ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 996-1037

 ตอนนี้ 996 ยุยงอย่างแนบเนียน


ในห้องบรรยากาศเงียบกริบ หลังจากที่อาหารมาแล้วหวงอวี้เหลียนก็คีบเนื้อให้กับอู่เยวี่ย มองพิจารณาเธออย่างลึกซึ้ง พูดชมเชยว่า “จุ๊ ๆ ดูเด็กคนนี้สิสวยมากขนาดไหน ให้ฉันพูดนะตระกูลอู่ของพวกเธอช่างเลี้ยงดูได้ดีจริง ๆ จ้าวเหมยก็โดนพวกเธอเลี้ยงมาจนสวยขนาดนั้น เยวี่ยเยวี่ยเธอก็นับว่าเป็นสาวน้อยที่งดงามจริง ๆ!”


อู่เยวี่ยฝืนยิ้มออกมาพูดเสียงเบาว่า “คุณน้าหวงชมเกินไป หนูจะไปสวยเหมือนจ้าวเหมยได้ไงคะ”


หวงอวี้เหลียนตีมือเกินจริงพูดตำหนิว่า “อย่าไปพูดแบบนั้น เยวี่ยเยวี่ยถึงแม้ว่าหน้าตาของเธอจะไม่โดดเด่นเท่าจ้าวเหมย แต่นิสัยใจคอเธอดีแค่ดูก็รู้ว่ามาจากครอบครัวที่ดี ถ้าหากฉันมีลูกชายนะจะต้องเลือกผู้หญิงแบบเธอมาเป็นลูกสะใภ้แน่นอน คนอย่างจ้าวเหมยแบบนั้นฉันไม่ค่อยชอบหรอกไม่ถูกชะตาเท่าไร แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนอายุยืน!”


โอหยางซานซานได้ยินก็ขมวดคิ้วแน่น จ้องหวงอวี้เหลียนเขม็งอย่างไม่พอใจ วันนี้แม่กินยาผิดมาหรือไง?


ชมอู่เยวี่ยราวกับว่าไม่มีใครเกินแล้ว แซ่อู่นี่คู่ควรกับคำชมงั้นเหรอ?


หวงอวี้เหลียนส่งสายตาบอกเป็นนัยให้ลูกสาวใจเย็น ๆก่อน เธอมองอู่เยวี่ยที่โดนตัวเองชมจนจับต้นชนปลายไม่ถูกอย่างพอใจ


ดีมาก ทั้งหมดอยู่ในการคาดการณ์ของเธอ


หวงอวี้เหลียนถอนหายใจอย่างเสแสร้ง “เพียงแต่เสียดาย…”


อู่เยวี่ยรีบเงยหน้าขึ้นมา ถามซักไซ้เอาคำตอบว่า “น้าหวง เสียดายอะไรเหรอคะ?”


หวงอวี้เหลียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงจะพูดว่า “ฉันชอบเธอจริง ๆนะเยวี่ยเยวี่ยถึงได้เตือนเธอสักหน่อย เยวี่ยเยวี่ยได้ยินแล้วก็ปล่อยมันไปอย่าเอามาเก็บใส่ใจนะ ที่สูงพวกเราเข้าไปไม่ได้แต่ระดับกลางรับรองไม่มีปัญหา!”


คำพูดที่มาอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุทำเอาอู่เยวี่ยสับสนงงงวยไปหมด “แต่น้าหวงพูดได้ไม่เป็นไร หนูรู้น้าหวงจะต้องหวังดีต่อหนูแน่นอนค่ะ”


หวงอวี้เหลียนตบมือของอู่เยวี่ยอย่างสนิทสนม ถอนหายใจอีกครั้งแล้วพูดว่า “นิสัยและหน้าตาของเยวี่ยเยวี่ยแบบนี้ ไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย แต่มีจุดหนึ่งที่ไม่ดีวันหลังไม่ว่าจะทำงานหรือว่าแต่งงานเธอจะตัองได้รับผลกระทบแน่นอน”


“เชิญคุณน้าหวงชี้แนะ”


ใจของอู่เยวี่ยตกถึงตาตุ่ม คำพูดของหวงอวี้เหลียนแทงเข้ากลางจุดอ่อนของเธอ ทำให้เธอโดนหวงอวี้เหลียนจูงจมูกไปตามที่เขาต้องการอย่างช่วยไม่ได้


“อย่าพูดว่าช่วยชี้แนะอะไรเลย น้าแค่เสียดายแทนเธอ เดิมควรจะมีอนาคตที่สดใส แต่ตอนนี้กลับ…”


หวงอวี้เหลียนมองอู่เยวี่ยด้วยสายตาที่เห็นอกเห็นใจพูดต่อไปว่า “พวกเราเป็นผู้หญิง ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการแต่งงานอย่างยิ่งใหญ่ ผู้หญิงที่ดีเยี่ยมอย่างเธอนะอู่เยวี่ย ดีกว่าพวกคุณหนูในเมืองหลวงเสียอีก เพียงแต่น่าเสียดายที่ภูมิหลังครอบครัวของเธอแย่ไปหน่อย…”


เธอพูดอีกว่า “ก็เหมือนกับครอบครัวของพวกเรา สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเลือกลูกสะใภ้ก็คือภูมิหลังของครอบครัว นอกจากนั้นถึงจะเป็นเรื่องหน้าตานิสัยความประพฤติ เฮ้อ แม้แต่เกียรติยศนิดหน่อยก็ยังดีกว่าตอนนี้!”


มองหวงอวี้เหลียนที่ถอนหายใจส่ายหัวไม่หยุด หัวใจของอู่เยวี่ยก็เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งก็ไม่ปาน


ถึงแม้ว่าคำพูดของหวงอวี้เหลียนจะดูโหดร้ายแต่นั่นก็เป็นความจริง อีกทั้งยังบอกเรื่องที่สำคัญแก่เธออีกด้วย


ขอเพียงแค่เธอไม่ใช่ลูกสาวแม่ค้าขายปลาแต่เป็นลูกสาวของผู้จัดการบริษัท แบบนั้นเธอก็จะสามารถรู้จักครอบครัวผู้ชายได้เหมือนกับโอหยางซานซานได้แล้วล่ะสิ ใช่ไหม!


หวงอวี้เหลียนมองอู่เยวี่ยที่กำลังดำดิ่งอยู่กับความคิดก็ยิ้มอย่างเหยียดหยาม


หลังจากกินข้าวไปหนึ่งมื้อ อู่เยวี่ยและหวงอวี้เหลียนก็สนิทกันเหมือนกับแม่ลูกยังไงอย่างนั้น ‘น้าหวง’ ก็กลายเป็นคุณน้า อีกทั้งหวงอวี้เหลียนยังบอกว่าเธอจะไปอุดหนุนแผงปลาของเหอปี้อวิ๋นอีกด้วยเพื่อไม่ให้อู่เยวี่ยรู้สึกไม่สบายใจ มิหนำซ้ำยังบอกอีกว่ามีเวลาก็มาเที่ยวเล่นที่บ้านได้…


กลับถึงบ้าน โอหยางซานซานที่กำลังไม่เข้าใจเป็นอย่างมากก็ถามว่า “แม่คะ ทำไมแม่ถึงต้องทำดีกับอู่เยวี่ยขนาดนั้นด้วย?”


หวงอวี้เหลียนยิ้มแฝงความหมายลึกซึ้งและไม่ได้อธิบายอะไรมากมายกับลูกสาว พูดเพียงว่า “แม่ก็มีเหตุผลของแม่เอง ซานซานอีกสองสามวันลูกแนะนำให้หานจั่นเผิงรู้จักกับอู่เยวี่ยซะ”


ละครสนุก ๆกำลังจะแสดงในไม่ช้านี้แล้ว…


…………………………………………..


ตอนที่ 997 คอขวด


เหมยเหมยกินข้าวกับพวกอู่เชาด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วก็ต่างคนต่างกลับ ตัวเองก็ปั่นจักรยานกลับบ้านช้า ๆ ใบหน้าดูเหมือนจะครุ่นคิดวิตกกังวล


เมื่อกี้ตอนที่หวงอวี้เหลียนกำลังจะออกไปหันมายิ้มให้เธอด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาด อีกทั้งยังมีความลำพองใจอยู่หน่อย ๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่สายตาของหวงอวี้เหลียนเพียงแวบเดียวแต่เธอบังเอิญเงยหน้าขึ้นมาพอดี จึงทำให้มองเห็นอย่างชัดเจน


ทำไมหวงอวี้เหลียนถึงได้ยิ้มแบบนั้น?


หรือว่าเธอจะคิดเล่ห์เพทุบายอะไรได้อีกแล้ว?


เหมยเหมยไม่กล้าดูถูก แต่ไหนแต่ไรมาแม่ลูกโอหยางซานซานชอบคิดว่าตัวเองสูงส่ง คนแปลกหน้าปกติธรรมดาพวกเธอยังไม่แม้แต่จะชายตามอง แต่สามปีมานี้โอหยางซานซานกลับใกล้ชิดสนิทสนมกับอู่เยวี่ยมาก อีกทั้งหวงอวี้เหลียนยังเลี้ยงข้าวอู่เยวี่ยอีก…


ใจของเธอตกถึงตาตุ่ม สะดุ้งโหยงไปทั้งตัว!


เธอประมาทเกินไป คิดว่าแม่ลูกหวงอวี้เหลียนจะโดนข้อมูลในมือของเธอทำให้หวาดกลัวไปแล้วจนไม่กล้าทำอะไรอีก แต่เธอกลับลืมไปว่าสันดานคนมันเปลี่ยนไม่ได้  คนอย่างหวงอวี้เหลียนและโอหยางซานซานจะรู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัวได้อย่างไรกัน?


พวกเธอตั้งใจใกล้ชิดกับอู่เยวี่ยจะต้องกำลังคิดวางแผนอะไรไม่ดีอยู่เป็นแน่!


เหมยเหมยที่คิดได้แล้วก็วางใจ เดิมทีวางแผนที่จะใช้ชีวิตมัธยมปลายอย่างสงบ ๆ ดูท่าความใฝ่ฝันนี่คงจะทำไม่ได้แล้ว!


ช่างมัน เริ่มจากอู่เยวี่ยก็แล้วกัน!


สามปีมานี้ไม่ได้ทารุณนังสารเลวนี่ หัวใจของเธอคันยุบยิบไปหมดแล้วจริง ๆ!


ลำดับแรกเธอต้องเพ่งเล็งไปที่อู่เยวี่ย ดูว่าเธอคิดอยากจะทำอะไร!


เหยียนซินหย่าวาดรูปอยู่ที่ห้องวาดภาพอยู่ สามปีที่ผ่านมาชื่อเสียงในวงการของเธอเพิ่มขึ้นไปอีก ฝีมือในการวาดรูปนั้นไม่มีปัญหา ทั้งเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของเหยียนตานชิง เป็นภรรยาของผู้นำเมืองจินและเป็นถึงลูกสะใภ้ของตระกูลจ้าวในเมืองหลวงอีกด้วย…


คนที่มีโดดเด่นออร่าจับแบบนี้ แม้ว่าเหยียนซินหย่าจะไม่อยากได้รับความสนใจก็คงยาก!


ยิ่งไปกว่านั้นภาพเขียนของเธอไม่เพียงแต่ขายดีในประเทศเท่านั้น แต่ในตลาดต่างประเทศก็ยังได้รับความนิยมมากอีกด้วย แน่นอนว่าเธอสู้เซียวจิ่งหมิงไม่ได้แต่เธอก็มีชื่อเสียงกว่าตานเหอเจิ้งสามคนเยอะเลย


แน่นอนว่าตานเหอเจิ้งสามคนนั้นก็รู้จักฐานะที่แท้จริงของเหยียนซินหย่า ยิ่งได้รู้ถึงเหตุผลว่าทำไมปีนั้นเหมยเหมยถึงได้พุ่งเป้ามาที่พวกเขาอยู่เสมอก็ทั้งโมโหทั้งเกลียดทั้งร้อนใจ


“แม่คะ เข้าไปได้ไหมคะ?”


เหมยเหมยถามเสียงเบา เสียงอันนุ่มนวลอ่อนโยนของเหยียนซินหย่าก็ดังขึ้น “เข้ามาเถอะ”


สามปีที่ผ่านมาไม่ทิ้งริ้วรอยอะไรไว้บนตัวของเหยียนซินหย่าเลยตรงกันข้ามกลับสวยขึ้นอีก ทำเอาละสายตาไม่ได้เลย


“ลงทะเบียนเสร็จแล้วเหรอ? เพื่อนใหม่เป็นไงบ้าง? น่าคบหาไหม?” เหยียนซินหย่าวางพู่กันลงดึแล้วงลูกสาวมามองอย่างเอ็นดู


เหมยเหมยยักไหล่ “ไม่รู้ค่ะ ไม่รู้จักทั้งหมด แม่คะ นี่คือภาพที่เพื่อนของคุณอาเซียวอยากได้ใช่ไหมคะ? วาดได้ดีจริง ๆ!”


แกลเลอรี่ของเซียวจิ่งหมิงนั้นเป็นรูปแบบธุรกิจ ซึ่งไม่เพียงแต่ขายภาพวาดของเขาเองแต่ยังขายภาพวาดโดยจิตรกรที่มีชื่อเสียงคนอื่น ๆด้วย หรือพวกศิลปินเยาวชนที่มีศักยภาพในการวาดรูปก็แขวนภาพไว้เพื่อขายด้วยเช่นกัน ช่วงสามปีที่ผ่านมาเหยีนซินหย่าและเซียวจิ่งหมิงร่วมมือกันทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว


“ใช่แล้ว ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็ต้องส่งของแล้ว เหมยเหมยช่วยแม่ดูหน่อย มีตรงไหนที่ต้องเติมอีกไหม?” เหยียนซินหย่ารู้สึกไม่ค่อยพอใจกับภาพวาดเท่าไร มักจะรู้สึกว่ามีตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง


เหมยเหมยมองอยู่พักหนึ่ง ก็พูดอย่างตรงไปตรงมา “แม่คะ พวกเราไปอยู่ที่บ้านพักตากอากาศของคุณตาสักสองสามวันไหมคะ? เรื่องวาดรูปพวกเราไม่ต้องรีบร้อน อีกครู่ค่อยโทรศัพท์หาคุณอาเซียวบอกว่าขอส่งช้าหน่อยสักสองสามวัน”


เหยียนซินหย่าเข้าใจถึงความหมายของลูกสาวก็คิ้วขมวด เธอจึงเอารูปปลาที่เพิ่งวาดเสร็จทำลายทิ้งอย่างไม่ลังเล เหมยเหมยเองก็ไม่ไปขัดขวางเธอเช่นกัน


ทักษะการวาดภาพของเหยียนซินหย่าดีมากแต่ตอนนี้ภาพเขียนของเธอขาดอรรถรสไปหน่อย ซึ่งนั้นหมายถึงเธอกำลังติดอยู่ที่คอขวดยังถ่ายทอดอารมณ์การวาดภาพออกมาไม่ได้ และเธอต้องการพักผ่อนเพื่อเติมพลังให้กับตัวเอง


“พวกเราไปซื้อกุ้งกันเถอะ เย็นวันนี้พ่อของลูกจะกลับบ้านมากินข้าวบ้าน” เหยียนซินหย่ายิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หยิบกระเป๋าเงินและดึงลูกสาวออกไปจ่ายตลาด


ตอนที่ 998 เมื่อศัตรูได้พบหน้ากัน อารมณ์โกรธแค้นจะรุนแรงเป็นพิเศษ


“เอ๊ะ ที่นี่คือตลาดสดเปิดใหม่นี่น่า แม่คะ พวกเราเข้าไปดูกันหน่อยดีกว่า!”


เหมยเหมยชี้ไปที่ตลาดสดซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักราชการไม่ถึงครึ่งเมตร แล้วดึงเหยียนซินหย่าไปจ่ายตลาดที่ตลาดสดเปิดใหม่ วันร้อน ๆแบบนี้เธอไม่อยากเดินอ้อม


ตลาดสดเปิดใหม่นั้นสะอาดมาก ๆและมีสินค้าครบถ้วน แบ่งสินค้าอย่างชัดเจน ลูกค้ามาซื้อของจับจ่ายใช้สอยไม่น้อยดูเหมือนจะเป็นครอบครัวในบ้านพักราชการ   พวกเขามองเห็นแม่ลูกเหยียนซินหย่าต่างก็กล่าวต้อนรับอย่างกระตือรือร้น


สมาชิกของครอบครัวคนรวยและมีเงินจำนวนมาก ใครบ้างล่ะจะกล้าไม่ทักทาย?


“แม่คะ หอยลายแผงนี้ไม่เลว พวกเราซื้อหอยลายพวกนี้กลับไปผัดกันเถอะค่ะ!”


ตลาดสดที่นี่มีแผงขายปลาอยู่สามแผง เป็นแผงค้าที่มีคู่สามีภรรยาเป็นเจ้าของ พื้นที่ก็พอ ๆกันทั้งหมด เหมยเหมยสนใจแผงขายหอยลายแผงหนึ่ง ซึ่งหอยแผงนี้ค่อนข้างที่จะสดจึงดึงเหยียนซินหย่าไปทางแผงนั้น


หอยลายของเราเป็นหอยลายที่สดที่สุดในเมืองจิน และยังมีปู กุ้ง สดแบบยังกระโดดทั้งนั้นเลย!”


เจ้าของแผงขายปลาเป็นชายอายุประมาณสี่สิบถึงห้าสิบปี ตัวค่อนข้างเตี้ย ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา ผมมันเงา ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและรอยยิ้มที่แสนอัปลักษณ์ ทักทายสองแม่ลูกเหมยเหมย ในแววตาเปล่งประกาย


แม่ลูกคู่นี้สวมใส่เสื้อผ้าที่ดูออกว่าเป็นคนรวย สามารถซื้อปูขนขนาดใหญ่ได้ ต้องกล่าวทักทายอย่างดีสิ!


ภรรยาของเจ้าของแผงนั่งยอง ๆบนที่ฆ่าปลา ผมเผ้ายุ่งเหยิงและยังมีผมหงอกมากมาย เหมยเหมยเหลือบมองแค่แวบเดียวแล้วก็ไม่ได้สนใจอีก ถือกระบวยไปตักหอยลายด้วยตัวเอง ไม่ให้พ่อค้าเจ้าของแผงตักให้


“สาวน้อยเอาปูไปหน่อยไหม? ดูสิ สดมากนะ!”


เจ้าของแผงจับปูมาสองตัวดูแล้วน่าจะหนักสักเจ็ดแปดร้อยกรัม แยกเขี้ยวดิ้นไปมาดูสดมาก เพียงแต่เหมยเหมยมองแวบเดียวก็จับทริคเล็ก ๆน้อย ๆของเขาออก


“เถ้าแก่เอาปูวางไว้บนพื้น ดูสิว่าปูมันคลานได้ไหม?” เหมยเหมยยิ้มเยาะพูด


ปูตัวนี้สีของมันดูเหมือนตายไปตั้งนานแล้ว ส่วนที่มันสามารถขยับได้ก็เป็นเพราะมือของเจ้าของแผงกำลังทำอยู่ เป็นเพราะทำอย่างรวดเร็ว ลูกค้าที่ไม่มีประสบการณ์ส่วนใหญ่มักถูกหลอกทั้งนั้น


เจ้าของแผงยิ้มแห้งรู้แล้วว่าได้พบกับผู้ชำนาญจึงวางปูลงไปในน้ำ ตักปูขึ้นมาใหม่อีกตัว พูดด้วยความจริงใจที่สุดว่า “ตัวนี้สดอย่างแน่นอน!”


เหมยเหมยส่งเสียงฮึเบา ๆไม่อยากจะพูดกับเจ้าของแผงมาก สิ่งที่ไม่ชอบที่สุดก็คือเจ้าของแผงที่ไม่ซื่อสัตย์แบบนี้ ชั่งขาดไปนิดหน่อยไม่ว่าแต่ขายของด้อยคุณภาพอีกด้วย ช่างใจดำจริง ๆ


ทางด้านของเหยียนซินหย่าก็เลือกเอาปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งหนักประมาณครึ่งกิโลมาหนึ่งตัว แล้วก็ให้เจ้าของแผงฆ่าให้


“รีบ ๆฆ่ามันให้ลูกค้าเร็วเข้า ทำให้มันเร็ว ๆหน่อย อืดอาดยืดยาด ทำไมกูต้องมาเลี้ยงคนที่ใช้การไม่ได้อย่างมึงไว้ด้วยว่ะ!”


เจ้าของแผงทุบปลาให้หมดสติบนพื้นแล้วก็เตะผู้หญิงตรงหน้า เต๊ะท่าวางอำนาจสั่งการ ผู้หญิงกลับไม่ส่งเสียงต่อต้านแม้แต่น้อย ดูท่าทางคงจะชินกับการโดนสามีด่าต่อหน้าผู้คนแล้ว


“เสร็จแล้ว”


การเคลื่อนไหวของผู้หญิงนั้นรวดเร็วมากไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ฆ่าปลาจนเสร็จ เอาปลาใส่ในถุงพลาสติก โค้งเอวลุกขึ้นส่งถุงพลาสติกให้เหยียนซินหย่า เมื่อทั้งคู่สบตากันต่างก็ตกตะลึง


“เพี๊ยะ”


ผู้หญิงมือสั่นจนถุงพลาสติกตกลงบนพื้น เลือดสด ๆของปลาไหลออกมา รวมถึงไขมันสีขาวและเครื่องในสีเหลืองกระจายเต็มพื้น


เหมยเหมยก็เห็นหน้าตาของผู้หญิงคนนี้อย่างชัดเจนเช่นกัน ที่แท้ก็เป็นเหอปี้อวิ๋นที่โผล่มาอย่างกะทันหันนี่เอง


คาดไม่ถึงว่าสามีของเหอปี้อวิ๋นจะเป็นคนขายปลาในตลาดเปิดใหม่ นั่นจึงทำให้พวกเธอบังเอิญเจอกันพอดี!


เหยียนซินหย่าหน้าขรึมขึ้นมาทันทีแต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไร เหอปี้อวิ๋นกลับเริ่มก่อน เสียงแสบแก้วหูที่ทำให้คนฟังแล้วรู้สึกไม่สบายหูเป็นอย่างมากดังขึ้น


“เหยียนซินหย่าแกตั้งใจมาหัวเราะเยาะฉันใช่ไหม? ตอนนี้แกพอใจหรือยัง? ปลาของฉันไม่ขายให้แก แกไสหัวไปเลยนะ……”


เหอปี้อวิ๋นท่าทางดูบ้าคลั่ง ดวงตาแดงก่ำ ยกเท้าย่ำปลาที่ตายไปแล้วจนเละเทะไปหมด น่ารังเกียจอย่างหาอะไรเทียบไม่ได้


………………………………………….


ตอนที่ 999 คนต่ำต้อย


พฤติกรรมที่บ้าคลั่งของเหอปี้อวิ๋นดึงดูดสายตาทุกคนในตลาด หลังจากนั้นไม่นานแผงขายปลาก็ถูกล้อมอย่างหนาแน่น


“พวกแกสองคนนังสารเลว พวกแกทำร้ายลูกฉันจนตาย ยังทำร้ายเยวี่ยเยวี่ยของฉันอีก พวกแกไม่ควรตายดี…สวรรค์จะต้องลงโทษพวกแกแน่…”


ท่าทางของเหอปี้อวิ๋นบ้าขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากเหยียบปลาจนเละเธอก็เล็งไปที่หอยลาย แต่ในครั้งนี้เธอไม่สมหวัง เจ้าของแผงที่เพิ่งจะได้สติถีบโต้กลับ เหอปี้อวิ๋นถูกถีบจนล้มลงกับพื้น


“แกเป็นบ้าอะไร? ไม่ถูกฟาดแค่สามวันก็คันอยากโดนแล้วใช่ไหม?”


เจ้าของแผงมองเหอปี้อวิ๋นที่อยู่บนพื้นอย่างดุดัน  เขาค่อย ๆก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วเตะเหอปี้อวิ๋นที่กุมท้องครวญครางไปหลายครั้ง


เหมยเหมยมองจนเจ็บฟันไปหมด เท้าของผู้ชายคนนี้แรงไม่เบา เกรงว่าแม้กระทั่งกระดูกก็คงหักหมดแล้วมั้ง?


เมื่อก่อนมักจะได้ยินเจินหวานหว่านพูดบ่อย ๆ สามีคนปัจจุบันของเหอปี้อวิ๋นนั้นป่าเถื่อนมาก การทุบตีและด่าทอถือเป็นเรื่องปกติ แต่เธอคิดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะลงมืออย่างโหดเหี้ยมขนาดนี้!


แต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเธอ?


โทษที่เหอปี้อวิ๋นได้รับในตอนนี้คือบาปกรรมที่เธอได้สร้างขึ้นก่อนหน้านี้ ไม่สมควรได้รับความเห็นอกเห็นใจอะไรทั้งนั้น!


ในตอนนั้นสมัยที่เหอปี้อวิ๋นตีเธอผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เคยใจอ่อนกับเธอเหมือนกัน ตอนนี้ก็ให้ตัวเธอเองได้ลิ้มลองรสชาติที่ต้องโดนคนตบตีด่าทออยู่ทุกวันดู การจัดการแบบนี้ดีจนไม่รู้จะดีอย่างไรแล้ว!


เพียงแต่เสียดายที่นังสารเลวอู่เยวี่ยนั้นถูกเหอปี้อวิ๋นปกป้องเป็นอย่างดี ได้ยินเจินหวานหว่านบอกว่าถึงแม้ว่าผู้ชายคนนี้จะไม่ได้ดีต่ออู่เยวี่ยเท่าไรแต่ก็ไม่ได้เลวร้าย ถึงอย่างไรก็ไม่เคยลงไม้ลงมือเลยสักครั้ง


ไม่เป็นไร เธอสามารถทำให้อู่เยวี่ยได้ลิ้มลองรสชาติของการตกนรกอย่างช้า ๆได้!


ไม่รีบร้อน…ใช้มีดทื่อในการหั่นเนื้อสิถึงจะเจ็บที่สุด!


สองแม่ลูกเหมยเหมยมองผู้ชายที่สั่งสอนเหอปี้อวิ๋นอย่างเย็นชา สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย แต่ก็มีลูกค้าบางคนทนดูไม่ได้และต้องการเข้าไปไกล่เกลี่ย แต่พวกเขาก็ถูกห้ามโดยเจ้าของแผงคนอื่น


“พวกคุณไม่ต้องไปยุ่งเรื่องของคนอื่นให้มากนัก ไม่ควรเอาตัวเข้าไปยุ่งกับครอบครัวนี้ ไม่งั้นต่อไปจะหนีก็หนีไม่พ้น”


เมื่อลูกค้าได้ฟังก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่งและถอยกลับมามองดูความวุ่นวายจากที่ไกล ๆ


หลังจากที่เหมยเหมยมองดูอยู่นานก็ค้นพบบางอย่าง ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะไร้ความปรานี แต่เขาก็หลีกเลี่ยงจุดสำคัญ เหอปี้อวิ๋นจึงได้รับบาดเจ็บแค่ถลอกนิดหน่อยเท่านั้น


แน่นอนว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้อยากทะนุถนอม แต่เขาแค่กังวลว่าจะไม่มีคนทำงานให้!


ชายคนนี้ด่าไปทุบตีไปหลายนาทีจากนั้นจึงหยุดลงแล้วหันไปยิ้มให้พวกเธอ “ภรรยาของผมสติไม่ดี คุณลูกค้าอย่าโกรธไปเลย ผมจะล้างปลาให้พวกคุณสะอาด ๆเลย”


เขาพูดแล้วหยิบปลาที่เหอปี้อวิ๋นเคยเหยียบบนพื้น ที่จริงมันมีแค่ไข่ปลาและกระเพาะปลาที่เละ ตัวปลาไม่เป็นอะไร แต่มันค่อนข้างดูน่าสะอิดสะเอียน ดูท่าชายคนนี้ตั้งใจจะขายปลาตัวนี้ให้กับพวกเหมยเหมยอีกครั้ง!


แต่ใช่ว่าคนอื่นจะโง่!


เหยียนซินหย่าขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่พอใจและบอกกับเจ้าของแผงว่า “เราไม่ต้องการปลาตัวนี้แล้ว หอยลายก็ไม่ต้องการแล้วเหมือนกัน ถ้าภรรยาสติไม่ดีก็เอาไปดูแลอยู่ในบ้าน อย่าปล่อยให้ออกมากัดคนอื่นไปทั่วเหมือนกับหมาบ้าสิ”


เหมยเหมยแอบยกนิ้วโป้งให้แม่ของเธอ เธอเป็นห่วงว่าเหยียนซินหย่าจะใจอ่อนเมื่อเห็นสภาพที่น่าเวทนาของเหอปี้อวิ๋นเสียอีก!


เหยียนซินหย่าจูงเหมยเหมยไปแผงขายปลาร้านอื่น เธออารมณ์ไม่ดีอย่างมาก แค่ออกมาซื้อกับข้าวกลับต้องมาเจอคนบ้าอย่างเหอปี้อวิ๋นเข้า ซวยจริง ๆเลย!


เจ้าของแผงได้ยินก็ร้อนใจทันที เขาไม่กล้าโมโหใส่เหยียนซินหย่าจึงหันมาเตะเหอปี้อวิ๋น โดยหวังว่าสองแม่ลูกเหยียนซินหย่าจะออกมาห้ามเขา แล้วเขาจะได้มีเหตุผลในการขอให้พวกเธอซื้อปลา!


วิธีนี้เขาใช้มาหลายครั้งและสำเร็จทุกครั้งเสียด้วย!


ตอนที่ 1000 บ้าไปแล้ว


เหอปี้อวิ๋นเพิ่งจะหายใจได้สะดวก จากที่ต้องการจะยันตัวลุกขึ้นแต่กลับถูกชายคนนี้เตะล้มลงกับพื้นอีกครั้ง


“ไร้ประโยชน์ ยังไม่ไหว้ขอโทษลูกค้าอีก ถ้าขายปลาตัวนี้ไม่ได้ล่ะก็ ฉันจะให้ลูกสาวของแกออกจากโรงเรียน สอบตกยังจะเรียนอะไรอีกมันเปลืองเงินฉัน!”


ผู้ชายยิ่งด่ายิ่งโกรธ ก่อนหน้านี้เขาได้จัดหาครอบครัวเพื่อให้แต่งงานกับกับอู่เยวี่ย และอีกฝ่ายจะให้สินสอดเป็นเงินจำนวนมากด้วย เขาคิดว่านอกจากต้นทุนในการเลี้ยงดูอู่เยวี่ยแล้ว เขายังสามารถทำกำไรได้อีกเล็กน้อย


เขาดีดลูกคิดไว้ดีแล้วแต่เหอปี้อวิ๋นไม่เห็นด้วยอย่างมาก แถมยังเป็นบ้าไล่ตีฝ่ายชายอีกด้วย และงานเกี่ยวดองครั้งนี้ก็ได้ถูกล้มเลิกไป


จากที่ผู้ชายดีดลูกคิดวางแผนไว้แล้วก็ได้ล้มพังไม่เป็นท่า  เมื่อคิดว่านอกจากจะไม่สามารถหาเงินได้แล้วแถมยังต้องเลี้ยงอู่เยวี่ยต่อไปอีกหลายปีเขาก็โมโหจนไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้ด่าและใช้กำลังรุนแรงมากขึ้น!


อู่เยวี่ยเป็นจุดอ่อนของเหอปี้อวิ๋น  เธอกล้ำกลืนความเจ็บช้ำน้ำใจจากผู้ชายตรงหน้าก็เพราะต้องการให้ลูกสาวได้เรียนหนังสืออย่างสบายใจ และสามารถสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่ดีได้ในอนาคต เหนือกว่าคนอื่น และให้เธอได้เชิดหน้าชูตาอีกครั้ง!


คำพูดของผู้ชายทำให้เหอปี้อวิ๋นสะเทือนใจ ดวงตาแข็งกร้าวและดูท่าทางเหมือนกับจิตไม่ปกติ


หรือบางทีสภาพจิตใจของเธอจะมีปัญหาแล้วจริง ๆ!


“แกอย่าได้มีความคิดที่จะตีเยวี่ยเยวี่ย ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าแก…”


ไม่รู้ว่าเหอปี้อวิ๋นเอาแรงมาจากไหน เธอผลักชายคนนั้นออกไป แล้วหยิบกรรไกรผ่าปลาขึ้นมาจากพื้นพร้อมตะโกนใส่ผู้ชายคนนั้นด้วยเสียงที่แหบแห้ง


ผมเผ้าของเธอยุ่งเหยิง กรรไกรยังคงเปื้อนเลือดและมือของเธอก็เปื้อนเลือดเช่นกัน ใบหน้าของเธอดูดุร้ายจนทำให้คนที่มุงชมอยู่กลัวจนก้าวถอยหลัง เหยียนซินหย่าก็ลากเหมยเหมยถอยหลังไปหลายก้าวเช่นกัน


เหอปี้อวิ๋นทำให้ผู้ชายคนนั้นตกใจจนผละถอยไปหลายก้าว และหันกรรไกรไปที่พวกเหมยเหมย ตอนนี้จิตใจของเธอฮึกเหิมมากแล้วก็อันตรายมากเช่นกัน


เหมยเหมยขมวดคิ้วแน่น นึกไม่ถึงว่าเหอปี้อวิ๋นจะบ้าไปแล้วจริง ๆ!


นี่มันยากที่จะจัดการแล้ว คนบ้ามีเอกสิทธิ์ทางสังคมมากเกินไป!


“แล้วผู้คุมตลาดล่ะ? ทำไมปล่อยให้คนบ้ามาขายปลาที่ตลาด คนบ้าฆ่าคนไม่ผิดกฎหมายนะ แบบนี้ใครจะกล้ามาจับจ่ายในตลาดนี้!”


เหมยเหมยกระทำการอย่างฉลาด แกล้งทำเป็นร้องตะโกนด้วยความกลัว เจ้าของแผงและลูกค้าคนอื่น ๆต่างตกใจกลัวจนถอยหลังไปอีกหลายก้าว


“สาวน้อยพูดถูก ถ้าเราโดนคนบ้านี่ทำร้าย ไม่ตายก็ดีไปแต่ถ้าตายก็ถือว่าตัวเองซวยไป โอ๊ย ฉันยอมเดินมากขึ้นหน่อยไปที่ตลาดเก่าดีกว่า!”


“ไม่ได้การละ เราต้องให้ผู้ดูแลมาอธิบายเหตุผล ไม่ก็คืนเงินค่าแผงของเราหรือไม่ก็ให้ผู้หญิงบ้านี่ย้ายแผงออกไป!”


พ่อค้าแม่ค้าคนอื่น ๆไม่ขายของกันอีกต่อไป ลูกค้าก็ไม่มาจ่ายตลาดแล้ว พวกเขาจะทำธุรกิจต่อได้อย่างไรล่ะ?


ทั้งครอบครัวจะกินลมกินทรายแทนหรืออย่างไร?


“ฉันไม่ได้บ้า พวกแกสิบ้า! นังสารเลวจ้าวเหมยมันพูดจาซี้ซั้ว ฉันจะฆ่าแก…”


เหอปี้อวิ๋นบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอถือกรรไกรวิ่งไปหาเหมยเหมยด้วยความเร็วสูง เหยียนซินหย่าตกใจจนรีบพุ่งตัวมาบังหน้าลูกสาวเพื่อปกป้องเธอ แต่กลับถูกเหมยเหมยผลักออก


สามปีที่ผ่านมานี้เธอไม่ได้อยู่เฉย ๆ ตอนเช้าเธอตื่นมาวิ่งทุกวัน และยังลงทะเบียนเรียนเทควันโดอีกด้วย


โครงสร้างกระดูกของเธออ่อน ถึงแม้ว่าแรงของเธอจะน้อยไปหน่อยแต่ก็ยืดหยุ่นคล่องแคล่วมาก ถือว่าเสียแรงลงเรียนนิดหน่อยแต่ได้รับผลดีกลับมาไม่น้อยจนเธอได้ถึงสายแดง ทำให้มีความสามารถในการป้องกันตนเองเล็กน้อย


“เหมยเหมย…”


เหยียนซินหย่ามองเหอปี้อวิ๋นที่พุ่งไปทางเหมยเหมย ตกใจจนวิญญาณเกือบหลุดออกจากร่าง ภายใต้สถานการณ์อันคับขันแบบนั้นเธอเลยปากระเป๋าเงินในมือใส่เหอปี้อวิ๋น


เหมยเหมยยืนอย่างใจเย็นสบาย ๆ ร่างกายออกแรงเบา ๆก็ปัดกรรไกรของเหอปี้อวิ๋นหลุดกระเด็นไป ต่อด้วยเตะกลับหลังอย่างสวยงามเข้ากลางหน้าของเหอปี้อวิ๋นอย่างจัง


………………………………………….


ตอนที่ 1001 ถูกส่งเข้าโรงพยาบาลประสาท


เหอปี้อวิ๋นถูกเหมยเหมยเตะเข้าที่หัวทำให้กรรไกรในมือตกพื้นเพราะความเจ็บ เหมยเหมยจึงรีบเข้าไปเตะกรรไกรออกไปให้พ้นตัว


จากนั้นกระเป๋าสตางค์ของเหยียนซินหย่าก็บินร่อนมากระแทกเข้าที่หัวเหอปี้อวิ๋นพอดิบพอดี แต่กระเป๋าสตางค์มันนุ่มเลยไม่สามารถทำอะไรเหอปี้อวิ๋นได้


เหยียนซินหย่าพุ่งมาด้วยความโกรธ คว้ากระชอนสแตนเลสหน้าร้านทุบเหอปี้อวิ๋นอย่างไม่ออมแรง


“เธอยังกล้าทำร้ายเหมยเหมยของฉันอีกหรอ? นังคนจิตใจชั่วช้า ฉันจะตีเธอให้ตาย… ”


เหยียนซินหย่าไม่ได้สนใจภาพลักษณ์อะไรอีก ขณะนี้มีเพียงความคิดเดียวคือซ้อมนังตัวกาลกิณีเหอปี้อวิ๋นนี่เสีย!


เพียงแต่มือที่ใช้จับแต่ปากกาดินสอไปวัน ๆ จะไปสู้กับมือที่ถือมีดอย่างเหอปี้อวิ๋นได้อย่างไร?


เมื่อเห็นว่าเหอปี้อวิ๋นกำลังจะเอาคืนเหมยเหมยจึงจะเข้าไปช่วย  แต่ชาวบ้านในชุมชนเดียวกันเข้ามาห้ามทัพไว้ก่อน ตอนนี้จึงถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะประจบประแจง หากไม่รีบมาพวกเขาต้องเสียโอกาสนี้ไปแน่!


ไม่นานผู้ดูแลตลาดแห่งนี้ก็มาถึงเป็นคุณลุงอายุราวห้าสิบหกสิบปี พอเขาได้ยินว่าเหอปี้อวิ๋นเอามีดขู่ลูกค้าเลยรีบวิ่งกระหืดกระหอบมาด้วยความตกใจ ระหว่างทางก็ได้ยินคนพูดกันว่าฝ่ายที่โดนทำร้ายคือภรรยาและลูกสาวของผู้ว่าก็ทำเอาชายชราผู้น่าสงสารเกือบช็อกตายคาที่


แม่ค้าปลาคนนี้รีบไสหัวไปได้แล้ว!


จะอยู่ต่อไม่ได้เด็ดขาด เขายังหวังพึ่งเงินจากตลาดนี้เลี้ยงดูตัวเองยามแก่อยู่นะ!


เห็นสองแม่ลูกเหยียนซินหย่าไม่บาดเจ็บผู้ดูแลก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเฮือกใหญ่ รีบก้มหัวโค้งคำนับให้พวกเหมยเหมยอย่างรู้สึกผิดก่อนหันไปทำหน้าดุดันแล้วตำหนิสามีเหอปี้อวิ๋นเสียงเข้ม


“ค่าเช่าที่คืนให้พวกนายไป พรุ่งนี้ไม่ต้องมาขายแล้ว ถ้ารู้มาก่อนว่าเมียนายเป็นคนบ้า ฉันไม่มีทางให้พวกนายเข้ามาที่ตลาดนี้ด้วยซ้ำ!”


ชายชราพูดจริงจังด้วยใบหน้าอย่างผู้มีอำนาจตัดสินใจ


สามีของเหอปี้อวิ๋นพูดโน้มน้าวไปตั้งมากมาย แต่ชายชรากลับไม่สนใจเขา บอกแค่ให้พวกเขาไสหัวไปตั้งแต่พรุ่งนี้ ไม่มีการอนุโลมใด ๆ


เหมยเหมยนั้นไม่ยอมปล่อยเหอปี้อวิ๋นไปทั้งอย่างนี้ เธอบอกผู้ดูแลอีกว่า “ฉันจะแจ้งตำรวจ เมื่อกี้คนบ้านี้เอากรรไกรพุ่งมาจู่โจมฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะฉันหลบได้ทันอาจจะไม่รอดแล้วก็ได้ คนบ้าแบบนี้ต้องจับส่งโรงพยาบาลประสาท ไม่งั้นใครจะรับประกันได้ว่าคราวหน้าเธอจะไม่ฆ่าคนอีก!”


“ใช่ใช่ใช่ ต้องแบบนี้แหละ ส่งเข้าโรงพยาบาลประสาทไม่ต้องปล่อยออกมาอีกตลอดชีวิต!” คนอื่นพูดคล้อยตาม


“ฉันไม่ได้บ้า จ้าวเหมยนางแพศยา เธอกล้าใส่ร้ายฉัน เธอทำร้ายเยวี่ยเยวี่ยของฉันแล้วตอนนี้ก็มาทำร้ายฉัน เธอจะไม่ได้ตายดี…”


เหอปี้อวิ๋นที่ถูกผู้ชายหลายคนควบคุมตัวไว้บิดตัวไปมาร้องโวยวาย สายตาที่มองไปทางสองแม่ลูกเหมยเหมยน่าหวาดกลัวอย่างมาก


“เธอหุบปาก กลับบ้านแล้วฉันค่อยจัดการเธอ!”


สามีของเธอตบหน้าเธออย่างแรงไปหนึ่งทีด้วยอารมณ์โกรธ แผงตลาดนี้ไม่ใช่ง่าย ๆ กว่าเขาจะได้มา ตอนนี้ยังขายได้ไม่เท่าต้นทุนเลย ถ้าเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ตั้งแผงขาย แล้วเขากับลูกชายจะกินจะดื่มอะไร?


และลูกชายก็ยังไม่ได้แต่งงานเลย!


เหมยเหมยพูดเย้ยหยัน “ลูกสาวของเธออู่เยวี่ยเลือกเดินผิดทางเอง ซ้ำชั้นแล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน? เหอปี้อวิ๋นเธออย่าไล่กัดคนอื่นเหมือนหมาบ้า!”


“ไม่จริง เยวี่ยเยวี่ยของฉันคือนักเรียนดีเด่น ทั้งเป็นเด็กดีทั้งเรียบร้อย เธออย่าคิดที่จะทำลายชื่อเสียงเยวี่ยเยวี่ยของฉัน…”


เหอปี้อวิ๋นตวาดเสียงดังอย่างร้อนใจ สายตาที่มองเหมยเหมยเหมือนจะเขมือบเธอยังไงอย่างนั้น!


เธอไม่อนุญาตให้ใครมาทำลายชื่อเสียงของเยวี่ยเยวี่ย ไม่อย่างนั้นเธอจะสู้กับคนนั้นสุดชีวิต!


“นักเรียนดีเด่น? เหอะ…สอบได้ที่โหล่ทุกปี นักเรียนแบบนี้คือนักเรียนดีเด่น? เหอปี้อวิ๋นในหัวเธอมีแต่ขี้เลื่อยสินะ!”


เหมยเหมยพูดเยาะเย้ยไปยกหนึ่งอย่างไร้ความปราณีจนคนอื่นหัวเราะเสียงดังครืน มองเหอปี้อวิ๋นที่กำลังคลุ้มคลั่งด้วยสายตาเหยียดหยาม


ตอนที่ 1002 ขุดหลุมให้อู่เยวี่ย


เจ้าของแผงอื่น ๆ ต่างทำหน้าเย้ยหยัน เมื่อก่อนเหอปี้อวิ๋นชอบพูดอวดกลางตลาดว่าลูกสาวของเธอเป็นนักเรียนดีเด่นของโรงเรียนอีจง ทั้งยังหน้าตาสวยแล้วคะแนนเรียนก็ยังดี แถมยังได้ที่หนึ่งทุกปี


พวกเขาก็เชื่อแบบนั้นเพราะปกติอู่เยวี่ยมาที่ตลาดไม่บ่อยนัก อย่างมากก็อยู่แค่หนึ่งถึงสองนาที ดูเผิน ๆ อู่เยวี่ยก็เหมือนนักเรียนดีเด่นจริง ๆ


สงบเรียบร้อยหน้าตาน่ารักและดูสะอาดสดใส ดูไม่น่าใช่ลูกสาวของป้าขายปลาอย่างเหอปี้อวิ๋นเลยสักนิดเดียว


ตอนนั้นพวกเขายังนึกอิจฉาเหอปี้อวิ๋นที่โชคดีมีลูกสาวยอดเยี่ยมขนาดนี้


แต่ตอนนี้…


“โอ้ ที่แท้ก็ที่โหล่ ยังมีหน้ามาพูดโม้ ว่าที่หนึ่งของชั้น? ถุย!”


“นั่นสิ โม้เก่งจริง ๆ !”


……


เหอปี้อวิ๋นคำรามด้วยความโกรธจนคนที่เห็นต่างผวารีบหุบปาก กลัวจะไปกระตุ้นความโกรธของยัยบ้านี่เข้า พวกเขาต้องงานเข้าแน่!


ตำรวจก็มาที่นี่ด้วย นั่นเพราะคุณนายและลูกสาวของผู้ว่าถูกคนบ้าจู่โจม เรื่องนี้สะเทือนไปถึงสารวัตร พวกเขาจึงเปิดสัญญาณไซเรนมาตลอดทาง


ไม่ต้องให้เหยียนซินหย่ากับเหมยเหมยเอ่ยปาก ชาวบ้านผู้กระตือรือร้นคนอื่น ๆ ต่างก็ช่วยพูดกันคนละประโยคสองประโยคจนเสร็จสรรพ


เจตนาทำร้ายนั้นเป็นเรื่องจริง ตำรวจจึงตรงเข้าไปจับเหอปี้อวิ๋นใส่กุญแจมือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง บอกแค่ว่าจะพากลับไปคุมขัง สามีของเธอนิ่งชะงักไปทันที


เหอปี้อวิ๋นถูกจับแล้วใครจะช่วยเขาฆ่าปลาขายปลา?


ชายคนนั้นขอร้องตำรวจไม่หยุด ขอให้พวกเขาช่วยอนุโลมสักครั้งพร้อมรับปากว่าหลังจากนี้จะช่วยจับตาดูเหอปี้อวิ๋นให้ดี…


เหมยเหมยตะโกนเสียงดัง “คุณยังอยากให้เมียสติไม่ดีของคุณมาทำร้ายคนอื่นกลางตลาดอีกเหรอ? แม่คะ หลังจากนี้เราไม่ต้องมาซื้อกับข้าวที่ตลาดนี้อีก เมื่อกี้หนูตกใจมากเลย!”


คนอื่นเองก็พากันตำหนิไม่หยุดจนผู้ชายคนนั้นหน้าชาไม่กล้าตอบโต้แม้แต่ประโยคเดียว


เหมยเหมยนึกอะไรดีๆ ขึ้นมาได้อีกจึงบอกชายผู้นั้นอย่างหวังดี “คุณยังมีลูกสาวอีกคนไม่ใช่หรือไง ก็ให้เธอมาช่วยคุณขายปลาสิ!”


ตาของชายผู้นั้นเป็นประกาย นั่นสิ นังบ้าคนนั้นทำงานไม่ได้ก็ให้ลูกติดมาทำแทน


คิดได้เช่นนี้ชายผู้นั้นก็สนเหอปี้อวิ๋นอีก เพราะเขาก็เบื่อหน่ายยัยบ้าคนนี้มานานจนไปมีผู้หญิงคนอื่นแล้ว เหตุผลที่ไม่ยอมหย่าเพราะเขาแค่ต้องการทาสมาคอยทำงานให้ฟรีสักคน อีกทั้งยังเป็นกระสอบทรายที่คอยรองรับอารมณ์ของเขา


สิ่งที่สำคัญที่สุดค่าสินสอดสำหรับลูกติดอย่างอู่เยวี่ยเขายังไม่ได้มาเลย!


เหอปี้อวิ๋นที่กำลังเดือดพล่านถูกตำรวจพาตัวไป แผงขายปลาอยู่ในสภาพที่ยุ่งเหยิงของกระจัดกระจายเกลื่อน เหยียนซินหย่าเก็บกระเป๋าสตางค์แล้วไปซื้อปลาที่ร้านอื่น แถมยังซื้อปูม้าตัวอวบสองตัว แล้วกลับบ้านพร้อมเหมยเหมย


“แม่คะ รอจนกว่าคุณพ่อกลับมา แม่ช่วยบอกเขาให้ที่ว่าช่วยขังเหอปี้อวิ๋นอีกสักสองสามวัน!” เหมยเหมยเสนอความเห็นร้าย ๆ


การได้เห็นอู่เยวี่ยที่โรงเรียนมันรู้สึกรำคาญใจ งั้นก็ปล่อยให้ชายคนนั้นจัดการกับนางแพศยาคนนี้โดยให้เธอไปขายปลาแทน!


ปกติอู่เยวี่ยทำตัวสูงส่ง รอเธอต้องไปขายปลา ดูสิว่าเธอจะทำตัวสูงส่งอย่างไรอีก?


ถึงเวลานั้นเธอจะไปซื้อปลาที่ตลาดทุกวัน เพื่อยั่วโมโหอู่เยวี่ย!


เพียงแวบเดียวเหยียนซินหย่าก็รู้ทันความคิดเหมยเหมยเลยยิ้มพยักหน้า สำหรับสองแม่ลูกเหอปี้อวิ๋น เธอไม่คิดจะออมมือหรอก!


ตกดึกจ้าวอิงหัวกลับมาได้ยินภรรยาและลูกสาวพูดถึงเรื่องตลาดก็โกรธจัด ไม่ต้องรอเหยียนซินหย่าพูดก็โทรไปหาสารวัตร ใช้อำนาจเหนือกว่าในการออกคำสั่ง จากนั้น–


เหอปี้อวิ๋นจึงถูกบังคับพาเข้าโรงพยาบาลประสาท!


ทำเอาเหมยเหมยดีใจเป็นที่สุด กอดพ่อตัวเองหอมไปสองฟอดใหญ่และไม่ลืมพูดชม “พ่อ พ่อสุดยอดไปเลย!”


………………………


ตอนที่ 1003 ช่วยคนมีเหตุผลไม่ช่วยญาติ


จ้าวอิงหัวมองลูกสาวอย่างรักใคร่แต่ก็มีความรู้สึกผิดในใจ เพราะสิ่งที่เหมยเหมยต้องเจอที่เมืองหลวงเมื่อสามปีก่อนหลังจากเขากลับมาจ้าวเสวียหลินก็บอกกับเขาทั้งหมด เขาทั้งปวดใจทั้งแค้นใจที่ตัวเองไร้ความสามารถเกินไป


ช่วงสามปีที่ผ่านมาเขาไม่ได้กลับเมืองหลวงโดยอ้างว่างานเยอะ แต่ความจริงแล้วเขาไม่อยากกลับไปเผชิญหน้ากับพ่อแม่ตัวเอง โดยเฉพาะแม่ที่สติเลอะเลือนของเขาคนนั้น


ความน้อยใจของลูกสาวเขาเกิดจากแม่ที่สติเลอะเลือนผู้นี้ ในฐานะลูกชายไม่อาจปะทะกับแม่ตัวเองได้ เขาจำต้องใช้วิธีนี้ในการแสดงความไม่พอใจของตัวเองเท่านั้น!


อีกทั้งช่วงสามปีที่ผ่านมานี้ความคิดของเขาเองก็เปลี่ยนไปจากอดีตที่คิดเพียงว่าขอแค่ตระกูลจ้าวแข็งแกร่งขึ้นเขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องใดอีก แต่เหยียนหมิงซุ่นได้เตือนเขาไว้–


พึ่งพ่อพึ่งแม่พึ่งบรรพบุรุษไม่สู้พึ่งตัวเอง!


คุณปู่จ้าวคิดถึงแต่ตระกูลจ้าวมากกว่า ไม่ว่าเรื่องใดต้องเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนรวม แต่ไม่ใช่ครอบครัวเล็กๆ ของเขา


แต่เขาไม่เหมือนกัน เขาสนใจแค่ครอบครัวเล็ก ๆ ของเขา ฉะนั้นเขาต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อเป็นโล่กำบังที่เข้มแข็งให้แก่ภรรยาและลูกสาว!


สิ่งที่สร้างความประหลาดใจแก่เขามากที่สุดนั่นคือเหยียนหมิงซุ่นที่ไม่รู้ว่าผ่านอะไรมาถึงได้ดูเป็นคนซับซ้อนมากขึ้น ความสามารถที่แม้แต่เขายังดูไม่ออก


และเพราะความช่วยเหลือของเหยียนหมิงซุ่น จึงทำให้ในช่วงสามปีที่ผ่านมาเขาได้ฝึกฝนและพัฒนาความแข็งแกร่งของเขามากขึ้น และต่อให้ตระกูลจ้าวล้มเขาเองก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก


หลังจากทั้งสามคนทานอาหารค่ำที่แสนอร่อยเสร็จ เหมยเหมยจึงขอตัวกลับเข้าห้อง ไม่อยู่เป็นก้างขวางคอพ่อแม่ตัวเองอีก


เธออารมณ์ดีมาก โรงพยาบาลประสาทไม่ใช่สถานที่ที่ดีอะไร เหอปี้อวิ๋นเข้าไปคงต้องเจอเรื่องลำบากแน่ ๆ !


เสียดายที่ตอนนี้ไม่สามารถติดต่อเหยียนหมิงซุ่นได้เพราะเขาไปปฏิบัติภารกิจที่แถบชายแดน อีกเกือบครึ่งเดือนถึงจะกลับมา เหมยเหมยลอบถอนหายใจ ทำได้แค่แบ่งปันความสุขกับชายผู้เป็นที่รักในฝันตามที่ปรารถนา!


เพียงแต่คืนนี้เธอไม่ได้ฝันถึงเหยียนหมิงซุ่นแต่กลับฝันถึงเหอปี้อวิ๋น


ในฝันเหอปี้อวิ๋นถูกคนในเสื้อกาวน์สีขาวกลุ่มหนึ่งจับตรึงไว้ด้วยเชือกเส้นใหญ่ แถมยังฉีดยากล่อมประสาทให้เธอเหมือนหมูที่กำลังจะถูกฆ่า ทำให้เธอที่มองอยู่รู้สึกสะใจเสียจริง


ตื่นเช้ามาเหมยเหมยหวนนึกถึงฉากในฝันอารมณ์ก็ดีขึ้นอีกไม่น้อย


ถ้าวันไหนว่าง ๆ จะไปเยี่ยมเหอปี้อวิ๋นที่โรงพยาบาลประสาทหน่อยแล้วกัน!


อย่างไรอีกฝ่ายก็เลี้ยงเธอมาตั้งสิบสองปีนี่นา!


แล้วก็อู่เยวี่ย…


หวังว่าวันนี้จะไม่เจอนางแพศยาคนนี้!


แต่เหมยเหมยก็ต้องผิดหวังเพราะอู่เยวี่ยยังอยู่ แถมยังเดินมาหาถึงที่ด้วย…


“จ้าวเหมยเธอมันร้ายกาจ ยังไงแม่ฉันก็เลี้ยงเธอมาตั้งสิบสองปี เธอทำแบบนี้กับท่านได้ยังไง?”


เวลาอาหารเที่ยงทุกคนต่างไปรับประทานอาหารที่โรงอาหาร อู่เยวี่ยเลือกที่จะมาหาเรื่องในเวลานี้ช่างทุ่มเทเสียเหลือเกิน!


เสียงของเธอดึงดูดความสนใจของนักเรียนได้มากตามคาด พอทุกคนเห็นว่าเป็นดาวโรงเรียนคนใหม่ล่าสุดกับนักเรียนคะแนนแย่ที่สุดในโรงเรียนกำลังทะเลาะวิวาทกันเลยเกิดความอยากรู้อยากเห็น ยกถ้วยชามล้อมวงเข้ามา


พอโรงเรียนเปิดเทอมเหมยเหมยก็ถูกเรียกว่าดาวโรงเรียน ส่วนโอหยางซานซานผู้เป็นอดีตดาวโรงเรียนก็ต้องพ้นจากตำแหน่งไปเป็นธรรมดา!


อู่เชาได้ฟังเหมยเหมยเล่าเรื่องเมื่อวานเขาก็ตำหนิอย่างไม่พอใจ “อู่เยวี่ยเธอยังขายหน้าไม่พอเหรอ? เมื่อวานแม่เธอจะฆ่าคนอยู่แล้ว หรือเธอไม่พอใจที่เหมยเหมยขัดขืน? ต้องให้ยืนรอความตายเหรอ?”


อู่เยวี่ยมองอู่เชาด้วยความแค้นใจ “อู่เชา นายคือลูกพี่ลูกน้องของฉัน นายไม่ช่วยฉันแต่กลับไปช่วยคนนอก นายยังมีหัวใจอยู่หรือเปล่า?”


“ฉันช่วยคนมีเหตุผลไม่ช่วยคนกันเอง ใครถูกก็ช่วยคนนั้น!”


อู่เชาพูดอย่างตรงไปตรงมา เขาไม่ชอบอู่เยวี่ยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต่อให้เหมยเหมยทำผิดเขาก็จะช่วยเหมยเหมย จะไปช่วยอู่เยวี่ยได้อย่างไร?


นับประสาอะไรกับญาติแบบนี้!


เรื่องตอนนั้นที่แม่ของเขาขอยืมเงินอู่เจิ้งซือเพื่อซื้อบ้าน อู่เจิ้งซือไม่ให้ยืมแม้แต่หยวนเดียว แต่กลับเป็นเหมยเหมยที่ให้เขายืมเงิน!


อีกอย่างพ่อแม่เขาหย่ากันแล้ว เขากับพี่ชายเลือกอยู่กับแม่ ไม่ค่อยได้ไปบ้านตระกูลอู่อยู่แล้วด้วย


อู่เยวี่ยโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ตวาดด้วยความเสียใจปนแค้น “จ้าวเหมยทำให้ฉันไม่ได้เรียนหนังสือแล้ว!”


ตอนที่ 1004 เรียนหนังสือไปเปล่าประโยชน์


อู่เชาชะงักหันมองไปทางเหมยเหมยด้วยความสงสัย ใช้สายตาถามว่าเกิดอะไรขึ้น


เหมยเหมยลอบยิ้มในใจแสร้งพูดเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร “น่าขำ เธอไม่ได้เรียนหนังสือแล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน? ฉันไม่ใช่พ่อแม่เธอสักหน่อย อู่เยวี่ยเธอเป็นบ้าอะไร?”


อู่เชาพยักหน้าตามแรง ๆ “นั่นสิ เธอไม่ได้เรียนหนังสือแล้วเกี่ยวอะไรกับเหมยเหมย เธออย่าเอะอะก็โยนความผิดให้เหมยเหมยซิ!”


อู่เยวี่ยชี้ไปที่เหมยเหมยด้วยความแค้นปนโกรธพร้อมพูดร้องเรียน “เพราะเธอเป็นคนเสนอความคิดให้พ่อเลี้ยงฉันไม่ให้ฉันเรียนหนังสือต่อ ไหนจะให้ฉันไปขายปลาอีก จ้าวเหมย เธอต้องการอะไร?”


เหมยเหมยยักไหล่ “น่าขำ ฉันไม่รู้จักพ่อเลี้ยงเธอด้วยซ้ำ แล้วทำไมเขาต้องเชื่อฟังคำของฉัน อู่เยวี่ยเธอก็บอกอยู่เองว่าเป็นพ่อเลี้ยงของเธอ เธอก็ไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ส่งเสียเธอเรียนถึงมัธยมปลายก็ดีไม่น้อยแล้ว อีกอย่างคะแนนเธอแย่ขนาดนี้ก็เหมาะแล้วที่พ่อเลี้ยงเธอจะตัดสินใจแบบนั้น!”


มีนักเรียนที่มาจากชนบทหลายคนที่เคยอยู่ห้องเดียวกับอู่เยวี่ย ได้ยินดังนั้นเลยอดพยักหน้าตามไม่ได้


“นั่นสิ คะแนนอย่างอู่เยวี่ยที่ชนบทคงไม่ได้เรียนต่อแล้ว ถ้าไม่เลือกแต่งงานก็กลับไปทำไร่ทำนา ถ้าฉันไม่ได้สอบเข้าอีจงได้ พ่อแม่แท้ ๆ ของฉันก็ไม่มีทางส่งเสียฉันเรียนหนังสือหรอก” นักเรียนหญิงคนหนึ่งกล่าว


นักเรียนหญิงคนอื่นก็พยักหน้าตามด้วยเหตุผลเดียวกัน มันเป็นเรื่องยากที่เด็กผู้หญิงจากชนบทจะได้เรียนหนังสือ


เพราะคนแก่มักคิดว่าเด็กผู้หญิงยังไงก็ต้องเป็นคนของตระกูลอื่นไม่ช้าก็เร็ว เรียนหนังสือมากไปก็ไปช่วยคนอื่น สู้กลับไปทำงานช่วยที่บ้านแล้วรีบแต่งงานเรียกเงินสินสอดมากหน่อยจะดีกว่า


ส่วนนักเรียนหญิงที่สามารถมาเรียนที่โรงเรียนอีจงอย่างพวกเธอได้ ต้องมีพ่อแม่ที่หัวทันสมัยและฐานะที่บ้านพอส่งเสียได้


สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคะแนนสอบของพวกเธอต้องดี


คะแนนไม่ดี พวกเธอก็ไม่มีหน้าไปขอให้พ่อแม่ส่งเสียหรอก!


ดังนั้นพวกเธอถึงดูถูกอู่เยวี่ยเป็นอย่างมาก คะแนนสอบแย่ขนาดนี้ยังมีหน้าอยู่อีจงต่อ?


ช่างเป็นการหยามเหยียดอีจงเหลือเกิน!


อีกอย่างพวกเธอก็อายที่ต้องเป็นเพื่อนกับนักเรียนคะแนนแย่แบบนี้!


อู่เยวี่ยได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่านักเรียนหญิงเลยหันไปตวาดเสียงเข้ม “เกี่ยวอะไรกับเด็กบ้านนอกอย่างพวกเธอ? ก็แค่สอบได้คะแนนดีหน่อยไม่ใช่หรือไง เหอะ คนที่มาจากชนบทอย่างพวกเธอต่อให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็หางานดี ๆ ไม่ได้ จะมาทำเป็นเหลิงต่อหน้าฉันทำไม?”


สามปีมานี้อู่เยวี่ยนับวันก็ยิ่งอุปโลกเรื่องราวขึ้นมาเอง   แล้วก็ค่อย ๆ ถูกโอหยางซานซานล้างสมอง ความคิดที่จะพัฒนาตัวเองไม่ต้องพูดถึงกลับกันมีแต่ความคิดที่ว่าเรียนหนังสือไปก็เปล่าประโยชน์แทน


คิดเพียงว่าต่อให้เรียนหนังสือดีขนาดไหนก็สู้คนเกิดมาโชคดีไม่ได้!


หากมีพ่อแม่ที่มีความสามารถคงไม่ต้องเครียดไปตลอดชีวิต หากเจอพ่อแม่ที่ไร้ความสามารถ เรียนหนังสือมากแค่ไหนก็สูญเปล่า


เหอปี้อวิ๋นจบสิ้นไปแล้วแต่เธอยังมีอู่เจิ้งซือ!


ขอแค่เธอได้กลับไปอยู่เคียงข้างอู่เจิ้งซือ อาศัยอำนาจเงินทองของอู่เจิ้งซือแล้วเธอจะต้องเรียนหนังสือไปทำไมอีก?


แถมเธอยังมีทางออกอีกหนึ่งทาง–เหมยซูหาน


แต่ตอนนี้เหมยซูหานเป็นเพียงตัวสำรองของเธอเพราะเบื้องหลังเขามีเฮ่อเหลียนเช่อที่สร้างความหวาดผวาแก่เธอ เป็นเวลาสามปีที่เธอไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องมือของเหมยซูหานด้วยซ้ำ


อีกอย่างตอนนี้อู่เยวี่ยเริ่มมีความทะเยอทะยาน และหวังสูงยิ่งกว่าชั้นสวรรค์


ตั้งแต่ได้คุยกับหวงอวี้เหลียนอู่เยวี่ยก็ขยายเป้าหมาย เธออยากแต่งงานกับคนที่ดีกว่านี้ อย่างเช่นครอบครัวตระกูลที่มีตำแหน่งทางการเมืองอย่างตระกูลโอหยาง


เธอมั่นใจว่าหน้าตาและคุณสมบัติตัวเองไม่แย่ อีกทั้งทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกระทำ ทำไมเธอจะไม่มีสิทธิ์บรรลุถึงเป้าหมายได้?


คำพูดของอู่เยวี่ยเรียกให้นักเรียนจากชนบทในโรงอาหารมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปดูไม่สบอารมณ์ สายตาที่มองไปทางอู่เยวี่ยแฝงด้วยความขุ่นเคือง


นักเรียนจากชนบทอย่างพวกเขาไม่มีคนคอยหนุนหลังไม่มีเส้นทางสำรอง เส้นทางเดียวที่จะช่วยให้ก้าวออกจากประตูหมู่บ้านที่ชนบทได้ก็คือสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วหางานดี ๆ ทำในอนาคต


แบบนั้นพวกเขาก็จะกลายเป็นคนในเมือง สร้างหน้าสร้างตาให้พ่อแม่พวกเขาได้เฉิดฉายสักที


แต่อู่เยวี่ยกลับบอกว่าพวกเขาเรียนหนังสือไปก็เปล่าประโยชน์ ทั้งยังว่าพวกเขาเป็นเด็กบ้านนอกคำแล้วคำเล่า จะไม่ให้พวกเขาโกรธได้อย่างไร?


…………………………


ตอนที่ 1005 นักเรียนคะแนนยอดแย่อย่างเธอรีบไสหัวไป


เหมยเหมยรับรู้ได้ถึงความโกรธเคืองของนักเรียนกลุ่มนี้ ก็อดด่าอู่เยวี่ยว่าโง่ในใจไม่ได้


แค่ประโยคเดียวแต่ล่วงเกินคนตั้งมาก ต่อให้อนาคตจะได้เรียนหนังสือต่อนางแพศยาคนนี้ก็ไม่มีชีวิตสงบสุขหรอก!


โรงเรียนอีจงไม่เพียงรับนักเรียนจากทั่วทั้งเมืองแต่รวมไปถึงเมืองข้าง ๆ ด้วย โดยเฉพาะนักเรียนคะแนนดีแถวหน้าประจำเมืองต่าง ๆ แทบถูกเกณฑ์มาที่อีจงทั้งหมด


นักเรียนคะแนนดีพวกนี้มาเรียนที่อีจงย่อมเรียนฟรีทุกอย่างทั้งยังได้รับทุนการศึกษา เงื่อนไขดีขนาดนี้เหล่านักเรียนคะแนนดีกลุ่มนี้ต้องรับไว้อยู่แล้ว ในเมื่อเข้าโรงเรียนอีจงก็เท่ากับได้ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าสู่ประตูรั้วมหาวิทยาลัย


คนโง่เท่านั้นที่จะไม่มา!


เช่นนี้นักเรียนจากชนบทของอีจงจึงมีจำนวนมากนับได้ครึ่งต่อครึ่งกับนักเรียนจากในเมือง


อีกทั้งนักเรียนจากชนบทเหล่านี้ต่างถือตัวไม่ค่อยไปไหนมาไหนกับเด็กในเมืองถือว่าต่างมีอาณาเขตของตัวเอง แต่อู่เยวี่ยกลับใช้ไม้พายคว่ำเรือทั้งลำเท่ากับล่วงเกินนักเรียนกว่าครึ่งของโรงเรียน


และพวกเขายังเป็นนักเรียนอันดับต้น ๆ ของโรงเรียน ไม่แปลกที่นักเรียนจากชนบทกลุ่มนี้จะกลั่นแกล้งอู่เยวี่ย!


เหมยเหมยย่อมยินดีที่เห็นอู่เยวี่ยตกอับ อู่เยวี่ยที่คะแนนสอบแย่ลงเรื่อย ๆ ความฉลาดทางสมองและความฉลาดทางอารมณ์กลายเป็นคะแนนติดลบทั้งคู่ ช่างเป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ!


“อู่เยวี่ยเธอพูดเหลวไหลอะไร? ไม่ว่าเมื่อไหร่การเรียนก็คือทางออกเดียวของนักเรียนที่มาจากครอบครัวที่ลำบาก บัณฑิตจากตระกูลยากจนในสมัยโบราณได้รับราชการก็เพราะการสอบ หรือเธอคิดว่าสังคมสมัยใหม่ในตอนนี้สู้สมัยโบราณไม่ได้เหรอ?”


เหมยเหมยโต้กลับอย่างมีคุณธรรมทำเอานักเรียนจากชนบทมองเธออย่างซาบซึ้ง แอบชื่นชมดาวโรงเรียนว่าไม่เพียงแค่หน้าตางดงาม จิตใจก็งดงามยิ่งกว่า!


แม้ถ้อยคำของอู่เยวี่ยเมื่อกี้จะทำให้พวกเขารู้สึกโกรธอย่างมากแต่มันก็ทำให้พวกเขารู้สึกลังเลใจยิ่งกว่า!


ความโหดเหี้ยมของสังคมใช่ว่าพวกเขาจะไม่เคยได้ยินมาก่อน ในอดีตมีคนในหมู่บ้านสอบเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ได้ แต่สิ่งที่ได้จากการรอคอย กลับเป็นหนังสือแจ้งรับเข้ามหาวิทยาลัยที่ด้อยกว่า จะไปโวยวายที่สำนักงานศึกษาธิการก็ไม่มีประโยชน์


เพราะคนที่มาแทนที่ได้ จะต้องเป็นคนมีเส้นสายยังไงล่ะ?


พวกคนที่ถูกแย่งตำแหน่งไปทำได้แค่ยอมรับในโชคชะตาตัวเอง!


ฉะนั้นภายในใจพวกเขาใช่ว่าจะไม่เป็นกังวล ต่างก็กังวลว่าพวกเขาจะไม่ได้รับความยุติธรรมเช่นกัน แต่พอฟังคำของเหมยเหมยพวกเขาก็เริ่มปล่อยวาง


แม้สังคมมีทั้งความยุติธรรมและอยุติธรรม แต่สำหรับนักเรียนจากชนบทอย่างพวกเขาแล้วการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นทางออกเดียวของพวกเขา!


ไม่สอบเข้ามหาวิทยาลัยพวกเขาจะต้องจับจอบอยู่ในหมู่บ้านไปตลอดชีวิต ทำงานตลอดทั้งปีจนตายถึงจะหาเงินเลี้ยงปากท้องได้!


จากนั้นรุ่นถัดจากพวกเขาก็ต้องใช้ชีวิตแบบนั้นต่อไป หนึ่งรุ่นสืบต่อหนึ่งรุ่นไม่มีวันได้ผงาดอีกตลอดไป!


ดังนั้นพวกเขาต้องเปลี่ยนแปลงไม่เพียงเพื่อพ่อแม่แต่เพื่อตัวพวกเขาเองและเพื่อรุ่นต่อไปของพวกเขามากกว่า!


อู่เยวี่ยใจสั่นแอบเสียใจที่พูดไปไม่ทันคิด


“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น จ้าวเหมยเธออย่ามาแต่งเรื่องปรักปรำฉัน คนร้ายกาจอย่างเธอไม่เคยแข่งกับฉันอย่างเปิดเผยอยู่แล้ว ได้แต่ใช้วิธีสกปรกลับหลัง ถุย ระวังจะโดนฟ้าผ่า!”


อู่เยวี่ยที่ถูกความโกรธเข้าครอบงำเริ่มเอ่ยวาจาอย่างไม่คิด และเริ่มพูดจาเลวทรามลง


เหมยเหมยฟังแล้วนึกขำจึงพูดเย้ยหยัน “อู่เยวี่ย สมองเธอไม่ได้น้ำเข้าจนโง่ใช่มั้ย? ทำไมฉันต้องไปแข่งกับนักเรียนคะแนนแย่อย่างเธอด้วย? หรือว่าให้แย่งที่โหล่กับเธอเหรอ?”


“ฮ่าฮ่าฮ่า…”


นักเรียนรอบข้างระเบิดเสียงหัวเราะพลางมองอู่เยวี่ยด้วยสายตาดูถูก


ช่างพูดอย่างหน้าไม่อายเสียจริง คนสอบได้ที่โหล่คิดจะแข่งกับคนอื่น?


มั่นหน้ามาจากไหนกัน?


เหมยเหมยรู้สึกผิดหวังกับอู่เยวี่ยในตอนนี้มาก พอโง่ขึ้นสมองที่จะคิดวิธีที่ฉลาด ๆ ก็น้อยลง คู่อริแบบนี้ไม่เห็นสนุกตรงไหนเลย!


“อู่เยวี่ย เธอกลับไปขายปลาอย่างสบายใจเถอะ นักเรียนคะแนนแย่ที่พฤติกรรมไม่เหมาะสมอย่างเธอไม่แน่อาจจะทำลายชื่อเสียงของอีจงก็ได้ รีบไสหัวไปก็ดีเหมือนกัน!”


เหมยเหมยพูดแทงใจดำเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเอากล่องข้าวกลับไปทานที่ห้องเรียน พูดตอกหน้าอู่เยวี่ยในระยะใกล้แบบนี้ช่างสะใจเสียจริง อย่างนี้ต้องกินมากขึ้นละ!


ตอนที่ 1006 สงสัยว่ามีกลิ่นตัว


อู่เยวี่ยเดี๋ยวหน้าดำเดี๋ยวหน้าแดง ความโกรธกับความอับอายทำให้เธอบ้าคลั่ง นางแพศยาจ้าวเหมยกล้าด่าเธอว่าเป็นนักเรียนคะแนนแย่?


หากไม่ใช่เพราะนางแพศยาคนนี้ทำร้ายเธอ เพราะเรื่องกลิ่นตัวเลยทำให้การเรียนเธอถดถอยลงแบบนี้?


นับตั้งแต่เหมยเหมยไปจากตระกูลอู่ อู่เยวี่ยก็พบว่ากลิ่นเหม็นบนตัวเธอหายไปอย่างน่าแปลกแถมไม่เคยเกิดขึ้นอีก ภายหลังเธอไปถามคุณหมอโจว คุณหมอโจวบอกเธออย่างชัดเจนว่าเธอไม่ได้ป่วยทางจิต!


อู่เยวี่ยไม่ใช่คนโง่ ไม่นานเธอก็สงสัยในตัวเหมยเหมย


ตอนจ้าวเหมยอยู่บ้านตัวเธอก็มีกลิ่นเหม็นฉุน พอจ้าวเหมยจากไปกลิ่นเหม็นของเธอก็หายไป มันจะบังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร?


มันอดไม่ได้ที่จะทำให้เธอสงสัยว่าทุกอย่างเป็นเพราะฝีมือของจ้าวเหมย!


“จ้าวเหมย เพราะเธอทำร้ายฉัน เพราะเธอทำให้ฉันมีกลิ่นเหม็นบนตัว ทำให้ฉันไม่มีสมาธิในการสอบ ไม่อย่างนั้นฉันจะสอบได้ที่โหล่ได้ยังไง? ทั้งที่ฉันได้ที่หนึ่งมาโดยตลอด จ้าวเหมย…เธอไม่ได้ตายดีแน่!”


อู่เยวี่ยตวาดเสียงดังก้อง การสอบได้ที่โหล่เป็นสิ่งที่น่าอับอายไปตลอดชีวิตของเธอ!


แม้ว่าตอนนี้เธอมักจะชอบพูดว่าเรียนหนังสือไปก็ไร้ประโยชน์ แต่หากเลือกได้เธอก็อยากเป็นนักเรียนดีเด่นที่สอบได้ที่หนึ่ง แย่งชิงสิ่งที่เธอเคยได้กลับมาอีกครั้ง!


แต่ตอนนี้สายไปแล้ว เธอกลายเป็นนักเรียนคะแนนแย่และไม่ได้รับสิ่งที่เคยได้รับพวกนั้นอีก ทุกอย่างนี้ก็เพราะจ้าวเหมย!


เหมยเหมยหันกลับมาแค่นเสียงพูด “อู่เยวี่ย เธอไม่พัฒนาตัวเองสอบได้ที่โหล่แล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน? อีกอย่างกลิ่นเหม็นบนตัวเธอยิ่งไม่เกี่ยวกับฉัน หรือว่าฉันเป็นคนทำให้เธอมีกลิ่นตัว?”


เหล่านักเรียนระเบิดเสียงหัวเราะอีกครั้ง สายตาที่มองไปทางอู่เยวี่ยแฝงไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามมากกว่าเก่า


“ฉันไม่มีกลิ่นตัว ตั้งแต่เธอออกไปบนตัวฉันก็ไม่มีกลิ่นแม้แต่นิดเดียว จ้าวเหมยเธอกล้าสาบานต่อสวรรค์มั้ยล่ะว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลิ่นเหม็นบนตัวฉันเมื่อห้าปีก่อน!”


อู่เยวี่ยจ้องเหมยเหมยตาเขม็งเหมือนบังคับให้เธอสารภาพ


“น่าขำ เธอให้ฉันสาบานฉันก็ต้องสาบานเหรอ? เธอเป็นอะไรกับฉัน? มีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉัน?”


เหมยเหมยไม่มีทางหลงกลวิธีกระตุ้นที่แสนจะตื้นเขินแบบนี้อยู่แล้ว ตัวเธอเองที่ได้กลับมาเกิดใหม่เลยยิ่งเชื่อในเรื่องโชคชะตามากที่สุด จะยอมสาบานได้อย่างไร?


“จ้าวเหมยเธอไม่กล้าสาบานเพราะเธอทำชั่วแล้วไม่กล้ายอมรับ…”


อู่เยวี่ยพูดเสียงดังจนก้องไปทั่วโรงอาหารทำให้แทบจะทุกคนในที่ตรงนั้นได้ยิน รวมไปถึงโอหยางซานซานที่มาช้า ขณะที่เธอได้ยินอู่เยวี่ยพูดถึงกลิ่นเหม็นหึ่งออกจากตัวสีหน้าก็เปลี่ยนไป


เหมยเหมยหันกลับไปพูดเย้ยอู่เยวี่ยว่า “แล้วแต่เลยเธอจะว่ายังไงก็ตามใจ ต่อให้อนาคตเธอโดนรถชนตาย ไม่แน่อาจเป็นฉันที่สาปแช่งก็ได้!”


นักเรียนคนอื่นหัวเราะเสียงฮาครืน พอเห็นเหมยเหมยกลับห้องเรียนพวกเขาก็ค่อย ๆ สลายตัวปล่อยให้โรงอาหารโล่งในชั่วพริบตา อู่เยวี่ยยืนอย่างโดดเดี่ยวโดยไม่มีใครสนใจเธอ


นักเรียนเรียนดีไม่อยากเป็นเพื่อนกับนักเรียนเรียนแย่ ยิ่งนักเรียนคะแนนแย่ที่สร้างความไม่พอใจไปทั่วอย่างอู่เยวี่ยนั้นแม้แต่นักเรียนคะแนนแย่ด้วยกันยังไม่อยากยุ่งกับเธอ


คนใกล้ชาดติดสีแดง คนใกล้หมึกติดสีดำ นักเรียนคะแนนแย่ไม่อยากได้รับผลกระทบจากอู่เยวี่ยหรอกนะ!


โอหยางซานซานสบโอกาสที่คนไม่สนใจเข้าไปใกล้อู่เยวี่ยแล้วส่งสายตาให้เธอแวบหนึ่งก่อนจะเดินไปยังสวนดอกไม้หลังโรงเรียน อู่เยวี่ยชะงักไปทีแล้วเดินตามไป


เธอเองก็อยากหาโอหยางซานซานพอดี พ่อเลี้ยงของเธอให้เวลาเธอเพียงสามวันในการทำเรื่องลาออกจากโรงเรียน ไม่อย่างนั้นพ่อเลี้ยงจะมาโรงเรียนด้วยตัวเอง


เดิมเธอคิดจะไปหาอู่เจิ้งซือแต่อู่เจิ้งซือไปสัมมนางานที่ต่างประเทศไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไร


อู่เยวี่ยรู้ดีว่าทางโรงเรียนก็อยากให้เธอลาออกเองแทบแย่ หากพ่อเลี้ยงไปคุยกับทางโรงเรียนต้องทำเรื่องได้เร็วแน่ ๆ ต่อให้อู่เจิ้งซือกลับมาแล้วส่งตัวเธอเข้าไปอีกเกรงว่าคงยาก!


ดังนั้นเธออยากขอความช่วยเหลือจากโอหยางซานซาน พ่อเลี้ยงเธอกลัวคนมีตำแหน่งทางราชการที่สุด ขอแค่โอหยางซานซานยอมช่วย พ่อเลี้ยงของเธอต้องไม่บังคับให้เธอลาออกแน่ ๆ !


…………………………..


ตอนที่ 1007 ไม่ได้จากไป


หนึ่งชั่วโมงผ่านไปโอหยางซานซานเดินออกจากสวนดอกไม้ด้วยสีหน้าไม่ดีเท่าไร เธอไม่ได้รออู่เยวี่ยแต่กลับเร่งฝีเท้าไปยังห้องเรียน


“ซานซาน เรื่องของฉันเธออย่าลืมล่ะ!” อู่เยวี่ยวิ่งตามมาเตือน


โอหยางซานซานรับปากลวก ๆ แล้วก็วิ่งกลับไปห้องเรียนชั้นมอหกอย่างเร่งรีบโดยไม่รอเธอ   ตอนนี้ใจเธอว้าวุ่นเหลือเกินไม่มีอารมณ์สนใจอู่เยวี่ย


อู่เยวี่ยมองแผ่นหลังที่วิ่งไปอย่างเร่งรีบของโอหยางซานซานก็กระตุกยิ้มเยือกเย็น รอดูเรื่องสนุก ๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้


จากความรักที่หวงอวี้เหลียนมีต่อโอหยางซานซานหากรู้ว่าลูกสาวถูกจ้าวเหมยวางแผนใส่จะไม่แก้แค้นได้อย่างไร?


หลังเลิกเรียนโอหยางซานซานกลับไปที่บ้านแล้วเล่าสิ่งที่ได้ฟังมาจากอู่เยวี่ยให้หวงอวี้เหลียนฟังพลางกล่าวอย่างนึกแค้นใจ “แม่ หนูแค้นมาก! เพราะจ้าวเหมยทำลายหนู ถ้าไม่ใช่เพราะกลิ่นเหม็นนั่นไม่แน่เราอาจจะไม่โดนคุณปู่คุณย่าไล่ออกมาก็ได้…”


แม้โอหยางซานซานจะได้ดิบได้ดีในเมืองจินแต่เธอก็อยากจะกลับไปเมืองหลวง


เลยเป็นเหตุผลที่เธอยิ่งเกลียดจ้าวเหมยที่ทำให้เธอต้องไปจากเมืองหลวง!


หวงอวี้เหลียนเองก็หวนนึกถึงเมื่อห้าปีก่อนที่จู่ ๆ ก็มีกลิ่นเหม็นฉุนออกมาจากตัวเธออย่างน่าแปลกใจ วันนั้นเป็นวันที่แข่งวาดรูปพู่กันจีนระดับประเทศ ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงมีกลิ่นเหม็นหึ่งออกมาจากตัว ทำเอาเธอต้องขังตัวเองอยู่ในบ้านถึงสามวัน


เรื่องนี้เธอแทบจะลืมไปแล้วและไม่เคยนึกถึงเรื่องกลิ่นตัวของโอหยางซานซานอีกเลย แต่ตอนนี้พอลูกสาวเตือนหวงอวี้เหลียนเลยนึกขึ้นได้


นางแพศยาจ้าวเหมย!


หวงอวี้เหลียนกัดฟันกรอด เธอแค้นยิ่งกว่าโอหยางซานซานเสียอีก!


โทษที่เธอหลงคิดว่าตัวเองมีฝีมือเก่งกาจ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาตกม้าตายให้นางแพศยาจ้าวเหมยครั้งแล้วครั้งเล่า แค้นนี้เธอจะต้องชำระ!


“ซานซานไม่ต้องร้อนใจ แม่จะแก้แค้นให้ลูกแน่ ๆ ลูกอดทนรออีกนิด อย่างมากก็อีกหนึ่งปีจ้าวเหมยต้องซวยแน่!”


หวงอวี้เหลียนปลอบลูกสาว ตลอดหลายปีมานี้เธอยังติดต่อกับโอหยางปิน บางครั้งโอหยางปินจะมาสัมมนางานที่ทางใต้ ชู้รักเก่าก็มีการกลับมาเจอกันบ้าง และหวงอวี้เหลียนจะถามถึงเรื่องเมืองหลวงไปพร้อม ๆ กัน


เดือนที่แล้วเธอเพิ่งเจอโอหยางปินมา โอหยางปินที่กำลังอารมณ์ดีเลยบอกข่าวดีเรื่องหนึ่งให้เธอ


ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอยอมที่จะอดทน–


โอหยางปินบอกว่าเฮ่อเหลียนเช่อเตรียมลงมือจัดการกับตระกูลจ้าวแล้ว อีกไม่นานตระกูลจ้าวต้องล่มจม ไม่ใช่ตระกูลจ้าวที่เฉิดฉายมีหน้ามีตาอย่างเช่นเคยอีก!


และถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนของตระกูลจ้าว ผู้ว่าอย่างจ้าวอิงหัวตำแหน่งนี้จะต้องสั่นคลอน ถึงตอนนั้นก็เป็นโอกาสดีที่ให้เธอได้ลงมือกับจ้าวเหมย


แต่ก่อนที่จะถึงตอนนั้นเธอก็สามารถสร้างปัญหาเล็ก ๆ ให้จ้าวเหมยได้เหมือนกัน!


เดิมทีเหมยเหมยคิดว่าวันต่อมาจะไม่เจออู่เยวี่ยอีก แต่ความจริงคืออู่เยวี่ยยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในโรงเรียนต่อ ถึงขั้นวิ่งมาพูดอวดต่อหน้าเธอโดยเฉพาะ


“จ้าวเหมย ฉันไม่มีวันให้เธอได้สมหวัง ฉันจะต้องเรียนจบจากอีจง!”


เหมยเหมยมุ่นคิ้วแต่ไม่นานก็คลายตัวลง แม้อู่เยวี่ยไม่ได้ไปจากอีจงจะสร้างความสงสัยให้กับเธอได้บ้าง แต่ก็ทำได้แค่ปล่อยมันไป


แต่ที่เธอสงสัยหนักกว่านั้นคืออู่เยวี่ยเกลี้ยกล่อมพ่อเลี้ยงของเธอได้อย่างไร?


ในเมื่อผู้ชายคนนั้นดูเหมือนไม่ใช่คนที่คุยได้ง่าย และยังดูไม่ผูกพันกับอู่เยวี่ยเท่าไร!


“อู่เยวี่ยเธอประเมินตัวเองสูงไปหรือเปล่า เธอจะเรียนไม่เรียนหนังสือแล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน? ต่อให้เธอเรียนที่อีจงจนแก่ก็ไม่เห็นเป็นไร!”


เหมยเหมยมองอู่เยวี่ยอย่างเย้ยหยัน พอเห็นความโกรธและหงุดหงิดบนใบหน้าเธอก็อารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก


อู่เยวี่ยในตอนนี้ช่างจุดไฟติดได้ง่ายเหลือเกิน!


อู่เยวี่ยสูดหายใจเข้าลึก ๆ ตอบกลับด้วยความโกรธ “จ้าวเหมยเธออย่าได้ใจไป สักวันบาปกรรมจะตามสนองเธอ!”


“วางใจได้ เธอกับแม่ของเธอบาปกรรมยังไม่ตามสนองเลย แล้วฉันมีอะไรให้ต้องกังวลใจ ฉันว่านะอู่เยวี่ยแทนที่เธอจะมีเวลาว่างมาทะเลาะกับฉัน เอาไปห่วงใยแม่เธอที่โรงพยาบาลประสาทดีกว่า!”


พอเหมยเหมยเห็นเพื่อนรอบข้างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปก็ยิ้มอย่างพอใจ!


นี่แหละคือผลลัพธ์ที่เธอต้องการ!


ตอนที่ 1008 ลูกสาวของคนเป็นโรคประสาท


อู่เยวี่ยเองก็สัมผัสได้ถึงสายตาประหลาดที่มองมาจากเพื่อนรอบข้าง ตอนนี้เธอไม่สนใจเรื่องคะแนนแต่เรื่องโรคประสาทกลับเป็นจุดอ่อนของเธอ สามปีแล้วที่เธอสลัดข้อสงสัยของคำว่า ‘โรคประสาท’ ได้ แต่ตอนนี้–


“เธอพูดเหลวไหล แม่ของฉันไม่ได้เป็นโรคประสาท จ้าวเหมยเธอจงใจกุข่าวลือ…”


อู่เยวี่ยพยายามแก้ตัวให้ตัวเองเสียงดัง เธอจะให้เพื่อนรู้ไม่ได้ว่าแม่ของเธออยู่โรงพยาบาลประสาท ณ เวลานี้เธอเริ่มเสียใจที่ลืมเรื่องของเหอปี้อวิ๋นที่ถูกขังอยู่ในโรงพยาบาลประสาทไปชั่วขณะ


เหมยเหมยแค่นหัวเราะเสียงเย็นพลางพูดประชด “ถ้าแม่ของเธอไม่ได้เป็นโรคประสาทแล้วทำไมโรงพยาบาลประสาทต้องขังแม่เธอไว้ด้วย? หรือว่าโรงพยาบาลประสาทมีเสบียงเยอะจนกินไม่หมดเลยตั้งใจจับแม่เธอไปช่วยพวกเขากินงั้นเหรอ?”


“ไม่ใช่ แม่ของฉันอยู่ที่บ้านดี ๆ ไปโรงพยาบาลประสาทตั้งแต่เมื่อไหร่? จ้าวเหมยเธอโกหก!” อู่เยวี่ยปากแข็ง


เหมยเหมยยักไหล่ “แม่เธอกล้าฆ่าแม้กระทั่งพ่อของเธอแล้วจะไม่เป็นโรคประสาทได้ยังไง? เรื่องนี้คนอีจงรู้กันทั้งนั้น อู่เยวี่ยเธออย่าหลอกตัวเองไปหน่อยเลย!”


มีนักเรียนบางคนที่เป็นลูกของคุณครูที่โรงเรียนอีจงซึ่งคนเหล่านั้นต่างรู้จักอู่เยวี่ยกับเหมยเหมย หลังฟังคำของเหมยเหมยมีเพื่อนบางคนที่สีหน้าแปลกไป!


เรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านตระกูลอู่เมื่อห้าปีก่อนบอกเลยว่าเลื่องลือแพร่สะพัดจนรู้กันทั้งโรงเรียน พวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไร!


นักเรียนคนอื่น ๆ ก็เริ่มมาถามจากพวกเขา พอได้คำตอบสายตาที่มองอู่เยวี่ยก็แฝงด้วยความดูถูกยิ่งกว่าเดิม


ที่แท้ก็ลูกสาวคนเป็นโรคประสาทสินะ มิน่าถึงดูไม่ค่อยปกติ!


เหยียนหมิงต๋ารีบเร่งมา พอเขาเห็นอู่เยวี่ยที่ถูกผู้คนห้อมล้อมอยู่ตรงกลางดูเหมือนจะถูกรังแกก็พุ่งตัวเข้ามาโดยไม่ต้องคิด


สามปีนี้อู่เยวี่ยไม่ได้ตัดขาดกับเขาอย่างเด็ดขาด แม้ไม่ค่อยพอใจกับภูมิหลังครอบครัวของเหยียนหมิงต๋าแต่อู่เยวี่ยไม่ยอมทิ้งตัวสำรองอย่างเหยียนหมิงต๋าไปง่าย ๆ


ดังนั้นสองสามวันทีอู่เยวี่ยก็จะนัดเจอกับเหยียนหมิงต๋า กักคนนี้ไว้เป็นตัวสำรองและให้เขายอมทุ่มให้เธอจนหมดหน้าตัก


เหยียนหมิงต๋าที่พุ่งเข้ามาได้ยินที่เหมยเหมยพูดพอดี สีหน้าตึงขึ้นในทันทีแล้วกล่าวอย่างไม่พอใจ “จ้าวเหมยเธอพูดเหลวไหลอะไร ทำไมเธอชอบรังแกเยวี่ยเยวี่ยนัก?”


เหยียนหมิงต๋าในชาตินี้ยังคงเป็นอย่างชาติที่แล้ว ปกป้องอู่เยวี่ยและซื่อสัตย์รักเดียวใจเดียวไม่เคยวอกแวก


เหมยเหมยเห็นแล้วส่ายศีรษะรัว จะบอกว่าตระกูลเหยียนใช่ว่าจะไม่เคยมีมาตรการเด็ดขาด ถานซูฟางเคยตีเคยดุเคยด่าและเคยตัดเงินค่าขนมของเหยียงหมิงต๋า แต่ก็ห้ามใจที่ร้อนรุ่มของเหยียนหมิงต๋าที่มีต่ออู่เยวี่ยไม่ได้


“เหยียนหมิงต๋านายเบิกตาดูให้ดีว่าใครกำลังสร้างปัญหา? อู่เยวี่ยสุดที่รักของนายมาท้าทายฉัน ฉันกำลังปกป้องตัวเองอยู่!”


เหมยเหมยว่าอย่างไม่เกรงใจ อนาคตถ้าเธอแต่งงานกับเหยียนหมิงซุ่นก็เท่ากับว่าเป็นพี่สะใภ้ของเหยียนหมิงต๋า มีอะไรให้ต้องเกรงใจ?


สั่งสอนน้องชายสามีเป็นเรื่องปกติ!


เหยียนหมิงต๋าไม่คุ้นชินกับเหมยเหมยที่แข็งกร้าวขึ้นมาก ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันมาตั้งสามปี ในความทรงจำเขาจ้าวเหมยยังเป็นเด็กสาวที่ไม่กล้าแม้แต่จะพูดเสียงดัง ใครจะรู้ว่าตอนนี้กล้าตะคอกใส่เขาแล้ว?


“พี่หมิงต๋า…จ้าวเหมยทำให้แม่ของฉันต้องโดนส่งเข้าโรงพยาบาลประสาทแล้วยังจงใจให้พ่อเลี้ยงบังคับให้ฉันลาออกจากโรงเรียน เธอมันใจดำอำมหิตเหลือเกิน!” อู่เยวี่ยฟ้องด้วยเสียงปนสะอื้น


เหยียนหมิงต๋าอารมณ์เดือดพล่านในฉับพลัน มองเหมยเหมยราวกับคนชั่วที่ทำผิดมหันต์มา


“เหยียนหมิงต๋านายช่วยมีสมองหน่อยเถอะ อู่เยวี่ยตดนายก็ยังว่าหอม พวกเธอค่อย ๆ คุยกันไปนะ ฉันไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น!”


เห็นเหยียนหมิงต๋าที่โง่เหมือนหมู เหมยเหมยก็รู้สึกโมโห คร้านจะเปลืองน้ำลายเลยหมุนตัวเดินกลับห้องเรียน


รอพี่หมิงซุ่นกลับมาเธอจะต้องให้พี่หมิงซุ่นสั่งสอนเจ้าหมูโง่เหยียนหมิงต๋าให้ได้!


…………………………


 ตอนที่ 1009 เหอปี้อวิ๋นออกมาแล้ว


โรงพยาบาลประสาทของเมืองจินอยู่แถบชานเมืองมีทำเลที่ตั้งค่อนข้างไกลจากตัวเมืองแต่ทิวทัศน์ไม่เลว มีภูเขามีแม่น้ำแต่กลับไม่มีใครอยากไปที่นั่น


หวงอวี้เหลียนลงจากรถเมล์ เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตามากเกินไปเลยลดตัวมานั่งรถเมล์ สำหรับหวงอวี้เหลียนที่ไม่ได้นั่งรถเมล์มาสิบกว่าปีการนั่งรถเมล์เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงนั้นยิ่งกว่าขุมนรก


หวงอวี้เหลียนที่ลงจากรถสีหน้าไม่สู้ดีนัก ทั้งอากาศร้อนและมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์บนรถเมล์ตลบอบอวลจนเธอเวียนหัวรู้สึกคลื่นไส้


พักอยู่ใต้ต้นไม้พักหนึ่งหวงอวี้เหลียนค่อยสบายตัวขึ้นหน่อย เดินด้วยรองเท้าส้นสูงตรงดิ่งไปทางโรงพยาบาลประสาท


เพราะได้รับคำสั่งเป็นพิเศษจากจ้าวอิงหัวเหอปี้อวิ๋นจึงได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ถูกขังอยู่ในห้องพักผู้ป่วยส่วนตัว เหอปี้อวิ๋นที่ผ่านการช็อตไฟฟ้ามานั่งพิงกำแพงเหม่อลอย


สีหน้าเรียบนิ่งสายตาว่างเปล่าดูไม่ต่างจากผู้ป่วยที่เป็นโรคประสาทคนอื่นเท่าไรนัก


เสียงส้นรองเท้าดังกระแทกพื้นเป็นการเตือนเหอปี้อวิ๋น เธอเงยหน้าก็เห็นหวงอวี้เหลียนในชุดสุดหรูพลันสายตาก็เผยความแปลกใจออกมา


แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าหวงอวี้เหลียนเป็นภรรยาของผู้มีตำแหน่งใหญ่โต อีกอย่างเธอไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้!


“เหอปี้อวิ๋น เธอไม่จำเป็นต้องรู้ว่าฉันเป็นใคร เธอแค่รู้ไว้ว่าฉันกับเธอมีศัตรูเป็นคนคนเดียวกันก็พอ…”


……


หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นหวงอวี้เหลียนออกจากโรงพยาบาลประสาทพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากอย่างได้ใจ


ทุกอย่างอยู่ในกำมือของเธอ!


สามวันหลังจากนั้นเหอปี้อวิ๋นออกจากโรงพยาบาลประสาทอย่างไม่มีเหตุผล ไม่มีใครรู้รวมถึงจ้าวอิงหัว


เหอปี้อวิ๋นไม่ได้ไปที่แผงขายปลาอีก ผู้ดูแลตลาดบอกชัดเจนแล้วว่าห้ามเธอย่ำเข้าเขตตลาดอีกแม้แต่ก้าวเดียว สามีของเธอจะกล้าขัดคำสั่งได้อย่างไร จำเป็นต้องให้ลูกชายตัวเองไปช่วย แม้แต่อู่เยวี่ยเองก็ไม่กล้าเรียกใช้งาน


ส่วนเหอปี้อวิ๋นเขายิ่งไม่กล้าเรียกใช้งานเพราะเขาเองก็กลัวตายนะ!


ใครกล้าไปยั่วยุคนบ้ากัน?


ผู้ชายคนนี้ถึงขั้นคิดไว้แล้วว่าจะหย่า เหอปี้อวิ๋นทำงานไม่ได้อีกแล้ว  ส่วนค่าสินสอดของอู่เยวี่ยยังไม่เห็นวี่แววจะได้ ไม่มีผลประโยชน์ให้ตักตวงแล้วเขาจะเลี้ยงตัวไร้ประโยชน์สองคนนี้ไว้ทำไม?


ชายคนนี้ปรึกษาเรื่องนี้กับลูกชายซึ่งลูกชายเขาเองก็ไม่ใช่คนดีเด่อะไร วันๆ ทำงานเหนื่อยแทบตายจนอยากให้พ่อตัวเองรีบหย่ากับเหอปี้อวิ๋นแล้วหาผู้หญิงที่ทำงานเก่งมาช่วยงานเชื่อว่าที่บ้านย่อมต้องยกสองแขนสนับสนุน


เพียงแต่ชายคนนี้ก็ไม่กล้า อย่ามองแค่ว่าเขาทั้งด่าทั้งตบตีเหอปี้อวิ๋นเพราะความจริงเขาก็แค่คนขี้ขลาด เมื่อกี้ก็เพิ่งถูกหวงอวี้เหลียนตักเตือนมา แม้เขาจะมีความคิดที่จะเปลี่ยนภรรยาแต่ยังไม่กล้ากระดิกตัวในตอนนี้


วันหยุดสุดสัปดาห์แรกหลังเปิดเทอมมาถึง เหมยเหมยเตรียมไปเก็บค่าเช่าบ้านหกหลังที่ถูกคนของเฮ่อเหลียนเช่อแย่งไปเมื่อสามปีก่อน แต่ไม่ถึงปีก็ถูกเหยียนหมิงซุ่นแย่งกลับมาได้


แม้ไม่ใช่บ้านหลังเดิมแต่กลับเป็นกิจการบางส่วนในเมืองจินของเฮ่อเหลียนเช่อ


อย่างเช่นร้านขายของที่เหมยเหมยเตรียมไปเก็บค่าเช่าในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้  และตึกอาคารสำนึกงานสองชั้นล้วนเป็นหนึ่งในกิจการเดิมของเฮ่อเหลียนเช่อ


ตอนนี้กลายเป็นของเหมยเหมยแล้ว!


เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นสายจากหานป๋อหย่วน[1] สามปีมานี้หานป๋อหย่วนโทรมาก่อกวนบ่อยครั้งแถมยังมาหาถึงที่บ้าน อย่างไรก็เป็นญาติห่าง ๆ จ้าวอิงหัวกับเหยียนซินหย่าไม่อาจปฏิเสธเด็ดขาดได้ จำต้องคอยต้อนรับอย่างให้ความเกรงใจ


เหมยเหมยไม่ได้ให้ความเกรงใจขนาดนั้น หากตอนนั้นหานซู่ฉินไม่รีบร้อนขนาดนั้นเธออาจเห็นแก่ความเป็นญาติห่าง ๆ แล้วทำตัวเกรงอกเกรงใจต่อหานป๋อหย่วนบ้าง


แต่เธอรู้ทันแผนการของหานซู่ฉินไปแล้วจะให้เกรงใจได้อย่างไรอีก?


“เหมยเหมย วันหยุดนี้ว่างมั้ย?” เสียงหานป๋อหย่วนยังฟังดูเรียบร้อยมีมารยาทอย่างเคย


“ไม่ว่าง” เหมยเหมยตอบปัดอย่างเด็ดขาด


หานป๋อหย่วนหุบยิ้มลง  ความหงุดหงิดถาโถมเข้ามาในใจ สามปีแล้วแต่จ้าวเหมยยังเย็นชากับเขาดั่งภูเขาน้ำแข็ง ไม่เคยไปดูหนังด้วยกันสักครั้ง เขาใกล้จะจบจากมหาวิทยาลัยและต้องกลับเมืองหลวงแล้ว ทว่ายังไม่เคยจับมือจ้าวเหมยเลยด้วยซ้ำ


ไม่ได้ เขาต้องหาวิธีหุงข้าวสารให้เป็นข้าวสุกให้ได้ ผู้หญิงต่อให้เย็นชาแค่ไหนขอแค่ได้มีความสัมพันธ์ทางกายก็ต้องยอมศิโรราบทั้งนั้น


……………………….


 [1] นักเขียนมีการเปลี่ยนชื่อจากหานจั่นเผิงเป็นหานป๋อหย่วน


ตอนที่ 1010 จิตใจคนเจ้าเล่ห์คดโกงมาโดยตลอด


เหมยเหมยพูดไม่กี่ประโยคก็บอกปัดหานป๋อหย่วนไปก่อนวางสายทันที เหยียนซินหย่าเดินออกมาจากห้องครัวถามเธอว่าใครโทรมา


“หานป๋อหย่วน ชวนหนูออกไปเที่ยวแต่หนูปฏิเสธไป” เหมยเหมยเองก็ไม่ปิดบัง


เหยียนซินหย่ามุ่นคิ้ว เธอรู้ดีว่าหานป๋อหย่วนมีแผนอะไรในใจ แน่นอนว่าหานป๋อหย่วนนั้นยอดเยี่ยมแต่มีไข่มุกอย่างเหยียนหมิงซุ่นอยู่ตรงหน้า ต่อให้หานป๋อหย่วนใส่เสื้อไหมทองเธอก็ไม่สนใจ


“ลุกคุยกับหานป๋อหย่วนดี ๆ อย่าดุขนาดนี้ ยังไงก็หลานของป้าสะใภ้สองของลูก” เหยียนซินหย่าเกลี้ยกล่อมเสียงอ่อนโยน


“ไม่ดุจะได้เหรอ? หานป๋อหย่วนนี่หมาชัด ๆ แค่ให้เขาเห็นดีด้วยหน่อยก็ส่ายหางวิ่งเข้ามาแล้ว น่ารำคาญจะตาย!”


เหมยเหมยแลบลิ้นใส่เหยียนซินหย่าแล้ววิ่งไปชั้นบน ไม่อยากพูดถึงหานป๋อหย่วนอีก


ตกดึกเหยียนซินหย่าพูดถึงหานป๋อหย่วนให้จ้าวอิงหัวฟัง ยิ้มกล่าว “ฉันรู้ทันความคิดของพี่สะใภ้สองนะ จะว่าไปหานป๋อหย่วนก็ไม่เลว เรียนดีมีการศึกษา แต่ฉันก็ชอบเหยียนหมิงซุ่นมากกว่า ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้อยู่ในค่ายทหารเป็นยังไงบ้างแล้ว!”


เหยียนซินหย่ายังไม่รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของเหยียนหมิงซุ่นกับเฮ่อเหลียนชิง เธอรู้แค่ว่าเหยียนหมิงซุ่นไปเป็นทหารตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนและดูเหมือนจะไปได้ดีในค่ายทหารไม่น้อย มีอนาคตที่ยาวไกล ซึ่งทำให้เหยียนซินหย่าพอใจต่อเหยียนหมิงซุ่นมากกว่าเดิม


แม้จ้าวอิงหัวปากจะบอกว่ารังเกียจเหยียนหมิงซุ่นบ่อย ๆ แต่ความจริงในใจเขาก็ยอมรับเหยียนหมิงซุ่นตั้งนานแล้ว โดยเฉพาะสามปีมานี้เขาสัมผัสได้ถึงพลังลึกลับของเหยียนหมิงซุ่นก็ยิ่งไม่ลังเลใจ


เหยียนหมิงซุ่นดีต่อลูกสาวและยังปกป้องลูกสาวเขาได้ เขาไม่ใช่คนโง่ ก็ต้องไม่คัดค้านอยู่แล้ว!


เหตุผลที่ชอบทำหน้าตึงบ่อย ๆ ก็แค่แสดงให้เหยียนหมิงซุ่นดูเท่านั้นแหละ มันก็ต้องมีใครสักคนในครอบครัวที่ต้องคัดค้านบ้างสิ!


ส่วนหานป๋อหย่วนจ้าวอิงหัวไม่เคยเก็บมาพิจารณาด้วยซ้ำ ยังไม่ต้องพูดถึงรากฐานของตระกูลหานที่ตื้นเขินเกินไป อีกทั้งหานป๋อหย่วนยังเทียบปลายนิ้วเดียวของเหยียนหมิงซุ่นไม่ได้เลย ก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งจะคู่ควรกับลูกสาวเขาได้อย่างไร?


“เรื่องของลูก ๆ คุณไม่ต้องคิดมากหรอก เหมยเหมยเป็นเด็กมีความคิดเป็นของตัวเอง เธอรู้หนักรู้เบา คุณมาเป็นห่วงสามีของคุณหน่อยจะดีกว่า…”


……


จ้าวอิงหัวไม่ได้บอกเรื่องเหยียนหมิงซุ่นให้เหยียนซินหย่า รวมไปถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผันในของเมืองหลวง และตระกูลจ้าวกำลังอยู่ในอันตราย


เรื่องพวกนี้เขาไม่ได้พูด บอกไปเหยียนซินหย่าก็ช่วยอะไรไม่ได้ มันจะทำให้เธอเป็นกังวลใจไปเปล่า ๆ


สถานการณ์ในตอนนี้ของตระกูลจ้าวคุณปู่จ้าวยังไม่รู้เรื่อง จ้าวอิงหัวเองก็เพิ่งรู้หลังถูกเหยียนหมิงซุ่นเตือนมา ไม่อย่างนั้นก็คงมารู้ตัวยามตระกูลจ้าวล้มไปแล้ว!


นึกถึงคำที่เหยียนหมิงซุ่นบอกในโทรศัพท์เมื่อหลายวันก่อนจ้าวอิงหัวก็ถอนหายใจเงียบ ๆ ไม่ได้คิดมากอีก จดจ่อกับกิจกรรมเข้าจังหวะกับภรรยาต่อไป…


ยังไงเขาก็มั่นใจว่าจะสามารถรักษาตำแหน่งผู้ว่านี้ได้และไม่ทำให้ภรรยากับลูกลำบาก ส่วนเหมยเหมยไม่เพียงแค่เขาที่คอยปกป้องแต่ยังมีเหยียนหมิงซุ่น เขาเลยไม่เป็นห่วงเลยสักนิดเดียว


ส่วนตระกูลจ้าวอย่างมากพี่ชายทั้งสองก็คงถูกลดตำแหน่งไม่เฉิดฉายได้หน้าอย่างเมื่อก่อนเท่านั้น ไม่มีอะไรมากหรอก เทียบกับคราวนั้นคราวนี้เบากว่าเยอะ


อีกอย่างตอนที่ลูกสาวถูกหวงอวี้เหลียนวางแผนทำร้าย คนตระกูลจ้าวไม่ได้ก้าวออกมาช่วยพูดแทนเหมยเหมยสักคำ จ้าวอิงหัวยังจำได้ดี!


ดื่มด่ำไปกับตำแหน่งที่ลูกสาวเขาสร้างให้แต่กลับไม่ช่วยลูกสาวเขา จ้าวอิงหัวเริ่มผิดใจกับพี่ชายทั้งสองคน การที่ทั้งคู่ได้เลื่อนตำแหน่งล้วนเป็นเพราะคุณงามความดีของลูกสาวเขา ครั้งนี้ก็ถือว่าเอาคืนมาแล้วกัน!


แต่จ้าวอิงหัวกลับคิดง่ายเกินไป จิตใจมนุษย์น่ะ…ยากที่จะถูกเติมเต็มอยู่แล้ว


ใครเล่าจะยอมสละเนื้อก้อนโตในมือตัวเองให้?


………………………..


ตอนที่ 1011 เก็บค่าเช่า


ร้านขายของที่เหยียนหมิงซุ่นแย่งมาจากเฮ่อเหลียนเช่อนั้นไม่ได้รวมอยู่ในแหล่งเดียวกันแต่กระจัดกระจายไปหลายแห่ง เก็บค่าเช่าทุก ๆ หกเดือน ค่าเช่าที่ได้ต่อปีไม่ใช่จำนวนน้อยๆ


เหมยเหมยไล่เก็บค่าเช่าตามร้านที่กระจายอยู่นอกเมืองไม่กี่ร้านจนเสร็จก็ปั่นจักรยานไปในเขตตัวเมือง ในตัวเมืองนั้นเป็นตึกโดยชั้นหนึ่งแบ่งเป็นร้านขายของสองร้าน


ร้านหนึ่งคือร้านขายเสื้อผ้าแบรนด์เนม ร้านข้าง ๆ เป็นร้านขายไอติม ความจริงสองร้านนี้ถูกแบ่งจากห้องห้องเดียวโดยมีประตูบานเล็ก ๆ กั้นระหว่างสองร้าน


ส่วนชั้นสองและชั้นสามก็ปล่อยให้เช่าเป็นสำนักงานบริษัท และด้วยทำเลที่ดีจึงสร้างเม็ดเงินได้มากที่สุดในบรรดาทุกร้าน


เจ้าของร้านขายเสื้อผ้าเป็นผู้หญิงหน้าตาสวยงามอายุราวสามสิบปี เหมยเหมยเรียกเธอว่าน้าผิง ขายแต่เสื้อผ้าสำหรับวัยรุ่นสาว ๆ ราคาไม่แพงแต่ก็ไม่ถูก ได้รับความนิยมจากวัยรุ่นสาว ๆ เป็นอย่างมาก ค้าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า


“เหมยเหมยมาแล้วเหรอ เสี่ยวโจวรีบเอาน้ำแตงโมไม่ใส่น้ำแข็งมาแก้วหนึ่ง”


น้าผิงต้อนรับเหมยเหมยอย่างกระตือรือร้นและเอาองุ่นที่ล้างสะอาดจากตู้ออกมา ส่วนร้านขายไอติมร้านข้าง ๆ เป็นหนุ่มหล่ออายุยี่สิบกว่าปีที่หน้าตาแอบคล้ายเจย์ โชว์ และยังสกุลโจวเหมือนกันพอดี ภายนอกดูเป็นคนเท่ ๆ เหมยเหมยเลยเรียกเขาว่าพี่โจว


เพราะเธอรู้สึกว่ายากจะเอ่ยปากเรียกคุณลุง เพียงแต่–


“ขอบคุณค่ะพี่โจว!”


เหมยเหมยรับน้ำแตงโมสด ๆ มา เพราะมันถูกเก็บไว้ในตู้เย็นเป็นเวลานานน้ำแตงโมจึงเย็น ให้ความสดชื่นเวลาดื่มมัน


เสี่ยวโจวชี้ไปที่น้าผิงพลางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ให้เรียกฉันว่าลุง ฉันไม่อยากเรียกเธอว่าน้า”


เหมยเหมยแทบจะพ่นน้ำแตงโมออกมา ทุกครั้งที่มาเก็บค่าเช่าเสี่ยวโจวมักทำท่าเหมือนคุณลุงวัยเกษียณ เธอมักอดไม่ได้ที่จะพูดหยอกเย้าไปไม่กี่ประโยค


“หนูเรียกในแบบของหนู พี่โจวก็เรียกในแบบของพี่โจวสิ เราไม่ใช่คนบ้านเดียวกันสักหน่อย ไม่มีอะไรมากหรอกน่า”


เหมยเหมยแลบลิ้นใส่น้าผิงทีหนึ่ง ทำเอาน้าผิงหลุดขำ แต่เหมยเหมยกลับไม่ทันสังเกตว่าสีหน้าสองคนนี้ดูไม่เป็นธรรมชาติอย่างมาก!


น้าผิงกับเสี่ยวโจวไม่รอให้เหมยเหมยเอ่ยปาก ก็เอาค่าเช่าให้เหมยเหมยด้วยตัวเอง น้าผิงทำท่าเป็นห่วงน้อย ๆ “หรือว่าฉันจะเอาเงินไปฝากธนาคารเป็นเพื่อนเธอดี เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ มีเงินติดตัวมากมายขนาดนี้ ถ้าเกิดโจรมาจะทำยังไง?”


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวหนูก็เอาเงินไปฝากธนาคารเลย อีกอย่างหนูเป็นถึงนักเทควันโดเชียวนะ ใครที่ไม่ดูตาม้าตาเรือกล้ามาหาเรื่องหนู? ซัดมันให้ตายไปเลย!”


เหมยเหมยเองก็ไม่นับจำนวนเงินพลางยัดเงินสองมัดใส่กระเป๋า ความจริงกลับเข้าไปในปริภูมิ ปลอดภัยยิ่งกว่าที่ไหนๆ


“เยวี่ยเยวี่ย เสื้อผ้าร้านนี้ใช้ได้อยู่นะ เราเข้าไปดูกันเถอะ แล้วยังมีร้านไอติมข้าง ๆ อีก พอซื้อเสื้อผ้าเสร็จก็เข้าไปกินไอติมกันได้”


เหมยเหมยกำลังจะออกจากร้านก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหู พอมองออกไปจากกระจกหน้าต่างพบว่าเป็นคนคุ้นเคย คุ้นเคยยิ่งกว่าคุ้นเคย


โอหยางซานซาน อู่เยวี่ยแล้วก็หานป๋อหย่วนอีกคน


สามคนนี้อยู่ด้วยกันได้อย่างไร?


หรือว่าคนประเภทเดียวกันมักรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน?


เหมยเหมยส่งสายตาให้น้าผิงแล้วพูดเสียงเบาว่า “พวกคุณน้าต้องทำเป็นไม่รู้จักหนูนะ!”


น้าผิงกับเสี่ยวโจวเข้าใจเลยเข้าประจำตำแหน่งของตัวเอง


ไม่นานพวกโอหยางซานซานก็ผลักประตูเข้ามา เวลานี้เป็นเวลาเที่ยงที่อากาศร้อนที่สุดเลยไม่มีลูกค้า เหมยเหมยที่ยืนตัวเป็น ๆ ขนาดนี้จะทำเป็นไม่เห็นคงยาก


สามคนชะงักนิ่งค้างแต่เป็นหานป๋อหย่วนที่มีปฏิกิริยาก่อน อมยิ้มทักทาย “เหมยเหมยก็มาซื้อเสื้อผ้าเหรอ? บังเอิญจริง ๆ!”


“ฉันนี่ช่างโชคร้ายจริง ๆ ที่วันนี้ออกจากบ้านไม่ดูปฏิทินให้ดี ออกมาก็เจอนางแพศยาตั้งสองคน น่ารำคาญ!”


เหมยเหมยไม่คิดจะเกรงใจสักนิด นางแพศยาอย่างโอหยางซานซานกับอู่เยวี่ยเธอไม่จำเป็นต้องไว้หน้าใด ๆ !


หากไม่เห็นแก่หานซู่ฉินเธอจะด่ารวมหานป๋อหย่วนเข้าไปด้วย ไปคลุกคลีอยู่กับพวกคนชั้นต่ำ จะเป็นคนดีได้ยังไง?


ตอนที่ 1012 เละเทะวุ่นวาย


หานป๋อหย่วนมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย รอยยิ้มก็ชะงักไป เขาไม่คิดเลยว่าเหมยเหมยจะไม่ไว้หน้ากันสักนิด เลยอดแค้นใจไม่ได้ ยิ่งทำให้ความหวังที่อยากได้เหมยเหมยมาครอบครองรุนแรงมากยิ่งขึ้น


ขอแค่เขาได้ครอบครองเหมยเหมย กดให้อยู่ใต้ร่างแล้วทำตามอำเภอใจ ดูสิว่าผู้หญิงคนนี้ยังจะหยิ่งได้อีกไหม?


กลัวก็แต่ถึงเวลานั้นจะร้องขอเขาแทนล่ะสิ?


หานป๋อหย่วนคิดในใจ ในหัวกำลังนึกถึงเรื่องลามกแต่กลับไม่แสดงออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย ยังคงดูมีมารยาทเรียบร้อยเป็นสุภาพบุรุษดังเดิม


“เหมยเหมยชอบล้อเล่นจัง…เหอเหอ…”


หานป๋อหย่วนพยายามกู้สถานการณ์แต่เหมยเหมยกลับไม่รับความหวังดีของเขา เหลือบมองโอหยางซานซานกับอู่เยวี่ยแวบหนึ่ง แค่นเสียงหัวเราะทีหนึ่ง “ปกติฉันล้อเล่นแค่กับเพื่อนของฉัน เหมือนแบบนี้…”


เธอไม่ได้พูดต่อแต่ยกนิ้วก้อยขึ้นมาแล้วชี้ลงพื้น นี่เป็นสัญลักษณ์ที่เซียวเซ่อชอบทำมากที่สุดโดยเฉพาะเวลาทำให้สยงมู่มู่ดู เหมยเหมยเลยเลียนแบบมาเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน


ท่าทางที่แฝงความเหยียดหยามอย่างรุนแรงแบบนี้ต่อให้เป็นคนโง่ยังดูออก โอหยางซานซานกับอู่เยวี่ยหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน อารมณ์โทสะกำลังเดือดพล่าน


“จ้าวเหมยเธอยังกล้ามาทำตัวเหิมเกริมกับฉันอีก? เธอมันก็แค่เด็กสวะที่ถูกเลี้ยงอยู่ข้างนอกไม่ใช่เหรอ? ย่าแท้ ๆ ของเธอยังไม่ชอบเธอเลย!” โอหยางซานซานทนไม่ไหวแล้ว ลืมคำสอนที่หวงอวี้เหลียนเคยบอกไว้ทั้งหมดแล้วอ้าปากด่ากราด


เหมยเหมยไม่ใส่ใจและยังพูดโต้เชิงเย้ยหยัน “โอหยางซานซาน ย่าของฉันไม่ใช่ผู้ชายสักหน่อยเธอจะตีสนิทไปก็ไม่มีประโยชน์ ย่าของฉันไม่ชอบไม่เห็นสำคัญตรงไหน แต่พ่อแม่ฉันชอบฉันไง ไม่รู้ว่ารักฉันมากแค่ไหนกันนะ!”


เธอเว้นช่วงก่อนจะพูดแทงใจดำต่อด้วยฝีปากกรรไกร


“ไม่เหมือนเธอเด็กนรกที่เกิดมาจากพ่อแม่ที่ผิดศีลธรรม สวรรค์และโลกยังไม่มีที่จะให้ยืน ฉันว่าชีวิตนี้เธอคงกลับเมืองหลวงไม่ได้แล้วล่ะ ก็อยู่ที่อื่นต่อไปแบบนี้เถอะ!”


หานป๋อหย่วนตาเป็นประกาย ข่าวลือเรื่องภูมิหลังครอบครัวของโอหยางซานซานไม่ได้ถูกแพร่เป็นวงกว้างในเมืองหลวง เขารู้แค่ว่าไม่ใช่เรื่องดีงามอะไรแต่ความจริงกลับอยู่เหนือความคาดหมายของเขาไปมาก


อีกอย่างเขาไม่คิดว่าครอบครัวโอหยางเซี่ยงหมิงจะถูกตัดออกจากตระกูลไปแล้ว นี่นับว่าเป็นข่าวสำคัญเลย หานป๋อหย่วนจึงตัดโอหยางซานซานออกจากรายชื่อคนที่จะมาเป็นภรรยาในอนาคตของเขาทิ้งเป็นคนแรก


ลูกที่ตระกูลไม่เอา ไม่มีส่วนช่วยต่อการงานของเขาเลยสักนิดเดียว แต่งแล้วจะมีประโยชน์อะไร?


หากแค่เล่นสนุก ๆ ก็พอไหว!


หานป๋อหย่วนเศร้าใจ ที่นี่มีเพียงจุดเดียวที่ไม่ดีก็คือตระกูลสูงส่งมีน้อยเกินไป โอหยางซานซานนับว่าเป็นคนที่เงื่อนไขดีที่สุดเท่าที่เขาจะหาได้แล้ว แต่กลับเป็นเพียงลูกที่ถูกทอดทิ้ง


ดูไปดูมาก็มีแต่จ้าวเหมยที่เหมาะสมที่สุด!


อีกแค่ปีเดียวก็จะเรียนจบแล้วเขาต้องรีบจัดการจับจ้าวเหมยให้อยู่หมัดให้เร็วที่สุด หากไม่ได้จริง ๆ เขาคงต้องใช้วิธีที่มากกว่านี้แล้ว!


โอหยางซานซานถูกเหมยเหมยด่าจนหมดแรงจะเถียงกลับ ได้แต่พูดซ้ำไปซ้ำมาแค่ว่าเหมยเหมยพูดเหลวไหลด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มท่าทางช่างน่าสงสาร


“ข่าวฉาวที่บ้านเธอคนในเมืองหลวงมีใครบ้างที่ไม่รู้? เธอปิดหูปิดตาไปแล้วมีประโยชน์อะไร? โอหยางซานซาน เธอกล้ายอมรับความจริงเถอะ เธอน่ะเป็นลูกชู้ที่แม่ของเธอกับพี่ใหญ่ของเธอ…


ไม่สิ…ความจริงน่าจะเป็นพ่อแท้ ๆ ของเธอที่แอบคบชู้กัน ส่วนพ่อของเธอความจริงเป็นคุณปู่ของเธอ คุณปู่ของเธอความจริงเป็นปู่ทวดของเธอ คุณย่าของเธอก็เป็นย่าทวดของเธอ หลานชายหลานสาวของเธอคือน้องชายน้องสาวของเธอ โอ๊ย…ความสัมพันธ์ยุ่งเหยิงนี้ ฉันยังจัดลำดับไม่ถูกเลย!


เหมยเหมยร่ายผังครอบครัวตระกูลโอหยางในทีเดียวโดยไม่หายใจ ในเวลานี้มีเด็กผู้หญิงอีกหลายคนเข้ามาซื้อเสื้อผ้าที่ร้าน พอได้ยินสิ่งที่เหมยเหมยพูด แต่ละคนต่างก็คิดตามกันจนหัวหมุนและมึนไปหมด


คุณปู่ไม่ใช่คุณปู่ คุณพ่อไม่ใช่คุณพ่อ พี่ชายไม่ใช่พี่ชาย…


คนบ้านนี้ซับซ้อนจริง ๆ !


เหมยเหมยสูดลมหายใจเข้าพลางอธิบายด้วยความใจดี “สรุปแล้วก็คือครอบครัวของผู้หญิงคนนี้แม่เลี้ยงแอบคบชู้กับลูกชาย แอบตีท้ายครัวคนอื่น ก็อย่างที่เขาว่ากันเรือล่มในหนองแล้วทองจะไปไหน!”


พวกเด็กผู้หญิงแต่ละคนเขินอายจนหน้าแดงหูแดงเพราะเข้าใจในที่สุด!


………………………..


 ตอนที่ 1013 ขยี้ตามองใหม่


โอหยางซานซานอับอายแทบตาย เธอนึกเสียใจที่ไม่ฟังคำของคุณแม่ว่าอย่าไปหาเรื่องนางแพศยาจ้าวเหมย!


เรื่องราวชีวิตของเธอในเมืองหลวงมีเพียงคนในแวดวงเดียวกันเท่านั้นที่รู้ คนทั่วไปยังรู้กันไม่มาก เมืองจินยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเลยเพราะแทบไม่มีใครรู้ แต่ตอนนี้…


นางแพศยาจ้าวเหมยเปิดโปงเรื่องพวกนี้ต่อหน้าหานป๋อหย่วน แล้วต่อไปนี้หานป๋อหย่วนจะมองเธอเป็นคนอย่างไร?


ถึงเธอจะไม่ได้ถูกใจหานป๋อหย่วนมากนักเพราะภูมิหลังของตระกูลหานนั้นอ่อนแอเกินไปสู้ตระกูลโอหยางไม่ได้ด้วยซ้ำ ต่อให้เขาดีแค่ไหนเธอก็ไม่มีวันลดฐานะไปแต่งงานด้วย


แต่ไม่แต่งก็ส่วนไม่แต่ง แค่ได้สนุกกับหานป๋อหย่วนก็มีความสุขดีมันช่วยเติมเต็มใจที่หวังสูงตามประสาหญิงสาวของโอหยางซานซานได้เป็นอย่างดี


ตอนนี้เหมยเหมยเปิดโปงเรื่องฉาวของเธอออกมาทั้งหมด แล้วจะให้เธอเอาหน้าไหนไปคบหากับหานป๋อหย่วนอีก?


รวมถึงอู่เยวี่ย…


ต่อหน้าอู่เยวี่ยโอหยางซานซานถือตัวอยู่เหนือกว่าเสมอ วางมาดเต็มที่


ส่วนอู่เยวี่ยเองก็รู้ตำแหน่งตัวเองดี รู้ว่าตัวเองเกิดมาต่ำต้อยกว่าเลยรู้ขอบเขต แต่นี่เป็นเพียงแค่ภาพภายนอก คนอย่างอู่เยวี่ย  โอหยางซานซานรู้ดีเสียยิ่งกว่าอะไร


ณ เวลานี้ในใจอู่เยวี่ยคงกำลังเยาะเย้ยเธอล่ะสิ!


“จ้าวเหมย เธอพูดบ้าอะไร พูดเหลวไหลอะไร ฉันจะเอาเธอให้ตาย…”


โอหยางซานซานพุ่งเข้าหาอย่างอดไม่ได้ คว้าเก้าอี้บาร์ข้าง ๆ ขึ้นเหนือศีรษะแล้วโยนใส่เหมยเหมย น้าผิงที่กำลังดูเรื่องสนุก ๆ อยู่หน้าซีดรีบผลักเสี่ยวโจวที่ยืนนิ่งแรง ๆ


“รีบไปช่วยสิ!”


“ไม่จำเป็น!” เสี่ยวโจวว่าด้วยท่าทางเท่ ๆ ไม่ขยับตัว


เหมยเหมยกอดอกใบหน้าเรียบนิ่งไม่แม้แต่กะพริบตา หานป๋อหย่วนแสร้งตะโกนเสียงดัง “อั้ยหยา ซานซานหยุดนะ…อย่านะ…”


เสียงก็ดังอยู่หรอกแต่ผ่านไปพักใหญ่แล้วขายังก้าวออกมาเพียงเมตรเดียว หากรอให้เขาไปช่วยชีวิตใครเกรงว่าคนนั้นจะขาดใจตายไปเสียก่อน!


รอโอหยางซานซานมาใกล้ในระยะไม่ถึงครึ่งเมตรดีเหมยเหมยถึงยกขา รวบรวมพลังให้เพียงพอแล้วส่งเสียงดังพร้อมขาที่ถูกเตะออกไปในเวลาเดียวกัน


“ปัง!”


โอหยางซานซานถูกเหมยเหมยเตะเข้าที่ท้องน้อยเต็ม ๆ จนล้มก้นจ้ำเบ้า ครั้งนี้เหมยเหมยใส่แรงสุดตัวเลยมีแรงมากเป็นพิเศษ โอหยางซานซานกุมหน้าท้องไว้ด้วยความเจ็บปวดพลางส่งเสียงครางเบา ๆ ในลำคอ


เหมยเหมยเก็บขาเรียวยาวกลับมา ท่านี้เธอฝึกมาตั้งสามปีแหนะ!


เธอขยิบตาให้น้าผิงแวบหนึ่งอย่างได้ใจถึงที่สุด ชอบความรู้สึกที่ทำให้คนต้องขยี้ตามองเธอใหม่แบบนี้ที่สุดเลย!


ขณะเดียวกันคนที่ยืนอึ้งยังมีหานป๋อหย่วนแล้วก็อู่เยวี่ย หานป๋อหย่วนได้สติเป็นคนแรกถลาเข้าไปช่วยพยุงโอหยางซานซานแล้วตวัดมองมาอย่างไม่พอใจ “เหมยเหมย เธอทำร้ายคนอื่นได้ยังไง? ป่าเถื่อนเกินไปแล้ว!”


“ถ้าไม่ให้ฉันลงมือ จะให้ฉันรอให้เก้าอี้ทุ่มใส่ตัวก่อนเหรอ? หานป๋อหย่วนสมองนายไม่ได้น้ำเข้าจนโง่หรอกนะ?” เหมยเหมยโต้กลับทันควัน


หานป๋อหย่วนยิ้มเจื่อน ๆ ไม่กล้าพูดต่อ กลัวเหมยเหมยจะพ่นคำที่ร้ายกาจมากกว่านี้ออกมา ตอนนี้อยู่ข้างนอกแถมยังอยู่ต่อหน้าโอหยางซานซานกับอู่เยวี่ย เขาไม่อยากขายหน้ามากเกินไป!


“ซานซานเธอเป็นยังไงบ้าง? ไปโรงพยาบาลมั้ย?” อู่เยวี่ยนั่งยอง ๆ ลงไปแสร้งถามด้วยความเป็นห่วงแต่สายตากลับแฝงด้วยความเหยียดหยาม


แค่เด็กชู้ที่เกิดมาจากพ่อแม่ที่ผิดศีลธรรม มีสิทธิ์อะไรมาทำตัวเหิมเกริมต่อหน้าเธอ?


ไหนจะแสร้งถือตัวสูงส่งบริสุทธิ์ ไม่ควรถูกใครล่วงเกินอีก ถุย!


แล้วก็หวงอวี้เหลียน คุณนายคนนี้เสแสร้งเก่งเสียจริง ภายนอกดูเป็นคนสง่าใจกว้างรู้จักการวางตัว แต่ความจริงกลับเป็นนางแพศยาที่แอบคบชู้ลับหลังสามี…


เหอะ คุณนายผู้ดีที่ว่า ความจริงก็แค่นั้นแหละ!


ความคิดของอู่เยวี่ยในตอนนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แวดวงสังคมที่เธอรู้สึกว่าไกลเกินเอื้อมนั่นอยู่ ๆ ก็อยู่ใกล้เธอเพียงเอื้อมมือ แค่ยื่นก็แตะถึง!


ขอแค่เธอทุ่มสุดตัวได้!


ก็ไม่มีอะไรที่จะไม่ได้มาอยู่ในมือ!


ตอนที่ 1014 เกิดอะไรขึ้นหรือ


โอหยางซานซานใช้เวลาอยู่พักใหญ่ถึงจะพอปรับตัวได้ ใบหน้าของเธอตอนนี้ทั้งขาวซีดและมีเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก เธอได้อู่เยวี่ยช่วยพยุงตัวค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน


“จ้าวเหมย เธออย่าได้ใจไป สักวันเธอจะต้องคุกเข่าร้องขอชีวิตต่อหน้าฉัน!”


โอหยางซานซานมองด้วยสายตาเยือกเย็นดุดันและพูดเสียงเล็ดลอดไรฟัน


แม้หวงอวี้เหลียนจะไม่ได้บอกให้เธอชัดเจนแต่เท่าที่ฟังจากน้ำเสียง ใครจะไปรู้ใจแม่เท่าลูกสาว แค่พิจารณาจากคำพูดของหวงอวี้เหลียนรวมถึงสีหน้าที่ได้ใจนั่น โอหยางซานซานก็พอจะคาดเดาถึงจุดจบแสนพินาศที่ใกล้มาถึงของตระกูลจ้าวได้


โอหยางซานซานไม่ได้มีความอดทนเท่าหวงอวี้เหลียน พอถูกเหมยเหมยกระตุ้นเลยพูดขู่ไว้ก่อนอย่างห้ามไม่ได้


เหมยเหมยใจกระตุกวูบ โอหยางซานซานพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?


หรือว่าที่เมืองหลวงเกิดอะไรขึ้น?


แต่เธอก็ไม่ได้คิดมาก สามปีมานี้แม้เธอจะไปเมืองหลวงค่อนข้างบ่อยแต่กับตระกูลจ้าวเธอไปน้อยครั้งมาก ส่วนใหญ่จะไปทานข้าวเป็นเพื่อนตาแก่โรคจิตเฮ่อเหลียนชิง


หรือไม่ก็เฮ่อเหลียนชิงคิดถึงฉิวฉิวแล้วจะให้คนมารับฉิวฉิวไปอยู่เมืองหลวงสักช่วงหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะฉิวฉิวจงรักภักดีต่อเธอคงถูกตาแก่โรคจิตนั่นล่อลวงไปแล้ว


สิ่งดี ๆ ที่เฮ่อเหลียนชิงทำให้ฉิวฉิว ชิ แม้แต่เธอเห็นแล้วยังอิจฉาเลย!


เหมยเหมยคร้านจะคิดต่อไป เธอไม่ได้สนใจต่อความรุ่งโรจน์ของตระกูลจ้าวเลยสักนิด อย่างไรเสียเธอก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรจากตระกูลจ้าวอยู่แล้ว อีกอย่างหากเป็นอะไรไปเธอคงไม่คาดหวังกับตระกูลจ้าว!


นอกจากนั้นเธอก็ไม่ได้ผูกพันกับตระกูลจ้าวมากขนาดนั้น จะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่เธอไม่สนใจจริง ๆ ขอแค่เหยียนหมิงซุ่นกับครอบครัวของเธอปลอดภัยดีก็โชคดีมากแล้ว!


ส่วนคนอื่น หัวใจเธอเล็กเกินไป ใส่ไม่พอแล้วล่ะ!


“งั้นก็รอถึงวันนั้นจริง ๆ โอหยางซานซานค่อยมาอวดเก่งต่อหน้าฉันแล้วกัน ส่วนตอนนี้เหรอ…”


เหมยเหมยจุดยิ้มร้ายเรียกให้โอหยางซานซานใจหล่นวูบและเตรียมจะก้าวถอยหลังอัตโนมัติ แต่จะไปทันความเร็วของเหมยเหมยได้เสียที่ไหน ยังไม่ทันให้เธอร้องตะโกน เท้าของเหมยเหมยก็ตรงมาที่เป้าหมาย ซึ่งเป้าหมายในครั้งนี้คือกลางศีรษะของโอหยางซานซาน


นางแพศยาโอหยางหน้าไม่อาย แค่เห็นก็อยากเตะ!


“พลั่ก”


โอหยางซานซานล้มลงกับพื้นตามเสียง โดยมีรอยรองเท้าแปะติดบนใบหน้า


เหมยเหมยปัดมืออย่างสบายใจ เดินไปตรงหน้าโอหยางซานซานที่กำลังครางด้วยความเจ็บปวดแล้วยกนิ้วกลางให้เธอไปที กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ยังคิดจะให้ฉันคุกเข่าขอร้องเธอ? ฝันกลางวันไปเถอะ ฉันจะซ้อมเธอให้สภาพไม่ต่างกับหมาเลย เหอะ!”


เธอปรายตามองอู่เยวี่ยอย่างดูถูกอีกแวบหนึ่ง “คนประเภทเดียวกันก็มักอยู่กับคนประเภทเดียวกัน มิน่าพวกเธอถึงอยู่ด้วยกันได้เพราะนิสัยเหมือนกัน!”


หานป๋อหย่วนคิดจะพูดกู้สถานการณ์ แต่เหมยเหมยไม่ได้เปิดโอกาสให้เขาได้เอ่ยปาก ไม่แม้แต่ปรายตามองเขาสักนิดเดียว แบกกระเป๋าเป้เดินจากไปทันที


เด็กผู้หญิงหลายคนมองจนตาค้าง ผ่านไปพักหนึ่งถึงหุบกรามได้แล้วพูดด้วยความทึ่ง “เท่จังเลย!”


โอหยางซานซานที่อับอายขายหน้าจะมีอารมณ์มาซื้อเสื้อผ้าได้อย่างไรอีกจึงขอตัวกลับบ้านก่อนทิ้งให้อู่เยวี่ยอยู่กับหานป๋อหย่วนสองคน


อู่เยวี่ยลอบดีใจ หานป๋อหย่วนเป็นเพื่อนของโอหยางซานซาน เท่าที่เธอไปสืบมาในที่สุดก็รู้เรื่องแทบทั้งหมดของหานป๋อหย่วนได้สักที


ไม่ว่าจะเรื่องภูมิหลังครอบครัว หน้าตา หรือกระทั่งการศึกษาล้วนเติมเต็มเงื่อนไขของสามีในอนาคตของเธอทุกประการ!


หากได้แต่งงานกับหานป๋อหย่วน ต่อหน้าจ้าวเหมยเธอก็ไม่ต้องก้มหัวให้อีก!


อู่เยวี่ยยังอายุน้อยไม่รู้ว่าสังคมนั่นก็แบ่งชนชั้นเหมือนกัน คิดเพียงว่าหานป๋อหย่วนเป็นคนที่อยู่สูงจนเอื้อมไม่ถึง แต่หารู้ไม่ว่าภูมิหลังอย่างครอบครัวของหานป๋อหย่วนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้ก้าวข้ามขอบประตูสังคมนั่นหรือยัง!


“ฉันเลี้ยงไอติมเธอแล้วกัน ได้ยินมาว่าไอติมร้านนี้ไม่เลว”


หานป๋อหย่วนเป็นคนทำลายความเงียบก่อนและเผยยิ้มสุภาพบุรุษอย่างที่ชอบทำ อู่เยวี่ยก้มหน้าด้วยความเขินอายเลยเผยให้เห็นลำคอขาวผ่องของเธอพอดี


“ได้สิ!”


……………………………….


ตอนที่ 1015 ผลงานแรก


หลังซ้อมโอหยางซานซานอย่างหนัก ไปยกหนึ่งเหมยเหมยที่กำลังอารมณ์ดีเตรียมไปทานอะไรเป็นการฉลองให้จุใจ


เสียง ‘ติ๊ดติ๊ด’ ดังจากกระเป๋าเสื้อซึ่งเป็นเพจเจอร์กำลังส่งเสียงดัง ตอนนี้มีโทรศัพท์เคลื่อนที่แล้วแต่ยังไม่มีการวางขายตามท้องตลาดแต่เหยียนหมิงซุ่นก็สามารถหามันมาได้ ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ชอบเลยขอใช้แค่เพจเจอร์


โทรศัพท์เคลื่อนที่ในตอนนี้เสมือนก้อนอิฐแข็ง ๆ แล้วมันยังหนักเกินไปที่จะใส่ไว้ในกระเป๋า เลยไม่ถูกใจจริง ๆ สู้ใช้เพจเจอร์ยังดีกว่า อย่างไรเสียตอนนี้ก็มีตู้โทรศัพท์สาธารณะอยู่ทั่วทั้งเมืองค่อนข้างสะดวกเลยทีเดียว


“อีกสามวันจะกลับเมืองจิน เป็นเด็กดีรอฉันที่บ้าน!”


เป็นข้อความที่ถูกส่งมาจากเหยียนหมิงซุ่น เรียกให้เหมยเหมยยิ้มแก้มปริ จุ๊บใส่เครื่องเพจเจอร์ไปทีหนึ่ง


เสียงสัญญาณดังขึ้นอีกครั้ง ยังคงเป็นข้อความจากเหยียนหมิงซุ่น “คิดถึงเธอจัง ที่รัก!”


สาวน้อยแก้มแดงฉับพลันรีบหันมองซ้ายขวาเพราะกลัวใครจะเห็นเข้า เธอก้มเอามือปิดหน้าแล้วอดหัวเราะไม่ได้ และส่งข้อความกลับ ‘ฉันก็คิดถึงพี่นะ โอปป้า!’


ต่อหน้าเหยียนหมิงซุ่นเธอไม่มีทางใจกล้าขนาดนี้อยู่แล้ว แต่ข้อความล่ะก็อย่าว่าแต่โอปป้าเลย ต่อให้เป็นฮันนี่ก็ไม่มีปัญหา!


ที่แถบหมู่บ้านชายแดนทางใต้ เหยียนหมิงซุ่นในชุดลำลองเผยยิ้มได้ใจจนเพื่อนร่วมทีมหลายคนข้าง ๆ ต่างทำหน้าอิจฉา


หัวหน้าทีมชอบโชว์หวานใส่เป็นพัก ๆ เจ็บใจจริง!


บอกประโยครักร้อนแรงให้เหยียนหมิงซุ่นอีกไม่กี่ประโยคเหมยเหมยก็เก็บเพจเจอร์อย่างพึงพอใจ แม้แต่หางตายังดูอิ่มเอมมีความสุขรวมถึงพวงแก้มที่แดงอมชมพูยิ่งกว่าดอกท้อ เปิดเผยให้เห็นเหมยเหมยที่กำลังตกอยู่ในห้วงความรักอย่างหมดเปลือก


อีกสามวันก็ได้เจอพี่หมิงซุ่นแล้ว ดีใจจัง!


เหมยเหมยยิ้มกว้างพลางเก็บเพจเจอร์ใส่กระเป๋าแต่ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นอีก เป็นข้อความจากคุณป้าถู


คุณป้าถูเป็นบรรณาธิการจากสำนักพิมพ์ชื่อดังแห่งหนึ่งและเป็นเพื่อนสนิทกับเหยียนซินหย่า สามปีมานี้ไม่ได้มีเพียงเจ้าอ้วนน้อยที่ตีพิมพ์หนังสือ เหมยเหมยเองก็เช่นกันเพียงแค่ว่าของเธอเป็นหนังสือการ์ตูน


เป็นผลงานเล่มแรกของเธอซึ่งวาดเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของเธอกับฉิวฉิวแล้วก็ฉาฉา


นางเอกอ้างอิงจากตัวเธอที่โดนผู้อื่นล้อว่าเป็นลูกเป็ดขี้เหร่แสนโง่เขลามาตั้งแต่เด็ก ภายใต้ความช่วยเหลือจากพระเอกก็ค่อย ๆ ลอกคราบกลายเป็นหงส์ขาวแสนงดงาม แล้วก็เซียวเซ่อ สยงมู่มู่ เจ้าอ้วนน้อย…


ล้วนถูกเธอวาดใส่ในหนังสือ แน่นอนว่าจะต้องขออนุญาตจากพวกเขาแล้ว


ส่วนตระกูลอู่นั้นก็ถูกเหมยเหมยสร้างเป็นตัวละครฝ่ายอธรรม


เหมยเหมยมีความตั้งใจกับผลงานชิ้นแรกของตัวเองเป็นอย่างมาก นับว่าดีที่มีเหยียนซินหย่าคอยช่วยเหลือเลยไม่ต้องลำบากเหมือนคนอื่น ๆ ที่ตัวเองสร้างผลงานออกมาเป็นชิ้นเป็นอันแล้วแต่กลับไม่มีพื้นที่ให้ประชาสัมพันธ์


ในเวลานี้มีการ์ตูนจากประเทศญี่ปุ่นไหลทะลักเข้ามาในประเทศจีนเป็นจำนวนมาก เริ่มแรกเป็น ‘เทพธิดาน้อย’ ‘ชีร่า’ ‘อิคคิวซัง’ …แล้วก็การ์ตูนที่ทุกคนคุ้นเคยเป็นอย่างดีอย่าง ‘อุลตร้าแมน’ รวมไปถึง ‘KOSEIDON’ แทบจะเป็นการ์ตูนในยุคนี้ทั้งนั้น ภายหลังยังมี ‘โปเกม่อน’ ‘เซนต์ เซย่า’ เป็นต้น


สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการ์ตูนทางวัฒนธรรมที่ทางประเทศญี่ปุ่นเผยแพร่สู่ประเทศจีน นอกจากนี้ยังมีสินค้าประเภทเกมจำนวนมาก รวมไปถึงของเล่นเสื้อผ้าต่าง ๆ พอที่จะกอบโกยกำไรจากประเทศจีนได้มากโข


คุณป้าถูอายุยังไม่มากอาจจะมากกว่าเหยียนซินหย่าเพียงไม่กี่ปีและยังไม่ได้แต่งงาน เธอเป็นคนนิสัยตรงไปตรงมารูปร่างอ้วนเตี้ย หน้าตาดูมีอายุหน่อย หากใช้คำอธิบายตามประสาคุณป้าถูล่ะก็


เธอในวัยสิบแปดเดินตามท้องถนนก็มีเด็กน้อยเรียกเธอว่าคุณป้า สามสิบปีผ่านไปเด็กน้อยก็ยังคงเรียกเธอว่าคุณป้า คาดว่าสามสิบปีให้หลังก็ยังคงเป็นเช่นเดิม


นี่เป็นถ้อยคำที่คุณป้าถูพูดหยอกตัวเองแต่เหมยเหมยกลับฟังออกถึงความระอาปนน้อยใจของเธอ


เอาเข้าจริงไม่มีผู้หญิงคนไหนในวัยสิบแปดอยากจะถูกเรียกว่าคุณป้า!


ดังนั้นเหมยเหมยเลยเผลอตอบกลับทันควัน “ป้าถู แปลว่าป้ายังสาวเสมอต้นเสมอปลาย!”


เพียงประโยคนี้ประโยคเดียวเหมยเหมยเลยเป็นที่ชื่นชอบของคุณป้าถู ได้รับความชื่นชอบมากกว่าเหยียนซินหย่าด้วยซ้ำ


“รีบมาที่สำนักงาน มีเรื่องด่วน”


เหมยเหมยเลยต้องเลี้ยวกลับเพื่อปั่นไปยังสำนักงาน ไม่รู้ว่าคุณป้าถูมีธุระด่วนอะไรกับเธอกันแน่


“ป้าถู วันที่อากาศร้อนแบบนี้มีเรื่องด่วนอะไรหรือคะ?”


เหมยเหมยที่หายใจหอบเปิดประตูห้องทำงานบรรณาธิการซึ่งคุณป้าถูรูปร่างอุดมสมบูรณ์กำลังยิ้มต้อนรับแขกซึ่งแขกคนนี้เป็นชายวัยกลางคนอายุราวสามสิบปี วันที่อากาศร้อนตับแทบแตกแบบนี้ยังใส่ชุดสูท แค่เห็นก็รู้สึกร้อนแทนแล้ว


ผู้ชายเห็นสาวน้อยหน้าตาสะสวยตรงหน้าประตูกตาก็บ่งบอกว่ากำลังอึ้งไปชั่วครู่แต่ไม่ปริเสียงใด ๆ


คุณป้าถูยิ้มตอบ “นี่เป็นคุณหลินจากสำนักพิมพ์ซิงซิงที่ฮ่องกง เขาอยากซื้อลิขสิทธิ์เรื่อง ‘บันทึกพลิกชีวิตเจ้าหญิงขี้เหร่’ ที่จะเปิดตัวในฮ่องกงของเธอ”


เหมยเหมยเลิกคิ้ว ‘บันทึกพลิกชีวิตเจ้าหญิงขี้เหร่’ เป็นผลงานชิ้นแรกของเธอนั่นเอง ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงกำลังลงตอนใหม่ไปเรื่อย ๆ แต่เธอแต่งมันจบไปแล้ว คาดว่าสิ้นปีน่าจะลงจนครบได้


หนังสือเล่มนี้แค่วางขายในประเทศก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี ถึงขั้นต้องตีพิมพ์อีกสองครั้ง นั่นก็อยู่เหนือความคาดหมายของเหมยเหมย


แต่ทางฮ่องกงมาขอซื้อลิขสิทธิ์เองเธอกลับไม่รู้สึกเกินคาดเลยสักนิด


ตอนที่ 1016 โจรหญิง


ต่อให้ทางฮ่องกงไม่มาหาเธอ รอให้เธอว่างก็จะให้คุณป้าถูช่วยไปติดต่อสำนักพิมพ์ทางนั้นอยู่ดี แล้วก็ตลาดใหญ่อย่างประเทศทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เธอไม่ปล่อยไว้หรอก


ในเมื่อตัดสินใจจะเดินทางสายนี้ถ้าอย่างนั้นเธอจะต้องทำมันให้ดี ไม่ให้เสียเปล่ากับการที่เธอกลับชาติมาเกิดใหม่!


อีกอย่างเธออยากให้คนรู้ถึงโฉมหน้าอันน่ารังเกียจของคนตระกูลอู่ยิ่งกว่านี้!


“สวัสดีค่ะคุณหลิน” เหมยเหมยยิ้มทักทาย


“ให้พ่อแม่ของคุณจ้าวมาคุยด้วยกันมั้ยครับ?” คุณหลินเสนอความคิดเห็น


เหมยเหมยยิ้มตอบ “ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายขนาดนั้นหรอกค่ะ เรื่องของฉันฉันตัดสินใจเองได้ ถ้าจำเป็นต้องเซ็นสัญญา ฉันจะให้ทนายของฉันคุยรายละเอียดกับคุณหลินเอง”


คุณป้าถูยิ้มกล่าว “ยัยเด็กคนนี้ตัวเล็กแต่ทำการใหญ่ แม่ของเธอยังฉลาดไม่เท่าเธอเลย คุณวางใจได้ ขอแค่ตกลงกันได้ ฉันจะให้แม่ของเธอมาเซ็นสัญญาแน่นอน”


คุณหลินยิ้มพยักหน้ารับและทำท่าชื่นชมต่อท่าทางปราดเปรื่องช่ำช่องของเหมยเหมยเป็นอย่างมาก เท่าที่เขาทราบมาคุณจ้าวคนนี้ยังไม่บรรลุนิติภาวะสินะ แต่ดูจากทักษะการพูดและการรับหน้าของเธอนั้นเก่งกว่าผู้ใหญ่หลายคนเสียอีก


หลายปีมานี้เขาติดต่อกับนักเขียนในประเทศมามากมาย มีทั้งชายทั้งหญิงและมีทั้งคนแก่ทั้งวัยรุ่น นักเขียนแต่ละคนต่างมีความสามารถล้นเหลือแต่แปดถึงเก้าส่วนในสิบส่วนนั้นไม่รู้เรื่องกฎหมายและไม่มีความรู้รอบตัวเลยสักนิด


นักเขียนจำนวนมากมีความคิดที่ใสซื่อหรืออาจเป็นเพราะเสียหน้าไม่ได้ น้อยคนที่จะอ่านหนังสือสัญญาอย่างละเอียด ต่างอ่านกันแบบลวก ๆ ก็เซ็นสัญญาทันที ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะให้ทนายมาช่วยคัดกรองเลย


แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่อยากจะเอาเปรียบนักเขียนพวกนี้ เลยจะอธิบายเนื้อหาในสัญญาให้ชัดเจนก่อนล่วงหน้า แต่ในเมื่อเขาเป็นคนของสำนักพิมพ์ก็ต้องไขว่คว้าหาผลประโยชน์ให้ทางสำนักพิมพ์ให้มากที่สุด


แต่ก็นับว่าเขามีความเป็นมนุษย์มากพอ เพราะมีสำนักพิมพ์ที่ไร้หัวใจมากมายที่จะหลอกใช้ความใสซื่อและความเชื่อใจของนักเขียนเหล่านี้ให้พวกเขาเซ็นสัญญาที่ไม่เท่าเทียมกัน เท่ากับว่ากำลังให้นักเขียนกลุ่มนี้ช่วยงานฟรี ๆ และไม่มีที่ให้ยื่นฟ้องร้อง


สถานการณ์พวกนี้เหมยเหมยรู้เป็นอย่างดี ชาติที่แล้วเธอเคยได้ยินมาว่าชาวจีนในประเทศนับไม่ถ้วนเสียเปรียบขาดทุนอย่างมากเพราะขาดความรู้ด้านกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักธุรกิจหรือสายงานอื่น หลังจากที่พบกับความสูญเสีย พวกเขาจะเติบโตอย่างช้า ๆ โดยไม่ได้รับผลประโยชน์จากคนทางนั้นเลย


คุณหลินเป็นคนมีการศึกษาที่มีมารยาทไม่เหมือนคนที่กำลังเจรจาธุรกิจ แต่เหมยเหมยไม่ได้ชะล่าใจเลยตั้งใจฟังเขาอธิบายเงื่อนไขการร่วมงานอย่างใจเย็น


“สามข้อ หนึ่งคือเวลาที่จำกัด ฉันจะขอเซ็นอย่างมากแค่สามปี สองคือส่วนแบ่ง สามต่อเจ็ดไม่มีทางแน่ ๆ อย่างมากห้าต่อห้า ห้าส่วนเป็นสัดส่วนที่ฉันสามารถให้ได้มากที่สุด ส่วนพวกคุณต้องรับผิดชอบในส่วนของการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับหนังสือของฉันทั้งหมดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้…”


เหมยเหมยหยุดชะงักพลางยิ้มน้อย ๆ ให้คุณหลินที่ทำหน้าอึ้งทึ่งแล้วพูดต่อ “สาม…หนังสือของฉันฉันตัดสินใจเอง ใครก็ห้ามก้าวก่ายผลงานของฉัน ข้อนี้ต้องเพิ่มเติมในหนังสือสัญญา ผู้ฝ่าฝืนต้องชดใช้หนึ่งล้าน”


อย่าคิดว่าเธอไม่รู้ที่บางสำนักพิมพ์ เพื่อเป็นการเอาใจนักอ่านจะถือโอกาสในช่วงที่อยู่ในสัญญากดขี่นักเขียน ให้นักเขียนแต่งผลงานที่ขัดต่อความตั้งใจแรก


เหตุผลที่เธอเลือกสายงานนักเขียนการ์ตูนก็เพราะความอิสระเสรี หากไม่สามารถเขียนผลงานได้ตามใจตัวเอง ถ้าอย่างนั้นสู้ให้เธออยู่บ้านเป็นเจ้าแม่เก็บค่าเช่ายังจะมีความสุขดีเสียกว่า!


จะต้องทนลำบากไปทำไม!


คุณหลินกลืนน้ำลาย มองเหมยเหมยอย่างอึ้งทึ่ง


นี่มันนักเขียนผู้หญิงที่ไหนกัน?


เป็นโจรหญิงชัด ๆ !


“คุณจ้าว เงื่อนไขของคุณมันมากเกินไป เกรงว่าไม่มีทางที่สำนักพิมพ์ไหนจะยอมตกลงด้วย!” คุณหลินคัดค้านอย่างอ้อมค้อม


หากเจ้านายรู้ว่าเขาเซ็นสัญญาไม่เป็นธรรมแบบนี้ต้องไล่เขาออกจากงานแน่ ๆ !


เหมยเหมยยิ้มตาหยีมองเขา “ไม่ตกลงก็ไม่เป็นไร ยังไงฉันก็ไม่รีบ แต่คุณหลินต้องพิจารณาให้ดีนะ สามข้อที่ฉันเสนอไปไม่ได้มากไปเลยสักนิด ยังไงพวกคุณก็ยังได้กำไรนี่นา!”


………………………….


 ตอนที่ 1017 ไม่มีทางเลือกอื่น


เหมยเหมยอมยิ้มมองคุณหลิน สำนักพิมพ์ซิงซิงแม้ไม่ใช่สำนักพิมพ์ขนาดใหญ่ของฮ่องกงแต่กลับเป็นสำนักพิมพ์ที่มีความเป็นธรรมที่สุดเพราะเจ้านายเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่เลยจะช่วยดูแลนักเขียนชาวจีนแผ่นดินใหญ่เป็นพิเศษ


ไม่เหมือนสำนักพิมพ์อื่น ๆ ที่จะเซ็นสัญญากับนักเขียนชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ก็ต้องหาแผนคดโกงหลอกลวงรังแกคนที่ด้อยกว่า


สำนักพิมพ์ซิงซิงจึงเป็นสำนักพิมพ์เดียวที่เหมยเหมยอยากร่วมงานด้วย แต่เธอก็ต้องไขว่คว้าผลประโยชน์ให้ตัวเองมากที่สุด


ทำไมผลงานที่เธอสร้างมาอย่างยากลำบากต้องแบ่งให้สำนักพิมพ์ตั้งเจ็ดส่วน?


ทั้งที่ฮ่องกงก็แบ่งสัดส่วนกับนักเขียนชาวฮ่องกงกันคนละครึ่ง แต่เพราะเธอเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่เลยต้องได้น้อยกว่าสองส่วน จะให้เธอยอมได้อย่างไร?


อย่างมากเธอก็ให้เหยียนหมิงซุ่นส่งคนไปเปิดสำนักพิมพ์ที่ฮ่องกงเสีย เหอะ!


คุณหลินเริ่มคิดหนัก เพราะเหมยเหมยสร้างความลำบากใจให้อย่างกะทันหัน มันเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขาจนตั้งรับไม่ถูก และไม่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไรไปชั่วขณะ


ได้ครุ่นคิดชั่วครู่เขาก็ยิ้มตอบ “คุณจ้าวพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก ถ้าทำตามเงื่อนไขของคุณทางสำนักพิมพ์ของเราก็ได้ผลประโยชน์น้อยมาก ๆ เท่ากับทำงานสูญ…”


เหมยเหมยแค่นหัวเราะ ก่อนจะเปิดโปงคำลวงของเขา “เท่าที่ฉันทราบทางสำนักพิมพ์ของคุณแบ่งสัดส่วนกับนักเขียนในพื้นที่ครึ่งครึ่งสินะ? หรือว่าหลายปีที่ผ่านมาสำนักพิมพ์ของพวกคุณทำงานสูญเปล่ามาตลอด? หรือบางทีตลอดหลายปีมานี้ที่สำนักพิมพ์พวกคุณดำรงอยู่ได้ไม่ใช่พราะขูดรีดนักเขียนจากจีนแผ่นใหญ่ทั้งนั้น?”


คุณหลินยิ้มค้างและไม่มีคำโต้ตอบ จนถึงตอนนี้ถึงได้รู้ตัวว่าสาวน้อยหน้าตาสะสวยตรงหน้าเตรียมการมาพร้อม!


“พูดแบบนี้ก็ไม่ได้นะครับ…คุณจ้าวพูดแรงเกินไป สำนักพิมพ์ของเราค่อนข้างดูแลนักเขียนจากทางนี้ดีพอสมควร คุณจ้าวน่าจะเคยได้ยินสถานการณ์ทางฮ่องกงมาบ้าง…”


คุณหลินเริ่มแย้งให้ตัวเองและออกจะดูน้อยเนื้อต่ำใจไปบ้าง


“ฉันรู้ ฉะนั้นฉันถึงยอมร่วมงานกับสำนักพิมพ์คุณ ถ้าเปลี่ยนเป็นสำนักพิมพ์อื่น อย่างเช่นอีเจียหรือโฉวฉิน ฉันจะไม่แม้แต่เจรจาด้วยซ้ำ” เหมยเหมยตอบ


เห็นคุณหลินทำหน้าหม่นหมองเหมยเหมยก็พูดอีก “เท่าที่ฉันรู้มาว่าอีเจียกับโฉวฉินผูกมิตรเป็นสำนักพิมพ์พี่น้อง อีกอย่างสองปีมานี้หนังสือที่สำนักพิมพ์คุณตีพิมพ์ยอดขายไม่ค่อยดีเท่าไหร่ สถานการณ์ดูไม่ค่อยสู้ดีนักนะ!”


คุณหลินสีหน้าแอบเปลี่ยนเล็กน้อยเพราะสิ่งที่เหมยเหมยพูดไม่มีผิดเลยสักนิด ซิงซิงในเวลานี้ยากเย็นไปทุกย่างก้าว หากไม่ตีพิมพ์หนังสือที่ทำยอดขายได้ดีอีกเกรงว่าปีนี้คงผ่านไปได้ยาก


จึงเป็นเหตุผลที่เขามาหาจ้าวเหมย เพราะอยากอาศัย ‘บันทึกพลิกชีวิตเจ้าหญิงขี้เหร่’ ของเธอในการสู้เพื่อเปลี่ยนตัวเอง


อาศัยแววตาที่อยู่ในวงการนี้มาสิบกว่าปีของเขา เขาถูกใจหนังสือเล่มนี้มาก ต้องขายดีแน่!


แต่สามส่วนแหนะ…


คุณหลินยิ้มขมขื่นพลางตอบกลับ “ขออภัยด้วยคุณจ้าว เรื่องนี้ผมต้องแจ้งเจ้านายก่อน พรุ่งนี้ผมค่อยให้คำตอบคุณได้มั้ย?”


“ได้สิ ฉันไม่รีบ คุณหลินค่อย ๆ ก็ได้นะ!” เหมยเหมยคุยง่ายเป็นพิเศษ


คุณหลินถอนหายใจอย่างระอา เธอไม่รีบอยู่แล้วสิ เขาต่างหากที่รีบ!


คนของอีเจียกับโฉวฉินไม่เกินสามวันต้องมาหาจ้าวเหมยแน่นอน สองสำนักพิมพ์นี้เก่งเรื่องขโมยอยู่แล้วแถมยังมีอำนาจทางการเงิน เป็นไปได้ว่าจะยอมตกลงกับเงื่อนไขที่เกินมาตรฐานของจ้าวเหมยเพราะจงใจจะแย่งตลาด!


ไม่ได้ เขาต้องรีบทำเวลาเพื่อให้ได้เซ็นสัญญากับหนังสือของจ้าวเหมยก่อนสองสำนักพิมพ์นั้น


ส่งคุณหลินกลับไป คุณป้าถูก็ยกนิ้วโป้งให้เหมยเหมย “ยัยหนูทำได้ดี เธอเป็นนักเขียนคนแรกเลยนะที่กล้าแย้งกับทางนั้น!”


เหมยเหมยหัวเราะคักคิก “ก็ต้องมีคนใจกล้าสักคนสิ!”


“เธอว่าซิงซิงจะยอมตกลงมั้ย? ในเมื่อเงื่อนไขที่เธอขอมันก็ออกจะแบบนั้นไปหน่อยจริง ๆ !” คุณป้าถูเริ่มกังวล


“ต้องยอมตกลงแน่ พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น”


เหมยเหมยทำท่ามั่นอกมั่นใจเสียเต็มประดา


ตอนที่ 1018 พี่ชายหน้าหื่นที่เป็นลูกคนรวย


เงื่อนไขเรื่องส่วนแบ่งครึ่งครึ่งที่เหมยเหมยเสนอใช่ว่าจะพูดไปอย่างนั้น ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ของทางสำนักพิมพ์ซิงซิงที่กำลังอยู่ในช่วงลำบาก จากอดีตที่เคยปักหลักมั่นคงตอนนี้กลายเป็นขนมสอดไส้ สำนักพิมพ์ซิงซิงก็คือไส้ที่ถูกบีบอัดอยู่ตรงกลาง


เหตุผลที่เธอเลือกร่วมงานกับซิงซิงก็เพราะคำชมที่มีต่อสำนักพิมพ์นี้ อีกอย่างก็เพื่อช่วยเหลือชาวจีนแผ่นดินใหญ่


เนื่องจากเจ้าของสำนักพิมพ์ซิงซิงหลินเจิ้นกั๋วเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่อพยพหนีไปเมื่อครั้งที่เกิดเหตุจลาจล มีวัยรุ่นเลือดร้อนมากมายหนีไปยังฮ่องกง หลินเจิ้นกั๋วคือผู้อพยพกลุ่มแรก


ตลอดหลายปีมานี้หลินเจิ้นกั๋วเริ่มก่อร่างสร้างตัวและก่อตั้งสำนักพิมพ์ซิงซิงเองกับมือ อีกทั้งหลินเจิ้นกั๋วยังเรียนจบจากคณะภาษาจีนของมหาวิทยาลัยจิน แม้ว่าเขาต้องการหาผลประโยชน์แต่ก็ให้ความสำคัญกับเนื้อหาในหนังสือที่ตีพิมพ์จากสำนักพิมพ์เป็นอย่างมาก หนังสือประเภทที่เขียนเพื่อเอาใจนักอ่าน สำนักพิมพ์ซิงซิงไม่มีทางตีพิมพ์หนังสือประเภทนั้นอย่างแน่นอน


และด้วยเหตุนี้สำนักพิมพ์ซิงซิงจึงถูกสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่สองแห่งของฮ่องกงข่มเหง สองสำนักพิมพ์นี้มีทุนทรัพย์ที่มั่นคง อดีตเคยเป็นคู่อริกันแต่ตอนนี้เพื่อต่อกรกับหลินเจิ้นกั๋วเลยต้องตัดความแค้นในอดีตมาผูกมิตรแทน


ชีวิตของหลินเจิ้นกั๋วเลยลำบากลงเรื่อย ๆ เหมยเหมยถึงได้มั่นใจขนาดนี้


แน่นอนว่าเธอไม่ได้กำลังจะฉวยโอกาส เธอแค่ต้องการเรียกร้องความยุติธรรมแก่นักเขียนชาวจีนแผ่นดินใหญ่เท่านั้น!


ไม่ว่าเรื่องใดก็ยากที่จุดเริ่มต้น ขอแค่วันนี้เธอเจรจาขอแบ่งสัดส่วนครึ่งครึ่งได้สำเร็จ แบบนั้นถึงจะทำให้นักเขียนคนอื่นไม่ถูกหลอกลวงอีก ในเมื่อมีตัวอย่างให้เห็นแล้ว


ความจริงคุณหลินที่มาเจรจากับเหมยเหมยเป็นหลานของหลินเจิ้นกั๋ว หลังเขากลับโรงแรมก็โทรหาคุณลุง ลุงหลานสองคนปรึกษากันทั้งคืน


วันรุ่งขึ้นคุณหลินไม่ได้มาหาเหมยเหมยแต่กลับเป็นคนที่มาจากฮ่องกงแทน จุดประสงค์เช่นเดียวกับคุณหลิน มาเพื่อหนังสือของเธอ


ครั้งนี้คนที่มาเป็นคนจากสำนักพิมพ์อีเจีย ความจริงน่าจะเป็นตัวแทนจากอีเจียกับโฉวฉินสองสำนักพิมพ์นี้เพราะคนที่มาคือลูกคนรวยจากอีเจีย เพิ่งแต่งงานกับคุณหนูตระกูลเศรษฐีไม่นานมานี้


เหมยเหมยลอบยิ้มขำ ให้ค่าเธอมากเสียจริง!


ที่ให้เจ้านายคนเล็กออกโรงเอง แต่แล้วอย่างไร ถึงเชิญหลิวเต๋อหัวมาเธอก็ไม่ยอมตกลงเช่นกัน!


นึกถึงหลิวเต๋อหัวเหมยเหมยก็อดลูบจมูกไม่ได้ นี่เพิ่งปี 1991 ฮ่องกงมีอลัน ทัม กับเลสลี่ จาง  แล้วก็เหมยเยี่ยนฟาง ที่แก่งแย่งตำแหน่งกัน ส่วนหลิวเต๋อหัวอีกหลายปีให้หลังถึงจะโด่งดัง!


อีเจียลูกคนรวยหน้าตาธรรมดารูปร่างเล็กดูกระฉับกระเฉง สายตาเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์และฉลาดแกมโกง แค่ดูก็รู้ว่าเป็นนักธุรกิจที่ถนัดเอาเปรียบ


เหมยเหมยมุ่นคิ้วน้อย ๆ ไม่ได้รู้สึกประทับใจต่อลูกคนรวยท่านนี้เท่าไรนัก มิน่าตลอดหลายปีมานี้ทั้งสองสำนักพิมพ์ถึงออกแต่หนังสือที่ไม่ค่อยมีเนื้อหาอะไร เพื่อต้องการสร้างกำไรในระยะสั้นแต่กลับลดระดับของสำนักพิมพ์ให้ต่ำลง ความเสียหายที่ไร้รูปธรรมแบบนี้จะต้องให้พวกเขาเสียใจในอนาคต


ชายหนุ่มเห็นเหมยเหมยก็ตาลุกวาว เผลอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว


โอ้โห นักเขียนคนนี้สวยยิ่งกว่าดาราเสียอีก!


ที่สำคัญยังดูสะอาดสะอ้านอีกต่างหาก!


แค่ดูก็รู้ว่าเป็นสาวพรหมจรรย์ จิ๊จิ๊จิ๊!


ชายหนุ่มถูกใบหน้าที่งดงามของเหมยเหมยเกี่ยวเอาวิญญาณออกจากร่างทันที สองตาเพ่งมองทำหน้าหื่นใส่


เหมยเหมยขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม แต่ด้วยมารยาทเธอเลยทักทายด้วยรอยยิ้ม ชายหนุ่มรีบแนะนำตัวเองอย่างไม่เอาหน้า “ผมชื่อจูเหว่ย คุณจ้าวเรียกผมว่าเอเลนได้ เป็นชื่ออังกฤษของผม”


ขณะที่พูดถึงชื่อภาษาอังกฤษจูเหว่ยออกจะทำหน้าได้ใจเล็กน้อย


สามวันก่อนเขาเคยมาที่นี่แล้วและเขามั่นใจกับการเจรจาในครั้งนี้เลยไม่รีบร้อนใจที่จะคุยกับเหมยเหมย แต่ไปเที่ยวสนุกตามคลับบาร์ทางฝั่งใต้ภายใต้การนำเที่ยวของเพื่อนถึงสามวันจนลืมวันเวลา


เขาพบว่าหญิงสาวชาวจีนแผ่นดินใหญ่มีแต่คนล้าสมัย ทั้งสะอาดหน้าตาสวยและชื่นชอบชาวฮ่องกงกันเป็นพิเศษ


อีกทั้งพอเขาพูดภาษาอังกฤษในระดับที่ไม่สูงมากก็ทำเอาหญิงสาวข้างกายชื่นชมกันไม่ขาดสาย ฟังไม่ออกว่าดีหรือไม่ดี เลยเติมเต็มใจที่หลงตัวเองตามประสาผู้ชายของเขา


………………………..


ตอนที่ 1019 คุณตูดเป็ด


จูเหว่ยกำลังคิดที่จะแสดงความสามารถต่อหน้าเหมยเหมยเหมือนอย่างเคย เลยบอกชื่อภาษาอังกฤษของเขาออกมาด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง พลางมองเหมยเหมยด้วยสายตาคาดหวัง หวังว่าจะเห็นสายตาชื่นชมจากตัวเธอเหมือนกับผู้หญิงคนอื่น


พอเหมยเหมยได้ยินสำเนียงภาษาอังกฤษที่ไม่ค่อยดีนักของคุณคนนี้ก็เกือบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่


เอเลนถูกเขาอ่านเป็น ‘ตูดเป็ด’ ภาษาอังกฤษนี้ได้เจ้าของร้านขายเป็ดสอนมาหรือ?


“ภาษาอังกฤษของคุณจูช่างพิเศษดีจัง!” เหมยเหมยพูดประชดไปประโยคหนึ่ง


สายตาของหมอนี่สร้างความไม่พอใจแก่เธออย่างมาก เวลาพูดเลยแฝงด้วยสายตาดุดันไปด้วยบาง


จูเหว่ยชะงักกึกไม่เข้าใจความหมายของเหมยเหมย แถมยังคิดว่าเธอกำลังชมว่าภาษาอังกฤษของเขาดีเลยอดหัวเราะไม่ได้ เขารู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงชาวจีนแผ่นดินใหญ่มันบ้านนอกคอกนา หลอกง่ายเสียจริง


“ผมเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์จากอังกฤษเชียว สำเนียงอังกฤษโดยแท้ ถ้าคุณจ้าวอยากฝึกผมสอนคุณได้นะ!” จูเหว่ยมองเหมยเหมยด้วยสายตาหลงใหล


“อะแฮ่ม…”


เหมยเหมยรีบยกมือปิดปากแล้วกลั้นเสียงหัวเราะที่เกือบหลุดจากปากไว้ อย่างไรก็เป็นแขกของคุณป้าถู เธอต้องไว้หน้าคุณป้าถูด้วยสิ!


เซียวเซ่อกำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์พอดี ระดับนักเรียนดีเด่นอัจฉริยะอย่างเธอเข้าไปในเคมบริดจ์ยังไม่กล้าซน ได้แต่ตั้งใจเขียนวิทยานิพนธ์อย่างเชื่อฟัง ไม่อย่างนั้นก็เรียนไม่จบ


พี่หน้าหื่นคนนี้คิดว่าชาวจีนแผ่นดินใหญ่ไม่มีการศึกษากันทุกคนเลยหรือ?


“ไม่จำเป็นหรอก กลับมาเข้าเรื่องกันดีกว่า คุณจูมาเพื่ออะไรคะ?” เหมยเหมยปรับสีหน้าให้จริงจัง


จูเหว่ยออกจะผิดหวังหน่อย ๆ ที่สาวน้อยไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคาดไว้!


บางทีคงไม่เคยได้ยินชื่อมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์สินะ ไม่เป็นไร เขามีวิธีถมเถไป รอบนี้เขาไม่เพียงต้องได้เซ็นสัญญาแต่ยังจะต้องได้คนงามกลับไปด้วย!


พี่หน้าหื่นแม้จะชวนให้รังเกียจแต่กลับเก่งเรื่องเจรจาธุรกิจ เขาเสนอเองว่าจะซื้อลิขสิทธิ์ในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากเหมยเหมยสิบห้าปีโดยแบ่งสัดส่วนเป็นหกต่อสี่ เหมยเหมยสี่ สำนักพิมพ์หก


ความจริงต่อให้จูเหว่ยแบ่งสี่ต่อหกเหมยเหมยก็ไม่ตกลง


เพียงแต่พี่หน้าหื่นคนนี้ก็ใช้ประโยชน์ได้บ้างนะเพื่อสร้างความกดดันแก่หลินเจิ้นกั๋ว อีกอย่างเธอมีแผนที่ใหญ่กว่านี้และหลินเจิ้นกั๋วน่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี


เหมยเหมยบอกเงื่อนไขสามข้อของเธอไปตามเดิมเหมือนอย่างที่เคยคุยกับคุณหลินเมื่อวานไม่มีผิดเพี้ยน


จูเหว่ยหน้าเรียบตึง สาวงามคนนี้กล้าเอ่ยปากเสียจริงนะ!


ครึ่งครึ่ง?


และเซ็นแค่สามปี?


ไหนจะสำนักพิมพ์ไม่มีสิทธิ์ที่จะก้าวก่ายผลงาน?


แม้แต่นักเขียนชาวฮ่องกงเองยังไม่กล้าเหิมเกริมขนาดนี้นอกเสียจากเป็นนักเขียนชื่อดัง แต่จ้าวเหมยคนนี้เป็นเพียงนักเขียนมือใหม่เท่านั้นและยังเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ เธอได้ความมั่นใจมาจากไหนกัน?


หางตาจูเหว่ยเหลือบเห็นโฉมหน้าที่งดงามหาที่เปรียบไม่ได้ของเหมยเหมยก็เปลี่ยนใจแล้วหัวเราะเสียงแห้งกล่าว “เงื่อนไขของคุณจ้าวออกจะมากไปจริง ๆ ไม่เคยมีมาก่อนเลย ระยะเวลาผมสามารถเปลี่ยนเป็นสิบปี แต่ข้อที่สามไม่มีทางเป็นไปได้ ต่อให้เป็นนักเขียนชื่อดังอย่างคุณกู่หลงก็ต้องยอมรับฟังความคิดเห็นของสำนักพิมพ์ แต่ส่วนแบ่งครึ่งครึ่งนี้ยังพอเจรจากันได้ ขอแค่คุณจ้าว…”


เอ่ยถึงตรงนี้จูเหว่ยก็หยุดชะงักพลางมองเหมยเหมยด้วยสายตามีนัยยะ


“เจรจายังไง?”


เหมยเหมยดูออกถึงนัยยะจากแววตาของจูเหว่ย แทนที่จะโกรธกลับหัวเราะ ใบหน้างดงามดั่งดอกไม้เรียกให้พี่หน้าหื่นใจสั่นไหว ไม่รู้ว่าวิญญาณลอยไปอยู่หนใดแล้ว


“เรื่องนี้เราต้องเจรจากันอย่างละเอียด เอางี้ผมเชิญคุณจ้าวไปทานอาหารฝรั่งดีกว่า”


จูเหว่ยลอบดีใจ ดูเหมือนสาวงามตัวน้อยจะแอบมีใจแล้วล่ะสิ!


“ได้สิ ฉันไม่เคยทานอาหารฝรั่งมาก่อน วันนี้ต้องพึ่งใบบุญของคุณตูดเป็ด ให้ฉันได้เห็นเนื้อสเต็กที่สุกแค่สามส่วนว่ามันมีรสชาติยังไงกันแน่!” เหมยเหมยยิ้มมีความสุขมากกว่าเดิม


ตอนที่ 1020 เพิ่มแรงกดดัน


คุณป้าถูดูออกถึงเจตนาที่ไม่ดีของจูเหว่ยเลยออกตัวว่าอยากลองไปร้านอาหารฝรั่งด้วยเหมือนกัน จูเหว่ยจะยอมตกลงได้อย่างไร เขาอยากร่วมโต๊ะอาหารกับสาวงามจะให้คุณป้าตัวอ้วนตามไปขัดบรรยากาศได้หรือ


เหมยเหมยส่งสายตาให้คุณป้าถูเป็นเชิงว่าให้เธอวางใจได้


“เดี๋ยวถ้าคุณหลินมาป้าถูให้เขาไปหาฉันที่ร้านอาหารหลังคาแดงนั่นนะ” เหมยเหมยสั่งไว้


จูเหว่ยรีบพูดขึ้นมา “คุณจ้าวอย่าไปเชื่อคนสกุลหลินนั่น สำนักพิมพ์ซิงซิงใกล้จะปิดตัวลงแล้ว ถ้าคุณเซ็นสัญญากับเขาต้องขาดทุนแย่แน่ ๆ!”


เหมยเหมยอมยิ้มจาง ๆ และหลบมือปลาหมึกของจูเหว่ยที่ยื่นมาอย่างแนบเนียน


นี่ยังไม่ถึงเวลา รอเธอบรรลุเป้าหมายจะต้องทำให้พี่หน้าหื่นคนนี้เสียใจที่ได้รู้จักเธอ!


ร้านอาหารฝรั่งหลังคาแดงนั่นอยู่ละแวกใกล้ ๆ สำนักพิมพ์เพียงเดินไม่กี่ก้าวก็ถึง เป็นร้านอาหารฝรั่งเก่าแก่ของเมืองจิน ซุปบอร์ชที่นี่รสชาติดีมาก เหมยเหมยเคยทานมาหลายครั้งแต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ได้รสชาติอย่างร้านอาหาร


เพื่อชนะใจของสาวงามพี่หน้าหื่นก็ใจป้ำพอสมควร “คุณจ้าวอยากทานอะไรก็สั่งได้เลย”


เหมยเหมยไม่เกรงใจอยู่แล้วเลยสั่งโดยไม่ดูชื่อเมนูเลือกดูแค่ราคาและสั่งเมนูที่แพงที่สุด แถมยังสั่งไปสิบกว่าเมนูอย่างเต็มที่ รอยยิ้มบนใบหน้าของจูเหว่ยค่อย ๆ นิ่งค้างและยิ่งดูถูกเหมยเหมยกว่าเก่า


สาวจีนแผ่นดินใหญ่ดูท่าจะไม่รู้ว่าอาหารฝรั่งคืออะไรด้วยซ้ำสินะ ตอนนี้มีโอกาสได้ลิ้มรสเลยสั่งอาหารไปเหมือนคนเพิ่งมีตังค์ ก็พอจะเข้าใจได้


ไม่เป็นไร อย่างไรเสียค่าครองชีพในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ก็ต่ำ อาหารมากมายขนาดนี้คงเสียเงินไม่มาก!


เหมยเหมยเองก็ไม่ได้มองเขาพลางสั่งไปอีกหลายเมนูและย้ำเป็นพิเศษว่าให้ย่างเนื้อสเต็กสุกหน่อย สุกแค่สามส่วนก็เหมือนเนื้อสด แบบนี้สู้ให้เธอทานเนื้อสด ๆ เลยดีกว่า!


“คุณจูเชิญพูดต่อได้เลย…”


เหมยเหมยจงใจทำท่าเหมือนเพิ่งเคยทานอาหารฝรั่งครั้งแรกเลยหั่นเนื้อสเต็กอย่างทุลักทุเลหั่นอย่างไรก็ไม่ขาด เลยได้แต่จิ้มขึ้นมากัด ยิ่งทำให้จูเหว่ยมองด้วยสายตาหยามเหยียด มั่นใจกว่าเดิมว่าต้องได้เหมยเหมยมาไว้ในครอบครอง


“ส่วนแบ่งครึ่งครึ่งเป็นไปไม่ได้ ผมทำลายกฎไม่ได้ แต่…ขอแค่คุณจ้าว…”


จูเหว่ยกดเสียงลงพลางยื่นมือมาหาเหมยเหมยพร้อมเผยยิ้มน่าขยะแขยง


เหมยเหมยหลบอย่างไวก่อนเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วยิ้มกล่าว “ขอแค่ฉันทำไม?”


“ผมหลงรักคุณจ้าวตั้งแต่แรกพบ ขอแค่คุณจ้าวยอมอยู่กับผม อย่าว่าแต่ครึ่งครึ่งเลย ต่อให้เป็นสามต่อเจ็ดก็ไม่มีปัญหา…” จูเหว่ยสารภาพความในใจของตัวเองออกไปอย่างเถรตรงทั้งเจ้าตัวยังยื่นหน้าเข้ามาหา


เหมยเหมยพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกรังเกียจเอาไว้และแอบคิดบัญชีเพิ่มอีกหนึ่งให้พี่หน้าหื่น แค่นเสียงที “ฉันจำได้ว่าคุณจูเพิ่งแต่งงานไม่ใช่เหรอ? ภรรยาเป็นลูกสาวของทางโฉวฉิน หรือว่าคุณจูคิดจะหย่าแล้ว?”


จูเหว่ยชะงักงัน โอ้โห สาวจีนแผ่นดินใหญ่ช่างโลภเสียจริงที่คิดอยากจะเป็นภรรยาตัวจริงของเขา?


คงไม่ได้โง่หรอกนะ?


“ขอแค่คุณจ้าวยอม ผมจะซื้อบ้านให้คุณจ้าวที่นี่และจะบินมาใช้เวลาส่วนตัวกับคุณบ่อย ๆ อีกอย่างผมรับรองว่าหลังจากนี้หนังสือของคุณจ้าวจะได้ส่วนแบ่งสามต่อเจ็ด…”


จูเหว่ยพยายามโน้มน้าวเหมยเหมยอย่างไม่ยอมแพ้และพูดหว่านล้อมด้วยสิ่งล่อใจมากมาย ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีนี้หลอกสาว ๆ แบบนี้ไปกี่คนกัน


เหมยเหมยย่นคิ้วพลางมองไปทางประตูครู่หนึ่ง ทำไมคุณหลินยังไม่มา?


เธอห้ามขาตัวเองไม่ไหวแล้วนะ!


“คุณจ้าวช่วยพิจารณาใหม่ด้วย…คุณอย่าเชื่อเขา เขาหลอกคุณทั้งนั้น…”


คุณหลินวิ่งหืดกระหอบเข้ามาในร้านอาหารและถลึงตาใส่จูเหว่ยแวบหนึ่ง เดิมทีเขาคิดจะขอเจรจาใหม่กับเหมยเหมยแต่เมื่อเห็นคู่อริก็ตัดสินใจแน่วแน่ทันที


“คุณจ้าว เงื่อนไขสามข้อที่คุณเสนอผมยอมตกลงทั้งหมด เซ็นสัญญาได้ตอนนี้เลย!”


…………………………


ตอนที่ 1021 พ่อหนุ่มเจ้าสำราญ


 จูเหว่ยนิ่งตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะระเบิดอารมณ์โมโห และตะโกนขึ้น “คุณจ้าวอย่าไปฟังคำพูดไร้สาระจากเขา สำนักพิมพ์ของพวกเขาจะปิดตัวลงอยู่ลอมล่อ คาดว่าแม้แต่เงินที่จะตีพิมพ์ให้คุณอาจจะยังไม่มีเลย เขาให้คุณได้เพียงแค่คำสัญญาจอมปลอม!”


คุณหลินกัดฟันแน่น จ้องตาเหมยเหมยอย่างจริงจัง พร้อมกับเอ่ย “คุณจ้าว แม้ว่าตอนนี้สถานการณ์ของสำนักพิมพ์ซิงซิงไม่ค่อยดีนัก แต่ผมและคุณลุงจะพยายามสู้ต่อไป ต่อให้คุณจ้าวไม่เซ็นสัญญากับทางสำนักพิมพ์ซิงซิง ก็ขออย่าได้เซ็นสัญญากับสำนักพิมพ์อีเจียเลยครับ เพราะสำนักพิมพ์อีเจียหน่ะมีแต่เอาเปรียบ ไม่เคยให้ความเคารพต่อนักเขียนเลย”


“นายพูดบ้าอะไรอยู่ คุณจ้าวฟังที่ผมพูดนะ…”


จูเหว่ยพูดถึงสถานการณ์อันน่าสังเวชของสำนักพิมพ์ซิงซิงอย่างละเอียดไม่ขาดตกบกพร่อง พร้อมทั้งพูดถึงความสามารถอันแข็งแกร่งของสำนักพิมพ์อีเจียด้วยความภาคภูมิใจ ราวกับเป็นผู้ชนะ


คุณหลินกัดฟันด้วยความเจ็บปวด จูเหว่ยพูดถูก แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ยินยอมให้เหมยเหมยเซ็นสัญญากับสำนักพิมพ์อีเจีย เพราะคนอย่างจูเหว่ยหน้าเนื้อใจเสือและยังหัวงู หลายปีมานี้เพื่อความสะดวกในการทำงาน ไม่รู้ว่าเหล่าสาวน้อยหน้าตาสะสวยต้องถูกทำลายไปแล้วกี่คน


หากพูดให้ดูดีหน่อยก็คือเป็นการช่วยตีพิมพ์หนังสือให้พวกหล่อน แต่ความจริงนั้นถือเป็นการส่งเสียเลี้ยงดูผู้หญิงพวกนั้นโดยไม่ต้องเสียเงิน


เพราะหนังสือพวกนั้นที่ได้รับการตีพิมพ์ กำไรทั้งหมดที่ได้รับมาล้วนแต่ตกไปอยู่ในกระเป๋าเงินของสองพ่อลูกตระกูลจู ซึ่งนับว่ามีแต่กำไรล้วน ๆ


“คุณจ้าว เชื่อผมเถอะ จูเหว่ยนั้นไม่น่าไว้วางใจ…”


คุณหลินพยายามพูดเกลี้ยกล่อมเหมยเหมย หวังว่าเธอจะไม่หลงกล ในแววตามีแต่ความกังวล


เหมยเหมยยกยิ้มอย่างน่ารัก ก่อนจะหัน ไปพูดกับคุณหลิน เธอได้ล้วงนามบัตรใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ยื่นออกไปตรงหน้าและเอ่ย “เรื่องการเซ็นสัญญา คุณติดต่อกับทนายของฉันได้เลย”


คุณหลินนิ่งค้าง ในเวลานั้นเขาแทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเองเลย แต่จูเหว่ยกลับคิดว่านั่นหมายถึงเขา จึงยกยิ้มอย่างได้ใจ พลางขยับเข้าใกล้หมายจะหยิบเอานามบัตร


เขารู้ดีว่าแม่สาวน้อยต้องอยู่ในกำมือของเขา!


เหมยเหมยขมวดคิ้วแน่นอย่างนึกรำคาญ แล้วขยับมือหนีจากมือของจูเหว่ย พร้อมทั้งพูดกับคุณหลินไปอีกไม่กี่คำ นั่นจึงทำให้คุณหลินได้สติ แล้วเปลี่ยนเป็นความดีใจอย่างเหลือล้น พร้อมกับรับนามบัตรมาด้วยความตื่นเต้น


นั่นทำให้จูเหว่ยได้เข้าใจ จนรู้สึกโกรธแค้นอย่างยากที่จะควบคุม


ตระกูลเขายืนหยัดอยู่ในแวดวงตีพิมพ์มาหลายปี เหมยเหมยเป็นนักเขียนคนแรกที่หยามหน้าตระกูลจูได้ ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วงั้นรึ?


“คุณจ้าวอย่าได้ใจร้อนไป ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงหรือเงินทอง สำนักพิมพ์อีเจียของเรานั้นยิ่งใหญ่ นกที่ดีจักรู้เลือกกิ่งไม้ไว้พำนัก  ยังไงเสียสำนักพิมพ์ซิงซิงก็จะต้องปิดตัวลงอย่างแน่นอน หรือว่าคุณจ้าวอยากจะตายไปพร้อมกับสำนักพิมพ์ซิงซิงล่ะ?” จูเหว่ยกระตุกยิ้มพร้อมกับจ้องเหมยเหมยหน้านิ่ง


เหมยเหมยเอ่ยระคนเยาะเย้ย “ใครบอกว่าซิงซิงจะต้องปิดตัวลงล่ะ? สำหรับฉันแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าสำนักพิมพ์ไหนจะปิดตัวลง!”


จูเหว่ยหัวเราะเยาะไปพลาง ก่อนจะพูด “คุณจ้าวก็น่าจะรู้ดี หากพลาดโอกาสในการเซ็นสัญญากับสำนักพิมพ์อีเจียในครั้งนี้ไป คุณจ้าวก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว!”


“ไม่เป็นไรค่ะ ถึงยังไงฉันก็ไม่ได้อยากเซ็นสัญญากับทางสำนักพิมพ์อีเจียอยู่แล้ว” เหมยเหมยกล่าวพร้อมกับยิ้มจนตาหยี แล้วนั่งลงไปอีกครั้ง พร้อมทั้งแสดงมารยาทแบบชาวตะวันตกอย่างถูกต้อง เพื่อหั่นสเต็กวัวให้เป็นชิ้นที่สมบูรณ์แบบ พลางส่งเข้าปากด้วยท่วงท่าสง่างาม


ตั้งแต่เด็กเซียวเซ่อก็ได้รับการฝึกมารยาทจากตระกูลขุนนางชาวอังกฤษ เรื่องมารยาทในการรับประทานอาหารนับว่าเป็นพื้นฐาน เหมยเหมยที่ตกอยู่ภายใต้การบังคับของเซียวเซ่อ แน่นอนว่าต้องหั่นสเต็กออกมาได้ดี แม้แต่ภาษาอังกฤษแบบออกซฟอร์ดเธอก็สามารถพูดมันได้ดีอยู่หลายประโยคเลยล่ะ!


“ฉันสงสัยมาตลอดเลย นักเรียนดีเด่นที่มากล้นด้วยความสามารถของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์นี่เป็นเหมือนคุณหมดเลยรึ? หรือว่ามหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ลดเกณฑ์ลงมาก? ขนาดคำว่าแอลเลนยังออกเสียงเป็นตูดเป็ดได้ หรือความสามารถของคุณคือการขายตูดเป็ด?”


เหมยเหมยวางมีดและส้อมลง เผยถึงอิริยาบถที่ดูมีชีวิตชีวาในแบบฉบับของผู้ดี เพียบพร้อมและสูงส่ง โดยได้ใช้ภาษาอังกฤษแบบออกซฟอร์ดพูดเย้าหยอก แต่น่าเสียดาย…


เพราะเธอใช้ภาษาไก่คุยกับเป็ด!


ดวงตาทั้งสองข้างของคุณตูดเป็ดหมุนวนดั่งกับขดยากันยุ่ง เพราะฟังไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว


คุณหลินพยายามกลั้นขำพร้อมกับเอ่ยขึ้น “คุณจ้าวอย่าไปฟังที่เขาพูดเลย มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์จะรับคนกากเดนอย่างเขาได้ยังไง จูเหว่ยเรียนไม่จบแม้กระทั่งมัธยมปลาย ยิ่งพยัญชนะภาษาอังกฤษยี่สิบหกตัวเขายังท่องได้ไม่หมดเลย”


คำพูดในประโยคนี้เขาพูดมันด้วยภาษาจีนกลาง ซึ่งแน่นอนว่าจูเหว่ยเข้าใจได้


ในตอนนั้นเขาเองพึ่งจะเข้าใจ ท่าทีก่อนหน้านั้นที่เหมยเหมยทำทีอ่อนต่อโลก แท้จริงแล้วเธอเสแสร้งแกล้งทำ


ทั้ง ๆ ที่พูดภาษาอังกฤษได้คล่องกว่าเขา การใช้มีดและส้อมก็ดูจะคล่องแคล่วกว่าเขาเสียอีก…


ตอนที่ 1022 เหยียบแกให้ตายไอ้ตูดเป็ด


จูเหว่ยรับรู้ถึงความอัปยศจนเกิดเป็นความเคียดแค้นขึ้นในที จึงพูดอย่างดุดัน “จ้าวเหมยเธอมันไร้ยางอาย ต่อไปนี้หากเธอต้องการตีพิมพ์หนังสือที่ฮ่องกง นอกเสียจากเธอจะยอมนอนกับฉันฟรี ๆ สามปี มิเช่นนั้นอย่าได้คิด…โธ่เว้ย…”


ยังไม่ทันพูดจบ เหมยเหมยที่รู้สึกคันเท้ามาสักพัก จึงถีบตรง ๆ เข้าที่หน้าท้องของจูเหว่ย โดยใช้พละกำลังทั้งหมดของเธอที่มีอยู่


จูเหว่ยถูกถีบจนเซถอยหลังไปแล้วล้มลงก้นกระแทกพื้น ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด


“แกฝันไปเถอะ ฉันอยากจะถีบแกให้ล้มตั้งนานแล้ว แกคิดว่าตัวเองอยู่เหนือคนอื่นหรือไง? แค่มาจากฮ่องกงเองไม่ใช่รึ ถ้าไม่ได้รับสารอาหารจากแผ่นดินใหญ่เข้าไปช่วยหล่อเลี้ยง พวกแกจะกินจะดื่มอะไร? ไม่ถึงสามวันคงกลายเป็นท่าเรือเน่า ๆ แกกล้ามายั่วยุอะไรต่อหน้าฉัน? ฉันจะเหยียบแกให้ตายไอ้ตูดเป็ด”


เหมยเหมยยิ่งด่าก็ยิ่งรู้สึกโมโห จึงได้ยกเท้าถีบไม่หยุด จูเหว่ยเจ็บจนต้องถดหนี ไม่มีแม้แต่แรงเอาคืน


พนักงานในภัตตาคารต่างกรูกันเข้ามาห้ามศึก พวกเขาไม่กล้าตอแยกับแขกที่มาจากฮ่องกง หากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแม้แต่น้อย ภัตตาคารของพวกเขาจะยังเปิดกิจการได้อีกหรือ?


คุณหลินเองก็เข้าไปห้ามทัพ เขาไม่ได้ทำเพื่อช่วยเชิ้นจูเหว่ย แต่กลัวว่าเหมยเหมยจะเสียเปรียบ


อันที่จริงก็ไม่ควรโทษที่จูเหว่ยจองหองอวดดี ความเป็นจริงคือคนของแผ่นดินใหญ่จำนวนมากที่หนุนนำในความจองหองของคนฮ่องกง เพียงแค่ได้ยินว่ามาจากฮ่องกงหรือไต้หวัน คนแผ่นดินใหญ่จำนวนไม่น้อยจะคอยโค้งตัวให้ อย่างไร้ซึ่งจิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรี


ไม่เว้นแม้แต่ข้าราชการบางรายก็ปฏิบัติเช่นนั้น เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในวันนี้ที่หากว่าจูเหว่ยตั้งใจจะจัดการเหมยเหมยจริง เกรงว่าสถานีตำรวจก็ไม่อาจช่วยเหลือเหมยเหมยได้!


“คุณจ้าวลองคิดดี ๆ สิ หากว่าจูเหว่ยไปที่สถานีตำรวจเพื่อแจ้งความเอาเรื่องคุณ คุณต้องเสียเปรียบมากแน่ ๆ !”


คำพูดประโยคนี้ของคุณหลินพูดด้วยภาษาถิ่นของเมืองจิน เขาและคุณลุงต่างเป็นคนเมืองจินโดยแท้ แม้ว่าจะจากบ้านเกิดมานานหลายสิบปี แต่สำเนียงบ้านเกิดนั้นไม่อาจลบลืมได้


เหมยเหมยหัวเราะเยาะ แน่นอนว่าเธอไม่กลัวตำรวจ ตำแหน่งผู้กำกับนั้นได้มาจากการที่พ่อเธอเป็นคนสนับสนุนให้ได้เลื่อนขั้นสูงขึ้น


ถีบเข้าที่หน้าท้องของจูเหว่ยไปอยู่หลายที เหมยเหมยถึงได้หายโมโห พลันชูนิ้วกลางให้กับจูเหว่ย “เมื่อปีเก้าเจ็ด[1]มาถึง ฮ่องกงต้องกลับมาสู่แผ่นดินใหญ่อย่างเชื่อฟัง ทางที่ดีแกควรจะสงบเสงี่ยมเจียมตัวเข้าไว้ ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือนถึงผลที่จะตามมา!”


จูเหว่ยรู้สึกเจ็บปวดจนหน้าเหยเกไม่เป็นรูป จ้องมองเหมยเหมยอย่างอาฆาต ลูกผู้ชายต้องไม่แสดงความอ่อนแอต่อหน้าใคร เดี๋ยวเขาจะต้องไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ จะต้องทำให้ยัยเด็กบ้านี่คุกเข่าอ้อนวอนต่อหน้าเขาให้ได้


เหมยเหมยล้วงหากระเป๋าสตางค์เพื่อทำการเช็คบิล อีกทั้งยังสั่งให้ไอ้บ้านั่นไสหัวไป ด้วยท่าทีที่ทุลักทุเลและน่าสมเพชของจูเหว่ย มันทำให้เหมยเหมยได้ระบายความโกรธในใจไปได้


เธอสั่งให้พนักงานจัดการห่ออาหารบนโต๊ะที่ยังไม่ถูกแตะต้อง จะได้เอาไปให้คนในสำนักพิมพ์ทาน โดยเธอตั้งใจเลือกสั่งเมนูที่แพงที่สุดตั้งแต่แรก


เมื่อเห็นท่าทีกระวนกระวายใจของคุณหลิน เหมยเหมยจึงกระตุกยิ้มพร้อมกับเอ่ยขึ้น “คุณหลินไปคุยกับทนายของฉันเถอะค่ะ อ่อใช่ ถ้าหากว่าสำนักพิมพ์ซิงซิงมีปัญหาทางด้านการเงินจริง ฉันสามารถร่วมลงทุนได้ หากว่าคุณเห็นด้วย ไว้เราค่อยนัดคุยรายละเอียดกันทีหลัง”


หลังจากได้ปล่อยคำพูดออกไปเช่นนั้น เหมยเหมยจึงหันไปยกถุงกับข้าวขนาดใหญ่แล้วปลีกตัวออกไป เหลือไว้เพียงคุณหลินที่ยังคงยืนทำหน้าบื้ออยู่นานสองนาน


เวลาผ่านไปพักใหญ่ กว่าที่คุณหลินจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง และพุ่งตัวออกไปจากภัตตาคารในทันที เพื่อกลับไปหารือกับคุณลุงที่โรงแรม


ลูกระเบิดที่เหมยเหมยทิ้งไว้ แต่ละลูกนั้นใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก โชคดีนักที่เขามาด้วยตัวเอง หากว่าเป็นคุณลุงของเขาที่มา เกรงว่าจะรับไม่ไหวจนหัวใจวายเสียก่อน!


ความเคลื่อนไหวของจูเหว่ยก็ไม่ได้ช้านัก เหมยเหมยยังคงคุยกับคุณป้าถูอยู่ที่สำนักพิมพ์ ทว่าทางสถานีตำรวจก็ได้ส่งคนมาหา โดยแจ้งว่าจะมารับตัวเธอไปเข้าร่วมสอบปากคำ พร้อมทั้งบอกว่าเธอตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีปล้นทรัพย์เพื่อนต่างประเทศ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ดีเอามาก


คุณป้าถูไม่วางใจ จึงไปสถานีตำรวจพร้อมกับเธอ ในขณะเดียวกันก็ได้โทรไปหาเหยียนซินหย่า


ภายในสถานีตำรวจ จูเหว่ยจ้องมองเหมยเหมยด้วยความหยิ่งจองหองที่เธอถูกพาตัวเข้ามา ทุก ๆ อย่างล้วนแล้วแต่อยู่ในการควบคุมของเขา นับว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจของที่นี่ทำงานได้รวดเร็วดีเหมือนกัน!


……………………………………………..


ตอนที่ 1023 สาแก่ใจจริงๆ เลย


 “คุณตำรวจ ผู้หญิงคนนี้แหละที่เอาเงินผมไป แล้วไหนจะทำร้ายผมจนมีสภาพเป็นแบบนี้อีก” จูเหว่ยชี้หน้าเหมยเหมยพร้อมตะโกนเสียงดัง


เจ้าหน้าที่ในสถานีล้วนไม่ได้รู้จักเหมยเหมย แม้ว่าพวกเขาจะเห็นใจเหมยเหมย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพื่อให้เกิดความสันติต่อทั้งสองแผ่นดิน จึงจำเป็นต้องทำให้สาวน้อยผู้เลอโฉมคนนี้ได้รับความไม่เป็นธรรม


เหมยเหมยหัวเราะเยาะพร้อมกับเอ่ย “ทำไมไม่พูดล่ะว่าฉันทำร้ายคุณเพราะอะไร!”


ดวงตาของจูเหว่ยส่อแววดุร้าย ก่อนจะพูด “คุณตำรวจ ผู้หญิงคนนี้เห็นว่าผมมาจากฮ่องกง เลยจงใจที่จะให้ผมเลี้ยงข้าวเธอ ทั้งยังบอกให้ผมซื้อเครื่องประดับให้เธอ ผมไม่ยินยอม เธอจึงแย่งกระเป๋าเงินของผม และยังทำร้ายร่างกายผมอีกด้วย”


คุณป้าถูตะโกนอย่างเดือดดาล “ไร้สาระ คุณเจ้าหน้าที่คะ เรื่องเป็นแบบนี้ค่ะ…”


เธอเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างคร่าว ๆ เจ้าหน้าที่ต่างมองเหมยเหมยอย่างน่าทึ่งปนแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าสาวน้อยหน้าตาน่ารักคนนี้ จะเป็นถึงนักเขียน นับว่าเก่งกาจตั้งแต่อายุยังน้อย


ด้วยความเคารพที่มีต่ออาชีพอันทรงเกียรติของนักเขียน เจ้าหน้าที่ในสถานีตำรวจจึงดูมีความสุภาพมากขึ้นในการสอบถาม แต่จูเหว่ยนั้นยังคงกัดแน่นไม่ยอมปล่อย


“คุณจ้าวเหมย คุณทำร้ายร่างกายเพื่อนต่างแดนและยังปล้นทรัพย์สินอีก เป็นการทำลายความสันติต่อประชาชนของทั้งสองแผ่นดินอย่างร้ายแรง เราจะเรียกผู้ปกครองของคุณมา อีกทั้งคุณจูเหว่ยยังได้เรียกร้องค่าเสียหายอีกด้วย และหากว่าคุณไปที่สถานพินิจก็จำเป็นต้องมีผู้ปกครองเซ็นรับรอง”


เจ้าหน้าที่ในสถานีตำรวจไร้ซึ่งความไยดี เห็นใจก็ส่วนเห็นใจ กฎหมายก็คือกฎหมาย เมื่อข้องเกี่ยวกับเพื่อนร่วมชาติอย่างฮ่องกงแล้ว จำเป็นจะต้องจัดการอย่างเด็ดขาด


อย่าได้กล่าวถึงไมตรีเลย!


“คุณพ่อของจ้าวเหมยดำรงตำแหน่งประธานในการประชุมนัดสำคัญอยู่ จึงได้มอบหมายให้ผมมาช่วยจัดการเรื่องนี้แทนครับ”


ชายผู้สง่างามสวมใส่แว่นตาขอบทองได้เดินเข้ามายังสถานีตำรวจ นั่นคือเลขาธิการประจำศาลากลางจังหวัด อย่างเลขาธิการโจว เขาส่งยิ้มให้กับเหมยเหมย เพื่อไม่ให้เหมยเหมยตื่นตกใจ


เจ้าหน้าที่ตำรวจขมวดคิ้วแน่น พลางเอ่ยถาม “คุณเป็นอะไรกับจ้าวเหมย? เรื่องแบบนี้จะมอบหมายให้คนอื่นจัดการได้ยังไง?”


ในเวลานั้นเองเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ตำรวจผู้สูงวัยที่รับผิดชอบต่อคดีความนี้อยู่เป็นคนรับสาย แววตาแปรเปลี่ยนเป็นเข้มงวดในทันที พร้อมทั้งหันมองเหมยเหมยอย่างน่าทึ่งปนแปลกใจ


“ครับ ผู้อำนวยการวางใจได้ ผมจะจัดการคดีความนี้ให้เกิดความเป็นกลางมากที่สุด ไม่มีทางทำให้ประชาชนได้รับความไม่เป็นธรรมเด็ดขาด!” ตำรวจสูงวัยยืดอกด้วยความทระนง พร้อมเอ่ยด้วยเสียงดังฟังชัด


ตำรวจนายอื่นที่ได้ยินต่างรู้สึกว่าน้ำเสียงดูแปลกไป หากต้องดการคดีความนี้ให้เกิดความเป็นกลาง ต้องจับกุมตัวคนฮ่องกงที่แซ่จูนั่นหน่ะหรือ!


เห็นได้อย่างชัดเจนว่าชายแซ่จูผู้นี้ไม่ได้มีเจตนาดีอะไร หวังจะได้รับผลประโยชน์จากแม่สาวน้อย แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าพวกเขาไม่อาจจัดการคดีความนี้ให้เกิดความเป็นกลางได้!


เลขาธิกรโจวพูดขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “ไขคดีได้ชัดเจนแล้วใช่ไหม? ผมพาจ้าวเหมยกลับบ้านได้แล้วใช่ไหม?”


“ชัดเจนแล้วครับ ขอบพระคุณต่อคุณจ้าวเหมยที่ให้ความร่วมมือต่อการทำงานของพวกเรา วางใจได้ครับ พวกเราไม่มีทางปล่อยให้คนร้ายลอยนวลแน่” คุณตำรวจยกยิ้มจนตาหยีและเอ่ยขึ้น


เหมยเหมยฝืนยิ้มให้ เธอเห็นว่าสถานการณ์ดีขึ้นจึงยอมรามือ ในตอนนี้ทำได้แค่ทำให้จูเหว่ยเสียเปรียบเพียงเล็กน้อยในสถานการณ์เช่นนี้ หากว่าก่อเรื่องวุ่นวายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ ก็อาจจะเป็นผลเสียต่อหน้าที่การงานของจ้าวอิงหัว


“ลุงโจว เราไปกันเถอะ!”


เหมยเหมยหันไปจ้องหน้าจูเหว่ยอยู่นาน อย่ารีบไป อนาคตยังอีกยาวไกล วันข้างหน้ายังมีเวลาที่จะสั่งสอนพ่อหนุ่มนี่อีกนาน


จูเหว่ยนิ่งงันไปชั่วขณะ เห็นเหมยเหมยเดินออกไปจากสถานีตำรวจ ถึงได้สติกลับมา พลางเอ่ยปากด่าทอต่อว่า “นี่ ทำไมถึงปล่อยเธอออกไป? ทำไมไม่จับเธอล่ะ…”


ตำรวจอาวุโสหันไปสั่งการลูกน้องใต้บังคับบัญชา ลูกน้องเขาจึงรีบเข้าไปจับกุมตัวจูเหว่ยที่เอาแต่แหกปากโวยวายเข้าไปขังไว้ในห้องกักขังชั่วคราว นั่นจึงทำให้เขาสงบนิ่งลงได้


“หัวหน้าเกิดอะไรขึ้นครับ? ทำไมถึงปล่อยแม่สาวน้อยนั่นไป? แล้วยังจับตัวคนฮ่องกงไปขังไว้อีก คุณไม่กลัวผู้อำนวยการจะตำหนิหรือไง?” ลูกน้องเขาเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตำรวจอาวุโสจึงจ้องเขาตาเขม็งอย่างไม่สบอารมณ์


“คนที่โทรมาเมื่อกี้ก็คือผู้อำนวยการ บอกให้ฉันจัดการกับชายแซ่จูคนนี้”


“ทำไมล่ะ? หรือว่า…เด็กจ้าวเหมยนี่เป็นใครมาจากไหน?” ลูกน้องเขาจับจุดได้อย่างรวดเร็ว


“ลูกสาวของเลขาธิการพรรค นายคิดว่าเป็นใครมาจากไหนล่ะ?”


“ให้ตายเถอะ…ไม่แปลกเลยที่จะกล้าต่อยคนฮ่องกง…ช่างสาแก่ใจจริง ๆ เลย”


…………………………………………………


[1] ในปี ค.ศ.1997 ฮ่องกงกลับคืนสู่จีนแผ่นดินใหญ่


ตอนที่ 1024 เหตุใดดดอกไม้จึงเป็นสีแดง


 ตกเย็นจ้าวอิงหัวกลับมาถึงบ้าน จึงได้ถามเหมยเหมยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางวัน พลันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พร้อมกับโทรไปหาผู้กำกับ


“ผมจ้าวอิงหัวครับ ดูแลไอ้คนฮ่องกงสารเลวนั่นให้ดีด้วยล่ะ ผมจะทำให้เขาจำจนขึ้นใจ ต่อไปนี้เขาจะได้ไม่กล้าก้าวเข้ามาเหยียบเมืองจินได้แม้แต่ครึ่งก้าว!`”


เขากระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน ไอ้คนสารเลว กล้าที่จะมาหวังในตัวลูกสาวของเขา!


ต่อให้เป็นถึงประธานาธิบดีของอเมริกาก็ไม่ได้!


เหมยเหมยรู้สึกอบอุ่นใจ แต่เธอก็ยังคงกังวลอยู่บ้าง “พ่อคะ ช่างมันเถอะ วันนี้หนูจัดการไอ้คนแซ่จูนั่นไปมากพอแล้ว รู้สึกสาแก่ใจแล้วด้วย อย่าไปเสียชื่อเสียงเพราะคนประเภทนี้เลยค่ะ”


แต่จ้าวอิงหัวไม่ได้คิดเช่นนั้น จึงเอ่ยปากระคนหัวเราะ “ลูกสาวพ่อนี่ประเมินพ่อต่ำเกินไปหน่อยนะ บุคคลฐานะต่ำต้อยแบบนั้น จะมีผลอะไรกับพ่อได้เล่า? วางใจเถอะ พ่อจะจัดให้สาแก่ใจแทนลูกเอง จะได้ลิ้มรสชาติแบบนี้บ้าง…”


จูเหว่ยที่ถูกย้ายเข้ามาในห้องขัง ลอบมองชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่กำยำที่อยู่ในห้องขังเดียวกันอย่างหมดหวัง ในใจเหน็บหนาวราวน้ำแข็ง!


อีกทั้งตัวเขาเองพึ่งจะได้ค้นพบกับความจริงบางอย่าง…


ไม่ว่าจะเป็นที่ฮ่องกงหรือในแผ่นดินใหญ่ เรือนจำต่างมีกฎเกณฑ์และข้อบังคับที่เหมือนกัน!


ทางฝั่งคุณหลินนั้นไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ เหมยเหมยเองก็ไม่ได้เร่งรัดเขา ถึงยังไงเธอก็มั่นใจว่าหลินเจิ้นกั๋วลุงหลานนั่นพอถึงคราวเข้าตาจนแล้ว นอกจากเธอ ก็ไม่มีทางเลือกอื่น


โอหยางซานซานก็ว่านอนสอนง่ายขึ้นมาก อาจเพราะได้รับการอบรมสั่งสอนจากหวงอวี้เหลียน หญิงสาวผู้นั้นเมื่อพบเจอกับเหมยเหมยก็มักจะยอมถอยให้ก่อน ไม่กล้าเข้ามาตอแยเหมยเหมยแม้แต่น้อย


สำหรับอู่เยวี่ยนั้น เหมยเหมยไม่มีทางปล่อยเธอไปง่าย ๆ เธอยังจดจำได้ดีถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อน เรื่องที่อู่เยวี่ยเอาแต่ยุเฮ่อเหลียนเช่อเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา จนทำให้เธอต้องถูกไอ้วิปริตนั่นเฆี่ยนด้วยแส้!


ในช่วงสามปีมานี้น้อยครั้งมากที่เหมยซูหานจะกลับเมืองจิน เธอเองก็ไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนคุณแม่เหมยเลย แต่ก็ได้ยินมาว่าเธอสบายดีไม่น้อย เหมยซูหานเป็นลูกกตัญญู เขาได้ไหว้วานคนมาดูแลแม่เขาโดยเฉพาะถึงสองคน ส่วนพ่อของเหมยซูหานนั้น


เมื่อเหมยเหมยนึกถึงชายผู้หลงใหลในสิ่งมึนเมาและการพนัน หัวคิ้วก็ขมวดแน่นย่างห้ามไม่ได้


เมื่อชาติก่อนพ่อของเหมยซูหานเสียชีวิตไปตั้งแต่ช่วงที่เธอแต่งงานกับเหมยซูหานได้ไม่นาน


การตายนั้นก็ไม่ได้ดีนัก ในช่วงฤดูหนาวเขาดื่มเหล้าหนัก เดินโซซัดโซเซจนพลัดตกลงไปในคูน้ำ แข็งตาย


แต่ในช่วงเวลานี้กลับมีชีวิตอยู่อย่างปกติสุข!


อารมณ์ความรู้สึกของอู่เยวี่ยนั้นดีมาก สีหน้าแววตาประดุจช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพราะเมื่อวานหานป๋อหย่วนเลี้ยงไอศกรีมเธอ แล้วยังพาไปดูหนังต่อ แถมเป็นหนังรักโรแมนติก ทำเอาตัวเธอนั้นแทบไม่กล้าเงยหน้ามองเพราะความอาย


แต่สิ่งที่ทำให้เธอนั้นเขินอายจริง ๆ คือมือของหานป๋อหย่วนที่มาสัมผัสเข้าที่มือของเธอเหมือนกับว่าตั้งใจแต่ก็ไม่ตั้งใจอย่างแผ่วเบา มันรับรู้ได้ถึงความร้อน และความชื้นที่แผ่ซ่าน แต่ก็มีความหยาบเล็กน้อย…


ในหนังพูดอะไรเธอจำมันไม่ได้แม้แต่น้อย จดจำได้เพียงแค่ความร้อนชื้นของฝ่ามือใหญ่ ๆ นั้น


หลังจากที่หนังฉายจบ หานป๋อหย่วนยังได้นัดเธอไปเที่ยวที่ภูเขาเฟิ่งหวงซานในช่วงวันหยุด โดยมีเพียงแค่เขาสองคน…


อู่เยวี่ยคิดว่าหานป๋อหย่วนต้องชอบเธอแน่ ๆ แม้ว่าฐานะทางบ้านของเธอจะเทียบไม่ได้กับโอหยางซานซาน แต่เธอสวยกว่าโอหยางซานซาน ทั้งยังเชื่อฟังกว่า และยังบริสุทธิ์กว่า…


ที่หานป๋อหย่วนเลือกเธอนั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว หากว่าเธอเป็นผู้ชาย ไม่มีทางที่จะเลือกมารผจญอย่างโอหยางซานซาน!


หากเธอสามารถจับหานป๋อหย่วนได้อยู่หมัด…อู่เยวี่ยกระตุกยิ้มอย่างได้ใจ ในหัวสมองเริ่มจิตนาการถึงช่วงเวลาที่เธอแต่งงานกับหานป๋อหย่วน แล้วกลายเป็นคนชนชั้นสูงที่ใครต่อใครต่างพากันอิจฉา รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้านั้นแทบจะทะลักออกมา


แต่เพียงไม่นานรอยยิ้มของเธอก็ได้หายไป พอนึกถึงสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้ อู่เยวี่ยก็ขมวดคิ้วแน่น


ตอนนี้เหอปี้อวิ๋นเอาแต่อยู่ในบ้านไปวัน ๆ ไม่ออกจากบ้านไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว พ่อเลี้ยงและพี่ชายติดพ่อของเธอเอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด และเอาแต่พูดตีวัวกระทบคราด การที่เธอยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นพูดง่าย ๆ ก็คือการใช้ชีวิตให้ผ่านไปเป็นวัน ๆ มาเป็นเวลาแรมปี


แม้เธอจะไม่ได้เต็มใจ แต่อู่เยวี่ยจำต้องกลับบ้าน เพราะเธอไม่มีที่ไหนให้ไปแล้ว


เหอปี้อวิ๋นทำกับข้าวอยู่ในส่วนของห้องครัวส่วนกลาง พ่อเลี้ยงและลูกชายเก็บแผงเสร็จเร็ว จึงนั่งทำหน้าบึ้งตึงตากพัดลมอยู่ในห้องรับแขก พลันเหลือบเห็นแววตาของอู่เยวี่ยที่แปลกไปเล็กน้อย


………………………………………………


  ตอนที่ 1025 ความเจ็บปวดของอู่เยวี่ย


 “เยวี่ยเยวี่ยกลับมาแล้วเหรอ รีบมานั่งตากลมเร็ว เรียนมาทั้งวันคงเหนื่อยแย่” พ่อเลี้ยงทักทายเธออย่างกระตือรือร้น  ไหนจะพี่ชายที่เป็นอันธพาลมีนิสัยเกียจคร้านรักสบายก็มีท่าทีกระตือรือร้นเช่นกัน  ในใจของอู่เยวี่ยเกิดอาการประหม่าขึ้นมา  ต้องมีแผนการอะไรแน่นอนไม่งั้นไม่พูดดีแบบนี้หรอก  สองคนนี้คิดจะทำอะไรกันนะ ?


เพราะในใจเตือนให้ตื่นตัวอยู่เสมอ  แม้กระทั่งช่วงที่หลับในตอนกลางคืนอู่เยวี่ยยังไม่กล้านอนหลับได้อย่างสนิท ในระหว่างที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นเธอก็รู้สึกได้ถึงความหนักหน่วงที่ทับอยู่บนร่างกายและยังมีคนกำลังถอดเสื้อผ้าของเธออยู่  ก็รีบสะดุ้งตื่นขึ้นมาในทันที จึงมองเห็นคนบนตัวเธอจากแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา


“พี่คิดจะทำอะไร ?”


อู่เยวี่ยตกใจคิดอยากผลักคนที่อยู่บนตัวเธอออกไปเสีย  ซึ่งคน ๆ นั้นก็คือซ่งเป่าเลี่ยงพี่ชายลูกติดพ่อเลี้ยงของเธอ  มันคือกุ๊ยที่น่าขยะแขยงนั่น ซ่งเป่าเลี่ยงไม่ตื่นกลัวเลยสักนิด มองเธอด้วยใบหน้าที่ยิ้มร่า “น้องสาวที่แสนดีอย่ากลัวไปเลย พี่จะรักเธออย่างดีเลย…”


“พี่ไปให้พ้นเลยนะ…ถ้ายังไม่ออกไปอีกฉันจะร้องเรียกคน…”


อู่เยวี่ยที่โตเต็มวัยแล้วนั่นก็คือช่วงสาววัยแรกแย้ม  จู่ ๆ ก็เข้าใจความคิดสกปรกของซ่งเป่าเลี่ยง ทั้งโมโหทั้งสะอิดสะเอียน แต่ซ่งเป่าเลี่ยงกลับไม่สนใจคำเตือนของอู่เยวี่ยเลยสักนิด แล้วยิ้มอย่างได้ใจ  “เธอกล้าเรียกก็เรียกไป ถึงตอนนั้นดูสิว่าใครกันแน่ที่จะขายหน้า….” อู่เยวี่ยหัวใจหล่นวูบ  สายตาจับจ้องที่ซ่งเป่าเลี่ยงที่เขยิบเข้ามาประชิดเรื่อย ๆ   เธอรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่พวยพุ่งออกมาจากผู้ชายคนนั้น  น่าขยะแขยงที่สุด


“แม่คะ…แม่….”


อู่เยวี่ยตะโกนเรียกไปยังห้องติดกันด้านข้าง  หวังว่าเหอปี้อวิ๋นจะออกมาช่วยเธอ  ซ่งเป่าเลี่ยงแสยะยิ้ม “แม่เธอถูกพ่อฉันจัดการจนสะใจนอนนิ่งสบายเหมือนคนตายไปแล้ว ต่อให้ฟ้าร้องก็ไม่ตื่นขึ้นมาหรอก”


อู่เยวี่ยกรีดร้องออกมาอีกไม่กี่ที   เหอปี้อวิ๋นไม่มีเสียงตอบกลับมาจริง ๆ  แต่กลับมีเสียงของพ่อเลี้ยงดังลอยออกมา “อย่าไร้สาระให้มาก รีบ ๆ จัดการไปเสีย”


ซ่งเป่าเลี่ยงเปล่งเสียงหัวเราะออกมาหึหึ  เพียงครู่เดียวก็กระทุ้งศอกใส่อู่เยวี่ย ปิดปากของเธอไว้ จากนั้นฉีกเสื้อผ้าของเธอออกอย่างร้อนรนแทบทนไม่ไหว


“น้องสาวที่แสนดี เธอยอมจำนนให้พี่เถอะ พี่จะซื้อเสื้อผ้าให้ใหม่…”


อู่เยวี่ยใช้มือดันไว้ไม่ไหว จะเอาแรงจากไหนเอาชนะซ่งเป่าเลี่ยงที่ร่างกายบึกบึนนั้นได้ ครู่เดียวเสื้อผ้าบนตัวก็ถูกถอดออกจนหมด  ทรวดทรงของสาวงามปรากฏอยู่ใต้แสงจันทร์  สวยจนละสายตาไม่ได้ ซ่งเป่าเลี่ยงมองด้วยสายตาอันเคลิบเคลิ้ม


“อย่านะ…อย่านะ…”


อู่เยวี่ยมองผู้ชายที่ยันตัวเองไว้อย่างท้อแท้   สัมผัสของชายหนุ่มทำให้เธอรู้สึกสะอิดสะเอียน  ไม่ได้งดงามและทำให้หัวใจเต้นเหมือนหานป๋อหย่วน


ความเจ็บปวดที่แล่นแปล๊บผ่านในใจ  อู่เยวี่ยหยุดยันตัวแล้วปิดตาลง  ไม่อยากเห็นผู้ชายที่อยู่บนตัวของเธออีก น้ำตาก็พลันรินไหลออกมา


สิ่งที่หวงแหนที่สุดของเธอไม่มีอีกแล้ว


ทำไมต้องเป็นเธอด้วย ?


อู่เยวี่ยลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง  จ้องมองผู้ชายที่ขยับตัวไปมาอยู่บนตัวเธออย่างเย็นชา


เธอจะต้องให้พวกเขาชดใช้แน่  ต้องให้ชดใช้แน่นอน!


ทุกคนที่ทำร้ายเธอมันต้องไปตายให้หมด!


เหมยเหมยนอนไม่หลับ  เธอเลยไปเปิดบานหน้าต่าง  เท้าคางเหม่อมองจันทร์  แต่สายตากลับลอกแลกสาดส่องไปรอบทิศ


ทำไมยังไม่มาอีกนะ?


เหมยเหมยตั้งตารอหาวหวอดติดต่อกันไปหลายครั้งจนน้ำตาเอ่อล้น  แต่ก็ยังไม่เจอคนที่รอคอยสักที  จึงยกข้อมือขึ้นมาดูเวลาใกล้จะสี่ทุ่มแล้ว


“เกลียดจริง พูดอะไรแล้วไม่ทำอย่างที่พูด เหอะ…ไม่รอแล้ว นอนดีกว่า!”


เหมยเหมยยู่ปากบ่นพึมพำเสียงเล็กเสียงน้อย  คนบางคนที่เพิ่งจะพุ่งตัวเข้าไปในท่อลำเลียงน้ำ พอได้ยินอย่างชัดเจนมุมปากก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย  ดึงหางเป็นพวงสีขาวบนไหล่เบา ๆ   ฉิวฉิวจ้องตาเขาแน่นิ่ง  ถีบตัวกระโดดพุ่งไปเบื้องหน้าเหมยเหมยที่กำลังเตรียมปิดหน้าต่าง


“ฉิวฉิว…ที่รัก  แกคงคิดถึงพี่สาวแย่เลย ทำไมแกกลับมาเองได้ล่ะ?”


เหมยเหมยจากที่หงุดหงิดก็อารมณ์ดีขึ้นมา  คนที่ตั้งตารอไม่มาแต่สัตว์เลี้ยงสุดที่รักโผล่มา  อารมณ์ก็ดีขึ้นไม่น้อยแล้ว


“นับว่าฉิวฉิวจิตใจดี  ไม่เหมือนใครบางคนใจจืดใจดำ…” เหมยเหมยกอดฉิวฉิวพลางพูดความในใจระบายออกมา  จู่ ๆ เสียงของคนที่คิดถึงอยู่ตลอดก็ดังขึ้นข้างหู


“คนใจจืดใจดำนี่ใครกันเหรอ หืม?”


ตอนที่ 1026 ปีนเกียวอีกครั้ง


 เหมยเหมยเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตื่นเต้น  เหยียนหมิงซุ่นมองเธออยู่อย่างยิ้มๆ  ขยับกายเล็กน้อยแล้วยื่นมือออกไปโอบเอาคนสวยเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด


“ก็บอกเธอแล้ว…”


เหมยเหมยคล้องคอชายหนุ่มไว้ด้วยความพึงพอใจ ราวกับดีใจปนหงุดหงิด แต่ก็คล้องอยู่แบบนั้นจนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเสียวซ่านที่หัวใจ ไวกว่าความคิดริมฝีปากก็กดลงจูบริมฝีปากสีแดงระเรื่อด้วยความห่วงหาอาทร


“อืมม…”


ราวกับเวลาผ่านไปเนิ่นนาน พอเห็นเหมยเหมยเหมือนเริ่มจะขาดอากาศหายใจ เหยียนหมิงซุ่นถึงได้ยอมปล่อยเธอ อีกทั้งยังมองเธอด้วยรอยยิ้ม แต่เจ้ามือบ้าที่ไม่รักดีก็เอาแต่ลูบไล้ขึ้นไปเรื่อยๆ


“เพี้ยะ”


เหมยเหมยฟาดมือใส่เขาด้วยความโกรธระคนอาย พร้อมพูดขึ้นว่า “…พี่อย่าเอาแต่จับมั่วๆ…เดี๋ยวก็เป็นทุกข์อีกหรอก…”


ทุกครั้งที่ไม่ยอมอยู่นิ่ง เหยียนหมิงซุ่นก็จะเป็นทุกข์จนแทบทนไม่ไหว เธอเห็นดังนั้นก็รู้สึกร้อนรนไปหมด เหยียนหมิงซุ่นลอบมองที่ข้อมือ พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย พรุ่งนี้เหมยเหมยยังต้องไปเรียน ตัวเขาเองจะวุ่นวายมากก็ไม่ดี ช่างเถอะ ปล่อยยัยตัวแสบไปก่อนก็แล้วกัน!


พรุ่งนี้เขาค่อยกลับมาให้เร็วหน่อย…


เมื่อเห็นว่าเหยียนหมิงซุ่นดึงมือกลับอย่างว่าง่าย เหมยเหมยจึงลอบถอนหายใจเบาๆ แต่ก็รู้สึกกลัดกลุ้มใจเล็กน้อยเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป


“พี่หมิงซุ่น คราวนี้พี่กลับมาอยู่กี่วัน?” เหมยเหมยมองเหยียนหมิงซุ่นอย่างมีหวัง


“ราว ๆ ครึ่งเดือน”


ฉับพลันนั้นเหมยเหมยก็รู้สึกดีใจจนออกนอกหน้า “ตาแก่จอมวิปริตเกิดเมตตาอะไรเข้าล่ะ ถึงยอมปล่อยให้พี่ได้หยุดหลายวันขนาดนี้” แต่ทันใดนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็ได้จางหายไป พลางเอ่ยถาม “ตาแก่จอมวิปริตนั่นคงไม่ได้แนะนำผู้หญิงให้พี่อีกใช่ไหม?”


เมื่อเห็นสีหน้าที่ตื่นตระหนกของหญิงสาว เหยียนหมิงซุ่นจึงหลุดขำ พลางบีบจมูกของเหมยเหมยเบา ๆ “มีสิงโตตัวเมียอย่างเธออยู่ จะมีผู้หญิงคนไหนกล้าเข้าใกล้พี่ได้ล่ะ!”


เหมยเหมยกรอกตามองเขาอย่างระอา พลางบ่นออกมาว่า “ถึงยังไงก็ไม่อนุญาตให้พี่ไปคุยกับผู้หญิงคนอื่น พี่คุยกับฉันได้แค่คนเดียว”


เหยียนหมิงซุ่นเห็นท่าทีหึงหวงที่หาได้ยากของเหมยเหมย พลันรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ซึ่งแตกต่างไปจากท่าทีที่น่าสงสารของเธอในวัยเด็ก


ทั้งคู่ต่างพูดเย้าหยอกกันไปสักพัก เหมยเหมยจึงได้เอ่ยถึงเรื่องที่จะร่วมมือกับสำนักพิมพ์ซิงซิง แต่เหยียนหมิงซุ่นก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก “เอาที่เหมยเหมยสบายใจเลย แต่ในช่วงที่เซ็นสัญญา จะต้องมีทนายหม่าอยู่ด้วย”


ทนายหม่าคือคนที่เขาตั้งใจเลือกมา เมื่อก่อนเคยเป็นเพื่อนในสนามรบด้วยกันกับเสี่ยวเหมิง หลังจากปลดประจำการก็สอบติดโรงเรียนกฎหมาย ตอนนี้เป็นทนายที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง มีทนายหม่าช่วยสอดส่อง เหยียนหมิงซุ่นถึงจะวางใจได้


“อืม พี่หมิงซุ่นฉันมีอะไรจะบอก ไม่กี่วันที่ผ่านมาฉันจัดการโอหยางซานซาน…”


เหมยเหมยพูดถึงเรื่องที่เธอได้สั่งสอนโอหยางซานซานอย่างร่าเริง และเรื่องของจูเหว่ยก็ถูกพูดรวมไปด้วย เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้สนใจเรื่องโอหยางซานซาน แต่พอเขาได้ยินว่าจูเหว่ยคิดไม่ซื่อกับผู้หญิงของตน แววตาก็พลันดุดันขึ้นมาในพริบตา แต่เพียงชั่วขณะก็กลับมาเป็นปกติ


“มีความเคลื่อนไหวทางฝั่งเฮ่อเหลียนเช่อ เหมยเหมย ตระกูลจ้าวอาจจะถึงคราวโชคร้ายเสียแล้ว”


เหยียนหมิงซุ่นดูมีท่าทีจริงจังเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าเรื่องแบบนี้บอกให้เหมยเหมยรับรู้จะดีกว่า ให้เธอได้มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจ


เหมยเหมยเลิกคิ้ว พลางเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “นายใหญ่ถูกโค่นเหรอ?”


ตามความเป็นจริงคุณปู่ของตระกูลจ้าวก็คือคนสนิทของนายใหญ่ หากไม่ทิ้งร่องรอยหรือจุดอ่อนไว้ ก็ไม่มีทางเกิดเรื่องกับตระกูลจ้าวได้ แต่ในตอนนี้…


เหยียนหมิงซุ่นส่ายหน้าไปมา พร้อมเอ่ย “ปัญหาอยู่ที่คุณอาสองของเธอ เฮ่อเหลียนเช่อเจอความผิดของอาสองเข้า”


“ความผิดอะไร?”


“จ้าวอิงสยงทุจริตต่อเงินเดือนทหาร ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนที่มาก” เหยียนหมิงซุ่นเอ่ยขึ้น


เหมยเหมยเบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อ จ้าวอิงสยงทุจริตเงิน?


เป็นไปได้ยังไง?


จ้าวอิงสยงและหานซู่ฉินสองสามีภรรยาต่างเป็นคนประหยัดมัธยัสถ์ ของกินของใช้ก็ดูจะเรียบง่าย สิบกว่าปีที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนั้น หากว่าจ้าวอิงสยงทุจริตเงินเดือนทหาร แล้วเงินที่เขาทุจริตมาเอาไปใช้ทำอะไร?


“จ้าวอิงสยงเป็นแขกประจำของสโมสรหมายเลขหนึ่ง โดยที่เขาใช้เงินไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีคู่ขาเป็นตัวเป็นตน เขาใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยมาก” เหยียนหมิงซุ่นอธิบาย ดวงตาของเหมยเหมยพลันเบิกตากว้าง


………………………………………………..


ตอนที่ 1027 เหมยเมหยคือเจ้าหญิงตัวน้อยตลอดไป


 บุคคลที่เหยียนหมิงซุ่นกำลังเอ่ยถึงคือคนที่มีมานะอดทนและเรียบง่าย มักบอกกับลูกชายเสมอว่าอย่าได้ลืมตน อีกทั้งยังเป็นบุคคลที่มักจะบอกให้เชฟหยวนทำอาหารแห่งความทรงจำ[1]อยู่บ่อยครั้ง คนอย่างจ้าวอิงสยงเนี่ยนะ?


“พี่หมิงซุ่น พี่เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า? อาสองเนี่ยแม้แต่ถุงเท้าที่มีรูพรุนยังไม่ยอมทิ้งมันเลย ท่านจะกล้าใช้จ่ายเงินก้อนโตอย่างฟุ่มเฟือยได้ยังไง? เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด…”


เหมยเหมยส่ายหน้าไปมา เธอไม่อาจเชื่อได้ว่าจ้าวอิงสยงจะเป็นคนแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นนายทหารเก่าที่มีความจริงจังและละเอียดมาก!


แต่เธอเองก็ไม่มีทางที่จะไม่เชื่อเหยียนหมิงซุ่น จึงขมวดคิ้วแน่นไม่วาง


“พี่หมิงซุ่น ตระกูลจ้าวจะเป็นยังไงเหรอ?” เหมยเหมยเอ่ยถาม


เหยียนหมิงซุ่นกระตุกยิ้มอย่างผ่อนคลาย พลางลูบศีรษะของเธออย่างแผ่วเบา พร้อมกับเอ่ยเสียงเบา “ตอนนี้เฮ่อเหลียนเช่อยกเรื่องนี้ขึ้นมาข่มขู่คุณปู่ของเธอ พี่คิดว่าปู่ของเธอน่าจะประนีประนอมได้ อาสองและอาสามของเธออาจจะถูกลดตำแหน่งมั้ง จากตระกูลชั้นหนึ่งลดลงมาอยู่ในชั้นสามชั้นสี่ กระทั่งอาจจะไม่เหลือ”


เหมยเหมยที่ได้ยินว่าไม่ถึงกับชีวิต จึงเลิกกังวลไปโดยปริยาย “เขาจะอยู่ระดับไหนก็ช่าง ถึงยังไงฉันก็ไม่ได้สนใจ ขอแค่พี่หมิงซุ่นเป็นที่หนึ่งก็พอแล้ว”


การประจบสอพลอเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเธอนั้นได้ผลจนเหยียนหมิงซุ่นรู้สึกผ่อนคลายไปทั่วร่าง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วางใจได้ เหมยเหมยคือเจ้าหญิงตัวน้อยตลอดไป จะไม่มีใครกล้ารังแกเธอ!”


เหมยเหมยแอบอิงพิงซบอยู่ในอกล่ำบึกของชายหนุ่ม พร้อมกับจามออกมาไม่กี่ครั้ง แววตาเริ่มพร่ามัว ริมฝีปากเจือไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนหวาน มือของเหยียนหมิงซุ่นค่อย ๆ สัมผัสเข้าที่ใบหน้าอันบอบบางและเรียบเนียนของหญิงสาว อุ้งมือสาก ๆ ที่สัมผัสทำให้เหมยเหมยใกล้จะเข้าสู่ห้วงนิทรา


เหยียนหมิงซุ่นส่ายหน้าพร้อมฉีกยิ้ม เดิมทีตั้งใจจะพูดถึงตระกูลจ้าวกับเหมยเหมย แต่กลับเป็นแบบนี้ไปเสียได้ เกรงว่าพูดไปเธอก็คงจะไม่รับรู้มัน พรุ่งนี้ค่อยคุยอีกทีก็แล้วกัน


เขาจูบลงบนหน้าผากของหญิงสาว จากนั้นก็วางเหมยเหมยไว้บนเตียง พร้อมห่มผ้าให้ และจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์


สถานการณ์ของตระกูลจ้าวในตอนนี้ไม่ค่อยจะดีนัก คงต้องบอกว่าย่ำแย่เอามาก


ภายในห้องหนังสือ ชายชรามีสีหน้าซีดเขียว มองจ้าวอิงสยงที่คุกเข่าอยู่กับพื้นด้วยสายตาผิดหวัง ด้านข้างยังมีจ้าวอิงหย่งยืนอยู่ด้วย


“พ่อครับ ขอร้องช่วยผมด้วย พ่ออย่าเอาแต่ไม่สนใจลูกสิ…”


จ้าวอิงสยงปราศจากความน่าเกรงขามในอดีตจนหมดสิ้น รูปลักษณ์ดูน่าสมเพชเวทนา กอดขาชายแก่ไว้แน่นพร้อมกับร้องไห้โฮ ราวกับเด็กที่ร้องขอลูกกวาด


จ้าวอิงหย่งเอ่ยด้วยความขุ่นเคือง “พี่สองมาร้องไห้เอาตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร? ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าจะเป็นเหมือนวันนี้ ทำไมยังทำอีก?”


จ้าวอิงสยงไม่ได้เอ่ยปากแต่อย่างใด ได้แต่ร้องไห้อ้อนวอนต่อคุณปู่จ้าว เขารู้ คนที่จะช่วยเขาได้ในตอนนี้ มีเพียงแค่ชายชราในบ้านเขาเท่านั้นที่จะเป็นผู้ช่วยชีวิตเขาได้ ดังนั้นเขาจะต้องกอดไว้ให้แน่นสิ!


คุณปู่จ้าวที่ได้เห็นท่าทีไร้ที่พึ่งของเขาจึงเกิดอารมณ์โมโห ยกเท้าถีบไปอย่างหนักหน่วง แต่ตัวเขาเองกลับเหนื่อยหอบแฮก ๆ ช่วงสามปีมานี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร สมรรถภาพทางร่างกายถึงลดลงไปทุกที แค่ชกต่อยเป็นชุดก็รู้สึกเหนื่อยไปหมด


หากเป็นเมื่อก่อนอย่าว่าแต่ชกหมัดเป็นชุดเลย  ต่อให้เป็นหมัดชกติดต่อกันระรัวยังไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยเลย ราวกับเขากำลังจะกลับเข้าสู่อาการป่วยในตอนนั้นอีกครั้ง


ชายชรายังนับได้ว่าแข็งแรง แต่หญิงชรานั้นยิ่งย้ำแย่เข้าไปใหญ่ มันเริ่มต้นขึ้นเมื่อสองปีก่อน ร่างกายของเธอกลับสู่สภาพเดิมอีกครั้ง ในหนึ่งปีต้องนอนอยู่บนเตียงนานนับครึ่งปี อีกทั้งความอยากอาหารก็ลดลง ทรุดลงอย่างรวดเร็ว


ทีมแพทย์ที่คอยดูแลตระกูลจ้าวมาหลายสิบปีต่างลงความเห็นส่วนตัว ซึ่งเกรงว่าคุณย่าอาจจะอยู่ได้อีกเพียงไม่กี่ปี จึงได้บอกให้คนในตระกูลจ้าวเตรียมใจเอาไว้


ส่วนคุณปู่จ้าวนั้น ด้วยพื้นฐานร่างกายของเขาแข็งแรงกว่าคุณย่าอยู่แล้ว รวมถึงหลายเดือนที่ผ่านมามีเหมยเหมยคอยป้อนยาให้ เพราะงั้นเขาถึงไม่ล้มง่าย ๆ แต่สถานการณ์ก็ไม่ดีนัก


จ้าวอิงหย่งประคองคุณปู่จ้าวไว้ ลอบมองใบหน้าของผู้เป็นพ่อที่มีริ้วรอยแห่งวัย รวมถึงผิวพรรณที่หย่อนคล้อย เขารู้สึกไม่สบายใจเอามาก และยิ่งโกรธแค้นต่อจ้าวอิงสยงมากกว่าเดิม


คุณปู่จ้าวลอบสูดหายใจเข้าปอดให้ลึก พร้อมเอ่ยถามอย่างเยือกเย็น “แกอยากให้ฉันช่วยแกยังไง?”


………………………………………………


[1] ในภาษาจีนเรียก 忆苦思甜饭 จี้-ขู่-ซือ-เถียน-ฟ่าน เป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมที่จัดในช่วงปฏิวัติทางวัฒนธรรม เป็นการเรียนรู้ และเพื่อให้ระลึกถึงความยากเย็นแสนเข็ญ ความจน ของผู้คนในสังคมก่อนสมัยปฏิวัติ ซึ่งกับข้าวที่ทำออกมาทานยากเสียยิ่งกว่าอาหารหมู


ตอนที่ 1028 วิกฤตของตระกูลจ้าว


 จ้าวอิงสยงแววตาเป็นประกาย เขารับรู้ได้ถึงโทนเสียงของคุณปู่ที่อ่อนลง บ่งบอกถึงสัญญาณดี เอาเข้าจริงแผนการของภรรยาก็ถือว่าใช้ได้ รู้ว่าตาแก่ขี้ใจอ่อน เพียงแค่เขี้ยวลากดิน ตาแก่ไม่มีทางนิ่งเฉยโดยไม่ช่วยอะไรแน่นอน


“พ่อ ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้เรื่องของผม มีเพียงเฮ่อเหลียนเช่อ เขาบอกว่าเรื่องทุกอย่างตกลงกันได้…” จ้าวอิงสยงพูดอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ


คุณปู่จ้าวยกเท้าขึ้นถีบอีกครั้ง พร้อมกับต่อว่าด่าทอ “คำพูดของเฮ่อเหลียนเช่อแกก็เชื่อ? แกนี่มันโง่จริง ๆ  ฉันจะเอาปืนมายิงแก…”


จ้าวอิงหย่งเขาไปจับคุณปู่จ้าวที่พร้อมจะลั่นไกปืน แต่ก็แค่จับ ไม่ได้เอ่ยปากพูดแต่อย่างใด


ตอนนี้คุณปู่เอาแต่พูดว่าจะยิงจ้าวอิงสยง พอเรื่องผ่านไปเขาเองจะเจ็บปวด แม้ว่าจ้าวอิงหย่งจะไม่เข้าใจนัก แต่ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ อันหย่าฟางได้ชี้แนะเขาอยู่อย่างหนึ่ง



อย่าได้ข้องเกี่ยวกับเรื่องอื่นใดที่ไม่ใช่เรื่องของตน ใช้ความเงียบเป็นดั่งที่พึ่ง ซึ่งนับเป็นสิ่งมีค่ามากเท่ากับทองคำ


คำพูดนี้เป็นคำพูดที่จ้าวอิงหย่งจดจำจนขึ้นใจ ไม่กล้าขัดขืนคำชี้แนะของภรรยา


นับตั้งแต่ในปีนั้นหลังจากที่เขาได้สูญเสียลูกสาวไป จ้าวอิงหย่งจึงเลือกเชื่อฟังแต่คำพูดของภรรยา อันหย่าฟางให้เขาไปทางทิศตะวันออก เขาไม่มีทางจะไปทางทิศตะวันตกเป็นแน่ ต่อให้พ่อแม่จะดี ก็ไม่อาจจะปฏิบัติกับเขาอย่างดีเพียงคนเดียวได้ เพราะยังมีบรรดาพี่น้องอีกนี่!


ลูกจะกตัญญูแค่ไหน วันข้างหน้าก็ต้องแต่งงานมีลูก ใจหนึ่งดวงต้องแบ่งแยกเป็นหลายส่วน ซึ่งไม่อาจพึ่งพาได้ มีแค่ภรรยาเท่านั้นที่จะสามารถอยู่กับเขาไปทั้งชีวิต ถ้าเขาไม่เชื่อฟังเมียแล้วจะให้เชื่อฟังใคร?


อีกอย่างในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพราะเขาเชื่อเมียมาตลอด ชีวิตจึงดูราบรื่นเสมอมา ตำแหน่งทางการทหารก็เลื่อนขึ้นเรื่อย ๆ


ความจริงได้พิสูจน์แล้ว ชายที่เชื่อฟังต่อภรรยาพระเจ้าล้วนเมตตาเสมอ!


จ้าวอิงสยงร้องห่มร้องไห้ ยันตัวลุกขึ้นกอดขาคุณปู่อีกครั้ง พูดแล้วก็แปลกเมื่อก่อนนั้นรูปหน้าทรงสี่เหลี่ยมของจ้าวอิงสยงที่สง่างาม มองยังไงก็เห็นเพียงแต่ความชอบธรรม แต่บัดนี้กลับเผยให้เห็นเพียงความอัปลักษณ์ จนแลดูหมดความน่าเชื่อถือ


“พ่อ ผมรู้ว่าเฮ่อเหลียนเช่อไม่น่าไว้วางใจ แต่มันกุมความผิดของผมเอาไว้ หากว่าข่าวหลุดออกไป พ่อคงไม่ได้เห็นหน้าลูกชายคนนี้อีก…พ่อครับ…พ่อต้องช่วยผมนะ พี่ใหญ่ก็ไม่อยู่แล้ว ผมรับปากพี่ใหญ่ไว้ ต้องทดแทนบุญคุณต่อพ่อและแม่…”


จ้าวอิงสยงร้องไห้ฟูมฟายน้ำมูกน้ำตาไหล ดวงใจแทบแหลกสลาย


คุณปู่จ้าวหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด ลูกชายคนโตคือความภาคภูมิใจของเขา และก็เป็นลูกชายหนึ่งในสี่คนที่เขาวางใจมากที่สุด แต่กลับจากโลกนี้ไปแล้ว


เขารู้ดีว่าเฮ่อเหลียนเช่อต้องการอะไร หากไม่เกินความคาดหมายคงอยากจะให้ตระกูลจ้าวคอยสนับสนุนหนิงเฉินเซวียน และเป็นอริต่อนายใหญ่


แต่เขาทำไม่ได้!


อุดมการณ์ที่แตกต่าง มิอาจร่วมทางกันได้ เขากับหนิงเฉินเซวียนไม่ใช่คนในแวดวงเดียวกัน หนทางที่เดินก็ไม่ใช่เส้นทางเดียวกัน


แต่ก็จำต้องช่วยลูกชาย สูญเสียลูกชายคนโตไปแล้ว เขาจะสูญเสียลูกชายคนรองไปอีกไม่ได้ คุณปู่จ้าวกัดฟันแน่น ภายในใจได้ตัดสินใจไว้แล้ว


“อิงหย่ง แกลากไอ้ตัวต่ำต้อยด้อยค่านี่ออกไป” คุณปู่จ้าวโบกมือกลาย ๆ อย่างนึกรำคาญ เขาต้องคิดให้ดีเสียก่อน


จ้าวอิงสยงรู้สึกใจชา หรือว่าพ่อจะไม่สนใจเขาจริง ๆ ?


ตกดึกจ้าวอิสยงหารือกับหานซู่ฉินทั้งคู่ต่างหน้าดำคล้ำเครียด โดยเฉพาะหานซู่ฉิน แสงเปล่งประกายและความอวบอิ่มบนใบหน้าของเธอเหมือนแต่ก่อนนั้นได้เลือนหายไปหมดสิ้น ผิวก็หย่อนคล้อย เหี่ยวเฉายิ่งกว่าเดิม จนเผยให้เห็นถึงความชรา


เรื่องที่จ้าวอิงสยงทุจริตเงินมาร่วมหลายปี แน่นอนว่าหานซู่ฉินเองก็รับรู้ แต่เธอนั้นไม่รู้ว่าจ้าวอิงสยงทุจริตมาจำนวนเท่าไหร่ และก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาเป็นแขกประจำของสโมสรหมายเลขหนึ่ง


พอได้ทราบเรื่องราวเหล่านี้จากปากของจ้าวอิงสยง หานซู่ฉินไม่ได้อาละวาดแต่อย่างใด แม้ว่าอยากจะฆ่าชายที่อยู่ตรงหน้าเธอเป็นอย่างมาก แต่เธอก็ฝืนทนเอาไว้ได้ ไม่เพียงแค่ไม่ได้อาละวาด ตรงกันข้ามเธอนั้นกลับช่วยคิดหาทางออก เพื่อให้จ้าวอิงสยงก้าวผ่านความยากลำบากนี้ไปได้


หานซู่ฉินนั้นรู้ดีเสียยิ่งกว่าใคร เพียงแค่ช่วยปกป้องจ้าวอิงสยงไว้ เธอถึงจะสามารถเชิดหน้าชูตาต่อไปได้ หากไม่มีจ้าวอิสยง เธอก็ไม่เหลืออะไรเลย


สำหรับสิ่งที่จ้าวอิงสยงทรยศหักหลัง รอให้ผ่านพ้นจุดนี้ไปได้ก่อน อีกหน่อยเธอจะเอามันคืนมาทีละเล็กทีละน้อยแล้วกัน


………………………………………………..


ตอนที่ 1029 เกี่ยวดองกัน


 “นี่พ่อไม่สนใจคุณแล้วหรอ?” หานซู่ฉินเอ่ยถาม ด้วยน้ำเสียงเล็กแหลม


จ้าวอิงสยงตอบกลับอย่างรำคาญ “ฉันจะไปรู้ได้ไง พ่อไม่ได้บอกว่าไม่สนแต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะสน ฉันอยากอยู่เงียบ ๆ คนเดียว เธออย่ามาทำตัวน่ารำคาญ!”


หานซู่ฉินหัวเราะเยาะ โดยฉับพลันก็ดึงเสียงสูงจนรู้สึกหนวกหู “ฉันทำให้คุณรำคาญ? จ้าวอิงสยงคุณไปเล่นชู้กับผู้หญิงอยู่นอกบ้าน คุณทำเรื่องที่ผิดต่อฉัน ฉันพูดแค่ไม่กี่ประโยคก็ไม่ได้เลยรึ?”


แม้ว่าเธอมีสติมากพอจะรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แต่สำหรับการถูกหักหลังจากสามีที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขผ่านร้อนผ่านหนาวกันมาหลายสิบปี ความรู้สึกของหานซู่ฉินนั้นบอกให้เธอมีสติไม่ไหวอีกต่อไป เธอแค่ต้องการจะอาละวาดสักครั้ง อาละวาดให้ใหญ่โตสักครั้ง


จ้าวอิงสยงที่โดนบ่นจนเบื่อหน่าย ลอบมองภรรยาที่ทั้งอ้วนทั้งแก่และอัปลักษณ์ จึงรู้สึกหน่ายใจจนเกินจะควบคุม เลยสบถด่าไปว่า “เธอดูสภาพเธอด้วยว่าเป็นยังไง? ฉันมองแค่แวบเดียวก็รู้สึกสะอิดสะเอียนแล้ว หากเธอไม่อยากไปต่อก็ได้ ไปหย่ากันตอนนี้เลย ฉันอดทนกับเธอมามากพอแล้ว!”


หานซู่ฉินรู้สึกเสียศูนย์ในทันที เธอไม่ได้มีความมั่นใจเหมือนจ้าวอิงสยง เธอในตอนนี้ไม่ใช่หญิงวัยกลางคนเสียด้วยซ้ำ หย่าร้างไปจะไปทำอะไรได้?


ต่อให้ตอนนี้จ้าวอิสยงจะโชคร้าย หานซู่ฉินก็ไม่ได้กังวล ก็แค่ทุจริตเงินแล้วก็เลี้ยงดูผู้หญิงไม่ใช่เหรอ พวกผู้ชายในแวดวงสังคมนี้มีใครบ้างที่ไม่ทำเรื่องแบบนี้?


ทุกคนต่างก็มีชีวิตที่ดีมิใช่หรือ หากว่าเบื้องบนรู้เรื่องเข้า ก็ทำหลับหูหลับตาไป น้ำที่ใสสะอาดเกินไป จักไม่มีปลามาแหวกว่ายฉันใด คนที่แยกแยะเอาจริงเอาจังกับเรื่องต่าง ๆ จนชัดเจนเกินไป ก็จักไร้ซึ่งมิตรสหายฉันนั้น  นายใหญ่ฉลาดถึงเพียงนี้ ไม่เข้ามายุ่งกับเรื่องระยำของพวกไร้ค่าหรอก


เรื่องของจ้าวอิงสยงเล็กน้อยแค่นี้ ขอเพียงแค่คุณปู่จ้าวยอมออกหน้าให้ แค่เข้าไปพูดดี ๆ กับนายใหญ่เพียงไม่กี่ประโยคต้องไม่เป็นอะไรแน่ เธอไม่ได้โง่ถึงขั้นที่จะต้องหย่าร้างกับจ้าวอิงสยงสักหน่อย


ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะเข้ามาเชิดหน้าชูตาในตระกูลจ้าวได้ แล้วเหตุใดเธอจักต้องยอมให้ผู้หญิงคนอื่นด้วยเล่า?


แต่หานซู่ฉินกลับไม่รู้เลยว่าเรื่องของจ้าวอิงสยงนั้นไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย อีกอย่างการที่ตระกูลจ้าวจะกลับมาเชิดหน้าชูตาอีกครั้ง คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว


จ้าวอิงสยงที่เห็นว่าหานซู่ฉินสงบเสงี่ยมลงจึงสบถอย่างเยาะเย้ย เขารู้ดีว่าคนอย่างหล่อนไม่มีทางจะหย่า หานซู่ฉินจะละทิ้งตระกูลจ้าวแล้วกลับไปเหยียบตระกูลหานอันโสมมได้อย่างไร?


ผู้หญิงคนนี้ฉลาดจะตายไป!


“รีบ ๆ ช่วยฉันคิด หากว่าฉันต้องซวย เธอเองก็อาจจะไม่มีชีวิตที่ดีแบบนี้ต่อไปได้อีกแน่!”


จ้าวอิงสยงยังคงมีท่าทีหยิ่งทะนง แตกต่างกับเมื่อก่อนจากภาพลักษณ์สามีที่ดีในยามที่อยู่นอกบ้านอย่างสิ้นเชิง


หานซู่ฉินนึกโกรธแค้น เพื่อเกียรติยศและชื่อเสียงเธอจะต้องอดทน ความอดทนที่ทิ่มแทงไว้…


เจ็บชะมัด!


“ในเมื่อเป็นจุดอ่อนที่เฮ่อเหลียนเช่อกุมเอาไว้ ถ้างั้นเราต้องคิดหาวิธีทำให้เฮ่อเหลียนเช่ออารมณ์ดีสิ ไม่แน่ว่าถ้าเขาอารมณ์ดี อาจจะเลิกกัดคุณก็ได้” หานซู่ฉินคิดไปพลาง ๆ พร้อมเอ่ยพูด


จ้าวอิงสยงหัวเราะเยาะไปที “คนอย่างเฮ่อเหลียนเช่อเอาแน่เอานอนไม่ได้ จะทำยังไงให้เขาอารมณ์ดี?”


หานซู่ฉินเองก็ไม่มีวิธี แม้แต่รูปร่างหน้าตาของเฮ่อเหลียนเช่อเธอยังไม่เคยเห็นเลย จะไปรู้ได้ยังไงว่าต้องทำอะไรให้คนคนนี้อารมณ์ดี แต่จินตนาการของผู้หญิงมักอยู่เหนือความคาดหมาย โดยเฉพาะในช่วงที่หมดหนทาง


“มีสิ วิธีที่ดีที่สุดคือการหมั้นหมาย เฮ่อเหลียนเช่อยังไม่ได้แต่งงานไม่ใช่เหรอ? ตระกูลจ้าวของเราต้องเกี่ยวดองกับเฮ่อเหลียนเช่อ แค่เป็นทองแผ่นเดียวกันได้ พวกเรากับเฮ่อเหลียนเช่อก็ถือว่าได้ลงเรือลำเดียวกันแล้ว หากเขาทำร้ายคุณก็เท่ากับทำร้ายตัวเอง”


จ้าวอิงสยงดวงตาเปล่งประกาย จริงด้วย นี่นับว่าเป็นวิธีที่ดี เพียงแต่…


“พวกเราไม่มีลูกสาว จะเอาอะไรไปหมั้นหมาย?”


หานซู่ฉินมองเขาอย่างเหยียด ๆ โง่เหมือนหมูจริง ๆ เลย หากไม่ใช่เพราะเขาเกิดมาในตระกูลจ้าวนะ ผู้ชายหน้าโง่แบบนี้เธอไม่มีทางแต่งงานด้วยหรอก


“ไม่มีลูกสาว แต่ก็ยังมีหลานสาวไม่ใช่เหรอ ขอแค่แซ่จ้าวก็เพียงพอแล้ว”


หานซู่ฉินเองก็นึกเสียดายอยู่บ้าง จ้าวเหมยนับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเป็นหลานสะใภ้ของเธอ แต่บัดนี้ต้องทำเพื่ออนาคตของสามี และอนาคตแห่งความร่ำรวยและเกียรติยศของเธอ คงจำต้องทอดทิ้งหลานชายไปแล้ว


ตอนที่ 1030 อย่าริอาจจะทำร้ายลูกสาวของผม


 ช่วงเช้ามืดเสียงริงโทนเรียกเข้าจากโทรศัพท์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสมือนจะเร่งเอาชีวิตก็มิปาน


จ้าวอิงหัวเอื้อมคว้าโทรศัพท์จากบนหัวเตียงอย่างไม่สบอารมณ์ เขายังอยากจะสานสัมพันธ์รักกับเมียโดยการออกกำลังกายยามเช้าสักหน่อย แต่กลับถูกเสียงเรียกเข้าสายนี้ทำลายไปเสียได้ ไอ้พวกชั่วช้าไม่รู้จักเวล่ำเวลาเลยจริง ๆ ?


“…สะใภ้รอง?”


จ้าวอิงหัวตกใจพลางอุทาน นึกไม่ถึงเลยว่าไอ้พวกชั่วช้าไม่รู้จักเวล่ำเวลานั้นจะเป็นหานซู่ฉิน เขายิ้มแหยอย่างรู้สึกผิด แม้ว่าจะเป็นเพียงการก่นด่าในใจ แต่ยังไงก็ดูจะไม่มีมารยาทเท่าไหร่นัก


“ขอโทษด้วย ที่โทรมาปลุกแต่เช้ามืด…” หานซู่ฉินเอ่ยอย่างสุภาพ หลังจากพูดอย่างเกรงใจไม่กี่ประโยค เธอก็เปลี่ยนประเด็น พร้อมทั้งพูดถึงเป้าหมายที่เธอต้องการ “อิงหัว ปีนี้เหมยเหมยอายุสิบแปดปีแล้วสินะ?”


“อายุกำลังย่างเข้าสิบแปดปี อายุครบสิบเจ็ดปี” จ้าวอิงหัวเกิดการลังเล ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวเล็กของเขาเพิ่งจะอายุสิบเจ็ดนี่!


สิ่งที่เขาไม่ชอบที่สุดคือวิธีการนับอายุของเมืองจิน ไม่ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ก็ต้องแจ้งเกิดโดยเพิ่มอายุขึ้นหนึ่งปี เด็กที่เกิดในวันส่งท้ายปีเก่าก็นับว่าน่าสนใจ เพิ่งลืมตาออกมาดูโลกก็มีอายุได้สองขวบเสียแล้ว


แย่ชะมัด แม้แต่นาจา[1]ยังไม่โตไวถึงเพียงนี้เลย!


หานซู่ฉินทำเป็นหัวเราะคิกคักพลางเอ่ยปากพูดอย่างตะกุกตะกัก “สิบเจ็ดก็ไม่เด็กแล้ว ตอนฉันอายุสิบเจ็ดก็มีนัดบอดกับพี่รองของนาย เหมยเหมยออกจะหน้าตาสะสวย ถึงเวลาที่ต้องไตร่ตรองเรื่องใหญ่ในชีวิตได้แล้ว”


จ้าวอิงหัวขมวดคิ้วอย่างนึกสงสัย สะใภ้รองโรคประสาทกำลังกำเริบหรือเปล่าเนี่ย เช้าตรู่แบบนี้ก็มาพูดกับเขาเกี่ยวกับเรื่องใหญ่ในชีวิตของลูกสาว?


เป็นบ้าเหรอ?


“ไม่ต้องรีบหรอก เหมยเหมยของเราต่อให้พูดถึงเรื่องพวกนี้ตอนอายุยี่สิบเจ็ดก็ไม่นับว่าสาย หากสะใภ้รองไม่มีธุระอะไรผมขอตัววางสาย ต้องขอไปนอนต่ออีกหน่อย” จ้าวอิงหัวเอ่ยขึ้นโดยไร้ซึ่งความเกรงใจ


“อย่าวาง ๆ ฉันยังมีเรื่องที่ไม่ได้พูดเลย คืออย่างงี้นะทางฝั่งฉันมีลูกหลานที่เป็นคนดี ฐานะทางบ้านดี รูปร่างน่าตาก็ดี เป็นคนที่ใช้ได้ รับรองว่าเหมาะสมกับเหมยเหมยอย่างที่สุด…”


หานซู่ฉินพรรณนาถึงเฮ่อเหลียนเช่อได้อย่างน่าฟัง พรรณนาดุจดั่งไม่อะไรดีไปกว่านี้แล้ว ไม่เสียแรงที่เธอทำงานที่เกี่ยวข้องทางการเมือง ฝีปากมีความเป็นเลิศทางวาทศิลป์


“เป็นชายหนุ่มตระกูลไหนถึงได้เก่งกาจขนาดนี้? ทำไมผมถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย” จ้าวอิงหัวรู้สึกไม่สบายใจเอามาก แต่ยังคงวางท่า ถึงยังไงอีกฝ่ายก็เป็นพี่สะใภ้


หานซู่ฉินเงียบไปชั่วขณะ กัดฟันแล้วเอ่ยขึ้น “นายต้องเคยได้ยินแน่ คือเฮ่อเหลียนเช่อ อิงหัว…นายฟังที่ฉันพูดนะ…”


จ้าวอิงหัวไม่อาจควบคุมอารมณ์โมโหเดือดดาลของตัวเองได้อีก เขาทุบมือลงบนเตียงอย่างแรง จนเหยียนซินหย่าตกใจไม่น้อย พลางใช้สายตาสอดส่องเพื่อมองหาว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น จ้าวอิงหัวยกมือเบรกเพื่อไม่ให้เธอส่งเสียง


“เรื่องของลูกสาวผมคงไม่รบกวนพี่สะใภ้หรอกครับ เฮ่อเหลียนเช่อเป็นผู้ชายที่ดีขนาดนั้น พี่สะใภ้เก็บไว้ให้หลานสาวของพี่เถอะ”


จ้าวอิงหัวยังคงไว้หน้าหานซู่ฉินอยู่บ้าง ไม่ได้โกรธถึงขีดสุด แต่เขากำมือแน่นจนข้อนิ้วมือของเขาเริ่มขาวซีด ทำให้เห็นถึงระดับความโกรธที่กำลังปะทุอยู่


หานซู่ฉินหัวเราะอย่างเก้อเขิน หากว่าหลานสาวของเธอโดดเด่นได้อย่างเหมยเหมย เธอเองก็อยากจะแนะนำให้กับเฮ่อเหลียนเช่ออยู่หรอก!


ใคร ๆ ต่างก็พูดว่าเฮ่อเหลียนเช่อโหดเหี้ยม ฆ่าคนได้อย่างเยือกเย็น  อีกทั้งยังไม่ติดว่าจะเป็นเพศชายหรือหญิง แต่นั่นจะเป็นไรไป เรื่องแต่งงานก็เป็นแค่เรื่องจิ๊บจ๊อย แต่สิ่งที่จะได้กลับมาคือเกียรติยศชื่อเสียงและเงินทอง จะไปสนใจทำไมว่าผู้ชายอยู่นอกบ้านจะเป็นยังไง!


เหมือนกับจ้าวอิงสยงที่มั่วสุมอยู่นอกบ้าน มีหรือที่เขาจะกล้าโวยวายให้หย่าร้าง?


ขอแค่เพียงรักษาตำแหน่งฮองเฮาไว้ได้ก็พอแล้ว ส่วนเรื่องอื่นก็ทำเป็นหลับหูหลับตาไปเถอะ แก่นแท้ของการใช้ชีวิตก็แค่เสแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นไปไม่ใช่เหรอ!


หานซู่ฉินได้พูดดี ๆ ไปหมดแล้ว จ้าวอิงหัวก็ยังคงไม่โอนอ่อน เธอไม่มีทางเลือกจึงจำต้องพูดถึงสถานการณ์ของจ้าวอิงหัวพลางร้องไห้อ้อนวอน “อิงหัวนายจะนิ่งดูดายแล้วไม่ช่วยอะไรเลยไม่ได้นะ หากว่าพี่รองของนายโชคร้ายจริง นายกับอิงหย่งก็ไม่มีทางได้ดีไปด้วยแน่!”


จ้าวอิงหัวกัดฟันแน่นกรอด พลางหัวเราะเยาะ “เพื่อเป็นการช่วยสามีคุณ จำต้องให้ลูกสาวผมพลีชีพเลยเหรอ? หานซู่ฉิน คุณไปบอกกับจ้าวอิงสยงนะ ขี้เรี่ยราดไว้ก็จัดการเก็บเอง อย่าได้ริอาจคิดจะมาทำร้ายลูกสาวผมเป็นอันขาด”


………………………………………………


ตอนที่ 1031 เหยียนซินหย่าผู้เกรี้ยวกราด


จ้าวอิงหัวไม่อยากจะพูดเรื่องไร้สาระกับหานซู่ฉินอีกต่อไป เขาวางสายด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ถ้าตอนนี้จ้าวอิงสยงยืนพูดอยู่ตรงหน้าเขา เขาคงจะเข้าไปจัดการกับไอบ้านั่นแน่


ตัวเองเป็นคนก่อเรื่อง แต่จะให้ลูกสาวของเขาไปเช็ดขี้ให้งั้นหรอ


แล้วยังจะให้ลูกสาวของเขาแต่งงานกับไอบ้าโรคจิตเฮ่อเหลี่ยนเช่อ แม่ไม่สั่งสอนหรืออย่างไร


จ้าวอิงหัวรีบกลืนคำพูดนี้คืนไปทันที เพราะว่าแม่ของจ้าวอิงสยงก็คือแม่ของเขา จะว่าแม่ไม่ได้


แม่ยายไม่สั่งสอนหรืออย่างไร…


หลังจากได้ด่าบ้านตระกูลหานทั้งตระกูลแล้ว จ้าวอิงหัวถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่สีหน้าของเขาก็ยังดูไม่ดีมากนัก เหยียนซินหย่าเลยถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น จ้าวอิงหัวจึงได้เล่าเรื่องราวที่เมื่อกี้หานซู่ฉินโทรมาให้เธอฟัง


“ถุย”


เหยียนซินหย่าตบลงไปที่ขาของจ้าวอิงหัวอย่างแรง มือของเธอหนักมาก จ้าวอิงหัวเจ็บจนแผ่นหลังเต็มไปด้วยเหงื่อ ยิ้มเจื่อน ๆ แล้วมองไปยังภรรยาที่โกรธจนคิ้วขมวดเข้าหากัน


“ฉันจะโทรหาหานซู่ฉินยัยคนไร้น้ำใจ ผู้ชายของตัวเองก่อเรื่อง เรื่องอะไรมาโยนขี้ให้ลูกสาวของฉัน หน้าไม่อายสิ้นดี ทำไมแต่ก่อนฉันถึงดูไม่ออกว่าหล่อนเป็นคนที่จิตใจร้ายกาจได้ขนาดนี้ จ้าวอิงหัวไม่ต้องมาจับฉัน รีบปล่อยฉันเดียวนี้ ไม่งั้นคุณจะต้องนอนที่ห้องรับแขกไปหนึ่งปีเลยนะ…”


หลังจากสิ้นเสียง จ้าวอิงหัวรีบชักมือกลับอย่างไม่ลังเลใจ ทำได้เพียงมองดูภรรยาเดินดุ่ม ๆ เท้าเปล่าไปที่ห้องรับแขก เขารีบเดินตามไปในทันที กลัวว่าภรรยาจะโกรธจนขว้างโทรศัพท์ทิ้ง


หลายร้อยอยู่นะนั่น !


หานซู่ฉินกำลังลังเลว่าจะโทรหาจ้าวอิงหัวอีกรอบดีไหม โทรศัพท์ก็ดังขึ้น หล่อนเห็นโทรศัพท์มีสายเข้าก็รู้สึกได้ใจ คิดว่าจ้าวอิงหัวคงคิดได้แล้ว รู้ว่าถ้าจ้าวอิงสยงโดนโค่นล้มลง ตำแหน่งลูกพี่ใหญ่ของเขาก็ต้องจบลงด้วยเหมือนกัน


“อิงหัว…”


หานซู่ฉินกำลังจะกล่าวคำทักทาย ก็ถูกเหยียนซินหย่าพูดแทรกขึ้น “หานซู่ฉินจิตใต้สำนึกของคุณโดนหมาคาบไปกินแล้วหรือไง คุณดูแลผู้ชายของตัวเองไม่ได้ แล้วจะมาโยนขี้ให้ลูกสาวของฉัน ฉันจะบอกอะไรคุณให้นะ ถ้าใครกล้ามาทำอะไรลูกสาวฉัน ฉันจะเล่นมันให้ถึงที่สุด หานซู่ฉินถ้าคุณกล้าก็ลองดูละกัน….”


เหยียนซินหย่าไม่ได้ทำตัวอ่อนโยนเหมือนอย่างที่เคย หล่อนตะโกนด่าไม่หยุด เสียงดังจนคุณฉิวที่กำลังหลับอยู่บนโซฟา ยังต้องลุกขึ้นมาฟังว่าเกิดอะไรขึ้น


“หานซู่ฉินคุณไม่ต้องมาพูดจาหว่านล้อมฉัน ผู้ชายของคุณตายไป ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเหมยเหมย คุณอยากจะประจบเฮ่อเหลียนเช่อฉันไม่ว่า แต่อย่าคิดมาเอาลูกสาวฉันไปเกี่ยวด้วย ทำไมคุณถึงไม่เอาหลานสาวคุณเข้าไปเอี่ยวแทนล่ะ คุณคิดว่าฉันกับอิงหัวไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วหรือไง…”


เหยียนซินหย่าด่าหานซู่ฉินไปหนึ่งฉอด ถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้บ้าง หลังจากวางสาย เธอก็โทรศัพท์อีกครั้ง ครั้งนี้โทรหาคุณปู่จ้าว เพื่อจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง


“พ่อคะ เฮ่อเหลียนเช่อเป็นคนอย่างไร มีใครในเมืองนี้ไม่รู้บ้าง พี่สะใภ้รองจะส่งเหมยเหมยไปลงนรกด้วยมือตัวเอง หล่อนมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ หรือว่าตอนนี้บ้านตระกูลจ้าวจำเป็นจะต้องขายลูกสาวกินแล้วหรอ”


จ้าวอิงหัวถอนหายใจ เฮ้อ ภรรยาเขากล้าพูดคำนี้ออกมาเลยหรอ


แต่ว่ามันก็ถูกนะ นี่คือการขายลูกสาวกินชัด ๆ


แล้วขายลูกสาวสุดที่รักของเขาเสียด้วย นัยน์ตาเขาแสดงให้เห็นถึงความโกรธ ถ้าหากว่าคุณไร้ซึ่งความเมตตาใด ๆ เขาก็จะไม่มีความเมตตาใด ๆ เหมือนกัน


ในตอนนี้ เขาดีใจที่เมื่อ 3 ปีก่อนได้วางแผนเตรียมการเอาไว้ เลยไม่กลัวว่าจะไม่ทันการ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องปรึกษากับเหยียนหมิงซุ่นก่อน กลัวแค่ว่าหานซู่ฉินจะไม่ยอมแพ้เรื่องนี้


คุณปู่จ้าวโกรธจนหน้าแดงก่ำ มากกว่านั้นคือความละอายใจ คำพูดทุกคำของเหยียนซินหย่า เหมือนกับมีดที่กำลังกรีดแทงหัวใจของเขา


ขายลูกสาวกิน——


ปกติแล้วเขาจะไม่ค่อยยุ่ง แต่ตอนนี้ลูกชายของเขากลับทำเรื่องที่น่าอับอายขนาดนี้ คิดจะเอาหลานสาวเขามาเอี่ยวด้วย


เขาวางสายลง พยายามระงับอารมณ์โกรธแล้วโทรหาจ้าวอิงสยง ให้พวกเขาสองสามีภรรยากลับมาที่เมือง


เหยียนซินหย่ายังคงโมโหอยู่ จึงระบายความโมโหไปที่สามีของตัวเอง “จ้าวอิงหัว ฉันขอเตือนคุณเลยนะ ถ้าคุณกล้าร่วมมือกับพี่ชายและพี่สะใภ้ของคุณทำเรื่องชั่วๆ เราก็หย่ากัน เหมยเหมยมากับฉัน คุณก็อยู่คนเดียวไปละกัน”


……………………………………………….


[1] เทพเจ้าตามคติความเชื่อของจีน เป็นเทพเจ้าแห่งสวรรค์ โดยทำหน้าที่ปกติประตูสวรรค์


ตอนที่ 1032 ไม่กลัวแผนร้าย


 เหมยเหมยกำลังฝันว่าตัวเองสวีทกับเหยียนหมิงซุ่นอยู่ ความฝันกำลังดำเนินต่อไปไม่หยุด แต่หน้าของเธอกลับรู้สึกคัน ๆ จมูกก็คันๆ คล้ายกำลังจะจาม


“ฉิวฉิวอย่ามาวุ่นวาย ขอนอนอีกนิดนึงนะ…”


เหมยเหมยไม่อยากจะตื่นจากฝันนี้เลย แถมกำลังจะถึงฉากสำคัญแล้วด้วย ถ้าตื่นขึ้นมาตอนนี้ก็สูญเปล่าไปหมดสิ


ฉิวฉิวไม่รู้จะทำอย่างไรจึงเอามือไปบีบจมูกของเหมยเหมยไว้ มันทำให้เหมยเหมยหายใจไม่ออกจนต้องตื่น ฉากสำคัญยังมาไม่ถึงเลย เธอโมโหจนบีบไปที่ตัวของฉิวฉิวอย่างเต็มแรง


“นี่มันเวลาไหนกันแล้ว เธอยังมีอารมณ์มานั่งฝันอีกหรอ คุณอากับคุณอาสะใภ้ของเธอจะขายเธอให้กับตาโรคจิตนั่นแล้วรู้ไหม…”


ฉิวฉิวตีเธอไปหนึ่งที เมื่อเห็นเจ้านายตัวเองยิ้มอย่างหื่นกาม ก็เดาได้เลยว่าเจ้านายกำลังฝันเรื่องอะไรอยู่


เหมยเหมยพอได้ยินก็ตกใจ เฮ่อเหลียนเช่อมันทำเรื่องอะไรอีก


สามปีมานี้เฮ่อเหลียนเช่อนับว่าดูค่อนข้างจะนิ่ง สถานบำเรออะไรก็ไม่ได้ไปแล้ว แต่ก่อนคุณชายเช่อที่กินทั้งหญิงทั้งชาย ตอนนี้ดูจะกลายเป็นคนดีขึ้นมาแล้ว ทำให้คนทั้งเมืองรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก


เขาลือกันให้ทั่วว่าเฮ่อเหลียนเช่อเจอรักแท้แล้ว สามปีมานี้เขาซ่อนรักแท้ไว้ที่คฤหาสน์ ซ่อนไว้อย่างดิบดีเสียด้วย ยิ่งทำให้ดูลึบลับมากยิ่งขึ้นไปอีก


เหมยเหมยไม่ค่อยแน่ใจว่า รักแท้ ที่เขาพูดถึง ใช่เหมยซูหานไหม แต่ว่าหลายปีมานี้ก็ไม่ค่อยมีใครได้เจอเหมยซูหานเช่นกัน


แน่นอนว่าเธอไม่ได้ใส่ใจเรื่องรักแท้หรือความเป็นความตายของเฮ่อเหลียนเช่ออยู่แล้ว ขอเพียงแค่เขาไม่มาหาเรื่องเธอก็พอ แต่ตอนนี้คุณอากับคุณอาสะใภ้ของเธอ กลับหาเรื่องมาให้เสียจนได้


เหมยเหมยหัวเราะ แผนที่จ้าวอิงสยงกับหานซู่ฉินวางเอาไว้ซะดิบดี แต่ทำไมพวกเขาถึงไม่คิดบ้างว่า เธอไม่ใช่หุ่นเชิดที่ใครจะทำอะไรก็ได้


ส่วนการตอบสนองของจ้าวอิงหัวสองสามีภรรยา เหมยเหมยรู้สึกพึงพอใจเลยทีเดียว สำหรับคนอื่น ๆ ในบ้านตระกูลจ้าว เหมยเหมยคงไม่สามารถคาดหวังอะไรได้


“ไม่ต้องเป็นห่วง ยังมีพี่หมิงซุ่นอยู่ อีกอย่างฉันไม่ใช่คนตาย หานซู่ฉินทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”


เหมยเหมยไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลขนาดนั้น เธอมัดผมขึ้น แล้วเดินลงจากเตียง เตรียมล้างหน้าแปรงฟัน แล้วไปกินข้าว


จ้าวอิงหัวกับเหยียนซินหย่ายังคงทำตัวเหมือนเดิม เพียงแค่สีหน้าแฝงไปด้วยความกังวลใจเพียงเล็กน้อย เหมยเหมยทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไร พอกินข้าวเสร็จก็ออกไปโรงเรียน


ที่หน้าประตูโรงเรียนบังเอิญเจอกับอู่เยวี่ย สีหน้าซีดขาว ขอบตาดำคล้ำ ดูแล้วเหมือนไม่ค่อยสดใส ไม่เหมือนเมื่อวานที่ร่าเริงสดใส เหมยเหมยละสายตาจากหล่อนอย่างรวดเร็ว รีบเดินจ้ำอ้าวออกไป ทำให้สามารถทิ้งระยะห่างกับอู่เยวี่ยที่กำลังเดินอยู่ได้


อู่เยวี่ยมองแผ่นหลังที่สดใสของเหมยเหมย เธอกัดปากแน่น แสงอาทิตย์ยามเช้าที่สาดส่องมาที่ตัวเธอ ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย ความหนาวเย็นกลับทุกส่งไปทั่วทุกอณูของร่างกาย ไม่เว้นแม้กระทั่งบริเวณปลายเล็บ


เมื่อคืนความต้องการของซ่งเป่าเลี่ยงไม่มีที่สิ้นสุด เขาเล่นเธอครั้งแล้วครั้งเล่า จนหลัง ๆ เธอเจ็บจนสลบไป ให้ซ่งเป่าเลี่ยงทำทุกอย่างที่เขาอยากจะทำ ทั้งคืนนั้นเหอปี้อวิ๋นก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรทั้งสิ้น


เมื่อเช้าอู่เยวี่ยแทบจะลุกจากเตียงไม่ได้ หว่างขาของเธอเจ็บไปหมด เป็นสิ่งย้ำเตือนความอับอายที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แล้วก็ย้ำเตือนว่าเธอได้สูญเสียของล้ำค่าของผู้หญิงไป


เธอไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเหอปี้อวิ๋น พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกอย่างเธอมีแผนอย่างอื่นอยู่แล้ว….


คนที่เคยทำร้ายเธอ อย่าหวังว่าจะได้มีชีวิตที่ดี


ในขณะที่เธอทุกข์ทรมาน คนอื่นมีสิทธิ์อะไรใช้ชีวิตอย่างมีความสุข


แล้วก็ยัยจ้าวเหมย มีสิทธิ์อะไรมีความสุขมากขนาดนี้


อู่เยวี่ยหรี่ตาลง รังสีความเย็นแผ่ออกมา รอยยิ้มที่มุมปากของเธอทำให้คนอื่นขนลุกได้เลยทีเดียว


เหยียนหมิงต๋าปั่นจักรยานผ่านมา เจอกับอู่เยวี่ย อดไม่ได้ที่จะหยุดรถ แต่พอเท้าของเขาแตะพื้นเล็กน้อย เขาก็รีบเอาขาขึ้นทันที เขาคิดว่าน่าจะรีบไปดีกว่า 3ปีมานี้เยวี่ยเยวี่ยไม่ค่อยจะพูดอะไรกับเขาเสียเท่าไหร่ เขาไม่กล้าทำให้เยวี่ยเยวี่ยโมโห จึงหลบไปก่อนน่าจะดีกว่า


“พี่หมิงต๋า ฉันเดินไม่ไหวค่ะ พี่ไปส่งฉันหน่อยได้ไหมคะ”


อู่เยวี่ยเรียกเหยียนหมิงต๋าไว้ ทำตัวน่าสงสารมองไปที่เขา เหยียนหมิงต๋ารู้สึกดีใจอย่างถึงที่สุด ในที่สุดเยวี่ยเยวี่ยก็ยอมพูดกับเขาแล้ว ดีจัง !


…………………………………….


ตอนที่ 1033 มีคนมารับตอนเลิกเรียนดีจัง


การเรียนของวันนี้สิ้นสุดลง เหมยเหมยเข็นรถออกมา เธอมาพร้อมกับอู่เชาและเจียงซินเหมย อู่เชากับเจียงซินเหมยอาศัยอยู่ไม่ไกล พวกเขามักจะมาเรียนและกลับบ้านพร้อมกัน ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นแบบยิ่งทะเลาะกันยิ่งสนิทกัน


“เสี่ยวเชา เธอกลับไปเรียบเรียงผลงานให้เรียบร้อย ทางนี้ตกลงเมื่อไหร่ฉันจะบอกเธออีกที” เหมยเหมยให้คำมั่น


เธอให้อู่เชาเรียบเรียงผลงานที่ตีพิมพ์ในช่วงหลายปีนี้ เพื่อนำไปตีพิมพ์ที่ฮ่องกง ผลงานของอู่เชา ภาษาสละสลวยมีเอกลักษณ์ เธอคิดว่าต้องหาตลาดได้แน่ ๆ


อู่เชาพยักหน้าด้วยความรู้สึกขอบคุณ “ผลออกมาเมื่อไหร่ เหมยเหมยเดี๋ยวฉันจะเลี้ยงเคเอฟ…”


เหมยเหมยเกิดความรู้สึกสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าหญิงตั้งครรภ์เสียอีก เหมยเหมยกับเจียงซินเหมยมองไปที่เจ้าอ้วนด้วยสายตาอ้อนวอน “ไม่เป็นไรหรอก เธอค่อย ๆ กินไปคนเดียวเถอะ ฉันกินแค่พวกเนื้อย่างเสียบไม้ก็พอแล้ว”


เธอไม่เข้าใจความรักของเจ้าอ้วนที่มีต่อเคเอฟซี กินมาตั้งหลายปีแล้ว ทำไมยังกินได้ไม่เบื่ออีก


อู่เชาคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก แล้วก็ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมเพื่อนสนิทของเขาถึงไม่ชอบกินเคเอฟซี มันอร่อยมาก ๆ เลยนะ เขากินถึงอายุ 100 ปีเลยก็ยังได้


“เหมยเหมย…”


เสียงของเหยียนหมิงซุ่นดังขึ้น เหมยเหมยเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ เธอเห็นหนุ่มรูปงามกำลังเดินตรงมาที่เธอ แสงอาทิตย์ที่ปกคลุมไปทั่วร่าง จนร่างกายสะท้อนแสงออกมาเป็นประกาย


“พี่หมิงซุ่น พี่มาได้อย่างไร”


เหมยเหมยทำตัวราวกับนกนางแอ่นตัวเมีย โผเข้าหาเหยียนหมิงซุ่น จริง ๆ เธออยากจะโผเข้ากอดเขาเลยด้วยซ้ำ แต่ตรงนี้คือหน้าประตูโรงเรียน มีสายตาหลายคู่กำลังจับจ้องมองอยู่


เหยียนหมิงซุ่นยิ้มเล็กน้อย “ผมมารับคุณเลิกเรียน”


เหยียนหมิงต๋ากับอู่เยวี่ยหัวเราะพูดคุยกันเดินออกมา หนุ่มผู้นี้ก่อนหน้าดูหมดอาลัยตายอยาก ตอนนี้กลับดูสดใส เห็นได้ชัดว่าอู่เยวี่ยมีอิทธิพลต่อเขามาก


พอออกจากโรงเรียน เหยียนหมิงต๋าก็ขึ้นไปบนจักรยาน เตรียมจะส่งอู่เยวี่ยกลับบ้าน แต่พอเขาเงยหน้าขึ้น ก็เจอกับพี่ชายที่กำลังยืนก้มหน้าคุยกับจ้าวเหมย เขาใจกระตุกเล็กน้อย เข็นจักรยานแล้วก้าวเพียงเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ โดยรักษาระยะห่างกับอู่เยวี่ยเกิน 3 เมตร


จะให้พี่ใหญ่เห็นไม่ได้ว่าอยู่กับเยวี่ยเยวี่ย ไม่เช่นนั้นถ้ากลับไปคงจะลำบากแน่ ๆ


ถึงแม้ว่า 3 ปีมานี้ เหยียนหมิงซุ่นจะไม่ค่อยได้อยู่บ้าน แต่ในใจของเหยียนหมิงต๋า เขายังคงเป็นพี่ใหญ่ที่เข้มงวดเสมอ  ทำให้เขาไม่กล้าที่จะซุกซนเลยแม้แต่น้อย


อู่เยวี่ยก็เห็นเหยียนหมิงซุ่นเช่นกัน ถึงแม้ว่าเธอจะมีใจให้กับเหมยซูหาน แต่ก็ยังถูกท่าทีที่สง่างามของเหยียนหมิงซุ่นดึงดูดสายตาเอาไว้ เธอมองไปที่เหยียนหมิงซุ่นโดยไม่ละสายตา


ขณะที่เหยียนหมิงซุ่นกำลังหัวเราะให้กับเหมยเหมย แววตาแสดงความเอ็นดู ดูก็รู้ทันทีว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น อู่เยวี่ยกัดริมฝีปากแน่น สายตาของความเอ็นดูนั้นทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจ


ทำไมจ้าวเหมยถึงมีแต่คนรัก คนเอ็นดู


เหมยซูหานก็เป็นแบบนี้ ตอนนี้แม้แต่เหยียนหมิงซุ่นก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน จ้าวเหมยให้พวกเขากินยาเสน่ห์อะไรกันแน่


ความอิจฉายิ่งทำให้อู่เยวี่ยยิ่งเกลียดเหมยเหมย ตอนนี้สิ่งที่เธออยากจะทำมากที่สุดก็คือ ทำลายจ้าวเหมย


ทำลายทุกอย่างของจ้าวเหมย


หน้าตา พรหมจรรย์ พวกนี้จะต้องทำลายให้หมด


ให้ยัยนี่กลายเป็นหนูข้างถนนที่ใครเห็นใครก็รังเกียจ


พอคิดได้แบบนี้ อู่เยวี่ยก็ยิ้มออกมา สายตาสะท้อนให้เห็นถึงความร้ายกาจ


เหยียนหมิงต๋าเดินไปข้างหน้าเหยียนหมิงซุ่นด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ พูดเดียวเสียงเบา ๆ ว่า “พี่ใหญ่…”


เหยียนหมิงซุ่นมองไปที่เขาแวบหนึ่ง หางตาก็เหลือบไปเห็นอู่เยวี่ยที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงปกติว่า “วันนี้กลับบ้านคุณปู่”


“ครับ…”


เหยียนหมิงต๋าตอบรับด้วยน้ำเสียงที่เชื่อฟัง มองไปที่อู่เยวี่ยด้วยความลังเลใจ สุดท้ายก็ขี่รถกลับไปที่โรงเรียน


เขาไม่มีความกล้าพอที่จะไปส่งอู่เยวี่ยกลับบ้านต่อหน้าพี่ใหญ่


อู่เยวี่ยก่นด่าว่าคนไก่อ่อนอยู่ในใจ นั่งอยู่ในห้องเรียนมาทั้งวัน ตอนนี้เธอปวดตัวหนักขึ้นกว่าเดิม จนเดินกลับบ้านไม่ไหวแล้วจริง ๆ ในขณะที่เหยียนหมิงซุ่นกำลังจะเปิดประตูรถ ให้เหมยเหมยขึ้ยรถก่อน อู่เยวี่ยเหมือนคิดอะไรบางอย่างได้ กัดฟันแล้ววิ่งเข้าไปหาพวกเขา


ตอนที่ 1034 ก็เป็นคนใจแคบ


 “พี่หมิงซุ่นคะ…”


เหยียนหมิงซุ่นปิดประตูรถ กำลังจะเดินไปที่ที่นั่งคนขับ อู่เยวี่ยก็วิ่งเข้ามา ร่างบางหายใจเหนื่อยหอบ หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ สีหน้าไม่สู้ดีนัก เหมยเหมยที่ขึ้นรถไปแล้วก็สงสัย รีบโผล่หัวจากกระจกออกมาดู แล้วพูดกับอู่เยวี่ยว่า: “เธอมาทำอะไร”


อู่เยวี่ยไม่ได้สนใจเธอ เธอขอร้องอ้อนวอนเหยียนหมิงซุ่น: “พี่หมิงซุ่นคะ ฉันไม่ค่อยสบาย รบกวนพี่ไปส่งฉันที่บ้านหน่อยได้ไหมคะ ฉันเดินไม่ไหวแล้วจริง ๆ ”


เหมยเหมยกำหมัดแน่น มองเหยียนหมิงซุ่นอย่างลุ้น ๆ เธอกลัวมากว่าเขาจะพยักหน้า เพราะถึงอย่างไรอู่เยวี่ยก็เป็นลูกสาวของอู่เจิ้งซือ ท่านเคยเป็นอาจารย์ของเหยียนหมิงซุ่นมาก่อน


ถึงแม้ว่าการพาไปส่งที่บ้านจะไม่มีอะไรมาก แต่เธอก็ไม่อยากให้ผู้ชายของตัวเองกับอู่เยวี่ยมีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย ก็เธอเป็นคนใจแคบแบบนี้นี่แหละ


เหยียนหมิงซุ่นแค่มองก็รู้ว่าอู่เยวี่ยไม่ค่อยสบาย ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ ตาเหลือบไปเห็นเหมยเหมยที่กำหมัดแน่น เหยียนหมิงซุ่นก็อดที่จะยิ้มไม่ได้


“ผมยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ คงไม่มีเวลาไปส่งคุณ คุณเรียกรถแท็กซี่กลับบ้านเองได้ไหม”


เหยียนหมิงซุ่นปฏิเสธอู่เยวี่ยอย่างมีมารยาท โดยที่ไม่มองเธอที่ตาเริ่มจะแดงแล้วเลยสักนิด เขาเปิดประตูรถแล้วก็ขับออกไปอย่างรวดเร็วในทันที


บนถนนมีแท็กซี่ตั้งมากมาย อู่เยวี่ยก็ใช่ว่าจะไม่มีเงิน ถ้าหากว่าไม่อยากจะเดินจริง ๆ จะเรียกรถแท็กซี่ก็ได้ ทำไมต้องลำบากมานั่งรถเขาด้วย


เขาไม่อยากจะมีปัญหากับองค์หญิงของเขาหรอกนะ กลางคืนเขากับเธอยังต้องทำอะไรกันอีกมาก


เขาเหลือบมองไปทางขวา เห็นหญิงสาวที่หน้าตามีความสุขพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ทำให้เขาอดที่จะยิ้มตามไม่ได้ แล้วพูดว่า : “มีความสุขขนาดนั้นเลยหรอ”


เหมยเหมยทำเสียงเหอะเบา ๆ แล้วกรอกตามองบน เธอยิ้มมากขึ้นกว่าเดิม เหยียนหมิงซุ่นแซวเธอว่า  “ผมทำดีขนาดนี้ ไม่มีรางวัลอะไรหน่อยหรอครับ”


“นี่คือสิ่งที่คนเป็นแฟนควรจะทำ การทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี มันต้องมีรางวัลด้วยหรอ เห๊อะ”เหมยเหมยเชิดหน้าขึ้นด้วยสีหน้าที่เอาแต่ใจ แต่ไม่ถึงหนึ่งนาที เธอก็หลุดแล้วก็หัวเราะไม่หยุด


จนกระทั่งรถแล่นออกไปจนลับตา อู่เยวี่ยจึงค่อย ๆ หมุนตัวกลับมา เธอกัดปากจนเลือดออก แต่กลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใด ๆ มันชินชาไปหมดแล้ว


เหยียนหมิงซุ่นกับจ้าวเหมยเป็นแฟนกันหรอ


พวกเขาเป็นแฟนกันตอนไหน


อู่เยวี่ยขมวดคิ้ว ดูท่าทางแล้วงานในกองของเหยียนหมิงซุ่นน่าจะไปได้ไม่เลว มีรถขับแล้วด้วย น่าจะเป็นนายทหารแล้วกระมัง


เมื่อกี้เธอก็เกือบจะใจสั่นเพราะเขาแล้ว เหยียนหมิงซุ่นดูดีกว่าหานป๋อหย่วนมาก หล่อมาก แล้วยังเป็นนายทหารอนาคตไกล ถึงจะไม่ใช่คนจากตระกูลใหญ่ แต่ก็ถือว่าเป็นคู่ครองที่ไม่เลว


อู่เยวี่ยยื่นมือออกไปเพื่อเรียกแท็กซี่ เรียกรถกลับบ้านต้องใช้เงิน 3 หยวน เงินส่วนนี้คงจะประหยัดไม่ได้แล้ว ต้องโทษยัยบ้าจ้าวเหมย อู่เยวี่ยที่ขึ้นรถไปตื่นขึ้นจากความมึนงง ใจที่เกือบจะตกหลุมรักเหยียนหมิงซุ่น ก็จางหายไปหมด


เกิดมาหล่อก็เอาไปกินข้าวไม่ได้สักหน่อย เหยียนหมิงซุ่นถึงแม้ว่าจะหน้าที่การงานดีเท่าไหร่แล้วยังไง  อย่างไรก็ไม่สามารถขึ้นไปอยู่ตำแหน่งข้างบน ๆ ได้ ยัยจ้าวเหมยนี่โง่แท้ ๆ ผู้ชายที่อยู่ในวงการนั้นก็มีตั้งหลายคน แต่ดันไปหาคนนอกวงการอย่างเหยียนหมิงซุ่น ยัยหมูหน้าโง่


อู่เยวี่ยรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาในทันที เธออยากให้จ้าวเหมยกับเหยียนหมิงซุ่นอยู่ด้วยกันตลอดไป อีกหน่อยพอเธอแต่งงานกับคนรวย แต่จ้าวเหมยกลับต้องแต่งงานกับคนที่ฐานะต่ำกว่า อย่างไรจ้าวเหมยก็ไม่มีทางสู้เธอได้


พอคิดว่าจ้าวเหมยจะต้องเคารพตัวเอง อู่เยวี่ยก็ยิ่งรู้สึกอารมณ์ดีมากยิ่งขึ้น ทำให้ลืมเรื่องราวที่น่าอับอายเมื่อคืน


พอกลับถึงบ้าน ก็เห็นว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า บรรยากาศดูอบอุ่นแบบที่ไม่ได้พบได้บ่อยนัก ใบหน้าของเหอปี้อวิ๋นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจของอู่เยวี่ยกำลังคิดหนัก ไม่รู้ว่าสองพ่อลูกคู่นี้คิดจะทำอะไรกันอีก


……………………………………….


ตอนที่ 1035 เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน


 พ่อเลี้ยงของอู่เยวี่ยหัวเราะทักทายเรียกให้อู่เยวี่ยมานั่ง ซ่งเป่าเลี่ยงก็หัวเราะจนผิดปกติ เมื่อคืนเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขมากที่สุดในชีวิต เขารู้สึกว่า 20 กว่าปีที่ผ่านมาเหมือนใช้ชีวิตไปเปล่า ๆ


ไม่น่าเพื่อนพ้องชอบพูดว่า เรื่องที่ดีที่สุดในโลกนี้ คือการได้หลับนอนกับผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงสวย


น้องสาวราคาถูกของเขาคนนี้หน้าตาสะสวย รูปร่างก็ดี แล้วก็ยังเป็นนักเรียนของโรงเรียนม.ปลายชื่อดัง เมื่อเทียบกับผู้หญิงของพวกเพื่อน ๆ เขาแล้ว หล่อนดีกว่าหลายสิบเท่า ขอแค่เขาได้แต่งงานกับเธอ อีกหน่อยเวลาอยู่ต่อหน้าเพื่อน ๆ จะต้องมีหน้ามีตาแน่ ๆ


ซ่งเป่าเลี่ยงส่งสายตาให้กับพ่อของเขา พ่อเลี้ยงของอู่เยวี่ยรับรู้ด้วยทางสายตา ก็เลยคีบเนื้อซีอิ๊วให้กับอู่เยวี่ย แล้วก็ยังเทเหล้าให้เหอปี้อวิ๋นเต็มแก้ว พออู่เยวี่ยเริ่มเครียด ภาพเมื่อคืนก็ปรากฏขึ้นในหัวของเธออีกครั้ง


เธอมองเหอปี้อวิ๋นด้วยสายตาโกรธแค้น ช่วงเวลาสำคัญแม่ของเธอมักจะไม่สามารถช่วยอะไรได้เสมอ


“แม่คะ เลิกดื่มได้แล้ว ดื่มเหล้าเยอะไม่ดีต่อสุขภาพ”


อู่เยวี่ยอยากจะหยิบแก้วออกจากมือของเหอปี้อวิ๋น 3ปีมานี้เหอปี้อวิ๋นดูตกต่ำลงไปมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือติดเหล้า ถ้าในหนึ่งวันไม่ได้กินเหล้าก็จะรู้สึกทรมาน


เหอปี้อวิ๋นเบี่ยงหลบด้วยความรำคาญ แล้วก็ดื่มต่อไปอีกหนึ่งแก้ว นี่เป็นเหล้าขวดที่มีมูลค่าถึง 2 หยวนต่อขวดเชียวนะ แต่ก่อนหล่อนจะดื่นได้แค่เหล้าที่มีบรรจุภัณฑ์ธรรมดา ๆ เท่านั้น ส่วนใหญ่ก็ทำมาจากแอลกอฮอล์ ไม่อร่อยเลยสักนิด วันนี้หล่อนจะต้องดื่มให้เต็มที่ให้ได้


อู่เยวี่ยไม่สามารถห้ามเหอปี้อวิ๋นได้ ในใจรู้สึกโกรธแค้นมาก เธอรีบกินข้าว แล้วหาข้อแก้ตัวว่าไม่สบาย แล้วรีบเดินกลับห้อง ล๊อคประตู อีกทั้งยังย้ายโต๊ะมากั้นประตูเอาไว้ด้วย


เมื่อคืนเธอไม่ได้ระวังเอง ก็คิดเสียว่าถูกหมากัดละกัน แต่วันนี้เธอจะไม่ยอมให้ไอชั่วซ่งเป่าเลี่ยงมาทำอะไรเธอได้อีก


เหอปี้อวิ๋นดื่มจนสติเริ่มจะเลือนราง พ่อเลี้ยงของอู่เยวี่ยคีบอาหารให้เธอ แกล้งทำเป็นถอนหายใจ แล้วพูดถึงเรื่องการเงินที่ขัดสนของที่บ้าน เหอปี้อวิ๋นเหมือนจะไม่ได้ยินอะไร แต่พอเขาพูดขึ้นว่าจะให้อู่เยวี่ยหยุดเรียนแล้วกลับไปขายปลาที่บ้าน เหอปี้อวิ๋นจึงเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา


“ไม่ได้ เยวี่ยเยวี่ยจะต้องได้เรียนมหาวิทยาลัย”


ถึงแม้ว่าเหอปี้อวิ๋นจะเริ่มลิ้นเปลี้ย แต่สติของหล่อนยังคงดีอยู่


ชายคนนั้นก็ได้เปลี่ยนเรื่องในทันที เขาหัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็หาวิธีให้ซ่งเป่าเลี่ยงหาภรรยาให้ได้สิ ลูกของฉันอายุตั้ง 25 แล้ว แม้แต่เงินค่าสินสอดอะไรก็ยังเตรียมไม่ครบ ฉันยังอยากอุ้มหลานอยู่นะ เยวี่ยเยวี่ยไม่ต้องไปเรียนหนังสือแล้ว ประหยัดเงินไว้ให้พี่ชายแต่งงาน”


สมองที่มึนงงของเหอปี้อวิ๋นเริ่มจะไม่ค่อยทำงานแล้ว ผ่านไปสักพักถึงจะฟังรู้เรื่องว่าผู้ชายคนนั้นหมายความว่าอะไร ก็คืออยากจะให้ลูกสาวของหล่อนออกจากการเรียน เหอปี้อวิ๋นส่ายหัวอย่างรุนแรง พูดแต่เพียงว่าไม่ได้


ชายคนนั้นกรอกตาหนึ่งรอบ แล้วพูดขึ้นว่า “ผมมีวิธีหนึ่งที่จะทำให้เราได้ทั้งสองอย่าง เป่าเลี่ยงได้มีภรรยา เยวี่ยเยวี่ยก็ไม่ต้องออกจากการเรียน”


เหอปี้อวิ๋นแววตาเริ่มเป็นประกาย รีบบอกให้ชายคนนั้นรีบ ๆ บอกวิธีมา ชายคนนั้นหัวเราะอย่างได้ใจ แล้วพูดว่า “มันง่ายจะตายไป เยวี่ยเยวี่ยอายุก็ไม่น้อยแล้ว ก็ให้เธอแต่งกับเป่าเลี่ยงไปเลย พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน ใช่ไหม”


อู่เยวี่ยที่แอบฟังจากกำแพง โมโหถึงขีดสุด คนหน้าไม่อาย ถึงขนาดมีความคิดที่สกปรกได้ถึงขนาดนี้เลยหรอ


ไอชั่วซ่งเป่าเลี่ยง คนอย่างมันยังกล้าคิดอีกหรอ


ถุย


เหอปี้อวิ๋นกระพริบตา หล่อนคิดตามไม่ทันอีกแล้ว หล่อนเอาแต่พูดซ้ำ ๆ ว่า  “เยวี่ยเยวี่ยจะต้องได้เรียนมหาวิทยาลัย…”


ชายคนนั้นพูดปลอบว่า “แต่งงานกับเป่าเลี่ยงแล้วก็ยังเรียนได้ ขอแค่หล่อนสอบได้ ผมส่งเรียนแน่นอน”


เหอปี้อวิ๋นเริ่มมีสติคิดได้ขึ้นมา มองไปที่ชายคนนั้นด้วยสายตาดุดัน แล้วก็มองไปที่ซ่งเป่าเลี่ยง หล่อนตบเขาไปเต็มแรงหนึ่งที


“แกคิดว่าแกเป็นใคร คนอย่างเธอคิดจะมาขอลูกสาวฉันงั้นหรอ ถุย…คางคกอยากกินเนื้อห่านฟ้าล่ะสิไม่ว่า ฝันไปเถอะ…”


เหอปี้อวิ๋นโมโหจนตาแดงก่ำ หล่อนปัดของบนโต๊ะไปที่ซ่งเป่าเลี่ยง ยังดีที่ซ่งเป่าเลี่ยงว่องไวหลบได้ทัน


อู่เยวี่ยรู้สึกโล่งใจ แผ่นหลังเย็นเฉียบ


เธอไม่สามารถอยู่บ้านหลังนี้ต่อไปได้อีกแล้ว เธอจะต้องหาวิธีออกไปจากที่นี่


…………………………………………..


ตอนที่ 1036 หึงเล็กน้อย


 ตกดึกเหยียนหมิงซุ่นกลับมาอีกครั้ง ถนนหนทางที่คุ้นเคย เหมยเหมยก็ทำการบ้านเสร็จตั้งนานแล้ว เธอโผตัวเข้าไปในอ้อมกอดที่แสนคิดถึง เธอถูตัวไปมาในอ้อมกอดแผ่นกว้างของเขา


พวกเขาสองคนโอบกอดกันไปมาอยู่สักพัก ค่อยแยกจากกันอย่างไม่เต็มใจนัก เหยียนหมิงซุ่นอุ้มหญิงสาวมานั่งที่บนตัก บั้นท้ายนิ่ม ๆ งอน ๆ ของเธอทำให้เขาใจสั่น เขาทำได้เพียงหาเรื่องพูดคุยเพื่อจะเบี่ยงเบนความสนใจ


เหมยเหมยเอาเรื่องที่เมื่อเช้าหานซู่ฉินโทรมา เล่าให้เขาฟัง ยังพูดไม่ทันจบ เหยียนหมิงซุ่นก็ทำหน้านิ่งไป แรงอาฆาตแผ่กระจายออกมาจนทำให้เหมยเหมยตัวสั่นไปหลายครั้ง


เหยียนหมิงซุ่นลดอารมณ์โมโหลง แล้วกอดหญิงสาวแน่นขึ้นกว่าเดิม แล้วปลอบโยนเธอว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงนะ มีพี่อยู่”


จะขายภรรยาในอนาคตของเขาเพื่อปกป้องตัวเองงั้นหรอ


เหอะ ฝันไปเถอะจ้าวอิงสยง เขาจะทำให้สองสามีภรรยาคู่นี้ต้องเสียใจไปตลอดทั้งชีวิต


เหมยเหมยขานรับอย่างเชื่อฟัง เธอไม่เคยเป็นห่วงอยู่แล้ว เพราะมีจ้าวอิงหัวกับเหยียนหมิงซุ่นอยู่ เธอยังจะต้องกลัวอะไรอีก


“เฮ่อเหลียนชิงยังได้แนะนำผู้หญิงให้พี่อยู่อีกไหม”


สิ่งที่เหมยเหมยเป็นกังวลยิ่งกว่าก็คือตาเฒ่าโรคจิตนั่น 3 ปีมานี้เขาไม่ลดความพยายามที่จะให้เสี่ยวเมิ่งค้นหาหญิงสาวหน้าตาอัปลักษณ์ทั่วประเทศ แต่ละคนมีความอัปลักษณ์ที่แตกต่างกันไป


ทุกที่ที่เหยียนหมิงซุ่นไปทำงาน ตลอด 3 ปีมานี้ เฮ่อเหลี่ยนชิงก็จะให้เขาได้เจอกับผู้หญิงอัปลักษณ์ในพื้นที่นั้น ๆ เหมยเหมยตอนแรกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ตอนนี้รู้สึกชินชาไปเสียแล้ว


ไม่ใช่ว่าเธอดูคนจากหน้าตา แต่ผู้หญิงพวกนั้นมีเอกลักษณ์มากเกินไป เหยียนหมิงซุ่นยังไม่ทันได้เห็นจิตใจที่ดีงามของหญิงสาวพวกนั้น ก็อาจจะตกใจเสียก่อนจนไม่กล้าไปเจออีก


แน่นอนว่า ชินมันก็ชินอยู่ แต่ว่าอาการหึงเล็กน้อย มันก็จำเป็นต้องมีกันบ้าง


เหยียนหมิงซุ่นยิ้ม เขาดีดหน้าผากหญิงสาวเบา ๆ เขาชอบที่องค์หญิงของเขาแสดงอาการหึงหวง เหมือนกับแมวน้อยกำลังพองขน น่ารักที่สุด


”เหมยเหมยเธอก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าพ่อบุญธรรมพี่เป็นอย่างไร อย่าว่าแต่คนที่หน้าปกติทั่วไปเลย ถึงเป็นไซซีกลับชาติมาเกิด ก็ยังสู้นิ้วมือของเหมยเหมยนิ้วหนึ่งยังไม่ได้เลย”


เหยียนหมิงซุ่นหยอดคำหวานอย่างเต็มที่ เหมยเหมยยิ้มหน้าบาน แต่สักครู่ก็กลับมาทำหน้าเคร่งขรึมอีกครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า: “อย่างไรเสียถ้าฉันเห็นพี่อยู่กับผู้หญิงคนอื่นล่ะก็ หึ คอยดูว่าฉันจะจัดการกับพี่ยังไง”


ถึงแม้ว่าจะพยายามทำท่าทีดุดัน แต่สีหน้าท่าทางของเธอกลับไม่ได้ดูน่ากลัวขนาดนั้น แต่ดูเหมือนกำลังอ้อนเสียมากกว่า


“เธอจะจัดการกับพี่ยังไงหรอ”


เหยียนหมิงซุ่นจงใจถาม ถอนลมหายใจรดไปที่หญิงสาว หญิงสาวหูร้อนจนกลายเป็นสีชมพู


เหมยเหมยนิ่งไป พูดอะไรไม่ออก เธอจะรู้ได้อย่างไงว่าควรจัดการอย่างไร เธออดไม่ได้ที่จะเขินอาย มองจ้องไปที่ตาของเขา งั้นเธอก็แถเป็นเรื่องอื่นไปเลยละกัน


“จะจัดการอย่างไรก็ช่าง พี่จะถามรายละเอียดทำไม หรือว่าพี่อยากอยู่กับผู้หญิงคนอื่นใช่ไหม ใช่ไหม”


เหมยเหมยพูดใส่หูของเขา ทำให้น้ำลายของเธอกระเด็นเข้าเต็มหูเหยียนหมิงซุ่น


เหยียนหมิงซุ่นไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดหู แล้วก็กัดเบา ๆ ไปที่ใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังโมโห “พี่อยากจะอยู่กับเจ้าดื้อคนนี้…”


เหมยเหมยพูดอะไรไม่ออกไปเลยในทันที เธอเอามือประสานกันด้วยความเขินอาย หน้าแดงระเรื่อ เมื่อกี้ยังเป็นสิงโตอยู่เลย ตอนนี้กลายเป็นน้องแมวเหมียวไปเสียแล้ว


พวกเขาสองคนที่แนบชิดกันอยู่อย่างนี้ คุณมีฉัน ฉันมีคุณ ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่ความเงียบกลับชนะเสียงโหวกเหวกเจี๊ยวจ๊าวไปแล้ว เวลานี้บรรยากาศภายในห้องราวกับเต็มไปด้วยฟองสบู่สีชมพูแห่งความรัก


“พี่ไม่ได้หยุดเหรอ ทำไมยังต้องทำธุระอีก” เหมยเหมยถามขึ้น ทำลายความเงียบลง


เหยียนหมิงซุ่นยิ้ม แล้วเอาคางเกยไว้ที่ไหล่ของหญิงสาว “เรื่องส่วนตัวนิดหน่อย”


ตรอกซอยมืดมิดสักแห่งในเมืองจิน จูเหว่ยกำลังนอนหมดอาลัยตายอยากอยู่บนกองขยะ เขามองดวงจันทร์ที่อยู่บนท้องฟ้าอย่างหมดหวัง ตอนนี้ใจของเขาเหน็บหนาวยิ่งกว่าแม่นางฉางเอ๋อร์ในกว่างหานกงเสียอีก


………………………………………………


ตอนที่ 1037 ขอเลี้ยงข้าว


เหมยเหมยไม่ได้ถามเหยียนหมิงซุ่นต่อว่าเรื่องส่วนตัวอะไร ถึงแม้ว่าจะเป็นสามีภรรยากัน ก็ควรจะต้องมีพื้นที่ให้กันบ้าง ตอนนี้พวกเขายังไม่ใช่สามีภรรยากันด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเธอไม่ควรเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของเขามากนัก


โทรศัพท์ดังขึ้น จ้าวอิงหัวสองสามีภรรยานอนอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ทนายหม่าโทรศัพท์มา จ้าวอิงหัวโอนสายมาให้กับเหมยเหมย


ทนายหม่ามาแจ้งข่าวดี เมื่อช่วงบ่ายคุณหลินมาหาเขา ไม่เพียงแต่ตอบตกลงกับข้อเสนอสามอย่างของเหมยเหมย เขายังยินดีให้เหมยเหมยมาร่วมลงทุนด้วย ส่วนเรื่องรายละเอียดหลินเจิ้นกั๋วจะขอคุยกับเหมยเหมยด้วยตัวเอง


“หลินเจิ้นกั๋วจะมาถึงเมื่อไหร่” เหมยเหมยถาม


“3 วันหลังจากนี้”


“ถ้าอย่างนั้นสัญญาลิขสิทธิ์หนังสือเล่มนั้นของฉัน ฉันยังไม่เซ็นตอนนี้ รอหลังจากที่ฉันคุยกับหลินเจิ้นกั๋วเสร็จ ค่อยเซ็นสัญญาอีกฉบับหนึ่ง” เหมยเหมยพูดอธิบาย


หลังจากวางโทรศัพท์ เหมยเหมยยักคิ้วให้กับเหยียนหมิงซุ่นอย่างได้ใจ “ฉันปิดงานใหญ่ไปได้อีกงานแล้วนะ”


เหยียนหมิงซุ่นยกนิ้วโป้งให้กับเธอ แสดงความชื่นชม “สุดยอด อีกหน่อยธุรกิจของพี่ พี่จะให้เธอดูแลทั้งหมดเลย”


“ไม่เอา ฉันไม่อยากจะเหนื่อยขนาดนั้น” เหมยเหมยปฏิเสธอย่างไม่ใยดี


ธุรกิจภายใต้ชื่อของเหยียนหมิงซุ่นนั้นมีมากมายก่ายกอง นอกจากธุรกิจที่เขาสร้างเองในตอนแรกแล้ว ยังมีธุรกิจของเฮ่อเหลียนชิงที่นับไม่ถ้วน เธอจะเอาปัญญาที่ไหนไปดูแล


เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะร่า แน่นอนว่าเขาแค่ล้อเล่น ธุรกิจพวกนั้นของเขามีคนที่เชี่ยวชาญคอยดูแลอยู่แล้ว เขาเองแทบจะไม่ต้องเป็นกังวลอะไร อีกอย่างเขาจะยอมให้องค์หญิงของเขาไปลำบากได้อย่างไร


“ไม่อยากยุ่งก็ไม่ต้องยุ่ง เหมยเหมยอยากจะทำอะไรก็ทำอันนั้น เธอมีความสุขถึงจะสำคัญที่สุด” เหยียนหมิงซุ่นพูดคำหวานที่กินใจที่สุดในโลก หญิงสาวยิ้มจนตาหยี มันช่างหวานจับใจ


หานป๋อหย่วนก็ได้รับสายจะหานซู่ฉินเช่นกัน ในสายเขาอาจจะดูเคารพนับถือหานซู่ฉิน แต่ในใจกลับรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาไม่พอใจที่หานซู่ฉินพูดจากลับกลอกไปมา


เธอพูดเอาไว้แล้วว่าจะให้จ้าวเหมยกับเขา แต่ตอนนี้กลับจะให้เฮ่อเหลียนเช่อ หมายความว่าอย่างไร


นี่ล้อเขาเล่นหรืออย่างไรกัน


ถึงแม้ว่าจะไม่พอใจอย่างมาก แต่หานป๋อหย่วนก็ไม่ได้เถียงอะไรกลับไป เพียงแค่ตบปากรับคำมาเท่านั้น แล้วบอกว่าจะไปพูดหว่านล้อมเหมยเหมย ให้เหมยเหมยเห็นแก่ส่วนรวมเป็นหลัก


แน่นอนว่าหานป๋อหย่วนไม่ได้เชื่อฟังขนาดนั้น เขาทิ้งมหาวิทยาลัยที่เมืองหลวงเพื่อจ้าวเหมย แล้วไหนจะทิ้งอนาคต อีกทั้งเสียช่วงชีวิตวัยรุ่นไปอีก 3 ปี ถ้าจะให้ทิ้งไปทั้งอย่างนี้เขาจะยอมได้อย่างไรกัน


ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แต่งงานกับเหมยเหมย แต่อย่างน้อยขอให้เขาได้ลิ้มลองเธอสักหน่อย จ้าวเหมยสวยขนาดนี้ ไม่ว่าอย่างไรต้องได้นอนกับเธอสักครั้ง เขาถึงจะพอใจ


หานป๋อหย่วนทนรอจนเลิกเรียนไม่ไหว กลางวันก็เลยรีบไปหาเหมยเหมยที่โรงเรียนอีจง มหาวิทยาลัยเมืองจินใกล้กับโรงเรียนอีจงมาก เพียงแค่ไม่กี่นาทีก็เดินถึง สะดวกมาก


พักกลางวันมีเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง พอกับการที่จะคุยธุระแล้ว หานป๋อหย่วนมั่นใจในฝีปากของตัวเอง เขาต้องทำธุระที่คุณป้าฝากมาได้สำเร็จแน่ แล้วก็ต้องได้สาวงามกลับไปด้วย


ออดเลิกเรียนวิชาสุดท้ายของคาบเช้าดังขึ้น เหมยเหมยถือกล่องข้าวเดินออกมาจากห้องเรียน แล้วก็เจอเข้ากับหานป๋อหย่วนที่กำลังยืนรออยู่หน้าห้องเรียน เขายิ้มให้กับเธอ เธอขมวดคิ้วในทันที


หลังจากที่เธอเห็นธาตุแท้ของหานซู่ฉิน เธอก็มีอคติต่อหานป๋อหย่วนด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าเดิมเธอก็ไม่ได้มีความรู้สึกดี ๆ อะไรให้กับเขาอยู่แล้ว


“เหมยเหมย…”


หานป๋อหย่วนเพิ่งเริ่มจะพูด เหมยเหมยก็ตัดบทเขาด้วยท่าทีที่รำคาญว่า “มีเรื่องอะไร รีบพูดมา”


หานป๋อหย่วนยิ้มเจื่อน ๆ เขาพยายามอดทน แล้วพูดว่า “พี่มีธุระอยากจะคุยกับเธอ มื้อกลางวันพี่ขอเลี้ยงข้าวเธอได้ไหม พวกเรากินไปคุยไป”


เมื่อวานหานซู่ฉินเพิ่งจะโทรศัพท์มา วันนี้หานป๋อหย่วนก็จะมาเลี้ยงข้าว มันเห็นได้ชัดอยู่แล้วว่ามาเพื่ออะไร เหมยเหมยเดิมทีอยากจะปฏิเสธ แต่พอคิดได้อีกทีเธอก็ยิ้มขึ้นมา


“ได้สิ แต่ฉันจะพาเพื่อนไปด้วยนะ ไม่มีปัญหาใช่ไหม”


หานป๋อหย่วนเหลือบไปมองที่รูปร่างของเจ้าอ้วน เขากัดฟัน ทำตัวเหมือนใจกว้างแล้วพูดว่า “แน่นอนว่าไม่มีปัญหา เพื่อนของเหมยเหมยก็คือเพื่อนของพี่อยู่แล้วครับ”


……………………………….


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)