่สิ้นสุดมา


แต่หลิงฮันจำเป็นต้องกลัวหรือไม่? เขาไร้พ่ายในระดับเดียวกันตั้งแต่แรก แต่ที่แตกต่างคือวิธีที่เขาจะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามต่างหาก


“ทักษะของเจ้าไม่เลวเลย” หลิงฮันดูสนใจมาก ทักษะนี่ทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหว


“แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ!” อู๋เจ๋อกล่าวอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็ต่อยหมัดใส่หลิงฮัน ทำให้เกิดแสงสว่างสลัวๆนับไม่ถ้วน


หลังจากพ่ายแพ้หลิงฮันเมื่อครู่ ทำให้เขาได้รับบทเรียน และไม่คิดที่จะต่อสู้ระยะประชิดกับหลิงฮันต่อไป ในทางกลับกันเขาเริ่มต่อสู้เปิดระยะมากยิ่งขึ้น


หลิงฮันกำหมัดแน่นและต้านรับการโจมตีของอู๋เจ๋อ


ปัง!


น่าทึ่ง!


การโจมตีของอู๋เจ๋อได้ทิ้งรอยเลือดไว้บนมือของเขา


หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจ ต้องทราบก่อนว่ากายหยาบของเขาในปัจจุบันเทียบได้กับแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ห้า ซึ่งเทียบได้กับการป้องกันของจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้น แต่มันกลับทิ้งรอยเลือดไว้ให้เขาได้ นี่แสดงให้เห็นว่าการโจมตีของอู๋เจ๋อทรงพลังแค่ไหน


อย่างไรก็ตาม อู่เจ๋อดูมึนงง


ระดับพลังของเขาในตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะใช้ทักษะฝันร้ายอันไร้ที่สิ้นสุด แล้วการที่เขาใช้ทักษะนี้ออกมานั้น ราคาที่เขาต้องจ่ายคือเขาจะไม่สามารถใช้พลังปราณได้เป็นเวลาสามเดือน!


ราคาที่เขาต้องจ่ายไปนั้นสูงมาก แต่ผลลัพธ์กลับทำได้แค่ทิ้งรอยเลือดไม่กี่จุดบนหมัดของหลิงฮัน แล้วมันจะทำให้เขาไม่รู้สึกมึนงงได้อย่างไร?


“การโจมตีของเจ้าทรงพลังดี แต่แค่นั้นยังไม่เพียงพอ!” หลิงฮันหัวเราะและโจมตีออกไปด้วยดาบอสูรนิรันดร์เพื่อปิดการต่อสู้กับอู๋เจ๋อ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)