เทพปีศาจหวนคืน 997-998
บทที่ 997 ปรับแต่งวิญญาณอมตะของโป้ชิง
แปลโดย iPAT
ในความเป็นจริงร่างผีดิบสามารถรองรับจิตวิญญาณได้มากกว่าร่างมนุษย์ที่มีชีวิต มันเป็นเพียงเรื่องของการหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณเท่านั้นที่เป็นจุดอ่อน
ร่างมนุษย์ที่มีชีวิตสามารถหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณขณะที่ร่างผีดิบที่ตายไปแล้วไม่สามารถ
วิญญาณความเด็ดเดี่ยวมีบทบาทสำคัญที่สุดที่ทำให้จิตวิญญาณของฟางหยวนยังดำรงอยู่มาถึงเวลานี้ นอกจากนั้นเขายังใช้วิธีบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณเพื่อหล่อเลี้ยงมันอีกด้วย
แม้เทพปีศาจจิตวิญญาณจะนำหายนะมาสู่โลกใบนี้ แต่เขาก็ทำให้เส้นทางแห่งจิตวิญญาณเจริญรุ่งเรือง มีผู้เชี่ยวชาญบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณมากมายถือกำเนิดขึ้น แต่ละคนก็มีวิธีการบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณเป็นของตนเอง
แม้จะผ่านยุคของเทพอมตะสวรรค์พิภพมาแล้ว แต่จนถึงปัจจุบันยังมีมรดกบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณจำนวนมากถูกส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่น
‘ข้าไม่ได้บ่มเพาะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณ พลังงานแห่งเต๋าของผู้อมตะบนเส้นทางแห่งจิตวิญญาณจะทำให้พวกเขาสามารถเก็บจิตวิญญาณได้มากขึ้น’
เมื่อถึงขีดจำกัด ฟางหยวนจึงออกจากแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูและเดินทางไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงดาว
หุบเขาเหล่าโปถูกวางไว้ที่นี่
ฟางหยวนเข้าไปในหุบเขาเหล่าโปทันที
หุบเขาเหล่าโปถูกดัดแปลงโดยนิกายเงา นั่นทำให้มันแตกต่างไปจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตามฟางหยวนให้ไท่เป่ยหยุนเฉิงใช้วิญญาณอมตะพื้นที่ก่อนหน้าเพื่อฟื้นคืนสภาพดั่งเดิมของมัน
ภูมิประเทศของหุบเขาเหล่าโปซับซ้อนราวกับเขาวงกต ในตำนาน มนุษย์คนแรกติดอยู่ในเขาวงกตแห่งนี้เป็นเวลานานและไม่สามารถหาทางออก
ฟางหยวนเลียนแบบมนุษย์คนแรกและเดินทางเข้าสู่หุบเขาเหล่าโป
เขาปลดปล่อยจิตวิญญาณออกจากร่างโดยตรง
หมอกสีเทาปกคลุมจิตวิญญาณของฟางหยวนเอาไว้
มันเป็นที่รู้จักกันในชื่อหมอกสับสน
จากนั้นสายลมอันหนาวเหน็บก็พัดเข้ามา
นี่คือสายลมแห่งหุบเขาเหล่าโปที่มีชื่อเสียง
สายลมอันเย็นเยียบราวกับใบมีดกรีดเฉือนจิตวิญญาณของฟางหยวน ฟางหยวนได้รับบาดเจ็บและรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน มันทำให้เขาแทบเป็นบ้า ความเจ็บปวดชนิดนี้เกิดขึ้นในส่วนลึกของจิตวิญญาณ มันรุนแรงยิ่งกว่าการสูญเสียอวัยวะ
ฟางหยวนเงยหน้าคำรามขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่เขาไม่มีร่างกายภาพ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถส่งเสียงออกมา
หลังจากอดทนมาสักพัก ฟางหยวนรู้สึกถึงขีดจำกัดอีกครั้ง
เขาเลือกที่จะถอยกลับเข้าสู่ร่างผีดิบอมตะ
ด้วยการปกป้องจากร่างผีดิบอมตะ ผลกระทบจากหมอกสักสนและสายลมแห่งหุบเขาเหล่าโปลดลงอย่างมาก
ฟางหยวนออกจากหุบเขาเหล่าโปได้อย่างปลอดภัย
เขาตรวจสอบจิตวิญญาณของตน
หลังจากผ่านหมอกสับสนและสายลมแห่งหุบเขาเหล่าโป จิตวิญญาณของฟางหยวนหดเล็กลงอย่างมาก นอกจากนั้นมันยังได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก
หากเขายังดื้อรั้นอยู่ในหุบเขาเหล่าโปต่อไป จิตวิญญาณของเขาอาจถูกทำลาย ในกรณีนี้ทาสอมตะจ้าวจงจะได้รับการปลดปล่อย
จิตวิญญาณเป็นรากฐานของการควบคุมทาส หากจิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง การสะกดข่มทาสจะได้รับผลกระทบ ฝ่ายที่ถูกกดขี่จะมีโอกาสปลดปล่อยตนเอง
‘มนุษย์คนแรกอดทนอยู่ในหุบเขาเหล่าโปเป็นเวลานานได้อย่างไร?’
ฟางหยวนถอนหายใจก่อนจะเดินทางกลับแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หู
เขากลืนกินวิญญาณความเด็ดเดี่ยวเข้าไปเพื่อรักษาจิตวิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บ
ในไม่ช้าจิตวิญญาณของฟางหยวนก็ฟื้นตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์
ฟางหยวนตรวจสอบอีกครั้ง
ตอนนี้จิตวิญญาณของเขาควบแน่นและมีคุณภาพสูงขึ้นอย่างน้อยเท่าตัวขณะที่แรงกดดันในการกดขี่ทาสอมตะจ้าวจงลดลงถึงสามสิบส่วน
ความทุกข์ทรมานในหุบเขาเหล่าโปของฟางหยวนคุ้มค่า!
นี่เป็นเพราะหุบเขาเหล่าโปช่วยขัดเกลาให้จิตวิญญาณของเขาบริสุทธ์มากขึ้น
สำหรับภูเขาตงฮัน มันสามารถเสริมสร้างจิตวิญญาณให้แข็งแกร่งแต่มันก็เป็นความแข็งแกร่งในเชิงปริมาณเท่านั้น
‘หุบเขาเหล่าโปขัดเกลาวิญญาณขณะที่ภูเขาตงฮันเสริมสร้าง นี่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ ด้วยวิธีนี้ จิตวิญญาณของข้าจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่แปลกใจเลยที่ในชีวิตก่อนหน้าไห่ลั่วหลันกับเทพธิดาหลี่ซานเดินทางไปกลับระหว่างภูเขาตงฮันกับหุบเขาเหล่าโปอย่างต่อเนื่อง’
ฟางหยวนถอนหายใจ
เขาต้องการทำเช่นเดียวกับไห่ลั่วหลันและเทพธิดาหลี่ซาน แต่ตอนนี้เขามีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการต่อสู้บนภูเขาอี้เทียนและคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหล
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ยิ่งฟางหยวนแข็งแกร่งขึ้น เขาก็ยิ่งมีโอกาสได้รับสนามรบแห่งความโกลาหลมากขึ้น
ฟางหยวนพิจารณาถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดและเตรียมตัวอย่างรอบคอบ
เขาใช้ทุกวินาทีที่เหลือในการบ่มเพาะ
ในที่สุดฟางหยวนก็ได้รับข่าวการปรากฏขึ้นของคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหล
“เกิดสิ่งใดขึ้น? ข้าจัดตั้งค่ายกลวิญญาณมากมายไว้ใกล้กับภูเขาอี้เทียน แต่พวกมันกลับไม่แจ้งเตือนข้า!” ฟางหยวนหยุดทุกสิ่งและเดินทางไปภาคใต้เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้
แต่เขากลับไม่พบสิ่งใด
เช่นเดียวกับชีวิตก่อนหน้า บนภูเขาอี้เทียนปรากฏภาพมายาฉายซ้ำๆ
ในการต่อสู้ที่ดุเดือน ผู้อมตะลึกลับที่มีรอยสักรูปดอกบัวสีแดงอยู่บนหน้าผากใช้คฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหลกำหราบผู้อมตะสุดยอดกายาเทพยุทธ์ที่แท้จริงระดับแปด
‘ผู้อมตะลึกลับที่มีรอยสักรูปดอกบัวสีแดงอยู่บนหน้าผากมีความเกี่ยวข้องกับเทพปีสาจบัวแดงหรือไม่? การย้อนอดีตของข้าล้มเหลว แต่ในสายธารแห่งกาลเวลา ดอกบัวสีแดงปรากฏขึ้นและเปลี่ยนความล้มเหลวของข้าให้เป็นความสำเร็จ การเกิดใหม่ของข้าเกี่ยวข้องกับดอกบัวสีแดงในสายธารแห่งกาลเวลาและผู้อมตะลึกลับผู้นี้อย่างไร?’
ฟางหยวนรู้สึกสับสน เขาทำได้เพียงส่ายศีรษะปัดเป่าความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะจากไปเท่านั้น
เขายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการ
สนามรบแห่งความโกลาหลปรากฏขึ้นแล้วแต่ยังมีเวลาอีกเล็กน้อยก่อนที่การต่อสู้บนภูเขาอี้เทียนจะปะทุขึ้น
อย่างน้อยที่สุดฟางหยวนก็ต้องกำจัดแรงกดดันจากการสะกดข่มทาสอมตะจ้าวจงออกไปในช่วงเวลานี้
ภูเขาตงฮันและหุบเขาเหล่าโปทำให้จิตวิญญาณของฟางหยวนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วขณะที่จิตวิญญาณของผู้อมตะเผ่ามนุษย์วิหคจ้าวจงไม่มีการเปลี่ยนแปลง
‘ภาระในการสะกดข่มทาสอมตะถูกกำจัดออกไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ตอนนี้ข้าสามารถไปที่ภูเขาอี้เทียนและลอบปรับแต่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหลอย่างลับๆ’
ร่างกายหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณขณะที่จิตวิญญาณเป็นแหล่งกำเนิดของความคิด เจตจำนง และอารมณ์ความรู้สึก
การยกระดับขึ้นของจิตวิญญาณจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการปรับแต่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบจิตวิญญาณของฟางหยวน
‘นอกเหนือจากจิตวิญญาณ หากข้าสามารถปรับแต่งวิญญาณอมตะของโป้ชิง พลังการต่อสู้ของข้าจะพุ่งสูงขึ้นอีกมาก!’
เขาพยายามปรับแต่งวิญญาณอมตะของโป้ชิงมาหลายครั้งแล้วแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ
ตอนนี้แผนหลังจากการกำเนิดใหม่ของฟางหยวนดำเนินมาถึงโค้งสุดท้ายแล้ว
เขาต้องยอมแพ้การหลอมรวมวิญญาณอมตะระเบิดพลังและไม่ลงทุนกับเรื่องนี้อีก
ในช่วงเวลาสุดท้าย ฟางหยวนพยายามทำทุกสิ่งที่ทำได้อย่างสุดความสามารถ
…..
ภาคกลาง
ผีดิบอมตะโป้ชิงลอยขึ้นจากผิวน้ำอย่างช้าๆ
คลื่นน้ำระเบิดออกไปรอบๆขณะที่สัตว์อสูรที่ถูกดึงดูดเข้ามาด้วยกลิ่นคาวเลือดเร่งหลบหนีเมื่อสัมผัสถึงกลิ่นอายของโป้ชิง
ผู้อมตะจำนวนมากตกตายลงขณะที่ผู้อมตะระดับแปดเทพธิดาเพ่ยกังหยูรอดชีวิตมาได้ด้วยความโชคดี
“ข้าสูญเสียวิญญาณอมตะไปหลายดวง นั่นทำให้พลังการต่อสู้ของข้าลดน้อยลง” ผีดิบอมตะโป้ชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “แผนการต่อไปของเราเป็นอย่างไร?”
ตอนนี้ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังผีดิบอมตะโป้ชิงประกอบไปด้วยเจ้าของถ้ำสวรรค์นภาแห่งดาว ผีดิบอมตะเทพเจ็ดดารา ปีศาจอมตะบนเส้นทางแห่งเลือด ซ่งซื่อซิง และผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการหลอมรวมเผ่ามนุษย์ขน หยูมู่ฉาน
ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนหน้า
ครั้งก่อนผีดิบอมตะเทพเจ็ดดาราและซ่งซื่อซิงเสียชีวิตด้วยน้ำมือของโป้ชิง แต่ครั้งนี้พวกเขายังมีชีวิตอยู่
ฟางหยวนใช้เจตจำนงของโม่เหยาขโมยวิญญาณอมตะของโป้ชิง เรื่องนี้กระตุ้นดวงวิญญาณของโม่เหยาให้ตื่นขึ้น
ผีดิบอมตะเทพเจ็ดดารากล่าว “ต่อไป ข้า ซ่งซื่อซิง และหยูมู่ฉานจะใช้ท่าไม้ตายอมตะขนส่งพวกเราทั้งสี่ไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือของภาคกลางเพื่อโจมตีนิกายบัวสวรรค์!”
พวกเขาเตรียมการไว้แล้ว
คราวก่อนผีดิบอมตะเทพเจ็ดดารากับซ่งซื่อซิงเสียชีวิต ลำพังหยูมู่ฉานไม่สามารถกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายที่ทรงพลังนี้
แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป
…..
บนหอคอยดวงตาสวรรค์ เจ้าวังตกใจและโกรธมาก
เขาเห็นผู้อมตะทั้งสี่ที่นำโดยผีดิบอมตะโป้ชิงกำลังมุ่งหน้าไปยังหนึ่งในสิบนิกายโบราณของภาคกลาง นิกายบัวสวรรค์
เรื่องนี้เจ้าวังไม่สามารถนิ่งเฉย
เหตุผลก็คือก่อนที่เขาจะมาเป็นเจ้าวังสวรรค์ เขาเคยเป็นสมาชิกนิกายบัวสวรรค์มาก่อน
ในนิกายบัวสวรรค์ มีศิษย์และบุตรหลานของเขาอาศัยอยู่มากมาย
ตอนนี้โป้ชิงตื่นขึ้น นิกายบัวสวรรค์ตกอยู่ในอันตราย มีเพียงผู้อมตะจากวังสวรรค์เท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือพวกเขา
เจ้าวังบินออกจากหอคอยดวงตาสวรรค์และเรียกเหลียนจิ่วเฉิงกับไป่เฉินเทียน “เกิดปัญหาขึ้นที่น้ำตกสวรรค์ โป้ชิงตื่นขึ้นในร่างผีดิบอมตะ ตอนนี้เขากำลังบุกโจมตีนิกายบัวสวรรค์ เราต้องไปเป็นกำลังเสริมให้กับพวกเขา!”
ผู้อมตะระดับแปดทั้งสองตกตะลึง สิ่งที่เจ้าวังกล่าวยากเกินไปที่จะเชื่อ
“ไป!”
ผู้อมตะทั้งสองตื่นขึ้นจากภวังค์และร่วมมือกับเจ้าวังกระตุ้นใช้ค่ายกลวิญญาณเคลื่อนย้ายสถานที่ของวังสวรรค์ก่อนจะไปปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่นิกายบัวสวรรค์หลังจากนั้น
เวลานี้กลุ่มของโป้ชิงพึ่งมาถึง กลิ่นอายของท่าไม้ตายอมตะขนส่งของพวกเขายังไม่จางหายไป
ทั้งสองฝ่ายจ้องมองกันด้วยเจตนาสังหาร
“เกิดสิ่งใดขึ้น?” ผู้อมตะและผู้ใช้วิญญาณของนิกายบัวสวรรค์รู้สึกสับสน
“สู้!”
การต่อสู้ระหว่างผู้อมตะระดับแปดปะทุขึ้นอย่างกะทันหัน
…..
ภาคกลาง แดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หู ถ้ำใต้พิภพ
“สำเร็จ!” ฟางหยวนมองค่ายกลวิญญาณที่อยู่ด้านหน้าอย่างมีความสุข
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขาใช้แสงแห่งปัญญาคิดอย่างต่อเนื่องและสามารถสร้างค่ายกลวิญญาณที่ทรงพลังเพื่อใช้ปรับแต่งวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งดาบของโป้ชิง
ค่ายกลวิญญาณนี้ใช้วิญญาณสติปัญญาเป็นแกนกลาง หนุนเสริมด้วยเจตจำนงของโม่เหยา วิญญาณอมตะหัวใจหญิงงาม และวิญญาณอมตะคลี่คลายปริศนา
“น่าเสียดายที่ข้ามีเวลาปรับแต่งวิญญาณอมตะของโป้ชิงเพียงดวงเดียว ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังไม่รู้วิธีใช้งานมัน ข้าไม่สามารถยื้อเวลาต่อไป การต่อสู้บนภูเขาอี้เทียนกำลังจะเริ่มขึ้น ยิ่งข้าได้รับคฤหาสน์วิญญาณอมตะเร็วเท่าใด มันก็ยิ่งดีต่อตัวข้ามากเท่านั้น หากล่าช้าไปอาจเกิดปัญหา!”
บทที่ 998 การต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน
แปลโดย iPAT
ภาคใต้ ภูเขาอี้เทียน
ฟางหยวนก้าวไปข้างหน้าในร่างของชายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อและหนวดเครา
เส้นผมของเขาเป็นสีเหลืองโคลน เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง
โหนกแก้มของเขายื่นออกมา นิ้วมือนิ้วเท้าของเขาล้วนใหญ่โต
จมูกของเขาสั้นและมีขนจำนวนมากพุ่งออกมาจากรูจมูกทั้งสองข้าง
แม้รูปลักษณ์ของเขาจะดูน่าขยะแขยงแต่มันก็เป็นสิ่งที่เขาเลือกหลังจากพิจารณามาแล้วอย่างรอบคอบ
ในชีวิตก่อนหน้าของฟางหยวน ชายน่าเกลียดผู้นี้มาที่ภูเขาอี้เทียนในช่วงเวลานี้
หลังจากกำเนิดใหม่ ฟางหยวนลอบสังหารคนผู้นี้อย่างลับๆและยึดครองตัวตนของเขาเพื่อเข้าสู่ภูเขาอี้เทียน
ดวงอาทิตย์พึ่งขึ้นจากขอบฟ้าขณะที่หมอกบางๆปกคลุมพื้นที่เอาไว้ทั้งหมด
ภูเขาอี้เทียนยังเงียบสงบ มีเพียงเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วอยู่ในป่าลึก
ในช่วงเวลานี้การต่อสู้ครั้งแรกระหว่างฝ่ายธรรมะและฝ่ายปีศาจยังไม่เกิดขึ้น
ในชีวิตก่อนหน้า ฟางหยวนเข้าสู่ภูเขาอี้เทียนหลังจากการต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างดุเดือด
แต่ครั้งนี้เขามาก่อนเวลาหลายเดือน
เซียวซานพึ่งถูกบังคับให้ออกจากตระกูล เขา จ้าวซิงซิง และซันเพิ่งหูกำลังก่อตั้งหมู่บ้านอี้เทียนอยู่ในเวลานี้
ฟางหยวนไม่เห็นผู้ใดขณะเดินไปข้างหน้า
หลังจากเดินขึ้นภูเขา เขาพบหมู่บ้านอี้เทียนในที่สุด
หมู่บ้านอี้เทียนยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง มันยังไม่เสร็จสมบูรณ์
“นี่คือผู้ใด? เขาเป็นตัวหมากเบี้ยของผู้อมตะคนใด?”
“เขาไม่เหมือนมนุษย์ ดูเหมือนเขาจะเป็นลูกผสมระหว่างเผ่ามนุษย์และมนุษย์ขน”
“หือ ผู้ใดเลือกลูกครึ่งตัวนี้มาเป็นตัวหมากเบี้ย ฮ่าฮ่าฮ่า”
ไกลออกไป กลุ่มผู้อมตะภาคใต้พูดคุยกันเกี่ยวกับฟางหยวน
ฟางหยวนเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆด้วยความมั่นใจ
ในชีวิตก่อนหน้าเขาใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คลุมเครือแต่ไม่ถูกเปิดเผยจากผู้อมตะภาคใต้ ตอนนี้เขาใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยโดยมีวิญญาณทัศนคติเป็นแกนกลาง มันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะค้นพบตัวตนที่แท้จริงของฟางหยวน
เขาก้าวขึ้นสู่ยอดเขา
ไม่นานหลังจากนั้นบางคนก็ออกมาหยุดเขา
คนผู้นี้เป็นผู้ใช้วิญญาณปีศาจระดับสามแต่ฟางหยวนปลอมตัวเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสามเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาทและเปิดปากถามอย่างจริงจัง “เจ้าคือผู้ใด?”
ฟางหยวนป้องหมัดขึ้นและกล่าวด้วยสำเนียงของคนบ้านนอก “ข้าชื่อ ฮวงชา ข้าได้ยินเรื่องของวีรบุรุษเซี่ยวและต้องการเข้าร่วมกับเขา!”
ร่างกายของผู้ใช้วิญญาณปีศาจระดับสามสั่นสะท้านขึ้น
เขาไม่ได้กลัวชื่อฮวงชาแต่ฟางหยวนพูดเสียงดังเกินไป
“รู้แล้ว เหตุใดต้องกล่าวเสียงดัง? เมื่อเจ้ารู้จักท่านผู้นำของเรา เช่นนั้นก็ตามข้าไปพบเขา” ผู้ใช้วิญญาณปีศาจระดับสามถูรูหูของตนเองขณะกวาดตามองไปรอบๆ
ฟางหยวนหัวเราะก่อนจะติดตามผู้ใช้วิญญาณปีศาจระดับสามไปอย่างรวดเร็ว
เขามีร่างกายที่ใหญ่โต เพียงไม่กี่ก้าว เขาก็แทบจะแซงหน้าผู้นำทาง
ผู้ใช้วิญญาณปีศาจระดับสามยกมือขึ้น “เหตุใดต้องวิ่ง? หากต้องการเข้าร่วมกับหมู่บ้านอี้เทียน เจ้าก็ต้องทำตามกฏ ข้ามาถึงที่นี่ก่อน ดังนั้นตำแหน่งของข้าจึงสูงกว่าเจ้า ติดตามอยู่ด้านหลังข้า!”
“โอ้ โอ้” ฟางหยวนพยักหน้าและแสร้งเป็นคนโง่
“โครงสร้างนี้ต้องสร้างอย่างพิถีพิถัน หากบางคนโจมตีพวกเรา พวกเราจะใช้ที่นี่ต่อต้านพวกเขา เราต้องใช้วิญญาณเถาวัลย์อสรพิษเหล็กอย่างน้อยหนึ่งร้อยดวง” เซียวซานกล่าวกับผู้ใช้วิญญาณที่อยู่ด้านข้าง
เป็นเพียงเวลานี้ที่เสียงสายหนึ่งดังขึ้น “ท่านผู้นำ ชื่อเสียงของท่านโด่งดังไปทั่วภาคใต้ ตอนนี้มีนักรบคนใหม่มาขอเข้าร่วมกับพวกเรา”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ เซียวซานจึงหันหน้าไปทางฟางหยวน
ความสุขในใจของเขาจางหายไปเล็กน้อย เขารู้สึกผิดหวัง แต่ภายนอกเขายังเผยรอยยิ้มยินดี
เขาเดินไปด้านหน้าและยกมือขึ้นตบไหล่ฟางหยวน “ช่างเป็นชายที่แข็งแกร่งนัก”
ฟางหยวนหัวเราะและป้องหมัดขึ้น “ท่านคือเซียวซาน ข้ามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมกับท่าน ท่านเป็นคนกล้าหาญ ท่านกล้าต่อต้านฝ่ายธรรมะบัดซบเหล่านั้น!”
ฟางหยวนยกนิ้วโป้งขึ้นและกล่าวต่อ “เพียงเรื่องนี้ก็เพียงพอให้ข้าติดตามท่านแล้วแต่ท่านต้องให้อาหารข้าสามมื้อต่อวัน!”
เซียวซานเห็นท่าทีไร้การศึกษาของฟางหยวนและรู้สึกผิดหวังมากขึ้น
แต่ภายนอกเขายังชื่นชมและมอบภารกิจให้ฟางหยวนทันที
หลังจากฟางหยวนจากไป เซี่ยวซานก็ติดต่อจ้าวซิงซิงเพื่อสอบถามเกี่ยวกับฟางหยวน “ฮวงชามีภูมิหลังอย่างไร? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อของคนผู้นี้”
จ้าวซิงซิงหัวเราะ “พี่ใหญ่ ท่านเป็นตัวตนระดับใด? มีตัวละครรองมากมายบนโลกใบนี้ที่ถูกดึงดูดเข้ามาโดยชื่อเสียงของท่าน ข้ารู้จักคนผู้นี้ บิดาของเขาเป็นมนุษย์แต่มารดาของเขาเป็นมนุษย์ขน เขาเกิดมาเป็นทาสที่เก็บหินทรายอยู่บนภูเขา แต่นั่นทำให้เขาได้รับมรดกโดยบังเอิญและกลายเป็นผู้ใช้วิญญาณ ต่อมาเขากับผู้ใช้วิญญาณบนเส้นทางแห่งวารีร่วมมือกันและสามารถครอบครองดินแดนบางแห่ง พวกเขาถูกเรียกว่านักรบแฝดไป่ชา หลังจากนั้นพวกเขาถูกกำหราบโดยตระกูลไท่ ไป่เจียงเสียชีวิตขณะที่ฮวงชาสามารถหลบหนี ผู้ใดจะคิดว่าเขาจะมาหาพี่ใหญ่ที่นี่”
“เป็นเช่นนั้น ข้าจำได้แล้ว ครั้งหนึ่งเคยมีข่าวลือว่านักรบแฝดไป่ชาทำลายขบวนสินค้าของตระกูลไท่” เซี่ยวซานพยักหน้าขณะที่ความหวังของเขาถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์
ฮวงชากล้าโจมตีขบวนสินค้าของตระกูลไท่ นี่แสดงให้เห็นถึงความบ้าบิ่งและไร้สมอง
ยิ่งไปกว่านั้นฮวงชายังมีสายเลือดของมนุษย์ขน มันยิ่งทำให้เซียวซานดูแคลนเขามากขึ้นไปอีก
มนุษย์กลายพันธุ์เป็นทาสของมนุษย์ ผู้ใช้วิญญาณมนุษย์ไม่เคยปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเท่าเทียม
หากฮวงชาเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสี่หรือระดับห้า เซียวซานอาจเห็นคุณค่าของเขาอยู่บ้าง แต่ฟางหยวนจงใจปลอมตัวเป็นฮวงชาผู้ใช้วิญญาณระดับสามเท่านั้น
แม้ระดับสามจะถือว่าสูงสำหรับคนทั่วไป แต่ในหมู่บ้านอี้เทียน มันไม่ถือเป็นสิ่งใด
ในไม่ช้าเซียวซานก็ลืมการคงอยู่ของฮวงชาขณะที่ฟางหยวนอยู่ในสถานที่ทำงานของตน
‘ตอนนี้ข้าเข้าร่วมกับหมู่บ้านอี้เทียนแล้ว เซียวซานส่งข้ามาช่วยสร้างหมู่บ้าน นี่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ให้ความสำคัญกับข้าแม้แต่น้อย แต่นี่เป็นเรื่องดี แผนการของข้าถือว่าประสบความสำเร็จ’
หากฟางหยวนมีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่านี้ เขาจะได้รับบทบาทสำคัญและยุ่งอยู่กับภารกิจมากมาย นั่นจะทำให้เขาเสียเวลา
หากระดับการบ่มเพาะของเขาต่ำกว่านี้ เขาจะถูกส่งไปเป็นแนวหน้าและกลายเป็นเครื่องสังเวย
ด้วยการบ่มเพาะระดับสามที่ไม่สูงและไม่ต่ำเกินไป เขาจะกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มย่อย
เขาจะไม่ได้รับภารกิจสำคัญ นอกจากนั้นหากเขารอดชีวิตจากสนามรบ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
เขตต้องห้ามของผู้อมตะบนภูเขาอี้เทียนจะส่งผลกระทบต่อมิติช่องว่างอมตะแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อวิญญาณอมตะ
ในชีวิตก่อนหน้าฟางหยวนหาวิธีปิดผนึกมิติช่องว่างอมตะอยู่เป็นเวลานาน แต่ตอนนี้เขามีเวลาเตรียมตัวล่วงหน้าและสามารถเข้าสู่ภูเขาอี้เทียนได้ตั้งแต่เริ่มแรก
กระทั่งมิติช่องว่างของเขาจะถูกปิดผนึกแต่เขายังมีร่างผีดิบอมตะ ในพื้นที่ก่อสร้าง ฟางหยวนสามารถทำงานใช้แรงงานได้อย่างง่ายดาย ตอนกลางคืนเมื่อทุกคนหลับไหล เขายังสามารถปรับแต่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะได้สะดวกสบาย
คฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหลผนึกผีดิบอมตะสุดยอดกายาเทพยุทธ์ที่แท้จริงระดับแปดเอาไว้
แต่มันกลับไม่ปรากฏสัญญาณชีวิตใดๆราวกับดวงวิญญาณของมันสูญสลายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
อย่างไรก็ตามด้วยประสบการณ์จากชีวิตก่อนหน้า ฟางหยวนไม่กล้าประมาท
เขาไม่ได้ตรวจสอบผีดิบอมตะสุดยอดกายาเทพยุทธ์ที่แท้จริงระดับแปดแต่ใช้เวลาทั้งหมดในการปรับแต่งคฤหาสน์วิญญาณ
ผู้อมตะภาคใต้ที่ต้องการปรับแต่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหลต้องใช้มนุษย์เป็นตัวหมากเบี้ย เจตจำนงแห่งการต่อสู้ของพวกเขาจะถูกเปลี่ยนเป็นเจตจำนงที่ใช้ในการปรับแต่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะ
แต่ฟางหยวนเข้ามาด้วยตนเองและยังเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งปัญญา เขาไม่เป็นต้องทำเช่นนั้น
แม้เขาจะไม่ต่อสู้อย่างดุเดือด เขาก็สามารถสร้างเจตจำนงและใช้มันปรับแต่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะได้โดยตรง วิธีนี้มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิธีของผู้อมตะภาคใต้หลายเท่า
ในการต่อสู้ครั้งนี้จะมีผู้ชนะเพียงคนเดียวเท่านั้น
‘ข้าเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งปัญญา ข้ามีข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ ความเร็วของข้าเหนือกว่าคนอื่นๆ ตราบเท่าที่ข้าทำตามแผนการที่วางไว้ ข้ามั่นใจว่าจะได้รับคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหล! เว้นเพียงจะมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น…’ ฟางหยวนครุ่นคิดและเก็บงำความตั้งใจของตนเองเอาไว้
ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเซียวให้ความสำคัญกับการก่อสร้างหมู่บ้านอี้เทียนอย่างมาก
เขาเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดที่แทบไม่สามารถรักษาชีวิตจากภัยพิบัติครั้งล่าสุดขณะที่ภัยพิบัติครั้งต่อไปกำลังใกล้เข้ามา เดิมทีเขาสิ้นหวังไปแล้ว แต่การปรากฏขึ้นของสนามรบแห่งความโกลาหลทำให้เขามองเห็นแสงสว่างท่ามกลางความมืด
ดังนั้นในการแข่งขันครั้งนี้เขาจึงเดิมพันด้วยทุกสิ่ง
ความมั่งคั่งทั้งหมดของเขาถูกใช้ไป
เมื่อเงินเดิมพันของเขาสูงที่สุด เขาจึงสามารถส่งเซียวซานเข้าสู่ภูเขาอี้เทียนได้เป็นคนแรก
ผู้อาวุโสสูงสุดตระกูลเซียวกลายเป็นคนแรกที่สามารถปรับแต่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหล
‘ข้าต้องประสบความสำเร็จในการยึดครองคฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังนี้ ข้าจะล้มเหลวไม่ได้!’
‘ปราศจากคฤหาสน์วิญญาณอมตะ ข้าจะต้องตายในภัยพิบัติครั้งต่อไป!’
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น