ลำนำบุปผาพิษ 999-1002
บทที่ 999 เขาจะไร้ขีดจำกัดล่างได้ขนาดนี้เชียวหรือ?
กู้ซีจิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง ตอบอย่างคลุมเครือว่า “เป็นสหายคนหนึ่งของข้า ไว้มีเวลาจะอธิบายรายละเอียดให้ท่านฟัง”
อาการป่วยของอิงเหยียนนั่วเป็นความลับยิ่ง ไม่เหมาะให้ผู้อื่นทราบ ดังนั้นต่อให้กู้ซีจิ่วเชื่อใจหรงเช่ออย่างเต็มที่ ก็ยังไม่อยากพูดต่อหน้าเขา
เอาไว้ค่อยหาเวลา ให้หลงซือเย่ตรวจรักษาเขาอย่างจริงจังตามลำพัง
หลงซือเย่มองอิงเหยียนนั่วอีกแวบหนึ่ง อิงเหยียนนั่วยิ้มตาหยีมองดูเขา การแสดงออกบนดวงหน้าน้อยๆ น่ารักไร้เดียงสาอย่างยิ่ง
ทว่าหลงซือเย่กลับรู้สึกว่าไรขนบนแผ่นหลังเขาลุกชันขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ดวงตาของเด็กคนนี้ทำให้เขานึกถึงจิ้งจอกเจ้าเล่ห์…
“ซีจิ่ว ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” ในที่สุดหลงซือเย่ก็เจียดเวลามาสนทนากับกู้ซีจิ่วแล้ว
“ดีเยี่ยม” กู้ซีจิ่วรีบตอบ
ปีครึ่งที่ผ่านมาหลงซือเย่แทบจะแตกหักกับเธอไปเลย เมื่อกี้ยามพบหน้าเขาเขาก็ปฏิบัติต่อเธออย่างเย็นชา เนื่องจากเตรียมใจไว้แล้ว เธอจึงไม่เก็บมาใส่ใจ
ดีร้ายอย่างไรเขาก็ยังไม่ได้ชักสีหน้ามองเขม้นเธอ เช่นนั้นก็ดีแล้ว
“ชิมนี่ดูสิ นี่คือเห็ดสน ที่เจ้าชอบกิน” จู่ๆ หลงซือเย่ก็คีบอาหารจานหนึ่งให้เธอ
กู้ซีจิ่วค่อนข้างตกใจที่ได้รับความเอ็นดูอย่างไม่คาดฝัน เพียงแต่เธอไม่ชอบให้คนอื่นคีบอาหารให้เธอ ต่อให้เป็นหลงซือเย่คีบให้ก็ไม่มีข้อยกเว้น…
หากเป็นคนอื่นคีบให้ เธอคงปฏิเสธไปตรงๆ แต่นี่เป็นหลงซือเย่คีบให้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ แถมเธอยังต้องขอความช่วยเหลือจากเขาอีก…
ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงคิดจะฝืนใจลองพยายามกินดู นึกไม่ถึงว่าตะเกียบเธอเพิ่งจะแตะโดนเห็ดสนในจาน อิงเหยียนนั่วที่อยู่ข้างๆ ก็จามเสียงดังสนั่นขึ้นมา เขาคงจะหันศีรษะไปไม่ทัน จึงเป่าเห็ดสนในจานของกู้ซีจิ่วจนหมุนเป็นครึ่งวงกลม…
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน
อาหารนี้เห็นได้ชัดว่ากินไม่ได้แล้ว ถึงขั้นที่อาหารทั้งโต๊ะก็ไม่อาจกินได้! เนื่องจากถูกเขาเจิมด้วยการจามครั้งนี้หมดแล้ว…
หรงเช่อเรียกพนักงานมา เขาพยายามจะประนีประนอมแก้ปัญหา ขณะที่กำลังจะให้พนักงานมาเปลี่ยนโต๊ะแบบเดิมอีกครั้ง อิงเหยียนนั่วตัวน้อยที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ซีจิ่ว ข้าไม่กินเห็ดสน ได้กลิ่นสิ่งนั้นแล้วรู้สึกอึดอัด…เจ้าก็จะไม่กินเหมือนกันใช่ไหม? ข้าจำได้ว่าเจ้ากินสิ่งนั้นแล้วคันไปทั้งตัว…”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก เธอกินเห็ดสนแล้วคันไปทั้งตัวตอนไหนกัน?
หรงเช่อเหลือบมองอิงเหยียนนั่วแวบหนึ่งอย่างอดไม่ได้ อันที่จริงก่อนหน้านี้เขาได้เห็นวิชาปากร้ายของเด็กน้อยคนนี้ไปแล้ว ช่วยซีจิ่วไล่บุรุษเสเพลให้เตลิดเปิดเปิงไปทันที เจ้าเด็กคนนี้ช่างมากเล่ห์นัก
ตอนนี้ดูเหมือนเจ้าเด็กนี่พุ่งเป้าที่หลงซือเย่แล้ว…
หรงเช่อโบกพัดจีบ มองหลงซือเย่แวบหนึ่ง หลงซือเย่ก็ขมวดคิ้วมองอิงเหยียนนั่วแวบหนึ่งเช่นกัน เมื่อเห็นว่าเขายังเด็ก เขาย่อมไม่คิดจะถือสาหาความกับเขา
ฝ่ายอิงเหยียนนั่วกลับกำเริบเสิบสานกว่าเก่า แกว่งแขนเสื้อกู้ซีจิ่วไปมา “ซีจิ่ว ข้าอยากกินปลาทับทิม ลูกชิ้นไหมทอง…” เขาร่ายชื่ออาหารออกมาหลายจาน
กู้ซีจิ่วมองหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูของเขา ค่อนข้างปวดประสาท เดิมทีเธอยังสงสัยอยู่ว่าเขาคือตี้ฝูอีปลอมตัวมา ยามนี้กลับไม่ค่อยแน่ใจแล้ว ตี้ฝูอีดีร้ายอย่างไรก็เป็นบุคคลอับดับหนึ่งในแผ่นดินนี้ เขาจะไร้ขีดจำกัดล่างได้ขนาดนี้เชียวหรือ?
ไม่ว่าเขาจะใช่ตี้ฝูอีหรือไม่ กู้ซีจิ่วล้วนไม่สะดวกถามในยามนี้ ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงสะกดข้อสงสัยที่อยู่เต็มอกลงไปชั่วคราว ไม่อยากพัวพันกับปัญหาพวกนี้มากไปกว่านี้แล้ว จังขอให้หรงเช่อช่วยสั่งอาหารเหล่านี้ให้
เป็นครั้งแรกที่หลงซือเย่เห็นกู้ซีจิ่วอดทนกับเด็กคนหนึ่งถึงเพียงนี้ แววตาจึงพลันดำดิ่ง นิ้วมือที่อยู่ภายในแขนเสื้อกำแน่นเล็กน้อย
เขานึกว่าเมื่อเธอเห็นเขาดีต่อเย่หงเฟิงแล้วจะหึงหวงขึ้นมา กลับนึกไม่ถึงเลยว่า…
เธอสนใจเด็กคนนี้ยิ่งกว่าเขาเสียอีก! ในใจเธอไม่มีที่ให้เขาเลยสักนิดจริงๆ ใช่ไหม?!
————————————————————————————-
บทที่ 1000 หรือนี่จะเป็นจุดอ่อนของตน?
เดิมทีหลงซือเย่คล้ายจะมีเรื่องร้อนใจบางอย่าง จึงรีบรุดมา แต่หลังจากได้พบทุกคนในที่นี้ เขาก็ระงับอารมณ์ไว้อีกครั้ง ดื่มสุรากินอาหารในงานเลี้ยงอย่างไม่รีบร้อน ดูแลเย่หงเฟิง บางครั้งก็พูดคุยกับกู้ซีจิ่วและหรงเช่อบ้างสองสามประโยค
ในงานเลี้ยงเจ้าภาพและแขกก็นับได้ว่าสนิทสนมกลมกลืน
กู้ซีจิ่วรู้สึกปลงอนิจจังอยู่บ้าง เมื่อก่อนหลงซือเย่รำคาญงานสังคมแบบนี้เป็นที่สุด เขาเป็นเซียนแพทย์ ผู้ที่คิดจะเชื้อเชิญเขาไปตรวจโรคย่อมมีไม่น้อย แต่ตัวเขานั้นคิดจะออกไปตรวจก็ออกไปตรวจเลย ไม่อยากไปตรวจก็บอกปัดไปตรงๆ เสมอมา ไม่เคยรับคำเชิญมากินดื่มสังสรรค์เช่นนี้เลย และรังเกียจคำเชิญเช่นนี้มาก ถ้าตกปากรับคำว่าจะตรวจอาการให้ผู้อื่นก็จะรีบไปทันที ไม่เหมือนกับยามนี้ เรื่องกินมาก่อนคนไข้ไว้ทีหลัง…
เขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ สินะ?
เธอพลางมองเย่หงเฟิงอีกแวบหนึ่ง เธอก็เปลี่ยนไปมากเหมือนกัน…
ก็ถูกแล้วนี่ สภาพแวดล้อมที่แตกต่างทำให้คนแตกต่างไปเช่นกัน อันที่จริงเขาก็ไม่ใช่หลงซีอีกแล้วจริงๆ นั่นแหละ ต่อให้มีความทรงจำของหลงซี เธอก็หาความรู้สึกเช่นนั้นที่มีต่อหลงซีไม่พบอยู่ดี
ส่วนเย่หงเฟิงก็ไม่ใช่เย่หงเฟิงคนนั้นอีกแล้ว…
แบบนี้ก็ดีแล้ว!
เมื่อเห็นหลงซือเย่ดูแลเอาใจใส่เย่หงเฟิง ในใจเธอจะมีความรู้สึกปลาบปลื้มยินดีอย่างไม่น่าเชื่อ
บางทีเย่หงเฟิงอาจเป็นรักแท้ของหลงซือเย่กระมัง? ถ้าหลงซือเย่สามารถพบรักแท้กับผู้อื่นได้อีกครั้ง ความรู้สึกผิดในใจเธอก็จะลดลงไปบ้าง…
“ซีจิ่ว ข้าอยากกินปูเมาจานนั้น” อิงเหยียนนั่วที่อยู่ด้านข้างเขย่าแขนเสื้อเธออีกครั้ง
กู้ซีจิ่วดึงแขนเสื้อออกมาจากมือน้อยๆ ของเขา ส่งกระแสเสียงหาเขา ‘เจ้าเพลาๆ หน่อยเถอะ ตอนนี้ถึงแม้เจ้าจะอยู่ในสภาพเด็กน้อย แต่เจ้าไม่เด็กแล้วนี่? ทำตัวน่ารักฉอเลาะอยู่ได้น่าละอายนัก!’
อิงเหยียนนั่วหลุบตาลง ไม่พูดอะไรแล้ว
เมื่อกู้ซีจิ่วเห็นเขาที่อยู่ในสภาพเด็กน้อยนั่งว่าง่ายอยู่ตรงนั้น ก็ใจอ่อนอีกครา ทำได้เพียงยื่นมือไปคีบปูเมาที่อยู่ไกลออกไปจานนั้น…
ในจานเหลือปูเมาอยู่เพียงสองตัว ตะเกียบคู่หนึ่งพลันยื่นออกมาจากด้านข้าง คีบปูเมาทั้งสองตัวไปอย่างรวดเร็วยิ่ง
กู้ซีจิ่วเงยหน้าขึ้น เห็นหลงซือเย่คีบปูเมาทั้งสองตัววางไว้ในจานของเย่หงเฟิง “เจ้าชอบกินสิ่งนี้มิใช่หรือ? มอบให้เจ้าแล้วกัน”
ดวงตาเย่หงเฟิงพราวระยับ “ขอบคุณท่านอาจารย์”
ตะเกียบกู้ซีจิ่วที่ชะงักอยู่กลางอากาศ หักโค้งทันที คีบกุ้งเมาตัวหนึ่งวางลงในจานของอิงเหยียนนั่ว “มาเถอะ กินนี่สิ เสริมสร้างกระดูก เจริญเติบโต”
อิงเหยียนนั่วเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้ม มองเปลือกกุ้งตัวใหญ่ตัวนั้น “เปลือกแข็งเกินไป…”
กู้ซีจิ่วจึงแกะเปลือกกุ้งให้เขา วางเนื้อกุ้งลงบนจานเขา “แบบนี้ได้คงได้แล้วกระมัง?”
“ได้แล้ว” อิงเหยียนนั่วเผยยิ้มกว้างออกมา ก้มหน้ากินเนื้อกุ้งชิ้นนั้น
กู้ซีจิ่วถูกรอยยิ้มของเขาสั่นคลอนสติไปครู่หนึ่ง จู่ๆ พลันรู้สึกว่าดูเหมือนเธอจะไม่มีภูมิคุ้มกันต่อสิ่งของน่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ ทราบอยู่ชัดเจนว่าเจ้าเด็กที่อยู่ตรงหน้าคนนี้เจ้าเล่ห์นัก แต่ยามที่เขาเผยรอยยิ้มออกมายังคงทำให้เธออดไม่ได้ที่จะทุ่มเทจิตใจให้เขา…
หรือนี่จะเป็นจุดอ่อนของตน?
และอาจเป็นเพราะเขามีความเป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวข้องกับตี้ฝูอีกระมัง?
สายตาของเธอกวาดมองสนับข้อมือบนข้อมือเขาแวบหนึ่ง หัวใจสั่นไหวเล็กน้อย คีบกุ้งเมาอีกหลายตัวให้เขาเงียบๆ ให้เขาแกะเปลือกเอง บอกว่าเขาต้องแกะกินเองถึงจะได้อรรถรส
อิงเหยียนนั่วคล้ายจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งต่อเรื่องที่เธอพูด แต่ก็ยังลงมือแกะด้วยตัวเอง
แกะไปได้หลายตัวแล้ว เปลือกกุ้งนี้หนาแข็งแหลมคม นิ้วมือของเขาบอบบาง จึงถูกบาดมือเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ จนมีเลือดไหลออกมา
“ทำไมถึงไม่ระวังขนาดนี้?” กู้ซีจิ่วรีบคว้ามือเขามาจัดการแผลให้เขา มือน้อยๆ ทั้งสองข้างของเขาล้วนเปรอะไปด้วยน้ำแกง เธอหยิบผ้าเช็ดมือออกมาเช็ดมือให้เขา มือรูดไปโดนข้อมือเขาราวกับไม่ได้ตั้งใจ!
อย่าดูถูกการรูดครั้งนี้ของเธอ นี่เป็นทักษะพิเศษอย่างหนึ่ง ต่อให้กำไลหรือสร้อยข้อมือที่สวมจะแน่นสักไหนล้วนถูกทักษะนี้ของเธอรูดออกมาได้ทั้งสิ้น
————————————————————————————-
บทที่ 1001 เขาคือเขา! มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วนว่าคือเขา!
ต่อให้กำไลหรือสร้อยข้อมือที่สวมจะแน่นสักไหน ล้วนถูกทักษะนี้ของเธอรูดออกมาได้ทั้งสิ้น
เว้นแต่จะเป็นสิ่งที่เคยผ่านการปลุกเสกมาเป็นพิเศษ ถึงไม่มีทางรูดออกมาได้ และเป็นอย่างที่เธอคาดการณ์ไว้ เธอใช้ทักษะที่ยืดหยุ่นที่สุดก็ยังถอดสนับข้อมืออันนี้ของเขาออกมาจากเขาไม่ได้ แถมจุดที่มือสัมผัสโดนก็มีนูนมีเว้าไม่ได้ราบเรียบเหมือนที่ตาเห็น กลับเรียบลื่นเกลี้ยงเกลา ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากกำไลคู่บุพเพที่สวมอยู่บนข้อมือเธอเอง
หัวใจเธอเต้นถี่รัวขึ้นมา! ปลายนิ้วเย็นเล็กน้อย
เขาคือเขา! มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วนว่าคือเขา!
มิน่าเล่าหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมาถึงไม่มีข่าวคราวของเขาเลย ที่แท้เขาเปลี่ยนเป็นฐานะอื่นแล้วมาอยู่ข้างกายเธอ…
อิงเหยียนนั่ว อิงเหยียนนั่ว…
เวรเอ้ย ความจริงแล้วชื่อของเขามีความหมายแฝงอยู่!
เป็นเพราะตนทราบว่ามีตระกูลอิงอยู่จริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงไม่เก็บมาใส่ใจ ประกอบกับตอนที่อยู่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เขาก็ปฏิบัติต่อเธออย่างเดี๋ยวอบอุ่นเดี๋ยวเย็นชา ซ้ำแสดงอาการสองบุคลิกออกมาอีก แถมกลิ่นอายบนร่างก็มีความผันผวน ถึงทำให้เธอไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรมาโดยตลอด…
ที่แท้เขาไม่ได้ผิดนัด เพียงแต่เธอไม่ทราบเท่านั้น
จะว่าไปสรุปแล้วเขาสร้างฐานะตัวตนมากมายขนาดนี้ไปเพื่ออะไร?
เล่นสนุก? ลองใจเธอ?
หรือว่ามีเหตุสุดวิสัยอย่างอื่น?
ให้ตายเถอะ หากเขามีเหตุจำเป็นอย่างอื่นก็ควรจะอธิบายกับเธอให้กะจ่างอย่างลับๆ มิใช่หรือ? เธอไม่ใช่คนไร้เหตุผลเสียหน่อย อีกทั้งไม่ใช่ว่าจะให้ความร่วมมือกับเขาไม่ได้ด้วย…
เธอถึงขั้นเคยร่วมเล่นละครที่สมบูรณ์แบบฉากหนึ่งกับเขามาแล้วด้วยซ้ำ! เขามีอะไรที่ไม่วางใจเธอหรือ?
เมื่อความปีติยินดีในคราแรกสุดผ่านไป เธอก็โมโหขุ่นเคืองขึ้นมาอีกครั้ง
เจ้าสารเลวผู้นี้ ทำให้เธอเป็นห่วงเขาอย่างเสียเปล่ากว่าครึ่งปี!
วิชาที่คนผู้นี้ใช้น่าจะไม่ใช่วิชาแปลงโฉม แต่เป็นวิชาแปลงกาย สามารถเปลี่ยนรูปโฉมได้ดั่งใจนึก หลอกเธอจนหัวหมุน!
ทุกครั้งล้วนปรากฏตัวในรูปแบบที่เธอคาดไม่ถึงอยู่ร่ำไป ทำให้เธอเกือบสงสัยในสติปัญญาของตัวเอง
การแปลงเป็นอิงเหยียนนั่วครานี้ลงทุนนัก ความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรต้องหดเป็นหนึ่งร้อยหกสิบสองเซนติเมตรว่าน่าตะลึงแล้ว ยามนี้ยังหดเล็กลงไปอีกระดับหนึ่ง สูงไม่ถึงหนึ่งร้อยสามสิบเซนติเมตร…
เช่นนั้นที่เขาบอกว่าได้รับบาดเจ็บจนหดเล็กลงคือความจริงหรือความเท็จกัน?
ด้วยฝีมือของเขาต่อให้หล่มโคลนแห่งนั้นระเบิดรุนแรงกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ก็ทำร้ายเขาไม่ได้กระมัง?
เช่นนั้นเขาจะเปลี่ยนเป็นเด็กน้อยอีกครั้งเพื่ออะไร?
หลอกเย้าเธอเล่น? หรือว่ามีจุดประสงค์อื่น?
คนผู้นี้กระทำการซับซ้อนคาดเดายากเสมอมา ทำให้ผู้อื่นสับสนงงงวย ทว่าก็รอบคอบละเอียดลออ วิเคราะห์วางแผนได้ล้ำเลิศ ประหนึ่งจูเก๋อเลี่ยง[1]ก็มิปาน ขอเพียงกลยุทธ์ดี ผู้บัญชาการอยู่ห่างเป็นพันลี้ก็ยังมีชัย
แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยกระทำเรื่องราวไร้ประโยชน์เลยจริงๆ ในขณะที่โลกตกอยู่ในสภาวะระส่ำระส่ายเช่นนี้ เขาน่าจะไม่มีเวลามาหยอกผู้อื่นเล่นแก้เบื่อกระมัง?
เธอนึกถึงฉากยามที่เขากับเธอต้องแยกจากกันขึ้นมา หัวใจสั่นไหวอีกครั้ง ข้อวินิจฉัยอย่างหนึ่งผุดขึ้นมาในสมอง ยามนั้นพลังยุทธ์ของเขาน่าจะสูญสิ้นไปมากนัก เขาบอกว่าต้องปิดด่านกักตนหนึ่งปี หรือในช่วงเวลาหนึ่งปีนี้เขาจะประสบเหตุไม่คาดฝัน ธาตุไฟเข้าแทรกใช่ไหม? ด้วยเหตุนี้ร่างกายถึงหดเล็กลง?
ส่วนตัวเขาทั้งไม่อยากผิดนัด ทั้งไม่อาจให้โลกภายนอกทราบฐานะที่แท้จริงของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงปลอมเป็นอิงเหยียนนั่วมาอยู่ข้างกายเธอสินะ?
คงเป็นเหตุผลข้อนี้กระมัง?
แต่เมื่อก่อนตอนที่เขาปลอมป็นซือเฉินมาอยู่ข้างกายเธอ พลังวิญญาณก็ดูเหมือนจะประมาณขั้นห้าขั้นหกเช่นกัน และไม่คล้ายว่าเป็นของปลอม ผลคือเขาเพียงซ่อนเร้นพลังวิญญาณบนร่างไว้เท่านั้น!
อิงเหยียนนั่วในครานี้สรุปแล้วเป็นการซ่อนเร้นพลังวิญญาณหรือว่าสูญเสียพลังวิญญาณไปจริงๆ กันแน่?
ในขณะนี้ ข้อสงสัยแทบจะเป็นร้อยๆ ข้อวนเวียนอยู่ในสมองของกู้ซีจิ่ว เพียงแต่ไม่เสียทีที่เคยเป็นนักฆ่ามาก่อน เธอสงบใจลงอย่างรวดเร็ว ความคิดสารพัดวนเวียนอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับรักษาความสุขุมไว้ตลอดเวลา เขาอยากเล่นละครงั้นหรือ? เช่นนั้นเธอจะเล่นเป็นเพื่อนเขาเอง!
————————————————————————————-
บทที่ 1002 เป็นกู้ซีจิ่วที่เขารู้จักผู้นั้นหรือ?
เมื่อเช็ดมือให้เขาสะอาดแล้ว พลันเงยหน้าขึ้น ยื่นมือไปลูบหัว
สัมผัสถึงความสำเร็จได้เมื่อศีรษะที่อยู่ใต้ฝ่ามือคล้ายจะแข็งทื่อไปแวบหนึ่ง ตี้ฝูอีน่าจะไม่เคยถูกผู้อื่นสัมผัสอย่างรักใคร่เอ็นดูเช่นนี้มาก่อน…
มุมปากของกู้ซีจิ่วหยักขึ้นนิดๆ อย่างอดไว้ไม่อยู่ จิตใจข่มกลั้นความสุขเอาไว้ไม่ได้
“อื้อ ข้าเป็นเด็กดี” ตี้ฝูอีเอียงศีรษะถูไถบ่าเธออย่างว่าง่าย ไม่ได้นึกถึงว่าตัวเขาเตี้ยทว่าเก้าอี้สูง เมื่อเอียงร่างเช่นนี้เก้าอี้ก็ทรงตัวไม่อยู่ ล้มลงทันที ส่วนศีรษะเขาก็ซุกเข้าไปในอ้อมแขนเธอพอดิบพอดี หน้าผากเกยอบู่บนอก…
กู้ซีจิ่วตัวแข็งทื่อทันที ก่อนลากเขาออกมา “เจ้า…”
ตี้ฝูอีมองเธอด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “เก้าอี้มันลื่นน่ะ…”
การล้มเมื่อครู่ของเขาชนเข้ากับโต๊ะอย่างมิอาจเลี่ยงได้ ถ้วยโถโอชามบนโต๊ะสั่นสะเทือนจนเกิดเสียงดังกราว น้ำแกงในอาหารมากมายหกออกมา ไหลนองไปครึ่งโต๊ะ
เห็นได้ชัดยิ่งนัก อาหารโต๊ะนี้ส่วนใหญ่ไม่อาจกินได้แล้ว
หรงเช่อพูดไม่ออก
สีหน้าหลงซือเย่ก็ไม่ค่อยดีเช่นกัน เขาลุกขึ้นอย่างสง่างาม เอ่ยเสียงเรียบว่า “ไปพบผู้ป่วยก่อนเถิด!” เขาก็ไม่มีแก่ใจจะกินอาหารมื้อนี้ต่อแล้วเหมือนกัน
….
ภายในโรงหมอ หรงเจียหลัวถูกมัดไว้บนเตียงเหมือนบ๊ะจ่าง บนร่างคือสายโซ่ที่หนาเท่าหัวแม่มือ โซ่เส้นนี้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ ปลุกเสกพลังวิเศษลงไป ยิ่งดิ้นรนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นเท่านั้น
ทว่าเขากลับดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย เสียงโซ่ดังแกรกกรากทำให้หัวใจคนหวาดหวั่น
และที่ข้างเตียง จิ้งจอกดำกำลังเดินวนไปวนมาปานบดโม่ เขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ของหรงเจียหลัว ยามนี้ผู้เป็นนายกลายเป็นเช่นนี้เขาหัวใจเขาร้อนรนปานโดนไฟเผา ทว่าไม่มีหนทางสักนิดเลย
ทำได้เพียงปลอบประโลมอย่างไร้ประโยชน์ “องค์รัชทายาท พระองค์อดทนไว้สักครู่นะพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายแปดไปเชิญเจ้าสำนักหลงแล้ว เขาจะต้องมีหนทางรักษาโรคประหลาดของพระองค์ได้แน่นอน พระองค์ทนหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ”
แต่คนที่อยู่บนเตียงฟังไม่เข้าใจเลย มีเสียงร้องฮื่อแฮ่ดังออกมาจากปาก เล็บมือแหลมคมดุจใบมีดที่ถูกมัดแนบกายไว้ยืดๆ หดๆ อยู่ตรงนั้น
ในที่สุดด้านนอกก็มีเสียงเคลื่อนไหวแล้ว
“เจ้าสำนักหลง พี่ชายของข้าอยู่ที่นี่…” เป็นเสียงขององค์ชายหรงเช่อ ในที่สุดเขาก็เชิญเจ้าสำนักหลงมาได้แล้ว!
จิ้งจอกดำเปิดประตูแล้วแทบจะโผออกไปเลย ยังไม่ทันเห็นตัวคนชัดเจน ก็ลงไปคุกเข่าให้หลงซือเย่ที่เพิ่งเข้าประตูมาแล้ว “เจ้าสำนักหลง ขอท่านโปรดช่วยเหลือองค์รัชทายาทของพวกเราด้วยเถิด!”
หลงซือเย่โบกมือให้เขาลุกขึ้น “ข้าจะเข้าไปดูอาการก่อน ซีจิ่ว เจ้าก็มาด้วยสิ”
จิ้งจอกดำถึงได้พบว่านอกจากหรงเช่อกับหลงซือเย่แล้ว ยังมีคนอีกสามคนอยู่ด้วย เป็นโฉมงามสองนางกับเด็กน้อยอีกหนึ่งคน
ซีจิ่ว?
เป็นกู้ซีจิ่วที่เขารู้จักผู้นั้นหรือ?
กู้ซีจิ่วที่องค์รัชทายาทคะนึงถึงอยู่ไม่สร่างซาใช่ไหม?
กู้ซีจิ่วที่เคยรักษาโรคแอบแฝงขององค์รัชทายาทให้หายดีใช่หรือเปล่า?
จิ้งจอกดำอดไม่ได้ที่มองโฉมงามทั้งสองให้มากขึ้นอีกแวบหนึ่ง เขาโง่งมไปเสียแล้ว!
กู้ซีจิ่วในความทรงจำของเขาเป็นสาวน้อยผอมแห้งใบหน้ามีปานแดง แต่สองนางที่อยู่เบื้องหน้านี้กลับเป็นโฉมงามผู้เลิศล้ำทั้งคู่ แถมรูปโฉมยังมีความคล้ายคลึงกันถึงแปดเก้าส่วนอีก ใบบรรดาพวกนางผู้ใดเล่าที่เป็นกู้ซีจิ่ว?
กู้ซีจิ่วตบไหล่เขาคราหนึ่ง “จิ้งจอกดำ เจ้าผอมลงมากนะ!” แล้วเข้าห้องไปทันที
จิ้งจอกดำน้ำตาคลอในทันใด แม่นางกู้ยังจดจำเขาได้!
แต่เมื่อสังเหตเห็นว่ามือของกู้ซีจิ่วจูงเด็กมาด้วย ก็ตกตะลึงทันที!
มิใช่กระมัง? ลูกของนางโตขนาดนี้แล้วหรือ?
แต่แล้วก็นึกอยากตบตัวเองสักฉาด เด็กคนนี้ดูเหมือนจะแปดเก้าขวบแล้ว ส่วนกู้ซีจิ่วจะนับรวมอย่างไรก็เพิ่งย่างสิบเจ็ดปีเท่านั้น ไหนเลยจะมีลูกโตขนาดนี้ได้? สมองตนเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ…
ผ่านไปสองปี ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้พบหน้าหรงเจียหลัวอีกครั้ง ทว่าเกือบจะจำเขาไม่ได้แล้ว!
————————————————————————————-
[1] จูเก๋อเลี่ยง หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม ขงเบ้ง ตัวละครในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊กที่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์ยุคสามก๊ก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น