เทพปีศาจหวนคืน 999-1000
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 999 ตัวหมากและผู้เล่น
แปลโดย iPAT
‘ข้าเริ่มต้นได้ดี ตราบเท่าที่ข้ารักษาความได้เปรียบนี้ไว้ คฤหาสน์วิญญาณอมตะจะเป็นของข้า!’
ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลเซียวกระตุ้นตนเองอย่างลับๆ เขารู้ว่าปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือการรักษาความได้เปรียบในปัจจุบัน
ตามกฎ ลำดับที่สองที่สามารถเข้าสู่การแข่งขันคือผู้อมตะจากตระกูลวู วูเติ้งจื่อ
วูเติ้งจื่อเลือกตัวหมากที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำกว่าเพราะมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า นั่นก็คือวูเฉิงตงผู้ใช้วิญญญาณระดับสี่
‘หวังว่าเซียวซานจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง’
แต่ความปรารถนาของผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลเซียวคือสิ่งที่ผู้อมตะภาคใต้คนอื่นๆไม่เต็มใจให้เกิดขึ้น
ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลเซียวมีข้อได้เปรียบ ดังนั้นผู้อมตะภาคใต้คนอื่นๆจึงต้องการเห็นความพ่ายแพ้หรือความตายของเซียวซานเพื่อลบความได้เปรียบของผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลเซียวทิ้งไป
วูเฉินตงกำลังเดินทางไปยังภูเขาอี้เทียน
“ทุกคน ภารกิจกำจัดคนชั่วครั้งนี้เราต้องทำอย่างเต็มที่โดยไม่สนค่าใช้จ่าย” วูเฉินตงชี้นิ้วไปที่ภูเขาอี้เทียนด้วยการแสดงออกที่ดุดัน
มีผู้ใช้วิญญาณระดับสามและสี่มากมายอยู่รอบตัวเขา
หนึ่งในนั้นคือผู้อาวุโสของตระกูลวูซึ่งมีหน้าที่คุ้มกันวูเฉินตง อีกสองคนเป็นผู้นำหมู่บ้านภายใต้การปกครองของตระกูลวู
วูเฉินตงเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสี่ขั้นสุดยอดบนเส้นทางแห่งทาส เขาเหมือนบัณฑิตที่อ่อนแอและดูเหมือนจะไม่สามารถยืนเผชิญหน้ากับสายลมหนาวได้เป็นเวลานาน
แต่ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนเขาเพราะเขาบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางแห่งทาส ผู้ใช้วิญญาณบนเส้นทางสายนี้สามารถต่อสู้กับกองทัพขนาดใหญ่ด้วยตัวเขาเองเพียงลำพัง
“บนภูเขาอี้เทียน บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดคือเซียวซาน ถัดจากเขาคือซันเพิ่งหูและจ้าวซิงซิง ทั้งสองต่างเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับห้า ในความคิดเห็นของข้า พวกเราไม่ควรรีบร้อนแต่ควรเชิญผู้ใช้วิญญาณฝ่ายธรรมะให้เข้าร่วม สิ่งนี้จะทำให้พวกเรามีความได้เปรียบ นอกจากนั้นเรายังสามารถป้องกันไม่ให้ปีศาจเหล่านี้หลบหนี” ผู้นำหมู่บ้านระดับสี่กล่าว
การแสดงออกของวูเฉินตงกลายเป็นมืดครึ้ม เขาต้องการทำเช่นนี้เช่นกัน แต่ภารกิจนี้เป็นภารกิจที่ถูกจำกัดด้วยกรอบของเวลา มันทั้งเข้มงวดและเร่งรีบ วูเฉินตงยังอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเขากลายเป็นเครื่องสังเวชของความขัดแย้งภายในตระกูลหรือไม่
เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรวบรวมคนเหล่านี้มาอยู่ข้างกาย
แต่วูเฉินตงจะไม่มีวันเข้าใจแม้เขาจะตายไปแล้วว่ากระทั่งตัวตนระดับสูงของตระกูลก็เป็นเพียงเครื่องมือของผู้อมตะเท่านั้น เขาไม่แม้แต่จะรู้ว่าตอนนี้มีผู้อมตะของภาคใต้มากมายเพียงใดที่กำลังเพ่งมองมาที่เขา
“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใดอีกต่อไป ตราบเท่าที่ทุกคนปกป้องข้า แม้พวกเขาจะมีพลังการต่อสู้ระดับห้า แต่พวกเขาจะเผชิญหน้ากับกองทัพสัตว์ร้ายได้นานเพียงใด? เมื่อพลังวิญญาณของพวกเขาหมดสิ้น ชัยชนะจะเป็นของพวกเรา นอกจากนี้ข้ายังมาด้วยตนเอง แน่นอนว่าข้าย่อมมีความมั่นใจว่าจะไม่ส่งตนเองไปตาย!”
วูเฉิงตงกล่าวยกขวัญกำลังใจ
ครู่ต่อมาคลื่นสัตว์อสูรจึงเคลื่อนทัพไปยังหมู่บ้านอี้เทียนที่ยังสร้างไม่เสร็จ
กลุ่มผู้ใช้วิญญาณปีศาจตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย พวกเขาเคยชินกับการต่อสู้เพียงลำพัง แม้เซียวซานจะพยายามจัดระเบียบ แต่ในระยะเวลาสั้น มันยังมีผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เซียวซานรู้สึกกังวลและเริ่มคิด ‘หมู่บ้านอี้เทียนพึ่งถูกสร้างขึ้น การต่อสู้ครั้งแรกกับฝ่ายธรรมะ พวกเราไม่สามารถพ่ายแพ้ มิฉะนั้นขวัญกำลังใจของผู้คนจะจมดิ่งลง เมื่อชื่อเสียงถูกทำลาย แล้วผู้ใดจะต้องการมาที่นี่และเข้าร่วมกับข้า!’
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เซียวซานเร่งออกคำสั่งกลุ่มผู้ใช้วิญญาณปีศาจให้ปกป้องหมู่บ้านด้วยชีวิตของพวกเขา
เซียวซานคิดได้ถูกต้องแต่เขาประเมินความร่วมมือของผู้ใช้วิญญาณปีศาจสูงเกินไป
หากเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวกับฝ่ายธรรมะ ฝ่ายปีศาจมักได้รับชัยชนะ แต่เมื่อมีจำนวนคนเข้ามาเกี่ยวข้อง ฝ่ายธรรมะมักได้รับชัยชนะ
แรกเริ่มฝูงสัตว์อสูรจำนวนมากตกตายลงภายใต้การโจมตีของกลุ่มผู้ใช้วิญญาณปีศาจ
แต่ในไม่ช้าการโจมตีของกลุ่มผู้ใช้วิญญาณปีศาจก็เริ่มเบาบางลง ท้ายที่สุดแล้วพลังวิญญาณของผู้ใช้วิญญาณก็มีอยู่อย่างจำกัด
ฝูงสัตว์อสูรพุ่งผ่านการโจมตีของผู้ใช้วิญญาณปีศาจและเริ่มเข่นฆ่าพวกเขา
สถานการณ์เอนเอียงไปทางฝ่ายธรรมะทันที
“ดี”
“เยี่ยมมาก!”
ผู้อมตะภาคใต้ที่เฝ้าดูอยู่รู้สึกยินดี
ใบหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลเซียวกลายเป็นมืดครึ้ม
เซียวซานเป็นทหารผ่านศึก เห็นสถานการณ์ไม่ดี เขาเร่งตะโกน “ผู้ใช้วิญญาณระดับสี่และห้าไปกับข้า เราจะไปสังหารผู้ใช้วิญญาณบนเส้นทางแห่งทาส คนอื่นๆค่อยๆถอยขณะต่อสู้ไปพร้อมกัน!”
ปัจจุบันฝ่ายปีศาจพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ ตรงข้ามกับฝ่ายธรรมะ แม้พวกเขาจะมีสมาชิกไม่มาก แต่พวกเขากลับไม่สูญเสียผู้ใด
คำกล่าวของเซียวซานได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็ว
ผู้ใช้วิญญาณระดับสี่และห้าเข้ามารวมกลุ่มรอบๆเซียวซานด้วยความสนุกสนาน อย่างไรก็ตามใบหน้าของผู้ใช้วิญญาณระดับสองและสามกลับซีดเผือด
กลุ่มผู้ใช้วิญญาณระดับสี่และห้าล้วนเป็นตัวตนที่แข็งแกร่ง หากเกิดสิ่งใดขึ้น พวกเขาจะสามารถตีฝ่าวงล้อมและหลบหนี ขณะที่ผู้ใช้วิญญาณระดับต่ำจะติดอยู่ในวงล้อมของสัตว์อสูรและทำได้เพียงรอคอยกำลังเสริมเท่านั้น
มีเพียงฟางหยวนที่แม้จะแสดงออกด้วยความกังวลแต่เขายังรู้สึกสบายใจ
หลังจากทั้งหมดแม้ฝูงสัตว์อสูรจะมีมากกว่านี้อีกร้อยเท่า มันก็ยังไม่เป็นภัยคุกคามต่อเขา นอกจากนั้นเขายังมีความทรงจำในชีวิตก่อนหน้าและรู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น
ดังคาด สถานการณ์พัฒนาไปเกือบเหมือนชีวิตก่อนหน้าของเขา
ผู้ใช้วิญญาณปีศาจตีฝ่าวงล้อมของฝูงสัตว์อสูรและสามารถก้าวไปข้างหน้า แม้บางคนจะเสียชีวิตระหว่างทาง แต่พวกเขาก็เข้าถึงตัววูเฉิงตงได้ในที่สุด
เซียวซาน ซันเพิ่งหู และจ้าวซิงซิงถูกบังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเคลื่อนไหวและชิงโจมตีฝ่ายตรงข้าม
หลังการต่อสู้อันดุเดือด ผู้ใช้วิญญาณระดับสี่สองคนของฝ่ายธรรมะเสียชีวิต ขณะที่วูเฉิงตงถอยกลับด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส
ผู้ใช้วิญญาณระดับสี่ที่เหลือของตระกูลวูพยายามต่อต้านฝ่ายปีศาจด้วยความสิ้นหวัง
ในจังหวะสำคัญฝูงวิหคอสูรบินกลับมาช่วยชีวิตของวูเฉิงตงเอาไว้ได้ทันเวลา
พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องถอยออกจากภูเขาอี้เทียน
คืนนั้นเซียวซานรวบรวมกลุ่มผู้ใช้วิญญาณปีศาจมาที่ถ้ำแห่งหนึ่ง
เขาตะโกนด้วยร่างกายที่อาบย้อมไปด้วยเลือด “วูเฉิงตงยังไม่ตาย เขาเป็นภัยคุกคามต่อพวกเรา ตราบเท่าที่เขายังมีชีวิต เราจะเผชิญกับภัยคุกคามจากฝูงสัตว์อสูรอย่างไม่รู้สิ้นสุด เขาจำเป็นต้องฆ่าเขา มิฉะนั้นหมู่บ้านอี้เทียนจะไม่เกิดขึ้น”
เซียวซานกล่าวจบแต่กลับไร้เสียงตอบรับ
กลุ่มผู้ใช้วิญญาณปีศาจประสบความสูญเสียอย่างหนัก ตอนนี้ขวัญกำลังใจของพวกเขาลดลงอย่างมาก
ผู้ใช้วิญญาณปีศาจระดับสามผู้หนึ่งกล่าวด้วยความหดหู่ “ท่านผู้นำ เราควรถอย ฝ่ายธรรมะแข็งแกร่งเกินไป เป็นเรื่องปกติที่พวกเราจะไม่สามารถเอาชนะ แต่เราสามารถแก้แค้นในภายหลัง เราควรออกจากสถานที่แห่งนี้และสร้างหมู่บ้านอี้เทียนขึ้นมาใหม่บนภูเขาลูกอื่น”
ดวงตาของเซียวซานส่องประกายเย็นเยียบและโจมตีทันที
เขาใช้กระบี่สังหารผู้ใช้วิญญาณปีศาจผู้นั้นในครั้งเดียว “คนผู้นี้พยายามสั่นคลอนเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของพวกเรา เขาสมควรตาย! หากผู้ใดกล้าร้องขอให้ถอย จุบจบของคนผู้นั้นจะไม่ต่างจากเขา!”
ซันเพิ่งหูกับจ้าวซิงซิงก้าวออกไปยืนอยู่สองข้างของเซียวซาน
กลุ่มผู้ใช้วิญญาณปีศาจตกตะลึงกับท่าทีของเซียวซาน พวกเขาปรึกษากันอย่างรวดเร็วและตัดสินใจที่จะต่อสู้
การแสดงออกของเซียวซานผ่อนคลายลง “ข้ารู้ว่าทุกคนมีช่วงเวลาที่ยากลำบากและได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่มีอาการบาดเจ็บใดที่สามารถเปรียบเทียบกับพี่น้องของเราที่เสียสละตนเองในวันนี้ถูกต้องหรือไม่? ตอนนี้ทุกคนสามารถพักผ่อนอยู่ในถ้ำ พรุ่งนี้เราจะรวมพลังกันต่อสู้และสังหารวูเฉินตง พวกเราจะไม่หยุดจนกว่าเขาจะตาย!”
ทุกคนเร่งตอบรับ ฟางหยวนอยู่ท่ามกลางพวกเขาด้วยเลือดที่ยังหลั่งไหล แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวง
ถ้ำแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก มันไม่เพียงพอให้ผู้ใช้วิญญาณปีศาจทุกคนอาศัยอยู่
ในไม่ช้าถ้ำก็เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด กลิ่นปัจสาวะ และกลิ่นอุจจาระผสมผสานกัน
แม้มันจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับผู้ใช้วิญญาณปีศาจแต่เมื่อคิดถึงการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถข่มตาหลับ
มีเพียงฟางหยวนที่หลับสนิทและยังกรนเสียงดัง
เซียวซานเปิดเปลือกตาขึ้นและเผยรอยยิ้มบางเมื่อได้ยินเสียงกรนของฟางหยวน “ชายผู้นี้ไม่กังวลสิ่งใดเลย”
เสียงของเขาดึงดูดความสนใจของทุกคน
เซียวซานกล่าวต่อ “ทุกคน อย่ากังวล ข้ามั่นใจมากกับการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้ วูเฉิงตงได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาต้องตายในวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน ข้า เซียวซาน ขอสาบานว่าข้าจะไม่หลบหนีไปที่ใด หากข้าผิดคำพูด ขอให้สวรรค์พิพากษา!”
กลุ่มผู้ใช้วิญญาณปีศาจชื่นชมความมุ่งมั่นและความทะเยอทะยานของเซียวซาน
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือเซียวซานทำทุกสิ่งเพื่อให้ได้รับมรดกจากบรรพชนผู้อมตะของตระกูลเซียว
ผู้ใช้วิญญาณปีศาจทั้งหมดในถ้ำก็คือตัวหมากเบี้ยของเซียวซาน
ในคืนนี้ ผู้เล่นหมากรุก บรรพชนตระกูลเซียวก็รู้สึกกังวลเช่นกัน
หลังการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียนในวันนี้ ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลเซียวเร่งเดินทางไปยังยอดเขาแห่งหนึ่งและยืนอยู่ท่ามกลางสายลมเป็นเวลานาน
“ท่านอาจารย์ บรรพชนตระกูลเซียวมาขอพบท่าน แต่ท่านไม่ให้เขาเข้าพบ เขาเป็นผู้อมตะระดับเจ็ด เขายืนอยู่ข้างนอกมาเป็นเวลาสองชั่วโมงแล้ว มันจะไม่เป็นการดีหรือไม่หากเราปล่อยให้เขารอนานกว่านี้?” ลู่ซวนฟงกล่าวอย่างระมัดระวัง
บทที่ 1000 การเปลี่ยนแปลงที่เหนือความคาดหมาย
แปลโดย iPAT
อาจารย์ของเขาคือผู้บ่มเพาะสันโดษระดับเจ็ด ม่านอวี๋เซี่ย ตอนนี้เขากำลังนั่งไขว้ขาอยู่บนเสื่อโดยไม่ไหวติงราวกับไม่ได้ยินคำกล่าวของลู่ซวนฟง
หลังจากนั้นไม่นานผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลเซียวก็ส่งเสียงมาจากหน้าปากถ้ำอีกครั้ง “พี่อวี๋เซี่ย ข้ายินดีเพิ่มไข่มุกมังกรสวรรค์อีกสิบเม็ด โปรดช่วยข้าด้วย”
ชายชราม่านอวี๋เซี่ยค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นและกล่าวกับลู่ซวนฟง “ศิษย์ข้า ไปที่ภูเขาอี้เทียนและแก้ปัญหาให้เซียวซาน”
ลู่ซวนฟงคุกเข่าลงคำนับม่านอวี๋เซี่ยสามครั้ง
“ท่านอาจารย์ ศิษย์ทราบแล้ว”
แม้เขาจะกล่าวเช่นนี้แต่เขาก็ยังคุกเข่าอยู่บนพื้นและไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะลุกขึ้น
ม่านอวี๋เซี่ยเผยรอยยิ้ม “นิสัยเจ้าเล่ห์ของเจ้าไม่เคยเปลี่ยน”
หลังกล่าวจบคำ ม่านอวี๋เซี่ยเป่าลมออกจากปาก
มวลอากาศเย็นพุ่งเข้าสู่ร่างกายของลู่ซวนฟงและวนเวียนอยู่ที่นั่น
“วิญญาณอมตะดวงนี้สามารถปกป้องเจ้า ไปได้แล้ว”
ลู่ซวนฟงคำนับอีกสามครั้งและกล่าวอย่างมีความสุข “ข้าไม่สามารถซ่อนสิ่งใดจากท่านอาจารย์ได้จริงๆ ในฐานะศิษย์ ความตายของข้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่หากเป็นเช่นนั้น ท่านอาจารย์ก็จะขาดคนรับใช้ ท่านอาจารย์เมตตาข้า หากข้ายังไม่ได้ตอบแทนพระคุณ ข้าก็ยังไม่สามารถตาย”
“เอาล่ะ ไปเถอะ” ม่านอวี๋เซี่ยถอนหายใจและโบกมือไล่
วูเฉิงตงนำฝูงสัตว์อสูรบุกภูเขาอี้เทียน หมู่บ้านอี้เทียนที่พึ่งก่อตั้งจึงถูกทำลายเป็นเหตุให้ขวัญกำลังใจของกลุ่มผู้ใช้วิญญาณปีศาจลดลงขณะที่เซี่ยวซานต้องการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด
แต่ในเย็นวันนั้นลู่ซวนฟงกลับแทรกซึมเข้าไปในค่ายพักแรมของฝ่ายธรรมะและสังหารวูเฉิงตงก่อนจะนำศีรษะของเขาขึ้นไปสู่ภูเขาอี้เทียน
เซียวซานมีความสุขมากกับเรื่องนี้ “น้องลู่ ต้องขอบคุณเจ้ามาก เพราะเจ้า พวกเราทุกคนจึงรอดชีวิต”
ลู่ซวนฟงเป็นคนมีปฏิภาณไหวพริบ เขาป้องหมัดขึ้นและกล่าว “พี่เซียวกล่าวเกินไปแล้ว ข้าเพียงฉวยโอกาสเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะพี่เซียวและสหายท่านอื่นที่ต่อสู้และทำให้วูเฉิงตงได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าจะสามารถเอาชีวิตเขาได้อย่างง่ายดายได้อย่างไร? คิดไปแล้วข้ามีส่วนร่วมในเรื่องนี้เพียงสิบส่วนเท่านั้น อีกเก้าสิบส่วนเป็นผลงานของทุกท่านที่อยู่ที่นี่”
ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ช่วยไม่ได้ที่ทุกคนรู้สึกประทับใจลู่ซวนฟงมากขึ้น
หัวใจของเซียวซานจมดิ่งลง เขาไม่สามารถทำลายชื่อเสียงของลู่ซวนฟงได้โดยการยกย่องเขา ดังนั้นเซี่ยวซานจึงรีบเปลี่ยนคำกล่าวเพื่อรักษาเสถียรภาพและเชิญลู่ซวนฟงไปยังหมู่บ้านอี้เทียน
คลื่นลูกแรกของฝ่ายธรรมะถูกทำลายลงภายใต้ความร่วมมือของเซียวซาน ลู่ซวนฟง และคนอื่นๆ
ฟางหยวนอยู่ข้างสนามรบโดยไม่สนใจสถานการณ์เหล่านี้ เขาทำตัวราวกับไม่รู้สิ่งใดแต่ลอบคิด ‘ในชีวิตนี้ระหว่างที่วูเฉิงตงได้รับบาดเจ็บสาหัสและเซี่ยวซานตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลเซียวได้ไปขอความช่วยเหลือจากตาแก่ม่านอวี๋เซี่ย’
‘ตาแก่ม่านอวี๋เซี่ยเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษที่มีชื่อเสียงของภาคใต้ เขามีความขัดแย้งกับตระกูลวู เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลเซียวยื่นข้อเสนอที่ดี ม่านอวี๋เซี่ยจึงส่งลู่ซวนฟงเข้าสู่ภูเขาอี้เทียน ผู้อมตะหญิงจากตระกูลวู วูเติ้งจื่อ สูญเสียชิ้นหมากของนางไปเพราะเหตุนี้ แม้นางจะสามารถหลอมรวมเจตจำนงแห่งการต่อสู้ได้มาก แต่นางกลับเป็นคนที่สูญเสียมากที่สุด’
‘ผู้ใช้วิญญาณฝ่ายธรรมะและปีศาจต่อสู้กันอย่างดุเดือดบนภูเขาอี้เทียนโดยไม่รู้ตัวเลยว่าพวกเขาถูกควบคุมโดยผู้อมตะภาคใต้ มนุษย์ก็เหมือนมดปลวก…’
‘ปล่อยให้พวกเขาวางแผนการต่อสู้ต่อไป หลังการต่อสู้ครั้งนี้ เจตจำนงของข้าจะเหนือกว่าเซี่ยวซานและกลายเป็นผู้นำในการปรับแต่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะ!’
ด้วยเหตุนี้ฟางหยวนจึงได้รับโชคอย่างเงียบๆ เจตจำนงของเขาจะค่อยๆเติบโตโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
เมื่อเวลาผ่านไป คลื่นลูกที่สองก็มาถึง
ในคลื่นลูกแรก ผู้อมตะวูเติ้งจื่อพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ ขณะที่ผู้บ่มเพาะสันโดษม่านอวี๋เซี่ยสามารถเพิ่มสิ่งเดิมพัน
นี่ทำให้วูเติ้งจื่อไม่สามารถอดทน ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะร่วมมือกับผู้อมตะตระกูลเฉิงและไม่ต่อสู้เพียงลำพังเช่นครั้งก่อน
บนภูเขาอี้เทียน ผู้ใช้วิญญาณของตระกูลวูบุกโจมตีหมู่บ้านอี้เทียนพร้อมกับผู้ใช้วิญญาณของตระกูลเฉิง เฉิงเยี่ยนถู และจูไคเป่ย
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันบริเวณเชิงเขาอี้เทียนและผลักกันแพ้ผลักกันชนะ
หลานเหม่ยอี้กับเฟยหยูหวัง สองผู้เชี่ยวชาญด้านการบินที่มีชื่อเสียงของภาคใต้เข้าร่วมกับหมู่บ้านอี้เทียน
นี่ทำให้ฝ่ายปีศาจมีข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่
ฝ่ายธรรมะถูกผลักดันกลับไป
เพื่อรับมือหลานเหม่ยอี้กับเฟยหยูหวัง ฝ่ายธรรมะต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการบินหญิง หงเฟยหยู ให้เข้าร่วม
แต่หงเฟยหยูเพียงคนเดียวยังไม่สามารถต่อต้านผู้เชี่ยวชาญด้านการบินสองคนของฝ่ายปีศาจ
เมื่อหงเฟยหยูตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน กำลังเสริมจากตระกูลเฉิงก็มาถึง เขาก็คือมือกระบี่แสงเว่ยหยาง
เว่ยหยางอยู่ภายใต้การปกครองของเฉิงเยี่ยนเฟย เขาเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสี่ขั้นต้น เขาไม่เพียงสามารถช่วยเหลือหงเฟยหยูแต่ยังสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง
หลังจากหงเฟยหยูล่าถอยออกไป เว่ยหยางต่อต้านหลานเหม่ยอี้กับเฟยหยูหวังด้วยตัวของเขาเองเพียงลำพังและสามารถถ่วงเวลากระทั่งกำลังเสริมมาถึง
หลานเหม่ยอี้กับเฟยหยูหวังถูกบังคับให้ล่าถอย
หลังการต่อสู้ครั้งนี้ เว่ยหยางได้รับการยกย่องจากผู้คนทั้งฝ่ายธรรมะและปีศาจว่าเป็นหนึ่งในสี่ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินที่ยอดเยี่ยมที่สุดของภาคใต้
ด้วยการคงอยู่ของเว่ยหยาง การต่อสู้ระหว่างฝ่ายธรรมะและปีศาจกลับสู่สภาวะชะงักงันอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามเมื่อราชาผีดิบที่สองเข้าสู่ภูเขาอี้เทียนและแสดงความสามารถบนเส้นทางแห่งทาสออกมา ฝ่ายธรรมะที่ขาดวูเฉิงตงจึงถูกบังคับให้ล่าถอยกลับไป
การต่อสู้ครั้งที่สองจบลงที่จุดนี้
เบื้องหลังของเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากแผนการและการสมคบคิดของกลุ่มผู้อมตะภาคใต้
บนภูเขาอี้เทียน ผู้ที่รู้ความจริงเบื้องหลังเหตุการณ์นี้มีเพียงฟางหยวน
ด้วยตัวตนของฮวงชา ฟางหยวนเข้าสู่การต่อสู้และเผชิญหน้ากับเว่ยหยางโดยตรง
ภายใต้การดูแลของเฉิงเยี่ยนเฟย เว่ยหยางเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากเมื่อครั้งที่ฟางหยวนกับไป่หนิงปิงอาศัยอยู่ในเมืองเฉิง แต่ตอนนี้ฟางหยวนเป็นผู้อมตะไปแล้ว
ในการต่อสู้ ฟางหยวนสามารถสร้างเจตจำนงแห่งการต่อสู้ได้มากกว่าผู้อมตะภาคใต้ทั้งหมดรวมกัน
…..
ภาคกลาง นิกายบัวสวรรค์
“บึม บึม บึม…”
เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สภาพแวดล้อมกลายเป็นซากปรักหักพังขณะที่ฝุ่นควันลอยตลบอบอวลอยู่ในอากาศ
บนพื้นเต็มไปด้วยหลุมลึกพร้อมร่องรอยของเปลวเพลิง เศษน้ำแข็ง พลังงานไฟฟ้า และแม่น้ำเลือด
การต่อสู้ของผู้อมตะระดับแปดทำให้ภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ที่นี่เคยเป็นที่ตั้งนิกายบัวสวรรค์ หากไม่ใช่เพราะมันเต็มไปด้วยพลังงานแห่งเต๋าตามธรรมชาติ มันจะยิ่งเลวร้ายกว่านี้
หลังการต่อสู้รอบแรกหยุดลง โป้ชิงนำกลุ่มนิกายเงาถอยออกไประยะหนึ่ง
ด้านหน้าของพวกเขามีคฤหาสน์วิญญาณอมตะสามหลังลอยอยู่
หนึ่งในนั้นคือศาลานกขมิ้นที่งดงามและละเอียดอ่อน อีกหนึ่งคือวังเย่หยางที่ส่องประกายเจิดจรัส
อย่างไรก็ตามสายตาของสมาชิกนิกายเงาต่างมองไปที่คฤหาสน์วิญญาณอีกหลัง
มันคือคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปด สระสวรรค์
หากมองจากภายนอก มันดูเหมือนสระน้ำขนาดเล็ก อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นคฤหาสน์วิญญาณที่เล็กที่สุด
สระน้ำบ่อนี้เต็มไปด้วยดอกบัวสีเขียว
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือดอกบัวทุกดอกล้วนเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์หรือถ้ำสวรรค์
คฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับแปดหลังนี้เป็นรากฐานของนิกายบัวสวรรค์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพอมตะบัวสวรรค์ ความสามารถที่ยอดเยี่ยมที่สุดของมันก็คือการเก็บมิติช่องว่างอมตะ
“หากพวกเราไม่สามารถเอาชนะคฤหาสน์วิญญาณอมตะสระสวรรค์ ความสูญเสียทั้งหมดของพวกเขาก็ไม่ถือเป็นสิ่งใด” ซ่งซื่อซิงกล่าว
“แต่มันยากเกินกว่าที่จะโค่นล้ม เทพอมตะบัวสวรรค์มีความเชี่ยวชาญด้านรักษาและฟื้นฟู สระสวรรค์มีรูปแบบการทำงานและความสามารถไม่ต่างจากตัวเขา หากไม่สามารถทำลายมันในครั้งเดียว มันก็สามารถฟื้นฟูกลับมาอีกครั้งในระยะเวลาสั้นๆ” หยูมู่ฉานกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ผีดิบอมตะเทพเจ็ดดาราส่ายศีรษะ “ไม่เพียงสระสวรรค์แต่ยังมีคฤหาสน์วิญญาณอมตะอีกสองหลัง พวกมันยากที่จะจัดการเช่นกัน ตอนนี้พวกเขารู้จุดอ่อนของโป้ชิงและกำลังใช้ประโยชน์จากมัน”
จุดอ่อนของผีดิบอมตะโป้ชิงก็คือดวงวิญญาณของโม่เหยาที่อยู่ภายใน
ครั้งก่อนดวงวิญญาณของโม่เหยาถูกทำลายโดยผู้อมตะจากวังสวรรค์ ครั้งนี้ผีดิบอมตะโป้ชิงยังสูญเสียวิญญาณอมตะดาบแห่งปัญญาที่สามารถต่อต้านผู้อมตะบนเส้นทางแห่งปัญญา
หลังจากสูญเสียวิญญาณอมตะดวงนี้ โป้ชิงต้องระวังตัวมากขึ้น
“ไปกันเถอะ พวกเราทำภารกิจถ่วงเวลาสำเร็จแล้ว” ผีดิบอมตะเทพเจ็ดดารากล่าวก่อนจะเปลี่ยนเป็นสายรุ้งบินจากไปทันที
โป้ชิงกับคนอื่นๆตามไปอย่างรวดเร็ว
“หลบหนีจากชะตากรรมและยังบุกโจมตีหนึ่งในสิบนิกายโบราณ ความผิดนี้ไม่สามารถให้อภัย แต่ตอนนี้พวกเจ้ายังคิดว่าสามารถจากไปงั้นหรือ?” จากภายในสระสวรรค์ เสียงของเจ้าวังสวรรค์ดังขึ้น
คฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามไล่ล่าสมาชิกนิกายเงาไปอย่างไม่ลดละ
การแสดงออกของผีดิบอมตะเทพเจ็ดดาราเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาพูดกับสมาชิกคนอื่นๆ “ในสถานการณ์ปัจจุบันต้องมีบางคนอยู่ด้านหลังและถ่วงเวลาให้คนที่เหลือหลบหนี”
“ข้าจะทำมัน!” โป้ชิงเร่งกล่าว
“มันจะดีที่สุดหากให้ข้าทำ พวกเจ้ามีพลังการต่อสู้สูงกว่าข้า พวกเจ้าจะมีประโยชน์ต่อแผนการของเรามากกว่าข้า” หยูมู่ฉานอาสาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
ดวงตาของคนอื่นๆส่องประกายขึ้น พวกเขาทิ้งหยูมู่ฉานเอาไว้เบื้องหลังโดยไม่ลังเล
“ประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไป!”
“ฮืม ผู้คนบนเส้นทางสายปีศาจล้วนเชี่ยวชาญในการทรยศหักหลัง”
“เจ้าคิดว่าสามารถหยุดพวกเรางั้นหรือ? เจ้านำความมั่นใจชนิดนี้มาจากที่ใด?”
ผู้อมตะฝ่ายธรรมะนำคฤหาสน์วิญญาณอมตะทั้งสามพุ่งเข้าโจมตีหยูมู่ฉานอย่างเกรียวกราก
หยูมู่ฉานมองความตายที่ใกล้เข้ามาและเผยรอยยิ้ม “พวกเจ้าคิดว่าพวกเราไม่ได้เตรียมตัวมางั้นหรือ?”
หลังกล่าวจบคำ ค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่พลันระเบิดลำแสงขึ้นสู่ท้องฟ้า…
ข้อมูลเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งนี้ไม่สามารถปกปิดจากโลกของผู้อมตะภาคกลาง เมื่อฟางหยวนได้รับข่าวนี้ เขารู้สึกว่ามันแตกต่างไปจากชีวิตก่อนหน้าของเขาอย่างมาก ครั้งนี้ผีดิบอมตะโป้ชิงยังมีชีวิตอยู่!
ด้วยเหตุนี้ผีดิบอมตะโป้ชิงจะต้องเกลียดชังฟางหยวนที่ขโมยวิญญาณอมตะของเขาไป
ฟางหยวนเพ่งจิตเข้าไปในมิติช่องว่างของตนและตรวจสอบวิญญาณอมตะของโป้ชิง
หนึ่งในวิญญาณอมตะของโป้ชิงถูกปรับแต่งโดยฟางหยวน
สำหรับวิญญาณอมตะดวงอื่นๆ มันยังเป็นของโป้ชิง
‘ข้าไม่สามารถใช้ประโยชน์จากวิญญาณอมตะเหล่านี้ในการต่อสู้ สำหรับวิญญาณอมตะลึกลับดวงนี้ ข้าพยายามตรวจสอบมันในช่วงหลายวันที่ผ่านมา แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่รู้สิ่งใดเลย กระทั่งข้าจะขอความช่วยเหลือจากจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา แต่มันยังไร้ประโยชน์’
ตอนนี้ฟางหยวนกลายเป็นผู้นำในการปรับแต่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหลไปแล้ว
อาจกล่าวได้ว่าผู้อมตะภาคใต้ไม่มีโอกาสได้รับชัยชนะ
แต่ฟางหยวนยังกังวล ‘ข้าปรับแต่งมันมานานแล้ว แต่ยังมีการต่อต้านจากภายใน ข้าอยากรู้นักว่ามันยังเหลืออีกมากเท่าใด? แล้วข้าจะทำได้ทันเวลาหรือไม่?’
ฟางหยวนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
มันเป็นกลางคืนที่มืดสลัว
ฟางหยวนรู้สึกสงบนิ่ง
ความใหญ่โตของคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหลเหนือความคาดหมายของฟางหยวนไปไกลมาก
แผนเดิมของเขาคือการยึดครองคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหลและจากไปอย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้มันกลับดึงให้เขาอยู่ที่นี่จนถึงวันนี้ แล้วเมื่อใดเขาจะประสบความสำเร็จ?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น