Alchemy Emperor of the Divine Dao 1090-1110
ตอนที่ 1090
“ไม่ใช่!”
สุ่ยเยี่ยนยวี่ส่ายหน้า “ในตำแหน่งนั้นไม่ควรมีดวงดาว!”
หลิงฮันถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้ามั่นใจแค่ไหน?”
“มั่นใจมาก!” สุ่ยเยี่ยนยวี่พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง ความสามารถด้านวรยุทธของนางห่างชั้นจากหลิงฮันมาก แต่นางเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือหาความรู้ ดังนั้นถ้าพูดถึงความรู้รอบตัวบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว นางมีความรู้มากกว่าหลิงฮัน
“แปลกมาก ถ้างั้นมันคืออะไร?”
ทั้งสองคนจ้องมองท้องฟ้า ดาวดวงใหญ่ยังคงส่องแสงไปทั่วทุกซอกทุกมุมบนดาวเหอหนิง แสงสว่างของมันเพียงพอที่จะทำให้คนที่อยู่ในเอกภพใกล้เคียงมองเห็น
วันต่อมา ทุกคนต่างพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ดาวดางใหญ่ที่ปรากฏเมื่อคืนมันคืออะไร?
นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก โดยปกติแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นดาวในเวลากลางวัน เพราะแสงของดวงอาทิตย์สว่างเกินไป แต่ตอนนี้ทุกคนต่างก็มองเห็นดาวดวงใหญ่ นี่แสดงให้เห็นว่าแสงของมันเจิดจ้ามากกว่าดวงอาทิตย์
ทุกคนเต็มไปด้วยความสงสัยว่าดาวดวงใหญ่นั่นมาจากไหน เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นดาวปรากฏในตำแหน่งดังกล่าวมาก่อน ราวกับว่าปรากฏออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า
ดาวขนาดใหญ่จะปรากฏออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าได้อย่างไร?
มันน่าเหลือเชื่อเกินไป!
ทันใดนั้นเองก็มีกองกำลังส่งเรือเหินดาราไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันกว้างใหญ่เพื่อสำรวจดาวดวงนั้นในระยะใกล้
เรือเหินดาราแตกต่างจากเรือบินมาก ไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่ใช้สร้างหรือพลังงานที่ต้องใช้ขับเคลื่อนมากกว่าเรือบิน นั่นเป็นเพราะพวกเขาต้องสร้างให้มันบินได้นานที่สุด
แล้วเรือเหินดารานั้นมีเพียงแค่ขุมพลังใหญ่อย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะมีครอบครอง เพราะค่าใช้จ่ายในการซื้อจนถึงการบำรุงรักษานั้นมากเกินไป
นอกจากนี้ ใครจะบินออกไปนอกดาวดวงนี้กัน?
การเดินทางจากดาวหนึ่งไปสู่อีกดาวหนึ่งใช้เวลาเป็นปีหรือแม้กระทั่งหลายแสนปี ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะเต็มใจเดินทางยาวนานขนาดนั้น
เพียงไม่กี่วันต่อมา เรือเหินดาราก็เดินทางกลับพร้อมกับข่าวใหญ่ ถ้าจะพูดให้ถูกคือข่าวที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง
ดาวดวงใหญ่บนท้องฟ้าที่จริงแล้วคือสุสาน!
อะไรนะ!
หลิงฮันรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินว่ามันเป็นสุสาน นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก ในเมื่อดาวที่พวกเขาเห็นอยู่ไกลขนาดนั้น แล้วสุสานจะมีขนาดใหญ่แค่ไหน?
หลิงฮันอดที่จะอยากรู้อยากเห็นไม่ได้และต้องการไปดูด้วยตาตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้น นิกายสวรรค์เยือกแข็งยังออกประกาศพิเศษและเลื่อนการทดสอบเข้าสู่นิกายอย่างไม่มีกำหนด ดังนั้นหลิงฮันจึงมีโอกาสที่ไปสำรวจสุสาน
สุสานขนาดใหญ่บนท้องฟ้า แค่ได้ยินก็เหมือนมีสมบัติมหาศาลรออยู่แล้ว!
แต่มีเพียงแค่ไม่กี่ขุมพลังเท่านั้นที่มีเรือเหินดารา หลินฮันจะมีคุณสมบัติที่ได้ครอบครองมันได้อย่างไร?
แน่นอนว่าไม่!
แต่ไม่ใช่กองกำลังของจอมยุทธระดับดาราเท่านั้นที่เป็นเจ้าของเรือเหินดารา แต่ยังรวมถึงกองคาราวานด้วย
กองคาราวานบางแห่งทำธุรกิจข้ามดวงดาว พวกเขาเดินทางไปมาระหว่างดาวดวงใหญ่ต่างๆ โดยทำหน้าที่ส่งมอบวัสดุและขายผลิตภัณฑ์พิเศษที่มีเฉพาะในดาวดวงนั้นเท่านั้น แต่ว่าการเดินทางข้ามดวงดาวนั้นต้องใช้เวลาและอาจเจอพายุในอวกาศที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ซึ่งอาจทำให้พวกเขาต้องตายในจักรวาลที่มืดมน
แน่นอนว่ากองคาราวานจะต้องรีบคว้าโอกาสนี้เอาไว้ พวกเขาเปิดเส้นทางใหม่สู่สุสานทันที แต่ราคาตั๋วเดินทางนั้น หึหึ หนึ่งคนต่อหนึ่งหมื่นผลึกก่อเกิด ราคาดังกล่าวเพียงพอที่จะทำให้คนส่วนใหญ่สะดุ้ง
ถึงจะเป็นเช่นนั้น ตั๋วก็ยังขาดตลาดและถูกขายหมดในเวลาอันสั้น
– ต้องทราบก่อนว่าแม้กระทั่งจักรพรรดินี แม่ทัพทั้งเจ็ด ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวายังเตรียมตัวที่จะเดินทางสู่สุสาน นี่แสดงให้เห็นว่าโอกาสครั้งนี้น่าอัศจรรย์เพียงใด
หลิงฮันได้รับตั๋วมาสองใบ ใบหนึ่งสำหรับเขาและอีกใบหนึ่งสำหรับสุ่ยเยี่ยนยวี่
แน่นอนว่าเขาจะพาจักรพรรดิพิรุณและคนอื่นๆไปด้วย แต่พวกเขาจะต้องอยู่ในหอคอยทมิฬก่อน และค่อยพาออกมาเมื่อไปถึงสุสาน
แต่การสำรวมสุสานนั้นไม่ได้มีแค่จักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะเท่านั้น แต่ยังรวมถึงจักรวรรดิราชวงศ์อีกสองแห่งอีกด้วย แล้วแต่ละจักรวรรดิราชวงศ์ก็จะปล่อยให้คนที่แข็งแกร่งรักษาการณ์แทน อย่างเช่นจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะที่ให้ราชินีที่เก้าคอยดูแล
เรือของหลิงฮันจะเดินทางในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไปเยี่ยนเฒ่าหม่าก่อน ซึ่งเขาวางแผนว่าจะไปเยี่ยมอีกฝ่ายนานแล้ว แต่มักจะมีอะไรหลายอย่างที่เข้ามาขัดจังหวะ
ในตอนที่เขากลับมาถึงหอตำรา ที่นี่ไม่วุ่นวายเหมือนกับเมื่อก่อน เหมือนกับว่าคนส่วนใหญ่กำลังพยายามหาวิธีที่จะได้รับตั๋วมา
“คารวะผู้อาวุโส!” หลิงฮันเดินเข้าไปและคารวะเฒ่าหม่า
เขาติดหนี้ชายชราผู้นี้ไว้มาก ไม่ว่าจะเป็นทักษะจิตเจ็ดสังหาร เทคนิคบ่มเพาะพลังหกธาตุ
เฒ่าหม่ากำลังงีบหลับ เมื่อเขาได้ยินเสียงหลิงฮัน เขาก็ลืมตาตื่นขึ้นทันทีและหันไปมอง แล้วพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ความก้าวหน้าของเจ้า ทำไมถึงรวดเร็วปานนี้?”
ถึงแม้หลิงฮันจะไม่รู้ว่าเฒ่าหม่านั้นแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เขาเชื่อว่าระดับบ่มเพาะพลังของอีกฝ่ายจะต้องสูงมากอย่างแน่นอน นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เฒ่าหม่าจะสามารถมองเห็นความก้าวหน้าได้เพียงแค่เหลือบมอง
หลิงฮันยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ข้ามีโชคนิดหน่อย”
เฒ่าหม่าไม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขากลับพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เจ้าหนู เจ้าอย่าได้เร่งรีบจนเกินไป ถ้าเจ้าต้องการสร้างหอคอย เจ้าก็ต้องสร้างรากฐานให้แน่นทีละขั้นตอน และไม่ควรโลภมากจนเกินไป มิฉะนั้นมันจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของเจ้า!”
“ขอบคุณผู้อาวุโส ข้าจะจดจำคำเตือนของท่านเอาไว้!” หลิงฮันตอบกลับอย่างเชื่อฟัง
เฒ่าหม่าพยักหน้าและยิ้มเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พูดว่า “มันแปลกมาก ถึงแม้เจ้าจะมีความก้าวหน้าที่รวดเร็ว แต่รากฐานของเจ้ากลับมั่นคงมากจนชายชราอย่างข้าคาดไม่ถึง”
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหลิงฮันมีต้นสังสารวัฎ แล้วรากฐานของเขาจะไม่มั่นคงได้อย่างไร ในเมื่อฝึกฝนหนึ่งวันเท่ากับหนึ่งปี
หลิงฮันเพียงแค่ยิ้ม ถึงแม้เขาจะติดหนี้เฒ่าหม่าไว้มาก แต่เรื่องที่เขารู้เกี่ยวกับเฒ่าหม่าแทบจะเป็นศูนย์ แล้วเขาจะเปิดเผยการมีอยู่ของหอคอยทมิฬและต้นสังสารวัฎได้อย่างไร!
“ในเมื่อเจ้ามีความก้าวหน้าที่รวดเร็วมาก แต่ยังไงข้าก็ต้องตักเตือนเจ้าเอาไว้ก่อนเพื่อที่เจ้าจะได้ไม่ทำพลาด” เฒ่าหม่ากล่าวอีกครั้ง
“เตือน?” หลิงฮันถาม
เฒ่าหม่าไม่ตอบ แต่ถามหลิงฮันว่า “เจ้าคิดว่าจอมยุทธสามารถมีพลังต่อสู้ได้กี่ดาว?”
เอ่อ
เรื่องนั้นมันเป็นปัญหาด้วยหรือ?
อัจฉริยะระดับสี่ดาวนั้นหาตัวจับได้ยาก อัจฉริยะระดับห้าดาวมีเพียงแค่ในตำนาน นี่คือเรื่องทั่วไปที่ทุกคนทราบกันดี
อย่างไรก็ตาม หลิงฮันรู้ว่าเขามีพลังต่อสู้มากกว่าห้าดาว ถ้าเขาใช้ตัวช่วยทุกอย่าง การที่เขาจะมีพลังต่อสู้เจ็ดดาวก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
ตอนที่ 1091
หลิงฮันคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ถ้าข้าเชี่ยวชาญทักษะจิตเจ็ดสังหารและเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีพลังต่อสู้เก้าดาว แล้วถ้าข้าสามารถสยบอีกฝ่ายได้ด้วยทักษะจิตเจ็ดสังหาร อย่างน้อยข้าก็มีโอกาสครึ่งหนึ่งที่จะเป็นฝ่ายชนะ”
“หากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่าข้ามีพลังต่อสู้เก้าดาว”
“แต่ถ้าข้าพบกับคู่ต่อสู้แปดดาว แต่สามารถป้องกันสัมผัสสวรรค์ของข้าได้ ข้าก็จะเป็นฝ่ายแพ้”
“เช่นนั้นข้าก็จะมีพลังต่อสู้ต่ำกว่าแปดดาว”
“แต่เนื่องจากอัจฉริยะแปดดาวไม่ได้ฝึกฝนทักษะโจมตี มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะอัจฉริยะเก้าดาว นี่เป็นเรื่องแปลก ทั้งที่ข้าสามารถเอาชนะอัจฉริยะเก้าดาวได้ แต่อัจฉริยะแปดดาวกลับสามารถเอาชนะข้าได้”
เฒ่าหม่าหัวเราะและพูดว่า “ไม่เลว ตอนนี้เจ้าค้นพบปัญหาแล้ว ในความเป็นจริงมันก็เป็นเหมือนระดับทลายมิติที่วัดจากความแข็งแกร่ง ซึ่งพลังระดับขอบเขตพระเจ้าเองก็ขึ้นอยู่ความแข็งแกร่งเช่นกัน ท้ายที่สุดพลังก็คือพื้นฐานของทุกสิ่งทุกอย่าง”
หลิงฮันพยักหน้า มันน่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะทั้งสองคนมีความแข็งแกร่งเท่ากัน แต่พวกเขาฝึกฝนกันคนละแบบ ดังนั้นจุดแข็งของทั้งสองคนจึงแตกต่างกัน
ในกรณีนี้ เขาเป็นอัจฉริยะห้าดาว แต่นี่ยังไม่ใช่ขีดจำกัดของเขา ความแข็งแกร่งของเขายังเพิ่มขึ้นได้อีกและเป็นไปได้มากที่จะบรรลุระดับหกดาว
“เจ้าบรรลุระดับทลายมิติยี่สิบดาว นั่นหมายความว่าเจ้าบรรลุได้อย่างสมบูรณ์แบบ มิฉะนั้นเจ้าคงไม่บรรลุระดับทลายมิติยี่สิบดาว” เฒ่าหม่ากล่าวอีกครั้ง “แต่เจ้าเพิ่มทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นสูง ซึ่งพลังต่อสู้มากที่สุดที่เจ้าสามารถบรรลุได้คือหกดาว”
พลังต่อสู้หกดาว มันยังไม่เพียงพออีกหรือ?
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าหนู จักรวาลนั้นกว้างใหญ่กว่าที่เจ้าคิด! ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่ขาดไม่ได้คืออัจฉริยะ!” เฒ่าหม่าส่ายหัว “ในตอนที่ข้ายังเยาว์วัย ข้าเคยเดินทางไปทั่วโลกและเห็นอัจฉริยะมากมาย แล้วนั่นทำให้ข้ารู้ว่าตัวเองเหมือนกับกบก้นบ่อ”
หลิงฮันพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “โปรดให้คำแนะนำข้าด้วย!”
เฒ่าหม่าแสดงรอยยิ้มที่พึงพอใจ ชายหนุ่มคนนี้ไม่หยิ่งยโสจองหอง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขีดจำกัดของจอมยุทธควรเป็นสิบดาว!”
พรวด!
หลิงฮันแทบกระอัก อัจฉริยะห้าดาวเป็นดั่งตำนาน แต่ขีดจำกัดที่แท้จริงคือสิบดาว?
พลังต่อสู้สิบดาว? มันเป็นไปได้ด้วยหรือ?
เขามีความทนงพอตัว ทุกระดับพลังจะฝึกฝนให้อยู่ในระดับที่สมบูรณ์แบบ แต่เฒ่าหม่าพูดว่าเขาไปได้มากที่สุดแค่หกดาว ซึ่งยังห่างจากสิบดาวเกือบครึ่งหนึ่ง
“หากเจ้าต้องการเผชิญหน้ากับโลกที่กว้างใหญ่อย่างไม่หวั่นเกรง เจ้าจะต้องเป็นอัจฉริยะสิบดาว!” เฒ่าหม่ากล่าว “ช่องว่างดังกล่าวมีเพียงแค่อัจฉริยะเก้าดาวเท่านั้นที่ทำได้แค่เงยหน้ามอง ถึงแม้เจ้าจะเป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูง แต่ก็ยังสามารถต่อกรกับจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้นได้”
หลิงฮันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจอมยุทธระดับภูผาวารีจะสามารถต่อกรกับจอมยุทธระดับสุริยันจันทราได้ แต่ถ้าเป็นอัจฉริยะสิบดาว เขาก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้
แน่นอนว่าที่เฒ่าหม่ากล่าวมีเหตุผล แต่เขาจะต้องเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูง ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้น มิฉะนั้นแม้จะเป็นอัจฉริยะระดับสิบดาวก็ไร้ประโยชน์
“แต่ผู้อาวุโส ตามที่ท่านกล่าว ข้าฝึกฝนถึงขั้นสมบูรณ์แบบทุกระดับพลัง แต่ทำไมข้าถึงมีพลังต่อสู้แค่หกดาว?” หลิงฮันไม่เข้าใจ
เฒ่าหม่ายิ้มและพูดว่า “เจ้าต้องอดทน” เขาลุกขึ้นยืน “ตามข้ามา”
ทั้งสองคนเดินไปที่ป่าทึบข้างทะเลสาบ และเฒ่าหม่าก็พูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า ระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นสูงสุด…แท้จริงแล้วมันยังไม่ใช่จุดที่สมบูรณ์แบบ!”
หลิงฮันรู้สึกแปลกใจ ทั้งที่อยู่จุดสูงสุดแล้วแต่ก็ยังไม่ได้อยู่ในระดับที่สมบูรณ์แบบ?
“จุดสูงสุดของระดับภูผาวารีคือภูผาวารีห้าสายไม่ใช่สี่!” เฒ่าหม่ากล่าว ทำให้หลิงฮันตกใจยิ่งกว่าเดิม
หลิงฮันอ้าปากกว้าง เขาตกใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากจริงๆ
ระดับภูผาวารี โดยทั่วไปแล้วได้รับการยอมรับว่าเป็นเริ่มต้น หลังจากที่สร้างภูผาวารีได้สี่สายก็จะเริ่มสร้างสุริยันจันทราขึ้นมาได้และทะลวงผ่านระดับถัดไป
แต่เฒ่าหม่ากับพูดว่ายังสามารถสร้างภูผาวารีขึ้นมาได้ห้าสาย!
หากเป็นเช่นนั้นจะสามารถสร้างภูผาวารีหกและเจ็ดสายได้หรือไม่?
“ฮ่าฮ่าฮ่า ภูผาวารีห้าสายคือขีดจำกัดที่แท้จริง และเป็นไปไม่ได้อีกแล้วที่จะสร้างเพิ่ม!” เฒ่าหม่าส่ายหัว “ความเป็นไปได้ดังกล่าวมีเพียงแค่เจ้าเท่านั้นที่สามารถทำได้ และหากทำสำเร็จเจ้าก็จะกลายเป็นอัจฉริยะระดับสิบดาว!”
หลิงฮันไม่เข้าใจที่เฒ่าหม่ากล่าวและพูดว่า “จากระดับหกดาวไปสิบดาวเลย แล้วระดับเจ็ดดาวถึงเก้าดาวล่ะ?”
เฒ่าหม่าหัวเราะและพูดว่า “เจ้าคิดว่าหลังจากที่สร้างภูผาวารีได้ห้าสายมันก็คือจุดสูงสุดแล้วไม่ใช่หรือ? หากเจ้าไม่สามารถสร้างได้ก็จะเป็นได้แค่อัจฉริยะระดับเจ็ดดาว แปดดาว และเก้าดาวเท่านั้น”
อย่างนั้นนี่เอง
หลิงฮันถอนหายใจและพูดว่า “หากเป็นเช่นนั้น ระดับสุริยันจันทราเองก็สามารถสร้างสุริยันจันทราได้ห้าดวงเหมือนกัน? แล้วระดับดาราก็สามารถสร้างดาราได้ห้าดวง? แล้วเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีอัจฉริยะระดับสิบเอ็ดดาว สิบสองดาว?”
“ใช่แล้ว!” เฒ่าหม่าหัวเราะ “อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างที่ผิด”
เฒ่าหม่าชูนิ้วและพูดว่า “ทุกระดับพลังจะต้องบรรลุถึงระดับที่สมบูรณ์แบบจริงๆ เจ้าถึงจะคงพลังระดับสิบดาวเอาไว้ได้ มิฉะนั้นหากเจ้าไม่บรรลุถึงระดับที่สมบูรณ์แบบระดับใดระดับหนึ่ง ระดับพลังของเจ้าก็จะลดลงกลายเป็นเก้าดาว แปดดาว และเจ็ดดาว”
หลิงฮันอ้าปากค้าง มันเป็นเรื่องยากมากที่จะรักษาระดับพลังสิบดาวเอาไว้ เพราะเขาต้องบรรลุถึงระดับที่สมบูรณ์แบบทุกระดับพลัง
“ผู้อาวุโส ท่านเคยเห็นอัจฉริยะระดับสิบดาวมาก่อนหรือไม่?” หลิงฮันถาม
แสงอันร้อนแรงลุกโชติอยู่ในดวงตาของเฒ่าหม่า และใบหน้าของเขาดูสั่นเล็กน้อย หลังจากที่ใช้เวลาสงบสติอารมณ์อยู่นาน ในที่สุดเขาก็เปิดปากพูดว่า “ข้าไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเอง แต่เคยได้ยินข่าวลืออยู่บ้าง ซึ่งคนพวกนั้นถูกขนานนามว่าจักรพรรดิไร้พ่าย”
หลิงฮันรู้สึกตกตะใจ อัจฉริยะระดับสิบดาวมีมากกว่าหนึ่งคน?
เรื่องแบบนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร? ต้องทราบก่อนว่าเพื่อที่จะบรรลุระดับทลายมิติยี่สิบดาว เขาต้องได้รับพลังจากสวรรค์และปฐพีที่มาจากการเปิดสวรรค์ มิฉะนั้นจะบรรลุได้สูงสุดแค่สิบเจ็ดดาว
เฒ่าหม่าสังเกตเห็นความสงสัยของหลิงฮันและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่ามีขุมพลังบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ส่งคนไปโลกใบเล็กและให้พวกเขาเปิดสวรรค์ขึ้นมา?”
ตอนที่ 1092
“โอ้!” หลิงฮันชะงัก เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ!
การเปิดสวรรค์ขึ้นมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะได้รับวาสนาพลังต่อสู้สามดาวซึ่งจะช่วยให้บรรลุขีดจำกัดพลังต่อสู้ของระดับพลังมนุษย์
“ที่ชายชราผู้นี้บอกเจ้าเรื่องนี้ก็เป็นเพราะข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ปรารถนารีบเร่งบ่มเพาะพลัง ถ้าเจ้าต้องการเป็นราชันที่แท้จริงเจ้าต้องขัดเกลาทุกๆขั้นพลังให้ถึงขีดจำกัด ไม่เช่นนั้นถ้าหากใครก็คนที่มีรากฐานระดับพลังมั่นคงกว่าเจ้า เขาก็จะเหนือกว่าเจ้าไปโดยปริยาย”
“หากไม่ใช่รากฐานพลังที่แข็งแกร่งกว่าอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์และทักษะลับ เจ้าไปต่อกรกับทายาทของตัวตนระดับวารีนิรันดร์หรือระดับสร้างสรรพสิ่งได้อย่างไร?”
หลิงฮันพยักหน้า จากความรู้ในตอนนี้ หากต้องการจะเหนือกว่าทายาทของตัวตนระดับสูงสิ่งที่เขาทำได้คือขัดเกลาขั้นพลังของแต่ละระดับให้ถึงจุดสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
“ข้าขอบคุณท่านจริงๆที่ชี้แนะข้า!” หลิงฮันกล่าวจากใจ ไม่เช่นเขาคงทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราทันทีที่เขาบรรลุภูผาวารี่ขั้นสูงสุดเป็นแน่ หากทำเช่นนั้นเขาก็จะเป็นได้แค่อัจฉริยะหกดาว ต่อให้ในอนาคตเขาขัดเกลาพลังต่อสู้เท่าไหร่ เขาก็เป็นได้มากที่สุดอัจฉริยะเก้าดาว ไม่มีทางสัมผัสถึงสิบดาวแน่นอน
“เชิญเจ้าไปได้แล้ว!” เฒ่าหม่าพยักหน้าราวกับว่าเขาได้พูดเรื่องที่ต้องการหมดแล้วและไม่สนใจที่จะพูดคุยต่อ
“เช่นนั้นอีกไม่นานข้าจะมาเยี่ยมเยือนผู้อาวุโสอีกครั้ง” หลิงฮันคารวะและหันหลังกลับ
เฒ่าหม่าได้บอกความลับที่ส่งผลต่อจิตใจของเขามากจนไม่อาจอธิบายได้ ข้อมูลเกี่ยวกับอัจฉริยะหกดาวและสิบดาวเป็นเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่เกินไป
เพียงแต่หากเป็นอัจฉณิยะคนอื่นหลายคน แม้จะรู้เรื่องนี้หรือไม่ก็ไม่ต่างกัน เพราะการจะขัดเกลาระดับพลังแต่ละขั้นให้ถึงจุดสุดยอดได้นั้นยากเย็นแสนเข็น ต่อให้สามารถบ่มเพาะสร้างภูผาวารีห้าสายหรือสุริยันจันทราห้าดวงได้ก็ใช้ว่าจะสามารถกลายเป็นอัจฉริยะสิบดาวได้
อัจฉริยะสิบดาวจำเป็นต้องขัดเกลาขั้นพลังของทุกระดับพลังได้ถึงจุดสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง ถ้าขัดเกลาเพียงแค่เกือมสมบูรณ์แบบก็จะเป็นได้เพียงอัจฉริยะเก้าดาว
หลิงฮันเชื่อว่าจักรพรรดิพิรุณมีศักยภาพพอจะกลายเป็นอัจฉริยะเก้าดาว เฟิงโปหยุนอาจจะแปดดาว ส่วนมู่หลงชิงนั้นอาจจะไม่สามารถบ่มเพาะสร้างภูผาวารีสายที่ห้าหรือสุริยันจันทราดวงที่ห้าได้ เนื่องจากเขาขัดเกลาพลังระดับทลายมิติเพียงสิบเจ็ดดาวเท่านั้น ดังนั้นขีดจำกัดความสำเร็จของเขาจึงหยุดอยู่ที่อัจฉริยะสี่ดาว
ความแตกต่างของอัจฉริยะแต่ละคนนั้น ไม่ได้เริ่มวัดจากระดับพลังพระเจ้า แต่เป็นระดับพลังทั้งหมดตั้งแต่แรก
หลังจากรอมาสามวัน หลิงฮันกับสุ่ยเยี่ยนยวี่ก็ได้ขึ้นเรือและออกเดินทาง
เรือเหาะดวงดาวไม่ได้แค่มีขนาดใหญ่ธรรมดา แต่มีขนาดใหญ่มาก!
อุปกรณ์เหาะเหินฟ้านั้นสามารถสร้างให้มีขนาดเล็กเช่นอุปกรณ์บินแหวกเมฆา ภาหนะประเภทนี้สามารถบรรจุคนได้เพียงสองคน แต่เรือเหาะดวงดาวนั้นมีขนาดใหญ่อย่างน้อยก็เกือบจะเท่าเมืองครึ่งเมือง หากไม่สร้างให้มีขนาดใหญ่เช่นนี้ก็จะสลักรูปแบบอาคมขนาดใหญ่ลงไปไม่ได้ หากไม่ใช่รูปแบบอาคมขนาดใหญ่มหึมาแล้วจะสามารถป้องกันภัยพิบัติของอวกาศอย่างอุกกาบาตได้อย่างไร?
เมื่อรูปแบบอาคมถูกกระตุ้นใช้งาน ต่อให้เป็นการโจมตีของตัวตนระดับดาราก็สามารถต้านเอาไว้ได้หลายชั่วครู่เพื่อสร้างเวลาหลบหนี
ต่อให้เรือมีขนาดใหญ่มหึมาก็ยังอัดแน่นไปด้วยผู้คน
ในไม่ช้าเรือเหาะก็ออกตัวบินขึ้นสูงอวกาศ
แน่นอนว่าเรือเหาะแต่ละลำมีคุณภาพที่แตกต่างกัน เรือสำหรับขนส่งนั้นประสิทธิภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อย่างเช่นเรือเหาะดาราก่อนนี้ใช้เวลาเพียงห้าวันในการไปและกลับ แต่เรือเหาะที่หลิงฮันนั่งนั้นแม้จะบินมาแล้วห้าวันก็ยังไม่ถึงสุสานขนาดใหญ่เสียที
ใช้เวลาอีกสองวันพวกเขาถึงจะมาถึงด้านหน้าสุสาน ซึ่งในตอนนี้บริเวณข้างๆเรือเหาะของพวกเขาอัดแน่นไปด้วยเรือเหาะดารา
หลิงฮันกับสุ่ยเยี่ยนยวี่ออกมายืนดูที่ดาดฟ้าเรือ เรือเหาะดาราลำนี้ถูกปกคลุมไปด้วยโล่ที่เกิดจากรูปแบบอาคมทำให้เรือลำนี้อ่อนแอต่อแรงโน้มถ่วงและไม่มีอากาศ
แต่โชคที่หลังจากบรรลุระดับพระเจ้าแล้วการหายใจก็ไม่จำเป็น
ด้านหน้าพวกเขามีดาวดวงครึ่งดวงปรากฏอยู่
ดวงดาวปกตินั้นจะมีรูปทรงเป็นวงกลม แต่สิ่งที่ปรากฏด้านหน้าพวกเขานั้นเป็นเหมือนกับดวงดาวที่ถูกผ่าจนเหลือครึ่งเดียว ซึ่งดูแล้วเหมือนสุสานมาก ต่อหน้าสุสานขนาดใหญ่นี้แล้ว เรือเหาะดาราแต่ละลำนั้นมีขนาดเล็กจนดูราวกับมดอย่างไม่อาจเทียบขนาดความใหญ่ได้เลย
“นั่นไม่ใช่แสงแต่เป็นพลังชีวิต!”
ใครบางคนอุทาน
ผู้คนที่อยู่บนเรือต่างตกตะลึง พลังชีวิตนั้นมีค่ามากขนาดไหนน่ะรึ? คนเราจะมีชีวิตได้นานขนาดไหน ไม่ใช่ว่าสิ่งที่กำหนดคือพลังชีวิตหรอกรึ? พลังชีวิตนั้นเป็นสิ่งเฉพาะของตนเอง ต่อให้คนอื่นมาดูดซับพลังชีวิตไปก็ช่วยแค่เพิ่มพูนพลังบ่มเพาะเท่านั้น ไม่ใช่ช่วยเพิ่มพลังชีวิตของคนที่ดูดซับไปแต่อย่างใด
เมื่อพลังชีวิตหมดสิ้นก็ต้องพบกับความตาย นี่คือสามัญสำนึกทั่วไป
ตอนนี้เมื่อมีสุสานขนาดใหญ่ปลดปล่อยพลังชีวิตที่อันไร้ที่สิ้นสุดปรากฏออกมา จะไม่ให้ผู้คนตกตะลึงอ้าปากค้างได้อย่างไร?
ถ้าได้บ่มเพาะพลังบนสุสานขนขาดใหญ่นี่ล่ะก็ การพัฒนาคงจะราบรื่นมากเป็นแน่
ทั้งที่เป็นสุสาน สิ่งที่มันควรปลดปล่อยออกมาคือกลิ่นอายแห่งความตายแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นพลังชีวิตแทนเสียนี่ ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี
ที่มันถูกเรียกว่าเป็นสุสานก็เพราะมีออท่นหลุมฝังศพตั้งอยู่นั่นเอง
สุสานที่น่าตกตะลึงขนาดนี้ แน่นอนว่าแท่นหลุมฝังศพก็ไม่แพ้กัน
แม้หินที่ทำเป็นแท่นฝังศพจะดูธรรมดา แต่หินแต่ละก้อนมีขนาดใหญ่และสูงยิ่งกว่าภูเขาเสียอีก
ไม่มีใครมองเห็นสัญลักษณ์พิเศษใดๆบนก้อนหิน แต่ว่ามีอักษะสองตัวถูกสลักเอาไว้บนแท่นหิน แต่ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ชัด
สุสานแห่งนี้สมควรเป็นดวงดาวทั่วไป แต่มันถูกสร้างให้กลายเป็นสุสานขนาดใหญ่เพื่อฝังศพใครบางคนแทน
“อะไรกัน ทำไมข้าถึงจำอักษรสองตัวนั้นไม่ได้?” ใครบางคนอุทาน
คนคนนั้นมองเห็นอักษรสองตัวบนแท่นหลุ่มศพ ถึงแม้อักษรจะเรือนราง แต่การที่เขามองไปยังอักษรแล้วนึกไม่ออกว่าอ่านว่าอะไรนั้นช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน
“ข้าก็จำไม่ได้เหมือนกัน!”
“ดูเหมือนจะมีพลังงานลึกลับบางอย่างบังคับให้พวกเราลืมอักษรสองตัวนั้น”
ทุกคนทั้งตกตะลึงและตื่นเต้น แท่นหลุมศพยังน่าอัศจรรย์เช่นนี้แล้วในหลุมฝังศพจะมีสมบัติมากมายขนาดไหน?
แท่นหลุมศพมีขนาดใหญ่น่าอัศจรรย์และปลดปล่อยพลังงานชีวิตอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา หน้าสุสานที่ประตูทางเข้าอยู่แต่มันถูกห่อหุ้มไปด้วยพลังปราณที่แสนปั่นป่วนราวกับเป็นจุดกำเนิดของสวรรค์และปฐพี ไม่มีใครเลยที่สามารถมองทะลุผ่านไปได้
ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมแม้แต่จักรพรรดินีแห่งดาราหรือขนาดนิกายสวรรค์เยือกแข็งยังตื่นตัว ที่แท้สุสานแห่งนี้ก็ลึกลับและน่าตกตะลึงเช่นนี้นี่เอง
ใครบางคนพยายามคุมเรือเหาะไปยังสุสานขนาดใหญ่ แต่นอกจากประตูทางเข้าด้านหน้าแล้ว หากนำเรือเหาะไปแล่นไปยังจุดอื่นเรือเหาะก็จะระเบิดทันที
มีปรมาจารย์ระดับดาราที่โหยหาต้องการสมบัติพยายามเข้าไปยังประตูทางเข้าสุสาน ซึ่งผลลัพธ์ก็คือร่างของเขาถูกระเบิดจนเหลือครึ่งเดียว โชคดีที่ปรมาจารย์คนอื่นไหวตัวทัน พวกเขากลายเป็นไร้คำพูดและคิดว่าคงไม่มีใครสามารถเข้าไปยังสุสานได้
บางทีหากเป็นปรมาจารย์สามวิถีอาจจะสามารถลองดูได้ แต่พวกเขาพำนักอยู่ในนิกายสวรรค์เยือกแข็งโดยที่ไม่เคยก้าวออกมาเลย
พลังปราณที่แสนปั่นป่วนที่ปคลุมประตูทางเข้าอยู่นั่นมีแรงกดดันหนักหน่วงราวกับดวงดาวทั้งดวง ต่อให้เป็นจอมยุทธระดับดาราก็ไม่สามารถต้านทานได้ ทันทีที่เดินเข้าไปด้าวแรกกระดูกก็สั่นสะท้าน หากเดินต่ออีกก้าวร่างก็จะถูกบดขยี้เป็นเศษซากทันที
แล้วแบบนี้จะทำอย่างไรดี?
ทุกคนรู้ดีว่าสุสานขนาดใหญ่แห่งนี้เป็นได้มากว่าจะฝังร่างของตัวตนระดับวารีนิรันดร์หรืออาจจะระดับสร้างสรรพสิ่งเอาไว้ ถ้าหากได้สมบัติของตัวตนระดับนั้นมาล่ะก็… เหอๆๆ!
แต่ถึงแม้ข้างในจะมีสมบัติกองเท่าภูเขาอยู่ก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปข้างในได้
“ปราณแห่งความปั่นป่วนกำลังสลายตัว!” ปรมาจารย์คนหนึ่งกล่าว
เขาคือปรมาจารย์ระดับดาราจากดาวป้าหยาง (ดาวอำนาจเจิดจรัส) ที่มีชีวิตมาแล้วมากกว่าสามสิบล้านปี อายุขัยของเขาใกล้หมดสิ้นแล้ว ถ้าหากเขาหาโอกาสวาสนาให้ตนเองทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ไม่ได้ ชีวิตของเขาก็อยู่ไม่ห่างจากความตาย
ในขณะที่เขากล่าวออกมา ปราณปั่นป่วนก็กำลังค่อยๆสลายตัว ในไม่ช้าทางเข้าสุสานจะเปิดออก
ตอนที่ 1093
ในท้องฟ้าเป็นไปไม่ได้เลยที่จอมยุทธจะสามารถฝึกฝนบ่มเพาะพลังได้ เพราะบนท้องฟ้าไม่มีพลังปราณแห่งสวรรค์และปฐพี หากจะฝึกฝนบ่มเพาะพลังทำได้แค่พึ่งพาผลึกก่อเกิดเพื่อดึงพลังปราณกับเม็ดยาที่มีพลังปราณอัดแน่น
แต่หลิงฮันเป็นข้อยกเว้น
ที่นี่มีผู้คนมากเกินไป ถ้ามีใครสักคนหายตัวไปคงไม่มีใครสังเกตเห็น ดังนั้นหลิงฮันเลยสามารถเข้าออกหอคอยทมิฬและฝึกฝนใต้ต้นสังสารวัฎได้ตลอดเวลา แล้วนี่คือสิ่งที่พวกจักรพรรดิพิรุณกำลังทำอยู่
พวกเขาดึงพลังจากผลึกก่อเกิดและกินเม็ดยาเพื่อเร่งการฝึกฝน เพราะการมีอยู่ของต้นสังสารวัฎทำให้พวกเขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาที่ก้าวหน้าเร็วเกินไปจากการใช้เม็ดยา
ในขณะที่หลิงฮันใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการปรุงยา เพราะเขาต้องหาเงินเพื่อนำมาซื้อแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์เพื่อยกระดับดาบอสูรนิรันดร์
หาไร้ซึ่งเงินทองดูเหมือนจะเป็นปัญหาสำหรับการยกระดับดาบอสูรนิรันดร์
ถึงแม้เขาจะไม่ใช้เวลาไปกับการฝึกฝนบ่มเพาะพลัง แต่เขาก็เป็นคนที่มีความก้าวหน้ารวดเร็วที่สุด
ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เขาน่าจะทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นกลาง
เวลาค่อยๆผ่านไปอย่างเงียบๆ และความโกลาหลที่ทางเข้าก็เริ่มหายไป และทางเข้าปากเหวก็ปรากฏออกมาให้เห็น
แม้มันจะดูเป็นแค่ช่องแคบจากระยะไกล แต่จริงๆแล้วมันกว้างมากจนน่าทึ่งเหมือนกับเป็นมหาสมุทร ซึ่งเรือเหินดาราสามารถเข้าไปได้อย่างง่ายดาย แต่มันก็เล็กกว่าสุสานแห่งนี้มาก
พวกเขาทำการทดลองหลายอย่างและพยายามใช้เรือไร้คนขับผ่านเข้าไปก่อน หลังจากทดลองอยู่หลายครั้งพวกเขาก็มั่นใจว่าสามารถผ่านเข้าไปได้อย่างปลอดภัย
ทันใดนั้นเอง ก็มีเรือเหินดาราลำหนึ่งมุ่งหน้าไปยังทางเข้า
เมื่อมีเรือเหินดาราลำแรกนำล่องเข้าไปแล้ว เรือเหินดาราที่เหลือก็แห่เข้าไปเหมือนกับมดไต่แก้วชา
ทุกคนเต็มไปด้วยความหวัง
ดาวที่เป็นสุสานเท่ากับว่ามีศพของจอมยุทธนับไม่ถ้วนถูกฝั่งอยู่?
แต่หลิงฮันคิดต่างจากคนอื่น แล้วจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งล่ะ? มิใช่ว่ามีชีวิตนิรันดร์หรอกหรือ? แล้วตัวตนเหล่านั้นจะตายและกลายเป็นส่วนหนึ่งของพื้นปฐพีได้อย่างไร?
ระหว่างที่คิด เรือเหินดาราก็เข้าสู่ทางเข้าแล้ว ด้านในมืดมิดมาก มีเพียงแค่แสงสว่างที่สร้างขึ้นมาจากเรือเหินดาราเท่านั้นที่ส่องแสงอยู่บริเวณใกล้เคียง ทันใดนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่อ่อนนุ่ม นั่นคือมือของสุ่ยเยี่ยนยวี่
หลิงฮันจับมือของนางเอาไว้และพูดว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าอยู่ที่นี่แล้ว!”
สุ่ยเยี่ยนยวี่พยักหน้า นางปลีกตัวออกมาจากการฝึกฝน ต่อหน้ามหาสุสานที่ใหญ่ขนาดนี้ ทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองมีขนาดเล็กมาก
เรีอเหินดารายังคงเดินทางต่อไป หลังจากผ่านไปครึ่งวันก็มีทวีปหนึ่งปรากฏอยู่ด้านหน้า
มีทวีปหนึ่งอยู่ในมหาสุสาน นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก แต่ในเมื่อมันเป็นสุสานของจอมยุทธ แล้วเรื่องนี้จะแปลกอะไร?
เรือเหินดาราเริ่มลงจอดอย่างเป็นระเบียบ และสามารถมองเห็นได้ว่ามีหลายคนที่ต้องการขึ้นฝั่งและสำรวจทวีปนี้ หลังจากมาถึงก็มีแสงสว่างอ่อนๆอยู่รอบๆ เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“มันมีอากาศ!” หลิงฮันสูดลมหายใจ แม้เขาจะไม่ต้องหายใจได้ก็ตาม แต่มันจะทำให้คนรู้สึกสะดวกสบายมากขึ้น
“ระวังตัวด้วย!” สุ่ยเยี่ยนยวี่กล่าวเตือนหลิงฮัน เพราะพวกเขาเพิ่งเดินทางมากับเรือเหินดาราที่บนธงปักคำว่า จ้าว เอาไว้
แน่นอนว่ามันเป็นเรือเหินดาราของแม่ทัพจ้าวจะต้องมีจ้าวหลุนเดินทางมาด้วยพร้อมกับชายร่างสูงที่มีหน้ามีหน้าน่าเคารพนับถือ
หืม ไม่ใช่ว่าแม่ทัพจ้าวบาดเจ็บสาหัสหรอกรึ ทำไมเขาถึงหายเร็วขนาดนี้?
ดูเหมือนว่าความน่าดึงดูดของมหาสุสานจะมากเกินไป แม้แต่แม่ทัพจ้าวที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บสาหัสก็อดใจไม่ไหวที่จะมาสำรวจที่นี่
หลิงฮันพยักหน้า เพราะจ้าวหลุนสามารถทำอะไรก็ได้ที่นี่ ถ้าทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน เขาไม่เชื่อว่าแม่ทัพจ้าวจะทำตัวสุภาพกับเขา นั่นเป็นเพราะเขามีความขัดแย้งกับจ้าวหลุนและทำให้อีกฝ่ายขายหน้าหลายครั้ง มิหน่ำซ้ำจ้าวหลุนเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของข้า ถ้าเขาไม่โกรธแค้นอะไร คงเป็นเรื่องที่แปลกน่าดู
เรือเหินดาราหยุดและทุกคนก็เริ่มทยอยกันลงไป พวกเขาอดใจกันไม่ไหวแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อทุกคนลงจากเรือไปแล้ว เรือเหินดาราก็มุ่งหน้ากับไปที่ดาวเหอหนิงทันที – โดยพวกเขาพูดติดตลกว่าบนดาวเหอหนิงมีผู้คนมากมายที่รอคิวเดินทางมาที่นี่ ดังนั้นพวกเขาจึงรีบเดินทางกลับเพื่อให้ได้รับเงินจำนวนมาก
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ได้ขายตั๋วแบบไปกลับ แต่ขายแบบตั๋วเที่ยวเดียว ถ้าต้องการเดินทางกลับเหอหนิงจะต้องจ่ายอีกรอบ
ถึงแม้หลิงฮันจะพูดถกเถียงกับคนพวกนั้น แต่ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี เพราะพวกเขาเป็นญาติกันทั้งหมด
“พลังปราณของที่นี่เบาบางมาก มันไม่เหมาะให้จอมยุทธฝึกฝนบ่มเพาะพลังเลยแม้แต่น้อย” หลิงฮันคิดว่าที่นี่มันแปลก
“พวกเราจะมุ่งหน้าไปที่ไหนกันดี?” สุ่ยเยี่ยนยวี่ถาม
“ก่อนอื่นพวกเราต้องไปหาที่ลับตาคนก่อน ข้าต้องพาพี่ชายทั้งสามคนออกมา” หลิงฮันยังไม่รู้ว่าจะมุ่งหน้าไปที่ไหน ถึงแม้จะมีผู้คนจำนวนมากเข้ามาที่นี่ แต่ทวีปแห่งนี้ก็ยังคงมีขนาดใหญ่เกินไปอยู่ดี
ทั้งสองคนเดินหาที่ลับตาคน และหลิงฮันพยายามหาโอกาสที่จะพาเฟิงโป๋วหยุนกับคนอื่นๆออกมา แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเพราะมีคนเดินทาง
“หากพวกเจ้ามีธุระอะไรก็ปรากฏตัวออกมาซะ เลิกเดินตามข้าได้แล้ว!” หลิงฮันตะโกนอย่างไม่พอใจ
ด้านหลังพวกเขาเป็นชายสี่คนที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากที่ไหนและน่าจะมีอายุประมาณสามสิบปี ทั้งยังเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีทั้งสี่คน อย่างไรก็ตามหลังจากที่ทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้าจะไม่สามารถใช้ความเยาว์วัยตัดสินอายุได้อีกต่อไป
แต่ถ้าตัดสินใจจากพวกเขากลิ่นอายของพวกเราน่าจะอยู่ในช่วงบั้นท้ายของชีวิต พวกเขาน่าจะมีอายุมากกว่าสองแสนปี
“เจ้าเด็กเหลือขอ เจ้าสามารถไปจากที่นี่ได้ ส่วนสาวสวยที่อยู่ข้างเจ้า หึหึ พวกข้าจะดูแลให้เอง!” ชายทั้งสี่คนหัวเราะด้วยความขบขัน
หลิงฮันส่ายหัวด้วยความเหนื่อยใจ ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็เจอแต่พวกขยะแบบนี้
“เจ้ายังไม่รีบย้ายก้นไปอีกงั้นรึ!”
“หึ่ม หลังจากที่ต้องทนอยู่ในเรือหลายวัน แล้วตอนนี้ข้าก็ได้เห็นสาวงามผู้นี้ แล้วข้าจะอดใจไหวได้อย่างไร!”
“เจ้ารีบออกไปจากที่นี่ดีกว่า ถ้าไม่อยากเจ็บตัว!”
ในมุมของชายทั้งสี่คน หลิงฮันเป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นต้น ส่วนสาวงามที่อยู่ด้านข้างเป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นกลาง ซึ่งพวกเขาสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย
“หัวหน้า ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กเหลือขอนี่จะปฏิเสธความหวังดีของพวกเรา”
“ถ้างั้นฆ่ามันเลย ส่วนผู้หญิงห้ามฆ่าเด็ดขาด นางคนนี้ช่างงดงามซะเหลือเกิน!”
ชายทั้งสี่คนเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีหลิงฮันพร้อมกัน กฎของการต่อสู้อะไรพวกนั้น พวกเขาไม่สน และต้องการอีกฝ่ายให้เร็วที่สุด
หลิงฮันถอนหายใจและเรียกดาบอสูรนิรันดร์ออกมา แล้วโจมตีใส่ชายทั้งสี่คน
“หืม!”
“อะไรกัน!”
“นี่มัน!”
ชายทั้งสี่คนส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจ พวกเขาไม่คิดว่าหลิงฮันจะแข็งแกร่งขนาดนี้ และรู้สึกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
อย่างไรก็ตาม เรื่องพวกนั้นก็เรื่องหนึ่ง นั่นเป็นเพราะพวกเขามีกันตั้งสี่คน
“หึ่ม ทั้งที่พวกเจ้าแข็งแกร่งกว่า แต่ยังใช้จำนวนเข้าสู่ นี่พวกเจ้าไม่มีความไร้ยางอายเลยงั้นรึ?” เสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจดังขึ้น และมีชายหนุ่มผมเขียวปรากฏตัว พร้อมกับรุ่นเยาว์ที่มีมากกว่าสิบคนอยู่ด้านหลัง ซึ่งคนเหล่านั้นดูเหมือนจะเคารพนับถือชายหนุ่มผมเขียวเป็นอย่างมาก
ตอนที่ 1094
ตอนที่ 1094 นายน้อยอู๋เฉียน
“อะไร พวกเจ้าคิดจะเข้ามายุ่งธุระของท่านปู่ของพวกเจ้าอย่างนั้นรึ!” ชายคนหนึ่งหันหน้ากลับมาและตะโกนใส่ชายหนุ่มผมเขียว
“สามห้าว เจ้ากล้าพูดจาแบบนั้นกับนายน้อยอู๋ซือได้เยี่ยงไร!” ในหมู่ชายหนุ่มพวกนั้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งกระโจนออกมาและพูดว่า “ข้าจะฆ่าเจ้า!”
เขาโจมตีด้วยหอก
ชายร่างใหญ่รีบยกดาบขึ้นมาป้องกัน ปัง ปัง ปัง หลังจากรับการโจมตีอยู่สามกระบวนท่า ใบหน้าของเขาก็กลายเป็นซีดขาว
แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงทั้งคู่ แต่พลังต่อสู้ของเขาอ่อนแอกว่าอีกฝ่ายมาก ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกตกใจ และถูกฝ่ายตรงข้ามกระหน่ำโจมตีด้วยหอกด้วยจิตสังหารที่เดือดพล่าน ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความตายที่กำลังคลืบคลานเข้ามา
แข็งแกร่งมาก!
ชายร่างใหญ่เริ่มตื่นตระหนก เขารีบเค้นพลังทั้งหมดออกมาและร่างกายของเขาก็ขยายใหญ่สูงสามฟุต
ปัง เขากระแทกฝ่ามือไปที่หอก แต่เหมือนกับว่าร่างกายของเขาไม่มีโลหิตมาหล่อเลี้ยง ฝ่ามือของเขาไม่มีโลหิตไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย แล้วใช้อีกมือหนึ่งแกว่งดาบไปที่ชายหนุ่มที่ใช้หอก
ชายหนุ่มที่ใช้หอกช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ เขารีบดึงหอกกลับมาอย่างรวดเร็วและใช้ปัดดาบ จากนั้นเขาก็พูดว่า “เจ้าไม่ได้ขยายร่าง แต่แค่ทำให้ร่างกายได้รับการเติมเต็มและดูใหญ่ขึ้นเท่านั้น ดังนั้นร่างกายที่ใหญ่โตจึงไม่ใช่ร่างกายที่แท้จริงของเจ้า หอกของข้าจึงทำอะไรเจ้าไม่ได้”
“ถึงแม้เจ้าจะรู้ความจริง แล้วมันทำไม?” ชายร่างใหญ่หัวเราะ “ตอนนี้ข้ามีร่างกายที่ใหญ่โต เจ้ายังต้องการที่จะโจมตีข้าอีกงั้นรึ? แล้วเจ้ารู้หรือว่าร่างที่แท้จริงของข้าอยู่ตรงไหน?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าร่างที่แท้จริงของเจ้าอยู่ตรงไหน ต่อหน้าหอกวายุหิมะของข้า แค่การโจมตีเดียวชีวิตของเจ้าก็ถึงจุดจบแล้ว!” ชายหนุ่มที่ใช้หอกเริ่มตั้งท่า ทันใดนั้นอักขระศักดิ์สิทธิ์บนหอกก็ส่องแสงและมีกระแสพลังปราณที่หนาวเย็นอันไร้ที่สิ้นสุดไหลออกมา ราวกับว่าเขาต้องการเปลี่ยนโลกให้กลายเป็นดินแดนแห่งน้ำแข็ง
ช่วยไม่ได้ที่ชายหนุ่มร่างใหญ่จะตัวสั่นและกัดฟัน ดวงตาของเขาเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจและพูดว่า “สี่…หรือว่ามันจะเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่!”
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มผู้ใช้หอกจะเคารพเชื่อฟังคำสั่งชายหนุ่มผมเขียว แต่เขาเป็นแค่ “ผู้ติดตาม” แต่กลับมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ นี่เป็นเรื่องบ้าอะไรกัน? ถ้างั้นชายหนุ่มผมเขียว…จะมีภูมิหลังที่น่าตกตะลึงแค่ไหน
“พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว!” ชายร่างใหญ่อีกคนกล่าว “หากทั้งสองคนเป็นสหายของเจ้า โปรดยกโทษให้พวกเราด้วยเถิด!”
ชายหนุ่มที่ใช้หอกหันหน้าไปมองชายหนุ่มผมเขียว อีกฝ่ายเพียงแค่แสดงรอยยิ้มที่หนาวเย็นออกมาและพูดว่า “กล้าที่จะทำเรื่องชั่วร้ายกับหยกที่งดงาม แต่ยังต้องการให้ข้าไว้ชีวิตอีกงั้นรึ?” นี่ทำให้ชายหนุ่มที่ใช้หอกเข้าใจทันทีและจะโจมตีชายร่างใหญ่ทั้งสี่คนพร้อมกัน
ตอนนี้เขาแข็งแกร่งมาก หอกของเขาทำให้บริเวณรอบข้างกลายเป็นดินแดนน้ำแข็ง พลังของหอกวายุหิมะของเขาเทียบได้กับระดับภูผาวารีขั้นสูง บวกกับพลังต่อสู้ของเขาเอง จึงเทียบได้กับจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงสองคน
แม้อีกฝ่ายจะมีสี่คน แต่เขาก็ยังคงเป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบ จากมุมมองของเขา เขาสามารถสังหารชายร่างใหญ่ทั้งสี่คนได้ภายในไม่กี่กระบวนท่า
หลิงฮันอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า จอมยุท แต่อาวุธนั้นแตกต่างกัน เพราะมันสามารถส่งต่อให้คนอื่นได้หลังจากที่ยกระดับมันจนแข็งแกร่ง
นี่ทำให้หลิงฮันคาดหวังมากขึ้นว่าดาบอสูรนิรันดร์จะแข็งแกร่งแค่ไหนเมื่อเขายกระดับพลังของมันจนถึงขีดจำกัด
“อะไรกัน!”
หลังจากนั้นไม่นาน ชายร่างใหญ่ทั้งสี่คนก็ถูกสังหารจนหมด และชายหนุ่มที่ใช้หอกก็ลดอาวุธลงและเดินกลับไปหาชายหนุ่มผมเขียวด้วยความเคารพ นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก ต้องทราบก่อนว่าชายหนุ่มที่ใช้หอกมีพลังต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาเหมือนเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง แต่เขากลับเป็นได้แค่ผู้ติดตาม
ชายหนุ่มผมเขียวเดินเข้ามาใกล้หลิงฮันและยิ้มให้กับสุ่ยเยี่ยนยวี่พร้อมกับพูดว่า “ความงามของเจ้า ทำให้ข้าตกตกลึงยิ่งนัก”
หลิงฮันส่ายหัวอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าเขาจะมีศัตรูเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
ภรรยาของเขาเป็นเหมือนตัวหายนะ ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็จะมีคนเข้ามาทัก ซึ่งคนเหล่านั้นไม่ได้มีสถานะที่ต่ำต้อยอะไรเลย ในอดีตเป็นจ้าวหลุน และตอนนี้เป็นชายหนุ่มผมเขียวที่ดูเหมือนว่าจะมีภูมิหลังไม่ได้ด้อยไปกว่าจ้าวหลุน
“ถ้าเจ้ามาเพื่อพูดกับภรรยาข้า โปรดอย่าได้เข้ามาใกล้!” หลิงฮันอ้าแขนกัน
“สามห้าว!” ชายหนุ่มที่ใช้หอกกระโจนออกมาทันที และชี้หอกยาวไปที่หลิงฮัน
“ต้าต่าน อย่าเพิ่งรีบร้อน!” ชายหนุ่มผมเขียวพูดด้วยรอยยิ้มและยื่นมือกดปลายหอกลง “ข้าเซี่ยอู๋เฉียน จากดาวต้าจาง จักรวรรดิราชวงศ์ป้าเซี่ย”
ชายหนุ่มที่ใช้หอกมีชื่อว่าต้าต่าน เขารีบลดหอกลงทันทีและพูดด้วยความเคารพ “ขออภัยนายน้อย โปรดยกโทษที่ข้าทำตัวไร้ซึ่งมารยาทด้วย!”
เซี่ยอู๋เฉียนโบกมือและพูดกับหลิงฮันว่า “ข้าควรเรียกพวกเจ้าสองคนว่าอะไรดี?”
“ข้าหลิงฮัน ส่วนสุ่ยเยี่ยนยวี่เป็นภรรยาของข้า” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม
ใบหน้าของเซี่ยอู๋เฉียนกลายเป็นมัวหมองทันทีเมื่อได้ยิน เขาไม่เคยเห็นหญิงสาวคนใดที่งดงามและมีเสน่ห์เท่าสุ่ยเยี่ยนยวี่มาก่อน
ด้วยความงดงามของนาง ทำให้เขาตกหลุมรักและคิดอยากจะครอบครอง แต่นางมีเจ้าของแล้ว?
เขาจ้องมองหลิงฮันไม่หยุด และอดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทางเยาะเย้ย ชายหนุ่มคนนี้น่าหรือที่ได้ครอบครองหยกเม็ดงามเช่นนาง? เขาแสยะยิ้ม คนที่มีตาทุกคนสามารถแยกแยะได้ว่าเขากับหลิงฮันใครมีดีมากกว่ากัน
โดยธรรมชาติแล้ว เขามั่นใจมากว่าตัวเองมีดีกว่าหลิงฮัน
– เขาเป็นบุตรชายคนที่หกสิบเจ็ดของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิราชวงศ์ป้าเซี่ย ถึงแม้เขาจะมีอายุน้อยที่สุด แต่เขาก็เป็นลูกหลานที่โดดเด่นที่สุด เขามีอายุแค่ห้าร้อยเจ็ดปีเท่านั้น แต่ก็มาถึงระดับภูผาวารีขั้นสูงแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เขาคยถูกส่งไปยังโลกใบเล็กตอนที่อายุสี่สิบปี และประสบความสำเร็จในการเปิดสวรรค์ ทั้งยังฝึกฝนถึงขั้นสมบูรณ์ทุกระดับพลัง
เขาเต็มไปด้วยความคาดหวังอันแรงกล้าที่จะได้เป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์
“พวกเจ้าสองคนสถานที่แห่งนี้เป็นที่ไม่รู้จัก และอาจมีอันตรายอย่างมากรอคอยอยู่ ทำไมพวกเราไม่ร่วมเดินทางไปด้วยกันล่ะ?” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
สุ่ยเยี่ยนยวี่ส่ายหัวและพูดว่า “ไม่จำเป็น!”
แน่นอนว่านางรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ตอนนี้นางพยายามหลีกเลี่ยงปัญหาให้กับหลิงฮันและไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับเขา
พวกเขาทั้งสองคนเริ่มปลีกตัวออกไปทันที แต่ทันใดนั้นชายหนุ่มที่ใช้หอกก็ก้าวไปข้างหน้าและหยุดพวกเขาเอาไว้
“ต้าต่าน เจ้าคิดจะทำอะไร!” เซี่ยอู๋เฉียนตะโกน
ชายหนุ่มที่ใช้หอกรีบถอยกลับออกมาอย่างรวดเร็ว เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งและพูดว่า “ข้าขออภัยนายน้อยด้วยที่ทำอะไรโดยพละการ!”
“แม่นางสุ่ย แล้วพวกเราจะพบเจอกันอีก!” เซี่ยอู๋เฉียนยิ้มด้วยความมั่นใจ
สุ่ยเยี่ยนยวี่ไม่พูดตอบโต้อะไร และเดินจากไปพร้อมกับหลิงฮัน
“นายน้อย!” ชายหนุ่มที่ใช้หอกดูสับสนเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านายน้อยตกหลุมรักหญิงสาวคนนั้น แต่ทำไมเขาถึงปล่อยนางไป? ด้วยตัวตน สถานะและพรสวรรค์ของนายน้อยจะไม่มีหญิงสาวคนใดตกหลุมรักเขาได้อย่างไร?
“เจ้าไม่จำเป็ต้องเข้าใจ!” เซี่ยอู๋เฉียนแสดงรอยยิ้มที่มีเล่ห์นัย
ผู้หญิงที่ใจง่ายมันจะไปสนุกอะไร? คิดว่าเขาขาดแคลนสาวงามอย่างนั้นหรือ?
แต่หญิงสาวที่งดงามและมีเสน่ห์อย่างสุ่ยเยี่ยนยวี่ก็เหมือนกับไวน์ที่ต้องลิ้มรสอย่างช้าๆ ไม่เพียงแค่เขาจะต้องทำความรู้จักกับอีกฝ่ายเท่านั้น แต่ต้องทำให้เขาอยู่ในใจของอีกฝ่ายด้วย
“แล้วเราจะได้พบกันโดยบังเอิญ!” เขาโบกมือและพูดว่า “ตามพวกเขาไป!”
ตอนที่ 1095
หลิงฮันและสุ่ยเยี่ยนยวี่เดินออกมาไกล หลังจากที่ยืนยันแล้วว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ เขาก็ยกมือขึ้นและพาจักรพรรดิพิรุณกับคนอื่นๆออกมาจากหอคอยทมิฬ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้พาออกมาทุกคน ผู้ติดตามอย่างชางเย่และชูหวู่ที่ยังคงฝึกฝนอยู่ในหอคอยทมิฬ ระดับบ่มเพาะพลังของพวกเขายังต่ำเกินไป ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าที่จะให้พวกเขาอยู่ฝึกฝนต่อ
มีเพียงห้าคนเท่านั้นที่หลิงฮันพาออกมา นั่นคือ เฟิงโป๋วหยุน จักรพรรดิพิรุณ มู่หลงชิง เฮ่อเหลียนเทียนหยุนและติ่งผิง ส่วนจักรพรรดิจอมอสูรนั้นอยู่ในร่างหุ่นเชิดหมาป่า ดังนั้นจึงไม่ถูกนับว่าเป็นคน นอกจากนี้อีกฝ่ายเป็นสิ่งมีชีวิตของดินแดนใต้พิภพอีกด้วย
“ที่นี่คือดาวที่เป็นสุสานอย่างนั้นรึ?” จักรพรรดิพิรุณและคนอื่นดูแปลกใจ สถานที่แห่งนี้ไม่เหมือนกับที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้ และดูเหมือนจะไม่แตกต่างจากดาวเหอหนิงมากเท่าไหร่นัก ที่ต่างกันคือที่นี่มีพลังปราณที่เบาบางมาก
“ใช่แล้ว!” หลิงฮันพยักหน้า “นี่เป็นด้านในของสุสานยักษ์ มันใหญ่มโหฬารมาก”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ในเมื่อตอนนี้พวกเราอยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้นก็แยกย้ายออกไปสำรวจกันเถอะ!” แววตาของจักรพรรดิพิรุณเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น
“ข้าเห็นด้วย!” เฟิงโป๋วหยุนและมู่หลงชิงพยักหน้า
“แต่ข้าว่าพวกเราอยู่ด้วยกันมันน่าจะปลอดภัยกว่า!” หลิงฮันรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ทั้งยังมีจอมยุทธมากมายหลายคนแห่กันมาที่นี่ แม้ว่าจักรพรรดิพิรุณและคนอื่นๆจะทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้าแล้ว และมีพลังต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา แต่ก็ยังมีจอมยุทธหลายคนที่เดินทางมาที่นี่สามารถเอาชนะพวกเขาได้
“น้องสี่ พวกเราจะดูแลกันเอง และการติดตามผู้อื่นไม่ใช่วิถีของพวกเรา!” เฟิงโป๋วหยุนหัวเราะ
หลังจากนั้นไม่นาน หลิงฮันก็พยักหน้าเห็นด้วย
พี่ชายทั้งสามคนของเขาเป็นยอดอัจฉริยะ โดยเฉพาะจักรพรรดิพิรุณที่มีพรสวรรค์ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา แล้วคนอย่างพวกเขาจะอยู่ภายใต้อาณัติของผู้อื่นได้อย่างไร? พวกเขาต่างก็เป็นคนที่มีความภาคภูมิใจเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าย่อมมีวิธีการเป็นของตัวเอง
“ตกลง เช่นนั้นพวกเราจะมาเจอกันอีกครั้งที่ทางออก” หลิงฮันกล่าว
“น้องสี่ระวังตัวด้วย!” เฟิงโป๋วหยุนกล่าว จากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็แยกจากไปด้วยความรวดเร็ว
“หืม พวกเขาไปกันแล้ว?” เฮ่อเหลียนเทียนหยุนดูมึนงง “ในเมื่อพวกเขาแยกตัวออกไป เช่นนั้นข้าคงต้องปลีกตัวออกไปด้วย เจ้าหนูหลิง แล้วพบกันใหม่ภายหลัง”
เขามุ่งหน้าไปในทิศทางที่แตกต่างจากคนอื่นและหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
“อาจารย์-” ติงผิงเองก็อยากออกไปยืนหยัดด้วยตัวเอง
หลิงฮันช่วยไม่ได้ที่จะมองตาขาวใส่ แล้วพูดว่า “อะไร อย่าแรกเจ้าจะต้องทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้าเสียก่อน แล้วข้าถึงจะอนุญาตให้เจ้าออกไปยืนหยัดด้วยตัวเอง”
“ขอรับ!” ติงผิงพยักหน้า
จากนั้นพวกเขาทั้งสามคนตัดสินใจเลือกทิศทางที่จะเดินหน้าต่อ แต่ที่แห่งนี้เป็นที่ราบ มันไม่มีจุดสังเกตที่เห็นได้ชัดอยู่รอบตัวพวกเขาเพื่อนำทาง
ที่นี่แห้งแล้งมาก บนที่ราบไม่มีสิ่งมีชีวิตปรากฏตัวออกมาให้เห็นแม้แต่ตัวเดียว อย่าว่าแต่ต้นไม้เลย แม้แต่หญ้าก็ยังไม่ขึ้น
มันแปลกประหลาดมาก ถึงแม้จะมีพลังปราณเบาบาง แต่มีพลังชีวิตที่หนาแน่น ทั้งที่พืชควรเจริญเติบโตและสัตว์ควรแข็งแกร่ง แต่กระทั่งหญ้าก็ยังไม่เห็น มันกลายเป็นดินแดนที่แห้งแล้งแบบนี้ได้อย่างไร?
พวกเขาเดินทางต่อไป หนึ่งวันต่อมา
“หืม!”
หลิงฮันที่เดินนำหน้ารู้สึกตกตะลึง เขาเห็นกลุ่มคนจำนวนมากอยู่ด้านหน้าที่ยืนเป็นแถวเหมือนกับกองทัพ จากการคาดคะเนของเขาน่าจะมีประมาณหลายหมื่นคน
“อาจารย์ เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?” ติงผิงรีบถาม
หลิงฮันเริ่มใช้เนตรแห่งสัจธรรม หลังจากนั้นไม่นานก็เผยให้เห็นสีหน้าของความประหลาดใจบนใบหน้าของเขา เพราะกลุ่มคนที่เขาเห็นไม่ใช่คน แต่เป็นรูปปั้นหิน เขารีบพูดว่า “รีบไปเร็วเข้า!”
“ขอรับ!” ติงพิงรีบพยักหน้า แต่เขาเป็นแค่จอมยุทธระดับทลายมิติ เขาจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่าหลิงฮันและสุ่ยเยี่ยนยวี่ได้อย่างไร? ทันใดนั้นเองเขาก็ถูกหลิงฮันเตะที่ก้น ตุบ และกระเด็นไปอยู่ที่ด้านหน้ารูปปั้นหินพวกนั้น
“อาจารย์-!” ติงผิงกรีดร้อง
สุ่ยเยี่ยนยวี่อดที่จะหันไปมองหลิงฮันไม่ได้ อีกฝ่ายเป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์ เขาสมควรได้รับการยกย่อง แต่หลิงฮันมักจะปฏิบัติเช่นนี้กับเขา อย่างไรก็ตามถ้านางไม่รีบฝึกฝนให้หนัก อาจถูกติงผิงแซงหน้าก็เป็นได้
หลิงฮันหัวเราะและคว้าร่างของสุ่ยเยี่ยนวี่ ขณะเคลื่อนที่ไปที่รูปปั้นหิน เขาพูดว่า “ในฐานะที่ข้าเป็นอาจารย์ ข้าแค่ทดสอบปฏิกิริยาตอบโต้ของติงผิงเท่านั้น และผลลัพธ์ทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังยิ่งนัก!”
ปัง!
ติงผิงกระแทกกับพื้น โดยที่หัวลงพื้นก่อน ทำให้หัวของเขาปักอยู่ในดิน เมื่อเขาดึงหัวออกมาก็พบว่าตัวเองตกลงอยู่ด้านหน้ากองทัพรูปปั้นหิน นี่ทำให้เขารู้สึกตกใจมากและรีบล่าถอยไปด้านหลังทันทีด้วยความหวาดกลัว
ในเวลานั้น หลิงฮันและสุ่ยเยี่ยนยวี่ก็มาถึง พร้อมกับจักรพรรดิจอมอสูรที่อยู่ด้านหลัง
หลิงฮันมองไปที่รูปปั้นหินด้วยความตกตะลึงและพูดว่า “กองทัพรูปปั้นหินพวกนี้อย่างน้อยน่าจะมีไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านตัว!”
“รูปปั้นหินพวกนี้เป็นศพหรือไม่?” สุ่ยเยี่ยนยวี่ถามด้วยความสงสัย แม้จะมีรูปปั้นหินนับล้านตัว
“มันน่าจะเป็นเช่นนั้น พวกเขาได้ตายไปแล้ว” หลิงฮันส่ายหัว “อนิจจา ถึงจะแข็งแกร่งแค่ไหนและมีอายุขัยมากเพียงใด แต่ก็ไม่มีใครหลีกเลี่ยงความตายได้”
ถึงแม้จอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งจะมีอายุขัยที่น่าทึ่ง แต่ก็มีอายุขัยไม่เกินสี่พันล้านปี แม้จะฟังดูมากจนน่ากลัว แต่ก็ไม่ได้เป็นอมตะ และมีวันที่จะต้องดับสูญ
“หืม ตรงนั้นมีแผ่นศิลา” พวกเขาเดินไปทางซ้ายและเห็นแผ่นศิลาสูงสามฟุตตั้งอยู่ด้านหน้ารูปปั้นหินพร้อมกับตัวอักษรที่อ่านได้อย่างชัดเจน
“ผู้ที่มีความมั่นใจและไร้เทียมทานจะสามารถผ่านไปได้!” หลิงฮันอ่าน
“พวกเราจะเดินอ้อมหรือเดินผ่านไปเลย?” สุ่ยเยี่ยนยวี่ถาม
หลิงฮันดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขายิ้มกริ่มและพูดว่า “เดินผ่านไปเลย!”
ระหว่างที่เดินผ่านรูปปั้นหินพวกนั้นขยับแขนขาและโจมตีคนที่เดินผ่าน
“หุ่นเชิด!” หลิงฮันและสุ่ยเยี่ยนยวี่ประหลาดใจแค่เล็กน้อย แต่ตอนนี้พวกเขาคุ้นชิดกับการต่อสู้กับหุ่นเชิดแล้ว
อย่างไรก็ตามที่เกาะแก่นโลกาหุ่นเชิดส่วนใหญ่เป็นแค่ระดับภูผาวารีขั้นต้น แต่หุ่นเชิดพวกนี้เป็นระดับภูผาวารีขั้นสูง พลังต่อสู้ของพวกมันค่อนข้างน่าทึ่งทีเดียว
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงฮันมันก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่ และเขาบดขยี้พวกมันจนแหลกไปทีละตัวทีละตัว
เมื่อทั้งสามคนกับหมาป่าหนึ่งตัวผ่านต่อสู้กับหุ่นเชิดไปได้สักพัก ในตอนนั้นเองพวกเขาก็เห็นใบหน้าของสุ่ยเยี่ยนยวี่กระตุก หลิงฮันจึงหันหลังกลับไปมองและก็เห็นเซี่ยอู๋เฉียนพร้อมกับกลุ่มของเขากำลังมุ่งหน้ามาหาอย่างช้าๆ
“โอ้ว พวกเราถูกลิขิตให้เจอกันอีกแล้ว!” เซี่ยอู๋เฉียนพูดด้วยรอยยิ้ม แต่เขาก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาเจอแค่หลิงฮันกับสุ่ยเยี่ยนยวี่ แต่ทำไมตอนนี้ถึงมีจอมยุทธระดับทลายมิติและหุ่นเชิดหมาป่าอยู่ด้วย?
ตอนที่ 1096
สุ่ยเยี่ยนยวี่หน้าบึ้ง นางเบื่อพวกตามตื้อที่สุด แต่ตอนนี้นางอยู่กับหลิงฮัน จึงไม่ต้องพูดอะไรมากนัก และปล่อยให้หลิงฮันเป็นคนจัดการทุกอย่าง
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “หากไม่เป็นการรบกวน พวกเจ้าช่วยเดินนำไปได้หรือไม่?”
เขาแสดงท่าทางขอความช่วยเหลือ ก่อนหน้านี้เขาปะมือกับรูปปั้นหินมาแล้ว ความแข็งแกร่งของพวกมันทุกตัวอยู่ที่ระดับภูผาวารี แม้พวกเขาจะอยู่แค่ทางเข้า แต่ก็ไม่สามารถจัดการกับพวกมันได้ทั้งหมด
อาจกล่าวได้ว่านอกจากจอมยุทธระดับสุริยันจันทราแล้ว จอมยุทธระดับภูผาวารีคนใดจะกล้าเข้าบุกเข้ามาในค่ายอาคมรูปปั้นหิน? จำนวนของมันไม่ได้มีเพียงแค่หลักหมื่นหลักแสน แต่อย่างน้อยมีนับล้านตัว แล้วใครจะจัดการกับจำนวนที่มากขนาดนี้ได้ไหว?
“ระวังคำพูดของเจ้าด้วย!” ชายหนุ่มที่ใช้หอกรีบก้าวออกมาข้างหน้าและพูดเสียงต่ำ คงไม่มีใครโง่เข้าไปผลีผลาม แค่มองฉากที่อยู่ตรงหน้าก็รู้แล้วว่ารูปปั้นหินพวกนี้ไม่ใช่รูปปั้นหินธรรมดา
เซี่ยอู๋เฉียนแสดงสีหน้ามั่นใจ เขาเป็นองค์ชายแห่งจักรวรรดิราชวงศ์ป้าเซี่ยและเป็นอัจฉริยะแห่งยุค
ในระดับภูผาวารีอาจพูดได้ว่าเขานั้นไร้พ่าย ตราบใดที่ความแข็งแกร่งของรูปปั้นหินพวกนั้นไม่ถึงระดับสุริยันจันทรา เขาก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว และหลังจากการสังเกตการณ์ต่อสู้เมื่อครู่ ทำให้เขารูปว่าความแข็งแกร่งของรูปปั้นหินพวกนี้ยังห่างจากระดับสุริยันจันทรามาก
ผู้ที่มีความมั่นใจและไร้เทียมทานจะสามารถผ่านไปได้?
เขาไม่ได้มีเพียงแค่ความมั่นใจเท่านั้น แต่ยังไร้เทียนทานอีกด้วย!
“แม่นางสุ่ยต้องการให้ข้าพาผ่านค่ายอาคมนี้ไปหรือไม่?” เขาพูดกับสุ่ยเยี่ยนยวี่พร้อมกับยิ้มอยู่ที่มุมปาก นี่แสดงให้เห็นถึงเป้าหมายที่แท้จริงของเขาได้อย่างชัดเจน
“ฮ่าฮ่าฮ่า พวกข้าไม่ต้องการรบกวนเจ้าในฐานะคนนอก!” หลิงฮันส่ายหัว “ยิ่งไปกว่านั้น ใช่ว่าเจ้าจะผ่านค่ายอาคมนี้ไปได้ ดังนั้นอย่าได้พูดจามั่นใจขนาดนั้น!”
เซี่ยอู๋เฉียนแสดงร่อยรอยของความโกรธ แน่นอนว่าเขาไม่เห็นหลิงฮันอยู่ในสายตา แต่มดปลวกแบบเขากล้าพูดจายั่วยุเขาอยู่หลายครั้ง นี่แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายเบื่อชีวิตแล้ว! แต่ต่อหน้าสุ่ยเยี่ยนยวี่ เขายังคงต้องรักษาภาพลักษณ์ที่ดีเอาไว้
ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “ข้าพูดกับแม่นางสุ่ยไม่ได้พูดกับเจ้า!”
เขามองไปที่แผ่นศิลาและอ่าน “ผู้ที่มีความมั่นใจและไร้เทียมทานจะสามารถผ่านไปได้! หึ่ม ตราบใดที่อยู่ในระดับเดียวกับข้า ข้าก็จะไร้เทียนทานที่สุด!” เขาก้าวเข้าไปในรูปปั้นหิน
หลังจากเดินเข้าไปได้ไม่กี่ก้าว รูปปั้นหินที่อยู่ใกล้เคียงก็มีชีวิตขึ้นมาอย่างกะทันหันและโจมตีเซี่ยอู๋เฉียน
“แม้จะเป็นรูปปั้นหินแต่ก็ไม่อาจทำตัวหยิ่งยโสต่อหน้าข้าได้!” เซี่ยอู๋เฉียนจ้องมองพวกมัน แต่ยังไม่เริ่มลงมือ ทันใดนั้นเองก็มีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาจากร่างกายของเขา ตู้ม รูปปั้นหินที่อยู่บริเวณใกล้เคียงพังทลายในพริบตา
แข็งแกร่ง แข็งแกร่งมาก!
หลิงฮันแอบพยักหน้าอยู่ในใจ ถึงแม้เขาจะสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามที่เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นสูงสุดได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเขาที่จะทำลายรูปปั้นหินพวกนั้นเพียงแค่ปลดปล่อยกลิ่นอาย
“สมแล้วที่เป็นนายน้อย!” ชายหนุ่มที่ใช้หอกและคนอื่นที่เป็นผู้ติดตามของเซี่ยอู๋เฉียนต่างตะโกนชื่นชมด้วยความคลั่งไคล้ แม้พวกเขาทุกคนจะเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูง แต่พลังต่อสู้นั้นแตกต่างกันเกินไป ตัวอย่างเช่น ชายหนุ่มที่ใช้หอกสามารถทำลายรูปปั้นหินได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่ใช่ว่าคนที่เหลือจะแข็งแกร่งเหมือนกับเขา ถ้าพวกเขาถูกรูปปั้นหินหลายสอบตัวรอบล้อม ชีวิตของพวกเขาก็จะตกอยู่ในอันตราย
เซี่ยอู๋เฉียนไม่ได้หันหน้ากลับมาเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่หันกลับมาเพื่อให้สุ่ยเยี่ยนยวี่ประทับใจ
“เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งจริงๆ!” หลิงฮันกล่าว หากเทียบกับชายหนุ่มที่ใช้หอกแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาเหนือกว่าชายหนุ่มที่ใช้หอกมาก แม้เขาจะสามารถทำลายรูปปั้นหินได้ในการโจมตีเดียวก็ตาม แต่หลังจากที่เข้าไปลึกได้ในระดับหนึ่ง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนสี
ในทางตรงกันข้าม เซียวอู๋เฉียนยังไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย แต่ทว่ากลิ่นอายที่เขาได้ปลดปล่อยออกมาใช้กำจัดรูปปั้นหินนั้นเริ่มอ่อนแอลง ในความเป็นจริงมันกินพลังปราณมาก ซึ่งนั่นเป็นราคาที่เขาต้องจ่ายไปแลกกับการเก๊กเท่
แม้เขาจะมีพลังปราณมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีจำกัด และตอนนี้ที่หน้าผากของเขาก็เริ่มมีเหงื่อไหลออกมาให้เห็นเล็กน้อย
แต่พลังปราณที่เขาแลกไปกับการกำจัดรูปปั้นหินนั้น กำจัดพวกมันได้ไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์!
หลังจากนั้น เซี่ยอู๋เฉียนก็เริ่มลงมือต่อสู้ด้วยตัวเอง และปล่อยฝ่ามือออกไปข้างหน้า พลังที่เคลื่อนที่ผ่านสามารถทำลายรูปปั้นหินที่อยู่รอบตัวเขาได้อย่างง่ายดาย
“ท่านอาจารย์ ท่านสามารถเอาชนะเขาได้หรือไม่?” ติงผิงกระซิบถาม
หลิงฮันเผยสีหน้าครุ่นคิดและพูดว่า “ถ้ากำจัดกระบวนท่า เขาจะเป็นฝ่ายชนะ แต่ถ้าไม่จำกัดกระบวนท่า ข้าจะเป็นฝ่ายชนะ”
ถ้าจำกัดกระบวนท่าจะไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้ ถ้าพูดถึงความได้เปรียบ แน่นอนว่าจะต้องเป็นเซี่ยอู๋เฉียน เพราะเขามีพลังต่อสู้ไม่ต่ำกว่าสี่ ทั้งยังมีระดับพลังที่มากกว่าหลิงฮันถึงหกขั้นเล็ก
แต่หลิงฮันมีกายหยาบที่แข็งแกร่งและมีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะสามารถฆ่าเขาตายได้ภายในไม่กี่วินาที หากการต่อสู้ยืดเยื้อ เซี่ยอู๋เฉียนก็จะพลังหมด แล้วแน่นอนว่าชัยชนะจะต้องตกเป็นของหลิงฮัน
แต่ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าหลิงฮันมีกายหยาบที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นสูง คงไม่มีใครต่อสู้ยืดเยื้อกับเขา ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะจบลงด้วยผลเสมอ
โชคดีที่คนอื่นไม่ได้ยิน มิฉะนั้นพวกเขาคงคิดว่าหลิงฮันเป็นคนพูดจาโอ้อวด
หลังจากนั้นก็มีคนจำนวนมากเริ่มแห่กันมาจากด้านหลัง บางคนเข้าไปในค่ายอาคมรูปปั้นหินทันที แต่ก็มีบางคนที่เลือกสังเกตการณ์
ในตอนแรกหลิงฮันไม่ได้สนใจคนพวกนั้น แต่ในไม่ช้าเขาก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ เพราะคนที่มาที่นี่เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีทั้งหมด
จอมยุทธระดับดารานั้นหาตัวได้ยากทุกคนเข้าใจดี แต่การที่ไม่มีจอมยุทธระดับสุริยันจันทรามาที่นี่เลยแม้แต่คนเดียว มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก
หรือว่าทุกคนจะถูกแยกโดยไม่รู้ตัว?
หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่แปลกที่ว่าทำไมที่นี่มีแต่หุ่นเชิดระดับภูผาวารี เพราะที่นี่มีไว้สำหรับจอมยุทธระดับภูผาวารีเท่านั้น มิฉะนั้นถ้าจอมยุทธระดับสุริยันจันทรามาที่นี่ แม้จะมีหุ่นเชิดระดับภูผาวารีหลายแสนหลายล้านตัว มันจะสามารถยับยั้งจอมยุทธระดับสุริยันจันทราได้อย่างไร?
นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก เพราะมันเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว แม้แต่หลิงฮันก็ตาม หากเขาไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติเมื่อครู่ เขาคงไม่มีทางรู้ความจริง
คนส่วนใหญ่เลือกที่จะไปทางลัด แต่ก็ถูกซัดปลิวกลับมา โชคดีที่ไม่ต้องเดินย้อนกลับไป ท้ายที่สุดค่ายอาคมรูปปั้นหินนี้มีความกว้างเพียงแค่สองไมล์และสามารถออกจากทั้งสองฝั่งได้
เรื่องที่แปลกคือ ทั้งสองข้างสามารถออกไปได้ แต่ไม่ได้อยู่ข้างใน นี่ถือเป็นการโกงหรอไม่?
ช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะรู้สึกสนใจมัน
“พวกเจ้าไปรอข้าด้านข้าง!” หลิงฮันพูดกับสุ่ยเยี่ยนยวี่และติงผิง จากนั้นเขาก็พยักหน้าให้กับจักรพรรดิจอมอสูร ซึ่งหมายความว่าให้เขาปกป้องทั้งสองคน
จักรพรรดิจอมอสูรรีบกระดิกหางไปมาเพื่อแสดงให้ว่าเข้าใจแล้ว
“ระวังตัวด้วย!” สุ่ยเยี่ยนยวี่รู้ว่าหลิงฮันมีหอคอยทมิฬ แต่นางก็อดเป็นห่วงไม่ได้ “อย่าทำตัวบ้าบิ่นด้วย!”
“ข้ารู้แล้ว!” หลิงฮันหัวเราะด้วยรอยยิ้ม เขาไม่กลัวเลยแม้แต่ เพราะเขาทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นสูงแล้ว ทั้งยังมีกายหยาบที่เทียบได้กับแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ แม้จะถูกหุ่นเชิดนับพันตัวลุมโจมตี เขาก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บ
นอกจากนี้ เขายังเป็นมือปราบหุ่นเชิด
หลิงฮันเริ่มก้าวเข้าสู่ค่ายอาคมรูปปั้นหินและเริ่มฝ่ามันไป
ตอนที่ 1097
ปัง รูปปั้นหินที่อยู่ใกล้หลิงฮันเริ่มเคลื่อนไหวและโจมตีใส่หลิงฮันทันที
หลิงฮันเองก็กำหมัดแน่นและโจมตีกลับ
ตู้ม!
รูปปั้นหินพังทลายทันที ความแข็งแกร่งของมันค่อนข้างธรรมดา แม้จะเป็นรูปปั้นหินระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นต้น แต่หลิงฮันมีพลังต่อสู้มากกว่าห้าดาว ทำให้หมัดของเขามีพลังทำลายล้างในระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นปลาย จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกมันจะถูกทำลายในหมัดเดียว
อย่างไรก็ตาม รูปปั้นที่เหลือจำนวนมากก็เริ่มเคลื่อนไหวตามๆกัน และโจมตีใส่หลิงฮัน บางตัวกระโดดขึ้นไปบนฟ้าและบางตัวก็พุ่งเข้าหาหลิงฮันโดยตรง รูปแบบการต่อสู้ของพวกมันนั้นไม่อาจคาดเดาได้เลย
แล้วนี่เองเป็นเหตุผลที่หลิงฮันไม่ปล่อยให้สุ่ยเยี่ยนยวี่กับติงผิงเข้ามากับเขา หากพลาดก็อาจถูกรูปปั้นหินฆ่าตายได้
ถ้าอยากจะยอมแพ้ ก็ควรยอมแพ้ตั้งแต่ครึ่งทาง หากเข้าไปลึกไปกว่านั้น ถึงแม้อยากจะล่าถอยก็อาจจะสายไปเสียแล้ว
ในรูปปั้นหินมีโลหิต แขนขา และศพ!
หลิงฮันสังเกตเห็นว่าที่นี่มีอัจฉริยะเยอะมาก และบางคนก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเซี่ยอู๋เฉียน และต่อสู้กับรูปปั้นหินด้วยมือข้างเดียวอย่างผ่อนคลาย
หลิงฮันเชื่อว่าอัจฉริยะที่เข้ามาในสุสานยังมีอีกหลายคน เพราะไม่ใช่อัจฉริยะทุกคนที่จะออกสำรวจคนเดียว แล้วหลังจากที่การสำรวจสุสานครั้งนี้จบลง ก็จะตามมาด้วยเหตุการณ์ครั้งใหญ่อย่างนิกายสวรรค์เยือกแข็งเปิดรับสมัครศิษย์ บางทีหลายคนที่อยู่ที่นี่อาจได้กลายเป็นศิษย์ของนิกายสวรรค์เยือกแข็งและกลายเป็นคู่แข่ง ดังนั้นหลายคนยังไม่แสดงพลังทั้งหมดออกมา
แต่หลิงฮันเป็นเหมือนคนนอกสายตา แม้ว่าเขาจะก้าวไปข้างหน้า แต่มันก็ไม่ง่าย เพราะระดับบ่มเพาะพลังของเขายังต่ำเกินไป
การฝ่าฝันค่ายอาคมรูปปั้นหินได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมาก พวกเขาต้องการรู้ว่าจะมีกี่คนที่สามารถผ่านค่ายอาคมรูปปั้นหินได้สำเร็จ และใครจะเป็นคนแรก
หากมีการแข่งขันกันเกิดขึ้น แน่นอนว่าย่อมทำให้เลือดในร่างกายของเหล่าอัจฉริยะเดือดพล่านมากยิ่งขึ้น
แต่ไม่ใช่อัจฉริยะทุกคนซะทีเดียว แต่ยังรวมถึงผู้อาวุโสที่อยู่ในระดับภูผาวารีด้วยเช่นกัน พวกเขาเองก็ไม่ต้องการน้อยหน้ารุ่นเยาว์ แม้พวกเขาจะยังไม่ทะลวงผ่านระดับสุริยันจทรา แต่พวกเขาก็ขัดเกลาพลังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งและยกระดับพลังต่อสู้ของตัวเองด้วยวิธีการต่างๆ
แน่นอนว่าไม่มีกฎห้ามใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่นี่ หลิงฮันเห็นชายชราคนหนึ่งยื่นกระดองเต่าที่มีอักขระศักดิ์สิทธิ์ออกไปข้างหน้า ในทันใดนั้นเองแสงสว่างก็ก่อตัวเป็นม่านพลังและป้องกันการโจมตีให้กับเขา
เซี่ยอู๋เฉียนยังคงนำเป็นที่หนึ่ง แต่ผู้คนที่ตามมาจากด้านหลังก็เริ่มเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่มีใครที่สามารถแซงเขาไปได้
ผู้นำต้องแบกรับแรงกดดันมากที่สุด ดังนั้นหลายคนจึงเลือกเป็นผู้ตามไปก่อนและไม่รีบร้อนที่จะแซงหน้า
“คนที่นำเป็นอันดับแรกคือเซี่ยอู๋เฉียน”
“เซี่ยอู๋เฉียนคือใคร?”
“องค์ชายแห่งจักรวรรดิราชวงศ์ป้าเซี่ยและยังเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของจักรวรรดิ กล่าวกันว่าจักรพรรดิได้ส่งเขาไปยังโลกใบเล็ก และเขาได้เปิดสวรรค์ขึ้นมาทำให้เขาได้รับพลังจากการเปิดสวรรค์ ในอนาคตเขาไม่เพียงแค่จะกลายเป็นจอมยุทธระดับดาราเท่านั้น แต่บางทีอาจกลายเป็นอัจฉริยะระดับห้าดาวในตำนานด้วย!”
“อัจฉริยะห้าดาว! ข้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงนำคนอื่น เขาจะต้องเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน แล้วใครจะสู้กับเขาได้!”
“แต่อย่าได้ดูถูกคนอื่นเชียว! เจ้าเห็นอันดับสองหรือไม่ นางคือเส้าซือซือจากดาวหนานเฟิงและเป็นองค์หญิงแห่งจักรวรรดิราชวงศ์พันเหมันตร์ นางเองก็เป็นอัจฉริยะที่มาจากการเปิดสวรรค์เช่นเดียวกัน”
“อันดับที่สามคือซู่จิง ความแข็งแกร่งของเขานั้นไม่อาจหยั่งถึง”
“และอันดับสี่คือตูอัน และเขาเองก็ไม่ธรรมดา!”
ในบรรดาเหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ พวกเขาทั้งสี่คนคือคนที่โดดเด่นที่สุด ความแข็งแกร่งของพวกเขาเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันมาก ยิ่งไปกว่านั้นบางคนยังผ่านการเปิดสวรรค์มาแล้วด้วย ต้นทุนของพวกเขานั้นสูงกว่าคนอื่น แม้ว่าจะไม่สามารถสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้ แค่พลังต่อสู้เพียงอย่างเดียวก็อาจมากถึงหกดาวแล้ว
พวกเขาแข็งแกร่งมาก แม้แต่หลิงฮันก็ไม่สามารถแข่งขันกับพวกเขาทั้งสี่คนที่อยู่ด้านหน้าได้
ทั้งสี่คนเกาะกลุ่มกันอยู่ และกลายเป็นกลุ่มแรกที่ไม่มีใครตามทัน ส่วนกลุ่มที่สองคืออัจฉริยะที่แข็งแกร่งรองลงมาและผู้อาวุโสที่อยู่ในระดับภูผาวารี อย่างเช่น ผู้อาวุโสที่ใช้กระดองเต่าเมื่อครู่ โดยพึ่งพาพลังป้องกันของมันและก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
และสมบัติชิ้นนี้ก็สะดุดตามากเช่นกัน มันสามารถต้านทานการโจมตีจากหุ่นเชิดระดับภูผาวารีขั้นสูงได้นับมากมาย แล้วใครจะไม่อยากได้มัน?
กลุ่มที่สามนั้นมีความสามารถน้อยกว่ากลุ่มที่สองเล็กน้อย พวกเขาส่วนใหญ่มีพลังต่อสู้สามดาว แต่พวกเขาทุกคนก็เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นปลาย มิฉะนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะมาถึงจุดนี้และคงยอมพ่ายไปนานแล้ว
กลุ่มที่สี่นั้นส่วนใหญ่มีพลังต่อสู้สองดาว แต่ก็ยังเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นปลายเช่นกัน
ส่วนกลุ่มที่ห้าไม่จำเป็นต้องพูดถึง พวกเขามีพลังต่อสู้ต่ำเกินไป แค่เข้ามาในค่ายอาคมรูปปั้นหินก็ถูกซัดปลิวออกไปในไม่ช้า
ตอนนี้หลิงฮันอยู่ในกลุ่มที่สี่ เขาไม่รีบร้อนอะไรและเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ และใช้หุ่นเชิดพวกนี้เป็นคู่มือลับคมให้กับตัวเอง
ดังนั้น เขาจึงใช้ประโยชน์จากค่ายอาคมหุ่นเชิดเป็นที่ฝึกฝนการต่อสู้
แล้วหากดูให้ดีจะเห็นว่ารูปปั้นหินทุกตัวที่หลิงฮันทำลายนั้นถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ แม้จะมีพลังของค่ายอาคมที่สามารถทำให้รูปปั้นหินที่เสียหายฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วก็ตาม
“อะไรกัน?”
ไม่นานหลังจากนั้น หลิงฮันก็พบว่ามีพลังที่ไม่สามารถอธิบายได้อยู่ในหมัดของรูปปั้นหิน และต่อยเข้ามาที่ร่างกายของเขาซึ่งทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมาก!
ต้องทราบก่อนว่าหลิงฮันมีกายหยาบที่เทียบได้กับแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ แล้วหุ่นเชิดระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นปลายจะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร?
มันน่าเหลือเชื่อ!
ช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะรู้สึกตกใจ แต่เขาก็พบว่ามันมีอักขระศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่หมัดของรูปปั้นหิน
ดูเหมือนว่ามันจะเป็นอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้การโจมตีของรูปปั้นหินรุนแรงมากยิ่งขึ้น
แม้ว่าพลังของพวกมันจะไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ก็สร้างแรงกดดันให้กับเขามากขึ้นในระดับหนึ่ง
ปัง ปัง ปัง
“อ๊ากก!” ในกลุ่มที่สามมีใครบางคนส่งเสียงกรีดร้อง พวกเขาถูกหุ่นเชิดโจมตีจนกระอักโลหิต คนส่วนใหญ่ต้านทานไม่ไหวและรีบล่าถอยออกไปทันที แต่ก็มีบางคนหนีไม่ทันและถูกหุ่นเชิดหินฆ่าตายกลายเป็นศพ
นี่ทำให้ผู้คนรอบข้างรู้ว่าพลังของค่ายอาคมรูปปั้นหินนั้นเพิ่มขึ้น!
ตอนที่ 1098
“นี่มัน!” ผู้คนที่ยืนดูตกตะลึง
“ทั้งที่ยังไปได้ไม่ถึงไหน พลังของหุ่นเชิดก็เพิ่มขึ้นแล้ว แล้วพวกเขาจะผ่านไปได้อย่างไร?”
“ใช่แล้ว หากไปได้ไกลกว่านี้มันก็อาจจะแข็งแกร่งขึ้นอีก”
“แล้วใครจะผ่านไปได้?”
ทุกคนพากันส่ายหัวและคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะผ่านการทดสอบ
ทั้งสี่กลุ่มยังคงเดินหน้าต่อไป แต่จะเห็นได้ว่าเดิมทีคนกลุ่มที่สี่นั้นมีจำนวนมากที่สุด หลังจากที่หุ่นเชิดแข็งแกร่งขึ้นจำนวนของคนที่อยู่กลุ่มสี่ก็ลดลงอย่างรวดเร็วและกลายเป็นกลุ่มที่มีคนน้อยที่สุดแทน น้อยกว่ากลุ่มที่หนึ่งที่มีสี่คนซะอีก
“อะไรกัน!”
ทุกคนแปลกใจ เมื่อจำนวนคนลดลง พวกเขาก็จับตาดูคนอื่นได้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้นและหลิงฮันก็กลายเป็นสะดุดตา
“มันน่าทึ่งมาก เขาเป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นต้นเท่านั้น!”
“ใช่แล้ว มันเห็นได้ชัดว่าภูผาวารีสายที่สามยังไม่ก่อตัว นี่หมายความว่าเขายังไม่ทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นปลาย”
“แล้วเขาไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร?”
“นี่เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลมาก เขาเป็นสัตว์ประหลาดงั้นรึ?”
“มันอาจเป็นเพราะสมบัติบางอย่างก็เป็นได้ ทำให้เขาได้รับการป้องกันและไม่ได้รับบาดเจ็บ”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดเห็นดังกล่าว หากไม่ได้เป็นเพราะสมบัติบางอย่าง แล้วมันจะเป็นอะไรได้?
แต่พวกเขาไม่ทราบว่าหลิงฮันฝึกฝนบ่มเพาะกายา ทำให้กายหยาบของเขาแข็งแกร่ง และรูปปั้นหินในตอนนี้ยังไม่สามารถสร้างบาดแผลให้กับเขาได้
ทุกครั้งที่รูปปั้นหินแข็งแกร่งขึ้นจะมีใครบางคนถูกกำจัด ในตอนแรกมีผู้คนหลายพันคนเข้าสู่ค่ายอาคมรูปปั้นหิน แต่ตอนนี้จำนวนลดลงเป็นหลักร้อย คนที่ถูกกำจัดออกไปส่วนใหญ่นั้นมาจากคนกลุ่มที่สี่ บางคนหนีออกไปได้อย่างปลอดภัย แต่ก็มีคนไม่กี่คนที่ถูกรูปปั้นหินฆ่าตาย
ในปัจจุบันกลุ่มสองและกลุ่มสามมีจำนวนคนมากที่สุด จำนวนคนของกลุ่มสองและกลุ่มสามมีมากกว่าหนึ่งร้อยคน ส่วนจำนวนคนของกลุ่มหนึ่งและกลุ่มสี่เป็นเลขหลักเดียว
โลหิตของคนหนุ่มสาวยังคงเดือดพล่าน โดยเฉพาะอัจฉริยะที่ภาคภูมิใจในตัวเอง ในเมื่อมันเป็นการทดสอบจะต้องมีใครบางคนที่สามารถผ่านไปได้ แล้วทำไมข้าถึงจะผ่านไปไม่ได้เหมือนกับคนอื่น?
บางครั้งการล้มเหลวก็เป็นบทเรียนที่ดี และช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าของจอมยุทธ แต่บางครั้งมันก็เป็นสิ่งที่เลวร้าย เพราะบางคนจะไม่ยอมแพ้และอาจมาทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ตลอดไป
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง กลุ่มแรกมาถึงด่านที่สองจากสิบ
เพราะหลังจากที่เดินมาได้หนึ่งในสิบของระยะทาง ความแข็งแกร่งของรูปปั้นหินก็เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ดังนั้นทุกคนได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้วสำหรับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันของรูปปั้น
แน่นอนว่าเมื่อเข้าสู่ด่านที่สามจากสิบ ความแข็งแกร่งของรูปปั้นหินก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
อักขระศักดิ์สิทธิ์บนกำปั้นของพวกมันกลายเป็นสองแถว!
“หืม!” ชายชราที่ถือกระดองเต่าตื่นตระหนกเป็นครั้งแรก และกระดองเต่าของเขาก็ถูกรูปปั้นหินโจมตีอย่างรุนแรง พลังอักขระศักดิ์สิทธิ์ของมันเริ่มไม่เสถียรและหายไปในทันที จากนั้นกระดองเต่าก็ถูกทำลายแตกออกเป็นเจ็ดส่วน
ทันทีที่กระดองเต่าถูกทำลาย ชายชราก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีของรูปปั้นได้อีกต่อไป และถูกฆ่าตายทันที โดยที่ไม่มีโอกาสหลบหนี
“เล่นไม่ได้แล้ว!”
เมื่อเผชิญหน้ากับความจริง อัจฉริยะหลายคนเลือกที่จะเอาจริงขึ้นมาบ้าง นี่เป็นเพียงแค่ด่านที่สาม มันยังมีอีกเจ็ดด่านรอคอยอยู่ด้านหน้า ซึ่งมันจะต้องยากขึ้นอย่างแน่นอนและเป็นไปไม่ได้ที่จะผ่าน
นี่คือการทดสอบที่จอมยุทธระดับภูผาวารีสามารถผ่านไปได้จริงหรือ?
แต่ทุกคนก็หันไปมองหลิงฮันทันที ในตอนนี้คนกลุ่มที่สี่ถูกกำจัดออกไปหมดแล้วยกเว้นเขาแค่คนเดียว
“ผู้ชายคนนี้เป็นใครกัน?”
“เขาคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งจากดาวเหอหนิงแห่งจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะ และเขามาจากการเปิดสวรรค์เมื่อสองปีก่อน”
คนที่มาจากจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะกำลังพูดเกี่ยวกับตัวตนเองหลิงฮัน
“อะไรนะ!”
ทุกคนตกใจและไม่อยากจะเชื่อ
“นี่ล้อเล่นหรือเปล่า?”
ก่อนหน้านั้น พวกเขาคิดว่าหลิงฮันเป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นต้นเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าคนอื่นที่อยู่ที่นี่ แต่การที่เขาสามารถยืนหยัดอยู่ในค่ายอาคมรูปปั้นหินได้! แต่หลิงฮันขึ้นมาจากโลกใบเล็กเมื่อสองปีก่อน ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาคือความเร็วในการฝึกฝนบ่มเพาะพลังของหลิงฮันนั้นรวดเร็วเกินไป!
ภายในเวลาแค่สองปีจากระดับทลายมิติเป็นระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นต้น?
เรื่องแบบนี้มันเป็นไปได้ด้วยหรือ?
แต่มีหลายคนที่มาจากจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะให้คำยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง พวกเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากเชื่อ
– ถ้าพวกเขาพูดโกหกแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา? แม้ว่ามันอาจจะเป็นการพูดจาโอ้อวดจักรวรรดิของตน แต่ความจริงก็จะปรากฏในอนาคตอยู่ดี
หากเป็นความจริง เขาคงไม่ใช่มนุษย์แล้ว ความเร็วในการฝึกฝนบ่มเพาะพลังของเขาเร็วและน่ากลัว!
จำนวนคนมากกว่าสี่ร้อยคน ลดลงเหลือน้อยกว่าสองร้อยคน ในครั้งนี้จำนวนคนกลุ่มที่สามลดลงจากสามร้อยกว่าคนเหลือแค่สามสิบกว่าคน และบางคนที่อยู่ในกลุ่มที่สองเลือกที่จะยอมแพ้ แต่ก็มีบางคนที่สู้จนตัวตาย แต่พวกเขายังมีมากกว่าหนึ่งร้อยคน
“นี่ พวกเรามาเดากันไหมว่าเขาจะหยุดตรงไหน?” ใครบางคนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
คำพูดของเขาดึงดูดความสนใจของทุกคน และพวกเขาก็เดาอยู่ในใจทีละคน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีการเดิมพันเกินขึ้น นั่นเป็นเพราะผู้คนที่มาที่นี่มาจากดาวหลายร้อยดาว ใครเป็นใครบ้างก็ไม่รู้ แล้วพวกเขาจะกล้าเดิมพันได้อย่างไร
“อาจารย์จะต้องผ่านการทดสอบ!” ติงผิงกำหมัดแน่น
“ถูกต้อง นายท่านเป็นคนที่มีพรสวรรค์ไม่มีผู้ใดเปรียบ อย่าว่าแต่ผ่านการทดสอบนี้เลย แม้การทดสอบนี้จะยากกว่านี้สิบเท่า นายท่านก็สามารถผ่านไปได้อย่างง่ายดาย!” จักรพรรดิจอมอสูรกล่าว
สุ่ยเยี่ยนยวี่เองก็เชื่อมั่นในตัวหลิงฮันมั่น แต่หลังจากที่นางได้ยินคำพูดของจักรพรรดิจอมอสูร มุมปากของนางก็กระตุกเล็กน้อย และจักรพรรดิจอมอสูรพูดจาเยินยอจนมาถึงจุดที่ไร้ยางอาย
ในขณะนั้นเอง แม้แต่คนกลุ่มแรกก็ยังเริ่มชะลอความเร็วลง นั่นคือเซี่ยอู๋เฉียนและเส้าซือซือ ทั้งสองคนกำลังแสดงสีหน้าเหน็ดเหนื่อย เมื่อเผชิญหน้ากับหุ่นเชิดที่กำจัดไม่หมดไม่สิ้นนี้
แต่บางคนก็ยังคงความเร็วเอาไว้
นั่นคือหลิงฮัน!
เขาเริ่มตามคนกลุ่มที่สามทัน และเขาเป็นคนที่เหลือรอดเป็นคนสุดท้ายของกลุ่มที่สี่
เมื่อเห็นฉากที่เกิดขึ้น ทุกคนต่างกุมขมับด้วยความสับสน ทั้งที่ความเร็วของคนอื่นลดลง แต่ความเร็วของเขากลับเพิ่มขึ้นได้อย่างไร?
“มันไม่ใช่เพราะความเร็วของเขาเพิ่มขึ้น แต่เป็นเพราะความเร็วของคนอื่นๆลดลงต่างหาก!” ใครบางคนกล่าวความจริงตามที่เห็น
ทุกคนตกตะลึง!
ทั้งที่ความแข็งแกร่งของหุ่นเชิดจากเพิ่มขึ้นในแต่ละช่วง แต่หลิงฮันยังคงรักษาความเร็วเอาไว้ได้ มันหมายความว่ายังไงกัน?
ไร้เหตุผล!
หลิงฮันไม่รู้สึกถึงแรงกดดันมากนัก จนถึงตอนนี้การโจมตีของหุ่นเชิดสามารถทำร้ายเขาได้ แต่ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ และถึงแม้เขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ยังไม่ถึงระดับที่ต้องโคจรทักษะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง คนกลุ่มแรกก็เข้าสู่ด่านที่สี่
ความแข็งแกร่งของรูปปั้นหินเพิ่มขึ้นอีกครั้งและอักขระศักดิ์สิทธิ์บนหมัดของพวกมันก็เพิ่มขึ้นเป็นสามแถว
ความแข็งแกร่งของมันไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่อักขระศักดิ์สิทธิ์ยังเพิ่มขึ้นทีละแถว ทำให้พลังต่อสู้ของพวกมันเพิ่มขึ้นหลายเท่า นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก
แล้วจำนวนคนกลุ่มที่สองก็เริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 1099
แต่มันไม่ใช่แค่คนกลุ่มสองเท่านั้นที่ลดลง คนกลุ่มสามเองก็ลดลงเช่นเดียวกัน
หลิงฮันเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่
นี่ทำให้ทุกคนรู้สึกตลก เขาเป็นตัวซวยหรือไม่? ถ้าเขาอยู่กลุ่มไหนคนกลุ่มนั้นก็จะหายไป?
ไม่ ไม่ ไม่ เขาแข็งแกร่งเกินไปต่างหาก คนอื่นไม่สามารถยืนหยัดได้ แต่เขาสามารถทำได้
ในตอนแรกเหลือคนมากกว่าหนึ่งร้อยคน แต่จำนวนคนที่เหลือรอดก็ลงลงอย่างรวดเร็วจนน้อยกว่าห้าสิบคน และมีแนวโน้มสูงมากว่าจะลดลงไปอีก
อัจฉริยะทั้งสี่คนที่นำอยู่ในกลุ่มแรกเริ่มนำอาวุธออกมาใช้ นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่กล้าต่อสู้กับรูปปั้นหินด้วยมือเปล่าอีกต่อไป มิฉะนั้นอาจเป็นพวกเขาที่ถูกกำจัด และนั่นจะนำความอับอายมาให้
เจ็บ!
หลิงฮันพูดในใจ ก่อนหน้านี้รูปปั้นหินโจมตีเขา ทำให้เขารู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่ตอนนี้เขาเริ่มเจ็บปวดมาก เหมือนกับเด็กที่ถูกผู้ใหญ่ตี
แต่โชคดีที่ความเจ็บปวดและบาดแผลนั้นแตกต่างกัน และเขายังคงไร้ซึ่งความหวาดกลัว
แต่นี่เป็นเพียงแค่ด่านที่สี่ หากเป็นด่านที่ห้า หลิงฮันจะต้องรู้สึกกดดันอย่างแน่อน และการโจมตีของรูปปั้นหินก็จะเป็นภัยคุกคามให้กับเขาหรืออย่างน้อยมันก็สามารถทำให้เขาได้รับบาดเจ็บได้
มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาก ทั้งที่้รูปปั้นหินพวกนี้มีพลังระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นต้นเท่านั้น
คนที่ยังยืนหยัดไว้อยู่ความเร็วของพวกเขาเริ่มลดลง มีแค่หลิงฮันเท่านั้นที่ความเร็วยังเท่าเดิม เขาดูนิ่งมาก กลุ่มที่สามในตอนนี้เหลือแค่เขาคนเดียว และเริ่มเข้าใกล้กลุ่มที่สองขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มสอง
จนถึงตอนนี้เหลือแค่สองกลุ่มเท่านั้น
ด่านที่ห้า!
อักขระศักดิ์สิทธิ์บนหมัดของรูปปั้นหินกลายเป็นสี่แถว และผู้คนที่อยู่กลุ่มที่สองมากกว่าสิบคนถูกโจมตีถึงขั้นกระอักโลหิต
โชคดีผู้ที่มาถึงจุดนี้ได้ต่างก็เป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ พวกเขาทุกคนมีวิธีการรักษาชีวิตของตัวเอง แม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ไม่มีใครถูกฆ่าตาย
หลิงฮันเองก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันเช่นเดียวกัน เมื่อหมัดของพวกมันต่อยมาที่ร่างกายของเขา ราวกับว่ากายหยาบของเขาไม่สามารถต้านทานได้และเริ่มมีโลหิตไหลออกมา
มันเจ็บปวดมาก!
หลิงฮันไม่ออมมืออีกต่อไป และเริ่มใช้ศรฆ่ามังกรทะลวงดาราเพื่อทำลายรูปปั้นหินในระยะไกล และใช้ทักษะบัญญัติดาบเร็วทำลายรูปปั้นหินบริเวณใกล้เคียง
ท้ายที่สุดมีเพียงแค่ความแข็งแกร่งของรูปปั้่นหินเท่านั้นที่เพิ่มขึ้น แต่พลังป้องกันของพวกมันยังคงเท่าเดิม
ภายใต้การโจมตีที่รุนแรง ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรก
เขาแซงหน้าคนที่อยู่กลุ่มสอง และเกาะกลุ่มคนที่อยู่กลุ่มหนึ่ง
ชายหนุ่มที่ใช้หอกและคนอื่นๆออกจากค่ายอาคมรูปปั้นหินนานแล้ว พวกเขามองดูหลิงฮันด้วยใบหน้าที่กระตุกไม่หยุด
พรสวรรค์ของเขานี่ไม่ธรรมดา!
เมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนที่ห้าเข้ามาใกล้ เซี่ยอู๋เฉียนและอีกสามคนก็หันหลังกลับไปมองด้วยความแปลกใจ
พวกเขาคิดว่ามีเพียงแค่คนในกลุ่มหนึ่งสามคนเท่านั้นที่เป็นคู่แข่ง คนที่อยู่กลุ่มสองไม่เคยอยู่ในสายตาของพวกเขาเลย
คนจากกลุ่มสองเริ่มตามพวกเขาทัน?
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นหลักคืออีกฝ่ายเป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นต้นเท่านั้น
ถ้าพวกเขาถูกตามทันจริง มันจะเป็นเช่นไร!
เซี่ยอู๋เฉียนไม่ต้องพูดถึง ใบหน้าของเขากลายเป็นสีเขียวเรียบร้อยแล้ว เขาไม่เคยเห็นหลิงฮันอยู่ในสายตามาก่อน แต่ตอนนี้หลิงฮันกำลังตามเขาทัน มันเหมือนกับว่าเขาถูกตบหน้า!
เขาคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ เขาเป็นคนเดียวที่สามารถฉีกหน้าคนอื่นได้ แต่นี่เขากลับถูกฝ่ายตรงข้ามตบหน้างั้นรึ?
เขากัดฟันแน่นและเร่งความเร็ว
นี่ทำให้ร่างกายของเขาต้องแบกรับภาระมากยิ่งขึ้น
ถ้านี่คือด่านที่สิบ เขาคงระเบิดพลังทั้งหมดออกมาและผ่านไปในทีเดียว แต่นี่เป็นแค่ด่านที่ห้าเท่านั้น ถ้าเขาระเบิดพลังทั้งหมดออกมาตั้งแต่ตอนนี้ มันจะทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอในตอนท้ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคงเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าเขาจะสามารถออกไปจากค่ายอาคมรูปปั้นหินนี้ได้หรือไม่
แต่เขาจะไม่ยอมทนให้หลิงฮันตามทัน เขารู้ว่าสุ่ยเยี่ยนยวี่จะต้องจับตาดูอยู่แน่นอน แล้วเขาจะทำให้ตัวเองเสียหน้าต่อหน้าสุ่ยเยี่ยนยวี่ได้อย่างไร?
แสงสีทองเริ่มกระจายออกมาจากร่างกายของเขา และแขนของเขาก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีทอง ราวกับสร้างขึ้นมาจากแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ และการโจมตีของรูปปั้นหินก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายใดๆให้กับเขาได้อีกต่อไป
สถานะดังกล่าวไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป ดังนั้นเซี่ยอู่เฉียนจึงรีบเร่งความเร็วขึ้นเพื่อทิ้งระยะห่างจากหลิงฮันให้ได้มากที่สุด แม้จะออกจากสถานะดังกล่าว เขาก็ยังพอมีเวลาฟื้นฟูพลังอยู่บ้าง
“เจ้าโง่!” หลิงฮันพูดในใจ ตอนนี้อีกฝ่ายคงคิดว่าเขาเป็นศัตรูที่ไม่อาจยอมเสียหน้าได้ แต่หลิงฮันก็ไม่ได้สนใจอะไร
ถ้าอีกฝ่ายไม่สามารถสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้ก็จะไม่มีทางได้เป็นอัจฉริยะระดับสิบดาว แล้วเขาจะมองอีกฝ่ายเป็นคู่แข่งได้อย่างไร?
แม้ว่าหลิงฮันเองก็ยังไม่สามารถทำได้ แต่เขาเชื่อว่าจะต้องทำได้อย่างแน่นอน
เขาพอมีความเข้าใจค่ายอาคมรูปปั้นหินอยู่บ้าง ค่ายอาคมนี้น่าจะเตรียมไว้สำหรับอัจฉริยะสิบดาว หลังจากที่ทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์แบบ พลังต่อสู้แต่ละดาวจะสามารถผ่านได้หนึ่งด่าน และถ้ามีพลังต่อสู้สิบดาวก็จะผ่านได้สิบด่าน
ดังนั้นจะไม่มีใครที่จะผ่านการทดสอบนี้ไปได้ – ยกเว้นเขา
แต่แน่นอนว่าเขายังไม่ใช่อัจฉริยะระดับสิบดาว และยังห่างจากระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นปลายอีกด้วย แต่เขามีกายหยาบที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นมิใช่หรือ?
ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่จะผ่าน!
แล้วหลิงฮันยังสงสัยว่าจะได้รับรางวัลตอบแทนอะไร หากผ่านค่ายอาคมรูปปั้นหินนี้ไปได้
ด่านที่หก!
เมื่อมาถึงจุดนี้ไม่มีการแบ่งกลุ่มอีกต่อไป เพราะคนที่เหลือรอดอยู่นั้นมีเพียงแค่ห้าคนเท่านั้น
อัจฉริยะห้าคนที่เหลือรอดอยู่คือ หลิงฮัน เซี่ยอู๋เฉียน เส้าซือซือ ซูจิง และตูอัน
ใครจะถอนตัวคนแรก? ใครจะเหลือรอดเป็นคนสุดท้าย? แล้วใครจะถูกรูปปั้นหินฆ่า?
ผู้คนที่เฝ้าดูจากด้านนอกเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทั้งที่พวกเขาจะออกไปสำรวจที่อื่นต่อก็ได้ แต่ไม่มีพวกเขาคนใดที่ออกไปจากที่นี่ เพราะพวกเขาต้องการเป็นสักขีพยานจนถึงช่วงเวลาสุดท้าย
แรงกดดันของด่านที่หกเหมือนกับถูกภูเขากดทับ!
หลิงฮันยังรู้สึกกดดัน ดังนั้นสี่คนที่เหลือไม่จำเป็นต้องพูดถึง สีหน้าของพวกเขาก็เริ่มให้เห็นความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม พวกเขาทั้งสี่คนมีข้อได้เปรียบของระดับพลังและพลังต่อสู้ที่เหนือกว่าหลิงฮัน ดังนั้นแม้จะไม่ได้มีพลังป้องกันที่ดีเหมือนกับหลิงฮัน แต่พวกเขาก็ชดเชยได้ด้วยการโจมตีที่ทรงพลังและไม่ปล่อยโอกาสให้รูปปั้นหินเข้าถึงตัว
ตอนที่ 1100
ภายในแรกกดดันดังกล่าวมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังยืนหยัดไหว
พวกเขายังคงกัดฟันสู้และไม่มีใครยอมแพ้
ด่านที่เจ็ด!
ความเร็วของเซี่ยอู๋เฉียนลดลงอย่างกระทันหัน จนแทบจะหยุดนิ่ง
ค่ายอาคมรูปปั้นหินไม่ได้พูดเกินจริงอย่างที่หลิงฮันคิด มันอาจมีไว้สำหรับอัจฉริยะระดับสิบดาวก็เป็นได้
ทุกคนเริ่มเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ยากขึ้น และเริ่มสิ้นหวัง เพราะนี่เป็นแค่ด่านเจ็ดเท่านั้น และถึงแม้พวกเขาจะผ่านมันไปได้ แต่ก็ยังมีอีกสามด่านรออยู่ข้างหน้า ซึ่งจะต้องยากกว่านี้อย่างแน่นอน
หากอิงตามความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของรูปปั้นหิน ถ้าเป็นด่านสิบความแข็งแกร่งของมันอาจอยู่ที่ระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นปลายหกดาว
อย่าว่าแต่จำนวนหลายหมื่นตัวเลย แค่พวกมันตัวเดียวก็เพียงพอที่จะต่อสู้กับเซี่ยอู๋เฉียนได้แล้ว
หลิงฮันพยักหน้าอยู่ในใจ การคาดเดาของเขาไม่ผิด ค่ายอาคมรูปปั้นหินมันจะต้องมีไว้สำหรับอัจฉริยะสิบดาวอย่างแน่นอน
แต่พลังป้องกันและความยืดหยุ่นของร่างกายจะช่วยให้เขาผ่านค่ายอาคมรูปปั้นหินนี้ได้หรือไม่?
ตอนนี้หลิงฮันไม่เก็บเรื่องพวกนั้นมาคิดให้รกหัว นั่นเป็นเพราะระดับพลังของเขาต่ำกว่าคนอื่น ถ้าเขาสามารถยกระดับกายหยาบได้อีกขั้นเทียบเท่ากับแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่ห้า เขาก็จะสามารถอาละวาดที่นี่ได้อย่างเต็มที่
แต่เรื่องนี้เองที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจ ทั้งที่ระดับพลังของหลิงฮันตามหลังเซี่ยอู๋เฉียนตั้งหกขั้นเล็ก แต่ก็ยังตามอีกฝ่ายได้ทัน นี่ถ้าเขาอยู่ในระดับเดียวกับเซี่ยอู๋เฉียน ไม่ใช่ว่าเขาจะสามารถจัดการอีกฝ่ายได้ด้วยมือข้างเดียวหรอกหรือ?
หลิงฮันยังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้า โดยมุ่งเน้นไปที่การป้องกันเป็นหลัก การโจมตีจากรูปปั้นหินยากที่จะหลบ แม้ว่าร่างกายของเขาจะมีบาดแผลมากมาย แต่เมื่อโคจรทักษะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ บาดแผลของเขาก็หายเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
อีกไม่กี่ก้าวต่อมา หลิงฮันก็แซงหน้าตู่อันที่เป็นอันดับสี่
เมื่อเขาถูกหลิงฮันแซง ตู่อันเผยสีหน้าไม่พอใจ แต่หลังจากที่ขบคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก็ตัดสินใจที่จะถอนตัว
แม้จะไปได้ต่อ ทำไมเขาจะต้องเปิดเผยไพ่ลับต่อหน้าทุกคนด้วย?
มันเป็นการกระทำที่ไม่คุ้มค่า
เขาเพียงแค่ยอมแพ้และถอนตัวไปอยู่ด้านข้าง
หลังจากนั้นไม่นาน หลิงฮันก็แซงซูจิงและกลายเป็นอันดับสาม อย่างไรก็ตาม อันดับสามของเขาก็กลายเป็นอันดับโหล่อย่างรวดเร็ว เพราะซูจิงเองก็เลือกที่จะยอมแพ้
มันน่าเหลือเชื่อมาก
ทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอดูว่าหลิงฮันจะสามารถเป็นอันดับหนึ่งได้หรือไม่? ถ้าเป็นตอนแรกพวกเขาคงคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกที่ไร้สาระที่สุดในโลก แต่ตอนนี้เขามีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นอันดับหนึ่ง
ใครจะคิดกันล่ะว่าจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นต้นจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
หลังจากนั้น หลิงฮันก็เริ่มตามเส้าซือซือทัน
ขณะต่อสู้ นางหันมามองหลิงฮันด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ข้าเส้าซือซือ ข้าควรเรียกพี่ชายว่าอะไรดี?”
นางเป็นคนที่งดงามมากอยู่แล้ว และรอยยิ้มนั่นทำให้นางงดงามยิ่งขึ้นไปอีก
หลิงฮันรู้สึกแปลกใจและพูดว่า “หลิงฮัน”
“พี่ชายหลิง ข้าขอพูดคุยกับท่านทีหลังได้หรือไม่?” เส้าซือซือกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนได้อยู่แล้ว” หลิงฮันพยักหน้า
เขาเดินผ่านเส้นซือซือไป และนางก็เลือกที่จะถอนตัวเหมือนกับสองคนก่อนหน้านี้และเดินออกจากค่ายอาคมรูปปั้นหิน
ตอนนี้เหลือแค่สองคนเท่านั้นที่ยังคงแข่งขันกันอยู่
ในความเป็นจริงเซี่ยอู๋เฉียนอยากจะยอมแพ้ไปนานแล้ว การแข่งขันนี้ไม่ทำให้เกิดประโยชน์อะไร จะยอมแพ้ช้าหรือเร็วก็ไม่แตกต่างกัน แต่เขาจะปล่อยให้หลิงฮันตามทันได้อย่างไร?
เขาแบกความภาคภูมิใจเอาไว้และกัดฟันเดินหน้าต่อ
ด่านที่แปด!
ความแข็งแกร่งของรูปปั้นหินเพิ่มขึ้นอีกครั้งและมีอักขระศักดิ์สิทธิ์เจ็ดแถวเปล่งประกายอยู่ที่หมัดของพวกมัน พลังทำลายล้างจะต้องน่าทึ่งอย่างแน่นอน
“อั๊ก!” เซี่ยอู๋เฉียนกระอักเลือดเป็นครั้งแรก อัจฉริยะอย่างเขาจะมาลงเอ่ยเช่นนี้ได้อย่างไร? ความแข็งแกร่งของรูปปั้นหินไม่ได้อ่อนแอกว่าเขามากนัก แต่พวกมันหลายสิบตัวโจมตีพร้อมกัน เกือบทำให้เขาถูกจัดการ
ในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นหลิงฮันแซงหน้า
“อั๊ก!” เขากระอักเลือดออกมาอีกครั้งด้วยความโกรธ
คนที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของเขากำลังแซงหน้าเขา นี่ทำให้ความภาคภูมิใจในตัวเองของเขาพังทลายทันที
“หึ่ม!” เขาปลดปล่อยจิตสังหารออกมาและต้องการจะโจมตีใส่หลิงฮัน แต่มีรูปปั้นหินมากเกินไป ทำให้เขาไม่มีโอกาสลงมือ
หลิงฮันหันกลับไปมองและเห็นว่าเซี่ยอู๋เฉียนไม่ลงมือ แต่ก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารของอีกฝ่าย แต่เขาก็ไม่สนใจและหันหลับมาจดจ่อการต่อสู้ตรงหน้า
เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว เขาก็ไม่อยากยอมแพ้
เขาเริ่มใช้อักขระศักดิ์สิทธิ์แรงโน้มถ่วง ทำให้รูปปั้นหินพวกนั้นถูกกดทับ และเขาก็ใช้โอกาสนี้วิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง
มันได้ผลมาก นั่นเป็นเพราะรูปปั้นหินพวกนั้นมีดีแค่พลังโจมตีและพลังป้องกันเท่านั้น
“หึหึ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เขาจะต้องผ่านค่ายอาคมรูปปั้นหินได้อย่างแน่นอน”
“เหลืออีกแค่สองด่านเท่านั้น”
ทุกคนรู้สึกตกตะลึง แม้กระทั่งเซี่ยอู๋เฉียนที่เป็นสุดยอดอัจฉริยะก็ยังเป็นฝ่ายตามหลังหลิงฮัน เขาไม่สามารถตามอีกฝ่ายที่เป็นแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นต้นได้ทัน นี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาก
หลิงฮันยังคงเร่งความเร็วขึ้น รูปปั้นหินพวกนั้นไม่สามารถหยุดเขาได้ มันทำได้แค่ทิ้งรอยบาดแผลและโลหิตบนร่างกายของเขาเท่านั้น แต่เท้าของเขาก็ยังคงไม่หยุดวิ่ง
ตัวเขาเปรียบเหมือนลูกศรที่ถูกยิงออกมาจากธนู ความเร็วของเขามีแต่จะเพิ่มขึ้นและไม่ลดลง!
ตอนที่ 1101
หนังศีรษะของทุกคนกลายเป็นด้านชาด้วยความตกตะลึง ทั้งที่เซี่ยอู๋เฉียนกำลังดิ้นรน แต่หลิงฮันกลับรวดเร็วขึ้น!
“หึ่ม!” เซี่ยอู๋เฉียนกำหมัดและปลดปล่อยจิตสังหารที่เดือดพล่าน
“ชายคนนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก หากการเป็นสหายกับเขาได้คงเป็นเรื่องดีมิใช่น้อย” ซูจิงพูดพึมพัม แน่นอนว่าเขาเห็นเซี่ยอู๋เฉียนปลดปล่อยจิตสังหารใส่หลิงฮัน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ
เขาอยู่ยงคงกระพันและมีภูมิหลังที่เหนือกว่าผู้ใด แล้วทำไมเขาจะต้องกลัวด้วย?
“ข้าได้ยินชื่อเสียงของพี่ชายซูมานาน เส้าซือซือรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบ!” เส้าซือซือกล่าวด้วยรอยยิ้มที่งดงาม
แม้ว่าซูจิงจะมีความภาคภูมิใจในตัวเองเหมือนกัน แต่เขาก็รีบผสานมือและพูดว่า “ข้าเองก็ได้ยินชื่อเสียงของน้องสาวซือซือมานานแล้วเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ไม่เคยเจอเจ้า”
“ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้น พวกเราทุกคนจะได้เจอกันอีกครั้งที่นิกายสวรรค์เยือกแข็งและกลายเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน” ตู่อันกล่าวขณะกวาดสายตามองหลิงฮัน “ในตอนนั้น ชายคนนี้จะแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหนกันเชียว”
ซูจิงและเส้าซือซือพยักหน้าและแสดงให้เห็นถึงสีหน้าที่คาดหวัง
ความสำเร็จของหลิงฮันในตอนนี้ยังห่างจากพวกเขามาก แต่เมื่อใดที่พวกเขาอยู่ในระดับเดียวกัน พลังต่อสู้ของหลิงฮันจะมากกว่าพวกเขาทันที และถึงแม้พวกเขาจะเหนือกว่า แต่พวกเขายังไม่มีวิธีจัดการกับกายหยาบที่ยืดหยุ่นของหลิงฮันได้
“ไม่มีทาง เว้นแต่จะฆ่าเขาด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว มิฉะนั้นจะเป็นข้าเองที่ถูกฆ่าตาย!” หลังจากคิดไปซักพัก ซุจิงก็ส่ายหัวแล้วคิดมาการป้องกันของหลิงฮันนั้นไม่มีทางทำลายได้
“มันก็แค่มดปลวกจากโลกใบเล็ก ทำไมถึงให้คุณค่าไว้สูงขนาดนั้น!” เซี่ยอู๋เฉียนกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ
“ฮ่าฮ่าฮ่า” เส้าซือซือ ซูจิง ตู่อันหัวเราะเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจคำพูดของเซี่ยอู๋เฉียน
อีกฝ่ายเกลียดชังหลิงฮันเข้ากระดูกไปแล้ว พวกเขาพูดอะไรคงไม่ฟัง แล้วจะสนใจไปทำไม
ในทางตรงกันข้าม หลิงฮันยังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
ความแข็งแกร่งของรูปปั้นได้บรรลุระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นปลายสี่ดาวแล้ว ตราบใดที่พวกมันโจมตีโดนหลิงฮัน เขาก็จะได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ถึงกับสาหัส ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าลดฝีเท้าและเคลื่อนที่ให้เร็วที่สุดเพื่อลดความเสียหายที่จะได้รับ
แต่ถึงกระนั้นร่างกายของเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยรอยแผลอยู่ดี
ถ้าเป็นคนอื่นหลังจากที่ถูกรูปปั้นหินพวกนั้นกระหน่ำต่อย พวกเขาคงลงไปนอนกองกับพื้นไปแล้ว แต่หลิงฮันแทบไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย
นี่ทำให้ทุกคนถึงกับพูดไม่ออก นี่เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่อีกรึ? ไม่ใช่หุ่นเชิดที่ทำมาจากแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม?
ด่านที่เก้า!
ด่านนี้น่าสะพรึงกลัวมากยิ่งขึ้น พลังทำลายล้างของรูปปั้นหินเพิ่มขึ้นหนึ่งดาว เมื่อมีหมัดต่อยมาที่ร่างกายของหลิงฮัน มันกลายเป็นหลุมเลือดอยู่บนตัว แม้แต่กระดูกก็ยังส่งเสียงแตกหัก
เมื่อเห็นเช่นนั้น สีหน้าของเซี่ยอู๋เฉียนเปลี่ยนไปทันที ถึงแม้เขาจะมีพลังต่อสู้มากกว่ารูปปั้นหินพวกนั้น แต่ถ้าเขาโดนหมัดนั้นเข้าล่ะก็ มันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ นอกจากหลิงฮันแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่มีพลังโจมตีมากกว่าพลังป้องกัน
“ตอนนี้ ข้าสามารถจัดการรูปปั้นหินพวกนี้ได้ด้วยความแข็งแกร่งของข้า แต่ด่านถัดไป…” พวกเขาไม่อยากจะพูดถึงอีกต่อไป
ด่านถัดไป แค่รูปปั้นหินตัวเดียวก็มีความแข็งแกร่งและพลังต่อสู้ในระดับเดียวกับพวกเขา ในขณะที่พวกมันแห่กันเข้ามาโจมตีหลายพันหลายหมื่นตัวพร้อมกัน พวกเขาจะทำอะไรได้?
ถ้าต่อสู้กับพวกมันหนึ่งต่อหนึ่ง พวกเขายังพอมั่นใจว่าจะเป็นฝ่ายชนะ แต่ถ้าเป็นหนึ่งต่อสิบ ผลลัพธ์ของการต่อสู้จะเปลี่ยนไปทันที เหมือนกับเด็กที่ยืนเผชิญหน้ากับทหาร
แต่ยังไงจำนวนก็เป็นปัญหาอยู่ดี
“ถึงแม้พวกเราจะเป็นอัจฉริยะระดับหกดาว แต่พวกเราก็สามารถเผชิญหน้ากับด่านสุดท้ายได้!”
“มันเป็นไปได้ด้วยหรือที่จะผ่านด่านสุดท้ายไปได้ด้วยกายหยาบที่อยู่ในระดับเลขหลักเดียว?”
เส้าซือซือถอนหายใจและพูดว่า “พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องอัจฉริยะแปดดาวหรือเก้าดาวในเอกภพที่ห่างไกลหรือไม่?”
ซูจิงพยักหน้าและพูดว่า “มันมีข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นมากมาย แต่เรื่องแบบนั้นมันจะเป็นไปได้ยังไงกัน? ทุกระดับพลังถ้าฝึกฝนจนถึงจุดสมบูรณ์แบบจะทำให้มีพลังต่อสู้หกดาวเท่านั้น แต่ถ้าใช้ทักษะลับด้วยอาจทำให้มีพลังต่อสู้สูงถึงเจ็ดดาว แต่ถ้าเป็นแปดดาว…มันยากเกินที่จะจินตนาการออก!”
“อย่าลืม ในเอกภพของพวกเรา แค่อัจฉริยะระดับห้าดาวก็ถูกเรียกว่าตำนานแล้ว” เส้าซือซือแสดงรอยยิ้มที่ลึกล้ำ “เนื่องจากพวกเราก็ก้าวข้ามคำว่าตำนานนั้นมาแล้ว มันจึงเป็นข้อพิสูจน์ว่าอัจฉริยะระดับห้าดาวไม่ใช่ตำนานอะไรอีกต่อไป ดังนั้นการที่จะมีอัจฉริยะแปดดาวหรือเก้าดาวคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
“นี่มัน!” ทั้งซูจิงและตู่อันรู้สึกตกใจ ทั้งที่พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดแล้ว แต่มันกลับกลายเป็นว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า
“มันเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นรึ?” หัวใจของตู่อันเริ่มสั่นไหว
“ไม่ใช่ว่าเรื่องพวกนั้นเป็นแค่ตำนานหรอกรึ?” ช่วยไม่ได้ที่ซูจิงจะอุทานออกมาด้วยความตกใจ
ในท้ายที่สุดเซี่ยอู๋เฉียนก็ตัดสินใจยอมแพ้ เขาเคลื่อนที่ไปอยู่ด้านข้างและพูดว่า “หึ่ม หรือพวกเจ้ากำลังพูดถึงภูผาวารีสายที่ห้า? เรื่องแบบนั้นไร้สาระสิ้นดี กฎเหล็กของดินแดนศักดิ์สิทธิ์และกฎของศาสตร์วรยุทธมันจะสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้อย่างไร?”
เส้าซือซือเห็นด้วยกับเขาและพูดว่า “มันเป็นความจริง ถึงแม้ข้าจะเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดและได้ผ่านการเปิดสวรรค์มาแล้ว ทุกระดับพลังขัดเกลาจนถึงระดับสมบูรณ์แบบ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างภูผาวารีสายที่ห้า”
ซูจิงและตู่อันพยักหน้า หลังจากที่ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาก็เคยลองสร้างภูผาวารีสายที่ห้าขึ้นมาแล้ว แต่เหมือนจะไม่มีหวังเลยแม้แต่นิดเดียว
ประเด็นคือมันเป็นเพียงแค่ตำนาน พวกเขาจึงไม่เก็บเรื่องพวกนั้นมาใส่ใจ บางทีมันอาจไม่มีทางที่จะสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้เลยก็เป็นได้
“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้าเชื่อว่ามันมีความเป็นไปได้ที่จะสร้างภูผาวารีสายที่ห้า!” เส้าซือซือกล่าวด้วยแววตาที่เปล่งประกายแห่งปัญญา “ถ้าไม่เช่นนั้น หุ่นเชิดรูปปั้นหินพวกนี้คงไม่แข็งแกร่งขนาดนี้!”
“ใช่แล้ว ถ้าสามารถสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้ก็ไม่จำเป็นต้องทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราเพื่อผ่านค่ายอาคมรูปปั้นหินนี้” ซูจิงพยักหน้าเห็นด้วย
“ข้าเองก็คิดเหมือนกัน ข้าจะต้องสร้างภูผาวารีสายที่ห้าให้จงได้ หากไม่สำเร็จ ข้าก็จะไม่ทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราเป็นอันขาด!” ตู่อันกล่าวด้วยความมั่นใจ
“พูดได้ดี!” เส้าซือซือและซูจิงพยักหน้าเห็นด้วย การฝึกฝนวรยุทธมันเป็นเรื่องยากมากที่จะพบเห็นคนที่เห็นพ้องด้วยเหมือนกัน ข้าไม่ได้ตัวคนเดียว!
เซี่ยอู๋เฉียนแสดงสีหน้าไม่พอใจ แต่เขาเองก็ยอมรับว่าคงมีแค่จอมยุทธระดับภูผาวารีที่สามารถสร้างภูผาวารีสายที่ห้าได้เท่านั้นถึงจะผ่านค่ายอาคมรูปปั้นหินนี้ ตัวอย่างเช่นหลิงฮัน เขาจะต้องใช้ไพ่ลับอะไรบางอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นร่างกายของเขาจะมีความผิดปกติและยืนหยุ่นแบบนั้นได้อย่างไร?
เขาจ้องมองหลิงฮันด้วยความอิจฉา และหลิงฮันได้ผ่านด่านที่เก้าไปแล้วอย่างรวดเร็ว และเขากำลังเข้าสู่ด่านสุดท้ายของค่ายอาคมรูปปั้นหิน
ตอนที่ 1102
ด่านที่สิบ
พลังทำลายของรูปปั้นหินเพิ่มขึ้นเป็นระดับเดียวกับพวกเซี่ยอู๋เฉียนอย่างไม่น่าประหลาดใจ
ต้องรู้ก่อนว่าในจักรวาลของพวกเขาไม่เคยมีใครเลยที่ควบแน่นสร้างภูผาวารีสายที่ห้าขึ้นมาได้สำเร็จ ดังนั้นพลังต่อสู้หกดาวจึงแข็งแกร่งที่สุด แล้วอัจฉริยะเช่นนี้จะมีสักกี่คนเชียว? พลังต่อสู้หกดาวจะได้มาก็ต้องทำการเปิดสวรรค์!
ต้องอัจฉริยะเช่นเซี่ยอู๋เฉียนมีจำนวนมากกว่าสี่คน แต่คาดว่าจำนวนของพวกเขาคงไม่มากไม่น้อยไปกว่านิ้วบนฝ่ามือ
แต่ตอนนี้รูปปั้นหินที่มีพลังทำลายเทียบได้กับอัจฉริยะหกดาวกำลังกระหน่ำโจมตีใส่หลิงฮัน!
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พวกเซี่ยอู๋เฉียนสี่คนรู้สึกเย็นยะเยือก ภายใต้การถูกล้อมโจมตีเช่นนี้หากเป็นพวกเขาอย่างมากที่สุดก็สามารถยืนหยัดได้เพียงหนึ่งหรือสองลมหายใจ ต่อให้ใช้ไผ่ตายพวกเขาก็ไม่สามารถผ่าวงล้อมกลับออกมาโดยมีชีวิตอยู่
ครั้งนี้หลิงฮันเจอปัญหาใหญ่แล้ว
ภายใต้การโจมตีด้วยหมัดของรูปปั้นหิน เขาไม่เพียงกระอักโลหิตออกมาและร่างกายชุ่มไปด้วยโลหิต แต่กระดูกของเขายังปรากฏรอยแตกหักอีกด้วย แม้ตอนนี้กระดูกจะยังไม่แตกหักแต่ถ้าหากถูกโจมกระหน่ำโจมตีอีกสองสามครั้ง กระดูกของเขาคงทนต่อไปไม่ได้แน่
ที่นี่มีรูปปั้นหินอยู่เท่าไหร่?
‘ปัง ปัง ปัง’ พวกมันกระหน่ำปล่อยหมัดโดยที่อักขระศักดิ์สิทธิ์ของพวกมันส่องประกาย
‘ครืนนน’ ร่างของหลิงฮันส่งเสียงกระดูกร้าวอย่างต่อเนื่อง ต่อให้อยู่ท่ามกลางเสียงของหมัดท่กระหน่ำโจมตีเสียงกระดูกของเขาก็ยังสามารถได้ยินชัดเจน
“ครั้งนี้แหละ เขาคงยืดหยัดต่อไปไม่ไหวแน่!”
ผู้คนมากมายรู้สึกอิจฉา โดยเฉพาะจอมยุทธที่เป็นอัจฉริยะ พวกเขามีความมั่นใจในตัวเองว่าเป็นที่หนึ่ง เพราะงั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะไม่ชอบให้ใครอยู่เหนือพวกเขา
ดังนั้นต่อให้เป็นพวกเส้าซือซือสามคนที่ไม่มีความบาดหมางกับหลิงฮัน พวกนางก็ยังอดไม่ได้ที่จะหวังไม่ให้หลิงฮันผ่านรูปแบบอาคมรูปปั้นหินนี้ การที่หลิงฮันทำได้แต่พวกนางทำไม่ได้นั้นเป็นการทำลายความมั่นใจของพวกเขาอย่างร้ายแรง
ตอนนี้ทุกๆก้าวที่หลิงฮันก้าวเดินกระดูกของเขาก็จะถูกโจมตีจนแตกหัก เช่นนี้เขาจะผ่านด่านสุดท้ายนี้ไปได้อย่างไร?
เซี่ยอู๋เฉียนแสยะยิ้ม ตอนนี้เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลิงฮันจะดื้อรั้นและก้าวเดินผ่านรูปปั้นหินต่อไป เนื่องจากพอรู้ถึงความแข็งแกร่งของกายหยาบของหลิงฮันแล้ว แม้แต่เขาเองก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้ด้วยมือตนเอง
ถึงแม้การที่หลิงฮันตายเช่นนั้นจะไม่ช่วยให้เขารู้สึกหายโกรธแค้น แต่แค่หลิงฮันตายก็พอแล้ว
หลิงฮันร่างชุ่มไปด้วยโลหิต ร่างของเขาบิดเบี้ยวผิดรูปร่าง การโจมตีจากรูปปั้นหินมีมากเกินกว่าที่คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์จะฟื้นฟูบาดแผลได้ทัน เมื่อกระดูกของเขากำลังฟูฟื้นเพื่อต่อกัน การโจมตีก็จะทำให้มันบิดเบี้ยวเชื่อมต่อกันผิดพลาดไปจากเดิม
แต่ต่อให้กระดูกเชื่อมต่อกันอย่างผิดรูปร่าง สุดท้ายในพริบตามันก็ถูกโจมตีจนกลับไปแตกหักอยู่ดีโดยที่ไม่ให้เวลาเขาหายใจเลยแม้แต่น้อย
‘ตอนนี้… ครึ่งทางแล้ว!’
หลิงฮันกล่าวในใจ เขาเดินผ่านด่านที่สิบมาได้ครึ่งทางแล้ว หัวใจของเขาเต้นแรงและใช้งานหยดวารีอมตะ ทันใดนั้นบาดแผลทั้งหมดของเขาก็ฟื้นฟูเสร็จสิ้นในพริบตา
เขาคำรามและเร่งความเร็ว
อะไรกัน!
ผู้คนรอบข้างทั้งสองข้างชะงักแข็งค้าง ในหัวใจของพวกเขาราวกับมีม้าหมื่นตัววิ่งกันเพ่นพ่าน
สัตว์ประหลาด ชายคนนี้ต้องเป็นสัตว์ประหลาดแน่นอน
ในขณะที่พวกข้ามองดูอยู่ เจ้าสมควรไปต่อไม่ไหวแล้วแท้ๆ แต่จู่ๆเจ้ากลับฟื้นฟูกลับมามีพลังเต็มเปี่ยมอีกครั้งได้ นี่เจ้าแกล้งแปลงกลายมาเป็นมนุษย์รึเปล่า?
หลิงฮันโคจรรูปแบบอักขระศักดิ์สิทธิ์แรงโน้มถ่วงเต็มกำลัง เขาใช้ทักษะทั้งหมดโจมตีและพุ่งด้วยความเร็วเต็มที่
ผ่านไปได้แล้วหกในสิบส่วนของด่าน… เจ็ดส่วน แปดส่วน เก้าส่วน!
จิตใจของทุกคนเต็มไปด้วยความรูปสึกตะลึง ถึงแม้เมื่อครู่หลิงฮันจะฟื้นฟูสภาพและพุ่งทะยานไปด้านหน้ารวดเดียว แต่ในไม่ช้าเขาก็ถูกกร่ำหน่ำโจมตีจนร่างเต็มไปด้วยโลหิตและกระดูกแตกหักอีกครั้ง ร่างของเขาฉีกขาดจนเห็นกระดูกได้ชัดเจน
นี่ยังนับว่าเป็นคนอยู่รึเปล่า ดูๆแล้วสภาพหลิงฮันในตอนนี้เหมือนกับก้อนเนื้อสีแดงที่เดินได้!
อีกสิบก้าวสุดท้าย!
หลิงฮันกัดฟัน ‘ปัง ปัง ปัง ปัง’ เขาถูกกระหน่ำโจมตีอย่างบ้าคลั่งจนสัมผัสได้ถึงความตาย ในตอนนี้เขาอยากจะหลบเข้าไปในหอคอยทมิฬด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อเขาก้าวมาถึงขนาดนี้แล้วจะให้เขายอมแพ้ได้อย่างไร?
โชคดีที่เขาผ่านความทุกข์ทรมานจากสายฟ้าสวรรค์มามากมายหลายครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งกระดูกของเขาก็แตกหักด้วยเหมือนกัน ความเจ็บปวดเช่นนี้กลายเป็นความเคยชินไปแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาคงสลบเหมือดไปแล้ว
เขาใช้งานหยดวารีอมตะอีกหยด แต่ถ้าหากยังใช้ต่อไปเรื่อยๆผลลัพธ์ของหยดวารีอมตะจะลดลงเรื่อยๆและเพียงพอฟื้นฟูได้แค่ให้เขารอดตายเท่านั้น
แปดก้าว… ห้าก้าว… สามก้าวสุดท้าย
หลิงฮันคำรามและพุ่งทะยาน
พรึบ!
จู่ๆด้านหน้าของเขาก็กลายเป็นมืดมิดและพื้นที่โดยรอบก็เปลี่ยนเป็นดินแดนสีดำอันไร้ที่สิ้นสุด
หลิงฮันนั่งลงกับพื้น เขาพบว่ารูปปั้นหินรอบหายไปแล้วไม่เหลือสักตัวเดียว ผู้คนโดยรอบก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน ราวกับว่าหลังการทะยานครั้งสุดท้ายของเขา เขาได้เข้ามายังมิติอีกมิติหนึ่ง
‘พรึบ!’
แท่นหินปรากฏออกมา แท่นหินถูกสร้างขึ้นจากหยกสีขาวและปลดปล่อยแสงสลัวอ่อนๆ
บนแผ่นศิลามีอักษรสลักเอาไว้
หลิงฮันไม่ได้มองแผ่นศิลาแต่เลือกฟื้นฟูบาดแผลเป็นอันดับแรก
หลังจากฟื้นพลังบางส่วนกลับมาได้บ้างแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นและมองไปยังแผ่นศิลา
“เมื่อข้ายังเยาว์วัย ข้าได้บุกไปยังตระกูลหุ่นเชิดและสังหารทำลายหุ่นเชิดนับล้านตัว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ข้าทิ้งข้อความนี้เอาไว้เพื่อต้องการให้เหล่าคนรุ่นหลังได้รับถึงความยอดเยี่ยมของข้า ต่อให้เจ้าฝ่าฟันการรูปปั้นหินมาถึงที่นี่ได้ ก็ขอให้รู้ไว้ว่าข้าได้ลดพลังอำนาจของรูปแบบอาคมหุ่นเชิดให้ลดลงมาหลายเท่าตัว!”
“แต่ถึงอย่างไรการที่เจ้าผ่านมาได้ก็นับว่าเจ้าพอมีความสามารถอยู่บ้างและสมควรได้รับรางวัล เจ้าจงระลึกและจดจำความยิ่งใหญ่และความใจกว้างของข้าเอาไว้!”
คำที่ถูกสลักเอาไว้มีไม่มาก หลิงฮันอ่านจบอย่างรวดเร็วและใบหน้ากระตุก เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าผู้ที่สร้างแท่นหินนี้ช่างหลงตัวเองยิ่งนัก
“เจ้าก็ควรรู้ด้วยว่าข้ายังเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงเท่านั้น หากข้าบรรลุขั้นสูงสุดต่อให้ไม่ใช่ชั้นสูงสุด กายหยาบของข้าก็จะพัฒนาเป็นแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับห้า”
“ช่างมันเถอะ จะไปสนใจอะไรมากกับคนที่ตายไปนานแล้ว?”
หลิงฮันส่ายหัวและมองไปยังบนแผ่นศิลาที่มีอะไรบางอย่างวางเอาไว้
“ข้ายังไม่รู้แม้แต่ชื่อแซ่ของคนหลงตัวเองผู้นี้”
หลิงฮันพบของสี่อย่างบนแผ่นหิน ของเหล่านั้นคือ การดาษสามแผ่นและลูกบอลโลหะสีดำหนึ่งลูก
“ยันต์อาคมเหล็กไหล ยันต์อาคมราชสีห์คลั่ง ยันต์อาคมสลายเมฆา แล้วลูกบอลนี่มีไว้เพื่ออะไรกัน?”
โชคดีที่ด้านหลังแผ่นศิลามีเขียนสลักวิธีใช้ของทั้งสี่สิ่งนี้เอาไว้
“ยันต์อาคมเหล็กไหลจะช่วยมอบความทนทานให้แก่ร่างกาย พลังป้องกันผู้ใช้จะเพิ่มขึ้นเทียบได้กับระดับสุริยันจันทราสูงสุด! โอ้ แต่สิ่งดีๆเช่นนี้ย่อมมีจำนวนการใช้ที่จำกัดอยู่ที่หนึ่งถึงสิบครั้ง ซึ้งขึ้นอยู่ระยะเวลาใช้งานของแต่ละครั้ง”
หลิงฮันหยิบยันต์อาคมเหล็กไหลขึ้นมาดู ยันต์แผ่นนี้มีสัญลักษณ์แปลกประหลาดที่ปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งบรรพกาลอันหนักหน่วงถูกประทับเอาไว้
“ของจริงหรือของปลอม?” หลิงฮันจ้องมองแผ่นยันต์ “ถ้าเป็นของจริงข้าก็จะไม่เกรงกลัวจอมยุทธระดับสุริยันจันทราอีกต่อไป แต่ถ้าหากกลายเป็นว่าผู้อาวุโสชราต้องการจะแกล้งข้า ข้าคงไม่พ้นถูกสังหาร!”
ใช่ว่าการกลั่นแกล้งจะเป็นไปไม่ได้ ดูจากข้อความหลงตัวเองที่สลักเอาไว้ความคิดการกระทำของผู้อาวุโสชราคนนี้ไม่อาจคาดเดาได้เลย
“ยันต์อาคมราชสีห์คลั่ง หลังจากใช้งานจะมอบพลังโจมตีระดับสุริยันจันทราสูงสุดให้ผู้ใช้ สามารถใช้งานได้หนึ่งถึงสิบครั้ง”
“ยันต์อาคมสลายเมฆา จะมอบความเร็วของระดับสุริยันจันทราสูงสุดให้ผู้ใช้ สามารถใช้งานได้หนึ่งถึงสิบครั้ง””
“ของดี เป็นของที่ดีจริงๆ!”
หลิงฮันหยิบลูกบอลโลหะสีดำขึ้นมาและพึมพำ “สิ่งนี้คือหุ่นเชิดระดับสุริยันจันทรางั้นรึ? ดูแล้วไม่ค่อยเหมือนเลย” เขาอ่านวิธีใช้งานบนแผ่นศิลาและใช้นิ้วกดไปที่ลูกบอลโลหะสีดำสองสามครั้งก่อนจะโยนลงพื้น
ลูกบอลโลหะเปลี่ยนรูปร่างทันที ขนาดของมันขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง แขนและขาสองข้างยืดออกมาจากลูกบอลจนกลายเป็นมนุษย์โลหะ
ตอนที่ 1103
“เอาเถอะ จะของจริงหรือปลอม ไว้ให้จักรพรรดิจอมอสูรเข้าไปสิงหุ่นเชิดดูก็รู้”
หลิงฮันเก็บหุ่นเชิดโลหะสีดำ เนื่องจากหุ่นเชิดไม่มีผลึกก่อเกิดใส่เอาไว้มันจึงไม่สามารถสำแดงพลังได้
เมื่อเขาเก็บหุ่นเชิดเข้าไปจู่ๆภาพก็ตัดและเขาได้กลับมาปรากฏตัวด้านหลังรูปปั้นหินและมีผู้คนมองดูอยู่ทั้งสองฝั่งเหมือนเดิม ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครรู้ตัวเลยว่าเมื่อครู่เขาหายตัวไป
ถึงแม้ระยะเวลาที่เขาหายไปจะไม่นาน แต่ก็นับได้หลายลมหายใจ เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่มีใครสังเกตุเห็น?
นั่นหมายความว่าพลังที่ใช้พาเขาไปอีกที่นั้นอัศจรรย์มาก
“หลิงฮัน!”
“อาจารย์!”
ทั้งสุ่ยเยี่ยนยวี่และติงผิงเดินเข้ามาหาเขาด้วยใบหน้านับถือเชยชม
ขนาดสุดยอดอัจฉริยะอย่างเซี่ยอู๋เฉียนยังต้องยอมแพ้ แต่หลิงฮันที่มีพลังบ่มเพาะเพียงระดับภูผาวารีขั้นสูงกลัยสามารถผ่านด่านทั้งหมดได้สำเร็จ ถ้าเปรียบเทียบแล้วจะเห็นว่าความสำเร็จครั้งนี้น่าทึ่งขนาดไหน
“ยินดีกับน้องชายหลิงด้วย!” พวกเส้าซือซือสามคนเดินเข้ามาหา
เซี่ยอู๋เฉียนแผดเสียง เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะพาเหล่าผู้ติดตามจากไป
เขาต้องการสังหารหลิงฮันเป็นอย่างยิ่ง แต่ดูเหมือนสถานการณ์ในตอนนี้จะเป็นไปได้ยากแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่หลิงฮันมีพลังป้องกันที่น่าสะพรึงกลัว ต่อให้เขาลงมือพวกเส้าซือซือก็คงไม่ยอมให้เขาสังหารอีกฝ่ายเป็นแน่ เพราะงั้นเขาจึงเลือกที่จะจากไป
มีหลายคนที่เดินเข้ามาเพื่อต้องการพูดคุยกับหลิงฮัน แต่ด้วยการที่มีพวกเส้าซือซือสามคนอยู่ ด้วยแรงกดดันที่ทรงพลังจากทั้งสามคนเหล่าคนที่เดินมาจึงหยุดชะงักไร้คำพูดและเดินจากไป
พวกเส้าซือซือสามคนต้องการจะเป็นสหายกับหลิงฮัน แต่ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมสำหรับพูดคุยเท่าไหร่ ทั้งสี่คนตกลงกันว่าจะไปเจอกันที่นิกายสวรรค์เยือกแข็งและค่อยพูดคุยกันอีกครั้ง
ฝูงคนค่อยๆแยกย้ายกันไปด้วยท่าทีผิดหวัง เนื่องจากพวกเขาเห็นว่าหลิงฮันเดินกลับออกมาจากรูปปั้นหินโดยที่ไม่มีรางวัลติดมือกลับมาด้วย
การทดสอบที่ยากขนาดนั้นแต่ไม่ได้รางวัลอะไรตอบแทนเลย ช่างน่าผิดหวังจริงๆ
หลังจากฝูงชนจากไป หลิงฮันก็โยนลูกบอลโลหะสีดำออกมาและกล่าว “จักรพรรดิน้อย เจ้าลองเข้าสิงควบคุมสิ่งนี้ดู” ครั้งนี้เขาใส่ผลึกก่อเกิดเข้าไปเรียบร้อยแล้ว
จักรพรรดิจอมอสูรไม่รอช้า ‘พรึบ’ หุ่นเชิดมนุษย์เคลื่อนไหวและปลดปล่อยอำนาจที่ทรงพลังออกมา
“นายท่าน นี่มันหุ่นเชิดระดับสุริยันจันทรา!” จักรพรรดิจอมอสูรตกตะลึงจนเกือบเป็นลม
ก่อนหน้านี่ที่ต้องเสียหุ่นเชิดระดับกึ่งสุริยันจันทราไปสองตัวทำให้เขาทุกข์อกทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้เขาได้พลังที่เคยเสียไปกลับมาอีกครั้งแล้ว ไม่คาดคิดเลยว่าเวลาผ่านไปแค่ปีเดียวนายท่านของเขาจะหาหุ่นเชิดระดับสุริยันจันทราของจริงมาได้
“ลองตรวจสอบดูว่ามันมีพลังขั้นอะไร?” หลิงฮันถาม
หลังจากเคลื่อนไหวอยู่หลายครู่ จักรพรรดิจอมอสูรก็กล่าว “ขอตอบนายท่าน มันสมควรเป็นหุ่นเชิดระดับสุริยันจันทราขั้นกลาง”
“เพียงแค่ขั้นกลาง!” หลิงฮันไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่ในเมื่อได้รับมาฟรีก็ไม่ควรจะบ่นอะไรมากสินะ? เขาพยักหน้าและกล่าว “หุ่นเชิดนี้ข้ามอบให้เจ้า”
“ขอบคุณนายท่าน จักรพรรดิน้อยผู้นี้จะทำประโยชน์ให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งแบบไหนข้าก็จะทำทุกอย่างด้วยความทุ่มเท…” จักรพรรดิจอมอสูรกล่าว
ครั้งนี้ถึงแม้จะได้มีพลังระดับสุริยันจันทราแล้ว เขาก็ไม่กล้ามีความคิดแก้แค้นหลิงฮันแม้แต่น้อย ในความคิดของเขาการที่หลิงฮันยกหุ่นเชิดระดับสุริยันจันทราให้เขาง่ายๆเช่นนี้แสดงว่าอีกฝ่ายต้องมีไพ่ลับที่แข็งแกร่งยิ่งว่าอยู่ในมือและต้องสามารถสยบเขาได้อย่างง่ายดายแน่นอน
ซึ่งที่จักรพรรดิจอมอสูรคิดก็ถูกต้องแล้ว ต่อให้หลิงฮันไม่มียันต์อาคมเหล็กไหลหรือยันต์อื่นๆเขาก็สามารถจัดการจักรพรรดิจอมอสูรได้อย่างไม่ยากเย็น
วิญญาณของจักรพรรดิจอมอสูรนั้นอ่อนแอมาก แค่หลิงฮันใช้ทักษะจิตเจ็ดสังหารเขาก็สามารถทำให้จักรพรรดิจอมอสูรหมดสติและนำตัวเข้าไปในหอคอยทมิฬได้แล้ว
หลิงฮันทำการฟื้นฟูบาดแผลที่ได้รับจากรูปปั้นหิน เมื่อโคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์บาดแผลของเขาก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง
ขาเปลี่ยนชุดใหม่และยิ้ม “ไปกันเถอะ”
ทั้งสามคนออกเดินทางต่อ
ในขณะเดินทางหลิงฮันได้เล่าเรื่องที่เขาได้รับยันต์ทั้งสามแผ่นและหุ่นเชิดให้สุ่ยเยี่ยนยวี่และติงผิงฟัง
“มีคนถูกฝังอยู่ที่นี่… เขาคือใครกัน?”
“ที่นี่รู้สึกไม่เหมือนสุสานแม้แต่น้อย เหตุใดคนที่จะตายถึงต้องทำอะไรที่สับซ้อนเช่นนี้?”
ทั้งสุ่ยเยี่ยนยวี่และติงผิงรู้สึกเหลือเชื่อ เจ้าบอกว่าเจ้าฝังตนเองไว้ที่นี่ แต่เจ้ากลับสร้างหลุมศพที่พิสดารเต็มไปด้วยรูปแบบอาคมมากมาย?
“คงไม่อยากจะรู้สึกโดดเดี่ยว?” หลิงฮันพึมพำ เพราะอย่างไรคนเราก็ไม่สามารถหลบหนีความตายได้พ้น ปรมาจารย์คนนี้จึงได้ทิ้งข้อความสรรเสริญตนเองเอาไว้เพราะไม่อยากถูกลืมเลือน?
พลังชีวิตของที่แห่งนี้หนาแน่นมาก ไม่เพียงแต่จะช่วยขัดเกลาพลังบ่มเพาะ แต่ยังช่วยซ่อมแซมอาการบาดเจ็บที่เกิดจากการบ่มเพาะพลังได้อีกด้วย
บางคนไม่ได้ออกเดินทางสำรวจเพราะคิดว่าพลังของตนเองต่ำเกินไปไม่สามารถแย่งชิงกับคนอื่นได้ พวกเขาเอกที่จะหาสถานที่สันโดษเพื่อบ่มเพาะพลังและขัดเกลาร่างกายให้บรรลุถึงจุดสูงสุด
“อาจารย์ ข้าต้องการทะลวงผ่านระดับพลัง!” ไม่กี่วันต่อมาจู่ๆติงผิงก็เอ่ยกล่าวขึ้นมา
เขาได้รับเม็ดยามากมายจากหลิงฮัน พลังบ่มเพาะของเขาจึงพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ที่นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่พลังบ่มเพาะของระดับมนุษย์สามารถบ่มเพาะได้อย่างง่ายดาย ด้วยการที่มีต้นสังสารวัฏคอยช่วยเหลือ ถ้าไม่ใช่เพราะติงผิงต้องขัดเกลาพลังต่อสู้ให้ถึงสิบเก้าดาว เขาคงจะทะลวงผ่านไปนานแล้ว
หลิงฮันคอยคุ้มกันติงผิง ต่อให้เป็นดาวดวงนี้กฎแห่งสวรรค์ก็ยังคงมีอยู่ไปทุกหนแห่ง ทันใดนั้นสายฟ้าจากสวรรค์ก็เริ่มผ่าลงมาใส่ติงผิง
ติงผิงบ่มเพาะพลังระดับทลายมิติจนเกือบจะถึงจุดสมบูรณ์แบบ แต่เพราะเขาไม่ใช่ผู้เปิดสวรรค์จากโลกใบเล็ก พลังต่อสู้ของเขาจึงไม่อาจบรรลุยี่สิบดาว แต่ถึงอย่างไรสิบเก้าดาวก็นับว่าแข็งแกร่งมากแล้ว ด้วยพลังต่อสู้เช่นนี้ของเขาบททดสอบสายฟ้าสวรรค์จึงค่อนข้างง่าย
ครึ่งวันต่อมาติงผิงก็บรรลุระดับพระเจ้า
“อาจารย์ ทีนี้ข้าสามารถออกเดินทางด้วยตนเองได้รึยัง?” ติงผิงรอเวลานี้มานาน เขาคาดหวังที่จะเดินทางฝึกตนไปยังทิศเหนือใต้ได้อย่างอิสระเหมือนอาจารย์ลุงทั้งสาม
หลิงฮันยิ้มและและกล่าว “ทำไมรึ เจ้าต้องการเป็นอิสระขนาดนั้นเลย?”
ติงผิงชะงักทันทีและกล่าว “ศิษย์ไม่กล้าคิดเช่นนั้น!”
หลิงฮันครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่และนำยันต์อาคมสลายเมฆามอบให้กับศิษย์ของเขา “รับสิ่งนี้ไป ถ้าเจ้าตกอยู่ในอันตรายจะได้หลบหนีเอาชีวิตรอดได้ หลังจากนี้ไว้ค่อยพบกันที่ทางเข้าสุสาน”
“ท่านอาจารย์!” ติงผิงตื่นเต้นมาก ยันต์อาคมแผ่นนี้คือรางวัลที่อาจารย์ของเขาได้มาจากการผ่านด่านรูปแบบอาคมรูปปั้นหิน มันล้ำค่ามาก
“รับไป!” หลิงฮันหัวเราะ เขามีอุปกรณ์บินแหวกเมฆาอยู่แล้ว ยันต์อาคมสลายเมฆาจึงไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อเขาเท่าใด
ติงผิงก้มหัวคารวะหลิงฮัน เขารับยันต์อาคมสลายเมฆาเอาไว้และเดินจากไป
“เจ้าแน่ใจแล้วรึ?” สุ่ยเยี่ยนยวี่ถาม
หลิงฮันกล่าวหลังจากแน่นิ่งอยู่พักหนึ่ง “เมื่อเขาโตขึ้นแล้ว เป็นเรื่องปกติที่เขาจะบินไปยังเส้นทางของตนเองด้วยตัวเอง นอกจากนั้นข้าก็ไม่เหงาอยู่คนเดียวเสียหน่อย ข้ายังมีสาวงามอยู่ข้างกายไม่ใช่รึไง?”
สุ่ยเยี่ยนยวี่รู้ว่าหลิงฮันกล่าวถึงนางจึงอดถลึงตาใส่ไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันนางก็รู้สึกมีความสุข สตรีคนไหนบ้างที่จะไม่ดีใจเมื่อคนที่ตัวเองชอบชมว่างดงาม?
หลิงฮันหัวเราะ เขาโอบกอบนางและมอบจูบ
สุ่ยเยี่ยนยวี่รู้สึกอายมาก นางชี้ไปยังจักรพรรดิจอมอสูร “รอบข้างยังมีคนอยู่!”
จักรพรรดิจอมอสูรชะงักแข็งข้าง เขารีบยืนสี่ขาเห่าเหมือนสุนัขและพยายามส่ายหาง แต่เขาพบว่าตัวเองในตอนนี้ไม่ใช่หมาป่าแล้ว เขาชำเลืองตามองด้วยความอับอายและฝืนยิ้ม “นายหญิง ท่านไม่ต้องคิดว่าข้าน้อยเป็นคนก็ได้!”
ช่างน่าอับอายอะไรเยี่ยงนี้
ตอนที่ 1104
หลิงฮันและสุ่ยเยี่ยนยวี่พลอดรักกัน ถ้ามีจักรพรรดิจอมอสูรมาเกะกะสายตา เขาก็จะพามันเข้าไปในหอคอยทมิฬ แต่จักรพรรดิจอมอสูรนั้นดูไร้หนทาง ต้องทราบก่อนว่ามันเป็นแค่กลุ่มก้อนพลังปราณปีศาจ ไม่ใช่มนุษย์ การกอดที่มันเห็นไม่แตกต่างจากสุนัขสองตัวกำลังถูไถกัน
แน่นอนว่าเขาไม่กล้าพูด หากพูดอาจถูกหลิงฮันฆ่าตายได้
พวกเขาเดินบนที่ราบอันกว้างใหญ่ราวกับว่าไม่มีที่สิ้นสุด ฉากที่เห็นทำให้หลายคนหมดความอดทนและยอมแพ้ไปในท้ายที่สุด
เมื่อเวลาผ่านไป ระดับบ่มพลังของหลิงฮันและสุ่ยเยี่ยนยวี่ก็ก้าวหน้าขึ้น ด้วยความเชื่อเหลือจากเม็ดยาและต้นสังสารวัฎ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะมีความก้าวหน้า
ครึ่งเดือนต่อมา ระดับพลังของสุ่ยเยี่ยนยวี่ก็ทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นกลางช่วงปลาย นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก
หลิงฮันยังอยู่ห่างจากระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นสูงสุด นั่นเป็นเพราะเขาอยู่ในระดับสูงแล้ว ความก้าวหน้าจึงช้าลง
ในที่สุดก็มีทะเลปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขาแทนที่จะเป็นทุ่งราบอันกว้างใหญ่
แต่ทะเลนี่มันเป็นแปลกมาก!
ด้านล่างของทะเลเชื่อมต่อกับพื้นที่ราบ อาจพูดได้ว่าที่ราบนี้เป็นส่วนหนึ่งของทะเล แต่มีน้ำทะเลอยู่บนบก
ทันใดนั้น ด้านหน้าพวกเขาก็มีกำแพงวารีที่สูงถึงท้องฟ้า
และด้านล่างของทะเลไม่มีอะไรเลย นอกจากป่า
ป่าแห่งท้องทะเล
ต้นไม้แต่ละต้นหยั่งรากลึกถึงใต้ท้องทะเลเพื่อรองรับลำต้นที่สูงหลายพันฟุต แต่ลำต้นของพวกมันนิ่มมากเหมือนต้นไม้น้ำ
ใบไม้ของพวกมันมีขนาดใหญ่กว่าบ้าน ถ้ามนุษย์ซ่อนอยู่ด้านหลังคงเป็นเรื่องยากที่จะสังเกตเห็น
น้ำทะเลมีผลกระทบต่อสัมผัสสวรรค์และทัศนวิสัยอย่างมากทำให้ไม่สามารถมองทะลุผ่านใบไม้เหล่านี้ได้ แต่ไม่ถึงกับตาบอด แค่สัมผัสสวรรค์ลดลงไปมากเท่านั้น
“ระวังสมาคมราตรีนิรันดร์ด้วย!” สุ่ยเยี่ยนยวี่รีบกล่าวเตือนทันที
ก่อนหน้านี้ เพราะวิธีการบางอย่างทำให้ถูกแบ่งระดับของจอมยุทธโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว แต่ตอนที่เดินทางทางมาที่นี่ พวกเขาเคยเห็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทรามาแล้ว ดังนั้นพวกเขาอาจมาบรรจบกันโดยที่ไม่รู้ตัวอีกก็เป็นได้
สมาคมราตรีนิรันดร์รู้แล้วว่าไม่สามารถฆ่าหลิงฮันได้ง่ายๆ ดังนั้นถ้าพวกมันต้องการฆ่าเขา นักฆ่าที่ถูกส่งมาจะต้องเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา
ก่อนหน้านี้มันเป็นไปไม่ได้ แต่ตอนนี้…เป็นเรื่องยากที่จะพูด!
บางทีพวกมันอาจแฝงตัวอยู่ในป่าแห่งท้องทะเล
หลิงฮันพยักหน้าอย่างมั่นใจ แต่ไม่มั่นใจกับความแข็งแกร่งของตัวเองในปัจจุบัน เพราะจอมยุทธระดับสุริยันจันทราสามารถฆ่าเขาได้ แม้จะมีกายาเทียบเท่ากับเหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ก็ไร้ประโยชน์
เพื่อที่จะต่อสู้กับจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา แม้จะเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้น อย่างน้อยเขาจะต้องมีพลังต่อสู้สิบดาว
และเพื่อไปให้ถึงระดับภูผาวารีสิบดาว อย่างแรกเขาจะต้องสร้างภูผาวารีสายที่ห้าขึ้นมาให้ได้ก่อนและจะบรรลุจุดสมบูรณ์แบบ
หลิงฮันอยู่ห่างจากขั้นตอนนี้เล็กน้อย
“นายท่านอย่าได้เป็นห่วง ข้าจะทำให้ดีที่สุด ตราบใดที่มีข้าจักรพรรดิน้อยอยู่ที่นี่ ข้าจะเป็นคนรับประกันความปลอดภัยของนายท่านเอง!” จักรพรรดิจอมอสูรพูดและตบหน้าอกด้วยความมั่นใจ
“เข้าไปกันเลย!”
พวกเขาเข้าไปในป่าแห่งท้องทะเล อย่างน้อยก็เป็นเรื่องดีที่มีการเปลี่ยนแปลง มันหมายความว่าพวกเขาเดินมาในทิศทางที่ถูกต้อง มิฉะนั้นพวกเขาคงจะเดินวนเวียนอยู่ในที่ราบ แล้วจุดสิ้นสุดมันจะอยู่ตรงไหน?
โชคดีที่น้ำทะเลลดสัมผัสสวรรค์ลงหลายเท่า มันไม่เหมือนกับทะเลห้วงดาราที่มีอำนาจกฎเกณฑ์ยับยั้ง ถ้าต่ออยู่กันในทะเลจะทำให้ความแข็งแกร่งของจอมยุทธลดลงไปมาก
มันไม่ได้เป็นแค่ป่าใต้ทะเลอันกว้างใหญ่ แต่ยังมีปลายักษ์ว่ายอยู่ในน้ำด้วย
มันเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่มาก ลำตัวของมันยาวถึงหนึ่งหมื่นฟุต เพียงแค่แกว่งหางก็สามารถสร้างคลื่นอันรุนแรง แม้แต่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราก็ยังถูกพลัดปลิวไปไกลตามกระแสน้ำ
แม้ว่าปลายักษ์เช่นนี้จะไม่ใช่สัตว์อสูร แต่มันก็มีร่างกายที่แข็งแกร่งมาก ดังนั้นความแข็งแกร่งเป็นส่วนหนึ่งของพลังต่อสู้ แม้ว่ามันจะเป็นแค่ปลายักษ์ไม่ใช่สัตว์อสูร แต่พลังต่อสู้ของมันก็เทียบได้กับจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา
ส่วนพืชที่อยู่ในป่าแห่งท้องทะเลนั้นจะมีความเหนียวเป็นพิเศษ มิฉะนั้นพวกมันคงถูกปลายักษ์ทำลายได้อย่างง่ายดาย
หลิงฮันและสุ่ยเยี่ยนยวี่เดินเข้าไปป่าแห่งท้องทะเล มันทำให้เขารู้เหมือนเป็นมดตัวเล็กๆ
แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะมีขนาดใหญ่ หลิงฮันเห็น “ปลาตัวเล็ก” หลายตัว แต่ปลาตัวเล็กพวกนั้นก็ยังมีความยาวหลายสิบฟุต แต่เมื่อเทียบขนาดตัวกับปลายักษ์แล้ว มันเป็นได้แค่ปลาตัวเล็กๆเท่านั้น
ทว่าปลายักษ์กลับไม่ดุร้าย แต่เป็นปลาตัวเล็กต่างหากที่ดุร้าย
ปลายักษ์นั้นไม่กลัวจอมยุทธ แต่ปลาตัวเล็กนั้นจะดุร้ายมากเมื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธและจะเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน
ปลาตัวเล็กพวกนั้นแปลกประหลาดมาก มันมีเกล็ดที่เหมือนกับเหล็กและมีฟันที่แหลมคมเหมือนกับดาบ
ปลาตัวเล็กพวกนั้นจัดการได้ยากมาก มันมีทั้งเกล็ดที่แข็งแกร่งและฟันที่แหลมคม ถ้าเป็นจอมยุทธระดับเดียวกันกับพวกมันและไม่มีพลังต่อสู้เหนือกว่าก็จะเป็นฝ่ายสูญเสีย
หลิงฮันไม่แปลกใจ แต่รู้สึกยินดี
เขาต้องการแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับสองเพื่อยกระดับพลังของดาบอสูรนิรันดร์ นี่มันเหมือนกับการส่งวัตถุดิบมาหาเขาถึงที่ใช่ไหม?
คลืน!
ปลากระดิกหางเพื่อสร้างคลื่นที่ทรงพลังเพื่อห่าหลิงฮันและสุ่ยเยี่ยนยวี่ที่ยืนอยู่บนพื้น
หลิงฮันปลดปล่อยพลังออกมาจากร่างกาย ทันใดนั้นเขาก็พุ่งออกไปเหมือนลูกศรเพื่อสังหารปลาตัวนั้น
ความแข็งแกร่งของปลาตัวนั้นเทียบเท่ากับระดับภูผาวารีขั้นกลางชั้นสูง แน่นอนว่ามันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงฮัน แต่เมื่อเขาขูดเกล็ดของมันออกจนหมดก็ปล่อยมันไป
“ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” หลิงฮันยิ้มและโยนปลาออกไป
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ปลาตัวนั้นก็ว่ายกลับมาหาหลิงฮันอีกครั้ง พร้อมกับพวกของมันอย่างน้อยหลายร้อยตัว
– เจ้ากล้าขูดเกล็ดของข้าออก แล้วคิดว่าจะรอดงั้นรึ
“เจ้ารู้สึกอย่างไรที่ถูกมันอาฆาตแค้น?” สุ่ยเยี่ยนยวี่ถาม
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “ข้ารู้สึกเหมือนได้รับของขวัญ”
ใช่แล้ว ปลาหลายร้อยตัวตรงหน้าเขาเพียงพอที่จะยกระดับดาบอสูรนิรันดร์อยู่บ้าง
เขานำดาบอสูรนิรันดร์ออกมาและฟาดฟันใส่พวกมัน เกล็ดปลาที่ถูกตัดก็ถูกดูดสาระสำคัญเข้าไปในดาบอสูรนิรันดร์เพื่อยกระดับให้มันกลายเป็นแร่เหล็กศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม
แต่อย่าได้ดูถูกปลาเหล็กหลายร้อยตัวเชียว ถึงแม้จะเรียกว่าปลาเล็ก แต่ขนาดลำตัวของมันนั้นยาวหลายสิบฟุต ทำให้เขาได้รับแร่เหล็กมาจำนวนมาก
เมื่อหลิงฮันฆ่าปลาพวกนั้นไปเกือบหมด ทันใดนั้นดาบอสูรนิรันดร์ก็เปล่งแสงและเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
ในขั้นตอน หลิงฮันปลดปล่อยเจตจำนงของเขาเข้าไปด้วย ทำให้เกิดอักขระศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมายี่สิบสามแถว
ครั้งก่อนหลิงฮันเตรียมตัวไม่ทัน ดังนั้นเขาจึงใส่อักขระศักดิ์สิทธิ์ได้แค่เจ็ดแถวเท่านั้น แต่คราวนี้เขาเตรียมตัวมาดี ทำให้สร้างอักขระศักดิ์สิทธิ์ได้มากกว่าเดิมสองเท่า
“อาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม!”
หลิงฮันรู้สึกมีความสุขมาก และเมื่อปลดปล่อยรัศมีดาบ รัศมีดาบของเขามีความยาวหนึ่งพันฟุต เมื่อตัดผ่านทำให้ปลาอย่างน้อยครึ่งหนึ่งถูกตัดออกเป็นสองส่วนด้วยรัศมีดาบ
ตอนที่ 1105
หลิงฮันพึงพอใจมาก เนื่องจากเขาไม่ได้ใช้พลังของตนเองมากมายเท่าไหร่ พลังที่ปล่อยออกไปเป็นพลังของตัวดาบอสูรนิรันดร์เองทั้งสิ้น
ดาบเป็นเพียงอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสาม แต่เนื่องจากเจตจำนงที่ถูกสลักเอาไว้ทำให้มันมีพลังอยู่เหนือระดับของมันเอง ดาบอสูรนิรันดร์นั้นสามารถปะทะกับอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ได้อย่างทัดเทียม
ขนาดอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ก็ยังสามารถสู้ข้ามระดับได้?
‘พรึบ’ ปลาที่เหลืออยู่รีบสะบัดหางว่ายหนีไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้หลิงฮันแค่ขูดเกล็ดของพวกมันแต่ไม่ได้สังหารจึงทำให้ปลาเหล่านี้ไม่หวาดกลัว แต่เมื่อรู้ว่าหลิงฮันไม่ใช่คนที่พวกมันจะสามารถต่อกรด้วยได้พวกมันจึงรีบเผ่นหนีทันที
“นั่นคือดาบอันดับหนึ่งของโลก?” สุ่ยเยี่ยนยวี่เองก็รู้ว่าจินจื้อฮุยได้เดินทางมาเพื่อมอบดาบให้กับหลิงฮัน
หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “ดาบเล่มนี้ยังแข็งแกร่งขึ้นได้อีก”
สุ่ยเยี่ยนยวี่ยิ้มและกล่าว “ข้าเชื่อว่าหากมันอยู่ในมือเจ้าดาบเล่มนี้จะต้องพัฒนาถึงจุดสูงสุดแน่นอน สำหรับนักตีดาบแล้วนี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องการเห็นมากที่สุด ไม่เช่นนั้นหากพวกเขาเป็นคนเก็บเอาไว้เองก็มีแต่จะทำให้ไข่มุกล้ำค่าถูกฝุ่นเกาะ”
“ภรรยาข้านี่พูดเก่งขึ้นเรื่อยๆเลยนะ เจ้าช่างปากหวานจริงๆ” หลิงฮันยิ้มและหยิกแก้มสุ่ยเยี่ยนยวี่ อีกฝ่ายถลึงตาใส่เขาด้วยท่าทีรำคาญ
“ข้าคาดหวังจริงๆว่าจะเจอปลาที่แข็งแก่งกว่านี้เพื่อพัฒนาดาบให้กลายเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่”
สุ่ยเยี่ยนยวี่มองไปด้านหน้า จู่ๆสีหน้านางก็เปลี่ยนไป “เจ้าคนปากพาซวย!”
ด้านหน้ามีปลาขนาดใหญ่ว่ายมาทางพวกเขา ปลาตัวนี้มีขนาดยาวพันกว่าฟุต แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ใช่ขนาดที่ใหญ่ที่สุด คลื่นน้ำที่มันสร้างขึ้นทำให้หลิงฮันและสุ่ยเยี่ยนยวี่ลอยกระเด็นทรงตัวไม่ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่พวกเขาจะสู้โต้ตอบเลย
“พลังของปลาตัวนี้เทียบได้กับระดับสุริยันจันทราเป็นอย่างน้อย!” หลิงฮันกล่าว
ปลาขนาดใหญ่ว่ายมาถึงด้านหน้าพวกเขาและเปิดปากขนาดใหญ่ของมันดูดน้ำทะเลรอบด้านเข้าไป หลิงฮันกับสุ่ยเยี่ยนยวี่ก็เช่นกัน ทั้งสองถูกดูดเข้าไปหาปากของปลาขนาดใหญ่
“ยังไม่ลงมืออีกรึ!” หลิงฮันคำราม
จักรพรรดิจอมอสูรรีบทำตามคำสั่ง พลังของระดับสุริยันจันทราของเขาปะทุออกมาพร้อมกับปล่อยหมัดออกไป น้ำทะเลรอบข้างถูกบีบอัดขยายกลายเป็นคลื่นน้ำและปะทะเข้ากับปลาขนาดใหญ่
ปัง!
ปลาขนาดใหญ่ถูกซัดกระเด็นไปไกลหลายพันฟุต พลังของหมัดนี้ทรงพลังอย่างมาก ตรงบริเวณลำตัวของปลาปรากฏหลุมเว้าลึกลงไปและมีโลหิตไหลออกมา
ปลาขนาดใหญ่เจ็บปวดมาก มันตอบโต้กลับด้วยความโมโห หางของมันยกขึ้นและสะบัดสร้างคลื่นวายุอย่างเกรี้ยวกราด
จักรพรรดิจอมอสูรตอบโต้ แม้ร่างกายของเขาจะเล็กกว่าแต่พลังไม่ด้อยกว่าแน่นอน เขาปล่อยหมัดตอบโต้ปลาขนาดใหญ่
หนึ่งคนหนึ่งปลาเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด ทั้งคู่ไม่ได้มีพลังที่แท้จริงของจอมยุทธ คนหนึ่งมีพลังต่อสู้ระดับสุริยันจันทราได้เพราะผลึกก่อเกิดและรูปแบบอาคมของหุ่นเชิด ในขณะที่อีกคัวมีร่างกายที่ใหญ่และพลังกายที่น่าสะพรึงกลัว
พลังของทั้งสองใกล้เคียงกัน แต่หุ่นเชิดนั้นไม่มีความเจ็บปวดและร่างกายก็ถูกสร้างขึ้นจากแร่โลหะระดับสูง หลังจากปะทะกันหลายกระบวนท่าปลาขนาดใหญ่ถูกทุบตีจนเกล็ดตามร่างเต็มไปด้วยโลหิต
มันรู้สึกหวาดกลัวและสะบัดหางเพื่อหลบหนี
“ให้ตายเถอะ จักรพรรดิน้อยผู้นี้ช่างแข็งแกร่งจริงๆ!” จักรพรรดิจอมอสูรรู้สึกภูมิใจมากที่สามารถทำให้ศัตรูระดับสุริยันจันทราหวาดกลัวจนหนีไป เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าตัวเขาจะมีวันนี้ได้
ข้านี่มันสุดยอดจริงๆ!
เมื่อเห็นหลิงฮันเดินใกล้เข้ามา ใบหน้าของจักรพรรดิจอมอสูรก็เปลี่ยนเป็นประจบสอพลอทันที “จักรพรรดิน้อยขอขอบคุณนายท่าน! นายท่านเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำของข้าโดยแท้ นายเป็นผู้ชี้ทางสว่างและรุ่งโรจน์ให้กับจักรพรรดิน้อยผู้นี้…”
เขาเริ่มเลียแข้งเลียขาอย่างไม่รู้จบ
“พอ.. พอได้เถอะ ไม่งั้นข้าต้องกระอักเลือกแน่” หลิงฮันสะบัดให้อีกหยุดจนสุ่ยเยี่ยนยวี่ต้องเผลอยิ้ม
จักรพรรดิจอมอสูรรีบปิดปาก เขาเผลอพูดประจบไปโดยไม่รู้ตัว เพราะอย่างไรเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถเพิ่มพลังบ่มเพาะผ่านการฝึกฝน ดังนั้นทุกวันนี้เขาจึงฝึกฝนทักษะในการประจบสอพลอแทน
หลังจากเข้ามายังส่วนลึกของทะเลแล้ว ป่าก็เผนถึงความงดงามที่ยิ่งกว่าเดิม
ส่าหร่ายทะเลโดยรอบไม่ได้มีสีน้ำเงินเข้มอย่างเดียวอีกต่อไป พวกมันเริ่มปรากฏเป็นหลากหลายสี ทั้งสีม่วง สีแดง สีส้ม และสีของปลาเองก็มีจำนวนมากขึ้นและหลากหลายสีเช่นเดียวกัน
ภัยคุกคามจากปลาเหล่านี้รุนแรงยิ่งขึ้น ปลาเหล่านี้ไม่มีปราณก่อเกิดให้ถูกเผาผลาญแม้แต่นิดเดียว พวกเขาเกิดมาด้วยรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับความสามารถพิเศษ
นอกจากนี้ที่นี่ก็ยังมีปลาหมึกยักษ์ปรากฏตัวออกมา มันปล่อยน้ำหมึกทำให้สภาพแวดล้อมโดยรอบมืดมิด ไม่เพียงแต่จะทำให้มองไม่เห็นแต่สัมผัสสวรรค์ยังถูกปิดกั้นด้วย ผู้คนที่พบเจอกับปลาหมึกยักษ์จึงต้องยอมถูกโจมตีอย่างเลี่ยงไม่ได้
ปลาขนาดใหญ่บางตัวเองก็มีหนามหลากสีอยู่บนตัว ตอนที่หลิงฮันเห็นมัน มันกำลังบีบรัดปลาอีกตัวอยู่
หนามของมันมีพิษ มันสามารถสังหารศัตรูได้ด้วยพิษอย่างง่ายโดยโดยที่ไม่ต้องลงมือโจมตี
ที่นี่คือที่ที่อันตราย ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลาเล็กกินจอมยุทธ แต่แน่นอนว่าปลาขนาดใหญ่เองก็กินจอมยุทธเช่นกัน
กระดูกปลาเกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณ ซากของจอมยุทธเองก็มีให้เห็นเช่นกัน โดยส่วนใหญ่แล้วซากจะเหลือเพียงแค่ส่วนมือ ส่วนขา หรือไม่ก็ส่วนหัวลอยอยู่กลางทะเล
อุปกรณ์บินแหวกเมฆาไม่ค่อยเหมาะกับสภาพแวดล้อมใต้น้ำดังนั้นหลิงฮันจึงไม่ใช้ ปลาใหญ่ที่มีระดับต่ำกว่าสุริยันจันทราขั้นกลางจะถูกจัดการโดยจักรพรรดิจอมอสูร ถ้าหากมีปลากมีแข็งแกร่งกว่านั้นพวกเขาก็จะเข้าไปซ่อนตัวในหอคอยทมิฬจนกว่าสถานการณ์ปลอดภัย
ปลาที่นี่พอจะมีค่าอยู่บ้าง กระดูกของปลาบางตัวมีคุณสมบัติเหมือนกับโลหะที่เทียบได้กับแร่โลหะระดับเดียวกับพลังบ่มเพาะของมัน ดังนั้นเมื่อใดที่พบเห็นกระดูกเช่นนั้นหลิงฮันก็จะเก็บพวกมันเข้าไปในหอคอยทมิฬแล้วค่อยใช้พวกมันขัดเกลาพลังให้กับดาบอสูรนิรันดร์ทีหลัง
……
ในมุมหนึ่งของทะเลลึก จักรพรรดินีแห่งดารากำลังเผชิญหน้าอยู่กับชายชรา บริเวณใกล้ๆพวกเขามีดอกบัวหลากสีที่เบ่งบางงอกอยู่ ขนาดเป็นในสภาพแวดล้อมเช่นนี้กลิ่นหอมของดอกบัวยังเด่นชัด
ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าดอกบัวนี้ต้องเป็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์แน่นอน ไม่เช่นนั้นมันคงไม่ดึงดูดความสนในของจักรพรรดินีแห่งดารา แต่การที่ชายชราสามารถต่อต้านนางได้แสดงให้เห็นว่าเขาก็มีพลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นกัน
“ดอกบัวนี่ยังเป็นเพียงแค่ดอกบัววายุเพลิงสามสี มันต้องใช้เวลาอีกหลายร้อยล้านปีกว่าจะมีสีอื่นขึ้นเพิ่มขึ้นมา ดอกบัวนี่ไม่มีประโยชน์ต่อเทพธิดาเช่นเจ้าเลย ทำไมไม่ยกมันให้กับชายชราผู้นี้ล่ะ? ข้าไม่ได้จะขอฟรีๆแต่ข้าจะชดเชยเจ้าด้วยเม็ดยาผลึกมังกรสามเม็ดเป็นอย่างไร?” ชายชรากล่าว
ดอกบัววายุเพลิงสามสีต้นนี้เป็นสมบัติแห่งสวรรค์และปฐพี ถ้าจอมยุทธระดับภูผาวารีดูดซับมันเข้าไปในตันเถียน ไม่เพียงแค่ความเร็วในการบ่มเพาะพลังจะเพิ่มขึ้น แต่ยังจะสามารถเชื่อมต่อความคิดกับสวรรค์และปฐพีทำให้ความเข้าใจในศาสตร์แห่งวรยุทธเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกตะลึงอีกด้วย
เพียงแต่ว่าหากจอมยุทธบรรลุระดับสิรุยันจันทราแล้ว แก่นแท้ของดอกบัวที่ถูกดูดซับก็จะแห้งเหี่ยวลงกว่าเดิม
ดอกบัวต้นนี้ยังมีเพียงสามสีเท่านั้น หากมันเติบโตจนมีสีมากกว่านี้เมื่อไหร่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราจึงจะสามารถดูดซับได้ หรือหากมันมีสีสันหลากหลายยิ่งขึ้น แม้แต่ตัวตนระดับดาราก็ยังมองเห็นมันเป็นดั่งสมบัติล้ำค่า
ตอนที่ 1106
จักรพรรดินีแห่งดาราหายนะปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายที่สับสนวุ่นวาย นางหลับตาลงและมีดาวใหญ่ดาวหนึ่งปรากฏอยู่ด้านหลัง และหายไปอย่างรวดเร็ว
จอมยุทธระดับดาราขั้นสูงชั้นสูงสุดจะมีดาวสี่ดวง แต่ในกรณีของจักรพรรดินีราวกับมีดวงดาวนับไม่ถ้วนและแรงกดดันอันยิ่งใหญ่แสดงให้เห็นถึงพลังของจักรพรรดิ
นางเค้นเสียงและพูดว่า “หึ่ม ข้าจะมอบเม็ดยาผลึกมังกรให้เจ้าห้าเม็ด!”
ช่วยไม่ได้ที่ชายชราจะรู้สึกตกใจ ข้าเรียกร้องเม็ดยาผลึกมังกรสามเม็ดเพื่อให้เจ้าตัดใจจากดอกบัวเพลิงวายุสามสี แต่เจ้ากลับเสนอเม็ดยาผลึกมังกรให้ข้าห้าเม็ด? อย่างไรก็ตาม เม็ดยาผลึกมังกรนั้นไม่ใช่เม็ดยาธรรมดา มันสามารถปรับปรุงความเข้าใจในวิถีวรยุทธของจอมยุทธระดับดาราได้ด้วย
เขาเสนอแลกกับเม็ดยาผลึกมังกรสามเม็ด เพราะเขามีลูกหลานอันเป็นที่รักที่เพิ่งทะลวงผ่านระดับภูผาวารีอยู่ และด้วยความช่วยเหลือของดอกบัววายุเพลิงสามสีนี่ มันจะช่วยให้ลูกหลานของเขาบรรลุจุดสมบูรณ์แบบของระดับภูผาวารีได้ภายในร้อยปี
ไม่เช่นนั้นแล้ว ทั้งที่ดอกบัววายุเพลิงสามสีไม่มีประโยชน์สำหรับเขา เขาจะยอมแลกด้วยไปทำไม?
แต่แน่นอนว่าถ้าเขามีความอดทนมากพอ เขาก็สามารถปลูกดอกบัววายุเพลิงสามสีและปล่อยให้มันดูดซับพลังแห่งสวรรค์และปฐพีได้ หลังจากผ่านไปหลายร้อยล้านปี มันอาจมีสีสันมากขึ้น และถ้าปลูกซักพันล้านปี มันก็อาจมีถึงเก้าสี!
เวลาที่ยาวนานขนาดนั้น ใครจะรอไหว?
ชายชราเผยสีหน้าครุ่นคิด หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พยักหน้าและพูดว่า “ย่อมได้ ข้ายอมรับข้อเสนอของเจ้า แล้วดอกบัววายุเพลิงสามสีนี่ก็จะกลายเป็นของข้า”
จักรพรรดินีแห่งดาราหายนะโยนแหวนมิติและเคลื่อนที่ไปหาดอกบัวเพลิงวายุสามสี
“ช้าก่อน!” ชายชรารีบเอื้อมมือออกไป
จักรพรรดินีแห่งดาราหายนะเผยจิตสังหาร อีกฝ่ายคิดที่จะเปลี่ยนใจ?
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไม่ใช่คนแบบนั้น เทพธิดาอย่างเจ้าจะไม่ให้ข้าตรวจสอบเม็ดยาผลึกมังกรเลยหรือ?” ชายชราโบกมือด้วยรอยยิ้ม
จักรพรรดินีแห่งดาราหายนะไม่พูดอะไร แต่ก็หยุดเคลื่อนไหว เหตุผลของอีกฝ่ายฟังขึ้น ใครจะไปเชื่อคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก?
ชายชรานำขวดหยกออกมาจากแหวนมิติ เขาเปิดฝาขวดและเทเม็ดยาออกมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ตกลง เชิญเจ้านำมันไปได้เลย”
จักรพรรดินีแห่งดาราหายนะเคลื่อนที่เข้าหาดอกบัววายุเพลิงสามสีและขุดอย่างระมัดระวัง มิฉะนั้นประสิทธิภาพของมันจะลดลง
นางนำถุงผ้าที่มีขนาดเท่าฝ่ามือออกมา แต่ก็สามารถเก็บดอกบัววายุเพลิงสามสีที่สูงสามฟุตได้อย่างง่ายดายและมัดไว้ที่เอว
อุปกรณ์มิติไม่สามารถใส่สิ่งมีชีวิตเข้าไปได้ ซึ่งเรื่องนี้ทุกคนทราบกันดี ดังนั้นถ้าจะย้ายสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์จะต้องทำเช่นไร? ในกระบวนการขนย้ายใครจะยอมให้ประสิทธิภาพของมันลดลง?
ดังนั้นจึงต้องมีถุงมิติ
ถุงมิติสามารถเก็บสิ่งที่มีชีวิตได้ และมั่นใจได้ว่าสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์จะปลอดภัย แต่มันเป็นพื้นที่มิติที่ไม่มีความแน่นอน โดยทั่วไปแล้วจะเก็บได้เฉพาะพืชเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ อายุการใช้งานของถุงมิติแต่ละใบจะใช้ได้ไม่นาน แต่ข้อดีคือจอมยุทธระดับดาราสามารถสร้างขึ้นมาได้ ซึ่งแตกต่างจากอุปกรณ์มิติที่ต้องใช้พลังของจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่ง
ชายชราจ้องมองจักรพรรดินีแห่งดาราหายนะไม่หยุด และเมื่อจักรพรรดินีเก็บดอกบัววายุเพลิงสามสีเสร็จ เขาก็เปิดฉากโจมตีใส่นางทันที และมีดาวสี่ดวงอยู่ด้านหลังเขา ซึ่งดาวแต่ละดวงนั้นได้ปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่าเกรงขามออกมา
ตู้ม!
น้ำทะเลที่อยู่รอบๆเหือดแห้งหายไปในเวลาอันรวดเร็ว และปลายักษ์ที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งพันไมล์ก็ถูกฆ่าตายจากแรงระเบิด จากนั้นชายชราก็นำหอกทมิฬออกมาและแทงไปที่เอวของจักรพรรดินีแห่งดาราหายนะ
เขายังต้องการดอกบัววายุเพลิงสามสี!
จักรพรรดินีแห่งดาราหายนะแสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยว อักขระศักดิ์สิทธิ์นับพันกลายเป็นตาข่ายและพุ่งเข้าหาชายชรา
เมื่อจักรพรรดินีโกรธ สวรรค์และปฐพีก็เหมือนสูญเสียสีสันของมันไป!
ทั้งที่พวกเขาสองคนเป็นจอมยุทธระดับดาราขั้นสูงชั้นสูงสุดเหมือนกัน แต่เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดินีแข็งแกร่งกว่า และตาข่ายดำก็เข้าปกคลุมหอกทมิฬ ทำให้มันกลายเป็นชิ้นๆ
จึก!
แต่ในขณะเดียวกัน ลำแสงสีแดงก็พุ่งผ่านตาข่ายและเข้าไปที่คอของจักรพรรดินี
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ชายชราหัวเราะด้วยความภาคภูมิใจ
“เทพธิดาเอ๋ย เจ้าถูกเข็มเพลิงอัคคีเข้าให้แล้ว ถ้าเจ้าไม่ได้ข้าถอนมันออก มันก็จะค่อยๆเผาโลหิตของเจ้าทีละเล็กน้อย จนกระทั่งเจ้าจะต้องตายอย่างน่าอนาถ!”
“ส่งดอกบัวเพลิงวายุสามสีมาให้ข้าซะดีๆ แล้วข้าผู้นี้จะไว้ชีวิตเจ้า นั่นเป็นเพราะเทพธิดาที่งดงามอย่างเจ้า หากตายไปมันคงน่าเสียดายแย่!”
ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังเป็นประมุขของจักรวรรดิ ถ้าเขาสามารถทำให้นางกลายเป็นผู้หญิงของเขาได้ แล้วเขาจะมีพลังอำนาจขนาดไหน?
ด้านหลังจักรพรรดินีแห่งดาราหายนะ มีดาวดวงใหญ่กำลังลอยอยู่และปล่อยกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านด้วยความกลัว แม้แต่ชายชราก็ไม่มีข้อยกเว้น
แข็งแกร่ง เหตุใดนางถึงแข็งแกร่งขนาดนี้ ทั้งที่เป็นจอมยุทธระดับดาราขั้นสูงชั้นสูงสุดเหมือนกัน แต่ทำไมถึงห่างชั้นกันขนาดนี้!
โชคดีที่เขายังพอมีเวลาที่จะปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังออกไปอีกครั้ง ด้วยเข็มอัคคีเพลิง
“เจ้ามาจากสามาคมราตรีนิรันดร์ใช่หรือไม่?” จักรพรรดินีแห่งดาราหายนะยังไม่โจมตี แต่พูดถามอีกฝ่าย
หัวใจของชายชรากระตุก อีกฝ่ายเดาได้ยังไง? นี่เขาเผยตัวตนตอนไหน? อย่างไรก็ตาม เข็มอัคคีเพลิงยังคงฝังอยู่ที่คอนาง เมื่อเขาคิดเช่นนั้น เขาก็รู้สึกโล่งใจ
“ไม่เลว!” เขายอมรับความสามารถของนาง “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
อย่างไรก็ตาม จักรพรรดินีไม่ตอบคำถามและพูดต่อว่า “เจ้าเป็นคนค้นพบดอกบัวเพลิงวายุสามสีก่อนข้า แต่เจ้ารอให้ข้าหาเจอ แล้วแกล้งทำเป็นพบดอกบัวเพลิงวายุสามสีพร้อมกับข้า เพื่อหาโอกาสสังหารข้าใช่หรือไม่?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าช่างฉลาดยิ่งนัก เจ้าเดาได้ถูกต้อง!” ชายชราไม่ปฏิเสธ “แต่ยังไงก็ตามเทพธิดาเอ๋ย ข้าแนะนำให้เจ้ายกเลิกภาพลวงตาบนใบหน้าเจ้าซะ มิฉะนั้นมันจะทำให้โลหิตของเจ้าเผาไหม้รวดเร็วยิ่งขึ้น”
“ข้าขอปฏิเสธ!” จักรพรรดินีแห่งดาราหายนะพูดด้วยความเหยียดหยาม และควบแน่นพลังอันไม่มีที่สิ้นสุดไปที่ฝ่ามือ และสร้างแรงกดดันที่มหาศาลให้แก่ศัตรู
ชายชรารู้สึกตกใจ ทั้งที่นางถูกเข็มอัคคีเพลิง แต่ทำไมถึงยังแข็งแกร่งขนาดนี้? ไม่ใช่ว่าพลังของนางกำลังถูกเผาไหม้หรอกหรือ?
ตอนที่ 1107
จักรพรรดินีแห่งดาราลงมือ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์แปรเปลี่ยนเป็นโซ่พลังปราณพุ่งออกจากมือเข้าใส่นักฆ่าของสมาคมราตรีนิรันดร์
ชายชราผู้นี้จะต้องเป็นหนึ่งในตัวตนระดับสูงของสมาคมราตรีนิรันดร์เป็นแน่ ในดวงดาวของพวกนางจะมีจอมยุทธกี่คนเชียวที่สามารถบรรลุพลังระดับดาราขั้นสูงสุด?
ยิ่งกว่านั้นเข็มอัคคีเพลิงที่สมควรเป็นสมบัติล้ำค่าของสมาคมราตรีนิรันดร์ แต่ชายชราสามารถนำมันออกมาใช้ได้ นั่นแสดงว่าเขาต้องเป็นตัวตนระดับสูงมากของสมาคมราตรีนิรันดร์เป็น
ชายชราคำราม ผิวหนังและกระดูกของเขาเปล่งแสงด้วยพลังอำนาจ เขาที่ดูเหมือนชายชราทั่วไปก่อนหน้านี้ ตอนนี้ร่างของเขากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต
ชายชราตอบโต้ด้วยพลังทั้งหมด!
“ยอมจำนนเสีย!” จักรพรรดินีแห่งดาราคำรามเสียงเบา มือของนางกระแทกออกด้วยโซ่พลังปราณอันไร้ที่สิ้นสุด
ชายชราโลหิตเดือดดาล เขาคิดมาตลอดว่าจักรพรรดินีแห่งดาราได้รับผลกระทบจากเข็มอัคคีเพลิงเรียบร้อยแล้ว หากโลหิตถูกเผาผลาญอย่างไม่รู้จบ ต่อให้เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งเช่นนางก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้นาน
ตราบใดที่เขาสยบนางได้ สตรีที่งดงามล้ำโลกผู้นี้ก็จะกลายเป็นของเล่นของเขา
การที่ได้อยู่เหนือจักรพรรดินีที่องอาจเช่นนี้คือความฝันของจอมยุทธที่แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน ถ้าตัวเขาทำสำเร็จเขาจะรู้สึกภูมิใจขนาดไหนกัน?
ตูม!
หลังจากเข้าปะทะกันร่างของชายชราก็ถูกโจมตีจนกระเด็น โล่พลังปราณที่เคยห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้พังทลายทำให้น้ำทะเลไหลผ่านเข้ามาสัมผัสโดนตัวเขาจนทั้งผมและเสื้อผ้าเปียดแฉะ
“อั่ก!” ชายชรากระอักโลหิต ใบหน้าของเขาซีดเผือด “เป็นไปได้อย่างไร เหตุใดเจ้าถึงแข็งแกร่งขนาดนี้?”
ทั้งเขาและนางต่างก็มีพลังระดับดาราขั้นสูงสุดเหมือนกัน นอกจากนั้นเขายังเป็นอัจฉริยะสี่ดาวอีกด้วย ตามหลักแล้วจักรพรรดินีแห่งดาราสมควรมีพลังต่อสู้มากกว่าเขาเพียงหนึ่งดาวเท่านั้น แต่จากผลลัพธ์ของการปะทะกันแล้ว ความต่างของพวกเขานั้นไม่ใช่เพียงหนึ่งดาวแต่เป็นสามดาวเป็นอย่างน้อย!
เป็นไปได้อย่างไร! เรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!
“เจ้าโจรชั่ว ตายซะ!” จักรพรรดินีแห่งดาราไม่ตอบคำถาม นางเป้นสตรีที่มีจิตใจแห่งจักรพรรดิ นางกล่าวอะไรทั่วโลกก็ต้องทำตาม หากนางคิดจะฆ่าใครจะหยุดยั้งนางได้?
ชายชรานำหมวกเหล็กออกมาและสวม ทันใดนั้นหมวกเหล็กก็ดึงดูดอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เข้ามาผสานเข้ากับรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์และชี้นำมายังร่างของเขา จำนวนของรูปแบบอาคมนั้นมีมากมายหลายพัน
เขาเป็นถึงจอมยุทธระดับแนวหน้า จำนวนรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ที่เขาควบแน่นสร้างขึ้นมานั้นมีเกินกว่าสามพัน ผสานกับรูปแบบอาคมหลายพันรูปแบบที่ถูกสร้างขึ้นโดยหมวกเหล็กแล้ว ทำให้ออร่าของเขาในตอนนี้ระเบิดออกสูงเสียดฟ้า ออร่าของเขาในตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าจักรพรรดิแห่งดาราเลย
“ฮ่าๆๆ อย่าลืมว่าชายชราผู้นี้มาจากสมาคมราตรีนิรันดร์ มรดกสืบทอดของพวกข้าตั้งแต่อดีตนั้นยาวนานยิ่งกว่าสามจักรวรรดิราชวงศ์เสียอีก อำนาจของพวกข้านั้นฝังลึกเกินกว่าพวกเจ้าจะจินตนาการได้!” ชายชรากล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“ต่อให้พึ่งพาสมบัตินอกกาย ก็ไร้ประโยชน์!” จักรพรรดินีแห่งดาราเค้นเสียงเย็นชา โซ่พลังปราณของนางพุ่งออกไปและเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นดาบ กระบี่ และหอกพุ่งหล่นจากด้านบน
การโจมตีของนางรุนแรงราวกับจักรวาลจะล่มสลาย ชายชราจากสมาคมราตรีนิรันดร์รู้สึกราวกับกำลังถูกสวรรค์ลงทัณฑ์
สีหน้าของชายชราเปลี่ยนไป เห็นได้ชัดว่าต่อให้เขาพึ่งพาอำนาจของอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงก็ยังไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะ เขารู้สึกได้เพียงว่าอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งจนถึงระดับที่เกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้!
ท้ายที่สุดเขาก็นำหน้าไม้สีดำที่มีรูปแบบอาคมซับซ้อนสลักเอาไว้ออกมา มันคือหน้าไม้ที่แตกหักไม่สมบูรณ์ รูปแบบอาคมมากมายบนตัวหน้าไม้เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวหรืออาจจะหนึ่งในสาม
แต่นั่นก็ไม่ทำในความน่าสะพรึงกลัวของมันลดลง พลังของชายชราไม่สามารถปกปิดอำนาจของหน้าไม้เอาไว้ได้ จิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวแพร่ขยายออกไปทั่วท้องฟ้า
“จักรพรรดินี ชายชราผู้นี้แนะนำให้เจ้าหยุดมือ ข้าขอบอกก่อนว่าข้านำเข็มอัคคีเพลิงติดตัวมาทั้งหมดสามเข็ม เจ้าถูกเข็มโจมตีไปแล้วหนึ่งครั้ง ถ้าหากเจ้าถูกเข็มโจมตีอีกครั้งเกรงว่าแม้แต่ชายชราผู้นี้ก็คงช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว”
จักรพรรดินีแห่งดาราไม่แยแส เมื่อฝ่ามือของนางกระแทกออกไปทั่วทั้งโลกก็เปลี่ยนเป็นความมิดมิด โซ่พลังนับไม่ถ้วนร่วงหล่นจากท้องฟ้าพุ่งเข้าใส่ชายชรา
“ฮึ่ม!” ชายชราแสดงท่าทีโหดเหี้ยม ถึงแม้เขาจะอยากครอบครองเทพธิดาที่แสนงดงามผู้นี้แต่เขาก็ยังเห็นค่าชีวิตตัวเองมากกว่า
เขาลงมือโต้ตอบ รูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์หลายพันผสานพัวพันกันกลายเป็นกำแพงด้านหน้าและเตรียมใช้งานหน้าไม้
ในด้านพลังต่อสู้แล้วเขาอ่อนแอกว่าจักรพรรดินีแห่งดาราเล็กน้อย แต่อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้จะทำให้พลังของเขาเหนือกว่านาง
เขาพยายามตอบเพื่อซื้อเวลาเตรียมใช้หน้าไม้ยิงเข็มอัคคีเพลิง ด้วยสิ่งนี้ต่อให้เป็นจอมยุทธระดับดาราก็ไม่สามารถป้องกันได้!
ถ้าหากเข็มอัคคีเพลิงเข็มเดียวไม่ได้ผลก็ต้องสองเข็ม!
ในที่สุดหน้าไม้ก็พร้อมใช้งาน ระดับของอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้นั้นสูงมาก ต่อให้เป็นระดับพลังบ่มเพาะของชายชราก็ยังไม่สามารถใช้งานมันได้ในทันที ชายชราในตอนนี้เหงื่อไหลท่วมหน้าผาก ออร่าของเขาเริ่มปั่นป่วน
สีหน้าของจักรพรรดินีเปลี่ยนเป็นจริงจัง ต่อหน้าอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงเช่นนี้นางไม่กล้าประมาทแม้แต่นิดเดียว นางเค้นเสียงพร้อมกับมีภูเขาขนาดมหึมาเก้าลูกปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง ‘พรึบ พรึบ พรึบ’ ภูเขาทั้งเก้าไปยังด้านหน้าชายชรา
“จัดการ!” ชายชรากัดฟันยิงเข็มอัคคีเพลิงออกไปด้วยหน้าไม้สีดำ
จุดสีแดงพุ่งทะลวงผ่านการขัดขวางของจักรพรรดินีแห่งดาราและปะทะเข้ากับตัวนาง
ชายชราแสยะยิ้ม เมื่อใดที่หน้าไม้ของเขาโจมตีออกไป ก็หมายถึงอีกฝ่ายจะต้องถูกเข็มยิงเข้าใส่แน่ๆ
นอกเสียจากว่าพลังของเจ้าจะเหนือกว่าหน้าไม้ของข้า!
เข็มอัคคีเพลิงสามารถแผดเผาโลหิตของจอมยุทธด้วยความเร็วสูง แม้แต่จอมยุทธระดับดาราก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้นาน เข็มอันแรกที่ได้รับไปนั้นต่อให้จักรพรรดินีแห่งดารามีทักษะลับที่สามารถทำให้นางอดทนคงสภาพอยู่ได้ชั่วคราวก็ตาม เขาไม่เชื่อว่าหากถูกเข็มอันที่สองโจมตีเข้าใส่นางจะรอดชีวิตอยู่ได้อีก
จบกันเสียที
ชายชราทั้งโล่งอกและรู้สึกเสียดาย
หากได้รับเข็มไปถึงสองอันอีกฝ่ายจะต้องพบกับความตายแน่นอน ซึ่งแม้ต่อให้เป็นเขาก็ไม่สามารถช่วยได้อีกแล้ว แต่อีกใจนึงการที่สตรีที่งดงามขนาดนั้นต้องตายโดยที่เขายังไม่ได้ลิ้มลองเลยซักครั้ง เขาก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้จริงๆ
แต่ทันใดนั้นเองเขาใบหน้าของเขาก็แสดงออกถึงความประหลาดใจและหวาดกลัว
นั่นเพราะจักรพรรดินีแห่งดารายังคงยืนอยู่จุดเดิม ออร่าของนางยังคงทรงพลังไม่ลดลง นี่ใช้คนที่ได้รับเข็มอัคคีเพลิงไปถึงสองเข็มจริงๆรึ?
“ตาย!” หลังจากที่รอดพ้นการการโจมตีเมื่อครู่ จักรพรรดินีแห่งดาราก็ปล่อยฝ่ามือที่ทรงพลังออกไปจนทำให้ชั้นมิติโดยรอบพังทลาย
ชายชรากัดฟัน เขาไม่เหลือจิตใจที่จะสู้อีกต่อไปและรีบหันหลังเผ่นหนีโดยไว
จักรพรรดินีแห่งดาราไล่ตามไปชั่วครู่ก่อนจะหยุดเท้าด้วยท่าทีไม่ค่อยดีนัก “ข้าถูกการโจมตีแรกเข้าเต็มๆ แม้แต่ทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญก็ไม่สามารถยับยั้งอำนาจของเข็มอัคคีเพลิงได้อย่างสมบูรณ์ โชคดีที่ครั้งที่สองข้าเตรียมตัวได้ทันและใช้แผ่นหินแปลกประหลาดนั่นป้องกันเอาไว้ได้”
ทักษะการลอบสังหารของสมาคมราตรีนิรันดร์นั้นน่ากลัวยิ่งนัก ยิ่งหน้าไม้สีดำนั่นเรียกได้ว่าเป็นสมบัติที่สามารถสยบจอมยุทธระดับดาราได้อย่างสมบูรณ์
“ฮึ่ม ต่อให้เจ้าหลบหนีไปจนสุดขอบโลกข้าก็จะตามล่าสังหารเจ้า!”
นางพุ่งทะยานไล่ตาม
ตอนที่ 1108
หลิงฮันหยุดกะทันหัน
“เกิดอะไรขึ้น?” สุ่ยเยี่ยนยวี่ถาม
หลิงฮันถอนหายใจและพูดว่า “เหมือนมีใครบางคนกำลังตามพวกเราอยู่”
“สมาคมราตรีนิรันดร์…จ้าวหลุนหรือว่าจะเป็นเซี่ยอู๋เฉียน?” สุ่ยเยี่ยนยวีพูดรายชื่อที่เป็นไปได้ แต่ในไม่ช้านางก็แสดงรอยยิ้มที่ขมขืน มีหลายคนที่ต้องการทำร้ายหลิงฮัน
หลิงฮันคิดอยู่ชั่วครู่แล้วพูดว่า “มันไม่น่าจะเป็นจ้าวหลุน เพราะเขาอยู่กับแม่ทัพจ้าว และถ้าเป็นเขาคงไม่ทำตัวลับๆล่อๆแบบนี้”
“ส่วนเซี่ยอู๋เฉียนเองก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเขาไม่มีผู้ติดตามที่เป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา หลังจากที่เห็นพลังป้องกันของข้าแล้ว”
“สมาคมราตรีนิรันดร์จึงมีความเป็นไปได้มากที่สุด!”
หลิงฮันตัดสินใจ
“ถ้าเป็นสมาคมราตรีนิรันดร์ ทำไมถึงไม่โจมตีเจ้าโดยตรงไปเลย? หรือความแข็งแกร่งจะไม่เพียงพอเลยรอกำลังเสริม?” สุ่ยเยี่ยนยวี่คาดเดา
หลิงฮันส่ายหัวและพูดว่า “ที่แห่งนี้เป็นสถานที่แปลกประหลาดสำหรับทุกคน แม้กระทั่งทิศไหนเป็นทิศเหนือหรือใต้ก็ไม่มีใครรู้ แล้วเขาจะบอกคนอื่นได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่?”
“มันก็จริงอย่าที่เจ้าพูด ทุกคนต่างก็เดินทางมาที่นี่เป็นครั้งแรกและไม่มีแผนที่ แล้วจะบอกคนอื่นได้อย่างไรว่าพวกเราอยู่ที่นี่?” สุ่ยเยี่ยนยวี่กล่าว “หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าอีกฝ่ายอ่อนแอเกินไปจึงไม่กล้าเผชิญหน้ากับพวกเราโดยตรง”
“อาจจะไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดก็เป็นได้” หลิงฮันไม่เห็นด้วย “บางทีอีกฝ่ายอาจสัมผัสได้ถึงตัวตนของจักรพรรดิน้อยและรู้ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ ดังนั้นจึงมองหาโอกาสอยู่”
อืม!
สุ่ยเยี่ยนยวี่พยักหน้า นางเพิกเฉยต่อจักรพรรดิจอมอสูรโดยที่ไม่รู้ตัว เพราะส่วนใหญ่มันคอยประจบประแจงหลิงฮันอย่างไร้ยางอาย จึงทำให้นางลืมไปว่ามันก็แข็งแกร่งเหมือนกัน
“ทำไมข้าถึงสัมผัสตัวตนของคนผู้นั้นไม่ได้?” จักรพรรดิจอมอสูรถามด้วยใบหน้ามึนงง
หลิงฮันส่ายหัวและพูดว่า “แม้ว่าเจ้าจะสิงอยู่ในหุ่นเชิดระดับสุริยันจันทรา แต่ความแข็งแกร่งของเจ้ายังอยู่แค่ระดับภูผาวารีเท่านั้น ทั้งยังมีพลังวิญญาณที่อ่อนแอ จึงเป็นเรื่องปกติที่เจ้าสัมผัสไม่ได้”
จักรพรรดิจอมอสูรเผยสีหน้าผิดหวัง เพราะระดับพลังของมันไม่สามารถก้าวหน้าขึ้นได้ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
“แล้วเจ้าจะทำยังไง?” สุ่ยเยี่ยนยวี่ถาม
“แน่นอน ข้าจะปล่อยให้จักรพรรดิน้อยออกห่างพวกเรา” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม เขามียันต์อาคมเหล็กไหล ยันต์อาคมราชสีห์คลั่ง แม้อีกฝ่ายจะเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา เขาก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว
“นายท่านจะไม่ทิ้งข้าใช่ไหม?” จักรพรรดิจอมอสูรนั่งลงเหมือนลูกสุนัข แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีหางให้กระดิก
“ไปซะ!” หลิงฮันเตะก้นของมันทันที
“นาย-ท่าน-” จักรพรรดิจอมอสูรถูกเตะกระเด็นไปไกลหลายร้อยไมล์ทันที
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ข้าหวังว่าคนที่ตามพวกเราอยู่จะปรากฏตัวเร็วๆนี้”
สุ่ยเยี่ยนยวี่เผยสีหน้ากังวล ถ้าอีกฝ่ายเคลื่อนไหว จะต้องเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราแน่นอน บางทีเขาอาจไม่ปล่อยโอกาสให้หลิงฮันหนีเข้าไปในหอคอยทมิฬหรือใช้ยันต์อาคม
“ไม่ต้องกังวล สามีของเจ้าไม่ใช่คนธรรดา” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม
สุ่ยเยี่ยนยวี่จ้องมองตาขาวใส่ นี่เขายังมีเวลามาพูดจาอวดดีอยู่อีกหรือ?
ทั้งสองคนยังคงเดินหน้ากันต่อ ในขณะที่จักรพรรดิจอมอสูรถูกขับไล่ออกมาเพื่อสร้างโอกาสให้กับศัตรู
หนึ่งวันต่อมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าหลิงฮันและสุ่ยเยี่ยนยวี่
เขาเป็นชายวัยกลางคนที่ดูน่าเกลียด และมีสุริยันจันทราอยู่ด้านหลังเขาหนึ่งดวง นี่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นจอมยอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้น
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงไม่ปรากฏตัว นั่นเป็นเพราะเขาไม่ได้แข็งแกร่งเท่าจักรพรรดิจอมอสูร
“เจ้าหนู เจ้าจงใจขับไล่เจ้าหุ่นกระบอกนั่นออกมาและสร้างโอกาสให้กับข้า ถึงแม้ข้าจะไม่ทราบเจตนาของเจ้า แต่…เจ้าคิดหรือว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าข้าเจ้าจะมีโอกาสหนี?” ชายวัยกลางคนแสยะยิ้ม
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวออกมาซักที ข้าคิดอยู่แล้วว่าเจ้าเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา แต่เจ้าไม่รู้สึกละอายใจเลยหรือที่แอบสะกดรอยตามพวกข้าสองคนที่เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารี?”
“รนหาที่ตาย!” ชายวัยกลางคนแสดงสีหน้าเย็นชาและไม่พูดจาไร้สาระอีกต่อไป เขาเริ่มโจมตีหลิงฮันทันที
เขาเป็นนักฆ่า แน่นอนว่าการสังหารศัตรูที่เป็นเป้าหมายคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ส่วนเหตุผลที่เขาไม่โจมตีใส่หลิงฮันก่อนหน้านี้ นั่นเป็นเพราะเขากลัวจักรพรรดิจอมอสูร แต่ตอนนี้ในเมื่อุปสรรคนั่นไม่อยู่แล้ว เขายังต้องกลัวอะไรอีก
ตู้ม แสงสีดำอันไร้ที่สิ้นสุดแผ่ออกมาจากร่างกายของเขา และกลายเป็นหอกขนาดใหญ่ที่พุ่งแทงเข้าใส่หลิงฮัน
“ยันต์อาคมราชสีห์คลั่ง!” หลิงฮันนำยันต์อาคมออกมาและแปะบนร่างกายของเขา
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกได้ว่ามีพลังอันมหาศาลกำลังไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขาและมีอักขระศักดิ์สิทธิ์หลายร้อยแถวบนร่างกายของเขา
นอกจากระดับภูผาวารีและระดับสุริยันจันทราแล้ว มันยังมีวิธีที่ง่ายมากว่าอีกฝ่ายบรรลุระดับใด นั่นคือการนับจำนวนของอักขระศักดิ์สิทธิ์
– จอมยุทธระดับภูผาวารีจะมีอักขระศักดิ์สิทธิ์ไม่ถึงหนึ่งร้อย จอมยุทธระดับสุริยันจันทราจะมีอักขระศักดิ์สิทธิ์ไม่ถึงหนึ่งพัน ส่วนจอมยุทธระดับดาราจะมีอักขระศักดิ์สิทธิ์มากกว่าหนึ่งพันเป็นต้นไป
ตอนนี้หลิงฮันมีอักขระศักดิ์สิทธิ์มากถึงแปดร้อย!
ปัง!
หลิงฮันกำหมัดและโคจรพลังปราณเป็นหมัดยักษ์ทุบหอกทมิฬ เพียงแค่สัมผัสหอกทมิฬก็ถูกทุบด้วยหมัดยักษ์และยังมุ่งหน้าบดขยี้ชายวัยกลางคน
นี่มันอะไรกัน!
ชายวัยกลางคนกรีดร้องด้วยความตกใจ อักขระศักดิ์สิทธิ์แปดร้อยแถว! อักขระศักดิ์สิทธิ์แปดร้อยแถว!
ต้องทรายก่อนว่าจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงชั้นสูงสุดมีอักขระศักดิ์สิทธิ์ได้มากกว่าสามร้อยแถว เพราะถ้ามีอักขระศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันแถวจะเป็นจอมยุทธระดับดารา แล้วอักขระศักดิ์สิทธิ์แปดร้อยแถวหมายถึงอะไร? อาจเรียกได้ว่ากึ่งระดับดารา
หมัดดังกล่าว ถ้าเขาโดนเข้าล่ะก็เพียงพอที่จะบดขยี้เขาให้กลายเป็นผง
เขารีบเคลื่อนที่หลบด้วยพลังทั้งหมดทันที
ตู้ม!
โชคดีที่เขาหลบทัน ไม่เช่นนั้นคงกลายเป็นผีเฝ้าก้นทะเลไปแล้ว
พรึบ ร่างของหลิงฮันหายไป
สีหน้าของชายวัยกลางคนกลายเป็นสีเขียวทันที แม้ว่าเขาจะมีสมบัติที่ช่วยชีวิตติดตัวอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีสมบัติชิ้นใดสามารถต่อต้านพลังของกึ่งระดับดาราได้
เขาทำได้แค่โกยขาวิ่งเท่านั้น อีกฝ่ายมีไพ่ลับเหนือกว่าที่เขาคิดไว้มาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงขับไล่หุ่นเชิดตัวนั้นออกไป ที่แท้เขาต้องการล่อเสือออกจากถ้ำต่างหาก ไม่ใช่เพราะความอวดดีแต่อย่างใด
“อะไรกัน!”
เขากรีดร้องอีกครั้ง เพราะรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย
“ไท่เฟิง ผู้อาวุโสไท่เฟิง!” เขารู้สึกแปลกใจ อีกฝ่ายเป็นตัวตนระดับสูงของสมาคมราตรีนิรันดร์ ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะต้องเป็นจอมยุทธระดับดารา!
ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไม่คิดเลยว่าจะพบเจอท่านที่นี่!
แม้เจ้าจะใช้วิธีการพิเศษเพื่อยกระดับพลังเป็นกึ่งระดับดารา แต่ก็ไม่อาจทัดเทียมกับจอมยุทธระดับดาราตัวจริงได้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้อาวุโสไท่เฟิงยังมีพลังต่อสู้สี่ดาว!
ตอนที่ 1109
‘พรึบ’ ชายชราบินใกล้เข้ามา ออร่าที่ทรงพลังจนท้องฟ้าแทบจะพังทลายของเขาทำให้ผู้คนหายใจไม่สะดวก
ตัวตนระดับดารา!
หลิงฮันมีท่าทีเคร่งเครียดทันทีและรีบล่าถอย กับตัวตนเช่นนั้นเขาไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ได้แน่นอน ต่อให้ต้องเปิดเผยความลับว่าเขาครอบครองอุปกรณ์มิติระดับศักดิ์สิทธิ์ เขาก็จะหลบไปซ่อนในหอคอยทมิฬอยู่ดี
เขารีบพุ่งมาหาสุ่ยเยี่ยนยวี่และคว้าร่างนางเอาไว้ แต่ในขณะที่กำลังจะเข้าไปในหอคอยทมิฬเขาก็ต้องหยุดชะงัก
นั่นเพราะเขารู้สึกถึงออร่าที่ทรงพลังเหนือกว่าชายชรากำลังใกล้เข้ามา แถมเขายังค่อนข้างรู้สึกคุ้นเคยอีกด้วย
ใช่แล้ว… จักรพรรดินีแห่งดารา!
เขาล้มเลิกความคิดที่จะหลบเข้าไปยังหอคอยทมิฬและยืนอยู่ที่เดิมเพื่อดูสถานการณ์
“ผู้อาวุโสไท่เฟิง!” ชายวัยกลางคนตกตะลึง เขาลืมสังเกตว่ามุมปากของผู้อาวุโสนั้นกระอักโลหิตออกมา แถมชุดสวมใส่ก็ยังขาดรุ่ยและเต็มไปด้วยเลือด
โซพลังปราณพุ่งตามหลังเขามาในรูปแบบหอกและแทงคาเอาไว้ที่ไหล่ของผู้อาวุโสไท่เฟิง
ผู้อาวุโสไท่เฟิงตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มาก เขาถูกจักรพรรดินีแห่งดาราไล่ตามทั้งวันทั้งคืน เขาใช้ทุกสิ่งที่อย่างตอบโต้กลับไปแล้วแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจักรพรรดินีแห่งดาราทักษะทั้งหมดของเขากลายเป็นไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
เขาไม่กล้าโต้ตอบอีกต่อไปและใช้ดาบฟันไปที่ไหล่ของตัวเอง โลหิตสาดกระจายพร้อมกับแขนของเขาที่ร่วงลงพื้น
แต่ในขณะที่เขากำลังจะเผ่นหนีต่อ มือขนาดใหญ่สีขาวก็โจมตีลงมาจากด้านบน
มือนั่นทั้งงามราวกับหยก นิ้วทั้งห้าเรียวบางและงดงาม เมื่อผู้อาวุโสไท่เฟิงมองไปยังมือนั่นสีหน้าของเขาก็แสดงออกถึงความสิ้นหวัง
เขาใช้ทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว ซึ่งก็ไร้ผล!
ตูม!
มือขนาดใหญ่กระแทกลงมาจนชายชราถูกบดขยี้ลงไปสู่ก้นทะเล เมื่อมือขนาดใหญ่สลายไปก็พบกับชายชราที่กระดูกทั่วร่างแตกหักอย่างน้อยหนึ่งถึงสามส่วน เขากระอักโลหิตออกมาครั้งสุดท้ายก่อนที่ออร่าของเขาจะหายไป
“ผะ ผู้อาวุโสไท่เฟิง!” ชายวัยกลาวคนหวาดกลัวจนเยี่ยวแทบราด ในสายตาของเขาผู้อาวุโสไท่เฟิงคือนักฆ่าที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก ไม่มีใครที่ชายชราไม่สามารถสังหารได้!
ต่อให้เป็นจอมยุทธที่แข็งแกร่งกว่าผู้อาวุโสไท่เฟิง เขาก็ยังสามารถหาโอกาสที่เหมาะที่สุดและลงมือไปที่จุดตาย
ต่อให้จอมยุทธระดับดาราจะไม่สามารถสังหารได้ง่ายๆ แต่จอมยุทธระดับที่ว่าได้ตกตายด้วยเงื้อมมือของผู้อาวุโสไท่เฟิงมาแล้วมากกว่าสิบคน สิ่งนี้เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าชายชรานั้นยอดเยี่ยมขนาดไหน
แล้วตอนนี้ล่ะ? ร่างของชายชรากำลังนอนนิ่งราวกับสุนัขที่ตายแล้ว…
ชายวัยกลางคนตัวสั่นสะท้าน คนที่ไล่ตามผู้อาวุโสไท่เฟิงมาจะต้องแข็งแกร่งจนสามารถต่อกรกับสวรรค์ได้แน่นอน
‘พรึบ’ จักรพรรดินีแห่งดาราปรากฏตัวด้วยพร้อมกับพลังที่น่าสะพรึงกลัว นางสวมชุดสีเหลืองโดยมีผ้าคลุมสีแดงอยู่ด้านหลัง ต่อให้อยู่ใต้ทะเลแต่แค่นางขยับตัวเล็กน้อยก็ทำให้เกิดแรงกดดันที่ทรงอำนาจ
“จะ จะ จักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะ!” ชายวัยกลางคนตัวสั่นหวาดกลัว ในฐานะนักฆ่าหัวกะทิเขาย่อมรู้จักเหล่าปรมาจารย์ชั้นแนวหน้าของโลก
“องจักรพรรดินีโปรดไว้ชีวิต!” ผู้อาวุโสไท่เฟิงโอดครวญ “ข้ายอมศิโรราบต่อองจักรพรรดินีและยินที่จะทำทุกอย่างเพื่อท่าน!”
เขาเป็นนักฆ่าไม่ใช่วีรบุรุษ จะยอมปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองไปเพื่ออะไร?
จักรพรรดินีแห่งดาราไม่แยแส นางกระแทกฝ่ามือออกไปอย่างรุนแรงจนราวกับสวรรค์จะเปิดออกโลกจะล่มสลาย
ตูม!
เมื่อถูกฝ่ามือโจมตี ร่างของผู้อาวุโสไท่เฟิงก็ถูกบดกลายเป็นเศษเนื้อทันที ชายวัยกลางคนติดร่างแหไปด้วย เขาถูกคลื่นพลังกระแทกเข้าใส่เล็กน้อยแต่ก็ถูกบดขยี้จนไม่เหลือแม้แต่กระดูก
แข็งแกร่ง!
หลิงฮันอุทานในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นจักรพรรดินีแห่งดาราลงมือเอาจริง พลังของนางแทบจะทำให้สวรรค์และปฐพีล่มสลาย
จักรพรรดินีลอยลงสู่พื้นและมองไปยังหลิงฮันกับสุ่ยเยี่ยนยวี่ ทันใดนั้นนางก็เดินมุ่งหน้าไปหาทั้งสอง
จิตใจของหลิงฮันบีบรัด ถึงแม้พวกเขาจะเป็นคนของจักรวรรดิ แต่เขาเดาไม่ได้เลยว่าจักรพรรดินีคิดจะทำอะไร
จักรพรรดินีเดินตรงเข้ามา แต่จู่นางก็นางก็เดินกระเพก ร่างกายช่วงบนของนางขยับอย่างผิดปกติ
โดยปกติแล้วแข็งแกร่งเช่นจอมยุทธระดับดาราจะเดินไม่มั่นคงได้อย่างไร?
หลิงฮันเข้าใจทันทีว่าถึงแม้จักรพรรดินีแห่งดาราจะแข็งแกร่งพอที่จะสังหารปรมาจารย์ชั้นแนวหน้าของสมาคมราตรีนิรันดร์ได้ก็ใช่ว่านางจะไม่ได้รับบาดเจ็บ
“องค์จักรพรรดินี ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” หลิงฮันรีบเอ่ยถาม ที่เขาถามเช่นนี้เป็นเพราะอีกฝ่ายจ้องเขม็งมายังสุ่ยเยี่ยนยวี่
“ถอยไป!” จักรพรรดินีแห่งดาราเค้นเสียงและคว้าร่างของหลิงฮันไปด้านข้างจากนั้นก็จับมือของสุ่ยเยี่ยนยวี่ นางอ้าปากและกัดไปยังข้อมือของสุ่ยเยี่ยนยวี่
หลิงฮันตกตะลึง เขาลืมตัวไปชั่วครู่และพุ่งเข้าไป
สิ่งที่เขาคิดในตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวคือในฐานะบุรุษ หากเขาไม่สามารถปกป้องสตรีของตัวเองได้ เขาจะมีหน้าใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไร?
“ซึบ!”
เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่คอ การป้องกันของกายหยาบโลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ของเขาพังทลายทันที จักรพรรดินีแห่งดารากัดคอเขาและทำการดูดเลือด
…นี่ท่านเป็นผีดูดเลือดหรืออย่างไร?
หลิงฮันคิดจะต่อต้านโดยเอื้อมมือไปหาอีกฝ่าย แต่พลังของเขาจะเทียบกับระดับดาราได้อย่างไร? การเอื้อมมือไปผลักของเขาไร้ประโยชน์ เลือดของเขาถูกดูดออกไปอย่างต่อเนื่องจนสติเริ่มเลือนราง
สุ่ยเยี่ยนยวี่ชะงัก การกระทำเช่นนี้ระหว่างชายหญิงสองคนช่างดูคลุมเคลือน่าอับอายยิ่งนัก!
สุ่ยเยี่ยนยวี่ราวกับท้องฟ้าหม่นหมอง ใครจะไม่รู้ถึงนิสัยอันเย็นชาขององค์จักรพรรดินีบ้าง มีบุรุษนับไม่ถ้วนชื่นชอบนาง แต่ถึงอย่างนั้นต่อให้เป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิราชวงศ์สวรรค์นิรันดร์หรือจักรวรรดิราชวงศ์นภาสีครามนางยังไม่เหลียวแล
แต่ตอนนี้ไม่ว่าหลิงฮันจะจงใจหรือไม่ก็ตาม เขาก็กำลังถูกดูดคอโดยจักรพรรดินีแห่งดารา!
หากจักรพรรดิแห่งดารารู้สึกตัว หลิงฮันจะยังมีชีวิตรอดรึไม่?
ตอนนี้นางกลัวเหลือเกินว่าหลิงฮันจะถูกสังหาร ทำไมเขาต้องทำเช่นนี้ด้วยนะ? ต่อให้นางเป็นคนถูกจักรพรรดินีดูดเลือด ด้วยพลังชีวิตที่แข็งแกร่งจอมยุทธระดับพระเจ้า แม้นางจะได้รับบาดเจ็บหนักแต่ก็ไม่ถึงกับตายแน่นอน
แต่หลังจากนี้หลิงฮันต้องถูกสังหารตายแน่!
แววตาของนางเด็ดเดี่ยวและตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ทันใดนั้นนางก็ชักดาบแทงไปยังแผ่นหลังของจักรพรรดินีแห่งดารา
ตอนที่ 1110
ถ้ามีเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต แน่นอนว่าสุ่ยเยี่ยนยวี่ต้องหวังให้เป็นหลิงฮัน
นางไม่สนใจว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นหลังจากการตายของจักรพรรดินีแห่งดาราหายนะ และไม่สนว่าจะมีผู้คนมากมายแค่ไหนที่ไล่ล่านางกับหลิงฮัน – นางไม่สนใจอะไรทั้งนั้น!
ในตอนนี้นางเพียงแค่ต้องการให้หลิงฮันมีชีวิตอยู่ต่อ!
ตึ่ง!
แต่แทงดาบออกไป แต่ก็ถูกมือข้างหนึ่งจับแน่นและไม่สามารถขยับได้อีก
จักรพรรดินีแห่งดาราหายนะ!
จักรพรรดินีแห่งดาราเงยหน้าขึ้นและหันหลังกลับไปมอง ถึงแม้สุ่ยเยี่ยนยวี่จะไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย แต่เชื่อว่าจะต้องโกรธเกรี้ยวมากแน่ๆ
ผู้ใต้บังคับบัญชาของนาง กล้าที่จะฆ่านาง?
นี่เป็นความผิดร้ายแรงที่สุดของการทรยศต่อจักรวรรดิ!
จิตสังหารอันไร้ที่สิ้นสุดแผ่ออกมาจากร่างของจักรพรรดินี ทำให้สีหน้าของสุ่ยเยี่ยนยวี่กลายเป็นซีดขาวราวกับไม่มีโลหิตมาหล่อเลี้ยง
ถึงกระนั้นนางก็ไม่หวาดกลัว และจ้องมองหลิงฮันด้วยความรัก ถ้าไม่รอดกันทั้งคู่ เช่นนั้นก็ตายไปด้วยกัน!
แต่ทว่าจักรพรรดินีกลับไม่โจมตีเพื่อปลิดชีพนาง ช่วยไม่ได้ที่นางจะเงยหน้ามองจักรพรรดินี แต่ร่างของจักรพรรดินีถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายที่สับสนวุ่ยวายและไม่สามารถมองเห็นการแสดงออกบนใบหน้าของนางได้เลย
หลิงฮันเริ่มได้สติกลับมา
การเสียเลือดไปจำนวนมากทำให้เขาหมดสติไปชั่วขณะ แต่จิตวิญญาณของเขานั้นแกร่งกล้า ทำให้เขาตื่นขึ้นในไม่ช้า เขายื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อจับข้อมือของจักรพรรดินี
“ท่านต้องการอะไร? ถึงมาหาข้า!” สภาพของหลิงฮันในตอนนี้อ่อนแอมาก แต่น้ำเสียงของเขามั่นคง
จักรพรรดินีแห่งดาราหายนะรู้สึกโกรธ และนางยกมือขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีดวงดาวสี่ดวงปรากฏอยู่ด้านหลัง แต่ละดวงปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่าสยดสยองออกมา ซึ่งทำให้หลิงฮันรีบปล่อยมือของเขาจากนางทันที
“พวกเราเป็นศัตรูกัน!” หลิงฮันจะไม่ตายอย่างไร้ประโยชน์และพูดว่า “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าท่านได้รับบาดเจ็บมาก่อน และท่านดูดเลือดของข้าเพื่อควบคุมอาการบาดเจ็บหรือเพื่อใช้เทคนิคหลับ”
“แล้วเจ้าจะทำไม?” จักรพรรดินีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา แต่เดิมเป้าหมายของนางสุ่ยเยี่ยนยวี่ต่างหาก นางจะไปดูดเลือดสกปรกของผู้ชายได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นยังสัมผัสทางผิวหนังกันด้วย!
“สำหรับจักรพรรดินีแล้ว ท่านควรมีความเมตตา ถ้าท่านสังหารพวกเราจะถือว่าท่านขาดคุณสมบัตินั้น!” หลิงฮันสามารถพูดได้ทุกอย่างที่อยากพูด ตอนนี้เขาตกอยู่ในมือของจอมยุทธระดับดารา ทำให้เขาไม่สามารถหลบหนีเข้าไปในหอคอยทมิฬได้ ดังนั้นเขาจึงต้องพยายามพูดโน้มน้าวสุดความสามารถ
“จะเป็นอย่างไรถ้าข้าต้องแสดงความเมตตาต่อผู้คนทั้งหมดในโลก?” จักรพรรดินีแห่งดาราหายนะไม่ได้โง่เขลา “เจ้ามีอะไรจะสั่งเสียหรือไม่?”
ท่านไม่เล่นตามสามัญสำนึก!
หลิงฮันระดมสมองคิด แต่ช่องว่างระหว่างเขากับนางนั้นห่างชั้นกันเกินไป เขาไม่สามารถทำอะไรนางได้เลย
“หึ่ม!” จักรพรรดินีแห่งดาราหายนะยกมือขึ้นเพื่อโจมตีใส่หลิงฮัน
แต่ฝ่ามือของนางก็หยุดอยู่ที่กลางอากาศ นางกรีดร้องอยู่ในใจ ในตอนนี้ความคิดของราชินีที่เก้าได้ไหลเข้ามาในหัวและขัดขวางไม่ให้นางโจมตีใส่หลิงฮัน
นางต้องการที่จะกำจัดความคิดพวกนั้นออกไป แต่ถ้านางยังคงลงมือต่อ ผลลัพธ์ที่ตามมาจะใหญ่เกินไป นั่นหมายความว่าการทำงานหนักของนางหลายล้านปีจะกลายเป็นสูญเปล่า!
แน่นอนว่านางหยุดลงมือก่อนที่จะสายเกินไป ผู้ชายที่น่ารังเกียจคนนี้ทำให้ราชินีที่เก้ามีความสุข และตอนนี้มันก็มีผลกระทบต่อการตัดสินใจของนาง
หัวใจของนางเต็มไปด้วยความขมขื่น นางต้องการที่จะปล่อยฝ่ามือออกไป แต่หัวใจของนางก็สั่งให้หยุดอีกครั้ง
น่ารังเกียจ! น่ารังเกียจ!
จักรพรรดินีแห่งดาราหายนะตะโกนและโยนหลิงฮันออกไป นางพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น!”
หลังจากพูดจบ นางก็เคลื่อนที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“มัน…ไร้เหตุผลมาก!” หลิงฮันกัดฟันและนำหยดวิญญาณออกมาเพื่อใช้รักษาบาดแผล ในความเป็นจริงเขาไม่ได้บาดเจ็บอะไร แต่สูญเสียโลหิตไปจำนวนมาก แม้จะใช้หยดวิญญาณก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ ใบหน้าของเขายังคงซีดขาวอยู่เหมือนเดิม
สุ่ยเยี่ยนยวี่รู้สึกเหมือนฝันไป นี่พวกนางรอดมาได้อย่างนั้นหรือ?
“นายท่าน นายท่าน ข้านึกว่าท่านจะตายซะแล้ว!” จักรพรรดิจอมอสูรปรากฏตัวในสภาพหวาดกลัว
“ไส้หัวไปให้พ้น!” หลิงฮันเตะมันกระเด็น เจ้าหมอนี่ไว้ใจไม่ได้ ตอนที่จักรพรรดินีอยู่ไม่เห็นมันจะปรากฏตัวออกมาให้เห็น แต่พออีกฝ่ายไปแล้ว มันกลับรีบปรากฏตัวออกมาทันที
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จักรพรรดิจอมอสูรจะปรากฏตัวออกมา มันก็เหมือนเป็นการรนหาที่ตาย ดังนั้นหลิงฮันจึงเตะมันแค่ระบายอารมณ์เท่านั้น
“โชคดีที่ข้าไม่ได้เป็นอะไรมากนัก แค่ถูกสุนัขกัดเท่านั้น!” หลิงฮันถอนหายใจ เขาแค่ถูกสุนัขกัดในหอคอยทมิฬยังมียาบำรุงมากมาย และไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ฟื้นคืนพลังได้อย่างสมบูรณ์
สุ่ยเยี่ยนยวี่มองตาขาวใส่และพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าทำอนาจารกับจักรพรรดินี!”
“อะไร?” หลิงฮันทำหน้าตาแปลกๆ “ข้าถูกดูดเลือด แล้วข้าจะไปทำอนาจารกับผู้หญิงคนนั้นตอนไหน?”
“หึ่ม ข้าเห็นเต็มสองตาว่าเจ้าใช้มือทั้งสองข้างจับไปที่หน้าอกของจักรพรรดินี!” สุ่ยเยี่ยนยวี่กล่าวด้วยความเกรี้ยวกราด ก่อนหน้านี้นางรู้สึกเป็นห่วงหลิงฮันมาก แต่ตอนนี้ในเมื่อเขาปลอดภัยแล้ว มันก็เริ่มทำให้นางรู้สึกอิจฉา
“เจ้าพูดว่าไงนะ!” หลิงฮันรู้สึกตกใจและยกมือขึ้นมาดูด้วยความตกตะลึง นี่เขาจับหน้าอกของจักรพรรดินีแห่งดาราหายนะงั้นรึ!
ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็ตาม เขาไม่รู้สึกประทับใจอะไรเลย เพราะเขาไม่รู้สึกอะไรเลย!
“นี่เจ้าทำเป็นลืมงั้นรึ?” สุ่ยเยี่ยนยวี่ไม่เชื่อหลิงฮัน
“ข้าจะหลอกเจ้าไปทำไม?” หลิงฮันเข้าไปกอดสุ่ยเยี่ยนยวี่ “เมื่อครู่ข้าเกือบต้องตาย แล้วข้าจะมีเวลาคิดเรื่องพวกนั้นได้อย่างไร!”
ก่อนหน้านี้สุ่ยเยี่ยนยวี่เองก็รู้สึกหวาดกลัวเช่นกัน คนหนึ่งจับหน้าอกของจักรพรรดินี ส่วนอีกคนหนึ่งต้องการที่จะฆ่าจักรพรรดินี แต่นี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากที่ไม่มีใครตาย
“ยังไงของภรรยาข้าก็รู้สึกดีกว่า” หลิงฮันหัวเราะ
“เจ้าคนอันธพาล!” สุ่ยเยี่ยนยวี่ดุ
นางอยากจะผลักหลิงฮันออกไป แต่ก็พบว่าจู่ๆหลิงฮันก็ซุกหน้าอยู่ในอ้อมแขนของนางและหลับไป ความโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่กลายเป็นความอ่อนโยน และนางก็กอดหลิงฮันด้วยความรัก
ผู้ชายคนนี้ลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องนาง มิฉะนั้นเขาคงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
เมื่อคิดเช่นนั้น นางก็เผยรอยยิ้มที่อ่อนหวาน หญิงสาวที่ได้พบกับชายคนหนึ่งที่ยอมตายเพื่อคนที่รักได้ แล้วนางยังต้องการอะไรอีก? นางกอดหลิงฮันไว้ในอ้อมแขนและปล่อยให้เขาพักผ่อนอย่างสบายในอ้อมอกอันนุ่มนวลของนาง
อย่างไรก็ตาม นางก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีทั้งที่จักรพรรดินีต้องการฆ่าพวกเขา แต่ทำไมนางถึงหยุด? หรือว่าบนโลกใบนี้จะมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้จักรพรรดินีกลัว?
ไม่มีอย่างแน่นอน!
แต่ในไม่ช้า นางก็หยุดคิดเรื่องพวกนั้น และจ้องมองหลิงฮันหลับอย่างมีความสุข
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น