Alchemy Emperor of the Divine Dao 1076-1082
ตอนที่ 1076
เมื่อข่ายอาคมป้องกันถูกทำลายสัญญาณเตือนก็ดังขึ้นภายในใจของผู้คนที่อยู่ในพระราชวัง
ดังนั้น เฟิงโป๋วหยุน จักรพรรดิพิรุณ มู่หลงชิง เฮ่อเหลียนเทียนหยุนและคนอื่นๆต่างรีบออกมาจากพระราชวังพร้อมกับกลุ่มทหารองครักษ์หลายคนเข้าล้อมรอบพาหนะแหวกเมฆา
“หึ่ม ข้าจะเป็นผู้ทำลายพาหนะลำนี้เอง!” เฮ่อเหลียนเทียนหยุนกล่าวด้วยความโกรธและปล่อยหมัดคลื่นมังกรทมิฬออกไป แม้ร่างของเขาจะดูเหมือนเด็กอายุไม่ถึงสิบปี แต่กลิ่นอายที่ปล่อยออกมานั้นดูศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับมังกรไม่มีผิด
“บรู๊ววว-” สัตว์อสูรตัวใหญ่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหัน กรงเล็บของมันสามารถทำลายคลื่นมังกรทมิฬได้อย่างง่ายดาย “ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าจักรพรรดิจอมอสูรกลับมาแล้ว!”
อะไรกัน!
เฮ่อเหลียนเทียนหยุนและคนอื่นรู้สึกตกใจ แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่าจักรพรรดิจอมอสูรเป็นใคร ก่อนที่หม่าตั๋วเป่าจะเปิดสวรรค์ จักรพรรดิจอมอสูรมักหาโอกาสที่จะพยายามฆ่าหลิงฮันอย่างไม่หยุดยั้ง
ไม่ใช่ว่ามันถูกหลิงฮันจัดการไปแล้วหรอกหรือ? ทำไมมันถึงปรากฏตัวที่นี่อีกครั้งและยังมีพลังมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมากด้วย ถึงขั้นทำลายการโจมตีของเฮ่อเหลียนเทียนหยุนได้อย่างง่ายดาย!
ต้องทราบก่อนว่าเฮ่อเหลียนเทียนหยุนเพิ่งก้าวเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเขาเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติเท่านั้น แต่หลังจากเปิดสวรรค์ เขาเองก็สามารถใช้พลังแห่งจักรพรรดิได้ แม้ว่าจะไม่เท่าหลิงฮัน แต่พลังต่อสู้ของเขาก็เพิ่มขึ้นสองดาว
ดังนั้น เขาจึงมีพลังต่อสู้สิบหกดาว ซึ่งเป็นรากฐานที่มั่นคง เมื่อใดที่เขาทะลวงผ่านระดับภูผาวารี พลังต่อสู้ของเขาก็อาจมากกว่าสี่ดาว นี่ถือว่าค่อนข้างน่ากลัวทีเดียว
แต่ทว่าจักรพรรดิจอมอสูรกลับสามารถทำลายการโจมตีสุดพลังของเขาได้อย่างง่ายดาย เจ้าปีศาจนี่แข็งแกร่งแค่ไหนกัน?
ประเด็นคือจักรพรรดิจอมอสูรปรากฏตัวที่นี่ แล้วหลิงฮันล่ะ? เขาถูกฆ่าไปแล้ว?
เพี๊ยะ!
ทันใดนั้นเองก็มีชายร่างผอมเพรียวยกมือขึ้นและตบหัวหมาป่าปีศาจ “ใครบอกให้เจ้าลงมือกัน?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า นายท่านโปรดยกโทษให้ข้าด้วย จักรพรรดิตัวน้อยได้กลับบ้านเกิดมันทำให้ข้ารู้สึกตื่นเต้นเกินไปหน่อย” หมาป่าปีศาจที่ทรงพลังกลายเป็นสุนัขที่แสนเชื่องในพริบตาและกระดิกหางไปมา
นี่เจ้าเปลี่ยนสีเร็วเกินไปแล้ว!
“น้องสี่!”
“ฝ่าบาท!”
“นายท่าน!”
“อาจารย์!”
“หลิงฮัน!”
เฟิงโป๋วหยุน ติ่งผิง ชางเย่ ราชาทั้งเจ็ด และเหล่าองครักษ์อุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่หลังจากนั้นไม่นานใบหน้าของพวกเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความสุข หลิงฮันกลับมาแล้ว!
“พี่ใหญ่! พี่รอง! พี่สาม!” หลิงฮันรีบวิ่งไปหาพวกเขาและกอดพวกเขาทั้งสามคน
พวกเขาร้องไห้ออกมาด้วยความปิติยินดี ถึงกระนั้นก็หัวเราะไปด้วยความสุข สุ่ยเยี่ยนยวี่ที่ตามหลิงฮันมาเต็มไปด้วยความแปลกใจ เพราะนางไม่เคยเห็นหลิงฮันเป็นแบบนี้มาก่อน
นี่คือตัวตนที่แท้จริงของหลิงฮัน ในเมืองจักรพรรดิที่ไม่คุ้นเคย เขามักสวมหน้ากากและปิดหัวใจ แต่ว่าตอนนี้เขาเปิดใจและแสดงตัวตนที่่แท้จริงออกมาให้เห็น
เมื่อเห็นพวกเขามีความสุข มันก็ทำให้นางรู้สึกมีความสุขมากเช่นกัน
“นางคือ-” ทุกคนหันไปมองสุ่ยเยี่ยนยวี่ และสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันแรงกล้าของนาง
“โอ้ว นางคือภรรยาของข้า สุ่ยเยี่ยนยวี่” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม
ใบหน้าของสุ่ยเยี่ยนยวี่กลายเป็นสีแดงด้วยความอายและความสุข แต่ที่นี่มีคนมากเกินไป และพูดแนะนำตัวด้วยความเขินอายว่า “เยี่ยนยวี่คารวะพี่ใหญ่ พี่รองและพี่สาม!” จากที่นางเห็นเมื่อครู่ หลิงฮันเรียกพวกเขาทั้งสามคนว่าพี่ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะรู้ว่าพวกเขาทั้งสามคนเป็นพี่น้องร่วมสาบานของหลิงฮัน
“เอ่อ แล้วข้าล่ะ?” เฮ่อเหลียนเทียนหยุนดูไม่พอใจ ข้ามีอายุมากที่สุดในที่แห่งนี้ แต่ทำไมถึงไม่ทักทายเขา?
“อย่าไปสนใจเขาเลย เขาก็แค่คนแก่คนหนึ่ง” หลิงฮันกล่าวและผลักเฮ่อเหลียนเทียนหยุนออกไป
“อาจารย์!” ติ่งผิงตะโกนและไม่กล้าสบตาหลิงฮัน
หลิงฮันเหลือบมองเขาและพูดว่า “ทั้งที่ข้าจากไปนานกว่าหนึ่งปี แต่ระดับพลังของเจ้ายังอยู่ที่ระดับตัวอ่อนวิญญาณ! ครั้งนี้ข้าจะชี้แนะเจ้าและช่วยเจ้าทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้าก่อนที่ข้าจะออกเดินทางอีกครั้ง!”
“น้องสี่ เจ้าจะจากไปอีกแล้วรึ?” เฟิงโป๋วหยุนถามด้วยความเศร้าใจ
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ครั้งนี้จะไม่ได้มีแค่ข้าเท่านั้นที่ออกเดินทาง แต่พี่ชายทั้งสามของข้าก็จะไปกับข้าด้วย ข้าได้วางรากฐานในจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะไว้แล้ว ซึ่งข้าต้องการพี่ชายทั้งสามคนมาช่วยข้า!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฟิงโป๋วหยุน จักรพรรดิพิรุณ และมู่หลงชิงดูต่างก็ดูประหลาดใจ เพียงแค่เวลาๆสั้นๆ แต่หลิงฮันก็สามารถวางรากฐานในจักรวรรดิราชวงศ์หายนะได้แล้ว ถึงกระนั้นพวกเขาก็รู้สึกมีความสุขที่ได้ออกเดินทางร่วมกับหลิงฮัน
“น้องสี่ เจ้าเป็นคนที่น่าทึ่งมาก ข้าคิดว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปีถึงจะได้พบเจอเจ้าอีกครั้งซะอีก” จักรพรรดิพิรุณหัวเราะเสียงดัง นี่ไม่ใช่การคุยโว ต้องทราบก่อนว่าบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หลิงฮันเริ่มต้นจากศูนย์
มีเพียงแค่สุ่ยเยี่ยนยวี่เท่านั้นที่รู้มากกว่าคนอื่นว่าหลิงฮันประสบความสำเร็จมากแค่ไหนในเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนั้นก็ทำให้นางรู้สึกใจเต้น
“น้องสี่มากับข้า ข้าอยากได้ยินเจ้าเล่าประสบการณ์ที่เจ้าได้รับในหนึ่งปีที่ผ่านมา!” มู่หลงชิงดึงแขนหลิงฮัน “จะว่าไปแล้วน้องสี่ ตอนนี้เจ้าอยู่ระดับไหนแล้ว?”
คำถามของมู่หลงชิงดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที นั่นเป็นเพราะสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับจอมยุทธคือระดับบ่มเพาะพลัง
ในที่แห่งนี้ทุกคนต่างก็เป็นคนของเขา หลิงฮันจึงไม่คิดจะปิดบังอะไรและพูดว่า “ระดับภูผาวารีขั้นกลางชั้นสูงสุด”
อึก!
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฮ่อเหลียนเทียนหยุนแทบจะกระอักเลือดออกมา มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่เคยทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้าจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะรู้ว่ากว่าจะฝึกฝนทะลวงผ่านแต่ละขั้นนั้นยากเย็นแค่ไหน อย่าว่าแต่ระดับภูผาวารีขั้นกลางชั้นสูงสุดเลย แค่ระดับภูผาวารีขั้นต้นชั้นสูงสุดก็เป็นไปไม่ได้แล้ว!
ต้องเข้าใจก่อนว่าในอดีตเขาเคยทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นต้นเท่านั้น หากพูดถึงความก้าวหน้าแล้วมันแทบจะไม่มีอะไรคืบหน้าเลย
“เจ้าช่างเป็นเด็กหนุ่มที่แปลกประหลาดยิ่งนัก” เขาไม่อาจเทียบกับหลิงฮันได้เลย
สุ่ยเยี่ยนยวี่รู้สึกประหลาดใจ นางรู้ว่าจักรวรรดิต้าหลิงมาจากการเปิดสวรรค์ และได้ยินหลิงฮันพูดถึงที่มาของคนที่อยู่รอบตัวเขา ทำให้นางรู้ว่าคนเหล่านี้ไม่มีภูมิหลังที่โดดเด่นอะไรเลย
แต่พวกเขาก็มาจากโลกใบเล็กด้วยการเปิดสวรรค์ และรวมอัจฉริยะไว้ที่นี่แล้ว!
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “พวกเราเข้าไปข้างในกันก่อนเถอะ แล้วค่อยคุยระหว่างเดิน”
ชายสี่คนกับเฮ่อเหลียนเทียนหยุนและติงผิงเดินอยู่ใกล้หลิงฮัน และฟังประสบการณ์ของหลิงฮันในหนึ่งปีที่ผ่านมา แล้วอยากจะผจญภัยบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนหลิงฮันบ้าง
หลังจากที่ฟังหลิงฮันพูดจบ เฟิงโป๋วหยุนและคนอื่นก็พูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันของจักรวรรดิต้าหลิง มันมีปัญหาใหญ่บางอย่างเกิดขึ้น!
ตอนที่ 1077
“น้องสี่ ระหว่างที่เจ้าไม่อยู่ที่นี่ป็นเวลานาน ก็เริ่มมีคนบางกลุ่มลุกขึ้นต่อต้าน!” มู่หลงชิงกล่าวเป็นคนแรก
“และเมื่อไม่กี่วันก่อน หลังจากที่ออกคำสั่งคนพวกนั้นก็ไม่เต็มใจที่จะทำตาม” จักรพรรดิพิรุณกล่าวและสามารถเห็นจิตสังหารได้ในสายตาของเขา เมื่อพูดถึงการปกครองและการบริหารแคว้นแล้ว เขาเป็นคนที่มีประสบการณ์มากที่สุดคนหนึ่ง
หลิงฮันเพียงแค่ยิ้ม มีเพียงแค่ความแข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย
การเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิราชวงศ์มีผลประโยชน์คือรับประกันความปลอดภัยและจะไม่มีใครกล้ามาบุกรุก – แม้จะถูกบุกรุกแต่ก็สามารถร้องขอความช่วยเหลือจากจักรวรรดิราชวงศ์ได้เหมือนกับแคว้นพิรุณบูรพาก่อนหน้านี้
ดังนั้น โอกาสที่จักรวรรดิต้าหลิงจะเผชิญหน้ากับศัตรูจึงมีไม่มากนัก แต่ถ้าเกิดความขัดแย้งภายใน จักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะก็จะไม่เข้ามาแทรกแซงแต่อย่างใด ไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม ตราบใดที่ยังได้รับการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะ
นี่เป็นเรื่องภายใน ซึ่งแน่นอนว่าบุคคลภายนอกจะไม่เข้ามาแทรกแซง
หลิงฮันกล่าว “พี่ชายทั้งสาม เรื่องเล็กน้อยพวกนั้นอย่างพูดถึงมันเลย วันนี้พวกเราควรเฉลิมฉลองไม่เมาไม่เลิก!”
“ถึงเวลาเมาแล้ว!” พวกเฟิงโป๋วหยุนรีบไปจัดเตรียมงานดื่มฉลองทันที
หลิงฮันดื่มจนเมา เมื่อเขาตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เขาก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงและมีสุ่ยเยี่ยนยวี่อยู่ในอ้อมแขน
หลิงฮันดูตกใจและพูดว่า “เมื่อวานพวกเราทำกันแล้วหรือ?”
สุ่ยเยี่ยนยวี่รู้สึกละอายใจและมองตาขาวใส่หลิงฮันพร้อมกับพูดว่า “เมื่อคืนเจ้าดื่มจนเมา ข้าเลยพาเจ้ามาส่งที่ห้อง แต่เจ้ากอดรัดข้าไม่ปล่อย ดังนั้นข้าเลยต้องอยู่ที่นี่กับเจ้า”
ความหมายคือเขาเมาเกินไปจนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
หลิงฮันพูดด้วยความโล่งอกว่า “โชคดี ถ้าครั้งแรกข้าไม่ได้สติ มันคงน่าเสียดายมาก!”
เพี๊ยะ!
สุ่ยเยี่ยนยวี่โยนหมอนใส่หลิงฮันและตบหน้าเขา
“โอ้ย ภรรยาข้า นี่หรือว่าเจ้าจะโมโหเพราะเมื่อวานข้าไม่เผด็จศึกเจ้ารู้สึกน้อยใจ?” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม
เพี๊ยะ! ปัง! ตูม!
สุ่ยเยี่ยนยวี่โมโห นางโยนหมอนใส่หลิงฮันอีกครั้ง จากนั้นก็ตามด้วยผ้าห่ม จาน ชาม แม้แต่แก้วน้ำก็ไม่เว้น
หลิงฮันรีบลุกขึ้นมาตั้งหลัก จากนั้นก็จับสุ่ยเยี่ยนยวี่กดลงบนเตียง
ปัง! ปัง! ปัง!
แต่ในขณะนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
หลิงฮันรู้สึกอารมณ์เสียมาก มันเป็นใครกันที่มาเคาะประตูห้องเขาในเวลาคับขันแบบนี้
“เจ้าเด็กน้อยฮัน รีบลุกจากเตียงของเจ้าได้แล้ว!” เสียงของเฮ่อเหลียนเทียนหยุนดังมาจากด้านนอกประตู
เจ้าแก่เจ้าเล่ห์เอ้ย!
หลิงฮันถอนหายใจและมองสุ่ยเยี่ยนยวี่ที่รีบลุกหนีไปอย่างรวดเร็ว เขารู้ว่านางยังไม่พร้อม ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นผู้หญิงที่ขี้อายมากอีกด้วย หลังจากนี้สักสองสามวัน นางคงจะต้องพยายามหลบหน้าเขาอย่างแน่นอน
เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ตอนนี้ข้าจะต้องทำธุระให้เสร็จก่อน
หลิงฮันลุกออกไปจากห้องและเรียกพี่สามทั้งสามคน ติ่งผิงและเฮ่อเหลียนเทียนหยุน แล้วเริ่มสอนเทคนิคบ่มเพาะพลังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ทักษะหกธาตุที่สอนโดยเฒ่าหม่า หลิงฮันไม่สามารถถ่ายทอดให้คนอื่นเป็นการส่วนตัวได้ หากไม่ได้รับการยินยอมจากเขา ดังนั้นทักษะที่เขาจะสอนให้กับพวกเขาจึงเป็นทักษะที่ได้รับจากการประมูล แม้ว่ามันจะไม่ใช่ทักษะชั้นยอดอะไร แต่ก็ยังดีกว่าทักษะที่ได้รับจากสำนักนภาสีชาด
-ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะของสำนักนภาสีชาดไม่สามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้เช่นกัน นี่เป็นข้อห้ามที่แม้แต่หลิงฮันก็ไม่สามารถฝ่าฝืนได้
“พี่ชายทั้งสามไม่ได้เป็นคนเปิดสวรรค์ ดังนั้นพลังต่อสู้ของพวกท่านจะไม่สูงไปกว่ายี่สิบดาว พลังต่อสู้สิบแปด สิบเก้าดาวนับว่าประสบความสำเร็จแล้ว และข้าหวังว่าพี่สามทั้งสามคนของข้าจะทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้าได้สำเร็จ” หลิงฮันกล่าว
“แน่นอนอยู่แล้ว!” ทั้งสามคนพยักหน้า พวกเขาต่างก็มีความทะเยอทะยาน แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการแค่ทะลวงผ่านระดับภูผาวารีเท่านั้น แต่ต้องการแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
ครั้งนี้ไม่เหมือนกับตอนที่หลิงฮันไปที่จักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะครั้งแรก ในตอนนั้นเขาไม่มีทรัพยากรบ่มเพาะพลังอะไรเลย แต่ตอนนี้ทรัพยากรบ่มเพาะพลังที่เขานำมานั้นมากมายนัก
นั่นเป็นเพราะทรัพยากรบ่มเพาะพลังพวกนี้เป็นของจอมยุทธระดับทลายมิติ และหลังจากที่หลิงฮันหลอมเม็ดยาเวหาสีครามขาย มันทำให้เขาได้รับกำไรมหาศาลและสามารถสร้างรายได้ด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง
เหตุผลที่หลิงฮันนำทรัพยากรบ่มเพาะพลังจำนวนมากติดตัวมาด้วยเพราะหลิงฮันต้องการให้พี่น้องทั้งสามคนของเขาทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้าให้เร็วที่สุด – แต่ต้องมีรากฐานที่มั่นคง แล้วจากนั้นเขาก็จะหันไปฝึกให้กับติ่งผิง ทั้งที่เขารับติ่งผิงเป็นศิษย์ แต่เขากลับไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนอีกฝ่ายเลย เขาช่างเป็นอาจารย์ที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ
ดังนั้น หลิงฮันจึงเริ่มฝึกฝนติ่งผิงอย่างหนัก
ติ่งผิงช่างน่าสงสารยิ่งนัก
ภายในหอคอยทมิฬสามารถได้ยินเสียงกรีดร้องดังไม่หยุด ซึ่งอาจทำให้ผู้คนที่ได้ยินตัวสั่นด้วยความกลัว
“ในอีกไม่กี่วัน ต้นสังสารวัฎก็จะเติบโตอย่างสมบูรณ์!” หลิงฮันยิ้ม นี่คือความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา!
การรวบรวมพลังปราณและการฝึกฝนบ่มเพาะกายาสามารถทำได้ด้วยเม็ดยาและหยดวิญญาณ และการรู้แจ้งสามารถกระทำได้ด้วยตนเองเท่านั้น แต่ต้นสังสารวัฎสามารถลดระยะเวลาของการรู้แจ้งได้อย่างไม่มีข้อจำกัด
“อาจารย์ ข้าพักได้แล้วหรือยัง?” ติ่งผิงพูดด้วยใบหน้าที่ขมขื่น เขากำลังแบกหินก้อนใหญ่ที่มีหลิงฮันนั่งอยู่ด้านบน มันหนักมากจนแขนของเขาสั่นอยู่ตลอดเวลา
เพราะหลิงฮันใช้อักขระแรงโน้มถ่วงกับเขา แน่นอนว่าแค่เศษเสี้ยวของแรงโน้มถ่วงเท่านั้น มิฉะนั้นจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณอย่างติ่งผิงคงไม่สามารถทนได้
“ไม่ วิ่งอีกสามรอบ!”
ตอนที่ 1078
ติ่งผิงกรีดร้องด้วยความเหน็ดเหนื่อยทุกคน แต่ผลลัพธ์ของการฝึกก็แสดงออกมาให้เห็นได้ชัด เขาไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะพลังทางสายเลือดหรือโชคอะไรหรือไม่ ที่ทำให้เขารู้สึกว่าสามารถระเบิดพลังที่แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนได้เป็นร้อยเท่า
มันน่ากลัวมาก ความสามารถแค่นั้นเพียงอย่างเดียวก็ทำให้เขามีพลังต่อสู้สองดาวในขอบเขตพระเจ้าแล้ว!
ในฐานะที่ติ่งผิงเป็นศิษย์ของหลิงฮันเป็นธรรมดาที่เขาจะต้องบีบศักยภาพของติ่งผิงออกมาให้ได้มากที่สุด
สี่วันต่อมา ต้นสังสารวัฏก็เติบโตอย่างสมบูรณ์ มันดูเหมือนต้นไม้ธรรมดา แต่ก็ดูลึกลับและทรงพลังมาก ทั้งยังปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ออกมาระหว่างกิ่งไม้และใบไม้ เมื่อหลิงฮันเห็นมันเติบโต มันทำให้เขารู้สึกว่าเวลาได้ผ่านไปหลายพันล้านปีแล้ว
ต้นสังสารวัฎจะต้องใช้เวลาสิบสองล้านล้านปีถึงจะเติบโตได้ขนาดนี้!
หอคอยทมิฬช่างทรงพลังยิ่งนัก
หลิงฮันรู้สึกว่าความสำเร็จทั้งหมดของเขาเป็นเพราะความช่วยเหลือจากหอคอยทมิฬ มิฉะนั้นเขาคงเป็นได้แค่จักรพรรดินักปรุงยาและความสำเร็จคงถูกจำกัด แล้วการฝึกฝนวรยุทธของเขาคงไม่มีความก้าวหน้า
“ต้นสังสารวัฎต้นนี้ไม่ได้เติบโตตามธรรมชาติ แต่เติบโตจากพลังของข้า ดังนั้นประสิทธิภาพของมันจึงอ่อนแอกว่าที่ควรเป็น” หอคอยน้อยปรากฏตัวออกมาและพูดอธิบายให้หลิงฮันฟัง “ดังนั้นหากเจ้าฝึกฝนอยู่ใต้ต้นสังสารวัฎเป็นเวลาหนึ่งวันมันเทียบได้กับเวลาหนึ่งปีเท่านั้น!”
แค่นี้ก็น่าทึ่งพอแล้ว!
“ในเวลาสิบปี เจ้าสามารถเห็บใบพวกนั้นไปทำชาได้ แล้วหลังจากที่เจ้าดื่มมันจะทำให้พลังวิญญาณของเจ้าเพิ่มขึ้นมาก”
“แต่น่าเสียดายที่พลังต้นกำเนิดของข้าถูกใช้หมดไปแล้วอีกครั้ง ข้าจึงไม่สามารถปลูกต้นสังสารวัฏได้อีกต้น”
หลิงฮันประหลาดใจมากและพูดว่า “แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
“นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่รู้ว่ามีสมบัติมากมายประเภทเร่งเวลา-” หอคอยน้อยรีบหุบปากทันทีและพูดเปลี่ยนประเด็นว่า “ข้าคงต้องขอตัวไปซ่อมหอคอยทมิฬก่อน หากเจ้าไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไรอย่าได้รบกวนข้า!”
หลังพูดจบมันก็หายไปและปล่อยให้หลิงฮันไม่สบอารมณ์
“มันเป็นข้าไม่ใช่หรือที่เป็นเจ้านายของเจ้า แล้วคำพูดอวดดีพวกนั้นมันอะไรกัน!”
ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม อย่างแรกที่เขาต้องทำคือยกระดับความแข็งแกร่งของคนรอบข้าง!
หลิงฮันพาสุ่ยเยี่ยนยวี่ เฟิงโป๋วหยุนและคนอื่นๆ เข้าไปในหอคอยทมิฬ และให้พวกเขาฝึกฝนใต้ต้นสังสารวัฎ
สิ่งที่เขาขาดตอนนี้คือเวลา แต่ถ้าฝึกฝนใต้ต้นสังสารวัฎหนึ่งวันจะเท่ากับหนึ่งปี นั่นหมายความว่าอะไร? แม้แต่หมูโง่ก็ยังสามารถทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้าได้!
คนที่ทะลวงผ่านคนแรกคือหลิงฮัน ด้วยความช่วยเหลือของต้นสังสารวัฎ ทำให้ความเร็วในการรู้แจ้งของเขารวดเร็วเหมือนกับแสง
อัจฉริยะปกติจะใช้เวลาหลายร้อยปีในการทะลวงผ่านแต่ละระดับ แต่หลิงฮันนั้นเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ สามัญสำนึกทั่วไปจึงใช้ไม่ได้ผล
ตัวช่วยที่สำคัญที่สุดคือความแข็งแกร่งทางกายภาพและปราณจ้าวอสูรที่แก้ปัญหาเรื่องการสะสมพลังปราณของเขา ด้วยความช่วยเหลือทั้งสองทางนี้ แล้วเขาจะไม่ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วได้อย่างไร?
ในเมื่อทลวงผ่านระดับ หลิงฮันจึงขึ้นพาหนะแหวกเมฆาออกไปจากจักวรรดิต้าหลิงและมุ่งหน้าไปยังดินแดนรกร้างเพื่อรับทัณฑ์สวรรค์
ทัณฑ์สวรรค์ที่ฝ่าลงได้ชำระล้างกระดูกของหลิงฮันและยกขึ้นไปอีกระดับ นี่ทำให้หลิงฮันถึงกับกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด และถ้าติ่งผิงได้ยินเข้า เขาจะต้องรู้สึกสะใจอย่างแน่นอน
ครึ่งวันต่อมา หลังจากที่รับทัณฑ์สวรรค์ หลิงฮันก็เริ่มโคจรเทคนิคสวรรค์นิรันดร์เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บที่ได้รับ แล้วใดทันนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังอันเอ่อล้นในร่างกายและกระดูกของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาก มันบรรลุถึงระดับสี่แล้ว
“ตอนนี้ แม้ว่าข้าจะไม่สามารถเอาชนะศัตรูที่อยู่ในระดับภูผาวารีขั้นสูงชั้นสูงสุดได้ แต่ข้าก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว ทั้งยังมีโอกาสที่จะสังหารอีกฝ่ายได้!” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม
การป้องกันและความยืดหยุ่นของร่างกายเขาอยู่ในระดับที่น่าสะพรึงกลัว ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่สามารถฆ่าเขาได้ภายในไม่กี่วินาทีก็จะหมดหวัง
นอกจากหลิงฮันแล้ว ความก้าวหน้าของจักรพรรดิพิรุณถือว่าไม่ธรรมดา
พรสวรรค์ของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าหลิงฮัน แต่เขาไม่ได้โชคดีเหมือนกับหลิงฮันที่มีหอคอยทมิฬ
สองเดือนต่อมาความแข็งแกร่งของจักรพรรดิพิรุณก็บรรลุระดับทลายมิติสิบเก้าดาว!
ต้นสังสารวัฎแสดงประสิทธิภาพของมันได้อย่างเต็มที่
จักรพรรดิพิรุณเริ่มเข้าใจความลึกลับของขอบเขตพระเจ้า และด้วยคำแนะนำของหลิงฮันกับสุ่ยเยี่ยนยวี่บวกกับพรสวรรค์ของเขาแล้ว เขาน่าจะเข้าใจในสองสามวัน แต่สองสามวันที่พูดถึงหมายถึงการฝึกฝนใต้ต้นสังสารวัฎ ซึ่งเทียบเท่ากับโลกภายนอกสองสามปี
สิบวันต่อมา เฟิงโป๋วหยุนก็ทะลวงผ่านระดับทลายมิติสิบแปดดาว ส่วนมู่หลงชิงทะลวงผ่านระดับทลายมิติสิบเจ็ดดาว
ผลของการฝึกแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ที่แตกต่างกันของพี่น้องทั้งสี่คน จักรพรรดิพิรุณและหลิงฮันอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน เฟิงโป๋วหยุนเป็นรองกว่าเล็กน้อย ตามมาด้วยมู่หลงชิง
ถึงกระนั้นสุ่ยเยี่ยนยวี่ก็รู้สึกตกตะลึงอยู่ดี
คนอย่างพวกเขาในจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะจะมีสักกี่คนกัน?
แต่จักรวรรดิเล็กๆอย่างจักรวรรดิต้าหลิงกลับมีถึงสี่คน!
ยิ่งไปกว่านั้น เฮ่อเหลียนเทียนหยุนยังบรรลุระดับทลายมิติสิบหกดาว และศิษย์ของหลิงฮัน ติ่งผิงก็ถือว่าเป็นสัตว์ประหลาดตัวน้อย พลังของเขาเพิ่มขึ้นมากกว่าแต่ก่อนถึงร้อยเท่า ถ้าเขาทะลวงผ่านระดับทลายมิติคงจะมีพลังต่อสู้สิบแปดดาวหรือสิบเก้าดาว แล้วหลังจากที่เขาทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้า พลังต่อสู้ของเขาก็อาจมากกว่าหกดาว!
พลังต่อสู้หกดาวแค่สุ่ยเยี่ยนยวี่คิดก็ทำให้นางหวาดกลัวแล้ว เพราะขนาดอัจฉริยะระดับตำนานยังมีพลังต่อสู้แค่ห้าดาวเท่านั้น แต่ตอนนี้มีความเป็นไปได้ที่จะมีอัจฉริยะระดับหกดาว?
แม้แต่หลิงฮันก็ไม่สามารถเทียบได้!
หลิงฮันไม่อิจฉาลูกศิษย์ของตัวเอง นอกจากนี้พลังต่อสู้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเท่านั้น มันไม่ใช่ทั้งหมด เขาเชื่อว่าถ้าจักรพรรดิพิรุณและติ่งผิงต่อสู้ในระดับเดียวกัน คนที่จะพ่ายแพ้จะต้องเป็นติงผิงอย่างแน่นอน และไม่มีโอกาสที่จะชนะเลย
ไม่กี่วันต่อมา จักรพรรดิพิรุณ เฟิงโป๋วหยุนและมู่หลงชิงก็ทะลวงผ่านระดับภูผาวารี
ในที่สุดจักรวรรดิต้าหลิงก็เริ่มมีเค้าโครงของจักรวรรดิราชวงศ์สักที
ตอนที่ 1079
ถ้าพูดถึงคนที่ทะลวงผ่านระดับเยอะที่สุดก็คือติงผิง
ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะบรรลุระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่ในสามเดือนมานี้เขากลับบรรลุผ่านระดับทลายมิติแล้ว เรียกได้ว่าเขาทะลวงผ่านสามระดับใหญ่ ซึ่งนับเป็นเกือบๆสามสิบขั้นย่อย
ต่อให้เป็นบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พัฒนาการที่รวดเร็วเช่นนี้ก็นับว่าตกตะลึง
แต่นอกจากหลิงฮันแล้ว มีใครอีกรึไงที่ครอบครองต้นสังสารวัฏ?
อย่ามองว่าเวลาผ่านไปเพียงสามเดือน แต่ความจริงแล้วเวลาที่ติงผิงใช้บ่มเพาะพลังจริงๆคือเกือบๆเก้าสิบปี! ภายใต้อำนาจของต้นสังสารวัฏคือการบ่มเพาะผ่านการรับรู้จากจิตวิญญาณโดยที่ร่างกายแก่ชราตามเวลาปกติไม่ใช่แก่ขึ้นเก้าสิบเก้าปีอย่างที่บ่มเพาะพลังผ่านจิตวิญญาณ
ติงผิงตอนนี้เต็มไปด้วยความมั่นใจว่าจะบ่มเพาะพลังไล่ตามอาจารย์ลุงทั้งสามได้ทันและช่วยเหลือปัญหาต่างๆของหลิงฮัน ภาพเหตุการณ์ที่หลิงฮันถูกพาตัวไปต่อหน้าต่อตาเขสตอนเปิดสวรรค์สำเร็จยังคงค้างอยู่ในหัวของติงผิง เชาไม่ต้องการถูกทำให้แยกกับอาจารย์เช่นนี้
ที่ติงผิงพัฒนาการได้รวดเร็วเช่นนี้เป็นเพราะเขาหมั่นเพียร มีพรสวรรค์และทรัพยากร
ในทางกลับกัน หลังจากที่บรรลุระดับพระเจ้าแล้ว พัฒนาการของจักรพรรดิพิรุณ เฮ่อเหลียนเทียนหยุนและคนอื่นๆเป็นไปอย่างช้าลง มีความเป็นไปได้สูงมากที่ติงผิงจะไล่ตามพวกเขาทัน… แค่ไล่ตามทันเท่านั้น
ยิ่งติงผิงพัฒนาได้รวดเร็วหลิงฮันก็ยิ่งมีความสุข เขายิ้มและกล่าว “พี่ชายทั้งสาม เดี๋ยวพวกท่านจะถูกติงผิงไล่ตามทันเอานะ พี่ใหญ่มีความเป็นไปได้เล็กน้อยที่จะถูกไล่ตามทัน ส่วนพี่สองนั้นมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สุด ถ้าติงผิงไม่พบเจอวาสนาที่พิเศษ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไล่ตามพี่สองทัน”
มู่หลงชิงที่เป็นพี่คนที่สามร้องโอดครวญ การที่ผู้อาวุโสถูกรุ่นเยาว์แซงหน้านั้นเป็นเรื่องที่น่าขายหน้ามาก
ทุกคนอดหัวเราะลั่นออกมาไม่ได้
“อาจารย์ลุงสาม ท่านรอถูกข้าแซงหน้าได้เลย!” ติงผิงกล่าวโดยแบกหินก้อนใหญ่เอาไว้ที่หลัง ดูเหมือนเขาจะชื่นชอบหินใหญ่ก้อนนี้อย่างมาก แม้แต่ตอนหลับเขาก็ยังติดหินเอาไว้ที่หลังจนโดนล้อว่าเป็นเต่า
นอกจากนี้ยังมีอีกคน(?)ที่ที่แข็งแกร่งขึ้นมากเช่นกัน นั่นก็คือจิตวิญญาณศิลา
หลายปีผ่านมาจิตวิญญาณศิลาพัฒนาพลังได้เชื่องช้ามาก จนถึงเมื่อไม่นานนี้มันยังคงมีพลังเพียงระดับทลายมิติ แต่เมื่อหลิงฮันกลับมาและจิตวิญญาณศิลาได้กินศิลาของหอคอยทมิฬ ผ่านไปสองเดือนมันก็หดตัวเป็นก้อนกลมเพื่อจำศีล
แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ จู่ๆมันก็ตื่นขึ้นและมีพลังบ่มเพาะที่เลื่อนขึ้นเป็นระดับพระเจ้า
หลังจากเลื่อนเป็นระดับพระเจ้า จิตวิญญาณศิลาก็สามารถพูดได้แล้ว
เพียงแต่ว่าจิตวิญญาณศิลาไม่ค่อยชอบพูดเท่าไหร่จึงทำตัวเหมือนกับพูดไม่ได้ดังเดิม มันชอบที่จะนำหัวไปถูกับขาของหลิงฮันเพื่อประจบ เรื่องนี้ทำให้จักรพรรดิจอมอสูรไม่พอใจ เจ้าไม่ใช่สุนัขเสียหน่อยทำไมต้องทำเหมือนกับเป็นสุนัขด้วย?
โฮ่ง โฮ่ง! เขาเห่าใส่จิตวิญญาณศิลา ทำไมต้องมีคนแย่งหน้าที่ของเขาอยู่เรื่อย เขาไม่ใช่รึไงที่เป็นสุนัขของจริง?
หลิงฮันไม่ได้เพียงช่วยบ่มเพาะพลังให้กับจักรพรรดิพิรุณและคนอื่นๆ องครักษ์ของพระราชวังก็ได้เขาช่วยให้พัฒนาพลังให้เช่นกัน เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่ได้รับอนุญาติให้เข้ามาในหอคอยทมิฬและบ่มเพาะพลังภายใต้ต้นสังสารวัฏ
และเพราะเหตุนี้พลังของเหล่าองครักษ์พระราชวังจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก ก่อนหน้านี้จากที่พวกเขามีพลังบ่มเพาะระดับบุปผาผลิบานได้ถูกยกระดับให้เป็นระดับตัวอ่อนวิญญาณภายในเวลาเพียงสามเดือนเท่านั้น นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง
“ติงผิง เจ้ากลับไปเยี่ยมบ้านก่อน อย่างมากก็ไม่เกินเดือนนึงพวกเราจะไปยังAnchorจักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะด้วยกัน ซึ่งไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่ถึงจะได้กลับมาที่นี่อีก” หลิงฮันกล่าวกับศิษย์ของตน
ที่จริงติงผิงไม่ได้อย่างกลับไปบ้านเท่าไหร่ ตระกูลติงไม่ใช่บ้านสำหรับเขา ที่นั่นเป็นเพียงสถานที่ที่เขาเกิดและเคยอาศัยอยู่
แต่ในเมื่ออาจารย์เป็นคนกล่าวเขาก็ไม่กล้าขัดขืนและเตรียมตัวเล็กน้อยเพื่อเดินทางกลับบ้าน
ติงผิงในทุกวันนี้ไม่ใช่ขยะเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป เขาเป็นถึงลูกศิษย์ของจักรพรรดิที่ตอนนี้มีพลังบ่มเพาะสูงส่ง ตระกูลติงยังไม่รู้ว่าเขาได้บรรลุระดับทลายมิติแล้ว แต่ด้วยพลังบ่มเพาะระดับตัวอ่อนวิญญาณก่อนหน้านี้ สำหรับตระกูลติงก็นับว่าสูงมากแล้ว
ดังนั้นเมื่อเขากลับตระกูลผิงเขาจึงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น แต่ก็มีบางคนดูไม่แยแสเล็กน้อยและมีท่าทีแปลกประหลาดทำให้ติงผิงรู้สึกประหลาดใจ
เขารู้ว่าตอนนี้มีขุมอำนาจลับที่กำลังคิดล้มล้างจักรพรรดิต้าหลิงและก่อตั้งอาณาจักรใหม่ขึ้นมา
อาจารย์ของเขาได้เปิดสวรรค์สำเร็จและช่วยทุกคนให้พ้นจากแผนการของห้านิกายโบราณ แถมอาจารย์ยังถูกนำตัวไปเป็นตัวประกันอีกด้วย แต่กลับมีคนบางคนที่เนรคุณคิดจะก่อกบฏในตอนที่อาจารย์ของเขาไม่อยู่!
ไม่รู้ว่าตระกูลผิงเป็นเช่นนั้นหรือไม่ แต่ถ้าเป็นจริงๆ เขาจะลบตระกูลผิงให้หายไปเอง
“โอ้ ติงผิง มาคุยกันหน่อยสิ” ชายชราคนหนึ่งกวักมือเรียกติงผิง ชายชราผู้นี้คือติงฉัง เขาเป็นผู้อาวุโสเก่าแก่ที่มีอำนาจมากในตระกูลผิง
ตอนที่อยู่บนโลกใบเล็กเขาเป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานและคิดว่าตนเองคงจะจบชีวิตลงในระดับพลังนี้ แต่เขากลับได้รับวาสนาอย่างไม่คาดคิดจากการเปิดสวรรค์ของหลิงฮัน ภายในสองปีนี้เขาพัฒนาตนเองจนบรรลุระดับตัวอ่อนวิญญาณและมีอายุขับเพิ่มขึ้นสองร้อยปี
ก่อนหน้านี้เขาไม่มีความทะเยอทะยานใดๆ แต่เมื่อเขาสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกสองร้อยปีจิตใจของเขาก็เริ่มหวั่นไหว
“คารวะท่านปู่เจ็ด” ติงผิงเชื่อฟังหลิงฮัน ถึงแม้เขาจะไม่ชอบตระกูลผิงเขาก็ยังแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสของตระกูล
ติงฉังพยักหน้าแสดงความเป็นผู้อาวุโส ในความคิดของเขาไม่ว่าอย่างติงผิงก็ยังเป็นรุ่นเยาว์ของตระกูลผิง ดังนั้นติงผิงจึงสมควรแล้วที่จะเชื่อฟังคำพูดของเขา ชายชราชี้ไปยังเก้าอี้ด้านหน้าและกล่าว “นั่งก่อนสิ”
หลังจากติงผิงนั่งลง ชายชราก็กล่าว “ผิงน้อย นี่เป็นเกือบสองปีแล้วที่จักรพรรดิของเขาจากไป”
หัวใจของติงผิงเต้นแรง แต่ใบหน้าของเขายังสงบนิ่งตามที่หลิงฮันสอนเขา ติงผิงพยักหน้าและกล่าว “เป็นอย่างที่ท่านว่า อาจารย์ได้จากจักรวรรดิไปเป็นเวลาสองปีแล้ว”
“ผิงน้อย มีคำกล่าวว่าจักรวรรดิไม่อาจอยู่รอดหากไร้จักรพรรดิ!” ติงฉังยิ้ม ทันใดนั้นแววตาของชายชราก็เปลี่ยนไป
นี่คือความรู้สึกทะเยอทะยานในการโหยหาอำนาจ ชายชรามีท่าทีตื่นเต้นราวกับรุ่นเยาว์ที่พบเจอสาวงามเป็นครั้งแรก
“ท่านปู่เจ็ดหมายความว่าอย่างไร?” ติงผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ติงฉังยิ้มและตอบ “เจ้าเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของจักรพรรดิ ในตอนนี้จักรพรรดิไม่อยู่เช่นนี้ ไม่ใช่ว่าสมควรเป็นเจ้าที่จะสืบทอดราชบัลลังก์หรอกรึ?”
‘ตุบ’ ติงผิงลุกขึ้นยืนและกล่าว “ปู่เจ็ด ระวังคำพูดด้วย!”
“ท่าทีเช่นนั้นคืออะไร!” ติงฉังเกรี้ยวกราด เจ้าหนูคนนี้คิดต่อต้านและกล้าใช้คำพูดไร้ความเคารพเช่นนั้นกับเขา
“ปู่เจ็ด ท่านคงเมาแล้ว!” ติงผิงกำลังจะเดินจากไป
“หยุด!” ติงฉังตบโต๊ะ
ติงผิงยังคงเมินเฉยและเดินต่อ
“โอ้ หนุ่มน้อย ท่านปู่ของเจ้าบอกให้หยุดเจ้าไม่ได้ยินรึไง?” จู่ๆก็มีร่างหนึ่งปรากฏตัวออกมาขวางทางติงผิงเอาไว้ “การไม่เคารพผู้อาวุโสไม่ใช่นิสัยที่ดีเลยนะ”
ติงผิงจ้องไปยังอีกฝ่าย คนที่ปรากฏตัวเป็นรุ่นเยาว์เช่นกัน อีกฝ่ายมีอายุราวๆยี่สิบห้าปีและห้อยดาบยาวไว้ที่ด้านหลัง ทั่วร่างของคนคนนี้ปลดปล่อยเจตจำนงแห่งดาบที่ทรงพลังออกมา ราวกับว่าเขากับดาบเป็นหนึ่งเดียวกัน
“เจ้าเป็นใคร!” ติงผิงเอ่ยถาม อีกฝ่ายนั้นทำให้เขารู้สึกกดดันอย่างหนักหน่วง ระดับพลังของรุ่นเยาว์ตรงหน้าจะต้องไม่ต่ำกว่าเขาแน่นอน
ระดับทลายมิติ!
ตอนที่ 1080
“ข้าคือใคร?” รุ่นเยาว์ยิ้ม “ข้าคือจางโม่ ในอดีตข้ามีฉายาว่าราชันดาบน้อย เพียงแต่ว่าที่นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันกว้างใหญ่ ถ้าข้ากล้าเรียกตนเองว่าราชันดาบข้าคงจะถูกสังหารในไม่กี่ลมหายใจ!”
“นิกายดาบสวรรค์!” ติงผิงกล่าวอย่างเย็นชา
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าความโกลาหลในมุมมืดของจักรวรรดิเดินจากอะไร ที่แท้ห้านิกายโบราณก็อยู่เบื้องหลังนี่เอง
ทุกคนในตระกูลร่วมมือกับห้านิกายแล้ว?
ติงผิงรู้ว่าแต่เดิมห้านิกายต้องการจะหลอมพวกเขาทุกคนให้กลายเป็นเม็ดยา ถึงอย่างนั้นกลับยังมีผู้คนที่คิดเนรคุณหันไปให้ความสนับสนุนห้านิกายโบราณ!
“ช่างบังเอิญจริงๆ” จางโม่กล่าว “ที่จริงพวกข้ายังคิดหาทางหลอกให้เจ้ากลับตระกูลอยู่พอดี ไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะเป็นฝ่ายกลับมาเองแบบนี้”
ติงผิงไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย ตอนนี้เขามีพลังบ่มเพาะระดับทลายมิติขั้นสามแล้ว นอกจากนี้เขายังมีพลังทำลายที่ทรงพลังและพลังต่อสู้ยี่สิบดาว บวกกับการใช้อำนาจแห่งจักรภพและสมบัติที่หลิงฮันให้เขาติดตัวไว้ เขาไร้ความหวาดกลัวต่อจอมยุทธระดับทลายมิติทุกคน
เขามีท่าทีสงบนิ่งและกล่าว “ข้าไม่มีทางทรยศอาจารย์ของข้า”
“ฮ่าๆๆ สิ่งที่พวกเราต้องการมีอย่างเดียว!” ติงฉังกล่าว “เจ้าเป็นลูกศิษย์ของหลิงฮัน ถ้าจะกล่าวถึงการสืบทอดบัลลังก์เจ้ามีสิทธิ์อันชอบธรรม!”
ติงฉังตื่นเต้นจนหน้าแดงก่ำ เขาไม่เคยคาดคิดว่าวันหนึ่งเขาจะมีโอกาสได้กลายเป็นผู้นำของจักรวรรดิ
เรื่องนี้ถึงขนาดทำให้มังกรชราใต้หว่างขาของเขากลับมามีชีวิตชีวา เขารู้สึกอยากจะหาสตรีสักคนมาช่วยปลดปล่อยเหลือเกิน
“ช่างเป็นคนที่โง่เสียจริง!” จางโม้ใช้ฝ่ามือแทนดาบปลดปล่อยปราณดาบออกมา ทันใดนั้นศีรษะของติงฉังก็ถูกตัดขาด ‘ฉัวะ’ โลหิตกระฉูดออกจากลำคอลอยขึ้นด้านบน
หัวของติงฉังร่วงลงสู่พื้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกมึนงง เขาไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าจางโม้สังหารเขาทำไม ไม่ใช่ว่าพวกเขาเป็นพรรคพวกกันรึยังไง? ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะยึดครองจักรวรรดิต้าหลิงฮันด้วยกันรึไง?
ติงผิงไม่รู้สึกสงสาร ชายคนนี้เป็นคนทรยศหลิงฮัน เขาไม่ลงมือสังหารเขาด้วยตัวเองก็ดีแค่ไหนแล้ว ติงผิงส่ายหัวและกล่าว “ปู่เจ็ด ท่านพยายามซ่อนเสือไว้ข้างกายเอง พวกเขาแค่ต้องการใช้ท่านเพื่อให้พาข้ากลับมาเท่านั้น”
แววตาของต้าฉังส่องประกายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนก่อนจะสิ้นชีวิต
เขาสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปได้อีกสองร้อยปีแท้ๆ และด้วยสายใยความเป็นญาติกับต้าผิง เขาเคยคาดหวังว่าจะสามารถบรรลุระดับก้าวสู่เทวาหรือระดับสวรรค์ด้วยซ้ำ เพราะอย่างไรที่นี่ก็คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทรัพยากรสำหรับบ่มเพาะพลังของระดับพลังของมนุษย์ไม่นับว่าล้ำค่าหายาก!
แต่เขากลับทะเยอทะยานเกินขีfจำกัดของตัวเองและราคาที่เขาต้องจ่ายก็คือชีวิต
“ส่วนเจ้า จะยอมเชื่อฟังแต่โดยดีหรือจะใช้กำลัง?” จางโม่กล่าว
เขาเป็นอัจฉริยะที่บรรลุระดับทลายมิติก่อนที่หลิงฮันจะเปิดสวรรค์ ในช่วงเวลาสองปีบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาได้บ่มเพาะพลังจนบรรลุระดับทลายมิติขั้นเก้าและขัดเกลาพลังต่อสู้จนถึงสิบห้าดาว
นี่ยังไม่ใช่ขีดจำกัดของเขาดังนั้นเขาจึงยังไม่ทะลวงผ่านระดับภูผาวารีแต่เลือกขัดเกลาพลังต่อสู้ต่อไปให้ถึงยี่สิบดาว
ติงผิงหัวเราะและกล่าว “ใครอ่อนแอหรือแข็งแกร่งกว่ากัน เมื่อได้สู้เดียวก็รู้!”
“เหอๆ ข้อมูลที่ได้มาผิดพลาดสินั ข้าไม่นึกเลยว่าเข้าจะบรรลุระดับทลายมิติได้รวดเร็วเพียงนี้!” จางโม่ยิ้ม “เจ้าเหมือนกับอาจารย์ของเจ้าไม่น้อย บ่มเพาะพลังได้รวดเร็วจนน่าโมโห!”
ถ้าพวกเขาสามารถสังหารหลิงฮันได้ตั้งแต่แรง ทวีปฮงเทียนในตอนนี้คงจะยังอยู่บนโลกใบเล็กเพื่อรอให้ห้านิกายโบราณลงมือหลอมเป็นเม็ดยา
หลังจากนั่นพวกเขาก็ยังขึ้นไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ใช่ดาวดวงนี้แต่เป็นที่ตั้งรากฐานของห้านิกายโบราณ!
ในดาวดวงนี้พวกเขาไม่ได้รับทรัพยากรบ่มเพาะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แม้แต่นิดเดียว พวกเขาราวกับว่าใช้ชีวิตอยู่ที่ดินแดนรกร้างอันแสนสิ้นหวัง! เพราะงั้นหลังจากเวลาผ่านไปเกือบสองปีพวกเขาจึงตัดสินใจวางแผนยึดครองจักรวรรดิต้าหลิง
“เจ้าจะลองดูก็ได้!” ติงผิงกำหมัดทั้งสองข้าง ตั้งแต่บรรลุระดับทลายมิติเขาก็ยังไม่เคยสู้กับจอมยุทธระดับเดียวกันมาก่อน ถึงแม้หลิงฮันจะยับยั้งพลังบ่มเพาะให้เท่ากับเขา แต่อาจารย์ของเขาเป็นสัตว์ประหลาดที่เขาสู้ด้วยแล้วหมดหวัง
“โอ้ ขนาดความมั่นใจเต็มเปี่ยมเช่นนั้นเจ้ายังเหมือนกับอาจารย์ของเจ้าจนน่าหงุดหงิดยิ่งไปอีก!” จางโม่แสยะยิ้ม เขามือขึ้นมาสะบัด ปราณดาบหลายสิบเล่มพุ่งเข้าใส่ติงผิง
ติงผิงไม่เกรงกลัว เขากำหมัดแน่นแหละปล่อยออกไป
ตูม!
พลังปราณถูกบีบอัดกลายเป็นโล่ ‘พรึบ’ ปราณดาบที่พุ่งเข้าใส่โล่ถูกทำให้สลายไป
“หืม?” จางโม่ตกตะลึง พลังต่อสู้ของอีกฝ่ายดูแล้วทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง
แค่ระดับทลายมิติขั้นสามทำไมถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้?
“แม้ข้าจะเทียบอาจารย์ไม่ได้ แต่แค่จัดการเจ้าไม่นับว่าเป็นปัญหา!” ติงผิงส่งเสียงในลำคอ ร่างของเขาเกิดเสียงกล้ามเนื้อบีบรัด
ถึงแม้เขาจะไม่ได้ฝึกฝนคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์แต่เขาก็ได้รับการถ่ายทอดทักษะกายาเจ้ามังกรทรราชบวกกับร่างกายที่ทนทานมาแต่กำเนิด ด้วยสองสิ่งนี้ทำให้เขาเขามีพลังทัดเทียมกับระดับทลายมิติขั้นเก้าในขณะที่เขามีพลังระดับทลายมิติขั้นสาม ไม่ต้องพูดถึงพลังต่อสู้ของเขาที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่านี้อีก
จางโม่เกรี้ยวกราด เขาเกิดมาในยุคสมัยเดียวกับหลิงฮันทำให้เขาถูกหลิงฮันเหยียบย่ำ และตอนนี้ลูกศิษย์ของอีกฝ่ายกลับกล้าพูดว่าจะจัดการเขาได้โดยไม่มีปัญหางั้นรึ?
ช่างอวดดี!
เขาดึงดาบออกมาและกล่าว “เจ้าหนู เจ้าคงบ้าไปแล้วที่คิดว่าเหนือกว่าข้า!”
“ไม่ได้บ้า แต่ข้ามั่นใจ!” ห้ามหวั่นเกรงต่อศัตรูตรงหน้า นี่คืออีกสิ่งที่หลิงฮันสอนเขา ความขี้ขลาดกับรักชีวิตนั้นต่างกัน ถ้ารู้ว่าตนเองกับศัตรูห่างชั้นกันเกินไปค่อยหาทางหนี
“น่าหงุดหงิดยิ่งนัก!” จางโม่เค้นเสียงกล่าวและกวัดแกว่งดาบโจมตี
จางโม่ลงมืออย่างไม่ลังเลล ที่นี่คือตระกูลติงหรืออะไรสักอย่างสินะ? ดาบของเขาปลดปล่อยรัศมีดาบออกมายาวร้อยฟุตก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง
ติงผิงคำราม “ออกไปสู้กันข้างนอก!”
จางโม่ไม่แยแส ในสายตาของเขา ไม่ว่าอย่างไรผู้คนที่นี่ก็ยังเป็นมดปลวกของโลกใบเล็กที่แต่เดิมเคยเป็นวัตถุดิบสำหรับหลอมเป็นเม็ดยา ตอนนี้ต่อให้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้วเขาก็ไม่แยแส
‘ตูม’ รัศมีดาบกวาดผ่านทั่วบริเวณ บ้านทั้งหลังถูกบดขยี้ หลายชีวิตที่อยู่ข้างในตกตาย
“บัดซบ!” ติงผิงคำรามและปลดปล่อยพลังต่อสู้ทั้งหมดออกมาและเข้าปะทะทันทีเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสังหารหมู่ตามใจชอบ
ตอนที่ 1081
ติ่งผิงต่อสู้กับจางโม่
ในเรื่องของระดับพลัง ติ่งผิงตามหลังจางโม่ถึงหกระดับ แต่เขาใช้วิธีการทุกอย่างทำให้พลังต่อสู้ของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าจางโม่ แล้วด้วยความแข็งแกร่งทางกายภาพบวกกับพลังแห่งจักรภพ ทำให้เขามีพลังมากกว่าจางโม่มาก
เมื่อชายทั้งสองคนต่อสู้กัน ในไม่ช้าตระกูลติ่งก็กลายเป็นซากปรักหักพักและอย่างน้อยหนึ่งในสามของสมาชิกตระกูลปลิวออกไปหลังจากการต่อสู้
จางโม่เริ่มตกตะลึงมากขึ้นเมื่อต่อสู้ ตอนแรกเขาคิดว่าสามารถเอาชนะติ่งผิงได้อย่างง่ายดาย แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงขนาดทำให้เขาฝ่ายแพ้!
เรื่องนี้ทำให้เขาเริ่มเป็นบ้า
ถ้าศัตรูเป็นหลิงฮันเขาคงไม่อับอายที่แพ้ นั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นสัตว์ประหลาดที่แม้แต่อาจารย์ของเขาหรืออาจารย์ของอาจารย์หรือแม้กระทั่งอัจฉริยะจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้ แต่ตอนนี้คนที่เขาต่อสู้ด้วยคือศิษย์ของอีกฝ่าย แล้วเขาจะไม่รู้สึกอับอายได้อย่างไร
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ไม่ได้มีเพียงแค่หลิงฮันเท่านั้นที่มีพรสวรรค์น่าสะพรึงกลัว แม้แต่ศิษย์ของเขาก็ไม่อาจดูแคลนได้!” สาวงามคนหนึ่งลงมาจากท้องฟ้า นางมีปีกหนึ่งคู่อยู่ด้านหลังที่กระพือไปมาเล็กน้อยเพื่อให้บินบนท้องฟ้าได้
ในโลกใบเล็กปีกทั้งสองข้างของนางคงจะไร้ประโยชน์ นั่นเป็นเพราะหลังจากที่ทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานก็สามารถบินได้แล้ว
แต่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีเพียงแค่จอมยุทธระดับดาราที่เข้าใจความลับของสวรรค์และปฐพีเท่านั้น ถึงจะโปรยบินบนท้องฟ้าได้
– แต่ไม่ใช่ว่าดาวเหอหนิงมีจอมยุทธระดับดาราไม่กี่คนหรอกหรือ?
ดังนั้น การมีปีกบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นความฝันของใครหลายคนที่จะได้โปรยบิน อย่างน้อยก็ของผู้คนเมื่อหลายล้านปีก่อน
ตงหลินเอ๋อเป็นลูกศิษย์อาวุโสของนิกายนกอมตะเมฆา
อัจฉริยะดั้งเดิมได้รับสภาพแวดล้อมของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ บวกกับการเปิดสวรรค์ แน่นอน ถ้าเทียบกับหลิงฮันแล้วพวกเขาเหมือนเป็นคนทั่วไป ตอนนี้พวกเขาเป็นแค่จอมยุทธระดับทลายมิติขั้นเก้าเท่านั้น
“หึ่ม นี่เจ้ายังไม่รีบเข้ามาช่วยข้าอีกรึ!” จางโม่อย่างไม่พอใจ
“ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าพูดด้วยความมั่นใจว่าไม่ต้องการผู้ช่วยหรอกรึ?” ตงหลินเอ๋อหัวเราะ พลังต่อสู้ของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าจางโม๋ แล้วถ้าบวกกับความสามารถบิน นางจึงไม่กลัวว่าจะไม่สามารถหนีจากติงผิงไปได้
“หึ่ม ถ้างั้นทำไมเจ้าไม่ลองต่อสู้กับติงผิงคนเดียวดูล่ะ?” จางโม่เค้นเสียงพูด พรสวรรค์ของเจ้าเด็กนี่แทบไม่ได้ด้อยไปกว่าหลิงฮัน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะประมาท
“ย่อมได้ ข้าจะจัดการเจ้าเด็กนี่ให้เร็วที่สุด เพราะที่เมืองจักรพรรดิยังมีจอมยุทธระดับทลายมิติอีกหลายคนให้ต้องจัดการ” ตงหลิงเอ๋อไม่พูดอ้อมค้อมและเข้าร่วมการต่อสู้โดยตรง
“จอมยุทธระดับทลายมิติไม่ได้น่ากลัว ที่น่าหวาดกลัวคือมังกรเฒ่าต่างหาก” จางโม่กล่าว
“ผู้อาวุโสหลายคนได้ทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้าไปแล้ว ถ้าพวกเขาร่วมมือกัน มังกรเฒ่าจะมีพิษสงอะไร!” ตงหลินเอ๋อพูดด้วยความเกี้ยวกราด
ไม่ว่าในกรณีใดที่พวกเขาต้องการคือใครก็ได้ที่นั่งบัลลังก์จักรพรรดิและคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง ความสำเร็จของตัวจักรพรรดินั้นไม่มีผลอะไรกับพวกเขาทั้งนั้น
ติงผิงฟังด้วยความเดือดดาล
เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดทำให้จิตใจของเขาหวั่นไหว แต่ที่อีกฝ่ายไม่รู้คือหลิงฮันกลับมาแล้ว และใช้เวลาแค่สามเดือนเท่านั้นในการฝึกจอมยุทธระดับภูผาวารีสี่คน!
ในปัจจุบัน เมืองจักรพรรดิมีจอมยุทธขอบเขตพระเจ้าเกือบสิบคน และพลังต่อสู้ของหลิงฮันกับจักรพรรดิจอมอสูรยังอยู่ในระดับภูผาวารีขั้นสูง
ภายในจักรวรรดิต้าหลิง หลิงฮันสามารถสยบจอมยุทธระดับทลายมิติทุกคนได้ด้วยนิ้วเดียว
แต่เดี๋ยวก่อน!
ติงผิงคิดในใจ ถ้าเขาหนี แผนการโจมตีของอีกฝ่ายจะล่าช้าหรือไม่? อาจารย์ ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อเล่นกับคนพวกนี้เอง ข้าจะปล่อยให้อาจารย์จัดการเรื่องเล็กน้อยนี่ได้อย่างไร?
นี่คือการตัดสินใจของเขา!
ติงผิงล่าถอยอย่างกะทันหันและพูดว่า “ข้ายินดีที่จะร่วมมือกับพวกเจ้า แต่พวกเจ้าต้องรับปากข้าว่าจะไม่ทำร้ายข้าหรือผนึกพลังของข้า!”
“หืม?” ตงหลินเอ๋อและจางโม่มองหน้ากันด้วยความแปลกใจ
ทำไมเจ้าเด็กนี่ถึงเปลี่ยนใจเร็วขนาดนี้?
หรือเป็นเพราะสองต่อหนึ่งสู้ไม่ได้เลยยอมแพ้? ฮ่าฮ่าฮ่า ทุกคนย่อมกลัวต่อความตาย ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเด็กนี่ยังเป็นแค่รุ่นเยาว์เท่านั้น เป็นธรรมดาที่จะกลัวความตาย
“ตกลง!” ทั้งสองคนพยักหน้า เพราะยังไงติงผิงก็เป็นแค่จอมยุทธระดับทลายมิติเท่านั้น
ติ่งผิงตามทั้งสองคนไปอย่างเงียบๆ และพวกเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้บังคับอะไรเขาเลยเพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ
พวกเขาเดินทางผ่านภูเขาและแม่น้ำ และเข้าไปในเมืองที่มีชีวิตชีวาแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้านิกายโบราณ
อย่างที่คิดสถานที่ตั้งของห้านิกายโบราณอยู่ในเมือง ในตอนที่จักรพรรดิพิรุณและคนอื่นๆตามกวาดล้างสมาชิกห้านิกายโบราณที่เหลือรอดอยู่ พวกเขาตามหาทั้งในภูเขาและทะเล แต่ใครจะคิดว่าพวกมันปักหลักอยู่ในเมืองที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้
ภายใต้การนำทางของตงหลิงเอ๋อ พวกเขาเข้าไปในคฤหาสน์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่มีทะเลสาบธรรมชาติและทัศนียภาพที่งดงาม
“ผู้รู้สถานการณ์ คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ!” ราชันดาบปรากฏตัว แต่ทว่าตอนนี้เขาได้ทะลวงผ่านระดับภูผาวารีแล้ว ซึ่งเขาไม่คิดที่จะปกปิดกลิ่นอายของตนเองเลยแม้แต่น้อย กลิ่นอายที่เขาปลดปล่อยออกมาคล้ายกับเจตจำนงแห่งดาบที่ก่อตัวเป็นเงาดาบรอบตัวเขา หากมันพุ่งออกไปก็จะสามารถฆ่าจอมยุทธระดับทลายมิติได้ทันที
เขาได้ยินตงหลินเอ๋อพูดเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันและไม่มีข้อสงสัยเลยแม้แต่น้อย ในช่วงสองปีที่ผ่านมา หลิงฮันไม่เคยกลับมาที่นี่เลย ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาไม่สามารถออกมาจากจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะได้
ในทางกลับกัน ห้านิกายโบราณมีจอมยุทธหลายคนที่ถูกปิดผนึกและหลับไหลมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี แล้วตอนนี้ในเมื่อพวกเขาได้เข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว มีอย่างน้อยหนึ่งในสิบคนที่ทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้า ซึ่งทำให้ตอนนี้พวกเขามีจอมยุทธที่ทะลวงผ่านขอบเขตพระเจ้ามากเกือบสี่สิบคน!
นี่คือกองกำลังที่เด็ดขาด คนเดียวที่พวกเขาต้องกลัวคือเฮ่อเหลียนเทียนหยุน มังกรเฒ่านั่นมีพรสวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัวมาก และได้ทะลวงผ่านระดับภูผาวารีแล้ว พลังต่อสู้ของเขาจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“เจ้ารู้อะไรจงพูดออกมา” ราชันดาบกล่าว เขาต้องการข้อมูลของเฮ่อเหลียนเทียนหยุนให้มากที่สุดเพื่อที่จะได้วางแผนรับมือตอบโต้
ติงผิงไม่คิดจะปกปิดอะไรและบอกข้อมูลของเฮ่อเหลียนเทียนหยุนให้อีกฝ่ายฟัง ซึ่งทำให้ราชันดาบรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และคิดในใจว่าติงผิงเป็นคนขี้ขลาดตาขาว ทั้งที่ยังไม่โดนทรมานอะไรเลยแท้ๆ แต่ก็พูดออกมาจนหมดเปลือก
ห้านิกายโบราณมีข้อมูลเกี่ยวกับเฮ่อเหลียนเทียนหยุนอยู่บ้าง เมื่อเทียบกับข้อมูลที่เพิ่งได้รับมาจากติงผิงแล้ว นั่นทำให้เขาพูดว่าติงผิงไม่ได้พูดโกหกเลยแม้แต่คำเดียว
พวกเขาเชื่อในคำพูดของติงผิงและคิดว่าติงผิงยังเด็กเกินไปและเกรงกลัวต่อความตาย
ตั้งแต่ที่ติงผิงร่วมมือกับพวกเขา พวกเขาจึงไม่ทำอะไรติงผิง บางทีพวกเขาอาจยอมรับติงผิงในฐานะหมาเฝ้าบ้าน นั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นแค่จอมยุทธระดับทลายมิติเท่านั้น
พวกเขาตกลงเห็นด้วยที่จะโจมตีเมืองจักรพรรดิในอีกสิบวันข้างหน้า
ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา พวกเขาเตรียมตัวกันมาอย่างดีและรอแค่เวลาเปิดศึกเท่านั้น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สิบวันต่อมา ติงผิงนำกลุ่มคนลอบเข้าไปในเมืองและเข้าไปในพระราชวังอย่างเงียบๆ ซึ่งมีคนในรอสมทบและเข้าร่วมกองทัพยึดอำนาจ
ตอนที่ 1082
เหล่ากองทัพกบฏบุกเข้าไปในพระราชวัง องครักษ์ที่เฝ้าปราสาทอยู่ไม่กล้าแม้แต่จะต่อต้านและถอยเปิดทาง
เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ทำให้กองทัพกบฏรู้สึกฮึกเหิม พวกเขาคงทรงพลังเป็นแน่ องครักษ์ถึงได้หวาดกลัวจนทำได้เพียงล่าถอย
ถึงแม้จอมยุทธของห้านิกายโบราณจะสงสัยที่ทำไมการคุ้มกันปราสามถึงหละหลวมเช่นนี้ แต่พวกเขาก็เลือกที่จะไม่สนใจ เพราะอย่างไรพวกเขาก็เป็นขุมอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดแถมยังมีปรมาจารย์ระดับพระเจ้าถึงสามสิบเจ็ดคน
สำหรับเฮ่อเหลียนเทียนหยุน พวกเขาจะใช้ปรมาจารย์สามสิบคนในการจัดการ ในขณะที่อีกเจ็ดคนจะทำหน้าที่กวาดล้าง
ติงผิงรู้อยู่ในใจว่านี่คือแผนการหลอกล่อของหลิงฮันเพื่อให้เหล่ากบฏมารวมตัวกันให้มากที่สุด
ใช้เวลาไม่นานกองทัพกบฏก็บุกไปถึงส่วนลึกที่สุดของปราสาทและหยุดอยู่ตรงหน้า ‘ตำหนักใจกลาง’
ที่นี่คือศูนย์กลางของทั้งปราสาท ในห้องโถงนี้มีอารามตั้งอยู่ซึ่งบนอารามมีเสาหินที่สลักสัญลักษณ์เอาไว้
อารามแห่งนี้คือแหล่งรวมพลังของจักรวรรดิต้าหลิง เมื่อใดที่อารามแห่งนี้พังทลายก็จะไม่สามารถใช้อำนาจแห่งจักรภพได้อีกต่อไป
เฟิงโปหยุน จักรพรรดิพิรุณ มู่หลงชิง เฮ่อเหลียนเทียนหยุนปรากฏตัวโดยมีองครักษ์ของปราสาทยืนอยู่ด้านหลังพวกเขาทั้งสี่ เหล่าองครักษ์ต่างถือกระบี่อยู่ในมือและแสดงท่าทีว่าพวกเขาพร้อมสู้จนตัวตาย
“เหอะ ก็แต่ฝูงไก่ฝูงสุนัข!” ชายชราคนหนึ่งของห้านิกายโบราณกล่าว เขามีชื่อว่าซื่อถูเจี่ยน เขาจำศีลมาเป็นเวลากว่าพันปี ในตอนนี้ที่หม่าตั่วเปาทำลายห้านิกายโบราณเขาที่จำศีลอยู่ก็ไม่ถูกปลุกขึ้นมา
กว่าเขาจะตื่นก็เมื่ออยู่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วดังนั้นเขาจึงไม่รู้แท้ถึงพลังของหลิงฮัน สิ่งที่เขารู้สึกมีเพียงแค่ว่าคนรุ่นหลังนั้นช่างอ่อนแอที่แพ้ให้กับหลิงฮัน
“เจ้าพวกสุนัข มอบชีวิตของพวกเจ้ามาเสีย!” เฮ่อเหลียนเทียนหยุนคำราม ในกลุ่มสี่คน เขาเป็ฯคนที่ปากจัดที่สุด
“โอ้ ทายาทของมังกรที่แท้จริงงั้นรึ พลังต่อสู้ของเจ้าคงสูงได้ถึงสี่ดาวหรือห้าดาวที่กล่าวขานกันในตำนานสินะ?” ซื่อถูเจี่ยนสะบัดมือ “อย่างที่วางแผนกันเอาไว้ มาช่วยกันจัดการมังกรตนนี้ โลหิตมังกรนับว่าเป็นยาบำรุงชั้นเลิศ!”
ทันใดนั้นปรมาจารย์ยี่สิบเก้าคนก็เดินหน้าขึ้นมายืนเคียงข้างซื่อถูเจี่ยน พวกเขาวางแผนกันเอาไว้แล้วว่าใครบ้างจะร่วมมือกันจัดการเฮ่อเหลียนเทียนหยุน
“เหอะ ก็แค่ฝูงจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นต่ำชั้นต้น!” เฮ่อเหลียนเทียนหยุนแสยะยิ้ม “พวกเจ้าเล่นผิดคนแล้ว ฝั่งของพวกข้าจอมยุทธระดับภูผาวารีไม่ได้มีเพียงหนึ่ง!”
เฟิงโปหยุน จักรพรรดิพิรุณ มู่หลงชิงและจิตวิญญาณศิลาเดินขึ้นหน้าและไม่ปกปิดพลังของตนเองอีกต่อไป แรงกดดันอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของพระเจ้าถูกปลดปล่อยออกมาโอบล้อมจอมยุทธทุกคนทันที
อะไรกัน!
ห้านิกายโบราณและเหล่ากบฏสุนัขรับใช้อุทานออกมา เป็นไปได้อย่างไรที่จู่ๆจักรวรรดิต้าหลิงมีจอมยุทธระดับพระเจ้าโผล่ขึ้นมาอีกสี่คน? เรื่องที่ทำให้แผนของพวกเขายุ่งเหยิงไปหมด
“นี่พวกเจ้า พวกเจ้ามีความกตัญญูกันบ้างรึเปล่า?” จักรพรรดิพิรุณถาม “ถ้าไม่ใช่เพราะน้องสี่เปิดสวรรค์ได้สำเร็จ พวกเจ้าก็มีชะตะตกตายอยู่บนโลกใบเล็กโดยการถูกหลอมเป็นเม็ดยา! แต่ตอนนี้พวกเจ้ากลับเข้าร่วมกับคนของห้านิกายโบราณเสียนี่”
เมื่อถูกถามเช่นนี้กบฏบางคนก็แสดงท่าทีละอายใข แต่ก็มีบางคนที่แสดงท่าทีอวดดีแสยะยิ้ม
พวกเขาคิดว่านี่แหละคือทางเลือกของคนฉลาด!
หลิงฮันถูกจับกุมเป็นตัวประกัน แถมจักรวรรดิต้าหลิงก็มีจอมยุทธระดับพระเจ้าเพียงคนเดียวคอยคุ้มกัน หากเทียบกับจำนวนจอมยุทธระดับพระเจ้าของห้านิกายโบราณแล้วช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว
เช่นนั้นแล้วระหว่างตายไปพร้อมกับต้าหลิงกับเข้าร่วมกับห้านิกายโบราณจะให้เลือกอะไร?
ที่นี่คือดินแดนศักดิ์ศิทธิ์ พวกเขาไม่ต้องกังวลว่าจะถูกหลอมกลายเป็นเม็ดยา ที่นี่พวกเขาไม่มีเรื่องอะไรให้ขัดแย้งกับห้านิกายโบราณจึงสามารถให้ร่วมมือกันได้
“เกิดคาดไปเล็กน้อยที่พวกเจ้าบรรลุระดับพระเจ้าแล้ว เหอๆ แต่ก็แค่ระดับพระเจ้าเพียงห้าคน” ถึงแม้ซื่อถูเจี่ยนจะตกตะลึงเขาก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว
เขาไม่ใช่จอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดของห้านิกายโบราณแต่แค่มีสถานะอาวุโสที่สุด ดังนั้นเขาจึงถูกแต่งตั้งเป็นผู้นำของแผนการบุกลุกครั้งนี้
“พวกเจ้ามีคนแค่นี้เองงั้นรึ?” จักรพรรดิพิรุณกวาดสายตามอง เขารู้ว่านานแล้วว่ามีความวุ่นวายบางอย่างเกิดขึ้นอยู่เบื้องหลังความสงบสุขของเมืองจักรพรรดิ การที่กองทัพกบฏปราฏตัวขึ้นในตอนนี้ก็อยู่ในการคาดการณ์ของเขา มีบางกลุ่มที่ก่อนหน้านี้หลบซ่อนตัวได้อย่างมิดชิดไม่ยอมโผล่หางแม้แต่นิดเดียว
“จำนวนเท่านี้ก็เพียงพอที่จะจัดการพวกเจ้าแล้ว!” ซื่อถูเจี่ยนแสยะยิ้ม “แต่ก่อนหน้านั้นคงต้องสังหารคนหัวรั้นทิ้งเสียก่อน!” แววตาของเขามองไปยังติงผิง
จักรวรรดิต้าหลิงฮันมีจอมยุทธระดับพระเจ้าอยู่อีกสี่คน แต่ติงผิงไม่ยอมบอกข้อมูลเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าติงผิงจงใจหลอกพวกเขา
ตุบ!
ติงผิงถูกโยนออกมา ถึงแม้เขาจะมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่ง แต่ต่อหน้าพระเจ้าเขาก็ไม่อาจขัดขืนได้
“จงคุกเข่า!” ซื่อถูเจี่ยนกล่าวอย่างเย็นชา เขาจะตัดหัวติงผิงต่อหน้าทุกคนที่นี่
“ปึ๊ด!” ติงผิงถุยน้ำลายอย่างไม่เกรงกลัว
“งั้นข้าจะทำให้เจ้าคุกเข่าเอง!” ซื่อถูเจี่ยนกล่าวขึ้นเสียง แววตาของเขาจ้องเขม็งพร้อมกับปลดปล่อยออร่าที่เป็นเอกลักษณ์ของพระเจ้าออกมาเพื่อสยบจิตใจของติงผิง
“ฮึ่ม เจ้าข้าข่มขู่ลูกศิษย์ของข้างั้นรึ?” เสียงของหลิงฮันดังขึ้น
“อะไรกัน?” “หืม?” “นะ…นี่มัน?
ราชาดาบ จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ และคนอื่นๆมีสีหน้าตกตะลึง พวกเขาเคยเจ็บปวดกับฝันร้ายที่เรียกว่าหลิงฮันมาก่อน เพราะงั้นพวกเขาจึงจำเสียงของหลิงฮันได้แม่นมาก พวกเขาสั่งสะท้านทั่วร่างในทันที
“ใครกัน?” ซื่อถูเจี่ยนคำรามและมองไปยังต้นทางของเสียง
หลิงฮันเดินออกมาโดยมีรอยยิ้มประดับไว้บนใบหน้า
“เจ้าเป็นใคร?” ซื่อถูเจี่ยนถามอีกครั้ง
“หลิงฮัน!”
ทั้งราชันดาบ จอมยุทธรุ่นอาวุโสหรือจางโม่และจอมยุทธรุ่นเยาว์ต่างอุทานออกมา พวกเขามีเงาของหลิงฮันติดอยู่ในจิตใจ เพียงแค่ได้ยินเสียงพวกเขาก็ตัวสั่นจนร่างแทบจะล้ม
การที่ทำให้จอมยุทธระดับพระเจ้าและรับทลายมิติหวาดกลัวเช่นนี้ได้ก็บ่งบอกแล้วว่าหลิงฮันมีอิทธิพลต่อจิตใจของคนเหล่านี้มากขนาดไหน
“เจ้าคือหลิงฮัน?” ซื่อถูเจี่ยนมองไปยังหลิงฮัน เขาไม่เคยสัมผัสกับ ‘ยุคสมัยของหลิงฮัน’ มาก่อน เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่รู้ถึงความน่ากลัวที่ไม่สามารถจินตนาการได้ของหลิงฮัน
‘โพล๊ะ!’
ร่างของหลิงฮันเคลื่อนไหวในพริบตาพร้อมกับปล่อยหมัดออกไป ทันใดนั้นหัวของซื่อถูเจี่ยนก็ระเบิดกลายเป็นศพไร้หัว
ทั่วพื้นที่เปลี่ยนเป็นนิ่งเงียบทันที
ถึงแม้ซื่อถูเจี่ยนจะไม่ใช่จอมยุทธระดับพระเจ้าที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่จอมยุทธของห้านิกายโบราณ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นถึงระดับพระเจ้าอยู่ดี!
ระเบิดหัวในหนึ่งหมัด?
นี่มันบ้าไปแล้ว!
หลิงฮันดึงมือกลับและยิ้ม “ในเมื่อพวกกบฏมารวมตัวกันแล้ว ก็คิดบัญชีรวดเดียวเลยแล้วกัน!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น