องครักษ์เสื้อแพร 997-999
ตอนที่ 997 ผลักดันเข้าไป
โดย
Ink Stone_Fantasy
สนามรบบนเขาสองปีกข้างล้วนราวกับใบไม้ร่วง พื้นหิมะยังสะท้อนแสง ทหารเผ่าหนี่ว์เจินตะวันออกไม่อาจปิดบังร่องรอย สามารถเห็นได้ชัดเจน
ไม่เพียงแต่ตรงหน้ามีศัตรู สองปีกข้างยังถูกโจมตี ทหารที่เฝ้าดูสนามรบนำสถานการณ์ตอนนี้มารายงานหวังทง หวังทงไม่สนใจอันใด เอาแต่มองไปด้านหน้า
พลปืนไฟแทรกตัวไปอยู่แนวหลังพลทวนยาว ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินขึ้นมาผลักดันแถวด้านหน้า แม้คนด้านหน้าคิดลังเลหวาดกลัว แต่คนด้านหลังยังคงผลักดันให้ขึ้นหน้า ในสภาพพื้นที่แคบๆ นี้ สองข้างทางเป็นป่าเขา คิดจะหนีก็ไม่อาจทำได้
กองกำลังหู่เวยหน่วยหนึ่งกับหน่วยสอง ทหารเก่ามากที่สุด การต่อสู้และความกล้าก็เป็นที่ประจักษ์ มีธรรมเนียมหนึ่งที่เป็นอันรู้กัน หน่วยหนึ่งกับหน่วยสองไปประจำหน่วยอื่นอย่างน้อยก็ต้องได้ตำแหน่งนายกองธงเล็ก ไปหน่วยฝึกท้องถิ่นและเมืองกุยฮว่าเฉิง ก็ต้องได้เป็นระดับหัวหน้า เช่น หัวหน้าแถว เป็นต้น
ด้านหน้าเป็นทัพม้าเผ่าหนี่ว์เจินที่ดูเกรี้ยวกราด ทหารราบกองกำลังหู่เวยหน่วยหนึ่งหน่วยสองยังคงไม่เกรงกลัว ทวนยาวในมือไม่แม้แต่จะสั่น ยังคงชี้ไปด้านหน้าได้อย่างมั่นคง
ชาวเผ่าหนี่ว์เจินแม้ตะบึงมาบนหลังม้า แต่ตามธรรมเนียมก็ย่อมมีคนน้าวธนูบนหลังม้า ทหารราบทวนยาวอีกฝ่ายตั้งค่ายศึกแนวรับเรียกได้ว่าเรียงตัวกันหนาแน่น ยิงไปดอกหนึ่ง ก็ย่อมต้องยิงโดน
แต่พลทวนยาวสองแถว ระหว่างแถวยังมีพลปืนไฟยิงไม่หยุด พวกเขาบรรจุกระสุนได้รวดเร็ว ยิงแล้วยิงอีก
แม้จำนวนการยิงไม่ได้หนาแน่นเช่นเมื่อครู่ให้น่าหวาดกลัว แต่ก็ยังคงมีกระสุนยิงมาประปราย ทหารม้าบนหลังม้าล้วนไม่อาจยิงธนูตนได้อย่างไร้ข้อผิดพลาด พยายามหมอบตัวลง จะได้เข้าประชิดอีกฝ่ายได้เร็วที่สุด
ระยะห่างไม่ถึงห้าสิบก้าว ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินที่กวัดแกว่งอาวุธตะลุยเข้ามาอย่างบ้าคลั่งก็ยิ่งรู้สึกกลัว ตอนนี้เห็นหน้าตาทหารด้านหน้าชัดแล้ว ถึงกับเห็นริ้วรอยบนสีหน้าทหารด้านหน้าได้ชัด ตอนนี้อีกฝ่ายไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ไม่สั่นไหว แสงตะวันสะท้อนกระทบพื้นหิมะสาดใส่ทวนยาวและเกราะแผ่นหนาของอีกฝ่ายส่องประกายวาว อยู่ๆ ก็สะท้อนเข้าตาทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจิน
ระยะไม่ถึงสามสิบก้าว รู้สึกได้ว่าปืนไฟอีกฝ่ายยิงออกมาหนาแน่นมากยิ่งกว่าเดิม พลปืนไฟถึงกับใจกล้าเดินออกมานอกแถวทวนยาวยิงใส่ แถวหนึ่งยิง แถวสองตามมายิงต่อ ยิงได้ก็ยิง ระยะห่างเช่นนี้ ไม่ยิงโดนม้าก็โดนคน
ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินที่ตะโกนบ้าคลั่งมักจะถูกยิงหน้าหงาย ร่วงจากหลังม้าทันที มีคนตัวอ่อนยวบสิ้นใจบนหลังม้า ไม่ขยับ
แต่ทัพพวกนอกด่านก็ยิ่งฮึกเหิม เพราะเห็นว่าระยะเริ่มใกล้ปะทะแล้ว พวกเขาเชื่อว่า ไม่ว่าทหารราบเช่นไรก็ไม่อาจรักษาท่าทีสงบนิ่งต่อหน้ากำลังที่เข้าปะทะเช่นนี้ได้
20 ก้าว …10 ก้าว… เบื้องหน้ากำลังจะปะทะแล้ว ทวนยาวยังคงนิ่ง สีหน้าทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินที่ปะทะอยู่ด้านหน้าสุดเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัว กลายเป็นลนลาน ไม่เกิดเหตุการณ์ทหารราบหนีกระเจิงตามที่คิด พวกเขาเองกลับต้องกระชากม้าหยุดเปลี่ยนทิศตามสัญชาตญาณ แต่การบุกเข้ามาเช่นนี้ จะมีที่ใดให้หลบได้อีก
ม้าของทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินเป็นสัตว์มีชีวิต ไม่ว่าจะสอนให้เชื่องอย่างไร ในเวลาสำคัญก็ย่อมแสดงสัญชาตญาณ แน่นอนม้าไม่อยากวิ่งเข้าปะทะท่อนเหล็กแหลมที่ทิ่มแทงออกมาด้านหน้า มีบางตัวกระโจนตัวยกนายบนหลังมันขึ้น บางตัวเริ่มกระโดดไปมา ม้ากระโจนตัวสูงเช่นนี้ในเวลากะทันหัน จุดจบมีสถานเดียว ก็คือล้มกลิ้งไปกับพื้น สะบัดทหารม้าบนหลังร่วง ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินบางนายตะโกนคำสั่งแทงกำราบที่ท้องม้า เพื่อให้ม้าเจ็บและกระโจนไปด้านหน้า
“สังหาร สังหาร!!”
กองกำลังหู่เวยหน่วยหนึ่งและหน่วยสองตะโกนคำรามดัง ศัตรูบ้างก็ล้มกลิ้งตรงหน้าพวกเขา บ้างก็กลิ้งหลบด้านข้าง บางก็พุ่งเข้าใส่
ทหารม้าหนึ่งพุ่งลอดช่องว่าง เขาและม้าก็จะถูกพลทวนยาวสี่ห้านายแทงทันที ทวนยาวในมือพลทวนยาวไม่อาจทานกำลังแรงเช่นนี้ งอสุดด้ามทวนก่อนจะหัก พลทวนยาวไม่อาจต้านแรงปะทะเช่นนี้ ก็ย่อมต้องล้มนั่งลงแปะ สองแขนเจ็บปวดมาก แต่พวกเขายังคงคว้าทวนยาวไว้แน่น สำหรับที่หักไป เพื่อนทหารด้านหลังเสริมอันใหม่ให้ทันที ตั้งแถวรับศึกต่อไป
ทหารม้าแถวหน้าล้มตายไป ม้ากระโดดกระโจนไปทั่ว กลายเป็นสิ่งกีดขวางทหารด้านหลังที่ตามมา ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินก็ยังคงบุกเข้ามาไม่หยุด ทำให้แนวค่ายทวนยาวแน่นหนาเริ่มมีช่องว่าง ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินแม้ไม่ได้วิ่งมาด้วยความเร็ว ก็ยังสามารถมีช่องทางบุกเข้ามาสังหารได้
มีคนยกธนูเล็งบนหลังม้า มีคนคว้าดาบยาวบนหลังม้าออกมา แถวพลทวนยาวเริ่มมีบาดเจ็บล้มตาย แต่ทหารเผ่าหนี่ว์เจินพวกนี้มักจะสังหารได้แค่ครั้งสองครั้ง ก็ถูกทวนยาวแทงร่วง หัวหน้าทหารแต่ละกองจะรีบเร่งมารับมือ ทวนขวานในมือพวกเขาล้วนแทงสังหารได้ ฟันสังหารก็ได้ ยังสามารถเกี่ยวทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินร่วงลงมาก็ได้ด้วย
ไม่นาน ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินที่บุกเข้ามาก็เริ่มถูกกวาด ค่ายรับทวนยาวเริ่มกลับคืนสภาพเดิม ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินไม่ได้เร่งความเร็วเข้ามาอีก ล้วนถูกแทงกองตรงหน้าค่ายทวนยาว พวกเขาตอนนี้มีสถานะทหารราบประสิทธิภาพสูง แม้การเคลื่อนไหวไม่ได้เปรียบทหารราบทั่วไป แต่อาวุธยาวเรียกได้ว่าห่างชั้นกันมาก
พลทวนยาวกองกำลังหู่เวยสามารถแทงทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินร่วงอย่างง่ายดาย ปกติทหารม้านอกจากธนูแล้ว ก็ได้แต่อาศัยปาอาวุธในมือออกไปจึงทำร้ายอีกฝ่ายได้
แม้เป็นธนู แต่พลทวนยาวชุดเกราะเต็มยศ ธนูสร้างแรงสังหารได้จำกัดมาก แต่เกราะนวมผ้าบนตัวทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินไม่อาจต้านแรงทวนยาวที่แทงออกไปได้ ยังมีแรงสังหารจากทวนขวานอีก
พลปืนไฟประจันตรงหน้าเป็นเหมือนปากแตร พลปืนไฟยิงออกไปไม่หยุด ทำให้ทหารม้าศัตรูไม่อาจบุกเข้ามาได้ ทหารม้าไม่อาจบุกเข้ามาได้ พลปืนไฟยิงตลอดเวลาทำให้พื้นที่ตรงหน้าเปิดกว้างตลอดเวลา
ความจริงนั้น ตอนนี้ทั้งสองปีกกองกำลังหู่เวยล้วนกำลังยิง พลปืนไฟยิงลงไปตามแนวลาดสันเขาไม่หยุด ขุนพลทหารออกคำสั่งให้พลทวนยาวแบ่งกลุ่มเล็ก พลปืนไฟผสมพลทวนยาว และหัวหน้าถือทวนขวานเป็นกลุ่มเล็ก เริ่มออกไล่ล่าศัตรูในป่า
ทหารเผ่าหนี่ว์เจินเริ่มหมดกำลังใจสู้ พวกที่ลอบมาตามแนวเขาเพื่อก่อกวนกองกำลังหมิงสองปีกข้าง พวกเขาคิดจะรบแพ้ชนะก็ต้องเข้าปะทะทหารราบหมิงต่อหน้าบนสนามรบ แต่ทหารม้าบุกถึงหน้ายังถูกทหารราบอีกฝ่ายต้านอยู่ ทัพใหญ่ฝ่ายตรงข้ามนิ่งราวกับผาไท่ซาน การโจมตีของพวกเขาแน่นอนไร้ประโยชน์
กองกำลังหมิงที่รวมกลุ่มตอบโต้ก็มีกำลังมาก พลปืนไฟกับพลทวนยาวกับหัวหน้าทหารรวมตัวเป็นกลุ่มย่อยนี้ สามารถไล่ล่าได้ไกล สู้ประชิดก็ได้ ยังแบ่งงานกันดี ในป่าไม่อาจใช้อาวุธยาวสะดวก พวกเขาก็ชักดาบติดตัวออกมาสังหารได้คล่องแคล่ว ประสานกันและกันได้อย่างดี กลุ่มย่อยมีคนแค่สิบกว่าคน แต่ทหารเผ่าหนี่ว์เจินทหารต้องใช้คนหลายเท่ารับมือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาวุธกับชุดเกราะที่แตกต่างกัน ฟันโดนศัตรูไม่ทำให้ศัตรูบาดเจ็บ หากตนถูกฟันทีเดียวก็เจ็บหนักล้มตาย ผู้ใดจะมีกำลังใจคิดสู้ต่อ
ทหารติดตามหวังทงร้อยกว่าถือทวนขวานยืนข้างหวังทง มีคนหยิบปืนไฟยิงไม่หยุด พวกเขารวมตัวกับทหารราบและพลปืนไฟปีกขวาสุด
ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินเห็นธงแม่ทัพอยู่ทางนี้ ก็คิดจะทุ่มเทกำลังมาทางนี้ แต่พื้นที่ลุ่มแม่น้ำที่จำกัด คิดจะทุ่มกำลังก็ไม่ง่ายนัก แรงสังหารปืนไฟก็ยังหนาแน่นไม่หยุด เบื้องหน้าแม่ทัพใหญ่ เห็นได้ว่าพลปืนไฟยิ่งกำลังแรง ประสิทธิภาพการยิงก็ยิ่งสูงขึ้น
กระสุนตะกั่วยิงออกมาราวห่าฝน เริ่มแรกที่เข้าปะทะ ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินถึงกับล้วนคิดหลบ ไม่มาทางนี้
หวังทงบนหลังมามองสนามรบ เขาสามารถมองเห็นทัพใหญ่ศัตรูที่เร่งระดมขึ้นหน้าไม่หยุด แต่ทหารม้าหน้าแถวพลทวนยาวกลับถอยไม่หยุดเช่นกัน ตอนนี้พลทวนยาวสองหน่วยกองกำลังหู่เวยตั้งขยายวงสังหารจึงจะเข้าใกล้อีกฝ่ายได้ แรงสังหารตอนนี้อาศัยปืนเท่านั้น
“เป่าสัญญาณ!! บุกเข้าฐานศัตรู หน่วยหนึ่ง หน่วยสองบุกขึ้นหน้า!”
หวังทงออกคำสั่ง คนเป่าสัญญาณยกแตรทองแดงเริ่มเป่าสัญญาณกองทัพ เสียงแตรดังกลบเสียงบนสนามรบ เสียงกลองที่เงียบไปนานก็เริ่มดังขึ้นพร้อมกัน หัวหน้าทหารล้วนถอยกลับ พลปืนไฟยิ่งยิงกระหน่ำ ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินได้แต่ถอยหลังแตกตื่น
ระยะห่างกันเริ่มมากขึ้น หัวหน้าทหารจัดแถวพลทวนยาว เสียงกลองเปลี่ยนไป ทัพใหญ่เริ่มบุกขึ้นหน้า
กองกำลังหมิงไม่ตั้งรับแล้วแต่บุกขึ้นหน้า ทวนยาวเดินขึ้นหน้าไล่บี้ไปเรื่อยๆ ไม่รู้ต้านทานอย่างไร ทุกครั้งที่ทหารม้าศัตรูเผชิญกับทวนยาวมมากมาย ต้านไว้ได้หนึ่ง ก็จะถูกด้ามอื่นแทงตาย
เข้าปะทะต่อสู้ ล้วนทำลายขวัญกำลังใจพวกเขาหมดสิ้น ทหารที่องอาจกล้าหาญที่สุดล้วนตายในยามปะทะต่อสู้ มองเห็นทวนเหล็กแหลมที่มุ่งมาเป็นแพตรงหน้า ก็เริ่มมีคนหันหัวม้ากลับหลัง มีคนถูกคนด้านหลังสังหารทิ้ง มีคนด้านหลังวิ่งหนีไปด้วยกัน หากเพื่อนทหารคิดลงโทษวินัยพวกเขา ก็ย่อมต้องปะทะกันสักตั้ง
ทัพทหารม้าแตกกระเจิงไม่หยุด เริ่มเบียดเสียดหนีอลหม่าน ทัพใหญ่เผ่าหนี่ว์เจินหยุดบุกขึ้นหน้าแล้ว ด้านหน้าคิดถอย ด้านหลังไม่ขึ้นหน้าต่อ กลายเป็นความอลหม่านไปหมด ทัพเผ่าหนี่ว์เจินหยุดนิ่ง
เส้นทางแคบปะทะกัน สองฝ่ายสู้ตาย หนึ่งรุก อีกหนึ่งย่อมถอย หากฝ่ายหนึ่งหยุด ก็เท่ากับตายสถานเดียว พลทวนยาวกองกำลังหู่เวยรักษาความเร็วเดินหน้าไม่เร็วมากนัก แต่แม้เป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ยังสามารถไล่ถึงศัตรู สังหารแทงตายได้
พลปืนไฟก็เช่นกัน ในการต่อสู้พวกเขาแต่ละคนยิงไปแค่สองสามที ตอนนี้พวกเขายิงได้ตามใจ แต่สามแถวว่างที่พลทวนยาวสองแถวเหลือที่ว่างไว้ให้ ทำให้คนหาโอกาสออกไปยิงด้านหน้าได้จำกัด เพื่อให้ผลัดยิงได้เร็ว ไม่กระทบแถว ทหารพอยิงเสร็จก็ไม่หันกลับ หากย่อตัววิ่งเหยาะๆ ออกข้างทางกลับไปบรรจุกระสุนด้านหลัง จากนั้นก็กลับมายิงอีกรอบ
“ท่านแม่ทัพ ด้านหน้าเอาไม่อยู่แล้ว พวกเรารีบถอยเถอะ!”
ทหารคนสนิทของซูเอ่อร์ฮาฉีกล่าวอย่างเร่งร้อนใจ ซูเอ่อร์ฮาฉีอยู่กลางขบวนทัพม้าด้านหลังสุด เขากระชับเชือกในมือแน่นเริ่มสั่นเล็กน้อย สมองเริ่มมึนงง ขบวนทัพม้าบุกถึงหน้า ทำไมพ่ายศึกได้อีก
ตอนที่ 998 หู่เวย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปืนไฟกองกำลังหมิง ซูเอ่อร์ฮาฉีก็เคยเห็น ตอนรบป้อมเจี้ยฝานไจ้เขาก็บุกแถวหน้าสุดทะลายแนวหน้าป้องกันของกองกำลังหมิง ปืนสามตา[1]หรือปืนฟ้าผ่า[2] ของทหารเหลียวโจวพวกนั้นก็เห็นมา แต่ทว่าก็ยิงแค่เศษเหล็กออกมา เกราะนวมหลายชั้นสามารถเอาอยู่ พอเข้าประชิดด้านหน้า ทหารอีกฝ่ายก็มือสั่น ไม่อาจเล็งแม่นอันใด
เหตุใดปืนไฟกองกำลังหมิงนี้จึงได้ร้ายกาจเพียงนี้ เมื่อครู่ซูเอ่อร์ฮาฉียืนบนอานม้ามองดูครู่หนึ่ง เห็นล้มระเนระนาดเป็นแถบ ต้านทานไม่อยู่ ที่ร้ายกาจสุดของกองกำลังหมิงนี้คือปืนใหญ่ไม่ใช่หรือ? เหตุใดทหารทวนยาวจึงราวกับมารร้ายเช่นนี้ได้ด้วย ซูเอ่อร์ฮาฉีเองคาดเดาว่า หากตนเองนำทหารม้าตนบุกไปถึงตรงหน้าใช่ว่ามีประโยชน์ เหตุใดอีกฝ่ายจึงไม่ถอยแม้ก้าวเดียว ถึงกับยังบุกหน้าสังหารต่ออีก
ทหารไป่หยาหล่า[3] ข้างๆ ซูเอ่อร์ฮาฉีตวัดอาวุธสังหาร ขับไล่ทหารม้าที่บุกเข้ามาให้ถอยออกห่าง บนสนามรบเช่นนี้ ไม่มีเวลาให้คนได้อึ้งนานนัก
“ท่านแม่ทัพ หนีเถอะ!”
“หนีอะไรกัน ตอนนี้สุนัขหมิงกำลังแตกแถว ให้ทหารราบเราเข้ายันไว้ ข้าจะลงจากม้าไปนำทัพพวกเจ้าเอง…”
ซูเอ่อร์ฮาฉีได้สติหลังอึ้งไป คำรามสบถขึ้น ทหารไป่หยาหล่าเท่ากับทหารติดตามข้างกาย สถานการณ์ตอนนี้ไม่อาจสนใจอันใดนายบ่าวได้อีก กล่าวอย่างตัดสินใจว่า
“ทหารม้าใกล้จะแตกพ่ายแล้ว รอพวกเขาพ่าย พื้นที่แคบเช่นนี้ ทหารราบเราก็เอาไม่อยู่ ท่านแม่ทัพ หนีเถอะ หนีตอนนี้ ยังพาคนกลับไปได้”
ซูเอ่อร์ฮาฉียกแส้ในมือคิดสะบัดแส้ในมือใส่ ได้ยินวาจานี้ก็วางลง หน้าตาเคร่งเครียดกล่าวว่า
“กลับไปเช่นนี้ พี่ชายข้า…ข่านปรีชาย่อมไม่ยอมปล่อย…”
“มีทหารเราปกป้อง ข่านปรีชาไม่อาจทำอะไรได้ แต่หากทหารสิ้นที่นี่ทั้งกอง เช่นนั้นแม่ทัพก็คง…”
ทหารติดตามซูเอ่อร์ฮาฉีกล่าวได้ตรงไปตรงมา ซูเอ่อร์ฮาฉีอยู่ๆ คิดได้ เข้าใจได้ทันที มองสถานการณ์รบตรงหน้าอย่างโกรธแค้น กระตุกม้าหันหลังกล่าวว่า
“ไปกันก่อน!!”
พอเขาหันหลังควบออกไป ทหารติดตามก็ตามไปทันที คุ้มกันเขาไปด้วยกัน ทหารราบด้านหลังยังกองขวางอยู่ เห็นแม่ทัพตนนำทัพม้าฝ่าออกไป แม้ว่าไม่เข้าใจว่าเหตุใด แต่ก็ย่อมหลีกทางให้ในทันที เปิดทางเป็นแนว ทางที่เปิดกว้างออกเรื่อยๆ ไม่อาจกระชับกลับเข้าได้อีก
แม่ทัพหนี ด้านหน้าก็มีทหารม้าถูกสังหารไม่หยุด ทหารม้าก็ตามหนีไปด้วย พวกเขาอย่างไรก็หนีเร็ว ทหารม้าบุกฝ่าทหารราบ และยังเป็นทหารราบตนเอง แน่นอนง่ายดายมาก หากมีผู้ใดไม่รู้จักดูมาขวางทาง ก็ฟันทิ้งในดาบเดียว
ไม่นานนัก ทหารม้าที่หันหัวม้าหนีได้ก็หนีกลับกันหมด เหยียบย่ำทหารราบด้านหลังเละเทะ พวกเขาตะลุยฝ่าออกไป พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ กำลังหลักและแม่ทัพฝั่งตนหนีกระเจิง ทหารราบไหนเลยจะยอมสู้ตาย พากันแตกฮือทันที มีคนหันหลัง มีคนวิ่งลงไปตามแนวสันเขาสองข้างทาง
“มารดามันสิ ไหนว่าเผ่าหนี่ว์เจินกล้าหาญสู้ไม่ถอย?”
หวังทงบนหลังม้าสบถด่าดังไม่พอใจ ทหารในสังกัดข้างๆ ได้ยินก็พากันงง แม้แต่ทหารเมืองเหลียวโจวก็ไม่เคยกล่าวเช่นนี้
“หัวหน้าทหารขี่ม้าไล่ล่า สองข้างรักษาความสงบ พลปืนไฟรอให้ขบวนทัพม้าผ่านไปค่อยขึ้นไปเรียงแถวด้านหน้า จากนั้นก็วิ่งเหยาะขึ้นหน้าไล่ล่าสังหาร!!”
หวังทงออกคำสั่งเป็นชุด พลปืนไฟหน้าแถวพลทวนยาวรีบกระจายตัวออก ทหารม้าขี่ม้ากับทหารติดตามหวังทงเริ่มไปรวมตัวหน้ากองทหารราบ เสียงปืนไฟดังเป็นสัญญาณ ทุกคนล้วนทะยานม้าออกไล่ล่า
ทหารม้าเริ่มไล่ล่า พลปืนไฟเริ่มกลับสู่ประสิทธิภาพเดิมก่อนเริ่มรบ เสียงเป่าสัญญาณยังเร่งเร้า พลทวนยาวหยุดนิ่ง พลปืนไฟไปยืนเรียงหน้าแถวตามจังหวะกลองที่ตีกระชั้น จัดเตรียมชนวนกระสุนไฟ จากนั้นหัวหน้าทหารก็นำวิ่งเข้าไป พลทวนยาวด้านหลังก็เริ่มวิ่งเหยาะตามไป
เสียงเคลื่อนไหวในป่าสองข้างเริ่มเงียบลง เห็นทัพตนแตกกระเจิงเช่นนี้ พวกเขาไหนเลยกล้าอยู่ต่อ ล้วนหันหลังหนี ตอนนี้หากอยู่บนท้องฟ้ามองดูสนามรบก็จะเห็นได้ว่า กองกำลังหู่เวยยังคงรักษาระดับการเดินทัพขึ้นหน้าดังเดิม ด้านหน้ากับซ้ายขวาพวกเขา ล้วนเต็มไปด้วยกลุ่มคนที่พากันหนี
เห็นกองกำลังหู่เวยใช้รูปแบบไล่ล่าเช่นนี้ พวกทหารราบเผ่าหนี่ว์เจินที่ยังคงมีวินัยทหารอยู่ก็ย่อมต้องแตกกระเจิง กองกำลังหมิงไล่บี้มา ถึงกับยังเป็นรูปทัพไม่กระจัดกระจาย ช่างน่ากลัวยิ่ง
แม่ทัพอันดับหนึ่งแผ่นดินหมิงชีจี้กวงเคยว่าไว้ในตำรารบว่า ทหารต้องรักษาแถวทัพให้ดีบนสนามรบ แต่ก็ได้บอกไว้เช่นกันว่า ยามเดินทัพ ทุกสิบก้าวต้องหยุด จัดแถวสักหน่อย ทัพแม่ทัพชีถือเป็นทหารแกร่งกล้าใต้หล้า แต่ตอนนี้ทหารกองนี้มันอะไรกัน?
ทหารเผ่าหนี่ว์เจินไม่เคยได้อ่าน จี้เสี้ยวซินซู กับ เลี่ยนปิงสือจี้ ตำราพิชัยสงครามสองเล่มของชีจี้กวง แต่พวกเขาก็เข้าใจได้ดีกว่าสภาพการเดินทัพเช่นนี้หมายถึงสิ่งใด
แม่ทัพกับทหารม้าแตกกระเจิงทำให้ทหารราบถูกชนระเนระนาด เห็นกองกำลังหู่เวยบุกเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้พวกเขาขวัญกระเจิง ตอนนี้ทุกคนหันหลัง ด้านหน้าเป็นเพื่อนทหารด้วยกัน สังหารทิ้งล้วนไม่ทัน เช่นนั้นก็หันขึ้นเขาแทน คนพากันแตกฮือกระจัดกระจาย
ทหารราบไล่บี้มาช้าอยู่สักหน่อย แต่กองกำลังหู่เวยทหารม้าหลายร้อยกลับไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว ปะทะกับฝูงทหาร สังหารทิ้งระลอกใหญ่
สถานการณ์ตอนนี้ ไม่จำเป็นให้เจ้าต้องชำนาญขี้ม้าอันใดมาก ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าชำนาญการรบอันใดมาก ที่เจ้าต้องทำก็คือขอเพียงยกอาวุธบนหลังม้าขึ้น จากนั้นมองแผ่นหลังและลำคออีกฝ่าย ไม่มีชาวเผ่าหนี่ว์เจินถืออาวุธหันใส่เจ้า แต่ละคนล้วนหนีกระเจิง เจ้าแค่ฟันสังหารเท่านั้น
อวี๋เฟิงแม้ว่าอยู่บนหลังม้าในที่สูง แต่ใบหน้าล้วนเปื้อนไปด้วยเลือด ตั้งแต่เขาถูกไล่ล่าสังหารบนเขามา อวี๋เฟิงก็เริ่มหวาดกลัวและกังวลในใจลึก ๆ จึงได้ทำให้เร่งฝึกซ้อมตนเองสุดชีวิต พอออกสนามรบจึงองอาจกล้าหาญมาก เขาทำเช่นนี้ก็เพราะรู้สึกว่าชาวเผ่าหนี่ว์เจินแข็งแกร่ง ในป่านั้นพวกตนมีถึงแปดคน เห็นๆ ว่ามากกว่า อาวุธก็ได้เปรียบกว่า แต่กลับถูกอีกฝ่ายล่าสังหารได้
เดิมตอนอยู่เมืองเหลียวโจว พวกทหารติดตามขุนพลทหารในเมืองเหลียวโจวคิดว่าตนเองเก่งกล้าสามารถแล้ว แต่พวกชายเผ่าหนี่ว์เจินเหล่านี้กลับทำให้รู้สึกกลัวมาก อวี๋เฟิงพยายามฝีกซ้อมอย่างสุดชีวิต ก็เพราะกลัวว่าวันหนึ่งออกสนามรบเผชิญทัพใหญ่ศัตรู ตนเองจะได้ป้องกันตนเองได้ อย่างน้อยก็สังหารให้คุ้มทุน
เขาฟันคนแรกล้มลงได้ ได้ยินเสียงร้องไห้และคำรามของทหารเผ่าหนี่ว์เจินทหาร ความกังวลและหวาดกลัวในใจล้วนมลายหายไปสิ้น อวี๋เฟิงสังหารไม่หยุด ในใจที่เก็บกดก็เริ่มปลดปล่อย ปลดปล่อยก็เริ่มเป็นสะใจ
ทหารม้าเข้าปะทะทำให้ทหารราบเผ่าหนี่ว์เจินแตกกระจัดกระจายได้มากก็เพราะเพื่อที่จะทุ่มกำลังทหารกล้าประลองกันในที่แคบ ซูเอ่อร์ฮาฉีทุ่มกำลังลงไปมากเพียงพอ หลังทหารม้าส่วนใหญ่มีทหารราบมากพอตั้งแถวอยู่ เรียงเป็นรูปแถวตอนยาว แต่ตอนนี้สถานการณ์เช่นนี้กลับเป็นดังหายนะ
ด้านหน้าแตกกระเจิงส่งผลต่อด้านหลังทันที แต่กองกำลังด้านหลังกลับไม่มีทางกระจายตัวออกในทันที ฝูงคนแตกออกไปยังป่าสองข้างทางก็ต้องใช้เวลา คนทัพใหญ่ถูกอัดปิดทาง แตกตื่นลนลานหวาดกลัว เริ่มสังหารกันเอง
ทหารม้าหลายร้อยทะลายกองกำลังศัตรูที่มากกว่าพวกเขาสิบเท่าลงได้ราบคาบ ความวุ่นวายนี้ตามมาด้วยพลปืนไฟต้องเปลี่ยนวิธีการรบ
สถานการณ์เช่นนี้ ยิงไปทำให้ยิงผิดได้ง่าย และยังเสียกระสุนเปล่า ขุนพลทหารจึงตะโกนสั่งให้ดับชนวนปืนไฟได้ ให้ใช้ปืนไฟกับไม้ง่ามตั้งปืนเป็นอาวุธสังหารแทน ปืนไฟไม่ต่างอันใดกับพลองเหล็กกล้า ไม้ง่ามก็ใช้แทงได้ แม้ว่าประสิทธิภาพไม่ดีนัก แต่สามารถใช้รับมือศัตรูในสถานการณ์แตกพ่ายนี้ได้
พอพลทวนยาวบุกออกไปแล้ว ถึงกับต้องเป่าสัญญาณให้ถอย เปลี่ยนเป็นพลทหารใช้อาวุธเข้าสังหารอย่างพลทวนยาวจะเหมาะกว่า
“ไม่ไว้ชีวิต ไม่จับเป็นเชลย คุกเข่าร้องขอก็สังหาร หมอบบนพื้นขยับได้ก็สังหาร!!”
ทหารถือธงแม่ทัพขี่ม้าออกไปถ่ายทอดคำสั่ง พวกเขาวิ่งไปตะโกนไป
พลปืนไฟออกสู่สนามรบ ก็เริ่มบรรจุกระสุนอยู่สองข้างทาง จากนั้นก็แบ่งกำลังกองเล็กเข้าป่า ยิงพวกปลาที่เล็ดรอดจากแหไป สองข้างทางอยู่สูงกว่า เพื่อคุ้มกันทัพใหญ่
บนสนามรบที่สิ้นหวังหันมาสู้ต้านไว้หลายครั้ง จากนั้นก็แตกกระเจิงทันที จากนั้นก็แตกกระเจิงสิ้นเชิง หนีตายกันอลหม่าน ไม่ก็รอความตาย
“แม่ทัพใหญ่ ชัยชนะใหญ่ ชัยชนะใหญ่!”
ลี่เทาไม่ได้วางตัวสบายๆ กับหวังทงแบบหลี่หู่โถว แม้ว่าอยู่กันส่วนตัว ลี่เทาก็ยังเรียกหวังทงว่าแม่ทัพใหญ่ ไม่ใช่พี่ใหญ่ สีหน้าเขาตื่นเต้นแดงก่ำ ตอนนี้ขุนพลทหารทั้งหมดล้วนอยู่บนที่สูงมองดูสนามรบ สีหน้าทุกคนล้วนตื่นเต้นยินดี
ชัยชนะสำหรับกองกำลังหู่เวยไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ตั้งแต่เมืองเสิ่นหยางได้ชัยชนะใหญ่ มาถึงริมแม่น้ำตอนนี้ที่ปะทะจนได้ชัยชนะใหญ่ ชัยชนะต่อเนื่องเช่นนี้ทำให้ทุกคนตื่นเต้นยินดีกันอย่างมาก
“ชนะแล้ว แต่พวกนอกด่านหนีไปได้ไม่น้อย หากก่อนหน้าจัดการล้อมรอบพื้นที่ในจุดสำคัญไว้ได้ ผลการรบครั้งนี้จะยิ่งใหญ่กว่านี้อีก!”
หวังทงยิ้มกล่าว แต่หลังชนะกลับวิจารณ์ถึงสิ่งที่พลาดไป ก็เป็นการทำลายขวัญทหาร หวังทงจึงยิ้มกล่าวว่า
“รอบเมืองเสิ่นหยาง แม่น้ำสาขาแม่น้ำไท่จื่อเหอ ตลอดทางเดินทัพตั้งค่ายมา ทหารใหม่หลายหน่วยกองกำลังหู่เวยก็กลายเป็นทหารเก่ามีประสบการณ์แล้ว สามารถใช้งานได้อย่างวางใจแล้ว!”
ทุกคนล้วนยิ้มกว้าง ดีใจอย่างที่สุด นี่เป็นทหารที่พวกเขานำมาด้วย พวกเขาได้รับชัยชนะมาตลอด แน่นอนรู้สึกดีใจและภาคภูมิใจ
ผลจากสงครามนั้นใหญ่มากกว่าที่หวังทงคิดไว้ เพราะซุนโส่วเหลียนนำทหารม้าไล่ตามมาด้านหลัง ซุนโส่วเหลียนครั้งนี้ยกทัพตีขนาบมาด้านหลัง เดินทัพมาอย่างระมัดระวัง สายสืบล้วนแต่งกายแบบชาวบ้าน และกระจายตัวกันออกไปไกลมาก หากมีลมพัดยอดหญ้าใดก็รีบกลับมาแจ้ง ซุนโส่วเหลียนรู้ซูเอ่อร์ฮาฉีเตรียมเปิดศึกกับกองกำลังหมิงกลางหุบเขาริมน้ำ เขาก็ตามมาอย่างไม่สนใจเผ่าหนี่ว์เจินทหารหลายร้อยที่เฝ้าป้อมเจี่ยนฉั่งเป่าอยู่
พอการต่อสู้เริ่มต้น ซุนโส่วเหลียนที่ยังลังเลไม่รุกคืบก็ตัดสินใจพนันกันสักตั้ง เขารู้ถึงชัยชนะใหญ่ของกองกำลังหู่เวยแต่ละครั้ง ได้ยินจากปากซุนเผิงจวี่เรื่องชัยชนะใหญ่รอบเมืองเสิ่นหยาง ความจริงนั้นที่กล้าพนันก็เพราะซุนเผิงจวี่คนเดียว กวาดเส้นทางด้านหลังเผ่าหนี่ว์เจินได้ ทหารม้าสู้ทหารราบ อย่างไรก็ไม่เสียเปรียบ
ครั้งนี้ซุนโส่วเหลียนพนันถูกข้างแล้ว
……………
[1] ปืนสามตาก็คือปืนที่มีปากกระบอกยิงสามปากกระบอกในด้ามเดียว
[2] ปืนฟ้าผ่าก็คือปืนที่มีปากกระบอกยิงหลายปากในด้ามเดียวพร้อมแผ่นกำบังหลังปากกระบอก
[3] ชื่อเรียกทหารกล้าฝีมือดีของพวกโฮ่วจิน เทียบได้กับทหารในสังกัดขุนพลทหารของหมิง
ตอนที่ 999 รับปากตำแหน่งผู้บัญชาการแก่เจ้าพ่อลูก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ซูเอ่อร์ฮาฉีไม่ได้กลับไปทางเส้นทางเดิม หากพาทหารติดตามไปตามเส้นทางรอง ไม่เช่นนั้นเกรงว่าจะปะทะเข้ากับทัพซุนโส่วเหลียน
ซุนโส่วเหลียนนำทหารม้ามาถึงสนามรบ เห็นทหารเผ่าหนี่ว์เจินแตกกระเจิงไปเกือบหมด ซุนโส่วเหลียนกับทหารเขาพากันลืมตัวว่าควรทำอะไรต่อ ได้แต่อึ้งอยู่นาน ก่อนจะร้องเฮยินดี
ที่มากันล้วนเป็นทหารติดตามซุนโส่วเหลียน เป็นทหารกล้าเมืองเหลียวโจว ยังเป็นทหารม้า เผชิญกับทหารราบแตกกระจัดกระจาย เห็นชัดว่าเป็นดังอาหารส่งมาถึงที่ ที่กลิ้งอยู่เบื้องหน้าล้วนศีรษะ ล้วนความดีความชอบทางการทหาร!
พวกเขาเองถูกทัพซูเอ่อร์ฮาฉีจากป่าต้นสนไล่ล่ามาถึงป้อมกูซานเป่า อัดอั้นมานาน ระบายแค้นเต็มที่ ครั้งนี้ไล่ล่า เช่นนั้นก็ย่อมสังหารให้สะใจกันไปเลยทีเดียว
พลทวนยาวกองกำลังหู่เวยเคลื่อนที่อย่างไรก็ไม่ได้ว่องไวเท่าไร ทหารม้ากองหลักที่ไล่ล่าก็มีจำนวนน้อย สำหรับทหารเผ่าหนี่ว์เจินแล้ว กำลังซุนโส่วเหลียนเสริมเข้ามาเรียกว่าหายนะแท้จริง
การต่อสู้ในยามกลางวัน พระอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้า สนามรบอีกด้านมีกำลังซุนโส่วเหลียน ยามนี้มาประกบกับหวังทงด้านหน้า เมื่อก่อนพบกันแค่คารวะ ไม่ใช่เป็นดังนายบ่าว แต่ยังมีความเป็นมิตรสหาย ครั้งนี้ซุนโส่วเหลียนไม่ได้วางท่าทางอันใดแม้แต่น้อย หากลงจากหลังม้ามาก็ลงคุกเข่าคำนับทันที กล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่นำทัพราวกองทัพสวรรค์ พี่น้องเหลียวหนานล้วนขอบคุณท่านแม่ทัพอย่างหาที่สุดมิได้ ข้าทั้งครอบครัวแม้แหลกสลายก็ยากตอบแทนคุณท่านแม่ทัพ”
หวังทงยิ้มส่ายหน้ากล่าวว่า
“ซุนเผิงจวี่ อย่าได้ตามคุกเข่าไปด้วย รีบพยุงบิดาเจ้าขึ้นมา”
วาจาแสดงความสนิท ซุนเผิงจวี่ลุกขึ้นลิงโลดเข้าประคองซุนโส่วเหลียนขึ้นมา สีหน้าซุนโส่วเหลียนล้วนยินดียิ่ง หวังทงมองซ้ายขวา ออกคำสั่งว่า
“หน่วยหนึ่งและสองตามข้าไป ที่เหลืออยู่จัดการเก็บกวาดสนามรบ ก่อนค่ำนี้ให้ตั้งค่ายพักใกล้ป้อมเจี่ยนฉั่งเป่า”
ทุกคนคำนับรับคำสั่ง พื้นที่หุบเขานี้แคบ และอันตรายมาก จะว่าไปห่างจากป้อมเจี่ยนฉั่งเป่าก็ต้องเดินทางอีกหนึ่งชั่วยามกว่าเท่านั้น ไปได้สะดวก
สำหรับพวกทหารเผ่าหนี่ว์เจินที่ประจำอยู่ตามป้อม แม้แต่อาหารระคายฟันก็ไม่อาจนับได้ คิดจะหนีตอนนี้ ซุนโส่วเหลียนก็รีบส่งคนไปแจ้งข่าวที่ป้อมกูซานเป่า จากนั้นก็ทิ้งกำลังคนส่วนใหญ่เก็บกวาดสนามรบ เขากับซุนเผิงจวี่และทหารติดตามรีบติดตามหวังทงไปด้วย
หลังชัยชนะใหญ่ ทุกคนล้วนควรตื่นเต้น แต่พอขี่ม้าออกนอกสนามรบ ทุกคนล้วนเงียบ ชัยชนะนี้ยิ่งใหญ่เกินไป และยังทำให้คนคิดไม่ถึงก็คือ ตอนนี้ชัยชนะถึงมือ สังหารให้สะใจ ระบายให้สะใจ แต่กลับรู้สึกโหวงในใจ
ซุนโส่วเหลียนอยู่ในเส้นทางขุนนาง แน่นอนรู้ว่าต้องหาวาจามาสนทนา ไม่อาจปล่อยเงียบเช่นนี้ ยิ้มกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ได้ชัยติดต่อกัน ศัตรูเมืองเหลียวโจวสองกองล้วนเก็บกวาดสิ้นซาก พริบตาก็มาถึงพวกนอกด่านทางกองกำลังเถี่ยหลิ่ง ข้าน้อยขอทุ่มกำลังเต็มที่เสริมทัพแล้วแต่แม่ทัพใหญ่สั่งการ”
หวังทงยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า
“สงครามทางเมืองเหลียวโจวจบแล้ว จากนี้ก็แค่เก็บกวาดและรักษาความสงบ ทำให้พื้นที่กลับสู่ภาวะปกติ จึงเป็นหน้าที่สำคัญ”
ฟังคำตอบนี้แล้ว ซุนโส่วเหลียนรู้สึกงง กองกำลังเถี่ยหลิ่งยังมีทหารม้ามองโกลสองหมื่นกว่า หากรวมคนงานในเผ่าไปด้วย ก็ราวสี่หมื่นได้ เหตุใดจึงบอกว่าสงครามจบแล้ว หรือว่าหวังทงคิดจะเลี้ยงโจรไว้เพื่อตนเอง วงการราชสำนักเป็นเรื่องซับซ้อนยิ่ง
เขากำลังคิดไปวุ่นวายนั่นเอง หวังทงก็เอ่ยอธิบายขึ้นว่า
“รอบเมืองเสิ่นหยางกับที่นี่ รวมสองชัยชนะใหญ่ เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นย่อมไม่กล้าอยู่กองกำลังเถี่ยหลิ่งต่อแล้ว เขาไม่หนีอีก ก็ย่อมถูกทัพเมืองเหลียวโจวกับทัพใหญ่ปราบตะวันออกโอบล้อม พวกเขากล้าพนันครั้งที่หนึ่ง แต่ไม่กล้าพนันครั้งที่สองแน่ สามารถยิ้มได้แล้ว บนทุ่งหญ้านี้หมดสิ้นแล้ว คิดจะหาที่อยู่แถบแม่น้ำเฮยสุ่ยและเขาไป่ซาน คิดไม่ถึงจะหมดสิ้นเช่นนี้”
ได้ยินหวังทงกล่าว ซุนโส่วเหลียนนิ่งไปพักหนึ่งก็ยอมรับว่า
“หากไม่ใช่มีแม่ทัพใหญ่ พวกนอกด่านกองนี้เกรงว่าพนันถูกแล้ว”
หวังทงยิ้มกว้าง ทุกคนพากันหัวเราะดัง เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นกับเผ่าหนี่ว์เจินร่วมกำลังกัน พึ่งพากัน แผนนี้แยบยลยิ่ง ทหารม้ามองโกลกับทหารราบเผ่าหนี่ว์เจินรวมกำลังกัน เสริมกำลังกันและกันให้แข็งแกร่ง ล้วนทำให้ขยายอิทธิพล กำลังคนของสองฝ่ายและกำลังม้าวัวก็ล้วนเสริมกันและกัน
พวกเขาสองฝ่ายรวมกำลังกัน กำลังเห็นๆ ว่าเหนือกว่าทัพเมืองเหลียวโจว ชัยชนะใหญ่ครั้งหนึ่งยิ่งทำให้เผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลมากันมายิ่งขึ้น กำลังก็ยิ่งมากขึ้น ความจริงนั้นยังมีชาวฮั่นตระกูลใหญ่ริมกำแพงหลายตระกูลเริ่มมองดูสถานการณ์ ถึงกับให้ลูกหลานไปดูโอกาสการค้า
หากไม่มีกองกำลังหู่เวยที่เข้มแข็งออกมา ไม่มีหวังทงที่เป็นขุนนางคนโปรดฮ่องเต้นำทัพได้เข้มแข็ง เผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลตอนนี้ที่เมืองเหลียวโจวคนกำลังกินรวบกองกำลังหมิง ค่อยๆ กลืนกินมาทางตะวันตก
“ครั้งนี้เจ้าเองก็ไม่ได้ง่าย เดิมทีสามารถหลบตัวอยู่เมืองหวงเฟิ่งเฉิงสบายได้ แต่ก็ทำตามคำสั่งข้านำกำลังออกมารบ กับพวกนอกด่านตะวันออกยากลำบากมาถึงตอนนี้ ตกใจเสี่ยงภัยไม่น้อย เสียหายไปไม่น้อย”
หวังทงปลอบใจ ซุนโส่วเหลียนรีบประสานมือคำนับ กล่าวอย่างตื้นตันว่า
“ตระกูลซุนได้รับเมตตาแม่ทัพใหญ่ แม้ว่าแหลกสลายก็ยอม แม่ทัพใหญ่กล่าวเช่นนี้ ทำให้ข้าน้อยอายุสั้น”
วาจามารยาทกล่าวกันไม่จริงนัก แต่ทว่าหวังทงครั้งนี้หากมาสายไปก้าว หรือซูเอ่อร์ฮาฉีตัดใจสู้ด้วยชีวิต เกรงว่าตระกูลซุนก็คงมีโอกาสพินาศย่อยยับเช่นกัน หวังทงกล่าวว่า
“ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ อย่าได้กลัวว่าเสียเปล่า ปีนี้หรือปีหน้า ข้ารับรองตำแหน่งผู้บัญชาการให้เจ้า ซุนเผิงจวี่วันหน้าก็จะได้เป็นผู้บัญชาการเช่นกัน”
หวังทงกล่าวน้ำเสียงนิ่ง ซุนโส่วเหลียนกับซุนเผิงจวี่บนม้าตกตะลึง กลับไม่กล้านั่งบนหลังม้าต่อ พากันโดดลงมาไม่สนใจว่าบนพื้นเลือดเนื้อเปรอะเปื้อน หากลงคุกเข่าโขกศีรษะ กล่าวแต่เพียงว่า
“ขอบคุณแม่ทัพใหญ่ที่เมตตาๆ”
ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรควบบรรดาศักดิ์โหวเช่นหวังทงนี้อย่างไรก็หาได้ยาก ราชวงศ์หมิงสองร้อยปีมานี้ คนเช่นนี้มีแค่คนเดียว ในวงการขุนนางบู๊สูงสุดก็คือผู้บัญชาการ สามารถได้เป็นผู้บัญชาการ ลูกหลานสี่รุ่นจากนี้พ้นภัย และยังสามารถมีพื้นที่กว้างให้ก้าวเดิน หม่าฟางอยู่เมืองเซวียนฝู่ หลี่เฉิงเหลียงอยู่เมืองเหลียวโจว ไม่ใช่เช่นนี้หรือ
อย่าเห็นว่าซุนโส่วเหลียนตอนนี้เป็นรองแม่ทัพ ห่างจากตำแหน่งผู้บัญชาการอีกระดับ หากระดับเดียวนี้เรียกว่าแตกต่างกันมากนัก หลายคนตลอดชีวิตก็เป็นได้แค่รองแม่ทัพ
หวังทงให้สัญญาตำแหน่งผู้บัญชาการ ซุนโส่วเหลียนดีใจแทบคลั่ง แต่คำสัญญาถัดมาของหวังทงทำเอาเขาอึ้งไปทันที จากนั้นก็ดีใจทีเรียกว่ามากกว่าคลั่ง พ่อลูกผู้บัญชาการคู่ นี่เป็นขุนพลแผ่นดินหมิงที่มีเพียงตระกูลหม่ากับตระกูลหลี่ ซึ่งล้วนเป็นตระกูลแม่ทัพอันดับหนึ่ง ตอนนี้ดูแล้ว ตระกูลลี่ก็มีความเป็นได้นี้ คิดไม่ถึงตนเองแค่รองแม่ทัพ ถึงกับมีโอกาสนี้ด้วย จะไม่ยินดีแทบคลั่งได้อย่างไรไหว
ผู้อื่นให้คำสัญญานี้ อย่างมาก็แค่ยิ้มด่ากลับไป แต่หวังทงให้สัญญาเช่นนี้ ไม่อาจไม่เชื่อถือ แน่นอนต้องดึงบุตรชายลงร่วมโขกศีรษะ
หวังทงกล่าวสัพยอกสองสามคำ ซุนโส่วเหลียนจึงได้ขึ้นม้า กล่าวโต้ตอบไปได้สองสามคำ ก็เริ่มรู้สึกมีบางอย่างไม่มั่นใจขึ้นมา ผู้ใดล้วนรู้หลักการรุ่งได้ก็ลงได้ หวังทงตอนนี้เรืองอำนาจล้นฟ้า ได้ชัยชนะใหญ่นี้ไป ย่อมยิ่งยิ่งใหญ่ไปอีก คิดถึงตรงนี้แล้ว ในใจซุนโส่วเหลียนก็อดคิดไม่ได้ มาถึงตอนนี้ หวังทงหากยังก้าวไปอีกจะไปถึงที่ใดกัน
หากมีการเปลี่ยนแปลงใด เช่นนี้คำสัญญานี้จะยังคงมีอีกไหม ตนเองตอนนี้ถูกมองว่าเป็นพวกหวังทง ถึงตอนนั้นยุ่งยากตามไปด้วยหรือไม่ น่าแปลก ซุนโส่วเหลียนอยู่ถึงกับกังวลใจขึ้นมาเช่นนี้ได้
……
ตัดหัวไปเจ็ดพันกว่า กวาดต้อนม้าวัวมาได้ไม่จำกัด ปะทะศึกริมแม่น้ำสาขาแม่น้ำไท่จื่อเหอ ผลการรบคำนวณได้อย่างรวดเร็ว มีแต่สังหารทิ้ง ไม่มีเชลย นับว่าไม่ค่อยได้เห็น หากเป็นสองปีก่อน ชัยชนะใหญ่เช่นนี้อาจใช้คำว่าไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์มาบรรยายผลการรบ แต่ครั้งนี้ ทุกคนต่างล้วนรู้สึกควรเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว พบเห็นชัยชนะมามากเกินไปแล้ว ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก
เผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวมีคนไม่มาก ผ่านการรบพ่ายครั้งนี้ได ก็ไม่อาจเปิดศึกกับแผ่นดินหมิงหลายทางได้อีก ต้องป้องกันไม่ก็ยกทัพมาได้แค่ทางเดียว มุมพิเศษเช่นพื้นที่เหลียวหนานนี้ ไม่นับว่าเป็นพื้นทีอันตรายสำคัญนัก ไม่อาจมีการศึกที่ยิ่งใหญ่อันใดเกิดขึ้นได้อีก
ซุนโส่วเหลียนตั้งแนวป้องกันแนวแม่น้ำไท่จื่อเหอและแม่น้ำสาขาใหม่ กำลังหลักส่วนใหญ่กลับไปเมืองหวงเฟิ่งเฉิง ตนเองนำทหารม้าหนึ่งพันติดตามหวังทงกลับมา
ทัพใหญ่ครั้งนี้เดินทัพไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ เดินทัพตามปกติ คนงานกับม้าวัวเพียงพอ เดินทัพก็ไม่ช้า อากาศนอกด่านหนาวมาก ตามความรู้สึกหวังทง เหมือนจะมีความอุ่นขึ้นบ้าง อย่างไรก็เข้าสู่เดือนสอง ฤดูใบไม้ผลิจะมาถึงแล้ว ตามวาจาซุนโส่วเหลียน ตอนนี้หนาวขึ้นทุกปี เดาว่าเดือนสามดอกไม้จึงจะบาน
ครั้งนี้ทัพใหญ่ยังคงเดินทัพกลับเสิ่นหยาง ไปคิดวางแผนลำดับต่อไปที่นั่น ผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพหวังซีเจวี๋ยกับขันทีคุมกำลังเฉินจวี่ก็ถึงเมืองเสิ่นหยางแล้ว ตอนนี้เสิ่นหยางเป็นที่ปลอดภัยแล้ว ดังนั้นจึงเป็นที่ตั้งฐานหลัก
ทัพใหญ่เดินทางกลับได้ครึ่งทาง ก็มีข่าวจากเสิ่นหยางมาว่า เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นที่ล้อมกองกำลังเถี่ยหลิ่งถอยกลับแล้ว กองกำลังหมิงประจำกองกำลังเถี่ยหลิ่งออกไล่สังหาร แม้ว่าไม่ได้แตะต้องถึงกองกำลังหลักเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่น แต่ได้เก็บกวาดเผ่าเล็กที่มาพร้อมเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นไปไม่น้อย แน่นอนมีความชอบ
ทหารม้าเสิ่นหยางบีบไปทางกองกำลังเถี่ยหลิ่ง ข่าวการพ่ายศึกรอบเมืองเสิ่นหยางไปถึงเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่น เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นไม่เพียงแต่เสียกำลังหลักที่เมืองเสิ่นหยางมาก ที่เมืองเหลียวโจวกลายเป็นทัพโดดเดี่ยว หากยังไม่ถอยหนี พวกเขาก็ย่อมถูกกวาดเสียเอง
“น่าเสียดาย ทัพใหญ่ปราบตะวันออกกล้าหาญชาญศึก ชัยชนะใหญ่มีแต่ทางกองกำลังหู่เวย ไม่อาจจัดการได้หมด ยังคงทิ้งไว้ ไม่อาจขจัดภัยใหญ่แผ่นดินหมิงได้หมด”
พอกลับถึงเมืองเสิ่นหยาง หวังซีเจวี๋ยกล่าวกับหวังทงอย่างเสียดาย หวังทงยิ้ม ตอบว่า
“ใต้เท้าหวังไม่ต้องเสียดาย พวกป่าเถื่อนมาเมืองเหลียวโจวสังหารราษฎรแผ่นดินหมิง กวาดล้างพื้นที่เรา ไหนเลยจะปล่อยให้หนีไปง่ายๆ เมืองกุยฮว่าเฉิงมีเหล่าผู้กล้ามากมาย ยอมแบ่งเบาราชสำนัก ไม่ต้องนาน ม้าวัวพวกป่าเถื่อนย่อมตกเป็นของแผ่นดินหมิง พวกป่าเถื่อนย่อมต้องเป็นทาสแผ่นดินหมิง ไม่ต้องนาน ใต้หล้าก็จะไร้พวกป่าเถื่อน”
หวังซีเจวี๋ยได้ยินก็อึ้งไป ตามด้วยพยักหน้าอย่างยอมรับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น