Alchemy Emperor of the Divine Dao 1111-1117

ตอนที่ 1111

 

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ สุ่ยเยี่ยนยวี่ก็พบว่าหลิงฮันจ้องมาที่นางเขม็งโดยไม่วางตา


นางรู้สึกเขินและคิดจะเขยิบตัวหนี แต่จู่ๆข้อมือของนางก็ถูกจับเอาไว้แน่นและถูกดึงเข้าอ้อมกอดหลิงฮัน


“ภรรยาข้า ขอข้าอยู่แบบนี้สักพัก” หลิงฮันกล่าวในขณะที่กอดสุ่ยเยี่ยนยวี่


สุ่ยเยี่ยนยวี่ทั้งอายและมีความสุข “เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่ขนาดไหนแล้ว? ทำไมถึงชอบอ้อนเช่นนี้!”


หลิงฮันหัวเราะ ถึงแม้พลังของเขาจะยังฟื้นฟูไม่เต็มที่ แต่โดยรวมก็ฟื้นฟูกลับมาเยอะแล้ว


กอดสุ่ยเยี่ยนยวี่กระพริบตา ชายคนนี้ดูเหมือนจะติดนางจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว แถมนางก็ต้องยอมทำตามอีกฝ่ายขอด้วย…


จักรพรรดิจอมอสูรเดินกลับมาและยืนอยู่ในระยะไกลพอสมควร เขาไม่กล้าเข้ามาแทรกทั้งสอง


หลิงฮันนำโสมและสมุนไพรต่างๆออกมาช่วยฟื้นฟูพลัง พอผ่านไปสักพักเขาก็กล่าว “มุ่งหน้ากันต่อเถอะ”


“ไม่พักต่ออีกหน่อยรึ?” สุ่ยเยี่ยนยวี่เป็นห่วงหลิงฮัน เพราะอย่างไรเขาก็โดนดูดเลือดไปจนแทบหมดตัว


“ไม่ต้องกังวล” หลิงฮันยิ้ม “แต่พูดก็พูดเถอะ ถ้าหากเจอจักรพรรดินีอีกครั้งพวกเราจะทำหน้าอย่างไรดี?”


สุ่ยเยี่ยนยวี่ส่ายหัวและกล่าว “ถ้าเชื่อว่าถ้าเรื่องที่เจ้าจับหน้าอกจักรพรรดิรั่วไหลออกไป แม้แต่จักรพรรดิของอีกสองจักรวรรดิคงตามล่าเจ้าด้วยตัวเองแน่”


ปรมาจารย์ระดับดาราสองคนไล่ล่าจอมยุทธระดับภูผาวารี?


แม้จะฟังดูตลกแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ใครบ้างจะไม่รู้ว่าจักรพรรดิทั้งสองหลงไหลจักรพรรดินีแห่งดาราขนาดไหน


หลิงฮันนับนิ้วและยิ้ม “ตอนนี้ข้าล่วงเกินจอมยุทธระดับดาราไปกี่คนแล้ว?”


สุ่ยเยี่ยนยวี่กรอกตา จอมยุทธระดับภูผาวารีที่ทำให้ปรมาจารย์ระดับดารามากมายหมายหัวเช่นนี้ เกรงว่าในโลกนี้คงมีเพียงหลิงฮันคนเดียว เรื่องนี้ทำให้นางทั้งไร้คำพูดและรู้สึกชื่นชมไปพร้อมๆกัน


ไม่ต้องกล่าวถึงจอมยุทธระดับภูผาวารีเลย ต่อให้เป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราก็ทำไม่ได้เช่นหลิงฮัน


ทั้งสองคนมุ่งหน้าต่อไป เมื่อผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตากันด้วยความรู้สึกอบอุ่นหัวใจเป็นระยะ


พวกเขายังใช้แผนเดิมโดยการให้จักรพรรดิจอมอสูรจัดการศัตรูที่พวกเขาจัดการเองไม่ได้ ปลายักษ์ที่นี่แม้จะมีแข็งแกร่งแต่เนื่องจากพวกมันไม่มีพลังบ่มเพาะทำให้ไร้สติปัญญา ดังนั้นหลิงฮันจึงไม่ต้องกังวลว่าความลับของหอคอยทมิฬจะถูกพวกมันล่วงรู้


สิบวันต่อมาด้านหน้าพวกเขาก็มีหอคอยปรากฏให้เห็น


มันคือหอคอยเก้าชั้นที่ตั้งสูงตระหง่านอยู่ใต้ทะเล


ที่หอคอยชั้นล่างสุดมีผู้คนกำลังเดินเข้าหอคอยอยู่ มีบ้างบางคนที่เลือกเข้าจากชั้นที่สองหรือสาม แต่เมื่อพวกเขาขยับเข้าไปใกล้ชั้นสองหรือสาม สายฟ้าก็จะผ่าลงมาจนถูกสังหารทันทีหรือไม่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส


เห็นได้ชัดว่าหอคอยแห่งนี้ห้ามเข้าจากชั้นบนต้องเข้าจากชั้นล่างสุดเท่านั้น


“ไปดูกันเถอะ” หลิงฮันกล่าว


ทั้งสองคนเดินเข้าไปใกล้และเข้าไปยังทางเข้าหอคอยชั้นล่างสุด ทางเข้านั้นมีขนาดสูงถึงร้อยฟุตและกว้างห้าสิบฟุต ซึ่งเพียงพอที่จะบรรจุคนร้อยคนได้พร้อมกัน


เมื่อหลิงฮันเดินเข้าไป จักรพรรดิจอมอสูรก็คืนสภาพเป็นลูกบอลขนาดเล็กและถูกหลิงฮันเก็บกลับไป


“น้องชายหลิง!” เสียงเรียกดังขึ้น


หลิงฮันหันไปยังต้นเสียงและพบกับเส้าซือซือ ตูอันและคนอื่นๆ แน่นอนว่าเซี่ยอู๋เฉียที่แสนน่ารำคาญก็อยู่ที่นี่ด้วย


นอกจากทั้งสี่คนแล้วก็ยังมีจอมยุทธอีกสามคนข้างกายพวกเขา ออร่าของอีกสามคนไม่ได้อ่อนแอเลย


“ข้าจะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จัก” ตูอันยิ้มและชี้ไปยังหลิงฮัน “นี่คือหลิงฮันหรือน้องชายหลิง เขาเป็นคนเดียวที่ผ่านทุกด่านของรูปแบบอาคมรูปปั้นหิน!”


เมื่อได้ยินเช่นนี้ รุ่นเยาว์อีกสามคนที่เหลือก็ตะลึงและมองไปยังหลิงฮัน


ทั้งสามคนนั้นเดินทางติดตามผู้อาวุโสของตนเอง แม้พวกเขาจะพบกับรูปแบบอาคมรูปปั้นหิน แต่รูปแบบอาคมที่พวกเขาพบนั้นไม่ใช่แค่จะไม่ใช่รูปแบบอาคมรูปปั้นหินระดับสุริยันจันทรา แต่มันเป็นรูปแบบอาคมระดับดารา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีโอกาสได้ลองทดสอบรูปแบบอาคมด้วยตัวเอง


แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาไม่รับรู้ถึงความน่ากลัวของรูปแบบอาคมรูปปั้นหิน


ทำตามพวกเขารู้ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถผ่านรูปแบบอาคมได้ทุกด่าน แม้แต่ปรมาจารย์ระดับดาราหลายคนก็ยังพ่ายแพ้ในด่านที่หกหรือเจ็ด


จากที่ปรมาจารย์เหล่านั้นบอกมาถ้าต้องการจะผ่านด่านรูปแบบอาคมทุกด่าน ไม่เพียงแค่ต้องมีพลังบ่มเพาะระดับสูงสุด แต่ต้องมีพลังต่อสู้เก้าดาวด้วย


เรื่องเช่นนั้นเป็นไปได้ด้วยรึ?


แต่ตอนนี้ความจริงที่ว่าก็อยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว มีคนผ่านด่านทั้งหมดได้สำเร็จจริงๆ เช่นนี้แล้วจะไม่ให้พวกเขาตะลึงได้อย่างไร ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้ออกจากปากตูอัน พวกเขาไม่มีทางเชื่อแน่ๆ


“หลิงฮัน สามคนนี้คือเฉียนหลี่เสวี่ยน หลิวจิงเหริน กวงหลง อีกไม่นานพวกเราคงจะได้พบกันที่ครั้งที่Anchorนิกายสวรรค์เยือกแข็งและกลายเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง” ตูอันยิ้ม


หลิงฮันพยักหน้า “ยินดีที่ได้รู้จักสหายทั้งสาม”


ทั้งสามคมไม่กล้าทำตัวหยิ่งยโส การที่หลิงฮันมีพรสวรรค์ที่ราวกับสัตว์ประหลาดเช่นนี้ผู้หนุนหลังของหลิงฮันคงไม่ด้อยไม่กว่าพวกเขาแน่นอน


เซี่ยอู๋เฉียนเค้นเสียงเย็นชา เขารู้สึกว่าหลิงฮันยิ่งน่ารังเกียจมากขึ้นไปอีก


พวกเฉียนหลี่เสวี่ยนไม่ได้โง่ พวกเขาทั้งสามเข้าใจทันทีว่าหลิงฮันกับเซี่ยอู๋เฉียนมีความบาดหมางกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ด้อยกว่าเซี่ยอู๋เฉียนอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แสดงท่าทีเป็นปรปักษ์กับหลิงฮัน


“พวกเจ้ามาก่อนคงรู้สถานการณ์ในหอคอยดีสินะ?” หลิงฮันเอ่ยถาม


“ฮ่าๆ น้องชายหลิงมาได้จังหวะพอดี พวกเราเพิ่งจะรวมกลุ่มกันเมื่อครู่นี้เอง” ซู่จิงหัวเราะ


เส้าซือซืออธิบาย “หอคอยแห่งนี้ชั้นแรกต้องมีคนจำนวนสิบคนที่ระดับพลังเท่ากันร่วมมือกันถึงจะผ่านได้ หากมีใครคนใดคนหนึ่งพลาดแม้แต่คนเดียวก็จะถือว่าล้มเหลวทั้งกลุ่ม นอกจากนั้นก็ยังมีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”


หลิงฮันเข้าใจทันที ถึงว่าทำไมอัจฉริยะเช่นพวกเขาถึงได้รออยู่ที่นี่


พลาดหนึ่งคนจะทำให้อีกเก้าคนล้มเหลว ยิ่งกว่านั้นหากล้มเหลวก็ไม่สามารถเข้าร่วมทดสอบได้อีกครั้ง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ทุกคนจะระมัดระวังในการเลือกสหายร่วมกลุ่ม


“แล้วหากผ่านไปได้จะมีรางวัลอะไรงั้นรึ?” หลิงฮันถาม


“ไม่รู้” เส้าซือซือส่ายหัว “ถ้าล้มเพลวก็จะถูกส่งกลับออกมาที่นี่และไม่สามารกลับเข้าไปได้อีกครั้ง ส่วนคนที่ไม่ถูกส่งกลับมาบางทีพวกเขาอาจจะขึ้นไปยังชั้นสอง ชั้นสาม หรืออาจจะชั้นเก้าแล้ว…”


หลิงฮันยิ้ม “แล้วพวกเราจะรออะไรอยู่ ลุยกันเลย!”

 

 

 


ตอนที่ 1112

 

พวกเส้าซือซือและเซี่ยอู๋เฉียนสามารถเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับต้นๆของจักรวาลนี้ ที่จริงการที่พวกเขาทั้งเจ็ดรวมกลุ่มกัน ต่อให้ไม่มีอีกสามคนพวกเขาก็สามารถสมควรเข้าร่วมการทดสอบได้แล้ว


การทดสอบที่นี่น่าจะเหมือนกับรูปแบบอาคมรูปปั้นหินที่จำกัดระดับพลังเอาไว้ เพราะไม่งั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จอมยุทธระดับภูผาวารีจะผ่านการทดสอบระดับสุริยันจันทราได้สำเร็จ นอกจากจะไม่สำเร็จแล้วผลลัพธ์อาจจะถึงขั้นเสียชีวิตด้วย


ดังนั้นต่อให้ขาดคนไปหนึ่งหรือสองคนก็ไม่น่าจะเป็นปัญญาต่อพวกเขา


เหตุผลที่ทำไมพวกเขาถึงรวมตัวกันเป็นเพราะต้องการสร้างความรู้จักกัน เพราะอย่างไรพวกเขาก็มีชะตะต้องไปพบกันอีกครั้งที่นิกายสวรรค์เยือกแข็ง การได้รู้จักอัจฉริยะคนอื่นๆย่อมเป็นประโยชน์ต่อตัวพวกเขาเอง


“อืม งั้นก็ไปกันเถอะ”


เมื่อนับหลิงฮันกับสุ่ยเยี่ยนยวี่และผู้ติดตามคนหนึ่งของเซี่ยอู๋เฉียน พวกเขาก็ครบสิบคนพอดี


พวกเขาเดินเคียงข้างกันเข้าไปยังประตูทางเข้าด่านทดสอบของชั้นหนึ่ง


ทิวทัศน์เปลี่ยนไปทันทีเมื่อเข้ามา รอบด้านของพวกเขากลายเป็นห้องโถงที่ว่างเปล่าโดยมีเสาหินมากมายตั้งอยู่ รอบๆด้านไม่ได้มืดมิดไปเสียทีเดียวเนื่องจากเสาหินเหล่านั้นปล่อยแสงสว่างออกมา


“นายท่าน จักรพรรดิน้อยขยับไม่ได้!” จู่ๆจักรพรรดิจอมอสูรก็กล่าวขึ้น “ข้าน้อยขยับไม่ได้เมื่อสิงอยู่ในหุ่นเชิดตัวนี้”


หลิงฮันพยักหน้า ดูเหมือนว่าจำนวนจำกัดสิบคนและระดับพลังบ่มเพาะต้องเท่ากันนั้น ต่อให้เป็นหุ่นเชิดก็นับรวมเช่นกัน เขานำยันต์อาคมเหล็กไหลหรือยันต์อาคมราชสีห์คลั่งออกมาลองใช้งานดูก็พบว่ายันต์ทั้งสองนี้ใช้งานไม่ได้


ที่นี่ไม่สามารถใช้งานสมบัติหรืออุปกรณ์มิติที่เหนือกว่าระดับภูผาวารี


หลิงฮันประหลาดใจ ถ้าหอคอยแห่งนี้เป็นอุปกรณ์มิติ สติปัญญาของมันคงจะฉลาดมากเป็นแน่


“ของเลียนแบบช่างน่ารังเกียจ” หอคอยน้อยเค้นเสียงไม่พอใจ ด้วยนิสัยยิ่งยโสของมันทำให้มันไม่พอใจอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ชิ้นอื่นที่เป็นหอคอย


“ทุกคนระวังตัวด้วย!” ตูอันกล่าวเตือน ถึงแม้พวกเขาทั้งแปดจะแข็งแกร่งที่สุดในหมู่จอมยุทธระดับภูผาวารี แต่อีกสองคนไม่ใช่ หากทั้งสองได้รับอันตราบที่ไม่คาดฝันทั้งกลุ่มก็จะจบสิ้น


“ที่นี่มีอะไรอันตรายด้วยงั้นรึ?” เซี่ยอู๋เฉียนปลดปล่อยพลังปราณออกมารอบตัวราวกับคลื่นน้ำ


นี่ไม่ใช่การโมตีแต่เป็นการตรวจสอบพื้นที่รอบๆ ที่แห่งนี้สัมผัสสวรรค์ได้ถูกจำกัดเอาไว้ เขาจึงต้องใช้ปราณก่อเกิดตรวจสอบอันตรายแทน


“หืม?” เขาขมวดคิ้วและชี้ไปยังมุมหนึ่ง “มีอะไรบางอย่างตรงนั้น”


ทั้งสิบคนหยุดชะงักและเดินไปยังทิศทางนั้นพร้อมกัน เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ สิ่งแรกที่พวกเขาพบคือกองโลหิตที่มีร่างคนหกคนนอนอยู่


“ดูจากสภาพของศพเหล่านี้แล้ว พวกเขาคงจะถูกสังหารโดยสัตว์อสูร พวกเขาตายด้วยการโจมตีด้วยกรงเล็บเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” ตูอันพิจารณาในขณะที่มองไปยังกองโลหิต “พวกเขาตายไปได้ไม่นานเพราะยังหลงเหลือกลิ่นเลือดทิ้งไว้อยู่”


“ถ้าเช่นนั้นก็คงเป็นกลุ่มคนที่เข้ามาที่นี่ก่อนพวกเรา” เส้าซือซือพยักหน้า


ทั้งสิบคนแสดงสีหน้าระมัดระวัง ภัยอันตรายที่ไม่รู้ว่าคืออะไรคือสิ่งที่อันตรายที่สุด


“อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่ได้อะไร มุ่งหน้าต่อกันเถอะ”


พวกเขาเดินหน้าต่อ ในขณะเดินอยู่พวกเขาหาเรื่องต่างๆมาพูดคุยกัน แต่เพราะเพิ่งรู้จักกันจึงไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันเยอะ ผ่านไปไม่นานเสียงคุยก็หยุดลงเหลือเพียงเสียงฝีเท้า


เสาหินส่องสว่างคอยชี้ทางเดินให้พวกเขาและทำให้เกิดเงาในขณะที่เคลื่อนไหว


หลิงฮันรู้สึกเบื่อจึงนับเงาบนพื้นเล่น หนึ่ง สอง สาม สี่… เก้า สิบ สิบเอ็ด


มีเงาเกินมาหนึ่งเงา


เขารู้สึกตกใจมาก เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีเงาสิบเอ็ดเงา? พวกเขามีกันแค่สิบคน… ถ้าหากมีเงาสิบเอ็ดเงาก็แสดงว่ามีคนเพิ่มมาหนึ่งคน


เมื่อคิดเช่นนี้หลิงฮันก็รู้สึกขนลุก แปดในสิบคนของกลุ่มเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับพลังเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขากลับถูกคนอื่นปะปนอยู่ด้วยโดยไม่รู้ตัว! ที่หลิงฮันรู้สึกตัวก็เพราะเขาเบื่อจึงบังเอิญนับเงาเล่น


“หยุดก่อน” เขากล่าว


ทั้งกลุ่มหยุดเท้าด้วยความมึนงง พวกเขาเดินอยู่โดยไร้อุปสรรคทำไมถึงต้องให้หยุด?


“มีอะไร?” เซี่ยอู๋เฉียนเค้นเสียงไม่พอใจ เขารังเกียจหลิงฮันอย่างมาก ถึงแม้การรวมกลุ่มครั้งนี้จะทำให้เขามีโอกาสใกล้ชิดสุ่ยเยี่ยนยวี่ แต่เขาก็ยังไม่สบอารมณ์ที่หลิงฮันอยู่ที่นี่อยู่ดี


หลิงฮันสะบัดมือ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องผ่านไปด้วยกันทั้งกลุ่มสิบคน เขาคงเมินเคยคนเช่นนี้ไปแล้ว


“เกิดอะไรขึ้น?” สุ่ยเยี่ยนยวี่รีบถาม


“ที่นี่มีคนอยู่สิบคนจริงๆรึ!” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง


“ฮ่าๆๆ น้องชายหลิง เจ้ากังวลมากไปรึเปล่า?” เฉียนหลี่เสวี่ยนหัวเราะเพื่อไว้หน้าหลิงฮัน ไม่เช่นนั้นเขาคงสบถด่าไปแล้ว ถ้าที่นี่ไม่มีคนอยู่สิบคนจะมีเก้าคนหรือสิบเอ็ดคนรึไง?


เขาเริ่มสงสัยแล้วว่า คนแบบนี้น่ะรึสามารถผ่านด่านทั้งหมดของรูปแบบอาคมรูปปั้นหินได้?


หลิงฮันจ้องมองพื้นอีกครั้ง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นจริงจังกว่าเดิมและกล่าว “งั้นก็ลองนับดูว่ามีเงาอยู่บนพื้นที่เงา”


“หลิงฮัน พอได้แล้ว!” เซี่ยอู๋เฉียนพอใจหลิงฮันอยู่แล้วังนั้นจึงกล่าวสบถออกไปโดยไม่ต้องคิด


ถึงแม้คนอื่นๆจะไม่พูดอะไร แต่สีหน้าของพวกเขาก็บอกสิ่งที่คิดออกมาแล้ว


“เดี๋ยวก่อน!” เส้าซือซือชะงักและกล่าว “ลองไปมองที่เงาบนพื้นดูก่อน!”


เมื่อได้ยินที่นางพูด คนอื่นๆก็มองไปที่พื้นด้วยท่าจริงจัง ทันใดนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป


สิบเอ็ดเงา!


เป็นไปได้อย่างไร? กลุ่มของพวกเขามีกันสิบคนแน่ๆ แต่ทำไมถึงมีเงาสิบเอ็ดเงา?


“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า…” ทุกคนเริ่มนับคนในกลุ่มตัวเอง จำนวนที่นับได้คือสิบคนชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้นเงาบนพื้นกลับมีสิบเอ็ดเงา


หลิงฮันสงบใจและกล่าวออกมา “ทุกคนลองขยับตัวดู”


คนอื่นพยักหน้าและยกมือขึ้น เงาบนพื้นเปลี่ยนสภาพไปตามท่ายกมือของทุกคน แต่ปัญหาก็คือเงาทั้งสิบคนเงาเปลี่ยนไปเหมือนกันหมด


“ทีละคน” หลิงฮันยกมือคนเป็นคนแรก


หลังจากนั้นคนอื่นก็ค่อยๆยกมือต่อกันทีละคน สอง สาม สี่… แปด เก้า สิบ


‘พรึบ’ สายตาของทุกคนมองไปยังเงาที่ไม่ขยับ


“ตาย!” หลิงฮันนำดาบอสูรนิรันดร์ออกมาพร้อมโคจรปราณก่อเกิดกระตุ้นใช้งานอักขระศักดิ์สิทธิ์ ทันใดนั้นปราณดาบมากมายก็ถูกฟันออกไป ปราณแต่ละเล่มนั้นหนักหน่วงราวกับภูเขาและมีเปลวเพลิงผสานอยู่ทำให้ปราณดาบแต่ละเล่มมีรูปร่างคล้ายนกเพลิง


หลิงฮันเชี่ยวชาญทั้งอักขระศักดิ์สิทธิ์แรงโน้มถ่วงและเปลวเพลิง ตอนนี้เขาสลักอาคมทั้งสองลงไปยังดาบอสูรนิรันดร์เพื่อให้ดาบสามารถเรียกใช้งานอักขระเหล่านี้ได้


ตูม!


ปราณดาบกระหน่ำจู่โจมราวกับห่าฝน


ทุกคนมองไปยังตำแหน่งที่ปราณดาบโจมตีใส่และพบว่าเงาบนพื้นกลับมามีจำนวนสิบเงา เงาลึกลับหายตัวไปโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าไปอยู่ไหนแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 1113

 

ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เป็นอัจฉริยะอันดับต้นๆ แต่ตอนนี้พวกเขากลับหวาดกลัวจนใจสั่น


ทั้งที่พวกเขาจ้องมองอย่างไม่กะพริบตา แต่เงานั่นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


“ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้า!” เซี่ยอู๋เฉียนชี้นิ้วใส่หลิงฮัน “ถ้าเจ้าไม่โจมตี เจ้าสิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นจะหายไปหรือไม่?”


เขาใช้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นข้ออ้างเพื่อใส่ร้ายหลิงฮัน


สุ่ยเยี่ยนยวี่เริ่มโกรธเกรี้ยวและพูดว่า “ถ้าไม่ได้หลิงฮันช่วย พวกเจ้าคงไม่รู้ว่ามีเงาตามพวกเราอยู่!”


อย่างไรก็ตาม เซี่ยอู๋เฉียนก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง แม้เขาจะหลงรักสุ่ยเยี่ยนยวี่มากแค่ไหน แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้นเขาก็ละทิ้งเรื่องพวกนั้นไปก่อน และพูดอย่างเย็นชาว่า “ในฐานะที่พวกเราอยู่กลุ่มเดียวกัน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการร่วมมือกัน แต่เขากลับคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น! ถ้าเขาไม่โจมตี สิ่งมีชีวิตลึกลับนั่นจะหายไปหรือไม่?


หลิงฮันเริ่มรำคาญและพูดว่า “หลังจากออกไปจากที่นี่ ข้าจะสังหารเจ้า!”


เซี่ยอู๋เฉียนแสยะยิ้ม “จุดแข็งของอีกฝ่ายมีแค่ร่างกายและความยืดหยุ่นเท่านั้น เจ้าคิดว่าจะสังหารข้าได้งั้นรึ?”


“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าว่าพวกเราทุกคนสนใจที่จะหาเงานั่นก่อนจะดีกว่า” หลิวจิงเหรินลุกขึ้นยืนเพื่อให้ทั้งสองคนหยุดทะเลาะกัน ถึงแม้เขาจะไม่สนใจการต่อสู้ของทั้งสองคน แต่ตอนนี้ทุกคนเป็นกลุ่มเดียวกัน หากมีอะไรเกิดขึ้นก็จะส่งผลกับทุกคนในกลุ่ม


ซู่จิงครุ่นคิดถึงเรื่องพวกนั้นและพูดว่า “พวกเจ้าทุกคนเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตพวกนั้นหรือไม่? มันเป็นเพียงแค่เงา?”


ทุกคนส่ายหัว เรื่องแบบนั้นเหนือกรอบความรู้ของพวกเขา


“ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตาม เป้าหมายความพวกเราคือออกไปจากที่นี่และเมื่อเห็นว่าพวกเรากำลังจะออกไปจากที่นี่ได้สำเร็จ เจ้าเงาลึกลับนั่นจะต้องเข้าโจมตีพวกเราอย่างแน่นอน” ตู่อันกล่าว


ทุกคนยอมรับความคิดเห็นของเขา หากเงาลึกลับนั่นต้องการหยุดพวกเขาออกไปจากที่นี่ มันจะต้องโจมตีพวกเขาอย่างแน่นอน


พวกเขาเดินหน้าต่ออีกครั้ง แต่ครั้งนี้สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่พื้นดิน


แสงของที่นี่มาจากเสาหินเรือนแสง ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่เคลื่อนที่ผ่านเสาหินเรือนแสงรูปร่างเงาของพวกเขาจะเปลี่ยนไป


แต่หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาทั้งสิบคนก็หยุดเคลื่อนที่อย่างกะทันหันและเผยสีหน้าหวาดผวา


เงาบนพื้นดินเพิ่มขึ้นอีกครั้ง และไม่ใช่สิบเอ็ด…แต่เป็นสิบสอง!


สิ่งมีชีวิตลี้ลับ?


สุ่ยเยี่ยนยวี่รีบเกาะแขนหลิงฮันทันที ในฐานะที่นางเป็นผู้หญิงจึงเป็นธรรมดาที่จะกลัวสิ่งลี้ลับ


ทุกคนยังคงหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะตอนนี้พวกเขาไม่รู้ว่าเงาทั้งสองร่างเป็นสิ่งมีชีวิตอะไรกันแน่


“แยกย้าย!”


ทุกคนรีบถอยห่างจากคนที่อยู่ด้านข้าง ทำให้เงานั่นถูกปลีกตัวออกมา


“ฆ่ามัน!” ทั้งสิบคนโจมตีพร้อมกัน แต่ละคนก็แสดงความแข็งแกร่งของตัวเองออกมา


ปัง!


“มันอยู่ตรงนั้น!” หลิงฮันใช้เนตรแห่งสัจธรรมและติดตามการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตลี้ลับ


มันสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ก่อนหน้านี้มันอยู่ในรูปร่างของมนุษย์ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นจุดสีดำเล็กๆที่แทบจะมองไม่เห็น ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมก่อนหน้านี้มันถึงหนีไปได้


หลิงฮันนำดาบอสูรนิรันดร์ออกมาและใช้ทักษะดาบบัญญัติเร็วกลายเป็นลำแสงที่พุ่งออกไปเร็วเกินกว่าจะอธิบายได้


ตู้ม ปลายดาบแทงทะลุจุดสีดำ แต่กลับรู้สึกเหมือนแทงทะลุร่างกายมนุษย์


ทันใดนั้น ปราณสีดำนับไม่ถ้วนก็หลั่งไหลออกมาพร้อมกับเสียงกรีดร้อง


ไม่ มันไม่ใช่เสียง แต่เป็นสัมผัสสวรรค์ที่แพร่กระจายเข้ามาในห่วงวิญญาณของหลิงฮัน ทำให้เขาได้รับผลกระทบ


หึ่ม นี่เจ้าต้องการเขย่าดวงวิญญาณของข้าอย่างนั้นรึ?


ไร้สาระ ถ้าต้องการโจมตีดวงวิญญาณของเขา อย่างน้อยจะต้องมีระดับบ่มเพาะพลังที่สูงกว่าเขา – มันเป็นแค่ระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นสูงสุดไม่มีทางที่จะสั่นคลอนดวงวิญญาณของหลิงฮันได้ ภายใต้การหล่อหลอมจากคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ทำให้ดวงวิญญาณของเขาแกร่งกล้ามาก


ราวกับปราณสีดำที่หลั่งไหลออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดพบกับเขื่อน มันก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งอย่างรวดเร็ว


หลิงฮันเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย การโจมตีแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกเหมือนเคยเจอมาก่อน


พรึบ ปราณสีดำเหล่านั้นรวมตัวกันอีกครั้งกลายเป็นเงาดำ มันสะบัดแขนออกมาและมีกรงเล็บห้าที่แหลมคมเหมือนกับดาบโผล่ออกมาจากมือของมัน


“หึ่ม ทักษะชั้นต่ำ!” กวงหลงอยู่ใกล้หลิงฮันเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ปล่อยให้หลิงฮันชิงผลงานไปคนเดียว และรีบปล่อยหมัดใส่มันทันที


กำปั้นของเขามีอักขระศักดิ์สิทธิ์มากถึงหกสิบแถว ซึ่งทำให้แขนของเขาเหมือนลงอักขระอาคม


ปัง!


หมัดของเขาปะทะกับกรงเล็บสิ่งมีชีวิตลี้ลับ และอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็เปล่งประกายสำแดงอำนาจพลังของมันออกมา ทำให้สิ่งมีชีวิตลี้ลับเริ่มสั่นสะเทือน


เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรือพลังต่อสู้ สิ่งมีชีวิตลี้ลับห่างชั้นจากกวงหลงที่เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นสูงสุดมาก


ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ความมั่นใจของกวงหลงก็เพิ่มสูงขึ้น


สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นอะไรคือเรื่องที่น่าหวาดกลัวที่สุด แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตลี้ลับนี่ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร มันแค่แปลกประหลาดเท่านั้น ดังนั้นกวงหลงจึงไม่หวาดกลัวมันเหมือนแต่ก่อน


อย่างไรก็ตาม หลิงฮันดูเหมือนจะคุ้นเคยกับมัน มันมีความยืดหยุ่นที่น่าทึ่ง เมื่อปราณสีดำเคลื่อนไหว มันก็จะกลับไปอยู่ในรูปร่างเดิมของมันอีกครั้ง


เมื่อแสงที่หนาวเย็นกระพริบ มันก็ทำให้ดวงวิญญาณของทุกคนสั่นสะเทือนและหวาดผวา


ในจุดนี้ทำให้ทุกคนรู้ว่าร่างที่ถูกตัดก่อนหน้านี้ไม่ใช่สัตว์อสูร แต่เป็นวิญญาณ!


ทั้งที่มันถูกตัดออกเป็นหกส่วนในครั้งเดียว แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นอมตะและไม่ควรประมาท


หลิงฮันติดตามมันและใช้ทักษะจิตเจ็ดสังหาร


“อ๊าก!” เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นอย่างกะทันหันในใจของทุกคน


ทุกคนเห็นวิญญาณไม่สามารถรักษารูปร่างเดิมของมันได้ และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นร่างมนุษย์ สัตว์ ปลา และก็กลายเป็นนก ในท้ายที่สุดมันก็สลายหายไป


เรื่องจริงงั้นรึ!


หลิงฮันพยักหน้าอยู่ในใจ เจ้าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้มันไม่เกรงกลัวต่อการโจมตีและสามารถฟื้นสภาพได้ทันทีหลังจากที่ถูกโจมตี แต่มันจะสลายหายไปเมื่อถูกโจมตีทางวิญญาณ


กวงหลงส่งเสียงหัวเราะทันทีและพูดว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้กลัวการโจมตีทางวิญญาณ”


“หึ่ม รับดาบสลายวิญญาณของข้า!” เซี่ยอู๋เฉียนตะโกนและปล่อยดาบทองคำนับไม่ถ้วนออกมาจากดวงตา นี่ไม่ใช่การโจมตีที่เป็นรูปธรรม แต่เป็นการโจมตีทางวิญญาณ และเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่วิญญาณอีกตนจะหลบหนีไปได้และถูกตอกเข้ากับเสาหิน


มันเองก็ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนไม่หยุด และหลังจากที่รูปร่างของมันบิดเบี้ยวอยู่หลายครั้ง ในที่สุดมันก็สลายหายไปอย่างสมบูรณ์

 

 

 


ตอนที่ 1114

 

เซี่ยอู๋เฉียนอดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้


พวกเขาใช้การโจมตีทางจิตวิญญาณเหมือนกัน หลิงฮันทำได้เพียงให้วิญญาณล่าถอย แต่การโจมตีของเขาสามารถทำให้วิญญาณสลายไป นี่แสดงให้เห็นถึงความแต่งต่างระหว่างพวกเขาทั้งสอง


หลิงฮันชำเลืองมองด้วยท่าทีดูถูก ทักษะจิตเจ็ดสังหารเมื่อครู่เขาไม่ได้ใช้ด้วยพลังเต็มที่ เขาแค่ต้องการทดสอบพลังของวิญญาณเท่านั้น


แต่ในความคิดของเซี่ยอู๋เฉียนคือหลิงฮันนั้นอ่อนแอกว่าตนเอง


หลิงฮันเบื่อที่จะต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่าย หลังจากที่ยุบกลุ่มแล้ว เขาจะทำให้อีกฝ่ายเห็นแน่นอนว่าใครกันแน่ที่เหนือว่าจนอีกฝ่ายต้องรู้สึกอัปยศไปเอง


“วิญญาณเมื่อครู่คืออะไรกัน?” เส้าซือซือเอ่ยถาม


นางเป็นสตรีแถมยังงดงาม ดังนั้นนางจึงไม่ลังเลที่จะเอ่ยถามเรื่องที่ไม่รู้ออกมา ในทางกลับกัน ถ้าเป็นบุรุษคนอื่นในกลุ่มที่มีเรื่องที่ไม่รู้ พวกเขาคงไม่มีทางเอ่ยปากถามขึ้นมาง่ายๆแน่ อัจฉริยะเช่นพวกเขาจะยอมเสียหน้าได้อย่างไร?


ทุกคนนิ่งสนิทเนื่องจากไม่มีแม้แต่คนเดียวที่รู้ว่าวิญญาณเมื่อครู่คืออะไร


หลิงฮันถอนหายใจและกล่าว “วิญญาณเมื่อครู่มีอาจจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์”


“ว่าไงนะ!” ทุกคนอุทานออกมา ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์หมายความว่าอย่างไร?


“หลิงฮัน เจ้าอย่างสร้างเรื่องให้คนอื่นตกใจ!” เซี่ยอู๋เฉียนแย้งทันที


หลิงฮันคร้านจะมองไปยังอีกฝ่ายและกล่าวต่อ “ช้าไม่ได้คาดเดามั่วๆ วิญญาณเมื่อครู่สมควรเป็นสิ่งมีชีวิตของดินแดนใต้พิภพ”


วิญญาณเมื่อครู่ทำให้เขานึกถึงจักรพรรดิจอมอสูรที่เป็นสิ่งมีชีวิตไร้กายหยาบและมีความสามารถในการคุกคามจิตวิญญาณ


แต่วิญญาณเมื่อครู่ดูแล้วไม่น่ามีสัญชาตญาณ มันโจมตีราวกับเป็นเพียงเครื่องจักรไร้ชีวิต ถ้าหากเปลี่ยนจากวิญญาณเมื่อครู่เป็นจักรพรรดิจอมอสูรอาจจะทำพวกเขาปวดหัวได้


“ดินแดนใต้พิภพ!”


พวกเขานั้นนับว่าชคีมากที่จักรวาลของพวกเขามีกำแพงกั้นสองโลกที่แข็งแกร่งไร้ช่องโหว่ และเพราะเช่นนั้นพวกเขาจึงไม่เคยประจันหน้ากับสิ่งมีชีวิตใต้พิภพเลยสักครั้ง พวกเขาเพียงเคยได้ยินเรื่องราวมาเท่านั้น


ขนาดปรมาจารย์สามวิถียังปลดตัวออกมาจากสนามรบสองดินแดน แม้แต่ปรมาจารย์เช่นนั้นยังไม่สามารถจัดการผู้บุกรุกจากดินแดนใต้พิภพได้ แสดงให้เห็นว่าดินแดนใต้พิภพแข็งแกร่งขนาดไหน


“น้องชายหลิงแน่ใจรึ?” ใบหน้าของซู่จิงเคร่งเครียด ถ้าวิญญาณนั่นเป็นสิ่งมีชีวิตใต้พิภพจริงๆคงจะไม่ดีแน่ แม้วิญญาณเมื่อครู่จะอ่อนแอ แต่บางทีอาจจะมีสิ่งมีชีวิตใต้พิภพตนอื่นที่แข็งแกร่งอยู่ก็ได้


นั่นมันถึงในจักรวาลของพวกเขามีสนามรบสองดินแดน!


สงคราม ต้องเกิดสงครามครั้งใหญ่แน่!


หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “ต่อให้วิญญาณนั่นเป็นสิ่งมีชีวิตใต้พิภพจริงๆก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีสนามรบสองดินแดน บางทีผู้สร้างสุสานแห่งนี้อาจจะเป็นคนนำสิ่งมีชีวิตใต้พิภพมาเองก็ได้”


ใช่ว่าเรื่องที่เขาพูดจะเป็นไปไม่ได้ แต่ผู้สร้างสุสานแห่งนี้สมควรจะตายไปนานแล้ว สิ่งมีชีวิตใต้พิภพที่เขาจับมาจะมีชีวิตอยู่ได้นานขนาดนี้เลยรึ?


หลิงฮันส่ายหัว อย่างน้อยในตอนนี้ก็ไม่มีทางหาคำตอบได้ คิดไปก็เสียเวลา


วิญญาณที่ปรากฏออกมานั้นโง่เขลาไร้สติปัญญา ดังนั้นพวกเขาตึงโจมตีวิญญาณตนอื่นๆที่เหลืออยู่ด้วยการโจมตีทางจิตวิญญาณ


วิญญาณเหล่านี้แปลกประหลาดมาก หลังจากถูกสังหารสภาพของพวกมันจะสลายกลายเป็นหมอกและจางหายไปโดยไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยว


หลิงฮันสื่อสารกับจักรพรรดิจอมอสูรผ่านสัมผัสสวรรค์ จักรพรรดิจอมอสูรนั้นมีต้นกำเนิดมาจากดินแดนได้พิภพ


หลังจากฟังที่หลิงฮันเล่า จักรพรรดิจอมอสูรก็ตอบอย่างรวดเร็ว “จากที่นายท่านอธิบายมา จักรพรรดิมั่นใจราวๆเก้าส่วนว่าวิญญาณเหล่านั้นต้องเป็นสิ่งมีชีวิตใต้พิภพที่เรียกว่า “จอมเขมือบเงา” ”


“จอมเขมือบเงา?” หลิงฮันประหลาดใจ


“ขอรับ มันคือสิ่งที่ชีวิตที่กลืนกินเงาคนอื่น มันสามารถสังหารเป้าหมายได้โดยไม่ทิ้งร่องรอย” จักรพรรดิจอมอสูรกล่าว “เพียงแต่ว่าวิญญาณที่นายท่านบอกว่านั้นมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง ราวกับว่าพวกมันสูญเสียสติปัญญาไปเหลือเพียงสัญชาตญาณในการตามติดเงาของคนอื่นและไม่อาจทำอันตรายต่อเป้าหมายได้”


หลิงฮันพยักหน้า วิญญาณนั่นสมควรเป็นจอมกลืนกินเงาจริงๆ แต่สติปัญญาของพวกมันคงหายไปเมื่อเข้ามาอยู่ในสุสานแห่งนี้ แม้แต่ความสามารถในการกลืนเงาเองก็ยังหายไปด้วย พวกมันทำได้เพียงติดตามเงาคนอื่นไปตามสัญชาตญาณ


“มุ่งหน้ากันต่อ วิญญาณนั่นจะเป็นสิ่งมีชีวิตใต้พิภพหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่พวกเราสามารถจัดการพวกมันได้อย่างง่ายดาย” เฉียนหลี่เสวี่ยนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ


เฉียนหลี่เสวี่ยนและคนอื่นๆนั้นเป็นทายาทของขุมอำนาจที่ทรงพลัง พวกเขาจึงได้รับการฝึกฝนทักษะที่ใช้โจมตีทางจิตวิญญาณ


ดังนั้นพวกเขาจึงไม่หวาดกลัวเหล่าวิญญาณที่นี่แม้แต่นิดเดียว


พวกเขามุ่งหน้าต่อไป ผ่านไปไม่นานก็มีเงาเกินจำนวนคนปรากฏขึ้นที่พื้น


ครั้งนี้พวกเขาเตรียมพร้อมไว้แล้ว พวกเขาจัดการวิญญาณแต่ละตัวอย่างไร้ความหวั่นเกรง


ที่จริงไม่ใช่แค่การโจมตีทางจิตวิญญาณที่สามารถคุกคามเหล่าวิญญาณได้ แต่เปลวเพลิงหรือสาฟ้าและพลังธาตุอื่นๆก็สามารถคุกคามพวกมันได้เช่นกัน  เพียงแต่ว่าผลลัพธ์จะไม่รุนแรงเท่าการโจมตีทางจิตวิญญาณ


“ฮ่าๆ ที่แท้ก็ง่ายๆแค่นี้” เมื่อเดินไปได้สักพักพวกเขาก็มองเห็นประตูเหล็กขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า ดูเหมือนประตูนี่จะเป็นทางผ่านด่านชั้นแรก


ทุกคนเผยรอยยิ้ม


สำหรับจอมยุทธระดับภูผาวารีทั่วไป การผ่านชั้นแรกไม่ใช่เรื่องง่าย จะมีจอมยุทธระดับภูผาวารีมากมายเท่าใดเชียวที่มาจากขุมอาจใหญ่และฝึกฝนการโจมตีทางจิตวิญญาณ?


เพราะงั้นหากเปลี่ยนเป็นจอมยุทธกลุ่มอื่น ด่านที่หนึ่งคงไม่ง่ายเช่นนี้แน่


“ช้าก่อน!”


เมื่อพวกเขาเดินเข้าใกล้ประตู พวกเขาก็พบกับสัตว์อสูรยักษ์ที่ด้านหน้าประตู เนื่องจากสีของมันกับสีของพื้นหอคอยเหมือนกันจึงจำแนกได้อย่างเมื่อมองจากระยะไกล


สัตว์อสูรตนนี้… อธิบายได้ยากนักว่ามันมีรูปร่างเช่นไร สภาพของมันในตอนนี้กำลังนอนแบนราบกัลพื้นราวกับเป็นพรม


“พวกเจ้ารู้จักสัตว์อสูรเช่นนี้รึไม่?”


“ดูเหมือนเราต้องจัดการมันสินะ”


เส้าซือซือยิ้มและกล่าว “ให้ข้าจัดการเอง!”


นำนางคันศรและลูกสองออกมา ทั้งคันศรและลูกศรถูกสลักเอาไว้ด้วยอักขระศักดิ์สิทธิ์ สองสิ่งนี้คืออุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง


“ที่แท้น้องสาวเส้าก็เชี่ยวชาญในศาสตร์การยิงธนูด้วย!” ทุกคนกล่าวชม จอมยุทธที่เชี่ยวชาญศาสตร์การยิงธนูจะสามารถโจมตีอย่างรุนแรงได้จากระยะไกล


“ข้าฝึกฝนสำเร็จเพียงเล็กน้อย” เส้าซือซือถ่อมตัวและตั้งท่ายิง ทั้งลูกศรและคันศรส่องแสงสว่างที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจ


จิตใจของทุกคนสั่นสะท้าน พลังของลูกศรนี้ไม่อาจดูถูกได้

 

 

 


ตอนที่ 1115

 

ฟิ้ว ลูกศรถูกยิงออกมาจากคันศร


ลูกศรที่ถูกยิงออกไปรวดเร็วมากจนกลายเป็นลำแสงและยิงใส่สัตว์อสูร


หลิงฮันแอบพยักหน้าอยู่ในใจ แม้ว่าพลังทำลายล้างของลูกศรดอกนี้จะไม่เท่ากับทักษะศรฆ่ามังกรทะลวงดารา แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาเป็นคนใช้คันศรและลูกศรของนางด้วยทักษะศรฆ่ามังกรทะลวงดารา ความรุนแรงจะมากกว่า


ตู้ม!


ลูกศรเข้าปะทะและเกิดประกายไฟขึ้น จากนั้นมันก็เด้งกลับมา


สัตว์อสูรตัวนั้นดูเหมือนจะตื่นและลุกขึ้นยืน


มันเหมือนพรมที่ถูกยกขึ้นมาจากตรงกลาง แต่ระหว่างที่มันยกตัวขึ้นมา ร่างของมันก็เปลี่ยนไปจากพรมบางๆกลายเป็นเสือที่มีความยาวสิบฟุต สูงห้าฟุตและมีขนสีแดงปกคลุมไปทั่วร่างกาย


ทุกคนรู้สึกประหลาดใจไม่ใช่เพราะรูปร่างของสัตว์อสูร แต่เป็นเพราะลูกศรของเส้าซือซือทำอะไรมันไม่ได้เลย


นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก


“ความแข็งแกร่งของเจ้าสัตว์อสูรตัวนี้เกิดกว่าความคาดหมายของพวกเราทุกคน”


“ถ้างั้นพวกเราจะทำยังไงกับมันดี?”


“ทำไมพวกเราไม่แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเข้าไปล่อเสือ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งไปเปิดประตู แล้วค่อยเข้าไปพร้อมกัน?”


“เป็นความคิดที่ดี พวกเราไม่ควรมาเสียเวลากันที่นี่”


ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย


หลังจากพูดคุยกันจบ พวกเขาก็ตัดสินใจให้ตู่อัน เฉียนหลี่เสวี่ยนและซู่จิงเป็นนกต่อล่อเสือออกไป ส่วนคนที่เหลือรับผิดชอบเปิดประตู


พวกเขาทุกคนต่างก็เป็นอัจฉริยะ ในเมื่อวางแผนกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ลงมือทำตามแผนทันทีอย่างไม่ลังเล


“เจ้าเสือน่าเกลียด แน่จริงก็ตามพวกข้ามาสิ!”


ทั้งสามคนเริ่มพูดจายั่วยุ แต่สัตว์อสูรตัวนี้ขี้เกียจและไม่สนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าก่อนหน้านี้มันไม่เคยถูกลูกศรยิงมาก่อน และขี้เกียจเกินไปที่จะโต้ตอบ


กลุ่มของตู่อันทั้งสามคนเปลี่ยนแผน พวกเขารวบรวมพลังปราณก่อเกิดจำนวนมากไว้ที่ฝ่ามือและโจมตีไปที่สัตว์อสูร


สัตว์อสูรตัวนี้ขี้เกียจเกินไปที่จะให้ความสนใจ แต่หลังจากที่มันถูกยั่วยุอยู่หลายครั้ง ในที่สุดมันก็ทนไม่ไหวและส่งเสียงคำรามพร้อมกับวิ่งไล่ทั้งสามคน


ความเร็วของมันนั้นรวดเร็วมาก


กลุ่มของตู่อันทั้งสามคนรีบวิ่งหนีออกมาและใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศเพื่อเล่นซ่อนหากับมัน


หลิงฮันและคนอื่นจึงรีบใช้โอกาสกระหน่ำโจมตีไปที่ประตู


ปัง! ปัง! ปัง!


เสียงระเบิดดังต่อเนื่อง แต่ในไม่ช้าทุกคนก็เผยสีหน้าประหลาดใจ เพราะทั้งที่พวกเขากระหน่ำโจมตี แต่ประตูกลับไม่เป็นอะไรเลย


“เปิดไม่ได้!”


พวกเขาทำได้แค่ยอมรับพลังของตนเอง ต่อหน้าประตูบานนี้พวกเขาเป็นเหมือนแมลงเม่าที่พยายามเขย่าโค่นต้นไม้ยักษ์


“ดูที่คอของเจ้าเสือนั่น” เส้าซือซือชี้ไปที่คอของเจ้าเสือ


ทุกคนหันไปมองและพบว่ามีกุญแจห้อยอยู่ที่คอของเสือ


“ดูเหมือนว่าพวกเราจะต้องเอาชนะเจ้าเสือตัวนี้ซะก่อน แล้วค่อยเก็บกุญแจไปไขประตู”


“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น”


“ถ้างั้นพวกเราจะต้องเรียกพวกตู่อันกลับมาต่อสู้ด้วยกัน”


ทุกคนไม่ได้หวาดกลัว แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาแค่กลัวที่จะเสียเวลาเท่านั้นเลยตัดสินใจที่จะล่อเจ้าเสือตัวนี้ออกไป แต่ตอนนี้พวกเขาทำได้แค่ต่อสู้กับมันเพื่อเอากุญแจ


ส่วนสุ่ยเยี่ยนยวี่และชายหนุ่มที่ใช้หอกล่าถอยออกไปอยู่ด้านข้าง พวกเขาไม่สามารถแทรกแซงการต่อสู้ได้ มิฉะนั้นพวกเขาจะถูกฆ่าตาย เพราะเสือตัวนี้แข็งแกร่งเกินไป


พวกเขาเริ่มส่งสัญญาณเพื่อเรียกให้กลุ่มของตู่อันกลับมา


“เกิดอะไรขึ้น?”


กลุ่มของตู่อันทั้งสามคนมุ่งหน้ากลับมาและเห็นว่าประตูยังคงปิดอยู่ จึงช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะรู้สึกแปลกใจ


“ประตูบานนี้ไม่สามารถเปิดได้ มันต้องใช้กุญแจที่ห้อยอยู่บนคอเสือ” กวงหลงอธิบาย


“ฮ่าฮ่าฮ่า เช่นนั้นคงไม่มีทางเลือกนอกจากสู้กับมัน” กลุ่มของตู่อันทั้งสามคนกล่าวอย่างไร้ความหวาดกลัว


อัจฉริยะทั้งแปดคนยืนอยู่เคียงข้างกันเพื่อต้อนรับเสือที่กำลังวิ่งกลับมาหาพวกเขา


ความแข็งแกร่งของเจ้าเสือตัวนี้ไม่อาจจินตนาการได้ มันมีอักขระศักดิ์สิทธิ์มากถึงแปดสิบแถวบนตัวมัน!


นี่หมายถึงอะไร?


ความแข็งแกร่งของมันเทียบเท่าอัจริยะแปดดาว และยังมีความแข็งแกร่งเทียบเท่าจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นสูงสุด บวกกับพลังต่อสู้แปดดาว เท่ากับว่ามันแข็งแกร่งกว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่


ไม่แปลกใจเลยว่าไมถึงต้องเป็นกลุ่มสิบคน แม้ว่าหลิงฮันและคนอื่นๆต่างก็เป็นอัจฉริยะเหมือนๆกัน แต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่าเจ้าเสือตัวนี้ ในทางทฤษฎีแล้ว จำนวนสิบคนสามารถชดเชยความแตกต่างของพลังต่อสู้ได้หนึ่งดาว


ท้ายที่สุดแล้ว ยังไม่มีพวกเขาคนใดสามารถสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้ และเมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรตัวนี้มันแทบจะไม่มีทางออก


“เข้ามา!” ทั้งแปดคนเต็มไปด้วยความมั่นใจ


นอกจากหลิงฮันแล้ว คนที่เหลืออีกเจ็ดคนต่างก็ทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นสูงสุดหมดแล้ว และมีพลังต่อสู้มากถึงหกดาว บวกกับทักษะลับที่พวกเขาครอบครองจะทำให้พวกเขามีพลังต่อสู้อย่างน้อยเจ็ดดาวถึงแปดดาว


ดังนั้นโอกาสที่พวกเขาชนะจึงค่อนข้างสูง


“ข้านำเอง” หลิงฮันกล่าว


เส้าซือซือ ซู่จิง และตู่อันต่างก็เห็นด้วย แม้ว่าเซี่ยอู๋เฉียนจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่คัดค้านอะไร พวกเขาทุกคนรู้ดีว่าหลิงฮันมีกายหยาบที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาทุกคน ดังนั้นจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะให้เขานำหน้า


ส่วนพวกเฉียนหลี่เสวี่ยนทั้งสามคนยังไม่เคยเห็นพลังป้องกันของหลิงฮันมาก่อน ทำให้พวกเขาแปลกใจอยู่เล็กน้อย จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นกลางเป็นคนนำการต่อสู้งั้นรึ?


ทว่า แม้แต่เซี่ยอู๋เฉียนยังไม่คัดค้าน พวกเขาจึงทำได้แค่ปักใจเชื่อ


หลิงฮันนำดาบอสูรนิรันดร์ออกมา และฟาดฟันดาบใส่เสือทันที


ปัง!


เมื่อดาบของหลิงฮันปะทะกับกรงเล็บของมัน ทำให้ร่างของหลิงฮันปลิวกระเด็นไปไกล ความแข็งแกร่งของมันนั้นมากเกินไปจนหลิงฮันแทบจะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการต่อสู้


“อัก!” หลิงฮันกระอักโลหิต และช่วยไม่ได้ที่ใบหน้าของเขาจะซีดขาว นั่นเป็นเพราะเขาเพิ่งถูกจักรพรรดินีแห่งดาราหายนะดูดเลือดไป แม้จะฟื้นตัวไปแล้วบ้าง แต่ตอนนี้เขากลับต้องมากระอักเลือดอีกครั้ง


หลิงฮันยัดพื้นและลุกขึ้นยืนอีกครั้ง จากนั้นเขาก็โจมตีออกไปด้วยทักษะบัญญัติดาบเร็ว


พวกเฉียนหลี่เสวี่ยนทั้งสามคนรู้สึกตกตะลึงเมื่อเห็นฉากดังกล่าว ทั้งที่เขาถูกโจมตีกลับด้วยการโจมตีที่ทรงพลัง แต่เขากลับลุกขึ้นยืนราวกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่เขาเป็นสัตว์ประหลาดหรือไงกัน?


ปัง!


การโจมตีของหลิงฮันไม่ได้ผลอีกครั้ง นี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาก


ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันเป็นพรมที่ดูนุ่มนิ่ม แต่ตอนนี้มันแข็งราวกับทำมาจากเหล็กศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูง ความแตกต่างทั้งสองอย่างจะอยู่ในตัวเดียวกันได้อย่างไร?


แต่การโจมตีของคนที่เหลือทั้งเจ็ดคนก็ไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน พลังป้องกันของเสือตัวนี้น่าทึ่งมากหลิงฮันมาก


“หรือว่ามันจะไม่ใช่สัตว์อสูร แต่เป็นหุ่นเชิด!” หลิงฮันสรุป ที่เขามีกายหยาบที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้เพราะเขาฝึกฝนเทคนิคคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ แต่ถ้าเจ้าเสือตัวนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์มันก็จะเป็นอีกเรื่องทันที ตราบใดที่มันถูกสร้างขึ้นมาจากแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับห้าพลังป้องกันของมันก็จะเหนือกว่าระดับภูผาวารีทันที หากเป็นเช่นนั้นก็จะสามารถอธิบายได้ทันทีว่าทำไมมันถึงมีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งขนาดนี้ 

 

 


ตอนที่ 1116

 

“มันสมควรเป็นหุ่นเชิด ไม่เช่นนั้นหากจะมีพลังต่อสู้แปดดาวได้จำเป็นต้องสร้างภูผาวารีสายที่ห้า”


“หากมันสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้จริง ข้าไม่เชื่อว่าตัวตนเช่นนั้นจะตกต่ำถึงขนาดมาเป็นผู้เฝ้าประตู”


“ถ้ามันเป็นหุ่นเชิดพวกเราจะทำอย่างไรดี?”


หุ่นเชิดไม่มีบาดเจ็บปวด มันมีสติปัญญาอยู่น้อยนิดเปรียบได้กับเครื่องจักรสังหารที่ไม่มีวันตาย


พลังป้องกันของอสูรเสือตนนี้นั้นเกินขีดจำกัดของระดับภูผาวารีไปแล้ว กับอสูรที่ไร้เทียมทานเช่นนี้พวกเขาจะเอาชนะได้อย่างไร?


หลิงฮันครุ่นคิดชั่วครู่และกล่าว “มีความเป็นเป็นไปได้สองอย่าง”


“หนึ่งคือการทดสอบมีเวลาจำกัด ตราบใดที่พวกเราต้านอสูรเอาไว้ได้ในช่วงเวลาหนึ่งมันจะหยุดโจมตีไปเอง”


“สองคือไม่ต้องจัดการมัน เพียงแค่เอากุญแจมาก็พอ”


ทุกคนพยักหน้า ไม่มีทางที่การทดสอบจะไม่มีหนทางผ่าน ไม่เช่นนั้นการทดสอบก็คงไม่มีความหมาย


“แย่งกุญแจมา!”


พวกเขาตัดสินกันอย่างรวดเร็ว เหตุผลที่เลือกแย่งกุญแจนั้นง่ายมาก ต่อให้เสือมีเวลาจำกัดในการจะหยุดโจมตีจริงๆ พวกเขาก็ไม่รู้ว่าต้องรอนานเท่าไหร่ ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกแย่งกุญแจที่สมควรเป็นสิ่งทำให้พวกเขาผ่านการทดสอบ


“ข้ากับน้องหลิงฮันจะรับหน้าที่ดึงความสนใจของอสูรเสือให้เอง พวกเจ้ารอคอยจังหวังแย่งกุญแจมา” เส้าซือซือกล่าวพร้อมกับตั้งคันศรและเล็งยิงไปยังดวงตาของอสูรเสือทีละดอกทีละดอก


สมกับที่มาจากขุมอำนาจใหญ่!


หลิงฮันไม่ต้องการใช้ลูกศรที่เขามีอยู่เนื่องจากจำนวนที่เขามีนั้นช่างน้อยเหลือเกิน หากใช้ยิงไปแล้วไม่สามารถเก็บคืนมาได้ก็หมายถึงต้องสูญเสียลูกศรไปเลย


เส้าซือซือยิงลูกศรออกไปไม่หยุดมือ ไม่รู้ว่านางกระหน่ำจริงลูกศรไปมากเท่าใดแล้ว


หลิงฮันถอนหายใจและเข้าปะทะกับอสูรเสือซึ่งๆหน้าเพื่อยื้อเวลาและสร้างโอกาสให้คนอื่น


ตูอันและคนอื่นโมตีปลอกคอเพื่อแย่งกุญแจ หลังจากโจมตีไปหลายครั้งพวกเขาก็ต้องตกตะลึงกับความทนทานของปลอกคอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าพวกเขาจะทำลายมันไม่ได้


เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาก็มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นและโจมตีปลอกคอสุดกำลัง


เมื่อจู่โจมหลายร้อยครั้งในที่สุดปลอกคอก็แตกหัก แต่นั่นก็แต่ปลอกคอด้านเดียวเท่านั้นในขณะที่อีกด้านยังติดแน่นกับคอของอสูรเสือ พวกเขาต้องโจมตีให้อีกด้านพังด้วยปลอกคอถึงจะหล่นลงมา


“พวกเจ้าช่วยรีบหน่อยได้รึไม่!” หลิงฮันตะโกน เขารับการโจมตีทั้งหมดจากอสูรเสือตรงหน้า พลังของอสูรตนนี้คือระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดที่มีพลังต่อสู้แปดดาวซึ่งใกล้เคียงกับระดับสุริยันจันทรามาก ต่อให้เป็นกายหยาบที่เทียบเท่าโลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ของเขาก็ต้านได้ไม่นาน


ถ้าไม่ใช่เพราะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ช่วยฟื้นฟูร่างกายของอย่างต่อเนื่อง ก็ไม่รู้ว่าเขาได้ถูกสังหารไปกี่ครั้งแล้ว


“ใกล้แล้ว!”


เส้าซือซือเปลี่ยนมาช่วยร่วมมือโจมตีปลอกคอ นางยิงคันศรเข้าใส่จุดเดิมอย่างต่อเนื่อง


เนื่องจากไม่มีใครกล้าเข้าปะทะระดับใกล้กับอสูรเสือ พวกเขาจึงโจมตีด้วยรัศมีดาบ รัศมีกระบี่หรือไม่ก็รัศมีหมัดที่เป็นการโจมตีระยะไกลและไม่รุนแรงมากจึงต้องใช้เวลานานพอสมควรในการทำลายปลอกคอ


หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงเสียง ‘แคร๊ก’ ก็ดังขึ้น ในที่สุดปลอกคอก็แตกหักและแยกเป็นสองส่วน ครึ่งบนติดอยู่กับคอของอสูรเสือในขณะที่ครึ่งล่างร่วงลงพื้น


ครึ่งล่างคือส่วนที่กุญแจติดอยู่


หลิงฮันรีบขยับตัวลากอสูรเสือให้ออกจากตำแหน่งเดิมเพื่อให้คนอื่นมีโอกาสหยิบกุญแจไปยังประตู


พวกเขาใส่กุญแจเข้าไปในประตู หลังจากบิดกุญแจประตูก็ค่อยๆเปิดออก


“เข้าไป!”


หลิงฮันกล่าวเสียงดังไปยังสุ่ยเยี่ยนยวี่ ทุกคนต้องผ่านด่านที่ครบทั้งกลุ่ม หากขาดไปแม้แต่คนเดียวจะถือว่าทดสอบล้มเหลว


ต้าต่านและสุ่ยเยี่ยนยวี่ที่อ่อนแอที่สุดเป็นสองคนที่เข้าประตูไปก่อน จากนั้นก็ตามด้วยเส้าซือซือและคนอื่นๆ หลิงฮันคือคนที่เหลือคนสุดท้ายที่พุ่งไปยังประตู


“โฮกกกก!” อสูรเสือคำรามและไล่ตามหลิงฮัน


“เร็วเข้า! เร็วเข้า!” ด้านในประตูตูอันและคนอื่นๆส่งเสียงด้วยท่าทีกังวล แม้แต่เซี่ยอู๋เฉียนกับต้าต่านก็เช่นกัน อสูรเสือวิ่งไล่เข้าใกล้มาเรื่อยๆ


‘พรึบ’ อสูรเสือกวาดกรงเล็บใส่หลิงฮัน


หากโดนเข้าหลิงฮันจะต้องถูกแรงกระแทกทำให้ตัวเขากระเด็นเข้าหากระแพงด้านข้างแทนที่จะพุ่งเข้าประตูแน่นอน


“ฮึ่ม!”


หลิงฮันโคจรศรฆ่ามังกรทะลวงดาราสูงสุด แม้จะไม่มีคันศรแต่พลังทำลายก็ยังน่าสะพรึงกลัว ปราณก่อเกิดควบแน่นกลายเป็นลูกศรและพุ่งโจมตีราวกับสายน้ำ


ปัง!


ลูกศรพลังปราณปะทะเข้ากับกรงเล็บของอสูรเสือ เมื่ออยู่ต่อหน้าโลหะระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้าต่อให้เป็นศรฆ่ามังกรทะลวงดาราสูงสุดก็ทำลายไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นพลังทำลายที่มหาศาลก็ยังทำให้กรงเล็บเอียงไปเล็กน้อย


‘ฟึบ’ กรงเล็บเฉียดผ่านหลิงฮันไปเพียงหนึ่งมิล


ร่างของหลิงฮันพุ่งเข้าประตูราวกับลูกศร


‘ตุบ’ เขาร่วงสู่พื้นและรู้สึกว่าร่างกายไร้เรี่ยวแรง พลังของศรฆ่ามังกรทะลวงดาราสูงสุดไม่สามารถควบคุมได้ หากใช้ทักษะนี้มันจะเผาผลาญพลังปราณทั้งหมดในร่างไม่มีเหลือ


โชคดีที่พลังบ่มเพาะของเขาตอนนี้แข็งแกร่งแล้ว ความเร็วในการฟื้นฟูจึงรวดเร็วตาม เพียงแค่หนึ่งถึงสองชั่วโมงพลังของเขาก็น่าจะฟื้นกลับมา


อสูรเสือหยุดอยู่ตรงที่หน้าประตูโดยไม่ไล่ตามเข้าไปราวกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นเอาไว้


มันส่งเสียงคำรามพร้อมกับประตูที่ค่อยๆปิดลง


ทั้งสิบคนถอนหายใจโล่งอก ในที่สุดพวกเขาก็ผ่านมาได้


เพียงแต่พวกเขาเพิ่งจะผ่านด่านแรกเท่านั้น… นี่เป็นเพียงการทดสอบแรกจริงๆรึ?


พวกเขาหันหน้ามองรอบอย่างระมัดระวัง


ที่นี่เป็นห้องโถงใหญ่อีกแห่ง ตรงกลางของห้องโถงขนาดใหญ่มีแท่นหินตั้งอยู่ตรงกลาง


“ยินดินด้วยสำหรับการผ่านด่านแรก” มีเสียงดังออกมาจากแท่นหิน


ทุกคนตกตะลึง


“โอ้ ไม่ต้องกังวลไป นี่เป็นเพียงจิตสำนึกที่ผู้อาวุโสผู้นี้ทิ้งเอาไว้ ส่วนที่ว่าผู้อาวุโสผู้นี้เป็นใครน่ะรึ? เหอะๆๆ ข้าไม่บอกพวกเจ้าหรอก!” แท่นหินกล่าวคำพูดไม่กี่คำด้วยคำพูดยั่วยุจนทั้งสิบคนไม่สบอารมณ์


หลิงฮันเข้าใจทันทีว่าแท่นหินจะต้องถูกทิ้งไว้โดยเจ้าของสุสานแห่งนี้แน่นอน นั่นเพราะคำพูดอวดดีฟังดูยกยอตนเองนั้นเหมือนกับแท่นหินที่ด่านสุดท้ายของรูปแบบอาคมรูปปั้นหินไม่มีผิด


“พวกเจ้าต้องการรางวัลงั้นรึ? ไหนลองถามผู้อาวุโสคนนี้ดูสิ!” เสียงดังขึ้นจากแท่นหินอีกครั้ง


ทุกคนหันมองหน้ากัน เจ้าของเสียงเป็นผู้อาวุโสจริงๆรึ ทำไมถึงได้ดูไร้ยางอายเยี่ยงนี้


“มีรางวัลจากการผ่านด่านแรกด้วย?” หลิงฮันถาม “ถ้าหากผ่านด่านแล้วมีรางวัลให้อยู่แล้ว จะให้พวกเราเป็นฝ่ายถามทำไม?”


“เหอะๆๆ ถ้าข้าอยากให้ถามแล้วจะทำไม? แค่เอ่ยถามพวกเจ้าจะตายรึไง?” แท่นหินกล่าวขึ้นเสียง


ทุกคนกลายเป็นไร้คำพูด ผู้อาวุโสคนนี้ดูไม่สมกับเป็นผู้อาวุโสแม้แต่น้อย


“เอาเถอะ ยังไงกฎก็ต้องเป็นกฎ ผู้อาวุโสจะมอบรางวัลให้พวกเจ้า” น้ำเสียงจากแท่นหินสงบลง

 

 

 


ตอนที่ 1117

 

“เอ้านี่ พวกเจ้าจงรับมันไปคนละชิ้น” แท่นหินกล่าว


ขวดหยกสิบขวดปรากฏอยู่กลางอากาศ และตกลงมาอยู่ด้านหน้าพวกเขาคนละขวด


เห็นได้ชัดว่าหนึ่งขวดต่อหนึ่งคน


นี่คือชัยชนะของทุกคนในกลุ่ม ดังนั้นทุกคนจึงได้รับของรางวัลเหมือนกัน ไม่ว่าจะมีผลงานมากหรือน้อยก็ตาม


หลิงฮันหยิบขวดหยกขึ้นมา แต่ไม่มีอะไรเขียนคำอธิบายเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงถามว่า “ข้าขอถามได้หรือไม่ ในขวดหยกนี้มีเม็ดยาอะไรอยู่?”


“เม็ดยาภูผาวารีลายม่วง” แท่นหินกล่าว


“แล้วมันมีประสิทธิภาพอะไร?” ทุกคนไม่เคยได้ยินชื่อเม็ดยาชนิดนี้มาก่อน


“หลังจากที่เจ้ากินมัน ในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมามันจะทำให้พลังต่อสู้ของพวกเจ้าเพิ่มขึ้นหนึ่งดาว” แท่นหินอธิบาย


“แค่นั้นเองหรือ?” หลิงฮันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย


“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน ทั้งที่เจ้าได้รับของจากผู้อื่น เจ้าพูดขอบคุณสักนิดเลยไม่ได้หรือไงกัน!” แท่นหินไม่พอใจและพูดว่า “และเจ้าเพิ่งทะผ่านด่านแรกเท่านั้น เจ้าคิดว่าของรางวัลที่จะได้รับจะล้ำค่าขนาดไหนกัน?”


“นั่นหมายความว่า…พวกข้าจะได้รับรางวัลอีกเมื่อผ่านด่านสองและสาม?” หลิงฮันถาม


“แน่นอน ตราบใดที่พวกเจ้าแข็งแกร่งพอ” แท่นหินกล่าว


ทันใดนั้น จิตวิญญาณต่อสู้ของทุกคนก็เดือดพล่านอีกครั้ง พวกเขาไม่ได้ตื่นเต้นเพราะของรางวัล แต่เป็นเพราะพวกเขาคืออัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคนี้ และด้วยความทะเยอทะยานกับความมั่นใจในตัวเองทำให้พวกเขาหวังที่จะกลายเป็นอันดับหนึ่ง


“แล้วการทดสอบด่านต่อไปคืออะไร?” หลิงฮันถาม


“ทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย?” แท่นหินกล่าว “หากเจ้าต้องการรู้ จงไปดูและสัมผัสด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม ข้าสามารถบอกพวกเจ้าได้ว่าด่านที่สองคือเขาวงกต หากพวกเจ้าสามารถออกมาได้ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง พวกเจ้าก็จะได้รับรางวัลตอบแทน”


“สำหรับด่านนี้ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทำงานเป็นกลุ่ม และไม่อนุญาตให้จับกลุ่มรวมกัน พวกเจ้าจะต้องผ่านการทดสอบด้วยตัวคนเดียว”


หลังจากพูดจบ แท่นหินก็ไม่พูดอีกต่อไป


ด้านหน้าของพวกเขามีบันไดปรากฏขึ้นที่จะพาไปยังชั้นที่สอง


“ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเราทุกคนไปกันเถอะ” ตู่อันหัวเราะและเดินนำ


หลิงฮันยังไม่ขยับไปไหน เขาคิดว่ามันแปลกมาก ในเมื่อที่นี่เป็นสุสาน ทำไมพวกเขาจะต้องผ่านการทดสอบและความท้าทายต่างๆด้วย?


อย่างไรก็ตาม ในเมื่อได้รับรางวัล เขาก็พร้อมที่จะรับคำท้าทายนั่น เพราะอย่างไรเขาไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้ว


“หลิงฮัน หรือว่าเจ้าจะกลัวจนก้าวไม่ออก?” เซี่ยอู๋เฉียนชี้ไปที่หลิงฮัน


“ใครบอกว่าข้ากลัว!” แน่นอนว่าหลิงฮันไม่หวาดกลัวอยู่แล้ว


“เพื่อเห็นแก่การต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่จะทำให้เจ้ารู้ว่ายังมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้าอยู่ และเจ้าไม่ควรทำตัวอวดดีเกินไป!” เซี่ยอู๋เฉียนกล่าว


หลิงฮันดูแปลกใจเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่าเซี่ยอู๋เฉียนจะพูดแบบนั้นออกมา


เขาครุ่นคิดอยู่สักพักและพูดว่า “เพื่อเห็นแก่การต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ข้าเองก็จะไว้ชีวิตเจ้าและจะแค่สั่งสอนเจ้าเท่านั้น”


“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าเป็นคนที่อวดดีจริงๆ!” เซี่ยอู๋เฉียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เข้ามา!”


หลังพูดจบก็มีอักขระศักดิ์สิทธิ์ปรากฏอยู่บนแขนของเขา ซึ่งมีมากกว่าหกสิบแถว และมีภูผาวารีสี่ลูกปรากฏอยู่ด้านหลังพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายที่แข็งแกร่งออกมา


อักขระศักดิ์สิทธิ์มากกว่าหกสิบแถว นั่นหมายความว่าเขามีพลังต่อสู้หกดาว


“เจ้าต้องการข่มขู่ข้าอย่างนั้นรึ?” หลิงฮันยิ้มเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายเห็นพลังป้องกันของเขาแล้วหรือ? แม้ว่าจะเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นสูงสุดและมีพลังต่อสู้หกดาว แต่แค่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะเอาชนะเขาได้


“แน่นอน แต่ข้ายังมีอีก!” เซี่ยอู๋เฉียนนำปลอกแขนสีดำออกมาและสวมเข้าไปในแขน หลังจากกระตุ้นใช้งานปลอกแขน อักขระศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดก็ส่องแสงและทันใดนั้นอักขระศักดิ์สิทธิ์ในมือของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก


เจ็ดสิบเอ็ด!


นั่นหมายความว่าพลังต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นหนึ่งดาว!


หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจและพูดว่า “ในด่านทดสอบรูปปั้นหิน เจ้าไม่ได้ใช้อาวุธชิ้นนี้!”


“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากจะใช้มัน แต่เป็นเพราะอาวุธศักดิ์สิทธิ์นี้ได้รับความเสียหาย และสามารถใช้งานได้แค่เวลาครึ่งธูปหมดเท่านั้น” เซี่ยอู๋เฉียนไม่คิดปกปิดและบอกความจริง


หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “หรือเจ้าคิดว่าจะสามารถเอาชนะข้าได้ด้วยเวลาครึ่งธูปหมด?”


“แค่นั้นก็มากพอแล้ว!” เซี่ยอู๋เฉียนกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ


แม้ว่าหลิงฮันจะมีพลังป้องกันที่น่าทึ่ง แต่ความแข็งแกร่งของเขาในปัจจุบันก็ใกล้เคียงกับจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา แล้วถ้าเขาใช้เทคนิคลับมันก็อาจทำให้เขาสามารถฆ่าหลิงฮันได้


“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าชักสงสัยแล้วสิว่าเจ้าเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหน” หลิงฮันหัวเราะ แล้วนำยันต์อาคมราชสีห์คลั่งออกมา ซึ่งมันสามารถใช้งานได้ทั้งหมดสิบครั้ง และจำนวนครั้งสูงสุดอาจลดลงเองขึ้นอยู่กับเวลาใช้งานของแต่ละครั้ง


พลังต่อสู้ของเขาด้อยกว่าเซี่ยอู๋เฉียนมาก นั่นเป็นเพราะช่องว่างระหว่างระดับพลัง โดยปกติแล้วมันคงเป็นเหมือนการถูกรังแกเพียงฝ่ายเดียว


แต่ใครจะยอมถูกรังแกเพียงฝ่ายเดียวกันล่ะ?


ดังนั้น หลิงฮันจึงไม่ลังเลที่จะใช้งานยันต์อาคมราชสีห์คลั่งอีกครั้ง


เขาแปะยันต์อาคมไว้บนร่างกาย แล้วทันใดนั้นเองอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็ประทับลงบนร่างของเขา ถ้านับแล้วมันมีมากกว่าแปดร้อยแถว!


พรวด!


เซี่ยอู๋เฉียนแทบกระอักโลหิตและเผยสีหน้าตกตะลึง


เขามีอักขระศักดิ์สิทธิ์แค่เจ็ดสิบกว่าเท่านั้น แต่หลิงฮันมีมากถึงแปดร้อยแถว ความแตกต่างคืออะไร? มันไม่ได้แค่มากกว่าสิบเท่าเท่านั้น แต่ยังทำให้เขามีพลังเทียบเท่ากับจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นกลาง


“ข้ายอมแพ้!” ใบหน้าของเซี่ยอู๋เฉียนเต็มไปด้วยความขมขื่น


หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะหยุดหลังจากที่เจ้ายอมรับความพ่ายแพ้อย่างนั้นรึ? ในเมื่อข้าต้องใช้งานยันต์อาคมราชสีห์คลั่งไปแล้ว แล้วข้าจะปล่อยให้มันเสียเปล่าได้อย่างไร!”


หลิงฮันโจมตีออกไปด้วยฝ่ามือธรรมดา เขาไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะใดๆ แค่เขาโจมตีด้วยฝ่ามือธรรมดาออกไปก็เพียงพอที่จะทำให้เซี่ยอู๋เฉียนพ่ายแพ้แล้ว


ถึงกระนั้นหลิงฮันก็ไม่คิดที่จะฆ่าอีกฝ่าย เขาแค่ลบความคิดของเซี่ยอู๋เฉียนที่จะฆ่าเขาออกไปเท่านั้น


“นี่มันทรงพลังเกินไปแล้ว!” เซี่ยอู๋เฉียนกรีดร้อง


หลิงฮันไม่สนใจและยังคงโจมตีใส่อีกฝ่าย


ชายหนุ่มที่ใช้หอกรู้สึกตกตะลึง ในความคิดของเขาเซี่ยอู๋เฉียนเป็นเหมือนเทพสงครามที่ไร้พ่าย และสมควรที่จะอยู่ยงคงกระพันถ้าเทียบกับจอมยุทธในระดับเดียวกัน แต่ตอนนี้เขากลับถูกหลิงฮันที่มีระดับพลังต่ำกว่าเล่นงาน


หลิงฮันทุบตีอีกฝ่ายและเซี่ยอู๋เฉียนไปด้านข้าง


“หลิงฮัน ในอนาคตที่นิกายสวรรค์เยือกแข็ง ข้าจะต้องลบล้างความอัปยศที่ได้รับในวันนี้ให้ได้อย่างแน่นอน!” เซี่ยอู๋เฉียนตะโกน


หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “เจ้าคงไม่มีโอกาสนั้น!”


ความก้าวหน้าของเขานั้นเหมือนกับการก้าวกระโดด ช่องว่างระหว่างเขากับเซี่ยอู๋เฉียนคงจะลดลงเรื่อยๆ และระดับสุริยันจันทราก็ยากที่จะทะลวงผ่าน ดังนั้นมันจึงมีโอกาสที่เขาจะไล่ตามอีกฝ่ายทันในเวลาอันสั้น


“ภรรยาข้า พวกเราไปกันเถอะ!” หลิงฮันจับมือสุ่ยเยี่ยนยวี่และเดินขึ้นไปชั้นที่สอง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)