พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 991-996
บทที่ 991 น้องสาวไม่รู้ความ
โดย
Ink Stone_Fantasy
อวิ๋นจือชิวไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องเลือกคน นางไม่ได้รู้จักลูกน้องของประมุขถิ่นสี่ทิศดีด้วย ต่อให้อยากจะก้าวก่ายก็ก้าวก่ายไม่ได้ อย่างไรเสียถ้าเข้าไปแทรกแซงทุกเรื่องก็ไม่ดีเหมือนกัน ถ้าแทรกแซงเยอะ ตอนหลังก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรแล้ว
เรื่องราวก็ตกลงกันตามนี้แล้ว แต่ก่อนจะแยกย้ายกัน อวิ๋นจือชิวก็โยนประเด็นหนึ่งออกมาอีก “พี่ใหญ่ทั้งสี่ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่น้องสาวยากจะเอ่ยปาก ไม่รู้เหมือนกันว่าควระพูดหรือเปล่า น้องสาวเป็นคนปากตรงกับใจ ถ้าไม่พูดก็เก็บกดแย่ แต่ถ้าพูดออกมา ก็กลัวว่าจะทำให้พี่ใหญ่ทั้งสี่ไม่พอใจ”
ประมุขถิ่นสี่ทิศเพิ่งจะยืนขึ้น พอได้ยินแล้วก็มองอวิ๋นจือชิวที่ยังนั่งอย่างมั่นคง พวกเขาสบตากับแวบหนึ่ง แล้วก็นั่งลงช้าๆ อีกรอบ สงเวยบอกว่า “เป็นคนกันเองทั้งนั้น มีอะไรที่พูดไม่ได้ล่ะ? น้องสะใภ้พูดมาได้เลย”
“พี่ใหญ่สงพูดถูก เป็นคนกันเองทั้งนั้น ก็เพราะเป็นคนกันเองนี่แหละ ข้าถึงไม่สะดวกที่จะพูดคำบางคำออกมา ถ้าไม่ใช่คนกันเอง ข้าก็คงไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้น ข้าเป็นคนปากไม่มีหูรูด แล้วก็ไม่ชอบอ้อมค้อมด้วย เกรงว่าจะต้องพูดออกมาตรงๆ ตั้งแต่แรก” อวิ๋นจือชิวยื่นมือไปรอบวง “พี่ชายทั้งสี่ควรจะรู้ เรื่องที่พิภพใหญ่ นอกจากหนิวเอ้อร์จะเคยพาข้าไปแล้ว เขาก็เคยพาพี่ใหญ่ทั้งสี่ไปด้วย คนอื่นๆ ต่อให้เป็นลูกน้องคนสนิทหรืออนุภรรยา แต่ก็ไม่เคยเปิดเผยให้รู้เลย ขอบังอาจถามพี่ใหญ่ทั้งสี่ ว่าหนิวเอ้อร์มองพวกท่านเป็นคนนอกหรือเปล่า?”
ทั้งสี่ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงพูดแบบนี้ คำพูดพวกนี้หมายความว่าอะไร สงเวยจึงถามว่า “น้องสะใภ้กลัวว่าพวกเราไปแล้วจะไม่ตั้งใจช่วยเหลือเจ้าห้าเต็มที่เหรอ? ถ้าเป็นเรื่องนี้ น้องสะใภ้ไม่ต้องคิดมากเลย พี่น้องของตัวเอง ย่อมช่วยโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอยู่แล้ว”
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น…ข้าจะพูดให้ชัดเจนแล้วกัน ที่ช่วยพวกพี่ๆ ช่วงชิงที่ยืนในพิภพใหญ่ครั้งนี้ เพราะตอนนั้นคนที่เป็นพวกเดียวกันฉวยโอกาสใช้ทวนแทงข้างหลังตอนหนิวเอ้อร์ไม่ทันระวังตัว ถ้าไม่ใช่เพราะหนิวเอ้อร์ไหวตัวได้เร็ว เกรงว่าคงเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว ผู้หญิงอย่างข้าไม่มีความคาดหวังอย่างอื่นหรอก หวังเพียงให้ผู้ชายของตัวเองกลับมาอย่างปลอดภัยเท่านั้น ถึงแม้หนิวเอ้อร์จะทำเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ข้ากลับใจห่อเหี่ยว หลังจากข้าได้ฟังเขาเล่า ข้าก็ตกใจจนแข้งขาอ่อน พวกพี่ๆ ลองพูดมาหน่อย ว่าถ้าหนิวเอ้อร์ตายแล้ว ข้าจะทำอย่างไร?”
ทั้งสี่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ไม่รู้ว่านางคิดอยากจะพูดอะไรกันแน่ ฝูชิงจึงบอกว่า “น้องสะใภ้พูดมาตรงๆ ได้เลย ข้าจะล้างหูรอฟัง”
อวิ๋นจือชิวตอบว่า “ไม่ซับซ้อนเลย เรื่องที่หนิวเอ้อร์มองว่าไม่สำคัญ แต่ฮูหยินอย่างข้ากลับมองว่าไม่สำคัญไม่ได้ เขาไม่สนใจใยดีจนชินแล้ว พวกท่านก็รู้ว่าเขานิสัยเป็นอย่างไร เรื่องเสี่ยงอันตรายอะไรก็ทำมาหมดแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่แย่งตัวข้ามาจากทะเลทรายม่านเมฆา นั่นก็แปลไม่รักชีวิตแล้ว! เขาไม่รักชีวิต แต่ข้ากลับไม่สามารถเห็นเขาไม่รักชีวิตได้ หวังว่าพี่ใหญ่ทุกท่านจะเข้าใจความรู้สึกที่ข้าอยากให้เขากลับมาอย่างปลอดภัย ครั้งนี้ถ้าเปลี่ยนเป็นหนิวเอ้อร์มา เขาก็จะต้องทำเหมือนครั้งก่อนแน่นอน พาพี่ใหญ่ทุกท่านเหาะข้ามท้องฟ้าไปโดยตรง ระหว่างพวกท่านห้าพี่น้องอาจจะรู้สึกว่าไม่เป็นอะไร ถึงแม้หนิวเอ้อร์จะไม่ว่าอะไร แต่จากที่ข้าดูแล้ว ทำแบบนั้นไม่เหมาะสมเลยจริงๆ ครั้งนี้ในเมื่อข้ามาจัดการเรื่องนี้ ข้าก็ขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้เสียก่อน ข้าไม่อยากทำให้เรื่องวุ่นวายจนทุกคนรู้เส้นทางไปกลับพิภพใหญ่กันหมด เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทางหนีทีไล่สุดท้ายของหนิวเอ้อร์ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขา ข้าไม่อาจนิ่งดูดายไม่สนใจ ถ้าพี่ๆ อยากจะพาคนไปกับข้าด้วย ข้าก็รู้สึกว่าพี่ๆ อยู่ในกระเป๋าสัตว์จะเหมาะสมกว่า แบบนั้นข้าจะสงบใจหน่อย”
“…” ทั้งสี่คนสบตากันอย่างพูดไม่ออก ที่ยินดีเหลือคนไว้ส่วนหนึ่งแล้วพาคนไปส่วนหนึ่ง ก็เพราะอยากจะรู้เส้นทางให้ชัดเจนก่อนไม่ใช่เหรอ แล้วอีกอย่าง การนำกำลังพลที่ส่วนที่เข้มแข็งที่สุดของทะเลดาวนักษัตรใส่เข้าไปในกระเป๋าสัตว์ของเจ้า หากเจ้าคิดไม่ซื่อฟันกระเป๋าสัตว์ขาดขึ้นมา คนในกระเป๋าสัตว์ก็ไม่มีความสามารถที่จะป้องกันได้ แบบนั้นจะไม่จบเห่กันหมดเหรอ?
“น้องสะใภ้ เจ้าคิดมากไปหรือเปล่า? นี่คือความประสงค์ของเจ้าห้าเหรอ?” หงเทียนขมวดคิ้ว
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ถ้าเป็นความประสงค์ของเจ้าห้า ข้าก็คงไม่ต้องมารับหน้าที่เป็นคนร้ายๆ แบบนี้หรอก แล้วไม่ต้องมาใส่ใจเรื่องนี้ด้วย ใช่ว่าพวกท่านจะไม่รู้จักเจ้าห้าของพวกท่าน ถึงแม้จะไม่นับว่าเป็นคนดี พวกเราพูดไม่ได้ว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษ แต่กลับเป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำมิตร เขาเป็นคนที่สามารถยอมทำทุกวิถีทางเพื่อพี่น้อง ในปีนั้นตอนที่เขายังเป็นคนตำแหน่งเล็กๆ ตอนยังเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์ เขาก็สู้ตายเพื่อสหายที่ถ้ำล่องนิภา สู้ตายไม่ยอมแพ้ ตอนเข้าร่วมการปราบจลาจลที่ทะเลดาวนักษัตร เพื่อที่จะให้สหายได้หนีไปไกลๆ เขาเสี่ยงชีวิตล่อศัตรูบุกเข้าไปที่เขาเพลิงนภาของเลี่ยหวนเพียงลำพัง ตัดขาตัวเองข้างหนึ่งแล้วกระโดดลงตำหนักบรมอัคคี ของที่ได้จากการปราบจลาจลก็แบ่งกับสหายอย่างยุติธรรม แล้วก็เพราะการตายของผู้หญิงคนหนึ่ง หลังจากกลับมาเขาก็เต็มใจสละอาณาเขตที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ดันทุรังไปอยู่ที่ปราสาทดำเนินธารา ต่อให้โดนลงโทษจนอนาคตตัวเองพัง แต่ก็ต้องล้างแค้นเพื่อผู้หญิงคนนั้นให้ได้ ตอนหลังก็ทำเพื่อเพื่อน สามารปลีกตัวไปได้แต่ก็ไม่ปลีกตัวไป ดันทุรังเข้าร่วมสงครามใหญ่ของสามปราสาท เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว แล้วก็ยังมีเยียนเป่ยหงนั่นอีก พวกเจ้าอาจจะยังไม่รู้ เขาถ่อไปก่อเรื่องใหญ่โตที่นภาจอมมารเพื่อเยียนเป่ยหง ทั้งยังโดนทำร้ายจนสาหัส ถ้าไม่ใช่เพราะข้าไปขอร้องให้ เขาคงจบชีวิตไปแล้ว เรื่องแบบนี้ยังมีอีกนับไม่ถ้วน เขามักจะเอาชีวิตไปล้อเล่นเพื่อเพื่อนแบบนี้เสมอ เขาไม่มองว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ข้ากลัว! ถ้าเจ้าห้าของพวกท่านอยู่ที่นี่ ก็ไม่ต้องพูดถึงเลย ในเมื่อเขาสามารถใจกว้างพาพวกท่านไปไปได้ครั้งหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่ครั้งที่สองจะพาไปแบบปิดบัง เขาเป็นผู้ชายใจใหญ่ แต่ข้าเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ความรู้สึกของข้าใครจะเข้าใจได้ล่ะ? พี่ชายทั้งสี่ท่านคะ ข้าไม่อยากเป็นหม้ายหรอกนะ! เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่ใหญ่ทั้งสี่ข้าก็จะไม่พูดโกหก หากยินดีจะตอบรับเงื่อนไขของน้องสาว พวกเราก็ไปด้วยกัน หากพวกท่านไม่ยินดีตอบรับ ต่อให้ข้าต้องแปรพักตร์กับเจ้าห้าข้าก็ไม่ยอมตอบตกลงเด็ดขาด!”!”
คำพูดนี้ทำให้ทั้งสี่เงียบกริบเถียงอะไรไม่ออก ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ พอได้ยินแบบนี้ทั้งสี่ก็ค่อนข้างทอดถอนใจ เมื่อฟังๆ ดูแล้ว ก็พบว่าเจ้าห้าเป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำมิตรจริงๆ เรื่องบางเรื่องพวกเขาก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน และแน่นอนว่ามีบางเรื่องที่ไม่เคยได้ยิน อย่างเช่นโดนซ้อมปางตายที่นภาจอมมาร
ทว่าในใจของทั้งสี่ก็ยังมีสิ่งที่ค้างคาอยู่บ้าง เหมียวอี้เคยพาพวกเขาไปพิภพใหญ่ครั้งหนึ่งคือเรื่องจริง แต่ภายใต้การตบตาของเหมียวอี้ ทำให้พวกเขาไม่รู้เส้นทางชัดเจนเลย เจ้าห้ามันเจ้าเล่ห์มาก
แต่จะว่าไปแล้ว ตอนนั้นก็ชัดเจนมากว่าทุกคนใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ไม่นับเป็นสหายด้วยซ้ำ ตอนนั้นยังไม่ได้สาบานเป็นพี่น้องกันด้วย เจ้าเองก็จะขอให้เจ้าห้าไม่เห็นแก่ตัวไม่ได้
ตอนนี้โดนอวิ๋นจือชิวใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ใช้ฐานะของน้องสะใภ้มาร่ำร้องว่าไม่อยากเป็นแม่หม้าย แม้แต่คำพูดโต้ตอบพวกเขาก็พูดไม่ออก ไม่อย่างนั้นจะตกเป็นที่ต้องสงสัยว่ารังแกเมียของพี่น้องร่วมสาบาน
ทั้งสี่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา อวิ๋นจือชิวอธิบายเหตุผลที่เชื่อถือได้ แล้วก็เสนอเงื่อนไขที่โหดหิน ถ้าไม่ตอบรับก็จะไม่พาพวกเขาไปด้วย อาศัยที่นางมาโวยวายขอร้องอยู่ที่นี่ สรุปก็คือนางพูดจามีเหตุผล หรือจะให้ทั้งสี่จับเมียของพี่น้องร่วมสาบานมาซ้อมยกหนึ่ง แล้วบีบบังคับให้นางนำทางไปเหรอ?
หลังจากแอบปรึกษากันเงียบๆ พักหนึ่ง คาดว่าอวิ๋นจือชิวก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทำร้ายพวกเขาเหมือนกัน สงเวยกล่าวอย่างหัวเราะมได้ร้องให้ไม่ออก “ก็ได้! จัดการตามความประสงค์ของน้องสะใภ้ก็แล้วกัน”
อวิ๋นจือชิวยืนขึ้นทันที หลังจากถอยหลังช้าๆ ก็คำนับประมุขถิ่นทั้งสี่ด้วยท่าทางจริงจัง “น้องสาวของขอบคุณที่พี่ใหญ่ทั้งสี่เห็นอกเห็นใจ เพียงแต่น้องสาวยังมีคำขอที่ไร้สาระอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ พี่ๆ ทั้งสี่อย่าบอกหนิวเอ้อร์นะ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยอย่างหนิวเอ้อร์ เขาจะต้องเห็นข้าเป็นศัตรูแน่ๆ เขาอาจจะทิ้งข้าด้วยซ้ำ น้องสาวไม่อยากเป็นแม่หม้ายสามีตาย แล้วก็ไม่อยากเป็นแม่หม้ายสามีทิ้งด้วย”
คำพูดนี้…ถ้าให้เหมียวอี้ได้ยินเข้า คงจะต้องอยากเอาหัวโขกกำแพงตายแน่ มีความเป็นไปได้ต่ำมากที่ท่านขุนนางเหมียวจะทิ้งนาง
ทั้งสี่ยังจะพูดอะไรได้อีก สงเวยถอนหายใจแล้วบอกว่า “น้องสะใภ้กล่าวเกินไปแล้ว พวกเราไม่ใช่คนปากมากพูดซี้ซั้ว ย่อมหวังให้เจ้ากับเจ้าห้ารักใคร่ปรองดองกันอยู่แล้ว”
“น้องสาวไม่รู้ความ ไม่รู้จะขอบคุณอย่างไร ถ้ามีตรงไหนที่ล่วงเกินทำให้ไม่พอใจ ก็หวังว่าพี่ชายทั้งสี่จะไม่เก็บมาใส่ใจ น้องสาวจะเอาศีรษะโขกพื้นเพื่อขอโทษต่อพี่ชายทั้งสี่ก่อน!” อวิ๋นจือชิวยกกระโปรง ทำท่าจะคุกเข่าลงตรงนั้น
ปาดเหงื่อ! คำขอโทษนี้แสดงออกใหญ่โตเกินไปหน่อยหรือเปล่า ทั้งสี่ไม่สะดวกจะเข้าไปแตะต้องนางด้วย ถึงอย่างไรหญิงชายก็มีความแตกต่างกัน ทั้งยังเป็นผู้หญิงของน้องชายร่วมสาบานด้วย ทำเอาทั้งสี่ทำอะไรไม่ถูก รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ขัดขวางนางเอาไว้ จะยอมให้นางคุกเข่าเอาศีรษะโบกพื้นได้อย่างไร
ในเมื่อคุกเข่าไม่ได้แล้วจริงๆ อวิ๋นจือชิวก็ไม่คุกเข่าแล้ว อย่างไรเสีย ไม่ว่าจะเป็นด้านเหตุผลหรือความรู้สึกนางก็ทำเต็มที่แล้ว
เรื่องราวกำหนดไว้ตามนี้ หลังจากทั้งสองฝ่ายแยกย้ายกันแล้ว ประมุขถิ่นสี่ทิศก็เดินไปบนลานกว้างของตำหนักดาวบูรพา แต่ละคนเงียบงันพูดไม่ออก
จู่ๆ อิงอู๋ตี๋ก็บอกว่า “พวกเจ้าคิดว่า นี่เป็นความประสงค์ของเจ้าห้าหรือเปล่า?”
“ไหนๆ ก็ตอบตกลงไปแล้ว มาพูดตอนนี้มีความหมายเหรอ?” สงเวยตอบ
ฝูชิงถอนหายใจ “มิน่าล่ะผู้หญิงคนนี้ถึงประคับประคองโรงเตี๊ยมเมฆาวายุที่ทะเลทรายม่านเมฆได้ด้วยตัวคนเดียว เจ้าห้าได้เมียดีจริงๆ!”
หลังจากทั้งสี่ปรึกษากันที่ตำหนักดาวบูรพาเป้นเวลาหนึ่งคืน รายชื่อของคนที่จะไปพิภพใหญ่ก็ถูกำหนดออกมาแล้ว
ในบรรดาประมุขถิ่นทั้งสี่ ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ถูกเลือกให้ไป ในบรรดาทูตซ้ายทูตขวาทั้งแปด จินกวงกับหยินกวงลูกน้องของสงเวย เปินเหลยกับฮั่นเทียนลูกน้องของหงเทียน ชิงเฟิงลูกน้องของฝูชิง โพ่คงลูกน้องของอิงอู๋ตี๋ สรุปว่าทั้งสี่ตำหนักล้วนเหลือคนไว้เฝ้าคุ้ม ส่วนอีกยี่สิบสี่คนก็เลือกราชาปีศาจมาฝั่งละหกคน
เมื่อรายชื่อทั้งสามสิบสองรายชื่อถูกกำหนดแล้ว ก็ส่งคนไปเรียกตัวมาทันที
ตอนพลบค่ำของวันถัดมา สมาชิกก็มากันครบแล้ว มารวมกันในตำหนักดาวบูรพา อวิ๋นจือชิวก็ถูกเชิญมาเช่นกัน ตอนนี้ยืนอยู่ข้างกายประมุขถิ่นทั้งสี่แล้ว
กลุ่มปีศาจไม่รู้ว่ามารวมตัวกันที่นี่ทำไม สงเวยเผชิญหน้ากับทุกคนแล้วถามว่า “ให้พวกเจ้าตัดขาดงานที่อยู่ในมือแล้ว จัดการเรียบร้อยหรือยัง? ไม่ได้มีข่าวเล็ดลอดออกไปใช่มั้ย?”
“ตัดขาดเรียบร้อยแล้วค่ะ! กำลังรักษาความลับ!” หูเฟย ฮูหยินของเลี่ยหวน และเป็นราชินีจิ้งจอกหนึ่งในเก้าราชาปีศาจใต้บังคับบัญชาของฝูชิงเช่นกัน นางถามว่า “นายท่าน เรียกพวกเรามาด้วยธุระอะไรหรือคะ!”
“ไปถึงที่แล้วเดี๋ยวก็รู้เอง รับรองว่าพวกเจ้าต้องดีใจมากแน่” สงเวยตอบ แล้วหันมาพยักหน้าให้อวิ๋นจือชิว “น้องสะใภ้ งั้นก็ออกเดินทางกันเถอะ!”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า แล้วนำกระเป๋าสัตว์ออกมาสองใบ ชูขึ้นพร้อมบอกว่า “ผู้ชายเข้ามาทางซ้าย ผู้หญิงเข้ามาทางขวา”
“ทำอะไรน่ะ?” กลุ่มราชาปีศาจตกใจ แบบนี้ไม่ใช่การเอาชีวิตไปไว้ในมือคนอื่นหรอกเหรอ แค่เอาดาบฟันทีเดียวก็หาที่หลบไม่ได้แล้ว
“จะเปลืองคำพูดมากมายขนาดนั้นทำไม?” อิงอู๋ตี๋หัวเราะเยาะด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ ทำให้เสียงของลูกน้องเงียบลงทันที
ส่วนเขาก็หันตัวมา ถลันตัวเข้าไปในปากกระเป๋าทางซ้ายเป็นคนแรก แล้วฝูชิงก็ตามเข้าไปเป็นคนที่สอง
ประมุขถิ่นทั้งสองกับทูตซ้ายและทูตขวาหกคนเข้าไปหมดแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้วเหมือนกัน ทำได้เพียงทยอยกันตามเข้าไป
“ท่านสามี! ข้าไปกับท่านดีกว่า” หูเฟยเป็นฝ่ายเข้ามาอยู่ข้างกายราชาปีศาจเลี่ยหวน เลี่ยหวนพยักหน้าตอบรับ ภายใต้สถานการณ์ที่แปลกประหลาดแบบนี้ อยู่กันสองสามีภรรยาจะเหมาะสมกว่า อย่างน้อยก็มีคนดูแลกัน
ทว่าเมื่อทั้งสองเข้าไปได้ครู่เดียว หูเฟยก็ร้องโวยวายอยู่ในกระเป๋าสัตว์ “ใครลูบไล้ข้า…ใครลูบข้า…” นางอายที่จะบอกว่ามีคนลูบไล้ก้นนาง
“ไอ้เวรตัวไหนมันทำ?” เลี่ยหวนตะโกนถามอย่างโมโห
ข้างในมีเสียงหัวเราะทันที แต่กลับไม่มีใครยอมรับ
ผ่านไปไม่นาน หูเฟยก็โผล่ออกจากกระเป๋าสัตว์ด้านซ้าย ออกไปอยู่ที่กระเป๋าสัตว์อีกใบอย่างสะบักสะบอม
บทที่ 992 กลุ่มปีศาจรายงานตัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
สายตาอวิ๋นจือชิวฉายแววระแวดระวัง ถึขั้นทำท่ารังเกียจนิดหน่อยด้วย
สงเวยไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “น้องสะใภ้อย่าถือสา เจ้าพวกนี้มุดหัวอยู่ที่ทะเลดาวนักษัตรนานเลยขาดความบันเทิง แกล้งแหย่กันเล่นจนชินแล้ว”
ภายนอกอวิ๋นจือชิวเพียงยิ้มบางๆ แต่ในใจกลับแอบระแวดระวัง ปีศาจพวกนี้สามารถล้อเล่นกันแบบนี้ได้ ลูบไล้เมียคนอื่นซี้ซั้วได้ แต่นางกลับล้อเล่นแบบนี้ไม่ไหว และเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ผู้ชายคนอื่นมาลูบไล้ซี้ซั้ว นางแต่งงานแล้ว เดิมทีก็มีชื่อเสียงว่าเป็นผู้หญิงมือสองอยู่แล้ว ถ้าให้เหมียวอี้เข้าใจผิดอีก นางก็ไม่รู้จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรแล้ว
โลกเราก็เป็นแบบนี้ ผู้ชายมีภรรยาหลายคนเป็นเรื่องปกติมาก แต่ความบริสุทธิ์ของผู้หญิงกลับเป็นเรื่องราวใหญ่โตเท่าฟ้า
ถึงแม้ในปีนั้นนางจะแต่งตัววับๆ แวมๆ แต่ลึกๆ กลับเป็นคนหัวโบราณ ไม่อย่างนั้นเรื่องเสียตัวคงไม่ตกมาถึงมือเหมียวอี้หรอก คงจะเสร็จเฟิงเสวียนไปนานแล้ว ถึงแม้นางจะพูดต่อหน้าเหมียวอี้บ่อยๆ ว่าตัวเองเป็นผู้หญิงมือสองเหมือนรองเท้าขาด แต่ก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ที่จริงนางสนใจปฏิกิริยาของเหมียวอี้อยู่เสมอ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ นางกำลังทดสอบปฏิกิริยาของเหมียวอี้ ที่จริงแล้วสภาพจิตใจของนางค่อนข้างอ่อนแอ
เรื่องระหว่างนางกับเฟิงเสวียน ภายนอกนางดูไม่คิดเล็กคิดน้อย ภายนอกดูเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ที่จริงแล้วในใจกำลังรู้สึกต้อยต่ำ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้แต่งงานกับเหมียวอี้อย่างสะอาดบริสุทธิ์ขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ คนนิสัยแข็งกร้าวอย่างอย่างนางอาจจะไม่ยอมให้เหมียวอี้มีอนุภรรยาก็ได้ จิตใต้สำนึกของนางคิดว่านี่คือการชดเชยให้เขาอย่างหนึ่ง เพียงแต่นางไม่รู้ตัวก็เท่านั้นเอง
“ระหว่างทางยังต้องใช้เวลาอีก สามสิบสองตำแหน่งใต้บังคับบัญชาของหนิวเอ้อร์ที่ยังว่างอยู่ เกรงว่าถ้าถ่วงเวลาไว้นานแล้วจะอธิบายกับเบื้องบนไม่ได้ น้องสาวต้องนำไปก่อนแล้ว!” อวิ๋นจือชิวกล่าวพลางโค้งกาย
“เชิญ!” สงเวยกับหงเทียนยื่นมือเชิญพร้อมกัน
อวิ๋นจือชิวหันตัวเดินออกไป แต่พอเดินมาถึงประตูนางก็หยุด แล้วก็เรียกฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ออกมาอีก
ประมุขถิ่นทั้งสี่ไม่รู้ว่านางหมายความว่าอย่างไร อวิ๋นจือชิวกลับนำระฆังดาราออกมาสี่อัน แล้วแบ่งส่งให้ทั้งสี่ สอนให้พวกเขาลงตราอิทธิฤทธิ์ของกันและกันเอาไว้ ส่วนจะใช้จังหวะเสียงของระฆังแบบไหนติดต่อกัน นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขาเองแล้ว
ทั้งสี่ดีใจมาก อวิ๋นจือชิวกุมช่องทางไปกลับระหว่างพิภพเล็กกับพิภพใหญ่เอาไว้แน่น ทั้งสี่กำลังกังวลว่าถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นพวกเขาคงไม่รู้แม้แต่สถานการณ์ เมื่อมีระฆังดารานี้ก็จัดการง่ายแล้ว อย่างน้อยถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็ยังแจ้งข่าวได้บ้าง
เพื่อที่จะสร้างวิธีการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ทั้งสี่ทำให้อวิ๋นจือชิวเสียเวลาเดินทางไปแล้วเกือบหนึ่งชั่วยาม
หลังจากจัดการเรียบร้อย ทั้งสี่ก็กล่าวขออภัยอวิ๋นจือชิว ส่วนอวิ๋นจือชิวก็ถือโอกาสขอร้องพวกเขาว่า “พี่ใหญ่ พี่สี่ หากเกิดปัญหาอะไรที่แดนเซียนสายมะโรง รบกวนช่วยรับมือให้หน่อยนะคะ นั่นคือทางหนีทีไล่ของหนิวเอ้อร์ที่แดนเซียน”
“ได้อยู่แล้ว มีเรื่องอะไรแค่เรียกพวกเราก็พอก็พอ” สงเวยตอบรับ
อวิ๋นจือชิวกล่าวขอบคุณ แล้วฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็เข้าไปในกระเป๋าสัตว์อีก
“พี่ใหญ่ พี่สี่ไม่ต้องไปส่งหรอกค่ะ จะได้ไม่โดดเด่นในสายตาคนอื่น” อวิ๋นจือชิวขอให้ทั้งสองไม่ต้องไปส่ง จากนั้นก็กลับไปยังที่พักคนเดียว เมื่อสั่งให้ช่างไม้กับช่างหินกลับยอดเขาหยกนครหลวงแล้ว นางก็เก็บสองพี่น้องโอวหยางกับหญิงรับใช้ของพวกนางใส่ในกระเป๋าสัตว์ใบหนึ่ง ตอนนี้ถึงได้เหาะขึ้นฟ้าไป หายไปในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
สงเวยกับหงเทียนที่ยืนหน้าประตูตำหนักเงยหน้ามองตาม…
อวิ๋นจือชิวที่เหาะเพียงลำพังมุ่งตรงเข้ามาในเขตท้องฟ้าของพิภพใหญ่ ถึงเหยียบลงบนดาวเคราะห์ที่เปล่าเปลี่ยวดวงหนึ่ง แล้วปล่อยกลุ่มปีศาจออกมา แต่ไม่ได้เปิดเผยตัวสองพี่น้องโอวหยางและหญิงรับใช้ของพวกนาง
เมื่อมาถึงที่นี่ ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ถึงได้บอกทุกคนถึงจุดประสงค์ที่มา
“พิภพใหญ่!” ฝูงปีศาจร้องอุทานตกใจ เรียกได้ว่าตกตะลึงมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะมาถึงพิภพใหญ่ในตำนานแล้ว!
แต่ละคนมองไปรอบๆ อยากจะเห็นว่าพิภพใหญ่กับพิภพเล็กมีอะไรต่างกัน แต่เหมือนจะเป็นดาวเคราะห์แบบเดียวกัน มองไม่ออกว่าต่างกันตรงไหน
“ทุกคนกรุณาฟังข้า พิภพใหญ่อันตรายกว่าพิภพเล็ก…” อวิ๋นจือชิวเริ่มอธิบายเรื่องที่ต้องระวังเมื่อมาพิภพใหญ่ ส่วนฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็คอยพูดสนับสนุนอยู่ข้างๆ เป็นระยะ เตือนพวกปีศาจว่าอย่าทำเสียเรื่อง
เมื่อรู้ว่าคุณชายห้าเหมียวอี้บุกเบิกสถานการณ์ที่พิภพใหญ่ ได้เป็นผู้บัญชาการของตำหนักสวรรค์แล้ว เลี่ยหวนก็ถามเสียงดังว่า “ฮูหยินคุณชายห้า ผู้บัญชาการคือคำแหน่งขุนนางแบบไหนเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวตอบพร้อมรอยยิ้ม “เรื่องนี้อธิบายยาก ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เดี๋ยวพวกเจ้าไปถึงก็จะรู้เอง ภายใต้สถานการณ์ปกติ จะสามารถคุมดาวเคราะห์ได้หนึ่งดวงเหมือนพิภพเล็ก”
“ทุกคนจำไว้นะ เมื่ออยู่ในที่สาธารณะห้ามเรียกว่าคุณชายห้า ต้องเรียกว่าผู้บัญชาการ หนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการหนิว” ฝูชิงกล่าว
“หนิวโหย่วเต๋อ?” หูเฟยพึมพำอย่างปละหลาดใจ “ทำไมชื่อนี้ฟังดูคุ้นๆ ล่ะ? ประมุขถิ่น คดีนองเลือดค่ายฆ้องเหล็กในปีนั้น เหมือนจะเป็นฝีมือคนที่ชื่อหนิวโหย่วเต๋อนะ?”
“ต้องให้เจ้าเตือนด้วยเหรอ?” ฝูชิงหลอกตามองบน
“อย่าบอกนะว่าฝีมือคุณชายห้า?” หูเฟยแอบหัวเราะ
เรื่องเกิดมาจนป่านนี้แล้ว สืบสาวต่อไปก็ไม่มีความหมายแล้ว ฝูชิงเชิญให้อวิ๋นจือชิวที่ยิ้มโดยไม่พูดอะไรพูดต่อไป
เมื่อเห็นปีศาจพวกนี้ทำท่าตัวอิสระไม่เชื่อฟัง อวิ๋นจือชิวถึงได้เตือนเกี่ยวกับอันตรายของพิภพใหญ่รวมทั้งกฎของตำหนักสวรรค์ บรรยายถึงนักพรตระดับบงกชรุ้งและนักพรตที่มีพลังอิทธิฤทธิ์ระดับอนันตภาพในตำนาน พวกปีศาจฟังจนสูดหายใจอย่างตกตะลึง ตอนนี้ถึงได้เข้าใจว่าเมื่อตัวเองอยู่ที่พิภพใหญ่ ก็ไม่ค่อยต่างอะไรกับนักพรตบงกชขาวที่พิภพเล็ก คนที่สามารถบีบคอให้ตนตายได้อย่างง่ายดายมีเยอะเป็นกอง เริ่มรู้สึกตึงเครียดในใจแล้ว
แต่รอจนกระทั่งเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง คนพวกนี้ก็เริ่มโห่ร้องโหวกเหวก ตื่นเต้นดีใจสุดๆ!
ตอนที่มาถึงดาวเทียนหยวน อวิ๋นจือชิวก็แยกกับพวกเขาแล้ว ถ้าปรากฏตัวที่ดาวเทียนหยวนพร้อมกันจะไม่เหมาะสม นางใช้ระฆังดาราแจ้งให้เหมียวอี้รู้ล่วงหน้า กลุ่มปีศาจเฒ่ามาถึงแล้ว เมื่อพากลุ่มปีศาจเฒ่ามาถึงที่นี่ ก็ไม่มีธุระอะไรของนางแล้ว ที่เหลือก็ส่งต่อให้เหมียวอี้
ตอนที่กลุ่มปีศาจมาถึงประตูเมืองตะวันออก ก็ย่อมมีทหารสวรรค์ที่เฝ้าประตูมารับและนำทาง จำได้ง่ายมาก เมื่อกลุ่มปีศาจรวมตัวกัน ปราณปีศาจก็อบอวล
เมื่อเห็นกลุ่มปีศาจถูกพาเข้าเมืองไปแล้ว อวิ๋นจือชิวที่ปลอมตัวเสร็จถึงได้โผล่หน้าออกมา แล้วเข้าไปในประตูเมืองตะวันออกเพียงลำพัง
นางไม่ได้กลับร้านโฉมเมฆา แต่ไปที่ร้านค้าเล็กๆ ตรงหัวมุมที่อยู่เยื้องตรงข้ามกับร้านโฉมเมฆา
จะว่าไปก็บังเอิญเหมือนกัน ขณะที่เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดเรื่องหาร้านค้า จู่ๆ ทางตำหนักสวรรค์ก็มีคนทำผิดกฎ บอกว่ามีสมคบคิดก่อกบฏอะไรสักอย่าง พอเริ่มลงโทษ ก็มีการรายงานเบื้องบน จึงร่วมกันค้นร้านและยึดทรัพย์ ตลาดสวรรค์เพิ่งสั่งปิดร้านหลายร้าน ฝั่งเขตเมืองตะวันออกมีร้านว่างสองร้านพอดี
เหมียวอี้ย่อมพลาดไม่ได้อยู่แล้ว แต่ด้วยความสามารถของเขา ถ้าอยากจะฮุบไว้เฉยๆ ก็เป็นไปไม่ได้ ยังต้องจ่ายเงินซื้อ แต่จ่ายเงินซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้ เหมียวอี้ก็เลยหน้าด้านไปหาโค่วเหวินหลาน ขอให้โค่วเหวินหลานช่วย โดยให้เหตุผลว่าเถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆาอยากจะช่วยหาร้านค้าให้สหายของตัวเอง
โค่วเหวินหลานยอมเขาแล้ว ถามเขาว่า : อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ครั้งก่อนปี้เยว่ฮูหยินก็เคยตำหนิเจ้า เจ้ายังไม่ยอมวางมืออีกเหรอ?
เหมียวอี้ตอบว่า : เดิมทีนางจะไปขอให้ปี้เยว่ฮูหยินช่วย แต่ข้าแย่งช่วยเอง ผู้บัญชาการใหญ่ ท่านจะไม่สนใจใยดีควาสุขชั่วชีวิตของข้าน้อยไม่ได้นะ!
“ผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ความสุขชั่วชีวิตบ้าอะไรล่ะ!” ถึงแม้โค่วเหวินหลานจะพูดเหน็บแนม แต่เก็ยังช่วยเหลือเขาอยู่ดี
ร้านใหญ่เหมียวอี้ไม่ต้องไปคิดถึงแล้ว เหตุผลแรกเป็นเพราะเหมียวอี้ซื่อไม่ไหว อีกเหตุผลก็คือมีคนจ้องไว้แล้ว จึงขายร้านเล็กๆ ให้เหมียวอี้ในราคาถูก ลดลงเกือบครึ่งราคา แต่ก็ยังต้องจ่ายสามล้านล้านผลึกแดงอยู่ดี
เป็นร้านค้าที่กินพื้นที่ไม่เกินสองหมู่[1] ปกติถ้าไม่มีห้าล้านล้านผลึกแดงก็ไม่มีทางได้มา ของแบบนี้ต่อให้มีเงินก็ครอบครองไม่ได้ บังเอิญจริงๆ ที่โค่วเหวินหลานออกหน้าพูดให้ ไม่ใช่แค่ได้ร้านค้ามาเท่านั้น อีกฝ่ายยังลดราคาให้สองล้านล้านผลึกแดงเพราะเห็นแก่หน้าโค่วเหวินหลานด้วย ทั้งยังไม่ต้องรีบจ่ายเงิน
ถึงแม้จะแพง แต่ถ้าให้ซื้อก็ยังพอซื้อไว้ พอเปลี่ยนมือก็ทำกำไรได้ เหมียวอี้ย่อมต้องซื้อไว้อยู่แล้ว ถึงอย่างไรที่ตั้งของร้านค้าก็อยู่ห่างกับร้านของอวิ๋นจือชิวแค่ถนนสายเดียว
หลังจากเข้ามาถึงร้านค้าที่ระเกะระกะและแน่ใจแล้วว่าข้างในไม่มีคน อวิ๋นจือชิวก็เลิกปลอมตัว แล้วเรียกสองพี่น้องโอวหยางกับหญิงรับใช้ของพวกนางออกมา แล้วอธิบายสถานการณ์ให้ฟัง
เมื่อรู้ว่าได้มาถึงพิภพใหญ่แล้ว สองพี่น้องโอวหยางก็ตกตะลึงไม่หาย
“เรื่องสถานการณ์ของที่นี่ เดี๋ยวค่อยให้เชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์มาอธิบายให้พวกเจ้าฟังอย่างละเอียด แล้วก็พวกเจ้าสี่คน ฟังข้าให้ดีนะ ที่นี่เกี่ยวข้องความเป็นความตายของทุกคน ห้ามรับคนนอกเข้ามาเด็ดขาด ถ้าภายในหนึ่งเดือนทำให้นายท่านรับพวกเจ้าเข้าห้องไม่ได้ พวกเจ้าก็ไตร่ตรองผลลัพธ์เอาเองแล้วกัน ถึงตอนนั้นอย่าโทษว่าฮูหยินอย่างข้าไร้น้ำใจ ข้าไม่เอาชีวิตของทั้งครอบครัวมาล้อเล่นแน่!” อวิ๋นจือชิวเตือนพร้อมกวาดมองฉินฉีซูฮว่าด้วยสายตาเย็นเยียบ
หญิงรับใช้ทั้งสี่ตกใจจนตัวสั่น ทั้งหวาดกลัวทั้งอับอาย ภายในหนึ่งเดือนนี้ก็จะได้กลายเป็นผู้หญิงของนายท่านแล้ว นี่คือเรื่องที่พวกนางทั้งตื่นเต้นทั้งตั้งตารอ พวกนางแอบมองนายหญิงทั้งสองอย่างเงียบๆ
โอวหยางหลางจึงรีบบอกว่า “ฮูหยินโปรดระงับโทสะ รอให้พวกเราสองพี่น้องเจอนายท่านก่อน แล้วพวกเราจะจัดเตรียมให้ค่ะ!”
อวิ๋นจือชิวจึงบอกว่า “เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว การหาร้านค้าในตลาดสวรรค์ไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าจะไปหานายท่านที่จวนผู้บัญชาการเพื่อลงทะเบียนก่อน ทำเรื่องนี้ให้เป็นรูปเป็นร่างก่อน พวกเจ้าสี่คนรออยู่ที่นี่ ยังไม่คุ้ยเคยกับชีวิตข้างนอก อย่าเพ่นพ่านไปทั่ว เดี๋ยวข้าให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์พาคนมาช่วยพวกเจ้าเก็บกวาดที่นี่”
“เจ้าค่ะ!” หญิงรับใช้ทั้งสี่เอ่ยรับอย่างว่าง่าย เมื่ออยู่ต่อหน้าฮูหยินที่เป็นภรรยาเอก พวกนางไม่กล้าขัดคำสั่งอะไรทั้งนั้น
จากนั้นอวิ๋นจือชิวก็นำสองพี่น้องโอวหยางออกไป
ในตำหนักใหญ่ของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เหมียวอี้นั่งอยู่เบื้องบน กลุ่มปีศาจเฒ่าที่เข้ามาเห็นเขาต่างก็ตาเป็นประกาย
หลังจากเหมียวอี้โบกมือบอกให้พวกลูกน้องออกไป ถึงได้ดินลงบันไดมากุมหมัดคารวะ “พี่รอง พี่สาม คิดถึงน้องชายล่ะสิ!”
“เจ้าห้า! ลำบากแล้ว!” ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋เข้ามาประคองแขนเขา
ส่วนกลุ่มราชาปีศาจก็คำนับพร้อมกัน “คำนับคุณชายห้า!”
“มากันแล้วเหรอ!” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เวลาไม่มีคนนอกก็เรียกขานกันแบบนี้ได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกยังต้องเรียกข้าว่าผู้บัญชาการนะ”
“รับทราบ!” กลุ่มปีศาจเอ่ยรับ
“ไป! ไปยืนยันตัวตนให้เป็นรูปธรรมก่อน ตามข้าไปตำหนักคุ้มเมือง ถ้ามีอะไรเดี๋ยวค่อยคุยกันทีหลัง” หลังจากเหมียวอี้พาทุกคนเดินก้าวยาวออกจากตำหนักใหญ่ ก็มีคนไปเชิญเป่าเหลียนที่ร้านขายของชำซื่อตรงทันที
พอออกจากจวนผู้บัญชาการ ถนนที่เจริญรุ่งเรืองด้านนอกและประเพณีที่ไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้กลุ่มปีศาจรู้สึกอัศจรรย์ใจมาก โดยเฉพาะหูเฟยและผู้หญิงคนอื่นๆ เรียกได้ว่าเห็นแล้วตาลุกวาว พวกนางกำลังคิดว่าวันหลังต้องมาเดินเล่นสักหน่อยแล้ว
พอมาถึงตำหนักคุ้มเมืองและเห็นโค่วเหวินหลาน กลุ่มปีศาจก็พึมพำในใจ ว่าผู้บัญชาการใหญ่ดำจริงๆ มีแค่ฟันกับตาที่ขาว รอจนกระทั่งโค่วเหวินหลานสะบัดผ้าเช็ดหน้าออกมาเหมือนผู้หญิง พวกเขาก็ตกใจมาก ยื่นงงอยู่อย่างนั้น
โค่วเหวินหลานเห็นกลุ่มปีศาจแล้วก็กลัดกลุ้มเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะพวกเขาทั้งหมดเป็นปีศาจ แต่เป็นเพราะเกินครึ่งดูมีอายุมากเกินไป อย่างเช่นฝูชิง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ทรัพยากรฝึกตนที่พิภพเล็กมีไม่พอ ไปเทียบกับนักพรตบงกชทองของพิภพใหญ่ที่ดูอ่อนเยาว์มากไม่ได้
“วรยุทธ์เท่าไรกันแล้ว?” โค่วเหวินหลานอดไม่ได้ที่จะถาม อย่าเอานักพรตบงกชรุ้งกับนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพมาขู่ข้าเชียวนะ
…………………………
[1] หมู่(亩) คือหน่วยวัดของจีน มีขนาดประมาณ 666.667 ตารางเมตร
บทที่ 993 ภารกิจเสร็จสิ้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอเหมียวอี้พยักหน้าให้สัญญาณกับทุกคน กลุ่มปีศาจเฒ่าก็เผยวรยุทธ์บงกชทองตรงหว่างคิ้วทันที
เมื่อเห็นว่าทั้งหมดมีวรยุทธ์ระดับบงกชทองขั้นหนึ่ง สอง สาม โค่วเหวินหลานถึงได้วางใจ ขอเพียงเป็นเรื่องที่รับปากไว้แล้ว เขาก็จะจัดการอย่างรวดเร็วมาก มีมาดของลูกชายจากตระกูลใหญ่ ลงทะเบียนสร้างรายชื่อทันที บันทึกตราอิทธิฤทธิ์ไว้สำหรับตรวจสอบ รวบรวมใส่เข้าไปในทะเบียนของตำหนักสวรรค์ ส่วนเรื่องของเป่าเหลียนก็ย่อมถือโอกาสดำเนินการไปด้วยเลย
หลังจากทำตามระเบียบข้อบังคับเสร็จแล้ว ก็ร่างรายการอาวุธและเกราะรบที่ทุกคนต้องใช้ออกมา แล้วสั่งให้คนไปนำมาแจกจ่าย
หลังจากชายหญิงทุกคนสวมเกราะรบแล้ว ก็ดูสง่าผ่าเผยเหมือนกัน
โค่วเหวินหลานย่อมไม่อยู่กินดื่มคุยเล่นกับทุกคนอยู่แล้ว โบกมือให้เหมียวอี้รีบจัดการเรื่องกำลังคนให้เข้าที่
อวิ๋นจือชิวที่อยู่อีกด้านก็พาสองพี่น้องโอวหยางไปที่ร้านโฉมเมฆาก่อน ให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์นำคนงานสองสามคนไปเก็บกวาดที่พักให้สองพี่น้องโอวหยาง จากนั้นค่อยพาพวกนางไปที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก
ตอนที่มาถึงจึงได้รู้ว่าเหมียวอี้ไม่อยู่ เพราะไปที่ตำหนักคุ้มเมืองแล้ว แต่เถ้าแก่เนี้ยก็หน้าใหญ่มากทีเดียว เมื่อพวกลูกน้องรู้ว่านายท่านผู้บัญชาการกำลังจีบนาง ก็เชิญเข้าไปนั่งข้างในก่อนทันที ไม่กล้าให้รอที่ประตู
เหมียวอี้นำกลุ่มปีศาจเหาะลงมาจากฟ้า พอเหยียบลงพื้น พอนักพรตบงกชทองสวมเกราะทองหลายสิบคนก็ปรากฏตัว เหล่าทหารสวรรค์มากมายในจวนผู้บัญชาการก็ร่ำร้องในใจ หัวใจตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ไม่มีโอกาสเลื่อนขั้นเป็นกรณีพิเศษแล้ว
เบื้องล่างย่อมมีคนมารายงานให้ทราบว่าเถ้าแก่เนี้ยมาแล้ว
เหมียวอี้กำชับให้ลูกน้องพากลุ่มปีศาจเฒ่าไปพักผ่อนก่อน แล้วก็สั่งให้คนให้เชิญเถ้าแก่เนี้ยมาที่จวนขุนนางของตน
เมื่อได้เจอเหมียวอี้อีกครั้ง โอวหยางหลางกับโอวหยางหวนก็ตื่นเต้นหวั่นไหวมาก แทบจะโผเข้าไปกอดเขา แต่กังวลที่อวิ๋นจือชิวอยู่ด้วย ทั้งยังมีลูกน้องของเหมียวอี้มาวางน้ำชาให้ พวกนางจึงข่มใจเอาไว้
เหมียวอี้สั่งให้ลูกน้องออกไปก่อน เมื่อเห็นสองพี่น้องโอวหยางผอมลงไม่น้อย และไม่หยิ่งยโสเหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรกที่ทะเลทรายม่านเมฆา เขาก็มองพวกนางด้วยแววตาสับสน นึกอยากโอ้อวดฝีมือแต่กลับกลายเป็นปล่อยไก่ ถึงไม่ถึงว่าจะเป็นการกำหนดชีวิตการแต่งงานของตัวเอง ถึงจะบอกว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับพวกนาง แต่ตอนนี้ในใจก็นึกเป็นห่วงขึ้นมาในบางครั้ง คำกล่าวที่ว่า ‘เป็นสามีภรรยากันคืนเดียวเท่ากับติดนี้บุญคุณกันไปร้อยวัน’ ไม่ใช่แค่คำพูดลอยๆ เพราะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทิ้งทั้งสองไว้ที่พิภพเล็กตลอดโดยไม่สนใจถามไถ่ ในใจเขาก็รู้สึกผิดอยู่บ้างเหมือนกัน
อวิ๋นจือชิวมองดูปฏิกิริยาของทั้งสองฝั่ง แล้วถามหยอกล้อว่า “ต้องให้ข้าหลบไปก่อนรึเปล่า?”
เหมียวอี้ไอแห้งๆ ทีหนึ่ง แล้วพูดกับทั้งสองว่า “หลางหลาง หวนหวน คืนนี้ข้าจะไปหาพวกเจ้า”
ไปหาพวกนางเพื่อทำอะไร ก็ย่อมไม่ต้องบอกแล้ว ทั้งสองเอ่ยรับอย่างเขินอาย “ค่ะ!” ต้องเตรียมตัวล่วงหน้าแล้ว
“ไปที่ร้านข้าแล้วกัน พวกเจ้าไปมาหาสู่กันแบบเปิดเผยไม่สะดวก” อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วบอก
เหมียวอี้ปฏิเสธว่า “เดี๋ยวข้าปลอมตัวไปก็แล้วกัน” รู้สึกแปลกจริงๆ ที่ต้องทำเรื่องแบบนั้นอยู่ใต้หนังตาอวิ๋นจือชิว
“งั้นเจ้าก็ระวังหน่อยแล้วกัน ด้วยฐานะของเจ้าในตอนนี้ โผล่ไปไหนทีก็ดึงดูดความสนใจได้ง่าย เดี๋ยวข้าให้ผีจวินจื่อขุดหลุมให้” อวิ๋นจือชิวเอ่ยอย่าไม่ใส่ใจ แล้วก็เปลี่ยนหัวข้อไปคุยเรื่องสำคัญ “รีบดำเนินการเรื่องร้านค้าให้เป็นรูปธรรมเถอะ ค่ำคืนยาวนานกลัวความฝันจะเปลี่ยน!”
เหมียวอี้พยักหน้า แล้วตะโกนเรียกเสียงดัง “ทหาร!”
มีคนวิ่งเข้ามาจากด้านนอกทันที หลังจากได้รับคำสั่งก็วิ่งไปเรียกคนที่รับหน้าที่ดำเนินการด้านนี้มา อีกฝ่ายไม่กล้าบ่นอะไรต่อหน้าเหมียวอี้ ดำเนินการให้ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว แต่เงินก็ยังต้องจ่าย อวิ๋นจือชิวจ่ายเงินครบในรวดเดียว เหมียวอี้เป็นตัวแทนของทางการเพื่อลงนามกับสองพี่น้องโอวหยาง จากนั้นเหมียวอี้ก็สั่งให้คนเชิญอิงอู๋ตี๋มาหา ให้อิงอู๋ตี๋นำกำลังคนคุ้มกันส่งเงินไปให้ตำหนักคุ้มเมือง เหมียวอี้ไม่ได้ควบคุมเงินส่วนนี้
หลังจากจัดการธุระเรียบร้อย อวิ๋นจือชิวก็พาสองสาวออกไป นางคิดว่าเหมียวอี้ไม่อยากไปพบกับสองสาวเป็นการส่วนตัวที่ร้านของนาง จึงซื้อชัยภูมิถ้ำสวรรค์หนึ่งหลังกับค่ายกลป้องกันตัวขนาดเล็กให้พวกนาง เสร็จแล้วถึงได้กลับไปหาพวกนาง ส่วนเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็กำลังนำคนไปเก็บกวาดพอดี
หลังจากอวิ๋นจือชิวตรวจดูอย่างละเอียด ก็รู้สึกว่ายังต้องซ่อมแซมตกแต่งใหม่สักหน่อย ต่อไปก็ต้องย้ายผลึกสกัดที่มีความบริสุทธิ์สูงของร้านโฉมเมฆามาที่นี่ ในเมื่อสองพี่น้องโอวหยางมาที่นี่แล้ว นางก็ต้องหางานให้ทั้งสองทำ ไม่อย่างนั้นถ้าเบื่อเซ็งเกินไปจะเกิดปัญหาได้ง่าย
พอนางกลับไปที่ร้านโฉมเมฆา ก็กำชับให้คนงานไปจัดการเรื่องนี้ทันที พร้อมทั้งไปหาผีจวินจื่อ ให้ผีจวินจื่อวางแผนขุดทางใต้ดิน สิ่งที่ต้องการเป็นอันดับแรกคือความปลอดภัย ผีจวินจื่อรับประกันอย่างเต็มปากเต็มคำ เพราะเขาถนัดเรื่องนี้ที่สุด จึงไปเลือกสถานที่เพื่อสำรวจลักษณะพื้นภูมิทันที
ส่วนเหมียวอี้ก็เรียกพวกฝูชิงให้มาหา พอคุยกันถึงเรื่องบางอย่าง ถึงได้รู้ว่าอวิ๋นจือชิวได้พูดสิ่งที่ควรจะพูดกับพวกเขาไปแล้ว ทำให้เขาหมดเรื่องกังวลใจไปหลายเรื่อง จากนั้นก็จัดแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบของรองผู้บัญชาการ ผู้ช่วยผู้บัญชาการและผู้บังคับการกองร้อยลงไป ให้พวกเขาต่างคนต่างพาลูกน้องไปทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์
ในบรรดาพวกเขายังเหลืออยู่หนึ่งคน นั่นก็คือเป่าเหลียน บนตัวนางสวมเกราะรบสีดำ ทหารสวรรค์หญิงที่ระดับยังไม่ถึงล้วนสวมเกราะดำ เป็นทหารสวรรค์สี่แถบ ชั่วคราว ยังไม่มีภาระหน้าที่อะไร
เหมียวอี้เองก็ไม่รู้ว่าควรจัดภาระหน้ที่อะไรให้นาง ถ้าให้นางไปรวมอยู่ในกลุ่มผู้ชายเขาก็ไม่วางใจ จึงถามหยั่งเชิงว่า “เป่าเหลียน เจ้าคอยฟังคำสั่งอยู่ข้างกายข้าดีไหม รับหน้าที่คอยถ่ายทอดคำสั่งชั่วคราว รอให้วรยุทธ์เจ้าสูงขึ้นก่อน แล้วข้าค่อยหมอบหมายงานอย่างอื่นให้ เจ้าว่าดีมั้ย?”
นี่คือสิ่งที่ตรงกับใจนางพอดี จึงพยักหน้าเอ่บรับทันที “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”
เมื่อเห็นว่านางไม่มีความเห็นอะไร เหมียวอี้ก็กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “งั้นเจ้าก็เลือกห้องพักในนี้ได้ตามสบายเลยนะ”
“รับทราย!” เป่าเหลียนเอ่ยรับ ยังคงไม่คัดค้าน กลับเป็นคนที่คุยง่ายคนหนึ่ง
หลังจากท้องฟ้ามืดลง ในร้านค้าของสองพี่น้องโอวหยางก็มีแขกสวมชุดดำคนหนึ่งมาหา นอกจากเหมียวอี้ก็ไม่มีใครแล้ว จือฉินกับจือซูที่ได้รับแจ้งล่วงหน้าออกมาเฝ้าอยู่ที่ประตูตลอด หลังจากแน่ใจแล้วว่าผู้ที่มาคือเหมียวอี้ จือฉินก็รีบวิ่งขึ้นไปรายงานชั้นบน ส่วนจือซูก็นำเหมียวอี้ขึ้นไปชั้นบนด้วยความระมัดระวังและเคารพ
เหมียวอี้ถอดเครื่องปลอมตัวขณะกำลังเดินขึ้นไปชั้นบน สองพี่น้องหลางหลางและหวนหวนกำลังชะเง้อหน้าคอยอยู่ชั้นบน พอเห็นหน้าเขาก็เผยแววตาดีใจ แล้วย่อเข่าคำนับพร้อมกัน “นายท่าน!”
เหมียวอี้ยื่นมือไปประคองให้ทั้งสองยืนตรง เมื่อได้กลิ่นกายหอมกรุนจากตัวทั้งสอง ก็รู้ว่าอาบน้ำรอล่วงหน้าแล้ว จึงทักทายพร้อมรอยยิ้มบางๆ “ปล่อยให้รอนานแล้ว!”
ความดีอกดีใจที่ฉายอยู่ในดวงตาสองพี่น้องยากจะปิดบังได้ โอวหยางหลางกำชับลงไปทันที “รีบไปเตรียมสุราอาหาร!”
หญิงรับใช้ทั้งสี่เริ่มวิ่งเต้นทำงานทันที และไม่นานก็ยกอาหารมาวางบนโต๊ะ เห็นได้ชัดว่าเตรียมไว้นานแล้ว
นานๆ ทีจะได้อยู่ด้วยกัน เหมียวอี้หันไปสั่งว่า “พวกเจ้าสี่คนออกไปก่อน”
โอวหยางหวนโบกมือให้ทั้งสี่ออกไปทันที แล้วยกกาน้ำชารินให้ด้วยตัวเอง ทั้งสามชนถ้วยน้ำชาดื่มร่วมกัน สองสาวอารมณ์ชื่นมื่นเบิกบาน ปรนนิบัติอย่างสุดจิตสุดใจ ในเมื่อฮูหยินบอกมาแล้ว ว่าข้างนอกอาจจะกำลังมีนางจิ้งจอกมาล่อหลอกนายท่าน แบบนี้ก็แย่น่ะสิ สองสาวเรียกได้ว่าตัวฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่า วางความอับอายที่ทำให้สำรวมท่าทีเอาไว้ก่อน ประจบเอาใจอย่างฉลาดน่ารักมาก
ตอนกำลังรับประทานอาหาร เหมียวอี้ไม่แคล้วต้องถามว่าทั้งสองเป็นอย่างไรบ้างตออยู่พิภพเล็ก ทั้งสองไม่กล้สพูดอะไรมาก กลัวจะโดนสงสัยว่าเสี้ยมให้แตกคอกัน บอกเพียงว่าสบายดี
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “ข้าได้ยินฮูหยินบอกว่า ตอนอยู่ที่ยอดเขาหยกนครหลวง พวกเจ้าแทบจะไม่ก้าวขาออกจากตำหนักเลย เป็นเพราะมีใครกลั่นแกล้งหรือเปล่า?”
“ไม่มีค่ะ พวกเราตั้งอกตั้งใจฝึกตนมาโดยตลอด” โอวหยางหลางตอบด้วยเสียงต่ำเบา
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ที่จริงอวิ๋นจือชิวก็เคยเอ่ยให้เข้าได้ยินมาก่อน บอกว่าหงเหมียน ลู่หลิ่วทำกับตำหนักคู่แฝดเกินไป เพียงแต่อวิ๋นจือชิวก็ไม่อยากให้เหมียวอี้รู้สึกว่านางกำลังเสี้ยมให้แตกคอกัน จึงไม่ได้พูดอะไรมาก ทว่าเหมียวอี้มีพื้นเพมาจากตลาด ได้ยินเรื่องแบบนี้มาไม่น้อยเหมือนกัน ถ้าเป็นตระกูลใหญ่ที่มีภรรยาเยอะ ก็ไม่มีบ้านไหนที่ไม่เกิดการหึงหวงกัน มีหยิงมารวมตัวอยู่ด้วยกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่อย่างสงบ หัวใจของคนเรานี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ธรรมดาหรือคนในแดนฝึกตน ที่จริงแล้วไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย เขาใช้สมองคิดนิดเดียวก็พอจะเข้าใจเหตุการณ์คร่าวๆ แล้ว
คืนนี้บรรยากาศดี สองสาวเพิ่งมาเป็นครั้งแรก อารมณ์ดีไม่เบา เหมียวอี้เองก็ไม่อยากทำลายอารมณ์อันสุนทรีย์ของทั้งสอง ดังนั้นจึงไม่พูดเรื่องนี้เยอะ เพียงบอกว่า “ถ้าได้รับความไม่ยุติธรรมอะไรก็บอกฮูหยิน ฮูหยินน่ะเป็นคนปากร้าย แต่มีอำนาจตัดสินใจภายในบ้าน ข้าเองก็ให้เกียรตินาง ถ้าในบ้านมีเรื่องอะไรที่ไม่สะดวกจะเอ่ยปากบอกข้า พวกเจ้าก็สามารถบอกฮูหยินได้เลย ฮูหยินจะจัดการให้อย่างเหมาะสมแน่นอน”
“ค่ะ!” ทั้งสองเอ่ยรับ
“เอาล่ะ คืนนี้ไม่พูดเรื่องอื่นแล้ว พวกเราคุยเรื่องเบาๆ กันก็พอ! มา แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็ไม่เคยได้อยู่กับพวกเจ้าดีๆ เลย ข้าจะทำโทษตัวเองเพื่อภรรยา จะดื่มสุราให้พวกเจ้าสามจอกเพื่อขอโทษ”
สองสาวรีบบอกว่าไม่ต้องทำอย่างนั้น แต่กลับห้ามไว้ไม่อยู่ เหมียวอี้รินดื่มเองเสียเลย ทำโทษตัวเองสามจอกแล้วจริงๆ
ตอนหลังก็นับว่าทำตามคำสั่งของอวิ๋นจือชิวแล้ว บนปากราวกับป้ายน้ำผึ้งหวานเอาไว้ พยายามใช้คำพูดที่น่าฟังพูดเอาอกเอาใจให้ทั้งสองชื่นมื่น ชมว่าพวกนางยิ่งนับวันยิ่งสวยขึ้น ทั้งยังนำของสวยงามที่รวบรวมได้ในพิภพใหญ่มามอบให้ทั้งสองเป็นของขวัญ ปะเหลาะให้สองสาวหน้าชื่นตาบานได้จริงๆ พวกนางเลิกสำรวมท่าทีแล้ว ดื่มเป็นเพื่อนเขาหลายจอกด้วยอารมณ์อันนุ่มนวลหวานชื่น
หลังจากสุราอาหารบนโต๊ะเย็นลง บรรยากาศกำลังดี เหมียวอี้ก็ถามพร้อมรอยยิ้มว่า “หรูฮูหยินทั้งสอง คืนนี้ใครจะปรนนิบัติให้ข้าดีล่ะ?”
“น้องสาวแล้วกันค่ะ!” โอวหยางหลางตอบอย่างขวยเขิน
“พี่สาวค่ะ!” โอวหยางหวนรีบปฏิเสธ
เหมียวอี้จึงหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ไม่สู้ปรนนิบัติด้วยกันเลยเป็นไง?” เมื่อเห็นทั้งสองกัดริมฝีปากไม่พูดอะไร หน้าแดงเรื่อด้วยความเขินอาย ก็พูดเสริมอีกว่า “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของพวกเราเสียหน่อย นึกถึงปีนั้นตอนที่อยู่ที่ทะเลทรายม่านเมฆา พวกเจ้าสองคนก็ไม่ได้เกรงใจข้านี่นา!”
คำพูดนี้ยิ่งทำให้ทั้งสองอับอายจนทำอะไรไม่ถูก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่อวิ๋นจือชิวสั่งไว้ก่อนหน้านี้เกิดผลแล้วหรือเปล่า สุดท้ายโอวหยางหลางก็ตอบอย่างขวยเขินว่า “ทุกอย่างตามใจนายท่านค่ะ”
เช่นนั้นเหมียวอี้ก็ไม่เกรงใจแล้ว เป็นฝ่ายจูงมือทั้งสองเดินออกไปด้วยกันเองเลย…
ว่ากันว่าอิจฉาเพียงนกยวนยางที่ได้เคียงคู่ ไม่อิจฉาเทพเซียนผู้โดดเดี่ยว ความสุขของการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาย่อมยอดเยี่ยมอยู่แล้ว หลังจากพายุฝนสงบ ขณะกำลังนอนกอดซ้ายกอดขวาขบคิดถึงรสชาติ โอวหยางหลางก็ไม่ลืมที่จะเตือน นางถามหยั่งเชิงว่า “นายท่าน ฉีฉินซูฮว่าติดตามรับใช้พวกเรามาหลายปีแล้วมีไตรีจิตต่อพวกเราสองพี่น้อง แต่งงานติดตามมาด้วย แต่นายท่านกลับไม่รับพวกนางเข้าห้องเสียที ไม่ทราบว่านายท่านจะไปเชยชมพวกนางเมื่อไรเจ้าคะ?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ ก็นับว่ายังเป็นเรื่องสำคัญ คำสั่งของอวิ๋นจือชิวใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เหมียวอี้ตอบอย่างอึดอัดเก้อเขินนิดหน่อยว่า “พวกนางเป็นคนของพวกเจ้า เรื่องนี้ให้พวกเจ้าเตรียมการให้แล้วกัน”
พวกเขาย่อมเหมือนปลาที่ได้น้ำทั้งคืน กลิ้งเกลือกอยู่ในกระแสคลื่นหลายรอบ…
เป็นอย่างที่อวิ๋นจือชิวบอก เหมียวอี้ไม่สะดวกจะวิ่งมาที่นี่บ่อยจริงๆ สักวันหนึ่งอาจจะโดนคนจับตามองได้
โชดีที่ผีจวินจื่อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง ใช้เวลาเพียงสามวัน ทางอุโมงค์ใต้ดินที่คดเคี้ยวก็ถูกขุดสร้างเสร็จแล้ว เริ่มจากบ่อน้ำในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก บ่อน้ำของร้านโฉมเมฆา บ่อน้ำของร้านผลึกสกัด สามจุดถูกเชื่อมต่อเป็นส้นทางเดียวกันแล้ว ที่จริงถ้าอิงตามกฎของตลาดสวรรค์ ข้างล่างห้ามขุดช่องทางใต้ดิน แต่นี่เป็นอาณาเขตของเหมียวอี้ เขาไม่มีอะไรให้กลัว
ปากทางล้วนอยู่ในบ่อน้ำ ทั้งยังอยู่บนข้างกำแพงในบ่อน้ำด้วย ตอนที่ขุดสามจุดนี้ ก็ถือโอกาสปิดค่ายกลป้องกันของร้านโฉมเมฆากับร้านผลึกสกัดร่วมด้วย
เหมียวอี้กระโดดลงช่องทางลับในบ่อน้ำ เดินขึ้นไปบนเนิน พอเริ่มเดินลงเนินอีกครั้งถึงได้พบว่า เพื่อที่จะสร้างฉากกำบัง ไม่น่าเชื่อว่าผีจวินจื่อจะขุดลึกลงไปใต้ดินหนึ่งพันเมตร ไม่น่าเชื่อว่าจะหลีกเลี่ยงเส้นทางน้ำใต้ดินได้อย่างแม่นยำ อาศัยทางน้ำใต้ดินช่วยกำบัง ก็ยังทำให้คนสังเกตพบช่องทางใต้ดินได้ยาก ฝีมือช่างน่าทึ่งจริงๆ สมกับเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านการขุดรูโดยธรรมชาติ พิถีพิถันในหลักการจริงๆ
เพียงแต่ถ้าเป็นแบบนี้ การอ้อมไปอ้อมมาก็ยังทำให้อ้อมหลายเส้นทาง
ขระที่เดินอยู่ในทางใต้ดิน จู่ๆ ก็พบว่าในทางใต้ดินมีแสงสว่าง พอเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่าผีจวินจื่อขุดห้องใต้ดินเอาไว้ห้องหนึ่ง
“เจ้าหลบทำอะไรอยู่ข้างใน?” เหมียวอี้แปลกใจ
ผีจวินจื่อหัวเราะแห้งๆ แล้วตอบว่า “เถ้าแก่เนี้ยสั่งเสีย ว่าถ้าข้าไม่มีธุระอะไรก็ให้ฝึกตนอยู่ในนี้ ถ้าพบว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล ก็ให้ข้าทำลายทางใต้ดินนี้ซะ จะได้ไม่โดนคนพบเบาะแสอะไร”
ทำแบบนี้ก็เหมาะสม เหมียวอี้รู้สึกว่าอวิ๋นจือชิวคิดได้ละเอียดถี่ถ้วน จึงไม่ได้พูดอะไรมากอีก
เมื่อมีทางใต้ดินก็ไปมาหาสู่กันได้สะดวกแล้ว ภายใต้การไปมาหาสู่กันในเส้นทางใต้ดิน ฉีฉินซูฮว่าหญิงรับใช้ทั้งสี่ก็เป็นบุปผาบานสะพรั่งที่ถูกเหมียวอี้เด็ดให้เหี่ยวเฉาแล้วเช่นกัน ทุกๆ สองวันจะอยู่กับหนึ่งคน สุดท้ายก็ทำให้สี่สาวกลายเป็นผู้หญิงของตัวเองอย่างแท้จริงเสียที เหมียวอี้นับว่าได้เสพสุขกับวาสนา แต่ในใจก็ยิ้มเจื่อนเหมือนกัน นี่ไม่ใช่ความรักที่เขาใฝ่ฝันเหมือนเมื่อก่อน ทว่าเมื่อเดินมาจนถึงระดับหนึ่ง ความรักระหว่างชายหญิงก็ยังต้องหลีกทางให้กับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ จะว่าเขาไม่จริงใจก็ได้ จะว่าเขาดัดจริตก็ได้ เขามองว่าสิ่งนี้คือการทำภารกิจให้เสร็จสิ้นอย่างแท้จริง ตอนที่อยู่ด้วยกันยังต้องปฏิบัติตัวอย่างอ่อนโยนด้วย ทำให้ฉีฉินซูฮว่าจจำความดีของเขาเอาไว้ ส่วนต้องรออีกนานแค่ไหนถึงจะได้แตะต้องพวกนางอีกครั้ง เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
…………………………
บทที่ 994 การโต้กลับของเซี่ยโห้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้บัญชาการเขตเมืองคนหนึ่งของตลาดสวรรค์ วันๆ แทบจะไม่ต้องทำงานอะไร ยามปกติมีปัญหาเกิดขึ้นน้อยมาก นอกจากคนบ้าอย่างโค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิง โดยทั่วไปก็ไม่มีใครกล้าก่อเรื่องที่ในสถานที่แบบตลาดสวรรค์แล้ว ดังนั้นสถานการณ์จึงสงบมั่นคง พวกงานเบ็ดเตล็ดหยุมหยิมย่อมมีลูกน้องระดับล่างไปจัดการ ส่วนใหญ่เหมียวอี้จะอยู่ในสภาวะฝึกตนอย่างสงบใจ
“สุรานี้รสชาติใช้ได้เลยนะ เป็นสุราอะไร?” อิงอู๋ตี๋ถาม
เวลาไม่มีธุระงานการอะไร ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็จะมาดื่มสุรากับเหมียวอี้ ก็เหมือนในตอนนี้ เก้าอี้นอนสามตัวถูกจัดวางเป็นสามมุม ตรงกลางวางโต๊ะไว้ตัวหนึ่ง ทั้งสามคนนอนเอนกาย ดื่มสุราดูดาวกันอย่างเกียจคร้าน รู้สึกเบื่อหน่ายมากทีเดียว
ว่ากันตามจริง นี่ไม่ใช่ชีวิตในพิภพใหญ่แบบที่ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋จินตนาการไว้ เพราะสุขสบายจนไร้เหตุผล เทียบไม่ติดกับความตื่นเต้นเร้าใจยามปล้นเกาะศักดิ์สิทธิ์ เทียบไม่ติดกับความระมัดระวังตัวตอนอยู่ทะเลดาวนักษัตร อยู่ที่นี่แทบจะไม่มีภัยคุกคามอะไรเลย
“ภัตตาคารที่อยู่ทางฝั่งเหนือส่งมาให้ ถ้ารู้สึกว่าอร่อยเดี๋ยวข้าจะให้คนสั่งมาให้พวกท่านเยอะๆ” เหมียวอี้ตอบอย่างเกียจคร้าน
“ช่างเถอะ!” อิงอู๋ตี๋บ่นพึมพำ ใช้มือข้างหนึ่งยันหนุนศีรษะ พร้อมจิบสุราเบาๆ
“เป่าเหลียน ตรงนี้ไม่ต้องรับใช้หรอก เจ้าไปพักผ่อนเถอะ” เหมียวอี้หันไปมองเป่าเหลียนที่ช่วยรินสุราให้
“ไม่เป็นไรค่ะ!” เป่าเหลียนเอ่ยรับเบาๆ แต่พอเห็นเหมียวอี้โบกมือ ก็ยังต้องถอยออกไป
จากนั้นเหมียวอี้ก็โยนแหวนเก็บสมบัติสองวงให้ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ “เอาไปใช้ก่อนแล้วกัน”
เขามอบยาแก่นเซียนให้คนละหนึ่งล้านเม็ด
หลังจากแยกย้ายกันตอนเที่ยงคืน อาศัยอารมณ์อันสนุกสนานที่เกิดจากฤทธิ์สุรา เหมียวอี้แอบดำเข้าไปในบ่อน้ำอย่างเงียบๆ ออกไปจากจวนผ่านทางใต้ดิน
เมื่อมีทางใต้ดินแล้ว เขาก็ไปที่ร้านโฉมเมฆาได้สะดวกเช่นเดียวกัน พอไปถึงทางแยก ก็ใช้ระฆังดาราติดต่อกับอวิ๋นจือชิว หลังจากปิดค่ายกลป้องกันของร้านโฉมเมฆาชั่วคราวแล้ว เขาถึงได้ล่วงล้ำเข้าไป พอเขาผ่านเข้าไป ค่ายกลป้องกันก็ถูกเปิดใช้งานทันที
เมื่อปีนออกจากบ่อน้ำของร้านโฉมเมฆา ก็เจอพ่อครัวที่กำลังนั่งสมาธิเฝ้าอยู่ในตึกด้านหลังและหรี่ตามองเขาแวบหนึ่ง จึงยิ้มให้อีกฝ่ายแล้วขึ้นไปบนตึกโดยตรง เขาไม่เกรงใจเลยสักนิด ร่ายอิทธิฤทธิ์เปิดประตูห้องของอวิ๋นจือชิวโดยตรง
ประตูมายาของชัยภูมิถ้ำสวรรค์กำลังเปิดรอเขาแล้ว เขาจึงบุกเข้าไปโดยตรง เจอกับอวิ๋นจือชิวที่กำลังรอเขาอยู่ในลานบ้าน
เมื่อพบหน้ากัน อวิ๋นจือชิวก็ขมวดคิ้วถาม “ทำไมไม่สงบจิตสงบใจฝึกตน จะวิ่งมาที่นี่ซี้ซั้วทำไม?”
“มาหาฮูหยินของตัวเองที่นี่ นับว่าวิ่งมาซี้ซั้วได้เหรอ?” เหมียวอี้ก้าวเข้ามาแล้วไม่พูดพร่ำทำเพลง อุ้มนางเดินก้าวยาวเข้าไปในห้องนอนใหญ่ทันที
อวิ๋นจือชิวที่ถูกเขาอุ้มกลอกตามองบน “กลิ่นสุราเต็มตัว นี่เจ้ารู้จักอายบ้างรึเปล่า มีคนมองอยู่นะ?”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ กลั้นขำ เหมียวอี้จึงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “กลัวอะไร ไม่ใช่คนนอกเสียหน่อย”
พอเข้ามาในห้องนอน เหมียวอี้ที่อาศัยฤทธิ์สุราก็อดใจรอไม่ไหว ซุกศีรษะเข้าไปในหน้าอกขาวอวบอิ่มของอวิ๋นจือชิว…
หลังจากทั้งสองได้ผ่อนคลาย ก็นอนกอดกันอยู่บนเตียง เหมียวอี้ง่วงนอนอยากจะหลับ อวิ๋นจือชิวกลับผลักเขาแล้วถามว่า “เป่าเหลียนที่พักอยู่ในเรือนของเจ้านี่ยังไงกันปน่? พวกเจ้าสองคนคงไม่ได้นอนด้วยกันหรอกใช่มั้ย?”
เหมียวอี้พึมพำตอบว่า “พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า เจ้าสำนักอวี้หลิงฝากฝังให้ข้าดูแล ถ้าปล่อยนางไว้ในฝูงผู้ชายจะไม่เหมาะสมไง”
อวิ๋นจือชิวพ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “เอาไว้ข้างกายหมาป่าอย่างเจ้าจะเหมาะเหรอ? สักวันก็ต้องโดนเจ้าเขมือบ!”
“อย่ามาใส่ร้ายกันสิ นอนเถอะ!” เหมียวอี้กอดเนื้อขาวๆ ของนาง แล้วเริ่มนอนกรนเบาๆ ดูท่าทางจะสงบใจไร้ที่เปรียบ
ที่จริงแล้วร้านที่เขามาบ่อยที่สุดก็คือที่นี่ ถึงแม้ร้านของสองพี่น้องโอวหยางจะมีคนสวยเยอะและมีเสน่ห์หลากหลาย แต่ที่มานอนกอดบ่อยที่สุดก็ยังเป็นที่นี่ มาทุกๆ สามวันห้าวัน บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเพราะอะไร ผู้หญิงคนอื่นต่อให้เย้ายวนใจและสวยแค่ไหน แต่สถานที่พักผ่อนที่แท้จริงของเขาก็ยังเป็นที่นี่ ตอนที่ได้กอดเรือนร่างหอมและอ่อนโยนของอวิ๋นจือชิว ดมกลิ่นหายหอมที่คุ้นเคยของนาง ก็ให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน ทำให้เวลาพักผ่อนรู้สึกสบายใจและสงบใจเป็นพิเศษ
อวิ๋นจือชิวก็รู้สึกได้ถึงความคิดของเขาเช่นกัน นางมองเขาด้วยสีหน้าเอ็นดูทะนุถนอม ยื่นมือไปลูบผมเขาเบาๆ จูบบนหน้าผากของเขาอย่างอ่อนโยน แล้วก็มุดศีรษะไปในอ้อมอกของเขา ก่อนจะหลับตาลงอย่างหวานชื่น…
คนที่คุมตำหนักพ่อบ้านของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกในตอนนี้ก็คือชิงเฟิง ลูกน้องที่ทำธุระประจำวันให้ก็คือหูเฟย ผู้หญิงคนนี้เป็นนางจิ้งจอกช่างยั่วโดยธรรมชาติอย่างแท้จริง เวลาพูดจาก็ออเซาะ ไม่ว่าจะเดินไปไหน หน้าอกขาวอวบอิ่มก็โผล่ออกมาครึ่งหนึ่งเพื่อดึงดูดสายตาผู้ชายเสมอ ดังนั้นพวกเพื่อนๆ ของเลี่ยหวนจึงชอบลวนลามนางเป็นพิเศษ เลี่ยหวนไม่ไว้วางใจสุดๆ จึงขอร้องให้จัดหูเฟยให้เข้าไปอยู่ในตำหนักพ่อบ้าน ให้อยู่แยกกับผู้ชายพวกนั้น
เวลาหูเฟยไม่มีกิจธุระต้องทำ นางก็จะนั่งอยู่หลังโต๊ะยาวหน้าตำหนักพ่อบ้าน วางเท้าเปลือยสองข้างพาดบนโต๊ะ ปากก็พึมพำร้องเพลงเบาๆ ในมือถือตะไบอันเล็กถูเล็บที่นิ้วมือ ทำเอาทหารสวรรค์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกแอบมองมาบ่อยๆ
หลังจากตะไบเล็บเสร็จแล้ว ถ้ายังไม่มีเรื่องอะไรมาให้จัดการอีก หูเฟยก็จะไม่ทำงานของทางการแล้ว จะสั่งลูกน้องลงไปว่า มีธุระอะไรพรุ่งนี้เช้าค่อยมาหาใหม่ ส่วนนางก็จะแต่งตัวสวยออกไปเดินเล่นที่ตลาด พอเดินเล่นเสร็จกลับมา ถึงได้สงบจิตสงบใจฝึกตน
นี่คือชีวิตอันเอ้อระเหยลอยชายหลังจากได้มาที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก แต่หูเฟยก็ชอบชีวิตแบบนี้ นางรู้สึกว่านี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าชีวิต น่าสนใจกว่าอยู่ที่ป่าเขารกร้างอย่างทะเลดาวนักษัตรตั้งเยอะ
ผู้ชายอยู่ห่างจากผู้หญิงไม่ได้ กลุ่มปีศาจเฒ่าแทบจะไม่ได้พาคนในครอบครัวมาด้วยเลย ส่วนใหญ่ยังไม่มีครอบครัว คู่สามีภรรยาแบบเลี่ยหวนหาพบได้น้อยมาก แต่ตอนอยู่ที่พิภพเล็ก พวกเขาก็ไม่ได้ขาดผู้หญิงเช่นกัน แต่หลังจากมาที่พิภพใหญ่ จวนผู้บัญชาการก็ห้ามไม่ให้ไปนอนค้างอ้างแรมซี้ซั้ว ตอนหลังมีทหารสวรรค์คนอื่นๆ แนะนำ กลุ่มปีศาจเฒ่าจึงกลายเป็นแขกประจำของหอโคมเขียว นี่ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเช่นกัน แม้แต่ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็ไปเป็นแขกในบางครั้ง รวมทั้งพวกบัณฑิตกับพ่อครัวของร้านโฉมเมฆาด้วย อวิ๋นจือชิวก็ทำเป็นปิดตาข้างเดียวเหมือนเดิม ตอนอยู่ที่ทะเลทรายม่านเมฆาก็เป็นแบบนี้ ผู้ชายในโลกนี้เข้าออกหอโคมเขียวกันเป็นเรื่องปกติมาก ไม่มีใครรู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง
ถึงแม้จะใจกว้างกับผู้ชายคนอื่น แต่ไม่ได้แปลว่าจะใจกว้างกับผู้ชายของตัวเอง อวิ๋นจือชิวเรียกได้ว่าเตือนเหมียวอี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าอย่าเอาเยี่ยงอย่าง ถ้ากล้าไปแตะต้องผู้หญิงสกปรกที่ใช้งานได้สาธารณะที่หอโคมเขียวล่ะก็ ต่อไปก็อย่าได้มาแตะต้องนางอีกเลยตลอดชีวิต แถมนางยังจะสู้ตายกับเหมียวอี้ด้วย ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าในบ้านจะไม่มีผู้หญิง แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็ไม่เคยห้ามเวลาที่เจ้าไปหาสองพี่น้องโอวหยาง สรุปก็คือไม่อนุญาตให้เหมียวอี้ไปที่หอโคมเขียว ขีดเส้นตายไว้ให้เหมียวอี้ชัดเจน
ที่จริงนับว่าเหมียวอี้ควบคุมตัวเองได้ดีกับเรื่องพวกนี้ แต่ก็เกิดเรื่องกับบางคนแล้ว เกิดเรื่องกับเลี่ยหวนแล้ว!
ถึงแม้หูเฟยจะเป็นคนสวยเย้ายวนใจ แต่เมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ ก็เบื่อเหมือนกัน ทั้งยังไม่ขาดผู้หยิงเท่าตอนอยู่หุบเขาเพลิงนภาด้วย เลี่ยหวนจึงทนการชักชวนของพวกเพื่อนๆ ทหารไม่ไหว คุยว่าดานเด่นร้านไหนเป็นยังไง คุยจนเลี่ยหวนเกือบน้ำลายไหล จึงออกไปมั่วกับเขาด้วยเหมือนกัน
เขาเองก็เจ้าเล่ห์เหมือนกัน เป็นกระต่ายที่ไม่กินหญ้าในรัง วิ่งไปที่หอโคมเขียวเขตเมืองตะวันตก เขตเมืองเหนือ เขตเมืองใต้โดยเฉพาะ คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะหลบพ้นสายตาคนรู้จัก จะได้ไม่ให้ฮูหยินของตัวเองจับได้ แต่ผลปรากฏว่าไม่รู้ใครทำเสียเรื่อง ข่าวหลุดไปถึงหูหูเฟย โดนหูเฟยจับได้คาหนังคาเขาที่เขตเมืองเหนือ เกิดเรื่องราวใหญ่โตทันที!
หูเฟยประสาทเสียแล้ว! นอกจากฆ่าผู้หญิงที่กำลังร่วมรักกับเลี่ยหวนตายคาที่ นางกับต่อสู้กับเลี่ยหวนอีกด้วย ทำให้หอโคมเขียวของคนอื่นพัง
แบบนี้ก็แย่น่ะสิ คนของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือก็ไม่ใช่เล่นๆ จับตัวสองสามีภรรยาไปทันที หลังจากยืนยันตัวตนแล้ว ก็ให้คนของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกไปรับตัวเอง เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องตลกไปแล้ว เหมียวอี้ไม่สะดวกจะออกหน้า แบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ? เขาให้ฝูชิงไปรับตัวลูกน้องเอง
ทว่าให้ฝูชิงไปกลับไม่มีประโยชน์ อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย จะให้เหมียวอี้ไปรับด้วยตัวเองให้ได้
“ผู้บัญชาการมู่หรง เป็นคนกันเองทั้งนั้น เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องให้ผู้บัญชาการใหญ่โค่วออกหน้าด้วยตัวเองหรอกมั้ง?”
หลังจากมาถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือ และได้พบกับผู้บัญชาการมู่หรงซิงหัวแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าหน้าด้านขอร้อง อีกฝ่ายต้องการจะจัดการตามกฏระเบียบ การฆ่ากันตายในตลาดสวรรค์ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ในฐานะที่เขาเป็นคุณชายห้าของทะเลดาวนักษัตร เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สนใจ! มิหนำซ้ำเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ คนที่สามารถเปิดหอโคมเขียวตลาดสวรรค์ได้ แสดงว่าอำนาจที่หนุนหลังไม่ใช่น้อยๆ ถ้าเขาไม่ออกหน้าเองก็จัดการเรื่องนี้ไม่ได้
เมื่อเห็นเขาอ้างชื่อโค่วเหวินหลาน มู่หรงซิงหัวก็แสยะยิ้มแล้วบอกว่า “เจ้าวัดไม่ดี หลวงชีสกปรก!”
เหมียวอี้พูดไม่ออก รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังว่าเรื่องที่ตนไปชอบผู้หญิงที่มีสามีแล้ว แต่ก็นับว่ายังไว้หน้าโค่วเหวินหลาน มู่หรงซิงหัวรับปากว่าจะปล่อยคน แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ยังต้องชดใช้ แถมทางหอโคมเขียวก็ต้องการให้เขาไปจัดการด้วยตัวเอง ขอเพียงหอโคมเขียวไม่เอาเรื่อง นางถึงจะปล่อยผ่านไปได้
ดังนั้นเหมียวอี้จึงต้องไปหาแม่เล้าของหอโคมเขียวด้วยตัวเอง ว่ากันตามจริง ดูจากอำนาจที่หนุนหลังอีกฝ่ายแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเหมียวอี้เหมือนกัน แถมนี่ก็ไม่ใช่อาณาเขตของเหมียวอี้ เหมียวอี้ควบคุมไม่ได้ อีกฝ่ายมีอะไรให้กลัวล่ะ สุดท้ายก็ยังพิจารณาว่าเหมียวอี้มีโค่วเหวินหลานคุ้มกะลาหัวอยู่ นับว่าเห็นแก่หน้าโค่วเหวินหลาน ให้ชดใช้เงินเพื่อจบเรื่อว
หลังจากรับตัวเลี่ยหวนกับหูเฟยกลับมาแล้ว เหมียวอี้ก็ตะคอกด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ข้าเสียหน้าหมดแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าต้องไปขอโทษที่หอโคมเขียว วันหลังเรื่องนี้ต้องแพร่ไปทั้งตลาดสวรรค์แน่นอน พี่รอง คนของท่าน ท่านจัดการเอาเองเถอะ!”
ฝูชิงก็โมโหเหมือนกัน ไม่นานก็สืบได้ว่าคนที่ชี้นำให้หูเฟยไปหาเลี่ยหวนคือใคร เรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ หูเฟยก็ไม่กล้าปิดบังเช่นกัน : ราชากระดูกขาว!
ราชากระดูกขาวกับเลี่ยหวนมีความสัมพันธ์ต่อกันค่อนข้างดี นี่เป็นการหาความบันเทิงเพราะเบื่อหน่ายแท้ๆ แต่ใครจะคิดว่าหูเฟยจะทำให้เรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ ผลก็เลยแย่มาก!
ชิงเฟิงลงโทษตามคำพิพากษาด้วยสีหน้าเย็นเยียบ ซ้อมทั้งสามจนสาหัสปางตาย ทั้งหมดโดนซ้อมจนมือเท้าหัก ห้ามไม่ให้ทั้งสามติดต่อกันเลยภายในหนึ่งเดือน ต้องให้ทั้งสามได้รับความเจ็บปวดทรมานเป็นเวลาหนึ่งเดือน ลดเงินเดือนเพื่อลงโทษทั้งสามก็ยิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลังจากจบเรื่องนี้ หูเฟยก็ยิ่งเปิดกว้างขึ้น พูดจาออเซาะยิ่งกว่าเดิม ถึงขั้นโอบไหล่กับผู้ชายคนอื่นอย่างโจ่งแจ้ง เลี่ยหวนรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที ขอร้องไปก็ไร้ประโยชน์ ทำได้เพียงเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด กลัวตัวเองจะโดนสวมเขา
นี่คือเรื่องน่ารำคาญใจที่เกิดขึ้นเพราะว่างเกินไป แต่สำหรับการฝึกตน สภาพแวดล้อมแบบนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว แต่ความยุ่งยากที่ควรจะมาก็ยังต้องมา
ในจวนผู้บัญชาการใหญ่ ผู้บัญชาการทั้งสี่รวมตัวกันรออยู่ พวกเขากระซิบกระซาบคุยกัน ไม่รู้ว่าจู่ๆ ผู้บัญชาการใหญ่เรียกพบด้วยเรื่องอะไร
เมื่อเห็นโค่วเหวินหลานออกมา ทุกคนก็ทำสีหน้าจริงจังทันที แล้วคำนับพร้อมกัน “คำนับผู้บัญชาการใหญ่!”
ไม่กี่ปีมานี้ ใบหน้าของโค่วเหวินหลานค่อยๆ เปลี่ยนเป็นขาวขึ้นแล้ว แต่ในตอนนี้เหมือนจะสีหน้าค่อนข้างจริงจังหนักแน่น กวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “คาดว่าพวกเจ้าคงจะรู้แล้ว ปีหน้าตำหนักสวรรค์จะสุ่มทดสอบครั้งแรกในรอบพันปี ข้ารู้สถานการณ์มาล่วงหน้าจากแหล่งข่าว ระดับที่จะต้องสุ่มทดสอบครั้งนี้คือระดับผู้บัญชาการอย่างพวกเจ้า จะสุ่มผู้บัญชาการหนึ่งพันคนจากที่ต่างๆ มาทำการทดสอบ ดูว่าสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือเปล่า!”
ทั้งสี่ตะลึงงัน การสุ่มทดสอบแบบนี้ สุ่มเฉพาะระดับผู้บัญชาการใหญ่ขึ้นไปไม่ใช่เหรอ ผู้บัญชาการเล็กๆ อย่างพวกเรามีอะไรน่าทดสอบ? มู่หรงซิงหัวผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือกุมหมัดถามว่า “ฟังจากที่ผู้บัญชาการใหญ่กล่าว หรือว่าหนึ่งในพวกเราสี่คนจะมีคนโดนสุ่มแล้ว?”
“ในบรรดาพวกเจ้าสี่คน โดนเลือกกันทั้งหมด!” โค่วเหวินหลานตอบอย่างชัดถ่อยชัดคำ
ทั้งสี่พูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง เรื่องนี้ผิดปกติเกินไปแล้ว
“ผู้บัญชาการจากที่ต่างๆ มีเยอะจนนับไม่ถ้วน สุ่มเลือกจากหนึ่งพันคน ทำไมบังเอิญสุ่มได้พวกเราสี่คนพอดีเลยล่ะขอรับ?” หยางไท่ผู้บัญชาการเขตเมืองใต้ถาม
โค่วเหวินหลานตอบด้วยเสียงทุ่มต่ำว่า “เรื่องนี้ข้าสืบมาชัดเจนแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงเล่นไม่ซื่ออยู่เบื้องหลัง หลังจากเขาถูกคุมตัวไปรับโทษที่ตำหนักสวรรค์เสร็จ ก็เข้าร่วมเป็นที่ปรึกษาในการสุ่มทดสอบครั้งนี้ ครั้งนี้เลยสุ่มระดับผู้บัญชาการ เจ้าบ้านี่มันสร้างผลงานอยู่เบื้องหลังไม่น้อยเลย!”
…………………………
บทที่ 995 ภูมิหลังสูงทะลุฟ้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
เซี่ยโห้วหลงเฉิง? ที่แท้ก็เป็นเจ้าบ้านี่เองเหรอ! เหมียวอี้กับสวีถังหรานร่ำร้องในใจพร้อมกัน ทำไมไอ้หมีควายนั่นไม่ไปตายซะ ช่างเป็นผีที่วิญญาณไม่สูญสลาย!
ทุกคนเข้าใจในชั่วพริบตาเดียว ไม่ต้องพูดแล้ว ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นแค่ที่ปรึกษาที่ทำงานแทนคนอื่น แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่มีอำนาจหนุนหลังแข็งแกร่ง! ทำให้เกิดการสุ่มทดสอบระดับผู้บัญชาการได้ ก็ชัดเจนแล้วว่าพุ่งเป้ามาทางนี้ ครั้งก่อนโดนโค่วเหวินหลานกดดันให้ออกไป ครั้งนี้อีกฝ่ายกลับมาโต้ตอบแล้ว ถ้าไม่ได้ชำระแค้นก็ไม่ยอมเลิกรา!
พอได้ยินชื่อเซี่ยโห้วหลงเฉิง มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่ก็มองไปทางเหมียวอี้กับสวีถังหรานแทบจะพร้อมกัน หลังจากเหมียวอี้เห็นสายตาของทั้งสอง ตัวเองก็ไม่อยากเป็นตัวการเพียงคนเดียวในสายตาทุกคน จึงหันไปมองสวีถังหราน ราวกับกำลังบอกว่าไม่เกี่ยวกับข้านะ ทั้งหมดเป็นเพราะสวีถังหราน
ที่จริงเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะมาคิดบัญชีกับเหมียวอี้หรือไม่ เขาเองก็ไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด ทำได้เพียงร่ำร้องในใจ เจ้าหมีควายเซี่ยโห้วหลงเฉิงนั่นเรียนรู้จนฉลาดแล้ว เมื่อก่อนใช้กำลังปะทะตรงๆ แล้วเสียเปรียบบ่อย ตอนนี้รู้จักเล่นสกปรกลับหลังแล้ว อาศัยภูมิหลังของเจ้าบ้านั่น ถ้าเล่นสกปรกขึ้นมา ก็จะเล่นถึงขั้นมีคนตายแน่นอน
เหมียวอี้สงสัยว่าเรื่องนี้มีใครออกความคิดให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ไม่อย่างนั้นอาศัยสมองอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิง ก็ไม่มีทางอดทนรอเวลาอย่างช้าๆ เพื่อล้างแค้นแบบนี้ได้เลย
ถึงแม้แขนของสวีถังหรานจะงอกออกมาแล้ว แต่ในใจกลับเป็นทุกข์มาก เขายังจดจำดาบนั้นของเซี่ยโห้วหลงเฉิงได้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้น มันแทบจะฟันเขาขาดครึ่งท่อนแล้ว
ที่จริงเขารับตำแหน่งผู้บัญชาการนี้ได้อย่างน่าสงสารมากทีเดียว เมื่อเซี่ยโห้วหลงเฉิงบุกมาคราวนั้น ประกอบกับคำเตือนตอนที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงโดนจับไป หลังจากเขาได้นั่งรักษาการณ์ที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก ยามปกติก็แทบจะไม่กล้าออกจากประตูจวนเลย กลัวว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะโผล่มาเอาดาบฟันอีก คนบ้าอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่สนใจเหตุผลอะไรทั้งนั้น เป็นไปได้สูงว่าจะเกิดเหตุขึ้นซ้ำอีกครั้ง สิ่งนี้แทบจะกลายเป็นอาการป่วยจิตของเขา ตอนนี้พอได้รู้ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงเล่นแบบนี้ ก็ขนหัวลุกจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความคิดแรกก็คือพุ่งเป้ามาที่เขา ดีไม่ดีถ้าไม่เล่นงานเขาจนถึงตาย อีกฝ่ายก็อาจจะไม่เลิกรา!
หลังจากสบตากับหยางไท่แวบหนึ่ง ในที่สุดมู่หรงซิงหัวก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ข้าน้อยกับหยางไท่ไม่มีความแค้นกับเซี่ยโห้วหลงเฉิง เขาจะนับพวกเราสองคนไปด้วยทำไม?”
โค่วเหวินหลานตอบว่า “คิดบัญชีหนิวโหย่วเต๋อกับสวีถังหรานเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ที่นับพวกเจ้าสองคนไปด้วยก็ย่อมเป็นเพราะพุ่งเป้ามาที่ข้า ลองคิดดูสิ ถ้าใต้สังกัดข้าไม่มีผู้บัญชาการที่เหมาะสมกับตำแหน่งเลยสักคน นั่นก็แปลว่าผู้บัญชาการใหญ่อย่างข้าก็ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งเหมือนกัน ไม่เข้าใจว่าจะเป็นผู้บัญชาการที่ดีได้ยังไง จะได้ฉวยโอกาสดึงข้าลงจากตำแหน่งเพื่อล้างความอัปยศ!”
มู่หรงซิงหัวกับหยางไท่สบตากันแวบหนึ่ง ได้แอบทอดถอนใจ พวกเราไปมีเรื่องกับใครเสียที่ไหนล่ะ อยู่ดีๆ ก็ลำบากไปด้วยแบบนี้ ไม่ได้รับความเป็นธรรม!
“ในเมื่อผู้บัญชาการใหญ่รู้ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงพุ่งเป้ามาที่ท่าน เหตุใดท่านจึงไม่ห้ามล่ะ?” หยางไท่ถาม
โค่วเหวินหลานตอบว่า “แต่ไหนแต่ไรมา ถ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีความแค้นก็จะล้างแค้นทันที พอเรื่องนี้เปิดเผยออกมา ก็ดูไม่เหมือนนิสัยของเซี่ยโห้วหลงเฉิงเลย ตอนแรกข้ายังไม่สังเกต แต่หลังจากรอจนแน่ใจเรื่องนี้แล้ว รอจนชื่อของพวกเจ้าถูกรายงานขึ้นไปรวมกับหนึ่งพันรายชื่อ จนได้รับการอนุมัติจากราชันสวรรค์แล้ว คำสั่งของราชันสวรรค์จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร ต่อให้มีคนสามารถโน้มน้าวราชันสวรรค์ให้ยกเลิกคำสั่งได้ แต่คงไม่เอ่ยปากเพื่อคนต่ำต้อยไร้ความสำคัญอย่างพวกเราหรอก ดังนั้นเรื่องนี้จึงหลีกเลี่ยงได้ยากแล้ว!”
พวกลูกน้องพูดไม่ออก โดยเฉพาะสวีถังหราน สีหน้าซีดเผือดไปแล้ว กำลังหวาดกลัวว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะใช้วิธีการอะไรทำให้เขาตาย
จู่ๆ โค่วเหวินหลานก็ยืนขึ้น “ข้ารู้ว่าทุกคนเดาประวัติภูมิหลังของข้าออก วันนี้ผู้บัญชาการคนนี้จะบอกความจริงให้ทุกคนรู้ อ๋องสวรรค์โค่ว หนึ่งในอ๋องสวรรค์ของตำหนักสวรรค์คือปู่ของข้าเอง!”
ทุกคนอึ้งทันที แต่กลับไม่แปลกใจ ที่จริงทุกคนเดาออกตั้งนานแล้วว่าเขามาจากตระกูลโค่ว คนที่มีอำนาจหนุนหลังใหญ่ขนาดนั้นที่ตำหนักสวรรค์ ทั้งยังแซ่โค่ว ก็คงจะมีแค่ท่านนั้นแล้ว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าโค่วเหวินหลานจะเป็นหลานชายของอ๋องสวรรค์โค่ว แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในบรรดาหลานของอ๋องสวรรค์โค่ว เขามีฐานะเป็นอย่างไร
“ภูมิหลังของเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้า อาหญิงของเขาเป็นราชินีสวรรค์ เป็นมารดาแห่งใต้หล้า ไม่ได้อยู่ในลำดับอาวุโส แต่เป็นอาแท้ๆ!” โค่วเหวินหลานกล่าวเสริมอย่างช้าๆ
เรื่องนี้ทุกคนก็เดาได้แล้วเหมือนกัน ราชินีสวรรค์คนปัจจุบันแซ่เซี่ยโห้ว ทุกคนสงสัยนานแล้วว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาจากตระกูลเซี่ยโห้ว เพียงแต่เดาไม่ถูกว่ามีความสัมพันธ์อย่างไร และนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะเป็นหลานชายแท้ๆ ของราชินีสวรรค์ ภูมิหลังแบบนี้น่าตกใจเกินไปแล้ว นี่เป็นภูมิหลังที่อยู่ระดับสูงสุดแล้ว สวีถังหรานตกใจจนแทบเข่าอ่อน
แต่สิ่งที่ทั้งสี่สงสัยก็คือ ถ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีคนหนุนหลังใหญ่ขนาดนั้น ทำไมโค่วเหวินหลานถึงกล้าสู้กับเซี่ยโห้วหลงเฉิงล่ะ?
สุดท้ายก็ยังเป็นโค่วเหวินหลานที่เปิดเผยเบื้องลึกของตัวเอง “ข้ารู้ว่าทุกคนกำลังคิดอะไร ที่จริงเรื่องราวไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ทุกคนคิด ราชินีสวรรค์ก็คือราชินีสวรรค์ ตระกูลเซี่ยโห้วก็คือตระกูลเซี่ยโห้ว ถึงอย่างไรเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่ได้รับความเอ็นดูจากตระกูลเซี่ยโห้วสักเท่าไร เหตุผลก็ไม่ซับซ้อนเลย ทุกคนก็รู้จักนิสัยเซี่ยโห้วหลงเฉิงดี เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลเซี่ยโห้วจะใช้ให้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญ ดังนั้นทุกคนจึงไม่ต้องกลัว ถึงแม้เรื่องสุ่มทดสอบครั้งนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว แต่ข้าก็หาคนไปเข้าร่วมด้วยเหมือนกัน ไม่ให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงทำอะไรพวกเจ้าอย่างโจ่งแจ้งแน่ แต่พวกเจ้าต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ผ่านการทดสอบครั้งนี้…ข้าจะพูดให้ชัดเจนกว่านี้อีกหน่อยแล้วกัน การทดสอบของพวกเจ้าครั้งนี้สำคัญกับข้ามาก ถ้าถ่วงขาให้ข้าถอยหลัง ในภายหลังถ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะทำอะไรกับพวกเจ้า นั่นก็ไม่เกี่ยวกับข้าแล้ว แต่ถ้าใครสามารถทดสอบได้อันดับดีๆ ไม่ช้าก็เร็วที่ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของข้าจะเป็นของเขา แล้วข้าจะบรรจุเขาให้เป็นข้ารับใช้ของตระกูลโค่วด้วย ในภายหลังถ้าพบปัญหาความยุ่งยากอะไร ตระกูลโค่วของข้าจะไม่นิ่งดูดายแน่!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็ทั้งตกใจทั้งดีใจ! เหมียวอี้พึมพำในใจ สงสัยว่าระหว่างโค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นอย่างไรกันแน่ ดูจากที่พวกเขาสองคนสู้กัน เหมือนจะไม่ใช่เพราะหวงฝู่จวินโหรวอย่างเดียว เมื่อใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานๆ เขาก็มองออก ว่าที่จริงโค่วเหวินหลานไม่ได้สนใจหวงฝู่จวินโหรวสักเท่าไรเลย เป็นเพราะรู้ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงชอบหวงฝู่จวินโหรว เขาถึงได้มาแย่งชิง แต่พอเซี่ยโห้วหลงเฉิงไปแล้ว ก็ไม่เห็นว่าโค่วเหวินหลานจะไปมาหาสู่กับหวงฝู่จวินโหรวอีก ในนั้นมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรกันแน่?
“ผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ทราบว่าจะทดสอบอะไรขอรับ?” เหมียวอี้กุมหมัดถาม แล้วบอกว่า “ถ้ารู้แต่เนิ่นๆ พวกเราจะได้เตรียมตัวล่วงหน้า”
โค่วเหวินหลานตอบว่า “ที่บอกให้พวกเจ้ารู้ล่วงหน้าตอนนี้ ก็เพราะอยากให้พวกเจ้าเตรียมตัวได้อย่างเต็มที่ ส่วนจะทดสอบหัวข้ออะไร ตอนนี้ยังไม่มีหัวข้อออกมา หลักๆ เป็นเพราะป้องกันไม่ให้มีคนโกง หัวข้อทดสอบเป็นเรื่องสำคัญ เกรงว่าคงรอให้ใกล้ถึงเวลาค่อยตัดสินใจ ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งปีก่อนทดสอบ พวกเจ้าเตรียมใจไว้ก่อนเถอะ ข้าจะคอยช่วยเฝ้าสืบข่าวให้พวกเจ้าตลอดเวลา จะช่วยพวกเจ้าเตรียมตัวจากอีกด้านหนึ่ง ไม่ให้พวกเจ้าแพ้ตั้งแต่เริ่มต้น”
“ขอบคุณผู้บัญชาการใหญ่!” ทุกคนทำได้เพียงกล่าวขอบคุณแบบปากไม่ตรงกับใจ จากนั้นก็แยกย้ายกันไป
แต่เหมียวอี้กลับยังไม่รีบไป
โค่วเหวินหลานเหมือนดูออกว่าเขามีอย่างอื่นจะพูด จึงถามว่า “ยังมีคำถามอะไรอีก?”
เหมียวอี้ตอบอย่างลังเลว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ เพื่อที่จะรับมือกับการทดสอบ ข้าอยากจะหาที่ที่เหมาะสมเพื่อเก็บตัวฝึกฝนทักษะการต่อสู้ อาจจะต้องจากที่นี่ไปสักระยะหนึ่ง อยากจะลาหยุดก่อนขอรับ”
“ฝึกฝนทักษะการต่อสู้เหรอ?” โค่วเหวินหลานสะบัดผ้าเช็ดหน้าออกมาลูบหน้าอย่างสงสัยครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าตอบทันที “วรยุทธ์ของเจ้าต่ำไปหน่อย การทดสอบครั้งนี้ทำให้เจ้าลำบากจริงๆ ถ้าอยากจะบรรลุวรยุทธ์ภายในเวลาสั้นๆ ก็เป็นไปไม่ได้ เพิ่มพูนทักษะการต่อสู้ก็เป็นวิธีที่ดีเหมือนกัน เพียงแต่เวลาหนึ่งปีจะได้ผลเหรอ?”
“พอจะหาต้นสายปลายเหตุได้บ้างแล้ว อาจจะต้องใช้สภาพแวดล้อมภายนอกเพื่อช่วยกระตุ้น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลองดูก่อนขอรับ” เหมียวอี้ตอบ
“ไปเถอะ! ก่อนไปอย่าลืมจัดการงานของเขตเมืองตะวันออกให้เรียบร้อย” โค่วเหวินหลานตอบรับอย่างสบายใจแล้ว
“ขอบคุณที่ผู้บัญชาการใหญ่ช่วยให้สมปรารถนา!” เหมียวอี้กล่าวขอบคุณแล้วขอตัวออกมา
หลังจากออกจากตำหนักคุ้มเมือง กลับพบว่าสวีถังหรานยังไม่กลับไป เหมียวอี้ยังนึกว่าเขามีธุระกับผู้บัญชาการใหญ่ แต่ตอนที่กุมหมัดอำลากลับโดนสวีถังหรานดึงแขนไว้ “ผู้บัญชาการหนิว คืนนี้ว่างมั้ย?”
“ไม่ว่าง!” เหมียวอี้ไม่สนใจว่าเขาจะมีธุระอะไร ปฏิเสธไปอย่างนั้นเสียเลย แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยเกรงใจสวีถังหรานอยู่แล้ว ตอนแรกไม่ได้ฆ่าเจ้าเวรนี่ทิ้ง โรงภัยแฝงที่จะกำเริบตอนหลังยังคงอยู่
“เฮ้อ! น้องชาย…น้องชาย…” สวีถังหรานรีบดึงแขนเขาไว้ แล้วยิ้มสู้ “ไว้หน้าสักครั้งเถอะ คืนนี้ในจวนของข้าจัดงานเลี้ยง แถมยังเชิญผู้บัญชาการหรงมู่กับผู้บัญชาการหยาง พวกเขาตอบตกลงที่จะไปร่วมงานเลี้ยงแล้ว จะขาดเจ้าไปสักคนได้อย่างไร สามขาดหนึ่งจะดูไม่ดีใช่มั้ยล่ะ? เดี๋ยวข้าเชิญเสวี่ยหลิงหลงจากหอกลิ่นสวรรค์มาช่วยเพิ่มความบันเทิง เป็นอย่างไร?”
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?” เหมียวอี้สงสัย
“ย่อมเกี่ยวข้องกับเรื่องการทดสอบครั้งนี้ของพวกเราอยู่แล้ว”
“การทดสอบ?” เหมียวอี้พึมพำ มองเขาศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “ก็ได้ ถ้าถึงเวลาแล้วว่างข้าจะไป” พูดจบก็สะบัดมือเขาออกแล้วเดินก้าวยาวออกไป
“ถึงตอนนั้นข้าจะส่งคนไปเชิญน้องชายนะ!” สวีถังหรานรีบตะโกนเสริมอย่างร่าเริง
เมื่อกลับมาที่เขตเมืองตะวันออก เหมียวอี้ก็ยังไม่กลับจวนผู้บัญชาการ ขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็เดินมาถึงร้านโฉมเมฆาโดยไม่รู้ตัว
ขณะกำลังจะเดินเข้าไป เขาหันกลับมาแล้วพบว่าเป่าเหลียนที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดคำสั่งอยู่ข้างกายเขายังคงติดตามเขาอยู่ จึงยิ้มพร้อมบอกว่า “ที่ข้าไม่มีธุระอะไรแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”
“ค่ะ!” เป่าเหลียนเอ่ยรับ ขณะมองร่างเขาเดินเข้าร้านโฉมเมฆาไป ในดวงตาก็ฉายแววสับสน เรื่องที่เหมียวอี้กำลังตามจีบเถ้าแก่เนี้ยร้านนี้ นางเองย่อมได้ยินข่าวมาแล้วเหมือนกัน
พอเข้ามาข้างในแล้วถามบัณฑิตที่อยู่หลังโต๊ะคิดเงินว่าเถ้าแก่เนี้ยอยู่หรือไม่ ถึงได้รู้ว่าหวงฝู่จวินโหรวก็อยู่เหมือนกัน เหมียวอี้หันเลี้ยวเตรียมจะหนี แต่ก็หยุดฝีเท้ากะทันหัน คิดไปคิดมาก็ตัดสินใจว่าเข้าไปด้านหลังดีกว่า
ในศาลาของลานบ้านด้านหลังที่มีภูเขาปลอมเป็นฉากกั้น อวิ๋นจือชิวกำลังพูดคุยยิ้มแย้มกับหวงฝู่จวินโหรว
เหมียวอี้เดินอ้อมภูเขาปลอมเข้ามา แล้วกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เถ้าแก่เนี้ย…ผู้จัดการร้านหวงฝู่ก็อยู่ด้วยเหรอ?”
หลังจากสองสาวยืนขึ้นแล้ว อวิ๋นจือชิวก็แสร้งคำนับอย่างสงบเสงี่ยม “คำนับผู้บัญชาการหนิวค่ะ”
“ผู้บัญชาการหนิว!” หวงฝู่จวินโหรวยิ้มหยอกเย้า ทำให้เหมียวอี้ค่อนข้างอึดอัด
อวิ๋นจือชิวที่หางตากำลังสังเกตปฏิกิริยาของทั้งสองเลิกคิ้วเล็กน้อย จาดนั้นก็เชิญให้นั่ง แล้วสั่งให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์นำน้ำชามาวาง
“สาวสวยสองคนกำลังคุยอะไรกันอยู่ที่นี่ ดูท่าทางเบิกบานใจเชียว?” เหมียวอี้นั่งลงพร้อมกล่าวกลั้วหัวเราะ
หวงฝู่จวินโหรวยิ้มอย่างสนิทสนมพร้อมตอบว่า “กำลังถามว่าสามีของพี่อวิ๋นจะมาเมื่อไร อยากจะชื่นชมความสง่างามสักครั้ง”
อวิ๋นจือชิวหัวเราะแล้วพูดต่อว่า “น้องหวงฝู่สนใจสามีของข้าขนาดนี้ ข้าไม่กล้าพาเขามาแล้วล่ะ ถ้าน้องหวงฝู่ถูกใจเขาขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ?”
คำพูดนี้…เหมียวอี้กำหมัดแล้วไอแห้งๆ แต่ใครจะคิดว่าหวงฝู่จวินโหรวกลับพูดเสริมอีกว่า “ข้าร้อนใจแทนผู้บัญชาการหนิว ใครๆ ก็รู้ถึงความจริงใจที่ผู้บัญชาการหนิวมีให้พี่อวิ๋น”
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “น้องสาวเล่นมุขแล้ว ข้าเป็นคนที่มีสามีแล้ว ไม่มีความคิดจะแต่งงานอีกรอบหรอก”
“แบบนี้จะไม่ทำให้ผู้บัญชาการหนิวหดหู่ใจหรอกเหรอ” หวงฝู่จวินโหรวเอามือป้องปากหัวเราะ แต่ใต้โต๊ะกลับใช้ปลายเท้าสะกิดเหมียวอี้เบาๆ ราวกับกำลังบอกว่า ได้ยินหรือยัง ได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายหรือยัง อีกฝ่ายไม่มีทางยอมรับที่โดนเจ้าจีบ รีบถือโอกาสตัดใจซะเถอะ!
…………………………
บทที่ 996 กำลังพลร่วมฝึก
โดย
Ink Stone_Fantasy
การสะกิดเท้าเบาๆ นี้ทำให้เหมียวอี้ตกใจ เขารีบมองไปทางเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ หลังจากแน่ใจว่าจากมุมของพวกนางมองไม่เห็น เขาถึงได้แอบโล่งใจ แต่กลับเอนตัวเล็กน้อย ย้ายสองเท้าหลีกเลี่ยงปัญหาความยุ่งยาก แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ ข้ามีธุระจะคุยกับเถ้าแก่เนี้ยตามลำพังนิดหน่อย”
ไอ้เวรนี่บังอาจมาไล่ข้า! หวงฝู่จวินโหรวแค้นจนกัดฟันกรอด แต่ก็ยังยืนขึ้นด้วยรอยยิ้มสดใส “พี่อวิ๋น งั้นข้าไม่รบกวนเวลาของพวกท่านสองคนแล้ว”
ดังนั้นอวิ๋นจือชิวจึงลุกเดินไปส่ง พอส่งนางออกจากร้านไปแล้วถึงได้กลับมา พอเดินเข้ามาในศาลา นางก็ตบบ่าเหมียวอี้พลางถามหยอกล้อ “ผู้หญิงคนนี้สวยไม่แพ้เทพธิดาหงเฉินเลยนะ? จะให้ข้าช่วยเป็นแม่สื่อให้มั้ย แต่งเข้ามาเป็นอนุภรรยาของเจ้า?”
“อย่าพูดเหลวไหล” เหมียวอี้แกล้งโมโห “นางมาหาเจ้าทำไม?”
อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองเขา รอยยิ้มค่อนข้างแข็งทื่อ นางเข้ามานั่งข้างเขา แล้วพลิกมือเรียกกล่องใบหนึ่งออกมา หลังจากเปิดกล่อง แผ่นหยกกล่องหนึ่งก็เผยออกมา นางผลักไปตรงหน้าเขา ตบกล่องพร้อมบอกว่า “สมาคมวีรชนยอดเยี่ยมจริงๆ นี่คือแผนที่ดาวหลักที่เจ้าต้องการ หลังจากข้าขอให้นางช่วยเหลือ นางก็ตกปากรับคำทันที ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเดือนก็รวบรวมอาณาเขตของพิภพใหญ่คร่าวๆ ได้แล้ว”
“ไม่ได้ทำให้นางสงสัยอะไรใช่มั้ย?” เหมียวอี้ขมวดคิ้ว
อวิ๋นจือชิวปิดกล่อง แล้วบอกว่า “เปล่า ครั้งก่อนคุยเล่นกันแล้วบังเอิญพูดถึงเรื่องนี้ ข้าเลยแกล้งทำเป็นสนใจอยากจะศึกษา ถือโอกาสไหว้วานนาง แล้วนางก็ตอบตกลง ใครจะไปรู้ล่ะว่าพวกเรากำลังคิดจะทำอะไร”
“ถ้าเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์มีเวลาว่าง เจ้าก็ให้พวกนางช่วยหาหน่อย ยืนยันทิศทางคร่าวๆ ให้ได้ก่อน” เหมียวอี้นำก้อนโลหะกลมสีดำออกมาแล้วผลักไปตรงหน้านาง
เมื่อเห็นเขาทำท่าเหมือนไม่ค่อยสนใจเรื่องหาสมบัติ ทั้งสองเป็นสามีภรรยากันมาหลายปี อวิ๋นจือชิวมองออกทันทีว่าในใจเขามีเรื่องบางอย่าง “เป็นอะไรไปล่ะ ทำท่าเหมือนไม่ค่อยสนใจเลย?”
“ข้าเตรียมจะหาสถานที่เก็บตัวฝึกตน ไม่มีเวลามาทำเรื่องนี้” เหมียวอี้หาข้ออ้าง ยังไม่ได้บอกนางเรื่องการทดสอบ นางแบบนี้นางช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ไม่อยากให้นางอกสั่นขวัญแขวนไปทั้งปี
เรื่องนี้เหมียวอี้บอกนางไว้ตั้งนานแล้ว อวิ๋นจือชิวรู้อยู่แก่ใจ จึงถามว่า “ไปที่ไหน? จะไปเมื่อไร? จะกลับเมื่อไร?”
“หาทะเลลึกๆ สักแห่งก็พอ ข้าไม่ได้คิดจะไปไกลหรอก อยู่ที่ดาวเทียนหยวนนี่แล้วกัน พรุ่งนี้จะออกเดินทางแล้ว จะกลับมาภายในหนึ่งปีนี้” พออธิบายให้นาง เหมียวอี้ก็ถามอีกว่า “ของที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้ ทำไมยังไม่เสร็จอีกล่ะ?”
อวิ๋นจือชิวตอบว่า “เรื่องนี้ก็โทษเขาไม่ได้ ข้ากำชับให้เขาเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ อาศัยที่ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอะไร ไม่สู้ทำเกราะรบดีๆ ให้เจ้าสักชุดดีกว่า กอปรกับผลึกแดงบริสุทธิ์สูงไม่เหมือนผลึกอย่างอื่น เวลาจะหลอมให้ละลายก็เปลืองแรงเปลืองเวลามาก เขาทุ่มกำลังความคิดกับเรื่องนี้อยู่ แต่เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก คำนวณจากความคืบหน้าแล้ว สิ้นปีนี้ก็น่าจะเสร็จแล้ว”
สิ้นปีก็ดี ถ้าทำเสร็จก่อนการทดสอบปีหน้าก็ไม่มีปัญหาอะไร! เหมียวอี้วางใจ แล้วลุกขึ้นบอกว่า “ได้! งั้นข้ากลับก่อนนะ ที่จวนผู้บัญชาการยังมีงานต้องเตรียมนิดหน่อย ตอนกลางคืนค่อยมาอยู่กับเจ้า”
อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นยืนตามเขา ถือโอกาสช่วยเขาจัดเสื้อผ้าที่ยับตอนนั่งให้เรียบร้อย “พรุ่งนี้ก็จะไปแล้ว คืนนี้ไปค้างกับสองพี่น้องโอวหยางเถอะ เจ้ามาหาข้าบ่อยแล้ว ได้ยินว่าเจ้าไม่ได้ไปทางนั้นมาหลายเดือนแล้วนี่ แม้แต่เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ยังได้อยู่กับเจ้าเยอะกว่าพวกนางสองพี่น้องอีก ทำเกินไปหน่อยมั้ง คนก็มาอยู่ข้างกายแล้ว ถ้าเจ้าไม่ไปหาบ่อยๆ ก็คงจะฟังไม่ขึ้น ครั้งนี้เจ้าออกไปข้างนอกเกือบหนึ่งปี หัวใจคนเรามีเลือดมีเนื้อนะ เป็นผู้หญิงน่ะไม่ง่ายเลย ไม่ได้เสพสุขเหมือนผู้ชายอย่างพวกเจ้าที่ได้มีเมียหลายคนหรอก”
“รู้แล้วๆ ข้าจะไปคืนนี้แหละ!” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วกอดจูบนางอย่างอ่อนโยนครู่หนึ่ง เสร็จแล้วถึงได้หันไปยิ้มให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ “ดูแลฮูหยินให้ดีนะ เรื่องที่ควรทำให้ชำนาญก็ต้องทำ อย่าให้ฮูหยินต้องกังวลทุกเรื่อง!”
“เจ้าค่ะ!” สาวใช้ทั้งสองโค้งกายส่งเขา
อวิ๋นจือชิวคล้องแขนเขาเดินไปส่งตรงข้างภูเขาปลอม แล้วก็ไม่ได้ตามออกไปอีก เพียงบอกว่า “รีบไปรีบกลับนะ ถ้าหายตัวไปอย่างไร้ข่าวคราวอีก กลับมาก็อย่าโทษว่าข้าแปรพักตร์ก็แล้วกัน”
เหมียวอี้ยื่นมือไปลูบใบหน้างามของนางครู่หนึ่ง แล้วหันตัวจากไป
พอออกจากร้านโฉมเมฆ ก็พบว่าข้างหลังมีคนเดินตาม พอหันไปมองก็เห็นเป่าเหลียนเดินตามหลังมาอีกแล้ว จึงถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้ายังไม่กลับอีกเหรอ?”
“ข้าเดินเล่นอยู่แถวๆ นี้พอดี นึกไม่ถึงว่านายท่านจะออกมาเร็วขนาดนี้” เป่าเหลียนตอบ
เหมียวอี้พูดไม่ออก อีกฝ่ายจงรักภักดีต่อหน้าที่ เขาเองก็ว่าอะไรไม่ได้เหมือนกัน ขี้คร้านจะพูดแล้ว จึงกวักมือเรียกให้กลับพร้อมกัน
พอมาถึงประตูจวนผู้บัญชาการ เหมียวอี้ก็ขนหัวลุกอีกครั้ง เกี้ยวงามที่คุ้นตาหลังหนึ่งมาจอดอยู่ข้างประตูอีกแล้ว ถ้าไม่ใช่เกี้ยวของหวงฝู่จวินโหรวแล้วจะเป็นของใครไปได้
เมื่อเห็นม่านเกี้ยวขยับเล็กน้อย เหมียวอี้ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ถลันตัวเข้าจวนผู้บัญชาการทันที แล้วถ่ายทอดเสียงบอกทหารยามว่า “ผู้บัญชาการคนนี้มีธุระสำคัญ วันนี้ไม่พบใครทั้งนั้น!”
จะมาโทษว่าเขาเด็ดขาดไม่ได้ เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ทะเลาะเบาะแว้งอะไรกับผู้หญิงคนนี้อีก ไม่อย่างนั้นถ้าให้โอกาสนางอีก เขาก็จะปลีกตัวไม่พ้นแล้ว
พอหวงฝู่จวินโหรวโผล่ออกมาจากเกี้ยวแล้วไม่เห็นอะไร ในใจก็เหมือนจะเป็นบ้า สั่งให้ทหารยามไปรายงานทันที ทหารยามย่อมบอกสิ่งที่เหมียวอี้สั่งไว้ ทำเอานางโมโหจนกำหมัดแน่น กลับเข้าไปในเกี้ยวพร้อมใบหน้างามที่แฝงความเย็นเยียบ แล้วสั่งเสียงเย็นว่า “กลับ!”
เหมียวอี้ที่กลับถึงจวนผู้บัญชาการเตรียมงานไว้สำหรับตอนที่ตัวเองไม่อยู่ทันที เขาเรียกฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋มาพบก่อน
ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ เหมียวอี้ถามว่า “พี่รอง ในบรรดากลุ่มคนที่พาตัวมาจากทะเลดาวนักษัตร ใครที่โจมตีได้รวดเร็วที่สุด?”
ฝูชิงชี้ไปทางอิงอู๋ตี๋ “ย่อมต้องเป็นเจ้าสามอยู่แล้ว”
เหมียวอี้ยิ้มแห้งๆ แล้วบอกว่า “พี่สามข้าย่อมรู้อยู่แล้ว ข้าหมายถึงนอกจากพี่สามแล้ว ยังมีใครอีกมั้ยที่โจมตีได้รวดเร็ว?”
“โพ่คงทูตขวาของเจ้าสาม” ฝูชิงตอบ
อิงอู๋ตี๋ส่ายหน้าและพูดต่อว่า “ถ้าพูดถึงเรื่องความเร็วอย่างเดียว ชิงเฟิงทูตขวาของพี่รองคงจะเร็วกว่าข้าหนึ่งระดับ”
“ความเร็วของทูตขวาชิงเหนือกว่าพี่สามอีกเหรอ?” เหมียวอี้ตกใจ
อิงอู๋ตี๋ตอบกลั้วหัวเราะว่า “ทะเลดาวนักษัตรก็นับว่าเป็นสถานที่ที่ซ่อนมังกรเสือหมอบไว้ บางคนแค่ไม่ได้มีประสบการณ์และวรยุทธ์สูงเท่าพวกเราเฉยๆ หรอก ถ้าพูดถึงความสามารถอาจจะไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเราเลย ไม่อย่างนั้นเมื่อก่อนพวกเราจะต่อต้านหกปราชญ์ได้อย่างไร อาศัยแค่พวกเราสี่คนคงเป็นไปไม่ได้ เกรงว่าชิงเฟิงคงจะเป็นคนที่ทำให้ลูกน้องหกปราชญ์กลัวจนตัวสั่นที่สุด ยอดฝีมือที่ได้เจอกับเขา ส่วนใหญ่จะตายภายในหนึ่งท่าสังหาร คนที่ได้สู้กับเขาถอยหลบได้ไม่เกินสามฉื่อหรอก!”
“ตายภายในหนึ่งท่าสังหาร?” เหมียวอี้ทำสีหน้าเหลือเชื่อ นึกไม่ถึงว่าทูตขวาชิงที่โหดเหี้ยมเย็นชาจะมีความสามารถแบบนี้
ในปีนั้นตอนที่เขาอยู่ที่การปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตร ก็ไม่เห็นว่าเลี่ยหวนออกมาตามตัวคิดบัญชีกับคนที่ทำตำหนักบรมอัคคีพัง ตอนนั้นชิงเฟิงก็ลงมือกับไต้ซือศีลเจ็ดแล้ว ถ้าการโจมตีครั้งนั้นเขาหยุดมือไม่ทัน ไต้ซือศีลเจ็ดอาจจะหลบไม่พ้นเลยก็ได้
ฝูชิงโบกมือ “จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ ตายภายในหนึ่งท่าสังหารของชิงเฟิงร้ายกาจจริงๆ แต่ปัญหามันอยู่ที่ ‘หนึ่งท่า’ นี่แหละ สิ่งที่ชิงเฟิงต้องการคืออานุภาพการของหนึ่งท่า มันเฉพาะทางเกินไป ก่อนจะลงมือต้องรวบรวมพลัง ถ้าโจมตีท่านี้แล้วไม่โดนคู่ต่อสู้ ก็ต้องรวบรวมพลังอีกครั้ง ถ้าไปเจอคู่ต่อสู้ที่ไม่สามารถปลิดชีพได้ในครั้งเดียวก็ลำบากแล้ว ดังนั้นจึงเทียบกับความเร็วที่เปลี่ยนท่าได้หลากหลายและต่อเนื่องของเจ้าสามไม่ได้ ถ้าชิงเฟิงสู้กับเจ้าสามจะต้องเสียเปรียบแน่นอน!”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ ในใจเขาตัดสินใจได้แล้ว ถึงได้บอกเรื่องเข้าร่วมการทดสอบปีหน้าให้ทั้งสองได้รู้ เรื่องฝึกฝนทักษะการต่อสู้ย่อมต้องบอกให้ชัดเจน เพราะต้องให้พวกอิงอู๋ตี๋ช่วยเขาอีกแรง
สำหรับปัญหาความยุ่งยากที่กำลังจะมาถึงนี้ ทั้งสองต่างก็ทำสีหน้าจริงจังและหนักแน่น ย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงส่งต่อจวนของผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกให้ฝูชิงคุมชั่วคราว ส่วนอิงอู๋ตี๋ ชิงเฟิง โพ่คง ราชาปีศาจทะเลครามและเลี่ยหวนล้วนถูกเหมียวอี้เลือกตัว เรื่องการฝึกฝนครั้งนี้เขาครุ่นคิดเงียบๆ มาหลายปีแล้ว ถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรก็ต้องพูดให้ชัดเจน
สุดท้ายก็เรียกทั้งสี่ออกมาด้วยกัน ให้ทั้งสี่เตรียมตัว พรุ่งนี้ต้องติดตามเหมียวอี้ออกเดินทาง ชิงเฟิง โพ่คงและราชาปีศาจทะเลครามไม่มีความคิดเห็นแย้งอะไร แต่เลี่ยหวนกลับทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ “คุณชายห้า ข้าไม่อยากไป ท่านเปลี่ยนให้คนอื่นไปได้มั้ย?”
“เลี่ยหวน นับวันเจ้าชักจะกล้าขึ้นทุกวันแล้วนะ!” ฝูชิงสีหน้าเครียดขรึม
ชิงเฟิงหันกลับมาจ้องเลี่ยหวนอย่างเย็นเยียบ เลี่ยหวนโดนเขาซ้อมจนหวาดกลัว จึงหัดคอตอบว่า “ประมุขถิ่น ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อฟังคำสั่งนะ แต่คนในครอบครัวข้าออกเที่ยวหาความสำราญอยู่ข้างนอกทุกวัน ถ้าข้าไม่เฝ้าดูนางไว้ ถ้ากลับมาก็ยังไม่รู้เลยว่าจะโดนนางสวมเขากี่เขา”
หลังจากเกิดคดีหอโคมเขียว เลี่ยหวนก็โดนหูเฟยทำให้กลัวแล้วจริงๆ หูเฟยไม่ได้กลัวเขาเลย นางเองก็เป็นหนึ่งในราชาปีศาจเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตโดนอาศัยเลี่ยหวน ถ้าผู้หญิงสามารถพึ่งพาตัวเองได้ขึ้นมา ระหว่างสามีภรรยาก็จะเกิดการแข่งขันกันได้ง่ายมาก นางยื่นคำขาดมาแล้วว่า : เลี่ยหวน เจ้ากล้าทำเรื่องผิดต่อข้า ข้าก็กล้าทำเรื่องผิดต่อเจ้า!
“เรื่องนี้จะโทษใครได้ล่ะ? ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ทิ้งไปสิ ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง เจ้าเป็นชายชาตรีจะกลัวอะไร!” อิงอู๋ตี๋พูดเหน็บแนม
“คุณชายสาม จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้นะ เป็นสามีภรรยากันคืนเดียวเท่ากับติดนี้บุญคุณกันไปร้อยวัน นี่เราเป็นสามีภรรยากันมาหลายแสนปีแล้วนะ บทจะเลิกก็เลิกได้ยังไง” เลี่ยหวนตอบด้วยสีหน้าขื่นขม
เหมียวอี้รู้สึกบันเทิงทันที “ข้าว่านะเลี่ยหวน ควากล้าหาญตอนอยู่ในเจดีย์งามวิจิตรปีนั้นหายไปไหนแล้วล่ะ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกลัวเมีย!”
เลี่ยหวนก้มหน้าก้มตาตอบ “คุณชายห้า ฮูหยินของท่านก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
“…” คำพูดนี้ทำให้เหมียวอี้สำลัก ทุกคนก็แย่พอๆ กัน ไม่ต้องหัวเราะเยาะใครทั้งนั้น พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกเชื่อมโยงไป ถ้าโดนอวิ๋นจือชิวจับได้เรื่องเขากับหวงฝู่จวินโหรวขึ้นมา ต่อไปอวิ๋นจือชิวจะล้างแค้นแบบหูเฟยหรือเปล่า จะออกเที่ยวหาความสำราญไปทั่วหรือเปล่า?
พอคิดเรื่องนี้แล้วก็กลัวจนตัวสั่นขึ้นมาทันที ในใจยิ่งมีความแน่วแน่ ว่าจะไม่ให้อวิ๋นจือชิวจับได้เรื่องตัวเองกับหวงฝู่จวินโหรวเด็ดขาด!
ในฐานะที่เปป็นพี่ใหญ่ ฝูชิงก็ไม่อาจละเลยปัญหาที่เป็นกรณีพิเศษของลูกน้อง เลี่ยหวนกับภรรยาติดตามรับใช้เขามาหลายปีแล้ว ทนมองทั้งสองเลิกกันง่ายๆ ไม่ได้จริงๆ เดิมทีหูเฟยก็ไม่ได้รักษาคุณธรรมของสตรีอยู่แล้ว เป็นอีกาสองตัว ไม่ต้องชี้ด่าว่าใครดำ ถ้าไม่ใช่เพราะมีเขาคอยควบคุม สองคนนี้ก็คงจะเลิกกันไปนานแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้าห้า เจ้าต้องการให้เลี่ยหวนไปทำอะไร?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ในปีนั้นตอนที่ข้าบุกเข้าตำหนักบรมอัคคี ข้าชอบค่ายกลเพลิงที่เขาวางไว้ คาดว่าคงมีประโยชน์กับการฝึกตนครั้งนี้”
ฝูชิงหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “งั้นก็จัดการสะดวกแล้ว ที่จริงหูเฟยคือวิญญาณจิ้งจอกไฟ นางฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟเหมือนกัน ถ้านางกับเลี่ยหวนร่วมมือกัน อานุภาพจะเพิ่มขึ้นเยอะมาก ในปีนั้นปราชญ์ผีซือถูเซี่ยวยังสะบักสะบอมด้วยน้ำมือสองสามีภรรยาคู่นี้ เจ้าพาไปด้วยกันก็สิ้นเรื่องแล้ว”
และนี่ก็คือเหตุผลที่เขาควบคุมสองสามีภรรยาคู่นี้ไม่ให้เลิกกันมาโดยตลอด สองคนนี้เป็นคู่หูที่ดีโดยกำเนิด ถ้าแยกกันจะทำให้กำลังรบของตำหนักดาวประจิมเสียหาย!
เลี่ยหวนพยักหน้าซ้ำๆ ทันที “คุณชายห้า พาไปด้วยกันเลยเถอะ ไม่มีธุระอะไรก็เรียกให้นางซักผ้าทำกับข้าวได้ เรียกใช้ได้เลย ไม่ต้องเกรงใจข้า” ขณะที่พูดเขาก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเล็กน้อย เหมือนอยากจะยืมมือเหมียวอี้มาระบายความโมโหในช่วงนี้
เพิ่มมาอีกคนก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร ถึงอย่างไรก็ยังมีข้อดี เหมียวอี้พยักหน้าตกลงทันที เรื่องราวก็ถูกกำหนดอย่างนี้แล้ว
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น