ลำนำบุปผาพิษ 991-998

 บทที่ 991 เจ้ามีคนในใจแล้วใช่ไหม


ทำให้ตัวเขาก็ค่อนข้างประหลาดใจมากเช่นกัน หรือเป็นเพราะสวรรค์ไม่พอใจที่เขาเปลี่ยนตัวตนบ่อยๆ ดังนั้นจึงให้เขาแสดงบทบาทที่ยากที่สุด?


หรือจะเป็นการลงโทษที่เขาละเมิดกฎสวรรค์?


หรืออายุขัยของเขาใกล้สิ้นสุดลงแล้ว?


เขาสำรวจร่างกายอีกครั้ง ดูเหมือนพลังวิญญาณจะฟื้นฟูขึ้นมาบ้างแล้ว


เลือดลมที่เดิมทีติดขัดเนื่องจากสูญสิ้นพลังวิญญาณเริ่มฟื้นฟูขึ้นมาช้าๆ สงบขึ้นเล็กน้อยแล้ว…


นับตั้งแต่เขากลายสภาพเป็นอิงเหยียนนั่ว การฟื้นฟูของพลังวิญญาณก็เชื่องช้าจนน่าตกใจ ระยะเวลาครึ่งปีพอฟื้นฟูขึ้นมาก็จะหายไปทันที ทำให้ตัวเขาค่อนข้างสิ้นหวังไปหมด


แต่หลังจากเขากลายสภาพเป็นเด็กชายตัวน้อย ความเร็วในการฟื้นฟูพลังวิญญาณกลับเพิ่มขึ้น…


เหมือนเห็นเช่นนี้แล้ว งทีการกลายเป็นเด็กก็มิใช่เรื่องเลวร้ายไปเสียทั้งหมด


เขาถือแส้ไว้ เอนกายพิงตัวรถแล้วนั่งสมาธิเสียเลย ไป๋เจ๋อสัตว์วิเศษที่ปลอมเป็นสิงโตเวหาอยู่ด้านหน้า ทราบสภาพภูมิประเทศขุนเขาสายธารใต้หล้านี้ดี กล่าวว่าเป็นจีพีเอสเลยก็ว่าได้ อันที่จริงไม่ต้องใช้คนบังคับมัน ก็สามารถโบยบินไปสู่สถานที่ที่เจ้านายต้องการไปด้วยตัวเองได้


….


กู้ซีจิ่วพักผ่อนอยู่ในรถครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่วางใจปล่อยคนป่วยอย่างเขาไว้ด้านนอกเพียงลำพัง จึงออกมาอีกครั้ง


มองเห็นตี้ฝูอีที่ห่อด้วยผ้าห่มขนสัตว์เอนกายพิงด้านหน้าห้องโดยสารอยู่ เป็นท่านั่งสมาธิประเภทหนึ่ง ดวงตาพริ้มลงนิดๆ ราวกับเข้าสู่ห้วงสมาธิ ใบหน้าน้อยๆ ที่เดิมทีค่อนข้างซีดขาว บัดนี้กลับมีเลือดฝาดจางๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว ดูเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่ประณีตบอบบางยิ่งกว่าเดิม เห็นทีว่าความสามารถในการฟื้นฟูของเขาจะรวดเร็วยิ่ง ก่อนหน้านี้ยังไม่มีแม้แต่แรงจะเดินด้วยซ้ำ ยามนี้สามารถนั่งสมาธิได้แล้ว


เธอมองสิงโตเวหาที่อยู่ด้านหน้าอีกครั้ง จู่ๆ ก็พบว่าสิงโตเวหาตัวนี้ไม่ค่อยเหมือนสิงโตเวหาทั่วไปประเภทนั้น สีขนผุดผ่องกว่า ทั้งตัวขาวพิสุทธิ์ดุจหิมะ ขนไม่ยุ่งเลยสักเส้น


โดยทั่วไปแล้วบนใบหน้าของสิงโตเวหาล้วนมีความดุดันของผู้เป็นราชาแห่งสัตว์ร้าย แต่ใบหน้าของสิงโตตัวนี้กลับเป็นความทรงอำนาจน่าเกรงขามที่แฝงความสุภาพเอาไว้ ดวงตาสีฟ้าคราม แถมบนเปลือกตายังมีขนตายาวเป็นแพด้วย ปีกสองข้างขาวพิสุทธิ์ ไม่เร่งรีบร้อนรน มีความสง่างามอย่างหนึ่งของผู้เป็นราชัน


มันบินได้มั่นคงยิ่งนัก ต่อให้ในห้องโดยสารวางถ้วยน้ำเต็มเปี่ยมเอาไว้ก็คงไม่หกออกมา สิ่งที่หายากกว่านั้นคือ ความเร็วในการโบยบินของมันถึงแม้จะรวดเร็วพอ แต่สายลมกลับไม่นับว่ารุนแรงนัก มีเขตแดนสีขาวรางๆ รูปทรงตัววีอยู่บนร่างมันชั้นหนึ่ง ปิดกั้นสายลมทั้งหมดที่ดาหน้าเข้ามาให้พัดออกไปสองด้าน


นี่เกรงว่าจะเป็นราชาสิงโตเวหากระมัง?


กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าสิงโตเวหาที่อยู่เบื้องหน้าตัวนี้เก่งกาจยิ่งกว่าเพรียกวายุของตน!


ความจริงแล้วไป๋เจ๋อสนใจความเคลื่อนไหวของกู้ซีจิ่วอยู่ตลอด มันถูกเธอจ้องจนค่อนข้างขนลุกแล้ว กระดิกใบหูอย่างกระวนกระวาย มันเผยพิรุธแล้วหรือ?


กู้ซีจิ่วมองสิงโตเวหาอยู่พักหนึ่ง ครั้นพอหันกลับไป ก็เห็นว่าตี้ฝูอีลืมตาแล้ว กำลังมองเธออยู่เงียบๆ


กู้ซีจิ่วยื่นผลไม้สีน้ำเงินสุกใสลูกหนึ่งให้เขา “สิ่งนี้มอบให้เจ้า”


ตี้ฝูอีมองผลไม้ลูกนี้ไม่กี่วินาที จากนั้นก็หลุบตาลง ไม่พูดอะไรและไม่รับไว้


“อ้าว นี่คือโกรธหรือ?” กู้ซีจิ่วรู้สึกขบขันอยู่บ้าง อิงเหยียนนั่วฉบับย่อส่วนดูน่ารักนัก ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่เก็บความขุ่นเคืองอารมณ์บูดของเขามาใส่ใจ โบกผลไม้ในมือไปมา “นี่คือผลตะพุ่นน้อย เป็นผลไม้ที่ช่วยบำรุงพลังวิญญาณได้มาก เหมาะสมกับเจ้านะ”


ตี้ฝูอีลอบถอนหายใจ เขาย่อมรู้จักผลตะพุ่นน้อยลูกนี้ดี นี่ก็เป็นสิ่งที่เขามอบให้นางเช่นกัน ถูกนางส่งมาอย่างใจกว้างอีกแล้ว!


สรุปแล้วนางมีตัวเขาตี้ฝูอีอยู่ในใจบ้างไหม?


ตี้ฝูอีเริ่มสงสัยปัญหาข้อนี้อย่างจริงจังแล้ว


เขายังคงไม่รับผลไม้ของนางเช่นเดิม “ซีจิ่ว เจ้ามีคนในใจแล้วใช่ไหม? ดังนั้นจึงปฏิเสธข้า”


ทำไมวกกลับมาที่หัวข้อนี้อีกแล้ว?


กู้ซีจิ่วรู้สึกจนปัญญา


“ข้าได้ยินมาจากคนอื่นว่าความสัมพันธ์ของเจ้ากับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยอดเยี่ยมนัก เจ้าชอบเขาใช่ไหม? ภายหน้าจะแต่งให้เขาหรือ?”


————————————————————————————-


บทที่ 992 ไม่แน่นางอาจจะหนีไปกับคนอื่น…


“ข้าได้ยินมาจากคนอื่นว่าความสัมพันธ์ของเจ้ากับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยอดเยี่ยมนัก เจ้าชอบเขาใช่ไหม? ภายหน้าจะแต่งให้เขาหรือ?” อิงเหยียนนั่วตัวน้อยไม่ยอมเลิกรา


กู้ซีจิ่วใจเต้นแรงแวบหนึ่ง ตี้ฝูอีบอกว่าถ้าเธออายุสิบแปดจะมาสู่ขอเธอ เธอเคยคิดว่าเป็นเรื่องที่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดไปแล้ว แต่ตอนนี้เธอไม่ค่อยแน่ใจแล้ว


เธอไม่ได้พบเขามาหนึ่งปีครึ่ง และเขาก็ผิดนัดด้วย เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน สืบถามข่าวคราวไม่ได้เลย


เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาเขาจะมาขอจริงหรือไม่เธอก็ไม่อาจทราบได้…


เธอไม่อยากสนทนาหัวข้อนี้กับอิงเหยียนนั่ว จึงยื่นมือไปยัดผลไม้ใส่อ้อมแขนเขา “เรื่องของผู้ใหญ่เด็กน้อยอย่าได้ถามเซ้าซี้ เด็กดี กินผลไม้ลูกนี้ซะ ไม่แน่เจ้าอาจะฟื้นฟูเป็นปกติก็ได้” เอ่ยพลางหันหลังเข้าไปในห้องโดยสารอีกครั้ง


ตี้ฝูอีเงียบงัน


เขามองมือน้อยๆ ของตน จู่ๆ ก็รู้สึกว่าการกลับสู่ร่างเดิมกลายเป็นเรื่องสำคัญที่สุดแล้ว!


ถ้าเขายังไม่กลับร่างเดิมแล้วไปพบนางอีก ไม่แน่นางอาจจะหนีไปกับคนอื่น…


….


เส้นทางสู่หุบเขาถามสวรรค์ห่างไกลนัก อาศัยความสามารถของสิงโตเวหา ก็ต้องใช้เวลาสองวันกว่าจะไปถึง


ช่วงพลบค่ำ คนทั้งสองเข้าไปในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งเตรียมกินข้าวกินปลาพักผ่อนสักคืนแล้วค่อยเดินทางต่อ


หนูน้อยอิงเหยียนนั่วร่างกายบอบบางแถมยังจุกจิกเลือกกินอีก ทั้งสองย่อมต้องเสาะหาภัตตาคารที่ดีที่สุด


ทั้งสองมาถึงไม่ค่อยถูกเวลานัก เป็นเวลาอาหารพอดี ในภัตตาคารไม่มีห้องส่วนตัวแล้ว ในโถงใหญ่เหลืออยู่เพียงโต๊ะเดียว ไม่มีทางเลือกอื่นอีก


ปัจจุบันรูปโฉมของกู้ซีจิ่วงดงามยิ่ง เรือนร่างก็ไร้ที่ติ ไม่ได้แปลงโฉม ทั้งนี้เนื่องจากเธอฝึกฝนพลังวิญญาณถึงขั้นเจ็ดแล้ว ผิวพรรณจึงเปล่งปลั่ง รอบกายแฝงรัศมีบริสุทธิ์เรียบง่าย เธอที่เป็นเช่นนี้ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนล้วนกลายเป็นจุดสนใจของฝูงชนได้ทั้งนั้น


ส่วนตี้ฝูอียามนี้ก็งดงามประหนึ่งตุ๊กกระตากระเบื้องเคลือบ นุ่มนิ่มอ่อนเยาว์ ดวงตาใสฉ่ำวาว ทำให้คนเห็นแวบเดียวก็ไม่อาจละสายตาไปได้


คนสองคนที่เป็นเช่นนี้เดินเคียงกันเข้ามาย่อมดึงดูดสายตาของคนทั้งโถงได้ สายตามากมายมองตามพวกเขาไปตลอดจวบจนนั่งลง…


โชคดีที่ทั้งสองถูกผู้คนจับจ้องอยู่เสมอจนเคยชินแล้ว จึงไม่สนใจเรื่องนี้


ตี้ฝูอีท่องไปทั่วแผ่นนี้อยู่ตลอดปี เขาแทบจะคุ้นชินกับทุกพื้นที่แล้ว ที่ไหนมีของดีประจำท้องถิ่นอะไรมีอาหารเลิศรสอันใดเขาล้วนจำแนกได้คล่องแคล่วปานนับสมบัติในบ้านตน


แถมเขายังทราบรสชาติที่กู้ซีจิ่วโปรดปรานด้วย ดังนั้นไม่ต้องเปิดรายการอาหารก็สามารถสั่งอาหารได้ทันที


เพิ่งจะสั่งไปไม่กี่อย่าง จู่ๆ คุณชายวัยหนุ่มโบกพัดจีบคนหนึ่งก็ก้าวมาอยู่ด้านข้าง คุณชายโบกพัดจีบผู้นี้รูปโฉมหล่อเหลา แย้มยิ้มอย่างสุภาพให้กู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง “แม่นาง ข้าพเจ้าเห็นหน้าท่านแล้วรู้สึกถูกชะตา ราวกับเคยพบที่ไหนมาก่อน…”


กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วขึ้นแวบหนึ่ง วิธีตีสนิทแบบนี้ชาติก่อนเธอเคยเจอมาแปดร้อยรอบแล้ว และมีภูมิต้านทานอยู่ก่อน ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจ


คุณชายโบกพัดมิได้รับการตอบสนอง ทว่าไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เขาก้าวเข้าไปหาเสมียนร้านที่ยืนอยู่ด้านข้างแล้วเอ่ยสั่งว่า “แม่นางท่านนี้กับข้าพเจ้าเพียงแรกพบก็รู้สึกถูกชะตา ค่าอาหารของพี่ชายน้องสาวคู่นี้คุณชายอย่างข้าจะจ่ายเอง” แล้วหันมายิ้มน้อยๆ พูดคุยกับกู้ซีจิ่วต่อ “แม่นางสั่งได้ตามสบายเลย ข้าพเจ้าจะเป็นเจ้ามือเอง”


ขณะที่กู้ซีจิ่วกำลังจะเอ่ยบางอย่าง ตี้ฝูอีที่อยู่ข้างๆ ก็กะพริบตาปริบๆ พลางเอ่ยถาม “คุณชายต้องการเป็นเจ้ามือหรือ?”


คุณชายหนุ่มผู้นั้นพยักหน้า “มิผิด ข้าถูกชะตากับพี่สาวเจ้าตั้งแต่แรกพบ…”


ตี้ฝูอีตัดบทเขา “ตกลง เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจแล้ว” เขาสั่งอาหารไปหลายสิบอย่าง โดยไม่มองรายการอาหารเลย ทุกอย่างล้วนเป็นอาหารขึ้นชื่อของภัตตาคารนี้ ราคาแพงเหมือนปล้นทรัพย์


คุณชายโบกพัดผู้นั้นหน้าคล้ำแล้ว ฝืนยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายน้อยสั่งอาหารมากมายถึงเพียงนี้…เกรงว่าจะกินไม่ไหวเอา ฟุ่มเฟือยเกินไปคงไม่ดีเท่าไหร่…”


ตี้ฝูอีมองดูเขา “ท่านเลี้ยงไม่ไหวหรือ?”


คุณชายโบกพัดพูดไม่ออก อาหารเหล่านี้เป็นเงินถึงเจ็ดแปดร้อยตำลึง ถึงแม้เขาจะร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้พกติดตัวมามากมายปานนั้น


————————————————————————————-


บทที่ 993 พบพานสหายเก่า


สายตาของตี้ฝูอีค่อยๆ กวาดมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “ถ้าท่านพกเงินมาไม่พอ ก็นำพู่หยกตรงเอวมาจำนำไว้ก็น่าจะได้”


คุณชายโบกพัดหน้าเขียวคล้ำแล้ว


พู่หยกตรงเอวเขามีค่าเป็นที่สุด เป็นสมบัติตกทอดของตระกูลเขา มีมูลค่ามหาศาล


คุณชายโบกพัดฝืนยิ้มอีกครา “คุณชายน้อยตั้งใจเย้าผู้อื่นเล่นกระมัง? อาหารมากมายขนาดนี้พวกเจ้ากินไม่ไหวแน่นอน สิ้นเปลืองเปล่าๆ…”


ตี้ฝูอีแย้มยิ้มน่ารัก “ไม่สิ้นเปลืองหรอก และอาหารพวกนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้ากับนางอยากกินด้วย เป็นอาหารที่สั่งให้สัตว์พาหนะที่อยู่ข้างนอกกินต่างหาก”


คุณชายโบกพัดพูดไม่ออก


ใบหน้าหล่อเหลาของเขาขึ้นสีอยู่บ้าง “สัตว์พาหนะจะกินอาหารดีเลิศปานนี้ได้อย่างไร? คุณชายน้อยเจตนาจะสร้างความลำบากให้ผู้อื่นชัดๆ หากผู้อื่นไม่เป็นเจ้ามือ เจ้าจะสั่งอาหารเหล่านี้ให้สัตว์พาหนะของบ้านเช่นกันหรือไม่?”


ตี้ฝูอีเท้าแก้มมองเขา “สัตว์พาหนะของบ้านข้าแตกต่างกับสัตว์พาหนะทั้งหลาย อาหารที่กินย่อมแตกต่างกับสัตว์พาหนะตัวอื่นเช่นกัน มันไม่เพียงแต่ชมชอบอาหารเลิศรสเท่านั้น ยังดื่มสุราชั้นดีด้วย ข้ายังไม่ได้สั่งสุราเลย…” พลางเอ่ยสั่งพนักงานที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าเอาสุราสลักบุปผาชั้นดีของที่นี่มายี่สิบจิน สุราไผ่เขียวชั้นดีอีกสามสิบจิน…ทั้งหมดล้วนจดลงบัญชีของคุณชายท่านนี้”


สีหน้าของคุณชายโบกพัดเขียวคล้ำอย่างถึงที่สุดแล้ว!


เมื่อเพิ่มสุราเหล่านี้เข้ามาอีก คงเป็นเงินกว่าพันตำลึงแล้ว!


คุณชายโบกพักยิ้มหยัน “สัตว์พาหนะดื่มสุราช่างพบเห็นได้ยากโดยแท้ คุณชายน้อยทำเช่นนี้เจตนาแกล้งผู้อื่นเล่นเสียแล้ว! ผู้อื่นไหนเลยจะติดกับดักนี้ท่าน? ผู้อื่นจะถามอีกครั้ง หากว่าคุณชายน้อยต้องจ่ายค่าอาหารเอง จะสั่งอาหารเหล่านี้เช่นกันหรือไม่?”


ตี้ฝูอีตอบอย่างเฉยเมย “อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นของหยาบกระด้าง ยามนี้สั่งอาหารนี้ให้มันยังถือว่าไม่เป็นธรรมต่อมันด้วยซ้ำ สิ่งที่มันดื่มกินในยามปกติดีกว่าอาหารเหล่านี้เสียอีก เพียงแต่เมื่อออกมาข้างนอก ทุกอย่างก็พอถูๆ ไถๆ ไปได้เท่านั้น เห็นว่าเจ้ามืออย่างท่านหักใจไม่ลง ถึงได้สั่งมาเพียงเล็กน้อย…”


เขาพลันยกมือ โยนถุงเงินใบหนึ่งลงบนโต๊ะ ตำลึงทองกองหนึ่งกับมุกกลมเกลี้ยงแวววาวสองสามเม็ดกลิ้งออกมาจากด้านใน จากนั้นเอ่ยสั่งเสมียนร้านผู้นั้น “เพิ่มจำนวนอาหารที่ข้าเพิ่งสั่งไปขึ้นอีกเท่า เงินจำนวนนี้พอหรือไม่?”


เสมียนร้านยิ้มแป้นทันที “พอ! พอ! พอแล้วขอรับ!”


ตำลึงทองมีค่าถึงสองร้อยตำลึง ไข่มุกก็เป็นไข่มุกทะเลใต้ที่มีค่ามหาศาล สิ่งเหล่านี้รวมกันแล้วเป็นเงินกว่าสองพันตำลึง


คุณชายโบกพักไม่อาจพูดอะไรได้อีก จากไปด้วยความขายหน้า


กู้ซีจิ่วหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ “วิธีนี้ของเจ้าไม่เลวเลย คาดว่าคงไม่มีผู้ใดกล้ามาอาสาเลี้ยงพวกเราอีกแล้ว” เจ้าเด็กนี่ร่ำรวยนัก ใช้เงินฟาดผู้อื่นให้เสียหน้า ทำให้คนกะล่อนเสเพลบางส่วนหนีหายไปทันที


ตี้ฝูอีหมุนถ้วยชาในมือ “เจ้าเป็นผู้ใดกัน ใช่คนที่เขาจะเลี้ยงได้หรือไง?”


เขาแค่อยากกินข้าวกับกู้ซีจิ่วอย่างสงบ ไม่ต้องการให้คนทรามเหล่านี้มารบกวน


จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะดังมาจากชั้นบน เสียงเย็นฉ่ำปานสายลมเสียงหนึ่งแว่วลงมา “น้องชายตัวน้อยท่านนี้กล่าวได้ถูกต้อง แม่นางกู้ไหนเลยจะใช่ผู้ที่คนเหล่านั้นสามารถเลี้ยงได้?”


กู้ซีจิ่วตะลึงงัน เงยหน้าขึ้น เลิกคิ้วแวบหนึ่งอย่างประหลาดใจ “องค์…คุณชายเช่อ!”


คุณชายในชุดสีขาวนวลจันทร์ท่านหนึ่งยืนอยู่ชั้นบน รูปโฉมสง่างามล้ำเลิศ บุคลิกท่างแฝงความเจ้าสำราญไว้ เป็นองค์ชายแปดหรงเช่อแห่งอาณาจักรเฟยซิง


เดิมทีกู้ซีจิ่วคิดจะตะโกนเรียกเขาว่า ‘องค์ชายแปด’ ทันใดนั้นพลันเห็นว่าเขาไม่ได้สวมชุดบรรดาศักดิ์ ราวกับมาตรวจราชการอย่างลับๆ ดังนั้นจึงเปลี่ยนคำเรียกทันที


หรงเช่อยิ้มให้กู้ซีจิ่วคราหนึ่ง “ซีจิ่ว ไม่ได้เจอกันเสียนาน! ไม่รู้ว่าพี่ชายจะมีวาสนาได้เชื้อเชิญพวกเจ้าขึ้นมาดื่มสักจอกหรือไม่?”


————————————————————————————-


บทที่ 994 กระหายอยากสังหารคนอยู่ตลอดเวลา


“ท่านสมควรอยู่ที่เมืองชายแดนมิใช่หรือ? เหตุใดมาอยู่ที่นี่ได้?” กู้ซีจิ่ถามหรงเช่อที่อยู่นั่งตรงกันข้าม


สถานที่ห่างไกลอำนาจโอรสสวรรค์เช่นนี้ยังบังเอิญพบสหายเก่าได้ถือเป็นโชคชะตาอย่างหนึ่งเช่นกัน ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงขึ้นไปชั้นบนพร้อมตี้ฝูอีอย่างปรีดา และร่วมโต๊ะกับหรงเช่อ


ชั้นสองคือห้องรับรองส่วนตัว ห้องรับรองที่หรงเช่ออยู่นี้คือห้องที่ใหญ่ที่สุด ดีที่สุด และเงียบสงบที่สุด


นี่คือห้องชุด ด้านในสุดของห้องถึงขั้นมีเสียงพิณแว่วออกมาด้วย ม่านมุกบดบังไว้ครึ่งหนึ่ง ซ่อนผู้บรรเลงพิณไว้ด้านในรางๆ


ตามข่าวที่กู้ซีจิ่วได้รับมา องค์ชายหรงเช่อและองค์รัชทายาทหรงเจียหลัวล้วนรบอย่างเอาเป็นเอาตายกับทัพของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยอยู่ที่เมืองชายแดน และเมืองชายแดนก็อยู่ห่างจากที่นี่กว่าสามพันลี้ ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงค่อนข้างประหลาดใจนักที่เขาปรากฏตัวขึ้นที่นี่


หรงเช่อรินสุราให้เธอหนึ่งจก ถอนหายใจเบา “ยากจะอธิบายให้กระจ่างได้ในประโยคเดียว…วันก่อนได้รับสาสน์ด่วนจากเสด็จพ่อ บอกว่าต้องการเจรจาสงบศึกกับอาณาจักรเฮ่าเยวี่ย ให้สองฝ่ายหยุดยั้งสงครามเสีย และเรียกตัวพวกเรากลับไป เหลือแม่ทัพกู้ไว้ปกป้องเมืองชายแดนก็พอ ระหว่างเดินทางกลับจู่ๆ เสด็จพี่รัชทายาทเกิดป่วยเป็นโรคประหลาดขึ้นมา…หมอในกองทัพล้วนอับจนหนทางรักษา ข้าก็ไม่มีแผนการที่เข้าท่า ทำได้เพียงพาเสด็จพี่มาที่นี่อย่างลับๆ คิดจะเชื้อเชิญเจ้าสำนักหลงให้มาตรวจอาการว่ามีหนทางรักษาหรือไม่”


ที่แท้เขาก็มาเพื่อเชิญหลงซือเย่เหมือนกัน เป็นสหายที่มีเป้าหมายเดียวกัน


จากเมืองเล็กๆ แห่งนี้ไปถึงเขาถามสวรรค์ใช้เวลาครึ่งวัน และนับว่าเป็นอาณาเขตของหุบเขาถามสวรรค์ด้วย หุบเขาถามสวรรค์มีกฎที่ไม่ได้ระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ไม่ว่าผู้ที่มาขอรับการรักษาที่หุบเขาถามสวรรค์จะเป็นผู้ใด ล้วนไม่สามารถพาผู้ป่วยเข้ามาไปในหุบได้ ทำได้เพียงไปแขวนชื่อในโรงหมอของเมืองนี้ไว้ก่อน จากนั้นคนของโรงหมอค่อยให้ผู้ป่วยรั้งอยู่ตามคำสั่งของเบื้องบน


กู้ซีจิ่วก็เป็นนเพื่อนกับหรงเจียหลัวเช่นกัน เมื่อได้ยินว่าเขาป่วยเป็นโรคประหลาด จึงรีบสอบถามอาการทันที


หรงเช่อถอนหายใจพลางเอ่ยตอบ “หน้าตาขาวซีด ริมฝีปากม่วงคล้ำ จดจำผู้คนไม่ได้ กระหายอยากสังหารคนอยู่ตลอดเวลา”


กู้ซีจิ่วใจหายวาบ อาการแบบนี้ เห็นทีว่าจะถูกพิษผีดิบเข้าแล้ว!


เธอมองข้าวปลาอาหารที่วางเต็มโต๊ะนี้และปรมาจารย์พิณที่บรรเลงพิณอยู่ในห้องชุดอย่างเอ้อระเหย พลางนึกสงสัยอยู่ในใจ


หรงเจียหลัวป่วยหนักถึงเพียงนี้ องค์ชายแปดผู้นี้ยังมีแก่ใจมาจิบสุราฟังดนตรีอยู่ที่นี่อีก?


ดวงตาเธอสาดแสงแวบหนึ่ง เอ่ยถามทันที “องค์ชายแปด อยู่ที่นี่ด้วยนัดหมายผู้อื่นไว้ใช่หรือไม่?”


หรงเช่อพยักหน้า “มิผิด”


“นัดเจ้าสำนักหลงไว้หรือ?”


หรงเช่อเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ซีจิ่ว เจ้าทราบได้อย่างไร?”


กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก “เสด็จพี่รัชทายาทของท่านป่วยหนักปานนี้ ท่านกลับมาจัดงานเลี้ยงอยู่ที่นี่…เห็นได้ชัดยิ่งว่าเชื้อเชิญผู้มีอำนาจมา อีกอย่างก็คือมีเพียงยามงานเลี้ยงที่เจ้าสำนักหลงเข้าร่วมเท่านั้นถึงจะต้องมีเสียงพิณบรรเลงคลอ”


หรงเช่อยกนิ้วโป้งให้ทันที “ซีจิ่ว เจ้าฉลาดจริงๆ!”


กู้ซีจิ่วยิ้มแวบหนึ่ง “ประจบข้าให้น้อยหน่อยเถอะ เพียงแต่ ดูเหมือนความสัมพันธ์ของท่านกับเจ้าสำนักหลงจะไม่เลวเลยนี่ เขายอมเห็นแก่หน้าท่านมาร่วมงานเลี้ยงนี้ของท่าน ต้องทราบก่อนว่าเขามิใช่ผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถเชื้อเชิญได้ง่ายๆ”


หรงเช่อทอดถอนใจเบาๆ “ข้าก็รู้สึกมีโชคยิ่งนักเช่นกัน ได้รับการให้ค่าจากเจ้าสำนักหลง มองเห็นเป็นสหาย อันที่จริงแล้วนี่เป็นความชอบของเจ้านะ”


“หือ?”


นัยน์ตาหรงเช่อพราวระยับ “ตอนข้าบาดเจ็บสาหัสที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ครานั้น เขาเห็นแก่หน้าเจ้าถึงได้ไปส่งข้าลงเขาด้วยตัวเอง ซ้ำยังไปส่งข้าตลอดทางด้วย ค่อยๆ รักษาข้าจนหายดี นี่ทำให้คุ้นเคยกับเขาขึ้นมา พอจะอ้างได้ว่าเป็นกึ่งๆ สหายของเขา…”


ในเมื่ออยู่ที่ก็สามารถพบหลงซือเย่ได้ กู้ซีจิ่วก็เลยไม่รีบร้อนเดินทางแล้ว


ทั้งสองคุยสัพเพเหระกันอยู่ครู่หนึ่ง พูดคุยแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนทราบ สาเหตุที่เกิดการสงบศึกอย่างกะทันหันเช่นนี้ เนื่องจากในที่สุดท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เข้าแทรกแซงเรื่องนี้ แล้วสั่งการให้สองฝ่ายยุติสงคราม สี่เทวทูตลูกน้องของเขาตรวจสอบพบว่าซากศพและกองทัพที่หายไปเหล่านั้นถูกนำไปใช้ในทางชั่วร้าย


————————————————————————————-


บทที่ 995 เจ้ากับองค์รัชทายาทไม่เคยสังเกตเลยหรือ?


สี่ทูตลูกน้องของเขาตรวจสอบพบว่าซากศพและกองทัพที่หายไปเหล่านั้นถูกนำไปใช้ในทางชั่วร้าย สร้างเป็นกองทัพผีดิบ เหล่าสำนักใหญ่ต่างผนึกกำลังสืบหาตัวมารร้ายที่บงการอยู่เบื้องหลังผู้นั้น…


เมื่อกู้ซีจิ่วได้ยินคำว่า ‘ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์’ หัวใจพลันเต้นแรงนิดๆ ในที่สุดเขาก็โผล่มาแล้วหรือ?!


เธอเอ่ยทวนอีกครั้ง “สี่ทูตลูกน้องของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์โผล่มาแล้วหรือ?”


หรงเช่อพยักหน้า “ใช่ พวกเขาติดต่อเหล่าสำนักใหญ่ให้ดำเนินการปิดล้อมปราบปราม…ขอพูดอย่างไม่เกรงว่าเจ้าจะหัวเราะเยาะเลยนะ ในทัพของข้าก็มีคนหลงกลด้วยเช่นกัน เจ้าคงจะเคยได้ยินกระมังว่าในกองทัพของพวกเรามีทหารกล้าไร้พ่ายที่ชำนาญการศึกอยู่กองหนึ่ง? นั่นคือกองทหารที่เสด็จพี่รัชทายาทนำทัพด้วยตัวเอง ในสงครามช่วงที่ผ่านมานี้ ทหารกองนี้มีคุณูปการด้านการรบยิ่งนัก ไม่ทราบว่าสังหารทหารฝ่ายศัตรูไปมากน้อยเพียงใดแล้ว ทำให้ผู้บัญชาการศึกฝ่ายอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยขวัญหนีดีฝ่อกันหมด แต่ใครจะรู้…ใครจะรู้ว่าทหารทุกคนในกองนี้ล้วนกินโอสถชั่วร้ายยิ่งนักอย่างหนึ่งเข้าไป ทูตเฉิงเอ้อเป็นผู้ตรวจพบ…”


กู้ซีจิ่วไม่นึกเลยว่าหลายวันมานี้ภายนอกจะเกิดเรื่องขึ้นมากมายถึงเพียงนี้ จึงพลันสะกิดใจขึ้นมา “โอสถชั่วร้ายอะไรหรือ?”


หรงเช่อส่ายหน้า “ข้าก็ไม่ทราบรายละเอียดเช่นกัน กล่าวกันว่าหลังจากกินโอสถนี้เข้าไป จะทำให้ร่างกายคนแข็งแกร่งทนทานมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่กลัวเหน็บหนาวเหน็ดเหนื่อย ปฏิกิริยาตอบสนองก็ว่องไวกว่าปกติหลายเท่า ทุกคนจะต่อสู้อย่างเหี้ยมหาญไม่หวั่นเกรงความตาย แต่โอสถชนิดนี้ก็มีผลเสียที่ร้ายแรงยิ่งอยู่ข้อหนึ่ง คือเมื่อใช้จะทำให้เสพติด และอายุขัยของผู้ที่ใช้ล้วนไม่ยืนยาว…”


กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว นี่เป็นสารกระตุ้นพิเศษชนิดหนึ่งมิใช่หรือ? แถมยังออกฤทธิ์รุนแรงด้วย!


เห็นทีว่าคนที่บงการอยู่เบื้องหลังยังคงเป็นปรมาจารย์กู่ที่ทะลุมิติมาจากยุคปัจจุบันผู้นั้น นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้น!


เพื่อจะได้รับทรัพยากรในการสร้างกองทัพผีดิบ เขาจงใจใช้ตัวยาควบคุมจักรพรรดิซวนก่อน ทำให้สมองจักรพรรดิซวนเลอะเลือนจนก่อสงครามนี้ขึ้น แล้วหาวิธีแทรกซึมเข้าไปในกองทัพของหรงเจียหลัว ไม่รู้ว่าใช้วิธีใดยุยงหรงเจียหลัวให้นำยากระตุ้นที่เกินปริมาณมาใช้กับกองทหารของตน และสังหารล้างจนสิ้น…


ผู้คนในยุคนี้ย่อมไม่สามารถตรวจสอบคุณสมบัติทางยาของตัวยาแผนปัจจุบันชนิดนี้ได้ ดังนั้นถึงทำให้สงครามยืดเยื้อยาวนาน ผู้คนล้มตายมากมาย และทำให้นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนี้สร้างผีดิบจำนวนมหาศาลขึ้นมาอย่างเงียบเชียบได้…


กู้ซีจิ่วเป็นบุคคลที่สามารถสรุปเรื่องราวแล้วอนุมานต่อยอดได้ ดังนั้นเธอขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก็นึกประเด็นสำคัญที่แฝงอยู่ในนั้นออก


สายตาของเธอร่อนลงบนหน้าของหรงเช่อ “โอสถเหล่านั้นใครเป็นผู้เสนอให้? เจ้ากับองค์รัชทายาทไม่เคยสังเกตเลยหรือ?”


หรงเช่อถอนหายใจ “รายละเอียดข้าก็ไม่ทราบแน่ชัดเหมือนกัน พวกเขาเป็นทัพที่ขึ้นตรงต่อเสด็จพี่รัชทายาท เดิมทีก็กล้าหาญชาญศึกยิ่งนักอยู่แล้ว ต่อมาเห็นพวกเขาแต่ละคนทำศึกได้ยอดเยี่ยมกว่าปกติ ข้าก็เคยสงสัยเหมือนกัน ซ้ำยังเคยลอบสั่งให้คนไปตรวจสอบอาหารการกินของพวกเขา ก็ตรวจไม่พบอะไร ข้ายังหลงนึกว่าทหารกองนั้นคงจะได้รับความสามารถมาจากการฝึกอบรมพิเศษอันใด ไม่นึกเลยว่า…เพียงแต่ เสด็จพี่รัชทายาทก็ไม่มิใช่คนที่เพื่อเป้าหมายแล้วทำได้ทุกวิถีทางประเภทนั้น หากเขาทราบว่ามีผลร้ายถึงเพียงนี้ ต้องไม่ปล่อยให้ทหารกองนั้นทำเช่นนี้แน่นอน หลังจากทูตเฉิงเอ้อตรวจพบเรื่องนี้ ก็หาตัวผู้บงการได้ทันที เป็นนายกองของกองทหารนั้นที่ต้องการมีหน้ามีตาในกองทัพ ได้ฟังมาจากหมอในยุทธภพคนหนึ่ง จึงลอบให้ทหารของตนใช้โอสถนี้…”


กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว “มีใครไปตรวจสอบหมอในยุทธภพที่นายกองคนนั้นพูดถึงให้ชัดเจนหรือยัง?”


หรงเช่อพยักหน้า “หมอในยุทธภพคนนั้นก็เข้าร่วมกองหารนั้นเช่นกัน ยามที่เรื่องนี้ถูกตรวจพบ หมอคนนั้นฆ่าตัวตายไปแล้ว นายกองคนนั้นก็ถูกประหารแล้ว เสด็จพี่รัชทายาทรู้สึกผิดมาโดยตลอด…ข้าหาคำอธิบายมาสารพัดก็ไม่อาจคลายปมในใจเขาได้  เดิมคิดว่าหลังจากกลับอาณาจักรแล้วจะค่อยๆ ปลอบเขา นึกไม่ถึงว่าเขาจะป่วยหนักเช่นนี้ขึ้นมากะทันหัน…”


————————————————————————————-


บทที่ 996 และอาจกล่าวได้ว่า เขาก็คือตี้ฝูอี!


“แล้วทหารที่เคยใช้ยาพวกนั้นล่ะ? พวกเขาเป็นยังไงบ้าง?” กู้ซีจิ่วถามอีก


หรงเช่อตอบอย่างหม่นหมอง “ทหารกองนั้นมีอยู่ห้าพันนาย คนเหล่านั้นใช้ยามาครึ่งปี เสพติดกันไปแล้ว ถ้าไม่ได้ใช้สองวันก็จะหงุดหงิดงุ่นง่าน เดือดดาลสังหารคนได้ง่ายๆ ทูตเฉิงเอ้อสั่งคนให้นำพวกเขาทั้งหมดไปกักตัวไว้แล้ว ให้ยอดฝีมือจากสามสำนักหลักคอยเฝ้าไว้…ข้ามาที่นี่หนึ่งคือรักษาเสด็จพี่รัชทายาท สองก็คืออยากเชิญเจ้าสำนักหลงออกจากเขา ขอให้เขาไปรักษาทหารเหล่านั้น ดูว่าพอจะสร้างยาถอนได้หรือไม่…ทหารเหล่านั้นล้วนเป็นอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์ของอาณาจักรข้า หลายคนถึงขั้นเป็นลูกหลานขุนนางในราชสำนัก ไม่อาจปล่อยให้พินาศลงเช่นนี้ได้…”


กู้ซีจิ่วนวดคลึงหว่างคิ้ว หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย ยาที่ทหารเหล่านั้นใช้น่าจะคล้ายกับยาเสพติดจำพวกแอมเฟตามีน และแน่นอนว่าซับซ้อนกว่าแอมเฟตามีนมาก ต่อให้เป็นยุคปัจจุบันก็ยังถือว่าเป็นยาชีวเคมีต้องห้าม…


ดูเหมือนนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นจะฟั่นเฟือนไปแล้วจริงๆ ไม่ว่าจะไปไหนล้วนบ้าคลั่งขึ้นมาได้ อยู่ในยุคนี้ก็ยังสร้างวิกฤตการณ์ชีวเคมีขนานใหญ่ถึงเพียงนี้ขึ้นมาได้


เห็นทีว่าสี่ทูตผู้ช่วยของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะมีความสามารถรอบด้านยิ่ง แม้แต่ตัวยาที่ซับซ้อนเช่นนี้ก็ยังตรวจสอบพบ หากพวกเขาลงมือเร็วกว่านี้ก็คงดี สงครามจะได้ไม่ยืดเยื้อเนิ่นนานถึงเพียงนี้


เหตุที่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ลงมือ อาจเกี่ยวข้องที่ว่าสาวกของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจเข้าร่วมสงครามระหว่างอาณาจักร ไม่เข้าร่วมสงครามตามปกติ ต้องปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินไป


มีเพียงเกิดเรื่องชั่วร้ายขึ้นเท่านั้นถึงจะดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้…


‘ซีจิ่ว เรื่องนี้เจ้ามีความดีความชอบมากที่สุด’ อิงเหยียนนั่วที่นั่งดื่มบ้างกินบ้างอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอดเสมือนมนุษย์ล่องหน จู่ๆก็ส่งกระแสเสียงมา


‘หือ?’ กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว


‘เป็นเจ้าที่ตรวจพบก่อนว่าจักรพรรดิซวนถูกคนวางยา พูดความพิเศษของยาจำพวกนี้ออกมา ถึงทำให้สี่ทูตมีหนทางตรวจสอบ เภทภัยครั้งนี้ถึงได้ยุติลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้’ อิงเหยียนนั่วยังคงส่งกระแสเสียงมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน


กู้ซีจิ่วตะลึงไปครู่หนึ่ง คล้ายจะทราบอะไรแล้ว ‘เรื่องจักรพรรดิซวนถูกวางยามีแต่ข้ากับเจ้าที่รู้ แล้วแพร่ไปถึงสี่ทูตได้อย่างไร? เจ้าเป็นคนของสี่ทูตหรือ?!’


อิงเหยียนนั่วยิ้มนิดๆ คีบกุ้งตัวหนึ่งมาให้เธอ แต่ไม่พูดอะไร


กู้ซีจิ่วก็ถือว่าความเงียบของเขาคือการยอมรับ


ในที่สุดก็กระจ่างแจ้งเรื่องความผิดปกติบางอย่างบนตัวเขาแล้ว อย่างเช่นรอบรู้เป็นพิเศษ อย่างเช่นมีพลังวิญญาณขั้นหกแต่ผลลัพธ์ที่แสดงออกมาเป็นของขั้นแปด…


ฐานะของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์น่าเคารพบูชาเช่นนี้ ปกครองทวีปนี้มาเนิ่นนานปานนี้ ย่อมมิได้มีแค่สี่ทูตเท่านั้นที่คอยติดตาม จะต้องมีบริวารสายสืบอยู่ทั่วแผ่นดินเป็นแน่


ดูเหมือนอิงเหยียนนั่วผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน


หัวใจเธอพลันเต้นแรงขึ้นมา หรือเขาจะเป็นคนที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ส่งมาคุ้มกันเธออย่างลับๆ?


เพียงแต่ ถ้าหากเขาเป็นคนที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ส่งมา ไหนเลยจะมาสนิทชิดเชื้อกับเธอเช่นนี้ ซ้ำยังบอกอะไรทำนองว่าจะแต่งเธอเป็นภรรยาอีก…


หรือเขาเป็นคนของสี่ทูต?


แต่ในเมื่อส่งมาคุ้มกันเธอ ก็จำเป็นต้องได้รับคามเห็นชอบจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ด้วย เช่นนั้นสี่ทูตก็ต้องกำชับอะไรเขาบ้างสิ มากสุดเขาก็แค่คุ้มกันอยู่ข้างกายเธอ ไม่กล้าใกล้ชิดสนิทสนมกับเธอ


นอกเสียจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะจงใจส่งคนมาทดสอบเธอ หรือบางที…


ตัวเขาก็คือท่านเทพศักดิ์สิทธิ์!


และอาจกล่าวได้ว่า เขาก็คือตี้ฝูอี!


หัวใจของกู้ซีจิ่วเต้นรัวขึ้นมา เหลือบมองข้อมืออีกครั้งอย่างห้ามตัวเองไว้ไม่อยู่ ข้อมือนั้นยังคงสวมสนับข้อมือหนังสัตว์อันเล็กไว้ ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้


ไม่ถูกสิ! สนับข้อมืออันนี้เขาสวมไว้ก่อนที่จะหดเล็กลง ตอนนี้ตัวคนหดเล็กลงแล้ว ข้อมือย่อมบางลงตามธรรมชาติ แต่สนับข้อมือนั้นยังคงดูพอดิบพอดีไม่หลวมไม่แน่นเช่นเดิม


ชัดเจนยิ่งนัก สนับข้อมืออันนี้ก็สามารถยืดหดได้ตามต้องการเช่นกัน บนโลกนี้จะมีสนับข้อมือที่ดีเลิศถึงเพียงนี้เชียวหรือ? หรือสิ่งนี้ก็คือกำไลคู่บุพเพวงนั้น? เพียงแต่ถูกเขาใช้คาถาพรางตาอำพรางไว้?


————————————————————————————-


บทที่ 997 เสียงนั้น…เธอคุ้นหูยิ่งนัก


ในวินาทีนี้เอง ในสมองของกู้ซีจิ่วมีข้อสงสัยหลายอย่างวาบเข้ามา ดวงตาจับจ้องอยู่ที่สนับข้อมือหนังสัตว์ของเขา ปรารถนาจะให้เขาถอดออกมาให้ดูใจจะขาด


เธอใจลอยอย่างหนัก แม้แต่หรงเช่อจะพูดอะไรกับเธออีกก็ไม่ได้ยินเลย


“ซีจิ่ว? ซีจิ่ว?”


ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้สติ มองไปทางหรงเช่อ “หา?”


แววตาหรงเช่อวูบไหวเล็กน้อย กล่าวอย่างทีเล่นทีจริงว่า “คิดอะไรอยู่? ใจลอยเหลือเกิน อยู่ต่อหน้าข้าก็ยังใจลอยถึงเพียงนี้ ทำลายศักดิ์ศรีของข้ามากเลยนะ”


กู้ซีจิ่วเคาะหว่างคิ้วของตัวเอง “ขออภัยด้วย อืม ท่านพูดว่าอะไรนะ?”


สายตาของหรงเช่อจดจ้องบนหน้าเธอ “ซีจิ่ว วิชาแพทย์ของเจ้าก็ยอดเยี่ยมมาก ไม่ทราบว่าพอจะรักษาพี่ชายของข้ากับทหารเหล่านั้นได้หรือไม่?”


กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “เรื่องนี้ต้องได้พบผู้ป่วยก่อนถึงจะทราบ…ท่านวางใจเถอะ วิชาแพทย์ของเจ้าสำนักหลงเลิศล้ำยิ่ง ถ้าเขายอมลงมือ พิษขององค์รัชทายาทกับเหล่าทหารน่าจะสามารถแก้ไขได้”


เพิ่งกล่าวประโยคนี้ออกไม่ทันไร พลันมีเสียงสตรีผู้หนึ่งแว่วมาจากชั้นล่าง “คุณชายหรงอยู่ที่นี่หรือไม่?”


เสียงนั้นอ่อนหวานเสนาะหู เสมือนสั่นระฆังเงินอยู่ข้างหู


กู้ซีจิ่วใจหายวาบ!


เสียงนั้น…เธอคุ้นหูยิ่งนัก ถึงแม้ในอดีตจะเคยได้ยินเสียงนี้กล่าวเพียงไม่กี่ประโยค ทว่าทำให้เธอลืมไม่ลงไปชั่วชีวิต!


เสียงนี้คล้ายจะเป็นเสียงของเย่หงเฟิง!


ครั้งนั้นก่อนที่เธอจะสลบแล้วถูกนำไปผ่าตัด หลงซีเคยให้เธอพบหน้าเย่หงเฟิงหนึ่ง ถึงแม้ทั้งสองคนจะพูดคุยกันอย่างจำกัดเพียงไม่กี่ประโยค แต่สำเนียงยโสโอหังของคุณหนูใหญ่คนนี้ยังคงสลักลึกในความทรงจำของเธอ


ยิ่งไปกว่านั้นคือการทะลุมิติของเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณหนูใหญ่คนนี้โดยตรง ยากที่เธอจะลืมลง!


เพียงแต่เย่หงเฟิงที่เธอพบครานั้นหยิ่งยโสวางอำนาจ แต่เสียงสตรีนางนี้กลับฟังดูอ่อนหวานนุ่มนวล


หรงเช่อลุกขึ้นมาแล้ว “น่าจะเป็นคนของเจ้าสำนักหลง ข้าจะไปดู” พลางเดินออกไป


บทสนทนาสั้นๆ แว่วมาจากด้านนอก


“ซือเย่มีเหตุถ่วงรั้งให้ล่าช้า ต้องใช้เวลาเล็กน้อยกว่าจะมาถึง จึงสั่งให้หงเฟิงมาบอกกล่าวเป็นการเฉพาะ”


“ไม่เป็นไร ข้ารออีกหน่อยได้ ลำบากแม่นางต้องมาแจ้งถึงที่นี่ ขึ้นไปดื่มน้ำดื่มท่าสักหน่อยดีหรือไม่?”


“ตกลง”


ผ่านไปครู่หนึ่ง หรงเช่อก็พาสตรีนางหนึ่งเดินเข้ามา


ใบหน้าของสตรีนางนี้คลุมแพรโปรงผืนหนึ่งไว้ เผยให้เห็นเพียงนัยน์ตาโตงดงามคู่หนึ่ง แต่งตัวคล้ายเสี่ยวหลงหนี่ว์ในซีรีส์ที่ฉายทางทีวียิ่งนัก พลิ้วไหวดั่งนางเซียน


กู้ซีจิ่วหรี่ตาเล็กมองดูสตรีนางนี้ ขณะนี้ไม่ทราบว่าในใจมีความรู้สึกเช่นไรบ้าง


สายตาเธอเฉียบคม มองออกว่าสตรีนางนี้คือโฉมงามที่หลงซือเย่ซุกซ่อนไว้ในโลงน้ำแข็ง บัดนี้ในที่สุดก็ฟื้นคืนชีพแล้ว!


ดูเหมือนข่าวลือจะไม่เป็นเท็จ เย่หงเฟิงทะลุมิติมาจริงๆ และดูจากรูปการณ์แล้ว เธอใช้ร่างกายนี้ได้ยอดเยี่ยมยิ่ง แม้กระทั่งพลังวิญญาณก็ฝึกฝนได้


ตอนนั้นหลงซือเย่ไม่ได้โกหกเธอจริงๆ ร่างกายนี้คือผลงานที่สมบูรณ์แบบยิ่งนักของเขา และเป็นอัจฉริยะด้านพลังวิญญาณ ดูจากท่าทางของเธอ พลังวิญญาณน่าจะบรรลุถึงขั้นห้าแล้ว


กู้ซีจิ่วนึกว่าเมื่อเห็นเธอปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า ตนคงจะรู้สึกอึดอัดใจ คาดไม่ถึงว่าจิตใจกลับสงบนิ่งยิ่งนัก ไม่มีความรู้สึกใดเป็นพิเศษ


“โอ้ ท่านมีแขกอื่นหรือ?” หญิงสาวคนนั้นกวาดสายตามองหน้ากู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีคราหนึ่ง ที่สำคัญคือหยุดอยู่ที่ใบหน้าของกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง ดวงตาฉายแววประหลาดใจ


“พวกเขาคือสหายของข้า บังเอิญพบกันที่นี่ จึงเชิญมานั่งด้วยกัน ท่านนี้คือแม่นางกู้ซีจิ่วจากสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ท่านนี้คือ…” หรงเช่อแนะนำทั้งสองฝ่าย


เนื่องจากตี้ฝูอีปกปิดฐานะไว้ ดังนั้นตอนที่กู้ซีจิ่วแนะนำอิงเหยียนนั่วก่อนหน้านี้จึงไม่ได้เอ่ยอะไรมากนัก


บอกเพียงว่าเป็นน้องชายสหายคนหนึ่งของตน ไม่ได้พูดอย่างอื่นอีก ด้วยเหตุนี้หรงเช่อจึงไม่สนใจตี้ฝูอีเลย


————————————————————————————-


บทที่ 998 สรุปแล้วท่านนี้คือผู้ใดกัน?


ส่วนหญิงสาวคนนั้นมีนามว่าเย่หงเฟิงจริงๆ หลังจากเข้าห้องมาเธอก็ปลดแพรคลุมหน้าลง


เมื่อหรงเช่อได้เห็นใบหน้าของเธอชัดๆ ก็ดูเหมือนจะค่อนข้างประหลาดใจ ยิ้มน้อยๆ และเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางเย่ช่างคล้ายคลึงกับซีจิ่วเหลือเกิน! หากไม่ทราบคงนึกว่าพวกเจ้าเป็นฝาแฝดกัน”


เย่หงเฟิงยิ้มหวานคราหนึ่งพลางเอ่ยตอบ “ใช่แล้ว ข้าก็ตกใจเช่นกัน”


กู้ซีจิ่วก็ยิ้มแวบหนึ่ง “ใช่แล้ว บังเอิญเหลือเกิน”


นัยน์ตาของตี้ฝูอีมีแววสนุกสนานพาดผ่านแวบหนึ่ง เขาไม่พูดอะไรเลย หลังจากขึ้นมาก็ทำตัวเป็นมนุษย์ล่องหน แทบจะไม่ค่อยเปิดปาก


ทุกคนนั่งลงอีกครั้ง หรงเช่อจะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น จึงชงชาให้เย่หงเฟิงด้วยตัวเอง จากนั้นก็พูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง


กู้ซีจิ่วหมุนถ้วยชาในมือเบาๆ มองกริยาวาจาของเย่หงเฟิง เธอแน่ใจมากว่าเย่หงเฟิงคนนี้ไม่มีความทรงจำของชาติก่อน แถมนิสัยยังแตกต่างจากชาติก่อนด้วย เย่หงเฟิงในชาติก่อนสมกับเป็นคุณหนูใหญ่นัก เย่อหยิ่งวางอำนาจ แต่เย่หงเฟิงคนนี้กลับเป็นกระต่ายน้อยว่านอนสอนง่าย ดูใสซื่อไร้เดียงสายิ่งผิดกับชาติก่อนลิบลับ


สภาพแวดล้อมรอบข้างมีส่วนเกี่ยวข้องกับการบ่มเพาะนิสัยคนเป็นอย่างมาก หรือว่านี่คือนิสัยดั้งเดิมของเธอ? ชาติก่อนแค่ถูกโอ๋จนเสียคนไป?


ผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วยาม ในที่สุดหลงซือเย่ก็มาถึงแล้ว


เขายังคงสวมหน้ากาก สวมชุดสีขาวพลิ้วไหว บุคลิกคล้ายจะเย็นชาขึ้นกว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนมาก


เห็นได้ชัดว่าเขานึกไม่ถึงว่าจะได้พบกู้ซีจิ่วที่นี่ พอก้าวเข้าประตูมาฝีเท้าก็ชะงัก! ดวงตาจับอยู่ที่ร่างเธอ “ซีจิ่ว!”


กู้ซีจิ่วยกมือทักทายเขา “ไม่ได้พบกันเสียนานนะ เจ้าสำนักหลง”


หลงซือเย่เม้มปากนิดๆ เอ่ยเสียงเบา “เธอเรียกฉันว่าครูฝึกหลงเหมือนเดิมเถอะ ฟังแล้วคุ้นหูกว่า”


กู้ซีจิ่วก็คล้อยตามกดเสียงให้เบาลง “ได้ ครูฝึกหลง”


หลงซืเย่พยักหน้านิดๆ กวาดสายตาไปรอบๆ สุดท้ายสายตาก็ร่อนลงบนใบหน้าของตี้ฝูอี “ท่านผู้นี้คือ? พระอนุชาขององค์ชายแปดหรือ?”


จักรพรรดิซวนมีโอรสธิดามากมาย ถัดจากหรงเช่อไปก็ยังมีน้องชายน้องสาวอีกหลายคนจริงๆ และหนึ่งในนั้นก็มีคนที่อายุแปดเก้าขวบอยู่จริง…


หรงเช่อหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ตัวข้าไหนเลยจะมีอนุชาที่งามสง่าถึงเพียงนี้ ท่านนี้เป็นสหายตัวน้อยที่ซีจิ่วพามาด้วย”


ตี้ฝูอีนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ริมฝีปากน้อยหยักขึ้นนิดๆ ยิ้มแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร เขาน่ารักผุดผ่องมาตั้งแต่เกิด ด้วยรอยยิ้มนี้ สามารถทำให้หัวใจคนหลอมละลายด้วยความน่ารักได้ ด้วยเหตุนี้หลงซือเย่จึงอดไม่ได้ที่จะมองเขาอีกสองสามครั้ง


ในที่สุดคนก็มาถึงแล้ว หรงเช่อให้ทางร้านจัดสุราอาหารขึ้นโต๊ะอีกครั้ง ทุกคนนั่งลงอีกครา


ครั้งนี้หลงซือเย่คือแขกผู้สูงศักดิ์เชื้อเชิญมาเป็นตัวหลัก ย่อมได้นั่งในตำแหน่งผู้ทรงเกียรติ ส่วนฐานะของกู้ซีจิ่วก็ไม่ต่ำเช่นกัน หรงเช่อจึงจัดให้เธอนั่งด้านขวาของหลงซือเย่ ตี้ฝูอีนั่งอยู่ทางขวาของกู้ซีจิ่ว


หลงซือเย่สุขุมเย็นชามาโดยตลอด แต่เห็นได้ชัดว่าเขาปฏิบัติต่อเย่หงเฟิงไม่เลวเลย ระหว่างที่นั่งบางครั้งก็ตักอาหารให้เธอ ซ้ำยังช่วยสลับอาหารที่เธอชอบไปไว้ด้านหน้าของนางด้วย ถึงขั้นที่บางครั้งก็ช่วยแกะกุ้งให้เธออะไรทำนองนั้น ซ้ำยังดูแลเป็นอย่างดี


ยามที่เขาทำเรื่องเหล่านี้เสมือนไม่ได้เจตนา แต่ดวงตากลับเหลือบมองกู้ซีจิ่วอยู่บ่อยครั้ง ราวกับอยากเห็นว่าเธอจะมีปฏิกิริยาใดหรือไม่


กู้ซีจิ่วกลับเพิกเฉยกับเรื่องเหล่านี้ของเขา ความสนใจของเธออยู่ที่ร่างของเด็กน้อยข้างกาย


เด็กน้อยคนนั้นงดงามยิ่งนักจริงๆ แต่กลับดูอ่อนแอกระเซาะกระแซะ ค่อนข้างบอบบาง และเลือกกินเป็นพิเศษ กินกุ้งก็จะกินแค่เนื้อส่วนเล็กๆ ตรงด้านหลังของกุ้ง กินผักก็กินแค่ผักกวางตุ้ง ของที่ไม่กินมีมากมายนัก จุกจิกยุ่งยากไม่ธรรมดา


หลังจากกู้ซีจิ่วคอยมองเด็กน้อยอยู่หลายครา ก็ยุ่งง่วนจัดการให้เขาอยู่เงียบๆ ดูทุ่มเทกายใจยิ่งกว่าปรนนิบัติน้องชายแท้ๆ ของตนเสียอีก


ทันใดนั้นหลงซือเย่รู้สึกว่าตนกินไม่ลงแล้ว เขาเอ่ยถามกู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว สรุปแล้วท่านนี้คือผู้ใดกัน?”


————————————————————————————-

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)