Alchemy Emperor of the Divine Dao 1051-1054

ตอนที่ 1051

 

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย


อย่ามองว่าระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดชั้นสูงสุดนั้นห่างกับระดับสุริยันจันทราเพียงขั้นเดียว แม้จะเป็นขั้นเดียวแต่ก็เป็นขั้นเดียวที่ห่างไกล มีคำบอกว่าจอมยุทธระดับสุริยันจันทราครึ่งก้าวนั้นสามารถดึงพลังของระดับสุริยันจันทรามาใช้ได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงทฤษฎี


พวกเขาคาดเดาว่าหวูซื่อเหรินจะต้องมีพลังต่อสู้อย่างน้อยเจ็ดดาวถึงได้สามารถครอบครองพลังของระดับสุรันจันทราได้ในขณะที่มีพลังบ่มเพาะอยูที่ภูผาวารีขั้นชั้นสูงสุดชั้นสูงสุด


อัจฉริยะห้าดาวปรากฏเพียงในตำนาน แล้วอัจฉริยะเจ็ดดาวล่ะ?


หวูซือเหรินไม่ได้เป็นอัจฉริยะขนาดนั้นแต่ไม่ว่าเขาจะใช้ทักษะลับใดทำให้มีพลังต่อสู้เจ็ดดาวก็ตาม ค่าตอบแทนจะต้องมหาศาลอย่างยิ่ง หลังจากผลลัพธ์ของทักษะหมด ผู้ใช้ทักษะจะต้องพิการหรืออาจจะถึงขั้นตาย!


“นี่มันการเข่นฆ่าฝ่ายเดียวชัดๆ!” ใครบางคนกล่าว


“มีคนต้องการสังหารหลิงฮันต่อหน้าสาธารณะชน และสิ่งที่คนคนนั้นต้องจ่ายก็คือชีวิตของจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงสุด!”


“เป็นขุมอำนาจไหนกัน?”


“จักรวรรดิราชวงศ์สวรรค์นิรันดร์? จักรวรรดิราชวงศ์นภาสีคราม? หรือจะเป็น… สมาคมราตรีนิรันดร์?”


“นอกจากสามขุมอำนาจนี้ก็ไม่มีแล้ว”


ณ ที่นั่งชั้นสูง จ้าวหลุนเองก็คิดเช่นเดียวกัน


เขาไม่รู้ว่าหวูซื่อเหรินถูกสมาคมราตรีนิรันดร์ส่งมารึไม่ แต่จากการตรวจสอบพลังต่อสู้ของอีกฝ่าย คนคนนี้แข็งแกร่งมาก


ครึ่งก้าวสุริยันจันทรา ต่อให้เขาลงมือเองก็ต้องใช้ความพยายามเล็กน้อยถึงจะจัดการคนคนนี้ได้ ถ้าเป็นคนคนนี้ล่ะก็คงจะสามารถสังหารหลิงฮันได้ภายในหนึ่งหรือสองกระบวนท่าเป็นแน่


สุ่ยเยี่ยนยวี่เป็นกังวลทันที ถึงกับส่งระดับสุริยันจันทรามาจัดการกับระดับภูผาวารี?


ความต่างนี้เรียกได้ว่าเป็นการสังหารฝ่ายเดียว


นางพยายามสงบจิตใจ ใช่ว่าหลิงฮันจะไม่เคยปะทะกับจอมยุทธระดับสุริยันจันทรามาก่อน นอกจากนี้เขาก็ยังมีสมบัติและไพ่ลับมากมายเกินกว่าคนอื่นจะคาดคิด


ยิ่งกว่านั้นหลิงฮันก็มีกายหยาบที่แข็งแกร่ง แถมหากหลบไปอยู่ในหอคอยทมิฬใครจะสามารถสังหารเขาได้


สำหรับเรื่องที่ว่าอุปกรณ์มิติระดับศักดิ์สิทธิ์จะถูกเปิดเผยนั้น แม้จะมันจะเป็นการนำปัญญาใส่ตัว แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต สิ่งแรกที่ควรทำคือหลบหนีเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้


จ้าวหลุนแสยะยิ้มไม่หยุด ครั้งนี้หลิงฮันต้องตายแน่!


หลิงฮันตกตะลึง กลิ่นอายของอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาเพิ่งพบเจอ


ปราณอสูร!


ปราณอสูรจะมาอยู่ในร่างของเผ่ามนุษย์? หรืออีกฝ่ายจะดูดซับแก่นพลังของจ้าวอสูรเหมือนกับเขา?


ไม่ใช่ หากพูดถึงความหนาแน่นแล้ว ปราณอสูรของอีกฝ่ายเบาบางมาก คาดว่าคงไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าปราณอสูรของจักรพรรดิจอมอสูร การที่พลังของอีกฝ่ายพุ่งสูงขึ้นขนาดนี้สมควรเป็นเพราะทักษะที่ฝ่าฝืนกฎธรรมชาติของสวรรค์และปฐพี


บัญญัติดาบเร็วนั้นฝ่าฝืนกฎธรรมชาติเพียงเล็กน้อย แต่มันก็ก่อให้เกิดภาระต่อผู้ใช้อย่างหนัก แต่ตอนนี้หวูซื่อเหรินฝ่าฝืนกฎธรรมชาติโดยนำพลังปราณของสองดินแดนมารวมกันในร่างกาย แม้มันจะทำให้เขาระเบิดพลังที่น่าสะพรึงกลัวออกมาได้ แต่ผลกระทบในภายหลังนั้นคงรุนแรงกว่าบัญญัติดาบเร็วหลายเท่า


หลังจากประลองเสร็จ เขาคงหนีไม่พ้นความตาย?


แต่เจ้าตัวก็ยินยอมเช่นนั้น!


หลิงฮันคิดในใจ เขาตระหนักแล้วว่าต้องระวังสมาคมราตรีนิรันดร์ให้มาก พวกเขาสามารถนำปราณอสูรมาเพิ่มพลังต่อสู้ให้ตนเองได้เช่นนี้ เขาต้องระวังตัวให้มากแล้ว!


นี่ขนาดเป็นเพียงจอมยุทธระดับภูผาวารีเท่านั้น ถ้าหากจอมยุทธระดับสุริยันจันทราใช้ทักษะลับนี้ พลังต่อสู้จะไม่เพิ่มเป็นระดับดาราเลยรึไง?


เขาคงคิดมากเกินไป ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถรับความรุนแรงของปราณอสูรเอาไว้ในร่างได้ และในสมาคมราตรีนิรันดร์ก็คงมีคนที่ยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อภารกิจแค่หยิบมือ


“ตาย!” หวูซื่อเหรินรีดเค้นพลังจนถึงขีดสุด


เขายกมือขึ้นและกำหมัดชกเข้าใส่หลิงฮัน หมัดของเขาขยายจนมีขนาดใหญ่ราวๆบ้านหนึ่งหลัง หมัดที่ชกออกไปก่อให้เกิดชั้นพายุและอากาสที่บิดเบี้ยว


นี่คือการโจมตีที่ไร้ปรานี หลิงฮันต้องถูกบดขยี้กลายเป็นก้อนเนื้อแน่ ต่อให้กายหยาบที่แข็งแกร่งเทียบเท่าแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามก็ไม่สามารถต้านทานการโจมตีของระดับสุริยันจันทราได้


จะป้องกันอย่างไรดี?


หลิงฮันก้าวถอย แต่ที่นี่คือสังเวียนเหล็กไหล แม้สังเวยนจะกว้างแต่ก็ยังมีพื้นที่จำกัด เมื่อเขาถอยไปถึงขอบกำแพงหมัดของหวูซื่อเหรินก็มาถึงตัวเขาแล้ว


ร่างของหลิงฮันยืนเอียงข้างอยู่หน้ากำแพง มือขวาของเขายื่นออกมาด้านหน้า


ในมือของเขามีแผ่นหินถูกถือเอาไว้


มันคือหินต้นกำเนิดสวรรค์


‘ปัง!’


“อั่ก!” หลิงฮันกระอักโลหิต หินต้นกำเนิดสวรรค์สามารถดูดซับได้เพียงการโจมตีตามขนาดของมัน แม้หลิงฮันจะหันเอียงตัวให้หลบอยู่ด้านหลังแผ่นหินมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็ยังหลบได้ไม่มิดทั้งตัว


ไหล่ซ้ายของเขาถูกโจมตีใส่จนกลายเป็นเศษเนื้อ เท้าขวาของเขาหายไปครึ่งนึง ส่วนขาซ้ายเหลืออยู่เพียงหนึ่งในสามส่วน


แต่เขาก็ยังรอดชีวิตมาได้!


หยดวารีอมตะนิรันดร์ถูกใช้งาน ในพริบตาบาดแผลของหลิงฮันก็ถูกฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์กลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์


หลิงฮันกวัดแกว่งดาบและพุ่งโจมตีด้วยทักษะบัญญัติดาบเร็ว


หวูซื่อเหรินตกตะลึงและรีบเอื้อมมือมาป้องกันบริเวณหน้าอกเนื่องจากสัมผัสได้ว่ามีประกายดาบพุ่งเข้าใส่หัวใจของเขา


แต่เมื่อเข้าเอื้อมมือขึ้นมาก็พบว่ามือของเขาถูกแผ่นหินต้นกำเนิดสวรรค์กันเอาไว้


และทันใดนั้นเองดาบก็ถูกแทงเข้าใส่เป้าหมาย!


เร็วมาก!


ปลายดาบทะลวงร่างของเขาและทะลุหัวใจ!


“ตายไปกับข้า!” ตาของหวูซื่อเหรินเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาอ้าปากและปล่อยคลื่นเสียงออกมา


คลื่นเสียงแปรเปลี่ยนเป็นดาบสีดำนับร้อย ดาบแต่ละเล่มถูกเคลือบไว้ด้วยปราณอสูร


ปราณอสูรไม่ใช่อำนาจของดินแดนแห่งนี้ หลิงฮันจะต้องถูกกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติบดขยี้แน่นอนหลังจากปราณอสูรเข้าไปในร่างของเขา


ระยะใกล้เช่นนี้หลิงฮันจะหลบพ้น?


ถึงแม้เขาจะพยายามหลบเท่าที่หลบได้และปัดป้องดาบดำหลายเล่มด้วยแผ่นหินต้นกำเนิดสวรรค์ จำนวนของดาบดำก็มีมากเกินไปทำให้มีบางเล่มที่เฉือนโดนร่างเขา ต่อหน้าระดับสุริยันจันทรา กายหยาบระดับโลหะศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามย่อมไร้ความหมาย ดาบดำทำลายการป้องกันและทิ่มเข้ามาในร่างของเขา


“ฮ่าๆๆ สุดท้ายข้าก็ทำภารกิจสำเร็จ!” ใบหน้าของหวูซื่อเหรินเต็มไปด้วยความพึงพอใจ


เนื่องจากร่างของเขามีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของสองพิภพอยู่ด้วยกัน หลังจากสู้เสร็จชะตากรรมของเขาก็หนีไม่พ้นความตายอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้ถูกหลิงฮันสังหารก็ไม่ได้แย่อะไร


“ข้าคงทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว” หลิงฮันกล่าวหยอกล้อ เขาที่ดูดซับแก่นพลังของจ้าวอสูรอยู่ ปราณอสูรเล็กน้อยแค่นี้ย่อมทำอะไรเขาไม่ได้


เขาขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้ดาบดำหลุดออกมาจากร่าง ดาบดำสลายกลายเป็นปราณสีดำในขณะที่บาดแผลของหลิงฮันถูกฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว


“เป็นไปได้อย่างไร!” ใบหน้าของหวูซื่อเหรินตกตะลึงอย่างไม่อาจยอมรับได้ เขาถูกปราณอสูรบุกรุกเข้าไปในร่างแล้วแต่กลับขับไล่ออกมาได้ง่ายเพียงนี้?


เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่รึเปล่า?


หวูซื่อเหรินยอมรับไม่ได้ แต่พลังเฮือกสุดท้ายของเขาก็หมดลง ร่างของเขาล้มลงทันที จากการที่ใช้พลังอำนาจของทั้งสองพิภพ เขาไม่ใช่แค่ตกตายแต่ร่างก็ยังเน่าเปื่อยจนไม่เหลือเศษซากแม้แต่ชิ้นเดียว

 

 

 


ตอนที่ 1052

 

การประลองสิ้นสุดลง


สังเวียงเหล็กไหลกลายเป็นเงียบกริบ


น่าทึ่งเกินไป… การต่อสู้สิ้นสุดลงอย่างอลังการและรวดเร็วเช่นนี้!


หวูซื่อเหรินมีพลังต่อสู้ของระดับสุริยันจันทราขั้นต่ำ


แล้วหลิงฮันล่ะ?


เขามีพลังบ่มเพาะเพียงระดับภูผาวารีขั้นกลางชั้นปลาย ไม่เพียงแค่เขาจะแสดงพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งออกมา แต่ยังสามารถป้องกันการโจมตีของหวูซื่อเหรินและจบการต่อสู้ด้วยทักษะดาบที่น่าทึ่งอีกด้วย


แปลก… แปลกเกินไป


คนที่มีพลังของระดับสุริยันจันทราจะถูกสังหารง่ายๆเช่นนั้น?


ทุกคนเกาหัวและไม่อาจยอมรับความจริง แม้จะเห็นด้วยตาตัวเองแต่ก็ไม่มีใครยอมรับได้เพราะมันเหลือเชื่อเกินไป


บางทีในจักรวาลนี้อาจจะมีอัจฉริยะสิบดาวอยู่จริงๆ แต่พลังของหลิงฮันในตอนนี้คงยังไม่ถึงระดับนั้นแน่!


แปลก! แปลกมาก!


“แผ่นหินในมือของเจ้าหนูนั่น!” ในที่สุดก็มีคนมองเห็นเงื่อนงำ ไม่งั้นหลิงฮันจะถือแผ่นหินในช่วงเวลาอันตรายแบบนั้นทำไม? แต่แผ่นหินนั่นมันคืออะไรกันแน่ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้มีอักขระศักดิ์สิทธิ์ใดๆสลักเอาไว้ ดังนั้นมันจึงไม่สมควรเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับสามารถสลายการโจมตีของระดับสุริยันจันทราได้


“ฮ่าๆๆ เจ้าโง่ชนะจริงๆด้วย!” หลีเหว่ยเหว่ยปรบมือและยิ้มไม่หุบ


ซาหยวนตกตะลึงไม่แพ้กัน “เหลือเชื่อ เรื่องแบบนี้สามารถเกิดขึ้นด้วยรึ? แปลก!”


จ้าวหลุนกลายเป็นตัวโง่งม


เพื่อการประลองนี้เขาจ่ายผลึกก่อเกิดไปทั้งหมดสี่แสนผลึก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันราวกับตบหน้าเขา


หลิงฮันไม่เพียงไม่ตายแต่ยังสังหารหวูซื่อเหรินอีกด้วย!


ทั้งเสียหน้าและเสียเงิน!


“จ้าวหลุน ก่อนหน้านี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” หลีเหว่ยเหว่ยหัวเราะ นางไม่ใช่คนที่จะเห็นใจคนอื่น ในเมื่อได้โอกาสนางก็จะตอกย้ำ


ใบหน้าของจ้าวหลุนเปลี่ยนเป็นมิดมน แม้เขาจะเป็นบุตรของแม่ทัพ แต่ผลึกก่อเกิดสี่แสนก้อนก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆซึ่งทำให้เขาเจ็บปวดมาก ยิ่งตอนนี้หลีเหว่ยเหว่ยมาเยาะเย้ยทำให้เขาอารมณ์เสียขึ้นไปอีก


“กลับ!” เขาทนแบกหน้าอยู่ที่นี่ต่อไม่ไหวและหันหลังกลับทันที


หยังลั่วตันรีบเดินตามไป นางรู้สึกอับอายไม่แพ้กัน ตอนนี้จ้าวหลุนอารมณ์เสียมาก หลังจากกลับไปแล้วไม่รู้ว่านางจะโดนทำอะไรบ้าง


“ต้องรีบทำให้เจ้าหนูนี่หายไปให้เร็วที่สุด!” ชาหยวนจ้องไปยังหลิงฮันที่ยืนอยูบนสังเวียนด้วยแววตาสังหาร “แล้วก็แผ่นหินนั่น มันเป็นสมบัติแบบใดกันถึงสามารถสลายการโจมตีของระดับสุริยันจันทราได้ หากสังหารเจ้าหนูนั่นแล้วนอกจากทักษะบ่มเพาะแล้ว แผ่นหินนั่นก็พลาดไม่ได้เช่นกัน”


หลังจากนั้น สังเวียนเหล็กไหลก็เปิดผลึกออกและให้คนอื่นสามารถขึ้นไปบนสังเวียนได้


“มีคำสั่งจากองค์จักรพรรดินีเรียกหลิงฮันเข้าพบ!” ทันใดนั้นเองก็มีองครักษ์สตรีปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้า นางยืนอยู่บนธงของสังเวียนเหล็กไหล


“รวดเร็วเช่นนี้!” ฝูงชนกล่าวด้วยท่าทีหวาดกลัว


จบแล้ว องค์จักรพรรดินีให้ความสนใจแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าใครจะอยากเข้าไปเค้นความลับของหลิงฮันก็ทำไม่ได้แล้ว


ใครจะกล้าต่อต้านจักรพรรดินี?


หลิงฮันส่ายหัวในใจ สถานการณ์ตอนนี้เขามีอยู่สองทางเลือกคือหนึ่งเข้าไปซ่อนตัวในหอคอยทมิฬ สองคือเปิดเผยให้องค์จักรพรรดินีรู้ว่าเขาครอบครองหินต้นกำเนิดสวรรค์ ถึงแม้เขาจะไม่อยากเปิดเผยหินต้นกำเนิดสวรรค์ แต่หอคอยทมิฬสำคัญกว่าไม่รู้กี่เท่า


ดังนั้นเขาจึงเลือกเปิดเผยหินต้นกำเนิดสวรรค์ดีกว่า


หลิงฮันเดินตามองครักษ์ไปยังพระราชวัง ข้างในพระราชวังเรียงรายไปด้วยองครักษ์มากมายและในที่สุดเขาก็มาถึงสวนแห่งหนึ่ง


“องคจักรพรรดินี พาตัวหลิงฮันมาแล้วเจ้าค่ะ!” องครักษ์สตรีกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพ


จักรพรรดินีแห่งดารามองมายังพวกเขา เรือนร่างที่งดงามของนางสวมใส่ไว้ด้วยผ้าคลุมแดง มีเพียงผมยาวสลวยราวกับปุยเมฆของนางที่สามารถมองเห็นได้ชัด คอที่งดงามราวกับหยกของนางเปิดเผยให้เห็นเล็กน้อย แต่มันก็ยังทำให้ผู้คนที่เห็นหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้นอยู่ดี


จิตใจของหลิงฮันปั่นป่วนเล็กน้อยอีกครั้ง เสน่ห์ของจักรพรรดินีรุนแรงเกินไป แม้เขาจะพยายามลบภาพของนางที่อยู่ในจิตใจของเขาไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อได้มาเห็นนางอีกครั้งความหลงไหลก็ปะทะขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว


หากอยู่ใกล้ชิดนางไปสักพัก ชายใดในโลกจะสามารถต้านทานความเย้ายวนของนางได้?


“แผ่นหินนั่น ขอข้าดูหน่อย” จักรพรรดินีเป็นฝ่ายกล่าวกับหลิงฮันก่อน


หลิงฮันรู้ว่าไม่สามารถต่อต้านได้ เขานำหินต้นกำเนิดสวรรค์ออกมาและกล่าว “นี่คือสิ่งที่ข้าน้อยพบเจอตอนทำภารกิจนอกเมือง มันมีคุณสมบัติสามารถดูดซับการโจมตีทุกรูปแบบ”


องครักษ์ด้านข้างหยิบแผ่นหินและค่อยๆก้าวเดินนำไปมอบให้จักรพรรดินีแห่งดารา นางคุกเข่าข้างเดียวและยื่นแผ่นหินออกไปด้านหน้า


จักรพรรดินีหยิบขึ้นมาและออกแรง


“โอ้?” นางประหลาดใจ ถึงแม้นางจะไม่ได้ใช้แรงมาก แต่พลังที่ใช้ออกไปก็ถูกทำให้สลายไปอย่างสมบูรณ์ สิ่งนี้เหนือกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก นางเริ่มสะสมพลังและออกแรงอีกครั้งเพื่อทดสอบขีดจำกัดของแผ่นหิน


ทันใดนั้นทุกคนที่อยู่รอบข้างก็ต้องคุกเข่าลงเหลือเพียงจักรพรรดินีคนเดียวที่คืนอยู่อย่างสง่า กลิ่นอายที่นางปลดปล่อยออกมานั้นทรงพลังเกินจะบรรยาย


แข็งแกร่ง แข็งแกร่งเกินไป!


หลิงฮันไม่ต้องสงสัยก็รู้ว่าถ้าจักรพรรดิต้องการสังหารเขาจริงๆ เขาคงไม่มีโอกาสแม้จะหลบหนีเข้าไปในหอคอยทมิฬ


ความแตกต่างของระดับพลังของพระเจ้านั้นกว้างใหญ่ ระดับดาราในตอนนี้อยู่ห่างจากจุดที่เขาอยู่หลายขุม


เพียงแต่ว่าแม้นางจะควบแน่นพลังขนาดนั้นก็ยังไร้ผลต่อหินต้นกำเนิดสวรรค์ แผ่นหินไม่แม้แต่จะสั่นไหวแม้แต่น้อย


หลิงฮันรู้ว่าหินต้นกำเนิดสวรรค์จะถูกทำลายได้ก็ต้องด้วยพลังของตัวตนระดับสร้างสรรค์พสิ่ง


“หลิงฮัน…” จักรพรรดินีแห่งดารากล่าวและหยุดไปกลางคัน


หลิงฮันรู้ถึงเจตนาของอีกฝ่าย แม้จะไม่อยากแต่เขาก็ไม่มีทางเลือก “ข้าน้อยตั้งใจจะมอบแผ่นหินนี้ให้ท่าน องคจักรพรรดินีได้โปรดรับมันไว้ด้วย”


องจักรพรรดินีพึงพอใจมาก แต่นางที่เป็นจักรพรรดินีของจักรวรรดินี้จะร้องขอบางสิ่งบางอย่างจากประชาชนอยู่ฝ่ายเดียวได้อย่างไร นางครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “พลังบ่มเพาะของเจ้าพัฒนาไปอย่างเร็วมาก ในอนาคตเจ้าจะกลายเป็นเสาหลักของจักรวรรดิ ข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นกองกำลังอย่างเป็นทางการของจักรวรรดิ หลังจากนี้เจ้าจะได้รับเงินจากจักรวรรดิทุกๆเดือน!”


พรึบ!


เหนือเมืองจักรพรรดิ ธงสัญลักษณ์ของจักรวรรดิเกิดการเปลี่ยนแปลงและปรากฏชื่อของหลิงฮัน


นี่คือค่าชดใช้?


หลิงฮันถอนหายใจในใจ ถ้าหากองค์จักรพรรดินีตัดสินใจเช่นนี้เขาก็ไม่มีทางเลือก แต่ว่าการได้เป็นกองกำลังอย่างเป็นทางการก็ไม่ใช่เรื่องแจ่ หลังจากนี้เขาจะสามารถใช้อำนาจแห่งจักรภพเพื่อเพิ่มพลังต่อสู้ของตัวเองได้ ยิ่งกว่านั้นแล้วในฐานะเจ้าหน้าที่กองกำลังอย่างเป็นทางการ เขาจะไม่ถูกกักพื้นที่เพราะมาจากโลกใบเล็กอีกต่อไป!


หรือก็คือเขาเป็นอิสระแล้ว!

 

 

 


ตอนที่ 1053

 

หลังจากได้รับการแต่งตั้งจากจักรพรรดินี หลิงฮันก็ถูกพาตัวออกไปโดยเหล่าองครักษ์หญิง จักรพรรดินีแห่งดาราหายนะรู้สึกสนใจหินต้นกำเนิดสวรรค์เป็นอย่างมาก ดังนั้นนางจึงศึกษามันอย่างระมัดระวัง


เมื่อหลิงฮันกลับไปที่สำนัก เขาก็ถูกล้อมรอบไปด้วยกลุ่มคนที่ต้องการพาเขาไปดื่มฉลอง


มันน่าทึ่งมาก!


เขาสามารถสังหารหวูซื่อเหรินที่มีพลังต่อสู้ของระดับสุริยันจันทราขั้นต่ำได้ นี่เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง


“อะไรนะ เจ้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพลทหารระดับเก้า?” หลังจากที่ได้ยินข่าวของหลิงฮัน ทุกคนดูตกใจมาก


แม้แต่หลี่เหว่ยเหว่ย จื่อหยุนเอ๋อและหลินโหยวที่เป็นทายาทของขุนนาง แต่พวกนางก็ไม่ได้รับการแต่งตั้งจากจักรพรรนี ในทางทฤษฎีแล้วพวกนางมีสถานะเช่นเดียวกับคนทั่วไป ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครคิดว่าพวกนางมีสถานะเหมือนคนทั่วไป


ในจักรวรรดิ เพลทหารเป็นบุคลากรที่มีค่ามากที่สุด เพราะพวกเขาสามารถใช้พลังแห่งจักรภพเพื่อสร้างความก้าวหน้าให้กับตนเองได้ และพวกเขายังสามารถใช้พลังแห่งจักรภพเพื่อเพิ่มพลังต่อสู้ของพวกเขาเองได้เช่นกัน ตราบใดที่พวกเขาอยู่ในอาณาเขตของจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะ


นอกจากนั้น ผู้คนที่เป็นพลทหารนั้นเปรียบเสมือนหน้าตาของจักรวรรดิ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าดูถูกพวกเขาแม้แต่คนเดียว


“ตอนนี้คงไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าแล้ว” หลินโหยวหัวเราะและตบไปที่ไหล่ของหลิงฮัน “ข้ารู้สึกอิจฉาเจ้ามาก ถ้าเจ้าอยากได้ตำแหน่งสูงกว่านี้ในเวลาอันสั้น เจ้าจะต้องฆ่าศัตรูอย่างน้อยหนึ่งหมื่นคน!”


หลิงฮันรู้สึกแปลกใจและพูดว่า “มันยากขนาดนั้นเลยรึ?”


“เจ้าคิดว่าไงล่ะ?” หลี่เเหว่ยเหว่ยถาม “สำหรับพ่อข้ามันก็เป็นเหมือนการปอกกล้วยเข้าปาก”


“….นี่เจ้าไม่ได้พูดเพื่อโอ้อวดพ่อของตัวเองใช่หรือไม่?” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม


“อย่างไรก็ตาม เจ้าอย่างเพิ่งเหลิงเพราะตำแหน่งแค่นั้น” จื่อหยุนเอ๋อกล่าว


หลิงฮันพยักหน้า ถึงแม้ตอนนี้เขาจะมีสถานะสูงกว่าคนอื่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขามีอำนาจพอที่จะทำอะไรก็ได้


แล้วตอนนี้เมื่อหลิงฮันพบผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายหรือแม่ทัพทั้งเจ็ดคน เขาก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอีกต่อไป


ส่วนพวกที่อยู่ในเงามืด อย่างน้อยสมาคมราตรีนิรันดร์ที่ไม่เคยให้ความสนใจกับจักรวรรดิราชวงศ์ทั้งสามแห่ง ตราบใดที่พวกเขาได้ค่าจ้างมากพอ พวกเขาก็จะส่งมือสังหารไปฆ่าให้ แม้จะต้องใช้เวลายี่สิบปีหรือร้อยปีก็ตาม


นั่นเป็นเพราะตัวตนระดับพระเจ้ามีอายุขัยเริ่มต้นแสนปี สำหรับพวกเขาแล้วเวลาสิบปีหรือร้อยปีคงไม่แตกต่างจากสองสามเดือนของคนธรรมดา


ทุกคนดื่มเฉลิมฉลองให้กับหลิงฮันจนมึนเมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุ่ยเยี่ยนยวี่ นางรู้สึกมีความสุขมากที่หลิงฮันได้รับตำแหน่ง โอกาสที่ตระกูลสุ่ยจะยอมรับการแต่งงานของพวกเขาก็จะสูงขึ้น


หลังจากดื่มเฉลิมฉลองกันเสร็จ ทุกคนก็แยกย้ายกันจากไป


หลิงฮันทำตามแผน ในเมื่อตอนนี้เขามีตำแหน่งแล้ว เขาก็ไม่ถูกผูกมัดอีกต่อไปและสามารถเข้าออกที่ใดก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องรายงานตัว


ตอนนี้คงถึงเวลาแล้วที่เขาจะกลับไปที่จักรวรรดิต้าหลิง


เขาจะนำทรัพยากรบ่มเพาะพลังจำนวนมากกลับไปด้วยเพื่อให้พี่น้องสามคนของเขาแข็งแกร่งขึ้น นอกจากนี้จะให้พี่น้องทั้งสามคนออกไปเผชิญโลกภายนอกด้วยเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์


ความแข็งแกร่งที่แท้จริงคือการต่อสู้ไม่ใช่การฝึกฝน


หลิงฮันวางแผนเช่นนั้นเอาไว้ เพราะในปีที่ผ่านมา เฟิงโป๋วหยุนยังไม่ทะลวงผ่านระดับพระเจ้า ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องเตรียมคือทรัพยากรที่ต่ำกว่าระดับพระเจ้า ซึ่งถือเป็นทรัพยากรทั่วไปบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์และมีราคาไม่สูงมากนัก


อีกครึ่งเดือน ข้าจะกลับไปที่จักรวรรดิต้าหลิง นั่นเป็นเพราะพาหนะแหวกเมฆาใช้เวลาไม่กี่วันก็เดินทางไปถึงที่นั่นแล้ว


หนึ่งคืนผ่านไป เมื่อหลิงฮันตื่นขึ้นมาเขาก็รู้สึกปวดหัว เมื่อคืนหลินโหยวและหม่าชิงริมไวน์ให้เขาหลายแก้ว ทำให้หลิงฮันมีอาการเมาค้างและรู้สึกปวดหัว


ปัง! ปัง! ปัง!


เมื่อเสียงเคาะประตูดัง หลิงฮันก็กุมขมับและเดินไปเปิดประตูพร้อมกับพูดว่า “ข้าเดินมาแล้ว ข้าเดินมาแล้ว เช้าตรู่แบบนี้เจ้าจะเคาะประตูเสียงดังทำไม?”


เอี๊ยด เมื่อประตูเปิดก็มีหญิงสาวที่งดงามคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู ความงามของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าหลี่เหว่ยเหว่ยหรือจื่อหยุนเอ๋อ นางคือกู่หลิงยวี่


“ทำไมเจ้าถึงตื่นสายขนาดนี้? รีบไปกันได้แล้ว!”


“ไปไหน?” หลิงฮันถาม


“อาจารย์ของข้าต้องการพบเจ้า” กู่หลิงยวี่ดึงแขนหลิงฮันและพาเขาไป


“อาจารย์ของเจ้าคือ?”


“อืม!” กู่หลิงยวี่พยักหน้า


หลิงฮันรู้สึกจะเป็นบ้า เขาหมายถึง “อาจารย์ของเจ้าคือใคร?” แต่ดูเหมือนว่ากู่หลิงยวี่จะไม่ฟังที่เขาพูดแม้แต่น้อย หรือว่าสมองของนางจะมีปัญหา?


“ตกลงอาจารย์ของเจ้าเป็นใครกันแน่?” หลิงฮันถามอีกครั้ง


“เยี่ยนเซียวเซวียน รองเจ้าตำหนักตันหยวน” กู่หลิงยวี่ตอบกลับ “เร็วเข้า อย่าให้อาจารย์ของข้าต้องรอนาน”


นางแทบจะลากหลิงฮันไปไม่ว่าเขาจะต้องการหรือไม่ก็ตาม


หลิงฮันคิดว่านางเป็นพวกไม่ฟังคนอื่น ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้นางทำใจชอบ โดยไม่ขัดขืน


ทั้งสองคนเดินวนอยู่ในสำนัก และในที่สุดก็เดินมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง มันไม่ได้เป็นสถานที่ใหญ่โตอะไรมากนัก แต่มีกลิ่นบางอย่างหอมโฉยมาจากระยะไกล


กลิ่นหอมของเม็ดยา!


หลิงฮันรู้ทันทีว่ามันเป็นกลิ่นของอะไร เพราะนักปรุงยาทุกคนต้องคุ้นเคยกับกลิ่นพวกนี้ จากนั้นหลิงฮันก็เริ่มอนุมานส่วนผสมของเม็ดยา


กู่หลิงยวี่พาหลิงฮันไปอยู่ที่ด้านหน้าทางเข้า ก่อนที่นางจะผลักประตูเข้าไป นางก็เห็นประตูเปิดออกพร้อมกับมีชายหนุ่มชุดขาวเดินออกมา


ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนที่หล่อเหล่ามาก เสื้อผ้าสีขาวยังดูสะอาดสะอ้านไม่มีแม้แต่ฝุ่น


“ศิษย์น้องกู่!” เมื่อชายหนุ่มชุดขาวเห็นกู่หลิงยวี่ เขารีบหันไปมองทันที แต่เมื่อเห็นว่านางมาพร้อมกับหลิงฮัน ทำให้เขาแสดงสีหน้าไม่พอใจและพูดว่า “ศิษย์น้องกู่ เหตุใดเจ้าถึงมากับเขา?”


“ข้าได้รับคำสั่งจากอาจารย์ให้พาเขามาที่นี่” กู่หลิงยวี่พูดช้าๆ และไม่สนใจอีกฝ่าย


“อาจารย์ต้องการพบเด็กคนนี้งั้นรึ?” ชายหนุ่มชุดขาวดูตกใจ อาจารย์ของพวกเขาคือรองเจ้าตำหนักตันหยวน และเป็นนักปรุงยาระดับเจ็ด สถานะของเขานั้นเป็นที่เคารพนับถือเป็นอย่างมากขนาดที่ว่ามีจอมยุทธระดับสุริยันจันทราหลายคนต้องการพบเขา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขาด้วย


“เขาคือหลิงฮัน!” กู่หลิงยวี่กล่าว


“โอ้ว เจ้าคือหลิงฮันคนที่ทุกคนต่างพูดถึงอยู่ในตอนนี้งั้นรึ?” สีหน้าของชายหนุ่มชุดขาวเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และดูแย่ยิ่งกว่าเดิม


หลิงฮันหันไปมองกู่หลิงหยวี่และพูดว่า “เขาเป็นใคร นี่สมองของเขามีปัญหางั้นหรือ?”


“เขาคือศิษย์พี่ของข้า ชื่อของเขาคือจิวอู่ชี และสมองของเขาไม่ได้มีปัญหา แต่เป็นอัจฉริยะ!” เห็นได้ชัดว่ากู่หลิงยวี่ไม่รู้ว่าหลิงฮันแค่พูดล้อเล่น และยังคงพูดอธิบายอย่างจริงจัง


“เจ้าโง่!” จิวอู่ชีรู้สึกโกรธมาก



ตอนที่ 1054


หลิงฮันเมินเฉย ชายคนนี้เป็นฝ่ายแสดงท่าทีเป็นปรปักษ์กับเขาก่อนโดยการพูดยั่วยุเขา


ตอนนี้เขาคือคนของจักรพรรดินีอย่างเป็นทางการแล้ว ตราบใดที่เขาไม่ก่อเรื่องใหญ่โต ต่อให้เป็นเจ็ดจอมพลหรือผู้อาวุโสซ้ายขวาก็ไม่สามารถรังแกเขาได้อย่างโจ่งแจ้ง เช่นนั้นแล้วทำไมเขาต้องเก็บชายคนนี้มาใส่ใจด้วย?


“เจ้าหนู ท่าทางเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร?” จิวอู่ชีไม่พอกับกับท่าทีของหลิงฮัน


หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “เจ้าเองที่เป็นฝ่ายหยาบคาย นี่เจ้าไม่รู้จริงๆรึ?”


จิวอู่ชีเกรี้ยวกราด เจ้ากล้าบอกว่าข้าหยาบคายงั้นรึ? เขาเค้นเสียงและกล่าว “อย่าคิดว่าแค่ในช่วงนี้เจ้ามีชื่อเสียงโด่งดั่งจะทำให้เจ้าทำตัวหยิ่งยโสได้ เจ้ารู้รึไม่ว่าที่นี่คือเมืองจักรพรรดิ ภายใตการปกครองขององค์จักรพรรดินียังคงมีปรมาจารย์อยู่อีกมากมาย!”


หลิงฮันหัวเราะ “แล้วคนเช่นเจ้าเป็นปรมาจารย์แบบไหนล่ะ?”


“เหอะ ข้าคือนักปรุงยาระดับสอง ปีนี้ข้าเพิ่งอายุสามหมื่นปีเท่านั้น และในอีกไม่นานนี้ข้าจะกลายเป็นนักปรุงยาระดับสามได้แน่นอน!” จิวอู่ชีกล่าวอย่างภาคภูมิใจ


เจ้าหมอนี่ไร้สมองรึไงกัน?


หลิงฮันอดคิดเช่นนั้นไม่ได้ เขาที่เริ่มต้นจากลองผิดถูกเองตอนนี้เขาก็มีความสามารที่จะหลอมเม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามแล้ว


แต่หมอนี่ที่ใช้เวลาตั้งสามหมื่นปีกลับเป็นได้เพียงนักปรุงยาระดับสอง? แถมยังต้องใช้เวลาอีกถึงจะกลายเป็นนักปรุงยาระดับสาม นี่น่ะรึอัจฉริยะ?


ไม่ว่าจะมองยังไงอีกฝ่ายก็แค่คนโง่ชัดๆ!


หรือไม่ก็พรสวรรค์ในศาสตร์แห่งการปรุงยาของเขาก็น่ากลัวเกินไป


หลิงฮันสามารถคิดได้เพียงแค่นี้เท่านั้นว่าศักยภาพของเขาสูงเกินไป


เมื่อเห็นหลิงฮันเงียบไป จิวอู่ชีก็คิดว่าเขาข่มอีกฝ่ายได้และยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ


ในโลกแห่งการปรุงยาของดาวดวงนี้ คนที่กลายเป็นนักปรุงยาระดับหนึ่งก่อนอายุสามพันปีและกลายเป็นนักปรุงยาระดับสองได้ก่อนอายุหมื่นปีจะถูกเรียกว่าอัจฉริยะ ส่วนเขาที่ใกล้จะกลายเป็นนักปรุงยาระดับสามในอายุสามหมื่นปีนั้นถือว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ


นอกจากนั้นพรสวรรค์ในด้านวรยุทธของเขาก็นับว่าดี ตอนนี้เขามีพลังบ่มเพาะระดับภูผาวารีขั้นสูง


สองสิ่งนี้คือความภาคภูมิใจของเขา


“เหอะๆ อย่าคิดว่าเจ้ามีชื่อเสียงเพียงเล็กน้อยแล้วจะเทียบข้าได้ เจ้ายังห่างชั้นกับข้ามากนัก!” จิวอู่ชีกล่าว


หลิงฮันเข้าใจแล้วว่าชายคนนี้เป็นคนประเภททะนงในศักดิ์ศรีของตัวเองและไม่ยอมให้ใครเฉิดฉายเหนือเขาแม้แต่น้อย


เขาส่ายหัวและคร้ายจะโต้เถียงไร้สาระกับคนเช่นนี้ เขาหันกลับไปมองกู่หลิงยวี่และกล่าว “อย่าให้อาจารย์ของเจ้ารอนานดีกว่า”


“อืม!” กู่หลิงยวี่พยักหน้าและกำลังจะก้าวเดินต่อ


จิวอู่ชีแทบจะเป็นลม สองคนนี้ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยรึไง? เขาเดินกล่าวเอ่ยแทรก “เจ้าหนู ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นกลาง! เจ้าควรจะรู้ว่าเม็ดยานั้นแพงขนาดไหนสินะ? แต่ว่าหากเจ้ามีสหายเช่นข้า ในอนาคตเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเม็ดยาในอนาคต”


หลิงฮันรู้สึกตลกและกล่าว “แล้วต้องทำอย่างไรข้าถึงจะเป็นสหายกับเจ้า?”


“ฮ่าๆๆ!” จิวอู่ชีหัวเราะทันทีและคิดว่าในที่สุดหลิงฮันก็ติดกับแล้ว “ง่ายมาก หลังจากนี้ให้เรียกข้าว่าพี่ชาย แล้วก็ศิษย์น้องกู่ เป็นสตรีที่ข้าชื่นชาย เจ้าอย่าได้หวังอะไรเด็ดขาด!”


ในประโยคหลังเขาลดเสียงต่ำให้หลิงฮันได้ยินเพียงคนเดียว


หลิงฮันยิ้ม “คนที่มีศักดิ์ศรีจริงๆย่อมไม่จำเป็นต้องพูดจากับคนอื่นเช่นนี้ อีกกว่านั้นข้าก็คิดว่าเจ้าไม่เหมาะสมกับนาง”


“บัดซบ!” จิวอู่ชีเกรี้ยวกราด “เจ้าหนู อย่าอวดดีเกินไป! เจ้าบังอาจดูหมื่นข้า ข้ารับประกันเลยว่าจะไม่มีร้านโอสถร้านใดในเมืองจักรพรรดิที่จะขายเม็ดยาให้กับเจ้าแม้แต่ร้านเดียว!”


หลิงฮันไม่สนใจ หมอนี่คงจะไม่รู้ว่าเขาเปิดร้านโอสถของตัวเองแล้ว


“โอ้ ข้ากลัวจริงๆ!” หลิงฮันยิ้ม


จิวอู่ชีรู้ว่าหลิงฮันกำลังล้อเล่นกับเขา ใบหน้าของเขาจึงบูดบึ้งกว่าเดิม


ฮึ่ม ต่อให้เจ้าหนูมีผลึกก่อเกิดในมือก็ซื้อเม็ดยาไม่ได้ เขาจะได้รู้ว่าหากล่วงเกินนักปรุงยาแล้วจะเป็นอย่างไร!


เขาเดินตามหลิงฮันกับกู่หลิงยวี่ไปพร้อมกับแสยะยิ้ม


กู่หลิงยวี่เป็นสตรีที่ไม่ทันโลก นางไม่รู้ตัวเลยว่าหลิงฮันกับจิวอู่ชีบาดหมางกัน นางเดินนำพวกเขาไปยังสวนเล็กๆแห่งหนึ่ง


“อาจารย์!” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพ


หลิงฮันชะงักไปชั่วครู่ อยู่ไหนกัน?


สวนไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก เขาสามารถเห็นทั่วสวนเพียงแค่มองแวบเดียว แต่เขาไม่เห็นบุคคลที่สี่อยู่ที่ไหนเลย


“เจ้าหนู มองหาอะไร?” เสียงหนึ่งดังขึ้น


หืม?


หลิงฮันก้มมองลงไปและมองเห็นสตรีคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนดอกไม้


นางนั้นตัวเล็กพอๆกับนิ้วโป้ง สิ่งที่แปลกก็คือมีปีกคู่หนึ่งประดับอยู่ที่หลังของนาง ปีกคู่นั้นบางจนแทบจะใสแต่ก็มีลวดลายสีทองที่ดูปราณีตมาก


หรือสตรีคนนี้จะเป็นรองเจ้าตำหนักฝ่ายปรุงยาของสำนักและเป็นอาจารย์ของกู่หลิงยวี่… เยี่ยนเซียวเซวียน?


“ผู้อาวุโส ท่าน…” หลิงฮันไม่อยากจะเชื่อ


“ทำไม เห็นข้าตัวเล็กเช่นนี้เจ้าเลยจะดูถูกข้างั้นรึ?” เยี่ยนเซียวเซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจและปลดปล่อยกลิ่นอายที่สูงส่งออกมา


ระดับสุรันยันจันทรา… แต่ขั้นพลังอะไรนั้นนางไม่ได้เปิดเผยให้เห็นจำนวนของดวงตะวันและดวงจันทร์ หลิงฮันถึงไม่อาจรู้ได้


“ข้าไม่กล้า!” หลิงฮันรีบกล่าว “ก็แค่เกิดคาดไปเล็กน้อย” เขาบอกความจริง


ต่อหน้าตัวตนเช่นนี้ไม่ควรเสแสร้งจะดีกว่า


เยี่ยนเซียวเซวียนเปลี่ยนมาหัวเราะ “ข้าเป็นครึ่งมนุษย์ของตระกูลจิตวิญญาณห้วงฝัน”


ครึ่งมนุษย์… พวกเขาคือเผ่าที่เกิดจากเผ่ามนุษย์กับสัตว์อสูร พวกเขาได้รับสืบทอดสายเลือดมาจากทั้งสองฝั่งทำให้มีศักยะภาพเหนือกว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด


“หลิงฮันพบผู้อาวุโส!” หลิงฮันนำของฝากออกมา นี่คือการแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโส


เยี่ยนเซียวเซวียนรับของฝากมาและโบกมือ “ไม่ต้องมากพิธี! มาตรงนี้ ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า… เจ้ามีความคิดจะเข้าร่วมกับพวกเรารึไม่?”


พรวด!


จิวอู่ชีสำลักน้ำลายทันที นี่มันเรื่องอะไรกัน?


ต่อให้ฝ่ายปรุงยาจะต้องการรับศิษย์มากแค่ไหน พวกเขาก็ต้องประกาศรับคนไปทั่วเมืองจักรพรรดิเพื่อที่คนจำนวนมากจะได้เข้ามาสมัครเข้าร่วม


นักปรุงยาเป็นสถานะที่สูงส่งซึ่งเหนือกว่าจอมยุทธทั่วไป


เพราะแบบนี้เขาถึงได้ภาคภูมิใจในตัวเอง


แต่ตอนนี้เยี่ยนเซียวเซวียนกลับเชิญชวนหลิงฮันให้เข้าร่วมฝ่ายปรุงยาของสำนักด้วยตัวเอง ซึ่งทำให้เขาตกตะตึงมาก


ความเข้มงวดในการเข้าร่วมกับฝ่ายปรุงยาของสำนักนั้นมากกว่าอีกสีฝ่ายหลายร้อยเท่า! อย่างเช่นสาขาทั้งสี่จะรีบศิษย์ร้อยคนทุกๆยี่สิบปี แต่สำหรับฝ่ายปรุงยาแค่รับศิษย์คนเดียวในรอบยี่สิบปีก็นับว่าหายากแล้ว


เช่นนั้นแล้วเมื่อใดกันที่ฝ่ายปรุงยาไร้ระเบียบในการรับคนเช่นนี้?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)