พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 989-990
บทที่ 989 ผู้หญิงมากสร้างความวุ่นวาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
คำพูดนี้ทำให้คนฟังหวาดผวาจริงๆ แม้แต่หกปราชญ์ยังต้องยืนชิดซ้าย!
เมื่อก่อนพูดคำนี้ หยางชิ่งและลูกสาวก็อาจจะไม่เชื่อ แต่ในมือมียาแก่นเซียนจำนวนมากเป็นเครื่องพิสูจน์ ยาแก่นเซียนมากมายขนาดนี้ เกรงว่าต่อให้หกปราชญ์รวมกันก็หามาไม่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ แน่
ในใจหยางชิ่งกำลังเต็มไปด้วยคำถาม สงสัยว่าเหมียวอี้หายาแก่นเซียนมากมายขนาดนี้มาจากไหนกันแน่ แต่กลับเห็นอวิ๋นจือชิวมองมาด้วยรอยยิ้มสนิทสนม “ผู้การหยาง ได้ยินว่าท่านกับเทพธิดาหงเฉินสนิทกันมากเหรอ?”
หยางชิ่งหัวใจกระตุกวูบ รู้ว่าพฤติกรรมของตัวเองปิดบังสายตานางไม่ได้ โดนอีกฝ่ายมองออกแล้ว เขาตอบอย่างค่อนข้างอับอาย “เคยคุยกันไม่กี่ครั้งขอรับ”
“แค่คุยกันเองเหรอ?” อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้ว แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “ใครๆ ก็ชอบของสิ่งสวยงามกันทั้งนั้น เทพธิดาหงเฉินเป็นยอดหญิงงามที่หาได้ยากในใต้หล้า ถ้าผู้การหยางถูกใจ นั่นก็เป็นความรู้สึกปกติของมนุษย์เรา แต่ผู้การหยางเป็นคนฉลาด เทพธิดาหงเฉินเป็นลูกศิษย์ของมู่ฝานจวิน ห้ามเอายาแก่นเซียนในมือไปเอาใจเทพธิดาหงเฉินเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะเป็นการนำชีวิตของข้ากับเวยเวยไปเล่นสนุกนะ! ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา ยั่วให้มู่ฝานจวินกำจัดพวกเราทิ้งหมด เกรงว่ามู่ฝานจวินก็คงไม่ยอมให้ท่านกับเทพธิดาหงเฉินอยู่ด้วยกันหรอก หวังว่าผู้การหยางจะไตร่ตรองก่อนทำ”
ฉินเวยเวยกำลังรู้สึกกดดันหนักเพราะคุมยอดเขาหยกนครหลวง เพิ่งจะมารู้ตัวทีหลัง เมื่อได้ยินแล้วก็มองหยางชิ่งด้วยสีหน้าฉงน นางรู้สึกแปลกประหลาดใจ ที่แท้พ่อบุญธรรมก็ชอบเทพธิดาหงเฉินแล้วนี่เอง รสนิยมสูงจริงๆ เจ้าตัวทั้งสวยทั้งฐานะสูงส่ง เพียงแต่คำพูดของพี่สาวใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล พ่อบุญธรรมทำแบบนี้ไม่เหมาะสม จะนำมาปัญหามาสู่สามีของตัวเอง สิ่งนี้ทำให้นางกังวลมาก!
โดนคนเปิดโปงความลับแบบต่อหน้า ทำเอาใบหน้าชราของหยางชิ่งแดงเรื่อ กุมหมัดตอบอย่างอับอายว่า “ท่านทูตไม่ต้องห่วง หยางชิ่งเพียงชื่นชมความงามของเทพธิดา แต่กลับรู้จักแยกแยะความสำคัญ ไม่ให้ความรักของชายหญิงมาทำให้เสียเรื่องเด็ดขาด”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ข้าเองก็เชื่อว่าผู้การสามารถแยะแยะความสำคัญได้ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่พูดเปิดโปงต่อหน้าผู้การหรอก เพียงอยากจะเตือนผู้การไว้สักคำ ขอเพียงสามีของของข้ากับน้องเวยเวยสามารถกลายเป็นจ้าวของพิภพเล็กได้ อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างผู้การกับน้องสาว นายท่านย่อมไม่ปฏิบัติต่อท่านอย่างไม่ยุติธรรมแน่ ถึงตอนนั้นอาศัยตำแหน่งขุนนางสูงสุดของผู้การ เทพธิดาหงเฉินหนีไม่พ้นเงื้อมมือผู้การแน่ ผู้การสามารถได้หญิงงามล่มเมืองมาครองอย่างง่ายดาย ถ้าใครกล้ามาแย่งกับผู้การ ข้ากับน้องเวยเวยจะเป็นคนแรกที่ไม่อนุญาต!” นางตบหลังมือฉินเวยเวยเบาๆ “น้องสาว เจ้าว่าพี่สาวพูดถูกรึเปล่า?”
พูดประเด็นนี้ต่อหน้าลูกสาวตัวเอง หยางชิ่งเรียกได้ว่าเคอะเขินทำตัวไม่ถูก
เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ของหยางชิ่ง ฉินเวยเวยก็กลั้นขำเช่นกัน พยักหน้าบอกว่า “เมื่อถึงตอนนั้นก็ต้องให้ท่านพ่อตัดสินใจเองอยู่แล้ว!”
“คำพูดของท่านทูต หยางชิ่งจดจำไว้แล้ว หวังว่าท่านทูตจะพูดจาปรานีบ้าง ไม่อย่างนั้นหยางชิ่งคงอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!” หยางชิ่งเบี่ยงหน้าหนีพลางกุมหมัดคารวะ ไม่กล้ามองหน้าตรงๆ ตอนนี้อับอายสุดๆ
อวิ๋นจือชิวยิ้มพร้อมกล่าวว่า “กลองดีตีเบาๆ ก็ดัง ผู้การหยางเป็นคนฉลาด ควรจะรู้ว่าต้องทำอย่างไร น้องเวยเวยยังอายุน้อย ประสบการณ์คุมยอดเขาหยกนครหลวงยังมีไม่พอ ท่านเป็นบิดาบุญธรรมไม่อาจนิ่งดูดายได้ ต้องพยายามช่วยอย่างต็มที่”
“ท่านทูตมีบุญคุณอันใหญ่หลวง หยางชิ่งน้อมรับคำสั่ง!” หยางชิ่งเอ่ยรับ
วางเรื่องนี้เอาไว้ก่อน อวิ๋นจือชิวถามอีกว่า “ข้ากลับมาครั้งนี้ทำไมได้ยินว่าหลันโฮ่วกับจางเทียนเซี่ยวของปราสาทดำเนินจันทร์สู้กันอีกแล้วล่ะ?”
หยางชิ่งรายงานว่า “เรื่องนี้ข้าน้อยไปตรวจสอบมาแล้ว ทั้งสองไม่ได้สู้กันแค่ครั้งสองครั้ง เพราะทั้งสองมีทั้งแค้นเก่าแค้นใหม่ จะว่าไปแล้ว เดิมทีทั้งสองเป็นสามีภรรยากันขอรับ”
“เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่” อวิ๋นจือชิวแปลกใจ
หยางชิ่งส่ายหน้าถอนหายใจ “เรื่องนี้ต้องเริ่มเล่าตั้งแต่คนรุ่นก่อน ตระกูลจางกับตระกูลหลันมีความแค้นกันมาตั้งนานแล้ว ตอนหลังตระกูลจางฆ่าล้างเลือดตระกูลหลัน หลันโฮ่วเป็นคนเดียวของตระกูลที่หนีรอดมาได้ ตอนหลังหลันโฮ่วทำทุกทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการล้างแค้น หลันโฮ่วทำทุกอย่างโดยไม่สนวิธีการ เขาใช้วิธีการปิดบังชื่อแซ่แล้วไปจีบลูกสาวของตระกูลจาง ซึ่งก็คือจางเทียนเซี่ยวนั่นเอง และในคืนวันแต่งงาน หลันโฮ่วฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนของตระกูลจางไม่ได้ระวังตัวเพื่อสังหารอย่างโหดเหี้ยม ฆ่าล้างเลือดตระกูลจาง แต่ก็ไม่ได้ทำเรื่องนี้ให้เด็ดขาด ปล่อยจางเทียนเซี่ยวที่เป็นเจ้าสาวไป ตอนหลังหลันโฮ่วเข้ามาทำงานให้ทางการ จางเทียนเซี่ยวก็ตามเข้ามาทำด้วยเหมือนกัน ที่มาที่ไปของความแค้นระหว่างทั้งสองก็เป็นแบบนี้ ลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ สงสัยจะเป็นศัตรูคู่แค้นกัน!” อวิ๋นจือชิวได้ฟังแล้วค่อนข้างทอดถอนใจ แล้วหันกลับมาบอกว่า “เรื่องนี้ให้ท่านจัดการแล้วกัน อย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก”
“ขอรับ!” หยางชิ่งเอ่ยรับคำสั่ง หลังจากถามแล้วว่าไม่มีธุระอย่างอื่น ก็กล่าวขอตัวลา
ในห้องเหลืออยู่แค่สองคน จู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็ยื่นนิ้วไปช้อนคางขาวเนียนละเอียดอ่อนฉินเวยเวย แล้วเดาะลิ้นพูดหยอกว่า “ท่านสามีช่างใจร้ายจริงๆ ทำไมปล่อยให้หญิงงามขนาดนี้หนุนหมอนนอนเดียวดายได้”
ฉินเวยเวยเพิ่งผ่านเรื่องระหว่างชายหญิงมาได้ไม่นาน จะทนการหยอกล้อแบบนี้ได้อย่างไรกัน ทำสีหน้าอับอายมาก แก้มแดงราวกับพระอาทิตย์ยามเย็น “ข้าไม่เป็นไรค่ะ งานของนายท่านสำคัญกว่า”
อวิ๋นจือชิวกลับไม่ยอมปล่อยนาง เป่าลมอยู่ข้างหูนาง “ไม่เป็นไรจริงเหรอ? ของบางอย่างถ้ายังไม่เคยลิ้มลองก็ยังดีหน่อย แต่ถ้าเคยลิ้มลองก็รู้รสชาติแล้ว ตอนหนุนหมอนนอนเดียวดายเคยคิดถึงท่านสามีบ้างหรือเปล่า? ตอนนี้ใช้แผนเล่นหมากล้อมก็ไม่ได้ผลแล้วนะ”
“พี่สาว!” ฉินเวยเวยกระทืบเท้า อยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว แก้มแดงเหมือนก้นลิง วิ่งหนีไปโดยไม่ได้บอกลาสักคำ
อวิ๋นจือชิวหัวเราะจนไหล่สั่น พอเดินมาที่หน้าต่างแล้วเห็นฉินเวยเวยหนีออกไปแล้ว ใบหน้ายิ้มของนางก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ นางยืนพิงหน้าต่าง ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ไอ้เวรเอ๊ย ตอนที่เจ้ากำลังย่ำยีดอกไม้อยู่นอกบ้าน ข้ายังต้องช่วยเจ้าจัดการเรื่องในบ้านให้เรียบร้อย เพื่อให้เจ้าได้ทำตัวเจ้าชู้ข้างนอกอย่างสบายใจ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน น่าโมโหนัก…”
พอนางกลอกตา สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ตำหนักคู่แฝด นางจึงเหาะออกทางหน้าต่าง ไปเหยียบลงนอกตำหนักคู่แฝดโดยตรง
เมื่อนางมาถึง ก็ทำให้โอวหยางหลางกับโอวหยางหวนตกใจจนรีบนำคนเดินออกมาคำนับ “คำนับฮูหยิน!”
“เป็นพี่น้องบ้านเดียวกันทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องมองข้าเป็นคนนอกหรอก ไม่ต้องมากพิธี!” อวิ๋นจือชิวยื่นมือบอกใบ้ให้ทั้งสองยืนตรง แล้วกวาดตามองสองพี่น้อง พบว่าพวกนางผอมแห้งลงไม่น้อย นางแอบทอดถอนใจ ผู้หญิงสองคนนี้ช่างน่าสงสาร อยู่ในบ้านทั้งวันไม่ก้าวออกประตูไปไหน
สองพี่น้องฝาแฝดเดินนำ อวิ๋นจือชิวที่เดินตามไปตำหนักหลักถามว่า “ทำไมข้าได้ยินว่าพวกเจ้าสองพี่น้องไม่ก้าวออกจากประตูไปไหนเลยล่ะ มีคนไม่เคารพพวกเจ้าสองคนเหรอ?”
“ไม่มีค่ะ ไม่มี!” ทั้งสองรีบปฏิเสธ
เมื่อเข้ามาในโถงหลัก อวิ๋นจือชิวนั่งลงที่หัวโต๊ะ สองพี่น้องฝาแฝดยืนอยู่ข้างๆ หญิงรับใช้รีบนำน้ำชามาวาง
หลังจากดื่มน้ำชาไปคำหนึ่ง อวิ๋นจือชิวก็ถามว่า “ไม่มีจริงเหรอ? แล้วทำไมไม่ก้าวออกจากประตูบ้านเลยล่ะ? ข้างล่างของภูเขาเป็นสังคมมนุษย์ที่เจริญรุ่งเรือง ทำไมไม่ไปดูหน่อยล่ะ? หรือว่าตอนที่ข้าไม่อยู่ ทางตำหนักอินทนิลไม่ให้เกียรติพวกเจ้าเหรอ? มีอะไรไม่ยุติธรรมก็พูดมาได้เลย ข้าจะตัดสินให้พวกเจ้า!”
“ไม่มีจริงๆ ค่ะ เราสองพี่น้องสงบจิตสงบใจฝึกตนมาโดยตลอด” โอวหยางหลางรีบตอบ
จือฉิน จือฉี จือซู จือฮว่า หญิงรับใช้ทั้งสี่แอบสบตากันเงียบๆ แวบหนึ่ง ในใจมีคำพูดบางอย่าง พวกนางคิดว่าฝ่ายนี้กำลังถูกตำหนักอินทนิลรังแก หงเหมียนกับลู่หลิ่วไม่ค่อยเกรงใจพวกนางสักเท่าไร ถึงแม้จะไม่กล้าทำอะไรหรูฮูหยินทั้งสอง แต่กลับหยิ่งยโสใส่หญิงรับใช้อย่างพวกนางสี่คน ถึงขนาดเรียกใช้งานพวกนางด้วยซ้ำ เหตุผลก็ไม่ใช่เพราะอะไร เนื่องจากฮูหยินตำหนักอินทนิลรับหน้าที่แทนท่านทูต แถมพ่อบุญธรรมของฮูหยินตำหนักอินทนิลก็เป็นผู้การใหญ่ของยอดเขาหยกนครหลวง จัดการธุระต่างๆ ของสายมะโรง ทางนั้นมีอำนาจและตำแหน่งสูงกว่า แต่พ่อแม่ของเจ้านายทั้งสองของพวกนางกลับกำลังต้องโทษ จะเงยหน้าอ้าปากได้อย่างไร ย่อมต้องโอนอ่อนผ่อนตามอยู่แล้ว
ทว่าคำพูดเหล่านี้ พวกนางย่อมไม่กล้าพูดออกมาอยู่แล้ว เจ้านายทั้งสองก็ไม่ยอมให้พูดด้วย ถ้าไม่ทำให้ฮูหยินตำหนักอินทนิลไม่พอใจขึ้นมา จะต้องมีคนมากลั่นแกล้งพวกนางแน่ เกรงว่าจุดจบของฝ่ายนี้จะไม่ดี
ยอดเขาหยกนครหลวงมีสายข่าวของอวิ๋นจือชิวอยู่ทั่วทุกที่ จะมีเรื่องอะไรปิดบังสายตาของนางได้ล่ะ? นางกวาดมองปฏิกิริยาของหญิงรับใช้ทั้งสี่ พฤติกรรมบางอย่างที่หงเหมียน ลู่หลิ่วทำเพื่อเพิ่มบารมีให้เจ้านายตัวเอง อวิ๋นจือชิวก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน ที่นางบอกว่าจะตัดสินความยุติธรรมให้ ปากนางก็พูดไปอย่างนั้นเอง แต่ไหนแต่ไรมา ถ้าบ้านไหนมีผู้หญิงอยู่เยอะ บ้านนั้นก็สงบสุขไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นตราบใดที่ไม่เปิดโปงเรื่องนี้ออกมา นางก็จะไม่หักหน้าฉินเวยเวย ถ้าจะพูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ ถึงอย่างไรตอนนี้ฝ่ายฉินเวยเวยก็ดูน่าไว้ใจมากกว่า
แต่จากที่นี่อวิ๋นจือชิวเห็น หงเหมียน ลู่หลิ่วก็ทำเกินไปจริงๆ หญิงรับใช้ฝ่ายนั้นรังแกหญิงรับใช้ฝ่ายนี้ก็พอแล้ว บางครั้งเวลาเจอสองพี่น้องโอวหยางก็ไม่ก้มหน้าเคารพเลย พูดจาก็ไม่ค่อยเกรงใจเท่าไร การที่สองพี่น้องฝาแฝดไม่กล้าออกจากตำหนัก หงเหมียนกับลู่หลิ่วคือตัวการใหญ่ของเรื่องนี้
นางไม่เชื่อว่าทางด้านหยางชิ่งจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ แต่หยางชิ่งกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย เหมือนจะจงใจให้ท้ายหญิงรับใช้
อวิ๋นจือชิวเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อ ไม่อยากให้ลูกสาวตัวเองได้รับความไม่เป็นธรรม อยากจะให้ลูกสาวอยู่ในฐานะที่เป็นรองเพียงหนึ่งแต่อยู่เหนือคนอื่น
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่อวิ๋นจือชิวอยากจะเห็น หยางชิ่งมีจุดยืนของหยางชิ่ง ภรรยาเอกอย่างนางก็มีจุดยืนของภรรยาเอกเหมือนกัน ถึงแม้สองพี่น้องโอวหยางจะเป็นอนุภรรยา แต่ก็ถือว่าเป็นเจ้านายเหมือนกัน หญิงรับใช้สองคนถึงขนาดอาศัยอำนาจมารังแกเจ้านายแล้ว แบบนี้จะไม่แย่หรอกเหรอ? ตอนนี้นางเป็นท่านทูต ยังพอควบคุมได้อยู่ แต่เมื่อใดที่คลี่คลายสถานการณ์ที่พิภพใหญ่ได้แล้ว ท่านทูตอย่างนางก็จะอันตรธานกลายเป็นเมฆหมอก เมื่อสาวใช้ทั้งสองมีเงื่อนไขที่ได้เปรียบมากขึ้น แล้วจะมารังแกนางด้วยหรือเปล่า? หยางชิ่งจะยุยงให้ฉินเวยเวยเกิดความคิดที่จะมาแทนที่ตำแหน่งของนางหรือเปล่า? ใช่ว่าเรื่องนี้จะเป็นไปไม่ได้!
ดังนั้นอวิ๋นจือชิวจึงอยากจะตำหนิสักหน่อย เพียงแต่เรื่องนี้นางไม่สะดวกจะออกหน้าเองโดยตรง ถ้านางออกหน้าเองก็จะเท่ากับเป็นศัตรูกับฉินเวยเวย จะทำให้ในบ้านไม่สงบ จะทำให้เหมียวอี้ลำบากใจ เรื่องนี้ต้องตกเป็นหน้าที่เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ให้พวกนางสองคนออกหน้าจะเหมาะที่สุด ฉินเวยเวยกับหยางชิ่งเห็นพวกนางแล้วยังต้องถอยให้สามก้าว
อวิ๋นจือชิวตัดสินใจได้ในชั่วพริบตาเดียว เดี๋ยวถ้ามีโอกาสจะต้องให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สั่งสอนหงเหมียนกับลู่หลิ่วสักยก ให้สาวใช้สองคนนั้นได้รับบทเรียนยาวๆ รับรองว่าฝ่ายหยางชิ่งไม่กล้าพูดอะไรแน่ ที่ตำหนักหลัง นอกจากนางก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรเชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์แล้ว ถ้าคนอื่นกล้าแตะต้องเชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์ก็ลองดู รับรองว่าเหมียวอี้เดือดเป็นฟืนเป็นไฟแน่!
เมื่อหาตัวคนสองคนที่จะมาทำหน้าที่ลงโทษคนในบ้านได้แล้ว อวิ๋นจือชิวจึงวางเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว
แต่จะว่าไปแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องโชคดีของนางเหมือนกัน ไม่เหมือนพวกฉินเวยเวยที่มีหญิงรับใช้เป็นของตัวเอง ข้างกายนางไม่มีหญิงรับใช้ที่แต่งงานเข้ามาพร้อมกัน ดังนั้นจึงให้เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์รับช่วงต่อมาตลอด ไม่อย่างนั้นถ้าข้างกายนางมีหญิงรับใช้ เกรงว่าหญิงรับใช้ของนางจะต้องเป็นศัตรูกับเชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์แน่ ตอนนี้นับว่าลดความยุ่งยากไปได้ไม่น้อย
“ข้าไปส่งส่วยประจำปีที่แดนโพ้นสวรรค์มาครั้งนี้ ข้าได้เจอกับพ่อแม่ของพวกเจ้าแล้ว ข้าทักทายแทนพวกเจ้าแล้วด้วย ตอนนี้พ่อแม่ของพวกเจ้าแค่ขาดอิสระชั่วคราว ส่วนอย่างอื่นก็ยังนับว่าสุขสบายดี ไม่ได้ลำบากอะไร พวกเขาฝากให้ข้านำจดหมายมาให้พวกเจ้าด้วย” อวิ๋นจือชิวนำแผ่นหยกสองแผ่นมาร่ายอิทธิฤทธิ์ส่งให้ตรงหน้าทั้งสอง
บทที่ 990 ดึงคนจากทะเลดาวนักษัตร
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในจดหมายของอันหรูอวี้กับโอวหยางกวง นอกจากบอกลูกสาวทั้งสองว่าให้เลิกเป็นห่วง พ่อกับแม่สบายดี ก็บอกอีกว่าให้ลูกสาวทั้งสองตั้งใจใช้ชีวิตให้ดี เน้นย้ำว่าให้เชื่อฟังสามีกับอวิ๋นจือชิว
เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เน้นย้ำไม่ได้ออกมาจากใจตัวเอง จดหมายนี้อวิ๋นจือชิวเป็นคนถือว่า เกรงว่าคงเขียนแบบนี้ให้อวิ๋นจือชิวเห็น
สองพี่น้องอ่านจนน้ำตาคลอ ในปีก่อนๆ ตอนที่พ่อแม่ยังมีตำแหน่งสูง ก็เรียกได้ว่าไม่มีอะไรต้องกังวล ที่แดนเซียนจะมีสักกี่คนที่กล้าไม่เกรงใจพวกนาง? แต่ตอนนี้กลับโดนแม้กระทั่งหญิงรับใช้ของคนอื่นชักสีหน้าใส่ แต่ก็จำต้องข่มความโกรธเอาไว้ เป็นอนุภรรยาก็ว่าแย่แล้ว สามีที่แต่งงานด้วยดันหายไปไม่เห็นเงา ไม่รู้เหมือนกันว่าดูถูกดูแคลนพวกนางสองพี่น้องหรือเปล่า
ทั้งสองค่อนข้างคิดมาก สถานการณ์ของพ่อแม่บวกกับสิ่งที่สองพี่น้องกำลังเผชิญตอนนี้ เรียกได้ว่าความเศร้าโศกออกมาจากหัวใจ
เมื่อเห็นทั้งสองเหมือนจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ อวิ๋นจือชิวก็เคาะโต๊ะเบาๆ เบี่ยงเบนความสนใจของทั้งสองคน “วางเรื่องที่ทำให้ร้องห่มร้องไห้เอาไว้ก่อน ตอนนี้พวกเรากำลังจะเผชิญหายนะแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเจ้าสองพี่น้องได้ร้องไห้แน่”
คำพูดนี้ฟังดูค่อนข้างร้ายแรง ทำให้สองพี่น้องและหญิงรับใช้ทั้งสี่มองนางอย่างตกตะลึง ในใจรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรที่ฟังดูร้ายแรงขนาดนั้น
“ฮูหยิน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” โอวหยางหลางลองถามหยั่งเชิง
อวิ๋นจือชิวจ้องด้านนอกลพางพ่นเสียงทางจมูก “ผู้ชายของพวกเราใกล้จะโดนนางจิ้งจอกนอกบ้านหลอกล่อไปแล้ว บ้านนี้ใกล้จะแตกแล้ว พวกเราคิดว่าเรื่องอะไรล่ะ?”
พวกนางมองหน้ากันเลิกลั่ก สองพี่น้องฝาแฝดร้องให้ไม่ออก โอวหยางหวนถามหยั่งเชิงว่า “ฮูหยินหมายความว่า นายท่านมีผู้หญิงอื่นนอกบ้านหรือคะ?”
“เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?” อวิ๋นจือชิวทำหน้าเครียดขรึม ชี้พวกนางสองคนพร้อมตำหนิ “ข้าว่าพวกเจ้าสองพี่น้องนี่ยังไงกัน? ให้นายท่านแต่งงานรับพวกเจ้ามาทำอะไร? เป็นสองพี่น้องฝาแฝดได้เปรียบขนาดไหน แต่กลับกุมหัวใจนายท่านไว้ไม่อยู่ ข้าว่าก่อนหน้านี้พวกเจ้าสองคนปรนนิบัตินายท่านไม่ดีใช่มั้ย?”
พออวิ๋นจือชิวตำหนิแบบนี้ สองพี่น้องก็ยังอับอายทั้งคับแค้นใจ ในใจรู้สึกไม่ยุติธรรมขนาดไหน นายท่านเพิ่งจะแตะต้องพวกเราได้ไม่กี่ครั้งเอง อยู่กับพวกเราน้อยจนนับครั้งได้ พวกเราจะมีทางทำอะไรได้ล่ะ
“พวกเจ้าสี่คนก็เหมือนกัน!” อวิ๋นจือชิวชี้ไปที่ ‘ฉินฉีซูฮว่า’ ถามว่า “พวกเจ้าตอบข้ามาเสียดีๆ นายรับรับพวกเจ้าเข้าห้องหรือยัง?”
หญิงรับใช้ททั้งสี่หน้าแดง ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมพูดจา ในใจพึมพำว่า ขนาดหรูฮูหยินนายท่านยังไม่มีเวลาเลย จะเอาเวลาจากไหนมาแตะต้องพวกเราล่ะ
ที่จริงในใจของพวกนางก็คับแค้นมากเช่นกัน เพียงแต่คำพูดบางคำไม่สามารถเอ่ยออกมาได้
“เงยหน้าขึ้นมา!” อวิ๋นจือชิวตบโต๊ะ “แต่งงานเข้ามาด้วยกันหมดแล้ว ยังจะเขินอายอะไรอีก ข้าถามพวกเจ้าอยู่นะ ไม่ได้ยินเหรอ?”
หญิงรับใช้ทั้งสี่รีบเงยหน้า แต่ละคนตอบเสียงเบาเหมือนแมลงวัน “ยังเจ้าค่ะ!”
อวิ๋นจือชิวถามสองพี่น้องโอวหยางทันที “พวกนางสี่คนไม่ใช่สาวใช้ร่วมห้องของเจ้านายหรอกเหรอ?”
โอวหยางหลางพยักหน้า “เป็นสาวใช้ร่วมห้องเจ้าค่ะ แต่…แต่นายท่านมาที่นี่ไม่บ่อย”
“นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าไร้ประโยชน์เอง อย่าผลักความผิดไปให้นายท่าน” อวิ๋นจือชิวตบโต๊ะยืนขึ้น แล้วกล่าวอย่างชอกช้ำใจ “ขายหน้านัก! พวกเจ้าสองพี่น้องกับสาวใช้ร่วมห้องสี่คน แต่กลับกุมหัวใจนายท่านไม่อยู่ ผู้หญิงในบ้านเป็นโขยงยังเอาชนะนางจิ้งจอกนอกบ้านคนเดียวไม่ได้ เจ้าคิดว่าพวกเจ้าแต่งงานเข้ามาเพื่อทำประโยชน์อะไร? เป็นเพราะไม่พอใจที่ในบ้านมีผู้หญิงน้อย เลยอยากเพิ่มพวกเจ้าสองพี่น้องมาเพิ่มงั้นเหรอ?”
พวกนางเอาแต่ก้มหน้า เงยหน้าไม่ไหว ไม่รู้เหมือนกันว่าจะแก้ตัวอย่างไรดี
อวิ๋นจือชิวบอกอีกว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว ว่าจะพาพวกเจ้าสองพี่น้องไปอยู่ข้างกายนายท่าน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าผู้หญิงเป็นโขยงจะเอาชนะนางจิ้งจอกตัวเดียวไม่ได้! ใช่แล้ว ข้าเองก็ไม่ได้บังคับพวกเจ้านะ พวกเจ้าเต็มใจจะไปกับข้าหรือเปล่า?”
สองพี่น้องโอวหยางย่อมปรารถนาจะไปอยู่ข้างกายเหมียวอี้อยู่แล้ว อยู่ที่นี่สุดแสนจะขมขื่นใจ ทั้งยังต้องเกรงใจสายตาคนอื่นอีก จึงรีบพยักหน้าทันที
“อย่าเอาแต่พยักหน้าอย่างนั้น ข้ามองไม่เข้าใจ เต็มใจไปหรือไม่ก็บอกมาให้ชัดเจน” อวิ๋นจือชิวกลับไม่อ้อมค้อม
“ยินดีติดตามฮูหยินไปเจ้าค่ะ!” สองพี่น้องรีบเอ่ยรับ
“งั้นก็ไม่ต้องชักช้าแล้ว เก็บข้าวข้องที่ควรจะนำไปด้วยแล้วไปกับข้า! มาพบข้าที่ปราสาททองภายในเวลาครึ่งชั่วยามนี้!” อวิ๋นจือชิวพูดจบแล้วลุกขึ้นเดินออกไปทันที
พวกนางรีบเดินตามหลังไปส่ง หลังจากมองคล้อยหลังอวิ๋นจือชิวเหาะขึ้นฟ้าไป หญิงรับใช้ทั้งสองก็ตื่นเต้นดีใจมาก จือฉินบอกว่า “คุณหนู ไปอยู่ข้างกายนายท่านก็ดีเหมือนกันนะเข้าคะ ไม่ต้องคอยเกรงใจตำหนักอินทนิลแล้ว”
“พวกเรารีบเก็บของเถอะ นำของใช้ในชีวิตประจำวันไปด้วยให้หมด” จือซูกล่าว
พวกนางวิ่งวุ่นกันอยู่พักหนึ่ง หลังจากเก็บของได้พอสมควรแล้ว ก็ไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อย ตามสองพี่น้องฝาแฝดไปพบอวิ๋นจือชิวที่ปราสาททอง
ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวที่ออกมาจากปราสาททองก็มุดเข้าไปในเกี้ยว ช่างไม้กับช่างหินหามเกี้ยวเหาะขึ้นไป โดยมีผู้หญิงหลายคนเหาะตามอยู่ข้างหลัง แฉลบผ่านฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
พวกเขาไม่ได้ไปที่พิภพใหญ่โดยตรง แต่ไปที่ตำหนักดาวบูรพาของทะเลดาวนักษัตรก่อน สงเวยประมุขถิ่นทิศตะวันออกได้ยินข่าวแล้วออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง พอเห็นหน้าก็กุมหมัดคารวะทักทายอย่างร่าเริง “น้องสะใภ้ให้เกียรติมาเยือน ขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับใกล้ๆ! เอ๋! น้องห้าไม่ได้มาเหรอ?” เขายื่นศีรษะมองหาในขบวน ปรากฏว่าเห็นสองพี่น้องโอวหยางร่วมเดินทางมาด้วย ทำให้งงนิดหน่อย จากนั้นก็กุมหมัดทักทายทันที “น้องสะใภ้หลางกับน้องสะใภ้หวนก็มาด้วยเหรอ เป็นโอกาสที่หาพบได้ยาก”
สองพี่น้องโอวหยางคำนับทันที “คำนับพี่ใหญ่!” ทั้งสองย่อมเรียกตามเหมียวอี้
ทีแรกทั้งสองก็นึกว่าเหมียวอี้อยู่ที่นี่ แต่พอได้ยินคำพูดของสงเวย พวกนางก็รู้ว่าเหมียวอี้ไม่อยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าอวิ๋นจือชิวพาพวกนางมาที่นี่หมายความว่าอย่างไร
อวิ๋นจือชิวออกจากเกี้ยวมาคำนับทักทาย แล้วบอกว่า “พี่ใหญ่สง ข้าจะไม่พูดจามากพิธีรีตองแล้ว รบกวนเชิญพี่รอง พี่สาม พี่สี่มาด้วยกันเลย น้องสาวมีเรื่องจะปรึกษากับพี่ๆ ทั้งสี่ท่าน” จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “เรื่องเกี่ยวกับพิภพใหญ่!”
สงเวยฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่าทันที หันซ้ายหันขวาทั้งท่านทูตทั้งสองทันที “จินกวง หยินกวง พวกเจ้ารีบออกไปสักเที่ยว เชิญพี่รอง พี่สาม พี่สี่มาที่นี่ บอกว่าน้องสะใภ้มาแล้ว ให้พวกเขารีบมาไวๆ”
“ขอรับ!” จินกวง หยินกวงเหาะขึ้นฟ้าไปทันที
“น้องสะใภ้ เชิญข้างใน!” สงเวยยื่นมือเชิญ
อวิ๋นจือชิวโบกมือ “มีญาติผู้หญิงมาเป็นกลุ่ม ไม่ค่อยสะดวกเท่าไร หาที่พักก่อนเถอะค่ะ รอให้พี่รอง พี่สาม พี่สี่มาถึงก่อน แล้วเราค่อยๆ คุยกันก็ยังไม่สาย”
“ก็ดีเหมือนกัน!” สงเวยพยักหน้า แล้วหันกลับมาเรียก “เด็กๆ!”
เขารีบเรียกลูกน้องมา จัดเตรียมเรือนพักที่ดีที่สุดให้แขกกลุ่มนี้
ในคืนนั้น ฝูชิง อิงอู๋ตี๋และหงเทียนรีบร้อนมาที่นี่ พวกเขารอข่าวเรื่องพิภพใหญ่มานานแล้ว เรียกได้ว่าพอได้ข่าวก็มาทันทีโดยไม่ชักช้า
เพื่อไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัย ในตอนดึกของคืนนั้น ผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างอวิ๋นจือชิวไม่สะดวกจะอยู่ห้องเดียวกับกลุ่มผู้ชาย จึงเลือกศาลาในลานบ้านของที่พัก จุดโคมไฟ วางน้ำชา แล้วถ่ายทอดเสียงคุยกัน
อวิ๋นจือชิวพูดเข้าประเด็นโดยตรง “หนิวเอ้อร์ปักหลักที่พิภพใหญ่ได้แล้ว เสี่ยงชีวิตจนไต่เต้าขึ้นตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกของดาวเทียนหยวนที่พิภพใหญ่”
ประมุขถิ่นสี่ทิศได้ยินแล้วสบตากันแวบหนึ่ง ต่างก็ทำสีหน้าตื่นเต้นดีใจ ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถพูดเรื่องนี้ออกมาได้ นั่นก็แสดงว่าเรื่องของพวกเขาเริ่มมีความหวังแล้ว
“น้องสะใภ้ ไม่ทราบว่าเจ้าห้ามีเจตนาอะไร?” ฝูชิงถาม
อวิ๋นจือชิวตอบว่า “เพื่อที่จะช่วงชิงตำแหน่งนี้ ก่อนหน้านี้หนิวเอ้อร์บาดเจ็บสาหัส เกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว เขตเมืองตะวันออกกำลังเขตเมืองตะวันตกของตลาดสวรรค์ส่งนักพรตบงกชทองหกสิบกว่าคนไปปฏิบัติภารกิจ สุดท้ายตายหมด เหลือกลับมาสี่คน หนิวเอ้อร์โชคดีที่รอดมาได้ เก็บชีวิตรอดกลับมาจากเงื้อมมือของนักพรตบงกชทองขั้นหกได้ ถึงได้เป็นผู้บัญชาการของเขตเมืองตะวันออก เรื่องพวกนี้ ถ้าพี่ๆ ได้ไปอยู่ที่นั่นก็จะได้ยินเรื่องนี้เอง”
ประมุขถิ่นสี่ทิศสูดหายใจอย่างตกตะลึง นักพรตบงกชทองหกสิบกว่าคน แต่เหลือรอดกลับมาเพียงสี่คน เจอกับนักพรตบงกชทองขั้นหก เรียกได้ว่าเก็บชีวิตกลับมาได้จริงๆ
“เจ้าห้าลำบากแล้ว!” สงเวยถอนหายใจ
อวิ๋นจือชิวตอบว่า “เพราะนักพรตบงกชทองของเขตเมืองตะวันออกตายหมดแล้ว เดิมทีตำหนักสวรรค์ต้องการจัดกำลังพลมาเติม แต่หนิวเอ้อร์นึกถึงพวกพี่ๆ จ่ายค่าตอบแทนไปมากมาย ถึงได้รับอนุญาตจากเบื้องบนให้เลือกกำลังพลมาเติมด้วยตัวเอง ตอนนี้เขตเมืองตะวันออกขาดรองผู้บัญชาการสองตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการหกตำแหน่ง ผู้บังคับการกองร้อยยี่สิบสี่ตำแหน่ง ตำแหน่งของนักพรตบงกชทองสามสิบสองคน หนิวเอ้อร์ฝืนแบกรับความกดดัน ไม่ยอมให้คนนอกมายึดตำแหน่งพวกนี้เลยสักตำแหน่ง เขาเก็บตำแหน่งทั้งหมดไว้ให้พวกพี่ๆ และก็ด้วยเหตุนี้ เขาถึงมาที่นี่เองไม่ได้ ไม่อย่างนั้นถ้าเขาออกมา ไม่แน่ว่าเบื้องบนอาจจะยัดคนลงมาก็ได้ เขาก็เลยให้น้องสาวมาด้วยตัวเอง ถามความเห็นของพวกพี่ใหญ่ ว่าเต็มใจจะไปช่วยเหลือเขาอีกแรงหรือไม่ หากยินดีจะไปก็เลือกคนมาสามสิบสองคน หากไม่เต็มใจไป ก็คิดเสียว่าข้าไม่เคยพูด”
“เจ้าห้าลำบากลำบนมากขนาดนี้ มีเจตนาดีให้พวกเรา พวกเราจะไม่รับน้ำใจได้อย่างไร ย่อมเต็มใจไปอยู่แล้ว!” อิงอู๋ตี๋กล่าว
ฝูชิงกลับขมวดคิ้ว “สามสิบสองคน! อย่าบอกนะว่าพวกเราต้องทิ้งทะเลดาวนักษัตรไว้แล้วไม่สนใจคนอื่น?”
“เอ่อ อันนี้…” สงเวยและคนอื่นๆ ไตร่ตรองพักหนึ่ง รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า ถ้าพวกเขาไปแล้ว ก็จะเฝ้าคุมที่ทะเลดาวนักษัตรไม่ได้แล้วน่ะสิ ถ้าพาไปด้วยกันหมด ก็จะเป็นการเคลื่อนไหวที่ใหญ่เกินไปแน่ๆ แถมคนเยอะก็หลายปาก ยังไม่ต้องพูดถึงว่าไปพิภพใหญ่แล้วจะมีคนปากมากหรือเปล่า ก่อนอื่นเลยก็คือความเคลื่อนไหวของที่นี่ปิดบังหกปราชญ์ไม่ได้แน่ๆ
อวิ๋นจือชิววางถ้วยน้ำชาลง กวาเสายตามองทุกคน แล้วบอกว่า “น้องสาวมีความคิดบางอย่าง ไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือเปล่า!”
สงเวยพยักหน้า “ยินดีรับฟังความคิดเห็นอันสูงส่งของน้องสะใภ้” อีกสามคนที่เหลือพยักหน้า
อวิ๋นจือชิวจึงบอกว่า “ทางพิภพเล็กพวกเราจะทิ้งไปไม่ได้ สถานการณ์ที่พิภพใหญ่ยากจะคาดเดา พวกเราต้องเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้สองทาง หากพวกเราอยู่ที่พิภพใหญ่ต่อไปไม่ได้ จะได้กลับมาทางนี้ได้สะดวก ดังนั้นพวกเราต้องกอดทะเลดาวนักษัตรเอาไว้ ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่คิดว่าสิ่งที่น้องสาวพูดมีเหตุผลหรือเปล่า?”
พวกเขาพยักหน้าช้าๆ ฝูชิงบอกว่า “พูดไม่ผิดหรอก เพราะเหตุผลนี้แหละ น้องสะใภ้พูดต่อเถอะ”
“ดังนั้นในบรรดาพี่ใหญ่ทั้งสี่ต้องเหลือคนไว้คุมทะเลดาวนักษัตรเพื่อตบตาคนอื่น ทางนั้นขาดรองผู้บัญชาการสองคน ในบรรดาพี่ใหญ่ทั้งสี่ ไปแค่สองคนก็พอแล้ว ส่วนผู้ช่วยผู้บัญชาการหกตำแหน่ง พี่ใหญ่ทั้งสี่ก็เลือกมาหกคนจากทูตซ้ายและทูตขวาทั้งแปด ส่วนผู้บังคับการกองร้อยยี่สิบสี่คนที่เหลือ ก็เลือกราชาปีศาจอีกยี่สิบสี่คน แต่ต้องระทัดระวังนะ ต้องเลือกคนที่ไว้ใจได้ หากมีข่าวหลุดขึ้นมา แล้วให้ตำหนักสวรรค์รู้ว่ามีพิภพเล็กอยู่ แบบนั้นพวกเราก็หมดทางหนีทีไล่แล้วจริงๆ พาคนไปก่อนกลุ่มหนึ่ง รอให้บุกเบิกสถานการณ์ได้แล้ว ก็ย่อมมีตำแหน่งอื่นรออยู่ ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยๆ ย้ายคนไปที่พิภพใหญ่ก็ได้” อวิ๋นจือชิวกล่าว
หลังจากได้ยินแบบนี้ พวกเขาก็ไตร่ตรองเงียบๆ หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ฝูชิงก็พยักหน้าบอกว่า “ข้าว่าแบบนี้ก็ได้นะ”
พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง หลังจากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันแล้ว ก็ตกลงกันตามนี้ เมื่อเจรจากันไปได้สักพัก สงเวยก็บอกว่า “ในเมื่อต้องเหลือคนไว้เฝ้าที่นี่ พี่ใหญ่อย่างข้าไปก็ไม่เหมาะสม จะทำให้คนสงสัยได้ง่าย เจ้ารอง เจ้าสาม พวกเจ้าสองคนสมองไว พวกเจ้าสองคนไปแล้วกัน ข้ากับเจ้าสี่ตะอยู่ที่นี่”
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ปฏิเสธ แต่สุดท้ายสงเวยก็ตัดสินใจแบบนี้แล้ว ส่วนผู้ช่วยผู้บัญชาการที่เหลืออีกหกตำแหน่ง หลังจากสี่พี่น้องปรึกษาหารือกัน ก็ตัดสินใจว่าจะให้คนที่ไม่ได้ไปส่งคนไปเยอะๆ หน่อย ทูตซ้ายทูตขวาของสงเวยกับหงเทียนไปด้วย ส่วนฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ หากไปแล้วไม่เหลือลูกน้องไว้เฝ้าก็จะไม่เหมาะสม จึงต่างคนต่างเหลือทูตซ้ายและทูตขวาไว้คนหนึ่ง ตัวเลือกสำหรับตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทั้งหกก็ตกตลงกันตามนี้ ส่วนผู้บังคับการกองร้อยที่เหลืออีกยี่สิบสี่ตำแหน่ง ก็จะเลือกราชาปีศาจไปฝั่งละหกคน แต่เรื่องนี้ตัดสินใจยาก ประมุขถิ่นสี่ทิศขอเวลาพิจารณาหนึ่งคืน เพราะต้องเลือกคนมีความสามารถที่ไว้ใจได้จริงๆ ก้าวแรกที่เข้าไปพิภพใหญ่เกี่ยวข้องกับกาบุกเบิกช่องทาง จะเกิดความผิดพลาดไม่ได้
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น