Alchemy Emperor of the Divine Dao 1037-1040
ตอนที่ 1037
ถ้าเผยจี่ยังอยู่ในสภาพปกติเขาก็คงหลบลูกศรได้พ้น
แต่เขาถูกล้อมไปด้วยสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งทั้งห้าแถมยังบาดเจ็บหนัก ด้วยสภาพที่พลังถดถอยเช่นนี้จะให้เขาหลบลูกศรพ้นได้อย่างไร?
เขาชำเลืองมองไปที่หน้าอกของตนเองก่อนจะชี้นิ้วไปยังหลิงฮันและกล่าว “เจ้าหนู ชายชราผู้นี้จะฆ่าเจ้…”
ตูม!
ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดจบหน้าอกของเขาก็ระเบิดออก
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมและล้มลงกับพื้นโดยที่โลหิตไหลรินไปทั่วพื้น
“แล้วเจอกัน!” หลิงฮันกล่าวและเข้าไปในหอคอยทมิฬ
“บัดซบ!” สัตว์อสูรทั้งห้าเกรี้ยวกราด พวกมันร่วมมือกันเพื่อจับกุมหลิงฮันแต่ตอนนี้พวกมันดันปล่อยให้หลิงฮันหนีไปได้
“ร่างของหมอนี่มันอะไรกัน ทำไมถึงได้แปลกประหลาดเช่นนี้?”
“พวกเราถูกเขาหลอกใช้แล้ว เผ่ามนุษย์ชราคนนี้ไม่ใช่พวกของเขาแต่เป็นศัตรูกัน”
“ช่างน่าอับอายยิ่งนัก!”
สัตว์อสูรทั้งห้าเกรี้ยวกราดมาก แต่เนื่องจากหลิงฮันได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยพวกมันจึงไม่สามารถทำอะไรได้
หลังจากกล่าวระบายอารมณ์แล้วพวกมันก็จากไป
หลิงฮันออกมาจากหอคอยทมิฬและเดินออกจากห้องสมบัติ เมื่อร่างสัมผัสกับคลื่นน้ำมหาสมุทรเขาก็เข้าไปในหอคอยทมิฬอีกครั้งเพื่อศึกษาแผ่นหินลึกลับ
“หอคอยน้อย เจ้ารู้รึไม่ว่าสิ่งนี้คืออะไร?”
ร่างของหอคอยน้อยปรากฏตัว มันสั่นไหวเล็กน้อยและกล่าว “หินต้นกำเนิดสวรรค์”
หลิงฮันแค่ลองถามไปส่งๆแต่ไม่นึกว่าหอคอยน้อยจะรู้จริงๆ เขาชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “อธิบายให้ชัดเจนหน่อย”
หอคอยน้อยเค้นเสียง “ตั้งแต่โลกถือกำเนิด หินนี่คือหนึ่งในหินที่เก่าแก่ที่สุด มันคือหินที่พัฒนามาจากศิลาต้นกำเนิดความวุ่นวาย”
ศิลากำเนิดความวุ่นวายหลิงฮันรู้จักมันตั้งแต่ตอนที่อยู่ในทวีปฮงเทียน
“งั้นนี่ก็คือสมบัติล้ำค่า!” หลิงฮันตื่นเต้นเล็กน้อย
“ขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง นอกจากความเก่าแก่แล้ว หินต้นกำเนิดสวรรค์นั้นไม่มีพลังอันใดเลย มันเอาไว้ใช้บันทึกข้อความประวัติศาสตร์หรือทักษะยุทธเท่านั้น” หอคอยน้อยกล่าวขึ้นทันใด
“อะไรกัน!” หลิงฮันผิดหวัง เขาโดนทุบตีเพื่อให้ได้สิ่งนี้มาแต่มันกลับไม่ใช่สมบัติ
หลิงฮันกล่าว “ไม่สิ หินนี้สามารถดูดซับการโจมตีทั้งหมดได้โดยไม่แตกหัก แล้วเช่นนี้จะสลักอักษรลงไปได้อย่างไร?”
“เหอะ ถ้ามันไม่สามารถแตกหักได้จริงๆ มันจะกลายเป็นแผ่นเท่านี้ได้อย่างไร?” หอคอยน้อยถาม
เรื่องนี้…
หลิงฮันพยักหน้า “ต่อให้เป็นหินต้นกำเนิดสวรรค์ การโจมตีที่มันสามารถดูดซับได้ก็มีขีดจำกัด เมื่อพลังโจมตีรุนแรงมากเกินไป ต่อให้เป็นหินต้นกำเนิดสวรรค์ก็ต้องแตกหัก”
“แม้แต่เจ้าก็เข้าใจด้วย” หอคอยน้อยกล่าวราวกับเป็นผู้อาวุโส
แต่จะอย่างไรหอคอยทมิฬก็ไม่รู้ว่ามีอยู่มากี่ปีแล้ว บางทีอาจจะร้อยล้านปีหรืออาจะพันล้านปี มันมีคุณสมบัติพอจะถูกเรียกว่าผู้อาวุโส
“หินต้นกำเนิดสวรรค์แม้จะไม่ใช่สมบัติ แต่เนื่องจากมันเป็นสิ่งเก่าแก่จึงถูกผู้คนใช้สร้างเป็นโบราณสถาน มันคือหินหายากที่ใช้เล่าถึงความสำเร็จของคนรุ่นก่อน” หอคอยน้อยกล่าว
หลิงฮันถอนหายใจ “ถึงอย่างนั้นข้าคงไม่นำสิ่งนี้ไปใช้สร้างโบราณสถาน ข้าจะนำมันไปใช้แทนโล่แล้วกัน จริงสิ แล้วต้องเป็นพลังขนาดไหนถึงจะทำลายหินนี้ได้?”
“ด้วยพลังของระดับสร้างสรรพสิ่งจะสามารถทำลายมันได้” หอคอยน้อยตอบ
หลิงฮันชะงัก “งั้นก็หมายถึงมีเพียงจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งถึงจะทำได้?”
หอคอยน้อยไม่ตอบ ดูเหมือนว่าคำถามนี้จะดูงี่เง่าเกินจนมันคร้านจะตอบ
“สิ่งนี้ใช้เป็นโล่ได้ไม่ยาก แต่มันมีขนาดเล็กเกินไป” หลิงฮันรู้สึกพึงพอใจอยู่บ้างเนื่องจากแผ่นนี้หินสามารถดูดซับพลังโจมตีได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากใช้ให้ดีมันจะเกิดผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมมาก
แต่เนื่องจากขนาดที่เล็กของมัน หากพบเจอกับสัตว์อสูรทรงพลังที่มีขนาดใหญ่ราวกับขุนเขา แผ่นหินนี้ก็คงป้องกันการโมตีได้ไม่หมด
“ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้มันยังไง”
หลิงฮันออกมาจากหอคอยทมิฬ ‘พรึบ’ แรงกดดันของน้ำที่รุนแรงเข้าปะทะกับร่างเขาทันที เขาลองนำหินต้นกำเนิดสวรรค์ออกมาซึ่งมันก็ได้ผลดีเยี่ยม ไม่ว่าบริเวณใดที่เขานำแผ่นหินนี้ไปวาง แรงกดดันก็จะหายไปทันที แต่โชคร้ายที่มันสามารถช่วยคุมกันได้แค่พื้นที่ขนาดราวๆฝ่ามือ
หลิงฮันตั้งใจจะใช้มันเป็นกระจกคุ้มกันชีวิตอย่างเช่นบริเวณหัวใจ ศีรษะ หรือไม่ก็ตันเถียน สามส่วนนี้คือจุดที่สำคัญที่สุดของจอมยุทธ สองจุดแรงสามารทำให้สิ้นชีพได้ ในขณะที่ตันเถียนนั้นเป็นจุดกำเนิดของพลังปราณ ถ้ามันถูกทำลายก็เท่ากับความพยายามที่ผ่านมาจะศูนย์เปล่า
เขาค่อยๆลอยขึ้นสู้พื้นผิวมหาสมุทร แต่เพราะแรงโน้มถ่วงที่รุนแรงทำให้ร่างของเขาลอยขึ้นช้ามาก
ครืนน!
คลื่นมหาสมุทรสั่นสะเทือนและปรากฏร่างของสัตว์อสูนขนาดยักษ์ตรงหน้าเขา มันคือจระเข้ที่มีขนาดใหญ่ถึงหกฟุตและมีความยาวมากกว่าสามร้อยฟุต ร่างของมันถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดขนาดใหญ่และมีหางมากกว่าหนึ่งร้อยหาง
ที่หลิงฮันสามารถมองเห็นมันเป็นเพราะดวงตาสองลูกของมันส่องแสงราวกับบอลเพลิง เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัว
ระดับสุริยันจันทรา!
จระเข้ยักษ์สังเกตเห็นเขาเช่นกัน มันสะบัดห่างขยับร่างพุ่งมาทางเขาและอ้าปากกว้าง
หลิงฮันไม่ลังเลที่จะหลบเข้าไปในหอคอยทมิฬ การกัดของจระเข้ยักษ์ตัวนี้ไม่ใช่สิ่งที่หินกำเนิดสวรรค์จะสามารถต้านทานได้หมด แม้มันจะสามารถคุ้มกันบริเวณหัวใจของเขาเอาไว้ได้ แต่ร่างส่วนอื่นของเขาคงจะกลายเป็นเนื้อบด
เมื่อฟันของจระเข้งับเข้าหากันและหุบปาก ดวงตาของมันก็แสดงออกถึงความประหลาดใจเนื่องจากมันกัดไม่โดนอะไรเลย
หอคอยทมิฬไม่ได้โดนกลืนเข้าไปในปากของจระเข้ยักษ์ เนื่องฟันของมันมีช่องว่างขนาดใหญ่ หอคอยทมิฬจึงลอยออกมา
ระดับสุริยันจันทรานั้นแข็งแกร่งเกินไป
เขาเชื่อว่าถ้าหากเขาถูกจระเข้ยักษ์กัด เขาจะต้องกลายเป็นแอ่งโลหิตแน่นอน
ระดับพลังมันต่างกันเกินไป
จระเข้ยักษ์ชะงักหยุดนิ่ง ด้วยพลังบ่มเพาะระดับมันแล้ว สติปัญญาของมันจึงไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ เนื่องจากที่นี่เป็นใต้มหาสมุทรมันจึงไม่ได้แปลงกลายเป็นมนุษย์ ไม่เช่นนั้นคนธรรมดาทั่วไปคงแยกไม่ออกมาว่ามันเป็นสัตว์อสูรแปลงกายหรือมนุษย์จริงๆ
มดปลวกระดับภูผาวารีสามารถหลบหนีการกัดของมันได้งั้นรึ?
ช่างน่าแปลก!
ตอนที่ 1038
จระเข้ยักษ์ว่ายวนเวียนอยู่แถวนั้นชั่วครู่ แล้วหลังจากนั้นมันก็กระดิกห่างอย่างรุนแรงและพุ่งหายเข้าไปในความมืด
หลิงฮันออกมาจากหอคอยทมิฬ เขาวางแผนเอาไว้ว่าจะล่องลอยไปในทะเลอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นก็มีสัญญาณเตือนให้เขาเข้าไปหลบในหอคอยทมิฬอีกครั้ง
ปัง!
จระเข้พุ่งเข้ามาโจมตีใส่เขาทีเผลออีกครั้ง
ช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!
หลิงฮันส่ายหัวและอย่าได้ดูถูกเจ้าจระเข้ยักษ์ตัวนี้กันเชียว ยังไงซะมันก็เป็นสัตว์อสูรระดับสุริยัน นี่มันฝึกฝนมานานแค่ไหนกันถึงไต่เต้ามาถึงระดับนี้ได้? ตั้งแต่ระดับทลายมิติเป็นต้นไป สัตว์อสูรก็เริ่มมีสติปัญญาเป็นของตนเอง เช่นนั้นเมื่อมันมีชีวิตอยู่มานาน สติปัญญาของมันจึงไม่ด้อยไปกว่าเผ่ามนุษย์
หากดูถูกมันอาจต้องตาย!
แต่ทว่าจระเข้ยักษ์ก็งับโดนฟองน้ำอีกครั้ง แล้วทำให้หอคอยทมิฬเคลื่อนที่อย่างเป็นธรรมชาติและไหลตามกระแสน้ำ
สัตว์อสูรระดับสุริยันจันทราทรงพลังแค่ไหน? แค่แรงกัดของมันก็น่าสะพรึงกลัวมากแล้ว และทำให้หอคอยทมิฬลอยตามกระแสน้ำไปไกลหลายสิบไมล์
หลิงฮันรออยู่พักหนึ่งเพื่อสงบสติอารมณ์ จากนั้นเขาก็ออกมาจาหอคอยทมิฬอีกครั้ง
ทันทีที่เขาปรากฏตัวออกมา ความรู้สึกที่น่าขนลุกก็เพ่งเล็งมาที่เขาอีกครั้ง เขารีบเข้าไปหลบในหอคอยทมิฬทันที และทันใดนั้นจระเข้ยักษ์ก็ปรากฏตัวอีกครั้ง
แล้วแบบนี้มันจะกัดเขาโดนได้อย่างไร?
หลิงฮันถึงกับพูดไม่ออก นี่หรือว่าเจ้าจระเข้ยักษ์จะไม่รู้ว่าเขาหายตัวไปอย่างผิดปกติและมันคิดว่ามีเขาสมบัติล้ำค่าอยู่กับตัว?
ถึงกระนั้นหลิงฮันก็ไม่มีเวลามากพอที่จะให้ความสนใจจระเย้ยักษ์ที่อยู่ด้านนอกและไม่ได้สังเกตว่าหอคอยทมิฬกำลังตกลงไปในช่องแคบ
ช่องแคบนี้มีความลึกมากและดำมืดสนิท
จระเข้ยักษ์เคยว่ายน้ำมาที่นี่มาก่อน ทันใดนั้นเองมันก็กระดิกหางหันหลังกลับและว่ายน้ำหนีไปด้วยความกลัว
ถ้าหลิงฮันตระหนักว่าหอคอยทมิฬจะไหลเข้าไปในช่องแคบ เขาคงจะปรากฏตัวออกมาจาหอคอยทมิฬไปแล้ว และไม่ปล่อยให้หอคอยทมิฬดำดิ่งลงไปในช่องแคบที่มืดมิดราวกับหุบเหวที่ไร้ที่สุดสุดแบบนี้
ตอนนี้หลิงฮันกำลังจู่จี๋กับสุ่ยเยี่ยนยวี่อยู่ ซึ่งคิดจะปล่อยให้จระเข้ยักษ์หมดความอดทนและว่ายน้ำจากไปเอง
พรึบ หลิงฮันออกมาจากหอคอยทมิฬ
“แคร๊ก!”
สิ่งเดียวที่เขารู้สึกคือกระดูกของเขากำลังถูกบดขยี้ และเกิดเสียงแตกหัก
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
หลิงฮันไม่เข้าใจว่าทำไมแรงดันน้ำของที่นี่มันน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้ แม้จะใช้พลังปราณก่อเกิดสร้างเป็นเกราะกำบังแต่ก็ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
ข้าไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้!
หลิงฮันรีบเข้าไปในหอคอยทมิฬทันที จากนั้นเขาก็โคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ภายในระยะเวลาหนึ่งธูปหมด กระดูกของเขาก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
“ทำไมที่นี่ถึงมีแรงกดดันน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้?” หลิงฮันสังเกตการณ์อยู่ด้านในหอคอยทมิฬ แต่สภาพแวดล้อมภายนอกนั้นมืดมิดมาก ซึ่งแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
ด้านหน้ามีแสงสว่างเลือนลาง
“สถานการณ์ในตอนนี้เลวร้ายมาก ข้าไม่รู้ว่ากระแสน้ำที่จระเข้ยักษ์สร้างขึ้นพัดพาข้ามาที่ไหน”
หลิงฮันถึงกับพูดไม่ออก ก่อนหน้านี้เขาจู๋จีกับสุ่ยเยี่ยนยวี่ เขาไม่ทันได้สังเกตเห็นสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป และทำให้เขามาลงเอยในสถานที่ที่อันตรายเช่นนี้
“แรงดันน้ำที่นี่สะพรึงกลัวมาก แม้แต่กระดูกของข้ายังถูกบดขยี้ภายในไม่กี่ลมหายใจ แล้วข้าจะกลับขึ้นสู่ผิวน้ำได้อย่างไร?”
“หรือว่าข้าจะต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต?”
“เดี๋ยวก่อน มันมีบางอย่างกำลังส่องแสงอยู่ด้านหน้า บางทีมันอาจช่วยข้าพลิกสถานการณ์นี้ได้!”
ในขณะนั้นหลิงฮันแวบออกมาจากหอคอยทมิฬและเคลื่อนที่ไปในทิศทางของแสง ก่อนที่จะกลับเข้าไปในหอคอยทมิฬอย่างรวดเร็ว และใช้แรงเฉื่อยเคลื่อนที่ไปหาแสงที่ส่องประกายตรงนั้น”
แน่นอนมันช้ามากกว่าหลิงฮันจะไปถึงแสงตรงนั้น ยิ่งไปกว่านั้นกระแสน้ำมักจะลอยไปในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง ดันนั้นความเร็วของเขาจึงช้าลงไปอีก
อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเคลื่อนที่ได้ช้าแค่ไหน หลังจากผ่านไปครึ่งวันในที่สุดหลิงฮันก็มาถึง
แสงสว่างนั่นที่แท้คือกล่องหยกที่กำลังส่องแสงเปล่งประกายระยิบระยับ
มันคือกล่องหยกใบนั้น!
หลิงฮันจำได้ทันทีว่ามันเป็นกล่องหยกที่จู่เล่อหยุนและโฮ่วหยางต่อสู้เพื่อแย่งมันมา แต่ทว่ากลับไม่มีใครได้ครอบครองมัน และกล่องหยกดังกล่าวก็ตกลงมาอยู่ที่นี่
“นี่ข้าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่เนี่ย?”
หลิงฮันเกาหัว ถ้าจะบอกว่าเขาโชคดีแล้วเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ได้อย่างไร? ดูเหมือนว่าเขาจะโชคร้ายเสียมากกว่าที่กล่องหยกที่จอมยุทธระดับดาราสองคนต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงมันมาตกอยู่ไม่ไกลจากเขาเท่าไหร่นัก
“แต่ไม่ว่าข้าจะโชคดีหรือโชคร้าย ข้าก็จะขอรับมันเอาไว้ก่อน”
หลิงฮันเคลื่อนที่เข้าออกจากหอคอยทมิฬซ้ำไปซ้ำมาไปที่กล่องหยกใบนั้น
เขาเข้าใกล้กล่องหยกใบนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุดมันก็ห่างแค่เอื้อม
หลิงฮันออกจากหอคอยทมิฬและคว้ากล่องหยกอย่างรวดเร็ว แล้วกลับเข้าไปในหอคอยทมิฬอีกครั้ง แต่ในขณะนั้นเอง หมอกดำที่ซ่อนอยู่ใต้กล่องหยกก็แผ่กระจายออกมาเหมือนหนวดปลาหมึกและบีบรัดหลิงฮัน
ในช่วงเวลานั้นหลิงฮันสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่รุนแรง หากเขาเข้าไปพัวพันกับกล่องหยกใบนี้มากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งเลวร้ายยิ่งกว่าถูกจอมยุทธระดับดาราทุบตีซะอีก
เขารีบออกมาจากหอคอยทมิฬทันที แต่หมอกดำก็ติดหนึบเขาแน่นเหมือนกับเงาและเข้าออกหอคอยทมิฬด้วยกัน ยิ่งกว่านั้นความเร็วในการแพร่กระจายของมันรวมเร็วเกินไป ในไม่ช้ามันก็ห่อหุ้มแขนของหลิงฮันแล้ว
สติของหลิงฮันเริ่มเลือนลาง ราวกับเขากำลังจะบ้าคลั่ง
“พรึบ!”
หอคอยน้อยปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหัน
ทันใดนั้นเองราวกับว่าหมอกดำถูกพัดหายไป มันกลายเป็นเส้นใยอย่างฉับพลันและมีความเหนียวมาก และพยายามเจาะเข้าไปในร่างกายของเขาอยู่ตลอดเวลา
ปัง!
เสียงการต่อสู้ทำให้หลิงฮันได้สติ และมีจอมยุทธสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่ท้องฟ้าอย่างดุเดือด ดวงดาวที่อยู่ในระยะไกลยังถูกปัดเป่า แม้แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังสูญเสียสีสันของมันไปอย่างสมูบรณ์
หลิงฮันรู้สึกตกตะลึง พวกเขาเป็นจอมยุทธระดับไหนกัน?
จอมยุทธระดับสรรพสิ่ง?
หนึ่งในทั้งสองคนเป็นชายชราที่มีผิวสีทองหัวโล้น รูปร่างอ้วน ท้องกลมและมีติ่งหูที่ยานมากจนแตะไหล่ และให้ความรู้สึกที่สูงส่งราวกับเขาอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลก
ตอนที่ 1039
อีกคนที่ปะทะด้วยคือชายที่ดูเหมือนมีอายุสี่สิบปี ร่างของเขาเปลือย ร่างท่อนบนของเขาเปลือยเปล่าและเต็มไปด้วยมัดกล้าม แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงคือตามผิวของเขามีรูปแบบอาคมที่ทรงพลังสลักเอาไว้ ผิวของเขานั้นดูแล้วเหมือนไม่ใช่ผิวหนังแต่เป็นเหล็กกล้า
ใช่ไม่เพียงเท่านั้น หลังของเขาเองก็มีหนามหลายสิบแท่งโผล่ออกมาจากบริเวณสันหลัง หนามแต่ละแท่งมีขนาดยาวถึงสองฟุต
รอบกายเขาถูกปกคลุมไปด้วยปราณสีดำที่หลิงฮันรู้สึกคุ้นเคย
ปราณอสูร!
ถูกแล้ว มันคือปราณอสูรไม่ผิดแน่
ชายคนนี้คือสิ่งมีชีวิตจากดินแดนใต้พิภพ ส่วนชายชราเป็นคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นี่คือการต่อสู้ระหว่างสองตัวตนที่ทรงพลังที่สุด
พวกเขาปะทะกันโดยที่สามารถเปลี่ยนชนาดร่างกายได้ตามต้องการ บางครั้งพวกเขาก็มีรูปร่างเท่าคนทั่วไป แต่บางครั้งร่างของพวกเขามีขนากสูงถึงร้อยล้านฟุต เพียงแค่พวกเขาขยับมือก็สามารถหยิบจับดวงดาวเอาไว้ได้และปาใส่อีกฝ่าย
การต่อสู้ของทั้งสองคนแทบจะทำให้ระบบสุริยะพังทลาย
หลิงฮันมองด้วยปากที่อ้าค้าง อำนาจแห่งกฎเกณณ์ของทั้งสองคนเข้าชนกันจนเกิดเป็นพลังทำลายล้างที่แท้แต่จอมยุทธระดับดาราก็ต้องถูกบดขยี้
แต่ต่อให้พลังทำลายล้างจะน่าสะพรึงกลัวก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆของทั้งสองคนแม้แต่น้อย ทั้งสองปะทะกันจนทำให้ความเสียดายเพิ่มขึ้นไปอีก
แต่สุดท้ายสิ่งมีชีวิตของดินแดนใต้พิภพก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เขาถูกชายชราใช้พลังทั้งหมดโจมตีจนร่างลอยกระเด็นและชนเข้ากับดวงดาว ร่างของเขาแนบติดไปกับเศษดวงดาวและลอยไปตามจักรวาลที่มืดมิด
การโจมตีที่รุนแรงทำให้กายหยาบของเขาแหลกสลายและสัมผัสสวรรค์ก็ถูกทำลาย ตามตรรกะทั่วไปแล้ว เขาควรจะตายไปแล้ว
สิ่งมีชีวิตใต้พิภพและเศษดวงดาวล่องลอยอยู่ในจักรวาลเป็นเวลานานจนไม่อาจจำได้ว่าวันเวลาผ่านไปเท่าใด แต่ในที่สุดเศษดวงดาวก็ล่วงลงสู่ดาวดวงหนึ่งและเปลี่ยนพื้นทีราบเรียบให้เป็นมหาสมุทร
มหาสมุทรดารา!
หลิงฮันเข้าใจในที่สุด ที่แท้แต่ปรมาจารย์สองคนได้เข้าปะทะกัน ฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้และถูกสังหาร ร่างของฝ่ายที่พ่ายแพ้ติดอยู่กับเศษดวงดาวและลอยมายังดาวเหอหนิง และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมหาสมุทรดาราขึ้นมา
แต่ใครจะไปคาดคิดว่าสิ่งที่ทำให้เกิดมหาสมุทรดาราจะเป็นสิ่งมีชีวิตจากดินแดนใต้พิภพ
เขามีระดับพลังเท่าใดกันแน่ …ระดับสร้างสรรพสิ่ง?
หลิงฮันยังไม่ทันจะได้ขยับตัวก็สัมผัสได้ถึงความปั่นป่วน จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาต
สังหาร… เขาต้องการสังหารทุกสิ่งบนโลกใบนี้!
นี่คือเจตจำนงของสิ่งมีชีวิตใต้พิภพ
แม้อีกฝ่ายอาจจะตายไปนานแล้ว แต่เศษเสี้ยวเจตจำนงที่เหลืออยู่ของตัวตนระดับนั้นก็สามารถครอบงำจอมยุทธคนอื่นได้ ตอนนี้ปราณอสูรครอบงำไปทั่วจิตใจของหลิงฮัน มันพยายามที่จะทำลายนิสัยเดิมของเขาและจะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นอสูร
หลิงฮันเค้นเสียง หากเป็นภายนอกเขาอาจจะถูกครอบงำ แต่ตอนนี้เขาอยู่ในหอคอยทมิฬ!
ระดับสร้างสรรพสิ่งอาจจะแข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลก็จริง แต่ปรมาจารย์จากดินแดนใต้พิภพคนนี้ไม่รู้ว่าตายไปนานเท่าใดแล้ว
หลิงฮันโคจรอำนาจของหอคอยทมิฬเพื่อต่อต้านปราณอสูร
หลิงฮันรีดเค้นพลังด้านลบแห่งความปั่นป่วนและความกระหายเลือดของปราณอสูรออกมาจนเหลือเพียงพลังงานที่บริสุทธิ์และชี้นำมันไปยังตันเถียน พลังงานบริสุทธิ์ถูกเปลี่ยนเป็นก้อนลูกบอลพลังงานที่มีขนาดไม่เกินไข่ไก่
ที่น่าตกใจก็คือก้อนพลังงานนั้นเต็มไปด้วยพลังบริสุทธิ์ที่แม้แต่จอมยุทธระดับภูผาวารีก็สามารถดูดซับได้ หลิงฮันค้นพบว่าภูผาลูกที่สองของเขากำลังขยายใหญ่ด้วยความเร็วที่น่าตะลึง หากเป็นเช่นนี้คาดว่าเขาจะสามารถบรรลุระดับภูผาวารีขั้นกลางราวๆชั้นปลายได้ในระยะเวลาหนึ่งเดือน
นี่มันน่าอัศจรรย์มาก!
ต้องรู้ก่อนว่าระดับภูผาวารีขั้น ในทุกๆชั้นพลังจำเป็นต้องใช้เวลาถึงหมื่นปีกว่าจะทะลวงผ่านได้ มีเพียงทายาทของจอมยุทธระดับดาราอย่างจ้าวหลุนและชาหยวนเท่านั้นที่มีทรัพยากรจำนวนมาก ทั้งสองจึงใช้เวลาเพียงหลายร้อยปีในการบ่มเพาะพลัง
ส่วนหลิงฮันน่ะรึ?
หากเขายังบ่มเพาะพลังด้วยความเร็วเช่นนี้ต่อไป บางทีเขาอาจจะสามารถบรรลุระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดชั้นสูงสุดได้ภายในไม่กี่ปี
“ไม่มีอะไรต้องแปลกใจ สิ่งนี้คือพลังชีวิตของจ้าวอสูร” หอคอยน้อยกล่าวแทรก
“จ้าวอสูร!” ถึงแม้หลิงฮันจะคาดเอาไว้อยู่แล้ว แต่เขาก็ยังตะลึงอยู่ดี
จ้าวอสูรนั้นหากเทียบกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็คือระดับสร้างสรรพสิ่งนั่นเอง
“ความนึกคิดและกายหยาบของของจ้าวอสูรถูกทำลายไปนานแล้ว แต่เพราะความแข็งแกร่งของระดับสร้างสรรพสิ่ง ต่อให้เศษร่างกายถูกทิ้งเอาไว้หลายร้อยหลายปีก็ยังคงมีพลังเหลืออยู่ดี” หอคอยน้อยกล่าว
หลิงฮันพยักหน้า เนื่องจากมีร่างของจ้าวอสูรอยู่ มหาสมุทรจึงสร้างแรงโน้มถ่วงนี้ที่รุนแรงขึ้นมา
ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมถึงมีปราณอสูรลอยออกมาจากเกาะของเผยจี่ ที่แท้รูของเกาะนั่นก็เชื่อมต่อกับทะเลแห่งนี้นี่เอง
หลิงฮันสำรวจในตันเถียนตนเอง พลังงานของจ้าวอสูรถูกเปลี่ยนเป็นบอลพลังงานสีดำและปลดปล่อยพลังงานอันไร้ที่สิ้นสุดออกมาเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายและพลังบ่มเพาะของเขา
พลังงานถูกหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา จากที่ดูแล้วพลังงานเหล่านี้เพียงพอที่จะช่วยให้เขาบรรลุระดับสุริยันจันทรา!
สิ่งนี้คือพลังชีวิตของจ้าวอสูร มันจะแปลกอะไรหากมันสามารถช่วยให้หลิงฮันบรรลุระดับสุริยันจันทรา? หากไม่ใช่เพราะเวลาที่ผ่านไปนานและสูญเสียพลังส่วนใหญ่ไปแล้ว มันสมควรจะสามารถช่วยให้หลิงฮันบรรลุระดับดารา หรืออาจจะระดับวารีนิรันดร์ด้วยซ้ำ!
“โชคดีที่พลังจากก้อนพลังถูกปล่อยออกมาทีละนิด ไม่เช่นนั้นร่างของข้าคงจะระเบิดไปแล้ว”
หลิงฮันรู้สึกหวาดกลัวไปพร้อมๆกัน แม้เขาจะสามารถบรรลุระดับสุริยันจันทราได้ในระยะวเลาสั้นๆ แต่ก้อนพลังนี้มีอำนาจที่น่ากลัวขนาดไหน? มันไม่ต่างอะไรกับการเก็บก้อนระเบิดเอาไว้ในตัวเลย
“สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะพลัง แต่เป็นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพที่จ้าวอสูรสั่งสมมา หากข้าเข้าใจมันได้ในระดับหนึ่งข้าจะสามารถควบคุมอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้ทั้งของดินแดนใต้พิภพและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สิ่งนี้ต่างหากที่ยอดเยี่ยมที่สุด”
“แต่ข้าเคยได้ยินมาว่ากฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนนั้นขัดแย้งกัน กฎเกณฑ์ทั้งสองไม่สามารถอยู่รวมกันได้”
“ช่างมัน… เรื่องนี้จะเป็นไปได้หรือไม่ก็ต้องเป็นหลังจากข้าบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่ง ไว้ค่อยคิดทีหลังแล้วกัน”
“จากสิ่งที่ข้าเห็น เหตุผลที่ทำไมมหาสมุทรดารามีแรงโน้มถ่วงที่น่าสะพรึงกลัวนั้นเป็นเพราะจ้าวอสูรตนนี้ แล้วในเมื่อข้าครอบครองแก่นพลังของจ้าวอสูรแล้ว นั่นก็หมายความว่ามหาสมุทรแห่งนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับมหาสมุทรธรรมดาแล้วน่ะสิ?”
“ฮ่าๆ ทีนี้ข้าก็สามารถกลับขึ้นไปได้แล้ว!”
“เห้อ ข้าช่างโชคดียิ่งนัก การที่เปิดสวรรค์สำเร็จจะได้รับวาสนาจากสวรรค์และปฐพีคงไม่ใช่เรื่องโกหกแล้ว”
“นอกจากนั้นแล้ว…”
หลิงฮันตั้งสมาธิ ทันใดนั้นต้นกำเนิดพลังในตันเถียนของเขาก็อบอวลไปด้วยพลังงานของจ้าวอสูร คลื่นปราณอสูรที่ราวกับเส้นไหมถูกปลดปล่อยออกมาทำให้กลิ่นอายของเขาเปลี่ยนไป แม้แต่ลมหายใจของเขาก็กลายเป็นไอสีดำ ตัวของหลิงฮันในตอนนี้ราวกับกลายเป็นอสูรไปแล้ว
“ฮ่าๆๆ ข้าสามารถปลอมตัวเป็นสิ่งมีชีวิตของดินแดนใต้พิภพได้!”
“ให้จักรพรรดิจอมอสูรดูให้แล้วกันว่ามีข้อบกพร่องใดๆรึเปล่า”
หลิงฮันยิ้ม
ตอนที่ 1040
หลิงฮันเรียกจักรพรรดิจอมอสูรมาและกล่าว “เจ้ามองมาที่ข้าสิ!”
“ขอรับนายท่าน! นายท่านผู้แข็งแกร่ง!” จักรพรรดิจอมอสูรกล่าวเลียแข้งเลียขาก่อนจะตะโกนออกมา “นายท่านช่างดูสง่ากว่าเดิมยิ่งนัก! เมื่ออยู่ต่อหน้านายท่าน จักรพรรดิน้อยอย่างข้าราวกับกำลังมองไปยังดวงตะวัน ต่อหน้าท่านข้าทำได้เพียงคุกเข่าเพื่อมองดูความรุ่งโรจน์ของท่าน!”
“ไม่ใช่ให้พูดประจบ มองดูว่าตัวข้าในตอนนี้เป็นอย่างไร!” หลิงฮันโคจรก้อนพลังงาน ทันใดนั้นร่างของเขาก็ปลดปล่อยปราณสีดำออกมา รูปลักษณ์ของเขาไม่ได้เปลี่ยนไป แต่กลิ่นอายที่สัมผัสได้นั้นต่างจากตัวเขาปกติอย่างสิ้นเชิง
“จะ จะ จ้าวอสูร!” จักรพรรดิจอมอสูรขาอ่อนคุกเข่าลง กลิ่นอายที่รู้สึกได้จากหลิงฮันนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง มันทรงพลังกว่าใครในดินแดนใต้พิภพที่เขาเคยพบเจอมา
นี่มัน… ระดับจ้าวอสูร!
“นายท่าน ท่านคือคนของดินแดนใต้พิภพ?” เขาถามด้วยเสียงแหบแห้ง
“แน่นอนว่าข้าเป็นมนุษย์ ข้าแค่บังเอิญได้ดูดซับพลังของจ้าวอสูรก็เท่านั้น” หลิงฮันกล่าว “เจ้าคิดว่าข้าในตอนนี้ต่างกับสิ่งมีชีวิตใตพิภพหรือไม่?”
“ไม่เลย ไม่แม้แต่น้อย!” จักรพรรดิจอมอสูรรีบส่ายหัว “นายท่านไม่มีส่วนใดที่แตกต่างกับสิ่งมีชีวิตใตพิภพแม้แต่น้อย ไม่สิ นายท่านดูราวกับเป็นอสูรที่แท้จริงเสียด้วยซ้ำ!”
“นายท่านของข้า ได้โปรดให้ข้าได้กอดขาของท่านด้วยเถิด!”
“ไสหัวไป” หลิงฮันใช้เท้าเตะจักรพรรดิจอมอสูร
เขาสะบัดมือส่งจักรพรรดิจอมอสูรไปยังอีกฝากของหอคอยทมิฬและนำกล่องหยกออกมา
นี่คือสมบัติที่แม้แต่จอมยุทธระดับดาราก็ไม่สามารถเปิดมันได้
ถ้าเป็นด้านนอกหลิงฮันคงไม่สามารถเปิดมันได้แน่นอน แต่ที่นี่คือหอคอยทมิฬ!
เขาลองสำรวจมันก่อนและพบว่าถึงแม้มันจะเป็นกล่อง แต่กล่องได้ถูกเชื่อมติดกันอย่างสมบูรณ์แบบโดยที่ไม่มีช่องให้เปิดเลย มันราวกับเป็นก้อนหยกที่มีรูปร่างเหมือนกล่องเสียมากกว่า
หลิงฮันลองเขย่าดูก็ไม่รู้สึกว่าข้างในมีอะไรอยู่
“ถ้าหาช่องเปิดไม่ได้ก็ต้องใช้กำลังเปิด” หลิงฮันชี้นิ้วตรงราวกับกระบี่และเฉือนเข้าใส่กล่องหยก
พลังของหอคอยทมิฬเอ่อล้นไปทั่วร่างของเขา หลิงฮันรู้สึกว่าเขาคือตัวตนระดับสร้างสรรพสิ่งที่สามารถทำอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา
“เปิด” เขากล่าวด้วยเสียงเบา
‘พรึบ’ กล่องที่ถูกเขาตัดเปิดออก
ภายในกล่องหยกมีเพียงกระดาษสีเงินใส่เอาไว้ หลิงฮันต้องการหยิบมันขึ้นมาแต่ก็ต้องเปลี่ยนสีหน้าทันที นั่นเพราะจู่ๆก็มีคลื่นดาบพุ่งออกมาด้วยความเร็วสูง มันเร็วมากจนเขาไม่สามารถหลบได้ทัน
ฟุบ
หอคอยน้อยปรากฏตัวเพื่อหยุดยั้งคลื่นดาบ “นี่เจ้าไปทำอะไรให้สวรรค์โกรธรึไง ทำไมถึงได้ชอบมีเรื่องใส่ตัวตลอด?”
“ฮ่าๆๆ ถ้าเจ้าช่วยข้าก็คงตายไปแล้ว” คลื่นดาบนั้นรวดเร็วเกินกว่าเกินกว่าสามัญสำนึกทั่วไป
หรือกระดาษนั่นจะเป็นยันต์โจมตีของปรมาจารย์?
ครั้งนี้หลิงฮันใช้พลังของหอคอยทมิฬโอบล้อมตัวเขาเขาไว้ เกรงว่าเขาในตอนนี้คงมีเพียงจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งถึงจะสามารถคุกคามเขาได้ เขาเอื้อมมือไปยังกระดาษสีน้ำเงินอีกครั้ง
‘พรึบ’ คลื่นดาบปรากฏอีกครั้งและพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน
เร็วมาก!
ถึงแม้เขาจะเตรียมตัวไว้แล้ว แต่ก็ยังอดตกใจไม่ได้อยู่ดี คลื่นดาบรวดเร็วยิ่งกว่าศรฆ่ามังกรทะลวงดาราเสียอีก มันเร็วจนไม่สามารถหาคำใดมาบรรยายได้!
ฉึบ!
คลื่นดาบพุ่งเข้าใส่ด้านหน้าหลิงฮัน มันเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต
แต่ถึงแม้คลื่นดาบจะเร็วขนาดไหน ก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับอำนาจของหอคอย ในมิตินี้หลิงฮันคือพระเจ้าที่แท้จริง
“สิ่งนั้นมันคืออะไรกันแน่!” หัวใจของหลิงฮันเต้นแรง เขารู้สึกว่าเขาอาจจะพบกับสมบัติสุดล้ำค่าเข้าแล้ว มันอาจจะล้ำค่าสมกับที่ปรมาจารย์ระดับดาราสองจนต้องแย่งชิงกันจริงๆก็ได้
เขาเปิดกระดาษสีเงินดู ‘พรึบ พรึบ พรึบ’ แต่นั่นก็ยิ่งโชคร้ายเข้าไปใหญ่ คลื่นดาบนับไม่ถ้วนส่องประกายพร้อมกัน คลื่นดาบนับร้อยล้านเล่มพุ่งเข้าใส่หลิงฮันพร้อมกัน
ที่ด้านหน้าหลิงฮันปรากฏมีม่านใสถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันคลื่นดาบนับไม่ถ้วน
“หายไปซะ!” หลิงฮันเค้นเสียง คลื่นดาบค่อยๆถูกทำให้สลายไปทีละเล่มจนไม่เหลือ
ฟู่ว…
หลิงฮันถอนหายใจ ถ้าถูกนำตัวเข้ามาอยู่ในหอคอยทมิฬล่ะก็ ต่อให้เป็นจักรพรรดินีแห่งดาราหรือจ้าวแห่งจักรวาลนี้ พวกเขาก็ต้องถูกสยบให้คุกเข่าลง
ในที่สุดการดาษสีเงินก็แน่นิ่งไม่ปล่อยคลื่นดาบใดๆออกมาอีก
บนกระดาษไม่มีอักษรอะไรถูกเขียนอยู่ มีเพียงกระดาษที่ว่างเปล่า
นี่มันบ้าเกินไปหน่อยแล้ว การโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่มีไว้เพื่อคุ้มกันกระดาษเปล่าๆงั้นรึ?
เป็นไปไม่ได้!
หลิงฮันครุ่นคิดชั่วครูก่อนจะชี้นำสัมผัสสวรรค์แทรกเข้าไป
ทันใดนั้นคำพูดนับไม่ถ้วนก็หลั่งไหลเข้ามาในความคิดของเขา
ทักษะดาบสี่บัญญัติ!
ตอนนี้มีเพียงอักษรสีคำเหลืออยู่ในความคิดของเขา
กระดาษสีเงินนั้นรู้ว่าถูกทิ้งเอาไว้โดยปรมาจารย์มานานเท่าใดแล้ว ผู้ที่ทิ้งเอาไว้คือปรมาจารย์ผู้ใช้ดาบที่ถูกเรียกว่า เซียนดาบไร้พ่าย!
อักขระทั้งสี่คือพลังอำนาจที่ถูกทิ้งไว้โดยผู้ใช้ดาบระดับสร้างสรรพสิ่ง โดยปกติแล้วถ้าหากไม่ใช่จอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งก็ไม่มีใครกล้าเรียกตัวเองว่า ‘เซียนดาบ’ หรือ ‘เซียนกระบี่’ เพราะหากเรียกตนเองเช่นนี้ก็หมายถึงพวกเขาคือผู้ใช้ดาบหรือผู้ใช้กระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
เซียนดาบไร้พ่ายไม่ฉายาที่เขาตั้งเองแต่เขาถูกคนอื่นเรียกเช่นนั้น เขาไม่ใช่แค่ถูกเรียกว่าเซียนดาบธรรมแต่ยังเป็นเซียนดาบไร้พ่าย นั่นหมายถึงเขาแข็งแกร่งที่สุดและมีความเป็นไปได้ว่าเขาจะเป็นผู้ใช้ดาบอันดับหนึ่งตลอดกาล
ทักษะดาบที่ทรงพลังที่สุดของเขาคือทักษะดาบสี่บัญญัติ ซึ่งแบ่งเป็น ‘บัญญัติดาบเร็ว’ ‘บัญญัติดาบช้า’ ‘บัญญัติดาบคลั่ง’ และ ‘บัญญัติดาบสงบนิ่ง’
ตอนนี้สิ่งที่ถูกทิ้งเอาไว้ในกระดาษสีเงินคือทักษะบัญญัติดาบเร็ว
ความเชี่ยวชาญดาบของหลิงฮันนั้นไม่ได้สูงมาก แต่ทักษะดาบที่ได้รับมานั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ทักษะที่ถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์ระดับสร้างสรรพสิ่ง แต่ยังเป็นทักษะที่จอมยุทธทั่วไปไม่อาจฝึกฝนได้
เหตุผลก็เป็นเพราะการจะฝึกทักษะนี้จำเป็นต้องมีกายหยาบที่แข็งแกร่ง
บัญญัติดาบเร็วคือทักษะดาบที่รวดเร็วเกินกว่าขีดจำกัดของระดับพลังโดยใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์เข้ามาช่วย หากไม่มีกายหยาบที่แข็งแกร่งอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ก็จะทำลายร่างกายของผู้ใช้
“ทักษะนี่ราวกับว่าถูกสร้างขึ้นเพื่อข้า!”
หลิงฮันอดมีความสุขไม่ได้ บัญญัติดาบเร็วจำเป็นต้องใช้กายหยาบที่แข็งแกร่งเทียบเท่าระดับพลังของผู้ใช้ แต่กายหยาบของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าระดับพลังบ่มเพาะ ซึ่งนั่นหมายถึงเขาอาจจะสามารถใช้บัญญัติดาบเร็วได้ทรงพลังยิ่งกว่าเซียนดาบไร้พ่าย
“เพียงแต่ว่าเซียนดาบไร้พ่ายสามารถบรรลุขั้นสูงสุดของทักษะดาบสี่บัญญัติได้ก็ตอนที่เขาบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งแล้ว ทักษะนี้มความเกี่ยวข้องกับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของระดับสร้างสรรค์พสิ่ง บางทีข้าในตอนนี้อาจจะทำความเข้าใจมันไม่สำเร็จ!”
หลิงฮันส่ายหัว เขามีพรสวรรค์ในการทำความเข้าใจศาสตร์วรยุทธต่างๆในระดับที่น่าสะพรึงกลัว แต่ด้วยระดับพลังที่ถูกจำกัด เขาคงไม่สามารถทำความเข้าใจทักษะของระดับสร้างสรรค์พสิ่งได้
“จะอย่างไรก็ช่าง อย่างแรกเลยคือข้าต้องพัฒนาความเชี่ยวชาญดาบของตัวเองก่อน”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น