องครักษ์เสื้อแพร 990-991
ตอนที่ 990 การต่อสู้เพิ่งเริ่มต้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
กระสุนปืนใหญ่ลอยเข้าใส่กองกำลังร่วมเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกล ผู้ที่ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงผ่านก็ถูกกระสุนปืนใหญ่กวาดสะสมเลือดเนื้อและร่างกายไปพร้อมกันกองโตทันที
หลังจากสังหารไปได้สิบกว่าคน กระสุนปืนใหญ่ตกลงพื้น ในหน้าหนาวบนพื้นแข็งมาก กระสุนปืนใหญ่ทรงกำลังกระแทกกับพื้น เดิมชาวเผ่าหนี่ว์เจินกับชาวมองโกลคิดว่าหลบพ้นวิถีกระสุนปืนใหญ่ หากไม่พ้น ครึ่งท่อนล่างถูกฉีกขาด ขาข้างหนึ่งหายไป พริบตาเสียงร้องโหยหวนเจ็บปวดก็ดังกลบเสียงกระสุนปืนใหญ่แหวกอากาศและเสียงสังหารบนสนามรบ
เบื้องหน้าแตกกระเจิง กองกำลังแตกตื่นตกใจ ปืนใหญ่กระสุนสามชั่งและหกชั่งฉีกร่างศัตรูเป็นแนวโลหิตยาวสายหนึ่ง กระสุนปืนหนักเก้าชั่งไม่เหมือนกัน
กระสุนเก้าชั่งกระเด้งลงพื้น ดินแตกกระจาย ดินแข็งกระเด็นเข้ากระแทกร่างคน เกราะหนังและเกราะผ้าหนาถูกฉีกขาดกระจุยทะลุด้วยเศษดินแข็งเหล่านี้ จากนั้นก็กระดอนไปอีกไกล ชนชั้นสูงที่หลบอยู่หลังกองรถศึกถูกกระสุนปืนใหญ่สังหารทันที
ยิ่งน่าตกใจก็คือ กระสุนปืนใหญ่หนึ่งลูกยิงแม่นโดนม้าตัวหนึ่ง กระสุนปืนใหญ่ไม่ทันได้ฉีกร่างม้าขาด แต่ม้าก็ทะยานตัวขึ้น เหยียบคนรอบๆ ราบเป็นแถบ
ทัพเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลแตกตื่นมารวมกันเป็นก้อน ผู้ใดจะไปรู้ว่าปืนใหญ่กองกำลังหมิงอานุภาพยิ่งใหญ่เพียงนี้ สามารถยิงได้ไกลเพียงนี้
ยิงปืนใหญ่มาหนึ่งระลอก ชนชั้นสูงที่นี่ทุกคนล้วนไม่สนใจสถานการณ์ตรงหน้า มีคนแหกปากร้องดังจะหนี มีคนรีบตะโกนสั่งอย่างสุดชีวิตว่า
“รีบส่งคนไปแย่งปืนใหญ่มา อีกไม่ไกล พวกเขาเพิ่งยิง บรรจุกระสุนไม่ทัน!”
คนที่กล่าววาจาเหล่านี้ได้เป็นคนที่เรียกได้ว่าสงบนิ่งหาได้ยาก พวกเขาเคยเห็นปืนใหญ่เมืองเสิ่นหยางพวกนั้นตอนยิง พอยิงปืนใหญ่ไปแล้ว ก็ต้องใช้เวลานานมากในการเตรียมยิงอีกรอบ
แต่วาจานี้กล่าวจบไม่นาน ก็มีเสียงดังกัมปนาทอีกครา ปืนใหญ่ระลอกสองถึงกับยิงอีกแล้ว เป็นภาพราวกับนรก เลือดเนื้อซากศพกระจัดกระจาย แขนขาปลิวว่อน ถึงกับยิงถล่มติดๆ กัน จะไปสู้ได้อย่างไร ทุกคนล้วนไม่มีใจคิดสู้ คิดแต่หลบหนี
……
“แม่ทัพใหญ่!! ปืนใหญ่บนกำแพงดังแล้ว!!”
ซุนเผิงจวี่ในที่สุดก็ได้เห็นปืนใหญ่บนกำแพงดัง ความจริงนั้นเขาเองไม่แน่ใจว่าตนเองได้ยินหรือไม่ แต่เพราะเห็นควันขาวลอยคลุ้ง เป็นภาพหลังจากการยิงปืนใหญ่ และยังไม่ยิงแค่ครั้งเดียว
หวังทงสีหน้าเผยรอยยิ้ม กล่าวเสียงดังว่า
“ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป หยุดยิงปืนใหญ่ ทหารราบทุกหน่วยบุก ขบวนทัพม้ากับทหารม้า ‘ผู้กล้า’ทุกหน่วยบุก อย่าได้ปล่อยศัตรูไปแม้แต่คนเดียว!!”
ซุนเผิงจวี่ได้ยินก็รับคำเสียงดัง เขาเรียนรู้ที่จะชินในการรับคำสั่งแล้ว รีบกระตุกม้าวิ่งออกไปถ่ายทอดคำสั่ง ก่อนจะได้สติคิด การโจมตีถล่มของกองกำลังหู่เวยเช่นนี้ ศัตรูแตกกระเจิงไปหมดแล้ว วิ่งหนีรอบทิศกระจัดกระจาย เหตุใดไม่ปล่อยให้หนีรอดได้แม้แต่คนเดียวอีก
เขายังไม่ทันถ่ายทอดคำสั่ง ก็เห็นสองข้างเมืองเสิ่นหยาง ทหารม้าตะลุยสังหารมา เป็นธงศึกกองกำลังหมิง เขายังคิดว่าเป็นธงศึกตระกูลหลี่ แต่พริบตาก็เข้าใจได้ ว่าทหารม้าหมื่นกว่าไปตามเส้นทางแม่น้ำเพื่ออะไร
ซุนเผิงจวี่ยังเห็นประตูทางใต้ของเมืองเสิ่นหยางกำลังค่อยๆ เปิดออก ทหารบนกำแพงล้วนวิ่งออกลงมาที่หน้าประตูเมือง พวกเขาเตรียมออกรับศึก
ยามนี้ซุนเผิงจวี่รู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะระเบิดออก ชัยชนะใหญ่ ชัยชนะใหญ่ ชัยชนะใหญ่แท้จริง
ทหารราบหน่วยขึ้นหน้าประจัญศึก ทุกหน่วยเว้นระยะห่างกัน พลปืนไฟเริ่มคุ้มกันสองปีกพลทวนยาว พลทวนยาวท่ามกลางเพื่อนทหารฮึกเหิม ก้าวขึ้นหน้าไปอย่างไม่กลัวเกรง
ทหารม้าศัตรูแตกกระเจิง ทัพศัตรูแตกกระเจิง ศัตรูส่วนใหญ่ล้วนหันหลังชนกันสู้กับตน พวกเขาล้วนกำลังหนี
มีพวกกล้าหาญเห็นเช่นนี้ก็ไม่คิดจะหนีอีก ไม่สนใจดึงม้าตะลุยใส่หน่วยทหารราบหน่วย แต่ชะตาชีวิตพวกเขานั้นไม่แตกต่าง มีเพียงหนึ่งสถาน ตายเท่านั้น
ท่ามกลางทวนยาวราวกับป่าทึบเบื้องหน้าพวกเขา ไม่อาจตะลุยผ่านไปได้ ได้แต่ถูกแทงตาย มีคนยิ่งมากตายภายใต้กระสุนปืนไฟ
บรรดาทหารม้าเริ่มบีบสองปีกข้างเข้ามา ยามนี้ทหารราบหน่วยกับทหารม้ากองกำลังหมิงรวมกันแม้จะน้อยกว่าทัพเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกล แต่พวกนอกด่านยามนี้ไร้ขวัญกำลังใจรบสิ้นเชิงแล้ว หัวหน้าเผ่าหนี่ว์เจินแต่ละเผ่าเล็กเผ่าน้อยก็ถูกลูกน้องทิ้ง ขุนพลทหารมองโกลแต่ละคนพยายามจะควบคุมกำลังตนไว้เต็มที่ คิดจะสยบสถานการณ์ตอนนี้ให้นิ่ง
หน่วยทหารราบทางใต้ค่อยๆ บีบเข้ามา ทหารม้าแผ่นดินหมิงสองข้างก็กระชับพื้นที่เข้ามา ทหารม้าเป็นดังค้อนทหารราบเป็นดังแท่นบด ไล่ต้อนศัตรูไปยังพื้นที่ทหารราบ จากนั้นก็บดให้ละเอียด
ทหารราบเผ่าหนี่ว์เจินแต่ละเผ่ามีมาก พวกเขาแต่ไรไม่เคยได้เห็นปืนใหญ่อานุภาพยิ่งใหญ่เช่นนี้ หัวหน้าพวกเขาไม่ตายก็หนีเอาตัวรอด พวกเขาสูญเสียการบัญชาการ ในใจก็แตกตื่นหวาดกลัว บนสนามรบทุกทิศทางล้วนถูกบีบเข้ามา ศัตรูได้เปรียบ ไม่รู้หนีไปทางใด ได้แต่แตกตื่นราวกับแมลงวันไร้หัว
ทหารราบเช่นนี้ เป็นเป้าหมายที่ดีที่สุดของทหารม้า บนสนามรบทหารม้าแผ่นดินหมิงก็แค่ยกอาวุธค้างไว้ วิ่งให้อาวุธตัดคอและหัวของศัตรูด้านล่างไปทีละคน
พอประตูเมืองเปิด ทหารม้ากับทหารราบกองกำลังหมิงในเมืองบุกออกมา สถานการณ์ก็ยิ่งแน่นอน ได้ผลการรบที่เรียกว่าในนอกประสานกำลังโจมตี
ทหารกองกำลังหมิงแต่ละนายไม่ได้กำลังต่อสู้ พวกเขาเคยสังหารกวาดล้าง วิ่งไล่ตามหลังชาวเผ่าหนี่ว์เจินกับพวกมองโกลที่หนีกระเจิง ก่อนลงมือสังหาร
เลี้ยงคนๆ หนึ่งให้เติบโตก็ต้องใช้เวลาสิบยี่สิบปี สังหารคนหนึ่งใช้เวลาเพียงแค่พริบตาเท่านั้น ศัตรูบนสนามรบที่หนาแน่นดำทะมึนก็ค่อยๆ เหลือกระปริดกระปรอย การสิ้นหนทางเช่นนี้ทำให้มีคนบ้าคลั่งหันมาสู้ คิดจะพาพวกไปตายมากยิ่งขึ้น คนมากยิ่งขึ้นแตกกระเจิงไปหมด ไม่คิดสู้แล้ว แม้แต่หนีก็ยังไม่มีแรง ได้แต่คุกเข่าร่ำไห้ร้องของชีวิตและยอมแพ้
ถูกล้อมมาหลายเดือน หลังแพ้ไปเมื่อครึ่งปีก่อน ในใจทหารม้ากับทหารราบเมืองเหลียวโจวล้วนมีแต่ความแค้นและความเดือดดาลสั่งสม ยามนี้ได้ระบายออกมา พวกเขาทุกคนล้วนสังหารจนตาแดงก่ำ แม้ศัตรูคุกเข่าร้องขอชีวิต พวกเขาก็ไม่รู้สึกสงสารแม้แต่น้อย สังหารอย่างไม่รู้สึกอะไร
สนามรบถึงกับเกิดภาพวนเวียนไปมา พวกที่คุกเข่ายอมจำนนพบว่าตนเองไร้หนทางรอด อย่างไรก็ได้แต่จับดาบลุกขึ้นสู้จนตัวตาย
แต่ทว่าไม่ได้ส่งผลกระทบอันใดต่อภาพรวม สนามรับกลายเป็นสนามสังหาร คนมากได้เปรียบเริ่มเป็นกองกำลังหมิง
……
“แม่ทัพใหญ่ ชัยชนะใหญ่ ชัยชนะใหญ่!!”
ซุนเผิงจวี่ข้างหวังทงตื่นเต้นดีใจจนตัวสั่ว วาจาล้วนไม่เป็นภาษา การต่อสู้ที่น่าเป็นห่วงจบลง ใช้กำลังน้อยทลายกำลังมาก เดิมคิดว่าอันตรายมาก กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นชัยชนะใหญ่หอมหวานเช่นนี้ ตัดหัวได้นับหมื่นเป็นเรื่องง่ายทันที สถานการณ์ตอนนี้ทัพศัตรูอาจตายหมดไม่มีเหลือก็เป็นได้
ซุนเผิงจวี่เป็นลูกหลานทหาร ได้เห็นการสังหารบนสนามรบมามาก แต่ไม่เคยเห็นการต่อสู้ที่สู้เก่งเช่นนี้ ไม่เคยเห็นทหารแผ่นดินหมิงได้รับชัยชนะเด็ดขาดเช่นนี้มาก่อน
หวังทงยิ้ม หันไปกล่าวว่า
“เจ้าดูรอบๆ สิ มีผู้ใดดีใจเหมือนเจ้าไหม?”
ซุนเผิงจวี่อึ้งไป มองไปรอบๆ พบว่าทุกคนสีหน้าแม้ว่าตื่นเต้นยินดี แต่ไม่มีผู้ใดแสดงออกเช่นตน กำลังจะรับคำหวังทงหวังทงก็ชี้แส้ม้าไปที่สนามรบกล่าวว่า
“เผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีหลายกลุ่ม พร้อมกับพวกเคอเอ่อร์ชิ่นเผ่ามองโกลและเผ่ามองโกลอื่นอีกหลายสิบกลุ่ม ทหารพวกนี้เคยร่วมซ้อมรบไหม เคยอยู่ในวินัยไหม ด้วยกำลังรบกองกำลังหู่เวย ระดับเช่นพวกนกกานี้จะไปกระไรนัก ชนะพวกเขา ไม่ควรค่าแก่การดีใจ”
ซุนเผิงจวี่เดิมคิดว่าหวังทงกำลังลองใจ แต่พอลอบมองสีหน้าหวังทงกลับไม่เป็นเช่นนั้น จึงได้แต่ใจเต้นแรง เดิมที่เคยสงสัยลังเลในชัยชนะใหญ่ที่ผ่านมาพวกนั้นของหวังทงก็ล้วนหายไปจากความคิด ติ้งเป่ยโหวมีชื่อเสียงสมดังคำร่ำลือ ตนเองสละสถานะคุณชายเหลียวหนานมาอยู่ที่นี่ นับว่าถูกต้องแล้ว
“หน่วยกองบริการเก็บกวาดสนามรบ! หน่วยเจ็ด หน่วยผู้คุ้มกัน ออกช่วย!”
หวังทงออกคำสั่งท่าทางนิ่งเรียบ ทหารถ่ายทอดคำสั่งวิ่งออกไปถ่ายทอดคำสั่ง หวังทงกล่าวอีกว่า
“ขบวนทัพม้าติดธงทัพเรา ไปสนามรบถ่ายทอดคำสั่ง ตอนนี้พวกที่ยอมจำนน สิ่งของจากสงครามทั้งหมดให้กองกำลังหู่เวยรวมไว้รอแจกพร้อมกัน”
ได้ยินคำสั่ง ก็มีทหารออกไปถ่ายทอดคำสั่งอีก ขบวนทัพม้ากองกำลังหู่เวยที่ไม่ได้ขยับมาตลอดก็ออกไปสู่สนามรบซุนเผิงจวี่ได้ยินก็อยู่ๆ คิดได้ว่า ทรัพย์สินที่ทัพใหญ่พวกนอกด่านปล้นชิงมาจากรอบทิศล้วนอยู่ไม่ไกลจากนี้ ตอนนี้อยู่ในครอบครองของทหารหลายฝ่าย หวังทงสั่งการเช่นนี้ก็เท่ากับให้รวบทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดมาเป็นของกองกำลังตนก่อน จากนั้นค่อยแจกจ่าย
บนสนามรบล้วนเป็นชายนิสัยหยาบกระด้าง ทุกคนเสี่ยงชีวิตมาเพื่อให้ท้องอิ่ม ให้มีเงินทองมากอีกหน่อย ย่อมเห็นทรัพย์สินหลังสงครามเป็นเรื่องสำคัญ การแย่งชิงเช่นนี้ แม้ทหารค่ายเดียวกันก็ยังถือดาบออกสังหารกันเอง อย่าว่าแต่ตอนนี้ที่บนสนามรบทุกคนสังหารศัตรูหน้ามืดตาแดงก่ำ และมาจากค่ายทหารต่างกัน นี่จะเกิดการปะทะกันเองแล้ว
ซุนเผิงจวี่คิดเตือน แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่มีที่ให้เขาได้แสดงความคิดเห็น จึงอดไม่ได้กล่าวออกไป แต่ในใจก็ยังเป็นห่วง
สถานการณ์บนสนามรบไม่ไปตามที่ซุนเผิงจวี่คาดไว้ ทหารม้าล้วนเป็นพวกกล้าหาญไม่เกรงกลัวผู้ใด ทหารติดตามจากเมืองเหลียวโจวเหล่านี้เป็นเช่นไร ซุนเผิงจวี่ยิ่งรู้ดี แต่คำสั่งหวังทง ทุกคนล้วนเชื่อฟังแต่โดยดี ไม่กล้าต่อต้านขัดขืนแม้แต่น้อย
ซุนเผิงจวี่เข้าใจได้ทันที ทหารม้าแต่ละกองล้วนเห็นพลังการต่อสู้อันเข้มแข็งของกองกำลังหู่เวยบนทุ่งหญ้ามาแล้ว ทหารม้าจากเหลียวหยางเมืองเหลียวโจวก็ได้เห็นกองกำลังหู่เวยกวาดล้างในเมืองมาแล้ว ในเมืองเสิ่นหยางทหารก็ได้เห็นอานุภาพปืนยิ่งใหญ่เกรียงไกรกันมาแล้ว
ขุนนางบู๊ยอมให้ผู้แข็งแกร่งกว่า ทหารทุกหน่วยล้วนรู้ว่าควรทำเช่นไร ทำตามคำสั่งกองกำลังหู่เวย รับการจัดการทุกอย่าง
พอคำสั่งลงไปถึง กองกำลังหมิงที่สังหารศัตรูกันหน้ามืดดวงตาแดงก่ำจึงได้หยุดมือ พวกเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลที่หนีกระเจิงกระเจิงก่อนหน้าตอนนี้ล้วนกองเต็มพื้น
หน่วยทหารราบกองกำลังหู่เวยตอนนี้เริ่มออกเก็บกวาดสนามรบ หากเป็นศัตรูบาดเจ็บก็ฟันทิ้งดาบเดียว แผ่นดินหมิงไม่ได้มีหน้าที่ดูแลรักษาศัตรู
“ยินดีด้วย…”
“การต่อสู้เพิ่งเริ่มต้น กล่าวยินดีเร็วไปสักหน่อย รวมพลทหารแต่ละหน่วยไปหารือในเมือง!”
หวังทงออกคำสั่งราบเรียบ!
ตอนที่ 991 ข้อเรียกร้องที่เกินขอบเขต
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถูกล้อมเมืองมานานหลายเดือน พ้นการปิดล้อมได้ในวันเดียว บรรยากาศตอนนี้ ศัตรูนอกเมืองที่เคยฮึกเหิมตอนนี้ถูกสังหารเกลี้ยง
ทหารรักษาเมืองเหลียวโจวบนกำแพงเห็นการต่อสู้ทั้งหมด ไม่ได้มีแผนแปลกพิสดารอันใด ไม่ได้เป็นทหารกล้าหาญอันใด การต่อสู้เรียกได้ว่าง่ายดายธรรมดายิ่ง
ทหารราบเดินหน้าบีบ ให้ทหารม้าเข้าปะทะ จากนั้นปืนไฟสังหารกวาดล้างยกใหญ่ ปืนใหญ่ถล่มตาม ทำทัพศัตรูแตกพ่าย จากนั้นทหารม้ากองใหญ่โอบล้อม ทำให้ศัตรูไม่อาจหนีรอด จากนั้นก็รุมสังหารสิ้นซาก
การต่อสู้น่าเบื่อเช่นนี้ แต่คนที่เป็นทหารมานานล้วนรู้ว่าหมายถึงสิ่งใด หกหน่วยกองกำลังตั้งทัพ พลทวนยาวเคลื่อนกำลังไปจนถึงเริ่มต่อสู้ ก็ยังคงอยู่ในความสงบมีวินัย บนกำแพงล้วนสามารถเห็นรูปทัพเหลี่ยมทั้งหกหน่วยได้ชัด พลปืนไฟยิ่งน่ากลัว ปืนไฟและปืนใหญ่เมืองเหลียวโจวมีแค่อานุภาพสังหาร หากเรื่องอื่นไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง
ทุกคนล้วนไม่เชื่อมั่นในของเล่นพวกนี้ เห็นศัตรูบุกมาจะถึง มักจะยิงปืนในมือใส่ก่อนให้อุ่นใจ ยิงปืนหมด กระบอกปืนร้อน ศัตรูยังมาไม่ถึงตรงหน้า หากจะบอกว่าพลปืนขี้ขลาดก็ไม่ใช่ เพราะคนยิงปืนก็ชักดาบออกมาสู้ตายกับพวกนอกด่านเช่นกัน
ปืนพวกนี้ทำให้ทุกคนไม่อยากไว้ใจ พอยิงไปรอบหนึ่ง เติมดินปืนอะไรก็ยุ่งยาก ยังไม่แน่ว่าจะยิงได้หรือไม่ บางครั้งยิงออก แต่ศัตรูล้วนไม่บาดเจ็บ พริบตาก็เข้าประชิด ปืนก็เหมือนกระบองเหล็ก เสียเปรียบหนักมาก
แต่พอเห็นความสามารถกองกำลังหู่เวย พลปืนไฟพวกเขากล้าหาญเผชิญหน้าทหารม้าศัตรูนับหมื่นพันไม่เกรงกลัว จากนั้นก็ยิงในระยะใกล้เช่นนั้นอีก อานุภาพสังหารยิ่งมาก เหมือนว่าคนหนึ่งถือเคียวขนาดใหญ่กวาดเกี่ยวต้นข้าวสาลีไปทั้งแถบ ทุกครั้งที่กวาดไปย่อมทำให้ต้นข้าวสาลีล้มไปทั้งแถบ บนสนามรบนี้ ต้นข้าวสาลีก็คือบรรดาทหารม้า
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปืนใหญ่ ปืนใหญ่กองกำลังหู่เวยดูแล้วไม่ได้ใหญ่เทอะทะเหมือนปืนบนกำแพง แต่อัตราการยิงปืนใหญ่ถึงกับเร็วได้เพียงนั้น ยิงได้ไกลเพียงนั้นอีก สังหารศัตรูจำนวนมาก บนกำแพงมีคนพึมพำเบาๆ นี่ไปเชิญเทพองค์ใดลงมารบกัน จึงได้มีสายฟ้าฟาดกัมปนาทเช่นนี้ได้
รองแม่ทัพหม่าหลินกับหลี่หรูเจินในเมืองเมืองเหลียวโจวนับว่ายังสติดี รู้ว่ายามนี้ไม่ใช่เวลานิ่งเฉย แต่ต้องรีบส่งคนออกไปรับศึก
ทหารรักษาเมืองออกไปนอกเมืองสังหารอย่างบ้าคลั่ง แน่นอนย่อมเป็นการระบายที่ตนถูกล้อมไว้นาน ระบายความโกรธแค้น แต่ก็มีพวกหนึ่งที่เห็นกองกำลังหู่เวยออกศึกทำให้หวาดกลัว ต้องการสังหารเพื่อระบายความอัดอั้นในใจได้
ได้เห็นกองทัพเป็นเช่นนี้ ราษฎรในเมืองก็เห็นเช่นกัน สนามรบไม่กว้างมาก แต่หลังสังหารกวาดล้าง ต้องการพื้นที่เก็บกวาดกว้างมาก ศพกับอาวุธยังทิ้งระเนระนาดบนสนามรบ ล้วนต้องเก็บกวาด ในเมืองนอกเมืองต้องสร้างที่เก็บขนาดใหญ่ ตอนนี้รื้อถอนสิ่งกีดขวางไปมาก เกรงว่าทัพใหญ่เดินทัพเข้ามาไม่สะดวก
แต่ราษฎรในเมืองพอได้ยินเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าเชื่อ ทุกคนล้วนคิดว่านอกเมืองจะต้องเกิดเรื่องแล้ว เช่นว่าไล่ทุกคนไปเป็นตัวล่อความสนใจพวกนอกด่าน จากนั้นก็ให้ทหารในเมืองหนีกันได้ หรือว่าคิดจับชายฉกรรจ์ไปกำบังปืนใหญ่ บุกอยู่ด้านหน้า ไปรนหาที่ตาย
รักษาเมืองมาหลายเดือน ทำให้แต่ละคนล้วนเคร่งเครียดมาก อยู่ๆ มีคนบอกว่าเมืองไม่ได้ถูกปิดล้อมแล้ว ให้ทุกคนออกไปเก็บกวาดสนามรบ ผู้ใดจะเชื่อ
ในเมืองเสิ่นหยางถึงกับมีเหตุวุ่นวายหลายแห่ง แต่ทว่าทหารเมืองเหลียวโจวแต่ไรก็ไม่ใช่พวกมีเมตตาอารีอันใด พวกก่อความวุ่นวายจึงถูกปราบอย่างเข้มงวด ชายในเมืองถูกไล่ออกไปนอกเมือง
พอเห็นนอกเมือง เห็นทุกอย่างบนสนามรบ นี่มันเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ มีคนร้องไห้ออกมาทันที คุกเข่าขอบคุณเทพยดาฟ้าดินอยู่ตรงนั้น
ในเมืองเกิดเหตุวุ่นวายทั้งที่ไม่น่าเกิดได้ หวังทงมาถึงที่ทำการของรองแม่ทัพหม่าหลินเมืองเหลียวโจว เรียกระดมทหารมารวมกันเปิดประชุม
โถงที่ทำการเก็บกวาดเรียบร้อย เดิมตรงกลางโถงมีโต๊ะตั้งหันหน้าไปทางเหนือ สองข้างมีเก้าอี้สองแถว หม่าหลินเป็นหัวหน้า จัดสถานที่เสร็จ ก็กลับลงไปนั่งทีนั่งด้านข้าง
การประชุมใหญ่นี้ หวังทงนั่งอยู่ตรงกลาง ขุนพลที่เหลือล้วนยืนตรงสองข้าง ขุนพลในห้อง นอกจากหัวหน้าหน่วยกองกำลังหู่เวยหลายคน คนที่เหลืออายุล้วนมากกว่าหวังทง ทุกคนล้วนรู้ว่าตามหลักควรเป็นเช่นนี้ ผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง ผู้ใดยังมีคุณสมบัตินั่งต่อหน้าหวังทงอีก
“ทุกท่านวันนี้ชัยชนะใหญ่เป็นเพราะทุกท่านร่วมแรงร่วมใจกัน ข้าได้เขียนฎีการายงานความชอบทุกท่านไปอย่างละเอียดแล้ว”
อะไรเรียกว่าร่วมแรงร่วมใจกัน พวกที่ร่วมต่อสู้ครั้งนี้ ถึงกับพวกที่ชื่นชมบนกำแพงก็ล้วนรู้ว่าชัยชนะครั้งนี้ ล้วนเป็นผลงานกองกำลังหู่เวยฝ่ายเดียว ทหารม้าที่มาล้อมสังหารทีหลังแค่ช่วยเหลือเท่านั้น
แต่ทว่าหวังทงกล่าวเช่นนี้ ก็หมายความว่าวันนี้ผลงานความดีความชอบเช่นนี้ ขุนพลทหารและทหารทุกหน่วยล้วนมีส่วนแบ่ง ผลประโยชน์มากมาย
ทุกคนสีหน้าล้วนดีใจ พากันคำนับพร้อมเพรียงกล่าวว่า
“ขอบคุณแม่ทัพใหญ่ที่เมตตา”
หวังทงพยักหน้า กล่าวว่า
“ทุกท่านโปรดวางใจ ผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพหวังกับขันทีเฉินประจำอยู่เหลียวหยาง เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ พวกเขาก็ล้วนเข้าใจกระจ่าง ผลงานแต่ละหน่วยพวกเขาสองคนล้วนรับรองผลงาน!”
ได้ยินเช่นนี้ แต่ละคนสีหน้ายิ่งทวีความยินดี ตอนนี้ระบบทัพใหญ่ปราบตะวันออก หวังทงแม้ว่าจัดการทุกอย่าง แต่การตัดสินความชอบ ก็ต้องให้หวังซีเจวี๋ยกับเฉินจวี่รับรอง มีวาจาหวังทงเช่นนี้ ทุกคนก็รู้สึกมั่นใจขึ้น
หวังทงพิงพนักเก้าอี้กวาดตามองคนเบื้องหน้าทุกคนรอบหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า
“แต่ละหน่วยคัดเลือกทหารม้าเก่งกล้าพันนาย ออกนอกเมืองไปกวาดล้าง ทุกหน่วยแบ่งเส้นทาง ไล่ล่าสายศัตรูและทหารหนีทัพ ฟ้ามืดให้กลับเข้ามา”
ทหารม้าหวังทงกับทหารม้าในเมืองเสิ่นหยางยังพอมีแรง แต่พวกที่มาจากตามแม่น้ำเรียกว่ามาทางไกลโจมตี ตอนนี้ต้องการเวลาพัก แต่คำสั่งลงไป ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน ล้วนรับคำสั่งพร้อมเพรียง
“จัดการตรวจนับทรัพย์สินได้ชัยหลังสงครามละเอียดแล้วยัง? นำบัญชีเสบียงในเมืองมาให้หรือยัง?”
สองคำสั่งกล่าวจบ หม่าหลินก็ส่งสายตาให้ทหารติดตาม ทหารติดตามรีบนำบัญชีส่งให้ หม่าหลินส่งให้หวังทงด้วยสองมือ
ทหารเมืองเหลียวโจวยามนี้สบตากัน ก่อนจะก้มหน้าลง หวังทงช่างไร้เหตุผล ของที่ได้จากสงครามมากมาย เขากินรวบไปคนเดียว แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำอันใดไม่ได้ ผู้ใดให้หวังทงรบเก่งจริงเล่า สามารถกินรวบได้มากเพียงนี้ก็เพราะเขามีความสามารถและเก่งกล้าจริง
“ให้เสิ่นหยางส่งคนงานมาห้าพัน เสบียงพวกเขาให้ใช้เสบียงในเมืองเสิ่นหยาง ม้าวัวนอกเมืองที่ได้กวาดต้อนมาก็ให้เลือกตัวแข็งแรงออกมา…”
หวังทงจัดการเช่นนี้ทำให้ขุนพลทหารในที่นั้นพากันงง กองกำลังหู่เวยเองมีรถใหญ่กับหน่วยกองบริการ ยังจะเอาคนงานและม้าวัวไปทำไมกัน หลายคนคิดว่าตนเองรู้สาเหตุแล้ว หรือว่าจากนี้จะให้ทหารม้าหมื่นนายนี้เดินทัพไปพร้อมกองกำลังหู่เวย
จัดการได้ครึ่งเดียว ด้านนอกก็มีทหารหวังทงรีบวิ่งเข้ามาในห้องโถง มากระซิบหวังทงสองสามคำ หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“ตอนนี้ไปจัดการตามนี้ก่อน ให้ราษฎรในเมืองจัดเตรียมเสบียงแห้งสำหรับทหารสองหมื่นหกวัน จะใช้พรุ่งนี้”
“ข้าน้อยรับคำสั่ง!”
คำสั่งเหล่านี้ล้วนสั่งการขุนพลทหารในพื้นที่ ไม่ว่ารวบรวมกำลังแรงงานชาวบ้านหรือเตรียมเสบียงแห้งจำนวนมาก ล้วนต้องให้ชาวเมืองเสิ่นหยางร่วมแรงกันทำ ดังนั้นย่อมเป็นหม่าหลินออกมารับคำสั่ง
อย่างไรก็เป็นชัยชนะใหญ่ แม้หวังทงวางตัวเป็นใหญ่ คนเบื้องหน้าก็ยังไม่รู้สึกอะไร รับคำสั่งแต่โดยดี หม่าหลินกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ เสบียงสำหรับคนสองหมื่นในหกวัน มันมากเกินไปสักหน่อยไหม ต้องใช้แรงงานไม่น้อย พรุ่งนี้ต้องใช้ ก็เร่งด่วนไปสักหน่อย ทัพใหญ่ได้ชัยชนะใหญ่เข้าเมืองมาเหน็ดเหนื่อย หรือว่าพักสักสองวันค่อยออกเดินทาง จะได้สบายๆ กันสักหน่อย”
“ไม่อาจยืดเยื้อ แรงราษฎรไม่พอก็ใช้ทหาร เสบียงในมือราษฎรไม่พอ ก็ให้เอาจากโกดังที่สะสมไว้ กลางวันทำไม่ทัน ก็ทำกลางคืนด้วย”
วาจาหวังทงราบเรียบ แต่ไม่เว้นช่องให้คนเบื้องหน้าได้กล่าวอันใดต่อ หม่าหลินสีหน้าแปรเปลี่ยน หากยังคำนับรับคำ ตอนนี้ไม่อาจต่อต้านและไม่อาจมีจุดยืนใด
“ทหารแต่ละหน่วยให้ทำตามระเบียบงานเดิม ไม่ให้เปลี่ยนแปลงใด หม่าซานเปียว หลี่หรูป๋อ หม่าหย่ง หลี่ซานสือ พวกเจ้านำทหารม้าขึ้นเหนือต่อ ครั้งนี้ไม่ต้องเร็ว ขอแค่รักษากำลังให้ดี จากเมืองเสิ่นหยางขึ้นเหนือไปกองกำลังเถี่ยหลิ่ง ระหว่างทางมีสองค่ายทหาร สามหน่วยกองพันทหาร น่าจะประสบภัยไปแล้ว พวกเจ้าค่อยๆ กวาดล้างพื้นที่สำคัญที่ละแห่ง ยึดได้หนึ่งตั้งมั่นหนึ่ง หากมีอันใดผิดปกติ สามารถถอนกำลังกลับเมืองเสิ่นหยาง พวกเจ้าเข้าใจไหม?”
คำสั่งนี้เทียบกับเมื่อครู่ผ่อนปรนกว่าทางหม่าหลินมาก หลักๆ ก็คือทัพทหารม้าขึ้นเหนือ ยึดได้ยึด ยึดไม่ไหวก็ถอยกลับมา
ทุกคนงงก็ส่วนงง แต่ก็คำนับรับคำสั่ง หวังทงสั่งอีกว่า
“หม่าหลิน หลี่หรูเจิน หนึ่งเร่งสะลมเสบียงกำลังพล สองรักษาเมืองเสิ่นหยาง กองกำลังฝู่ซุ่นทางตะวันออกเมืองเสิ่นหยางเสียไป ไม่ต้องเร่งไปช่วย รักษาเมืองเสิ่นหยางให้ปลอดภัยไว้ก็พอ”
อย่างไรก็เฝ้าป้องกันมานานเพียงนี้ เฝ้าต่อไปอีกระยะก็ควรอยู่ แผนนี้ไม่เคร่งเครียด หลี่หรูเจินคำนับรับคำสั่ง หม่าหลินลังเลสงสัยครู่หนึ่ง เอ่ยถามขึ้นว่า
“แม่ทัพใหญ่ ตอนนี้สถานการณ์ดีเช่นนี้ ควรนำกำลังทุกหน่วย ออกตีคืนจึงจะ…”
ความหมายของหม่าหลิน ทุกคนล้วนเข้าใจ สถานการณ์กำลังดี กำลังเป็นเวลาเร่งสร้างความดีความชอบ แต่หวังทงกลับสั่งการให้ทุกคนรักษาหน้าที่เดิม ไม่ให้เคลื่อนไหวใด ก่อนหน้าที่ทุลักทุเลก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้เป็นเวลาเก็บเกี่ยวรับความดีความชอบอำนาจวาสนา เหตุใดจึงไม่ให้ทุกคนเคลื่อนไหว
“หากข้าไม่เห็นแก่พี่ชายเจ้า เลี้ยงรับรองข้าที่เมืองเซวียนฝู่ ตอนนี้ข้าจะตัดหัวเจ้าทิ้งตามวินัย ข้าออกคำสั่ง เจ้าไหนเลยมีหน้ามีกล่าวอันใด ถอยออกไป!”
หวังทงตำหนิเสียงเย็น หม่าหลินสีหน้าแตกตื่นแดงก่ำ ไม่กล้ากล่าวต่อ รีบถอยออกไปกลับเข้ายืนที่เดิม หวังทงแต่ไรมาก็กล่าววาจานุ่มนวล อยู่ๆ เฉียบขาด ทุกคนล้วนอึ้งไป หวังทงกวาดตามองรอบหนึ่ง กล่าวว่า
“รองแม่ทัพซุนที่เหลียวหนานกำลังสู้กับพวกนอกด่านเคร่งเครียดที่ป้อมกูซาน พรุ่งนี้ข้าจะไปช่วย!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น