องครักษ์เสื้อแพร 988-989
ตอนที่ 988 รอบเมืองเสิ่นหยาง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ห่างจากกองกำลังเสิ่นหยางราว 20 ลี้ เป็นพื้นที่ราบ เผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลแต่ละเผ่าตั้งค่ายโดยรอบ และของที่ปล้นชิงได้จากรอบนอกเมืองกองกำลังเสิ่นหยางนำมาเก็บสะสมไว้ที่นี่
เพราะของเหล่านี้ จึงทำให้พวกเขาสามารถมาล้อมเมืองเสิ่นหยางในปลายหน้าหนาวต้นฤดูใบไม้ผลิได้ เสบียงในเมืองเสิ่นหยางเองก็มีสะสมเพียงพอเช่นกัน หม่าหลินกับคนตระกูลหลี่ล้วนอยู่ในเมือง ในเมืองมีทหารติดตามเป็นแกนรบหลัก ยังมีทหารอีกกองใหญ่คอยช่วยเสริม อาศัยว่ากำแพงสูงและหนา อาวุธและเสบียงมีพอ จึงสามารถรักษาความสงบไว้ได้
พวกมองโกลถูกไล่ออกไปบนทุ่งหญ้าในต้นสมัยหมิง ความสามารถในการโจมตีกำแพงค่อยๆ ถดถอย ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง เริ่มแรกที่โจมตีเมืองเสิ่นหยาง ถึงกับใช้บันไดลิงปืนได้ครึ่งเดียวก็พัง ปีนถึงบนกำแพงก็ถูกกองกำลังหมิงไล่ร่วงลงไป ตีนกำแพงถูกหินและไม้ปาใส่หรือไม่ก็น้ำร้อนราดใส่ไม่น้อย
แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป การต่อสู้ก็ค่อยๆ ยากลำบาก กองกำลังโจมตีกำแพงเมืองที่ตีนกำแพงเริ่มรู้จักหารถมาบัง เริ่มต่อหอไม้ยิงธนูขึ้นไป บีบให้ทหารบนกำแพงต้องถอยออกจากแนวป้องกัน จากนั้นก็ไล่ให้ทหารปีนขึ้นไป ยิ่งทำให้ทหารรักษากำแพงโมโหหนักก็คือ คนโจมตีกับคนงานก่อสร้างอาวุธโจมตีเริ่มแรกใช้ราษฎรหมิงที่จับมาได้ ตอนนี้พวกที่ปืนบันไดขึ้นมายังเริ่มใช้เชลยที่เป็นทหารฮั่น
เพื่อนทหารที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันได้พบกันตอนนี้ ล้วนเศร้าสลดอย่างที่สุด คนบนกำแพงเริ่มหมดหนทาง ยังคงสู้ตายเช่นเดิม บนกำแพงเริ่มมีทหารล้มตาย ยิ่งยุ่งยากก็คือขวัญทหารถูกทำลายอย่างรุนแรง
การโจมตีกำแพงไม่มีหยุด เหมือนว่าทุกวันล้วนมีเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลชนเผ่าใหม่ๆ มาร่วมรบ ฝ่ายรับมือได้แต่สูญเสียไปเรื่อยๆ
และอยู่ๆ ก็มีข่าวแพร่มาว่า หวังทงทางนั้นถึงกับนำกำลังทหารมาแค่หมื่นกว่า จำนวนแค่นี้จะมีประโยชน์อันใด เอาตัวเองมาส่งเป็นอาหารให้ทหารนอกด่านทหารโดยแท้
แน่นอน ข่าวแพร่ว่าหวังทงเคยใช้ทหารหลายพันถล่มศัตรูเกือบหมื่น เคยใช้ทหารสามหมื่นชนะทหารนับแสน แต่ก็แค่ข่าวลือ เมืองเหลียวโจวสู่กับพวกป่าเถื่อนมานานตั้งหลายปี ข่าวผลงานจากสงครามเท็จๆ ไม่น้อยไม่ใช่หรือ ผู้ใดก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวแท้จริงเป็นเช่นไร แต่ข่าวมาจากตีนกำแพงเมืองไม่น่าจะเท็จ มากันแค่หมื่นกว่าคน จำนวนนี้ไม่น่าเท็จ จะสู้อะไรกันได้ ทุกคนรอยอมจำนนก็แล้วกัน
หากรองแม่ทัพหม่าหลินในเมืองดีใจอย่างที่สุด เจ้านี่สมองพิการไปหรือไร ยังคิดว่าครั้งนี้ช่วยได้หรือ ถึงตอนนั้นรอดูเขาหลั่งน้ำตาก็แล้วกัน
ตอนกลางวันวันที่ 26 เดือนหนึ่ง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 16 ทหารในเมืองเสิ่นหยางก็โล่งใจ ขุนพลทหารรีบให้ทหารบนกำแพงผลัดกันไปพักผ่อน เริ่มรื้อไม้และอิฐจากบ้านเรือนไปเติมกำแพงเมือง มีคนคิดจะลอบออกไปตามกำลังมาช่วย
ทุกคนล้วนรู้ หลายวันนี้การป้องกันเมืองน่าจะผ่อนคลายลงไปได้บ้าง เพราะพวกนอกด่านเบื้องหน้าย่อมเคลื่อนย้ายกำลังตนไปกินรวบกองกำลังหู่เวยที่แสนโอหัง
……
เมืองเสิ่นหยางรุ่งเรืองมาร้อยกว่าปี อย่าเห็นว่ายามสงคราม ของหลายอย่างยังไม่ขาดแคลน พื้นที่กำแพงเมืองทางใต้ทหารล้วนมองหอบนกำแพงตาเป็นมัน ที่นั่นเป็นที่พักขุนพลทหารนายพวกเขาหลายคน ที่นั่นมีกลิ่นเนื้อและสุราลอยออกมาไม่ขาด
วันนี้วันที่ 27 เดือนหนึ่งกำแพงด้านล่างส่งหัวไชเท้าตุ๋นเนื้อและแผ่นแป้งย่างขึ้นมา นับว่าเป็นรางวัล หัวหน้ากองหลายคนยังทำตัวไม่กังวลอันใด ถึงกับนำสุรามาดื่มไหหนึ่งอีกด้วย
นายกองหลายคนนี้ล้วนเป็นทหารสังกัดตระกูลหลี่ที่ส่งมาชั่วคราว ทหารรักษาการณ์บนกำแพงต้องเกรงใจพวกเขา ยามสงครามห้ามดื่มสุรา แต่ตีนกำแพงก็หยุดโจมตีชั่วคราวอยู่ อย่างไรก็ปิดตาข้างหนึ่งปล่อยผ่านไปก็แล้วกัน
“เหล่าจาง วันนี้ไปคารวะนายข้าที่จวน ได้ยินนายกำลังด่าคนสนิท ข้าลองถามคนแถวนั้นได้ความว่า คนสนิทบอกว่ารอให้กองกำลังหู่เวยมาถึง ทหารในเมืองออกนอกกำแพงไปร่วมรบตีขนาบนอกใน ผลปรากฏถูกนายเราด่ายกใหญ่ บอกว่ารนหาที่ตายก็ไปเอง”
“นายพวกเจ้าสมองไม่เลอะเลือน นายเราก็คิดเช่นนี้ แต่หลายคนเบื้องหน้าปลุกปลอบอยู่นานจึงยอม พวกเจ้าคิดดู เจ้าหวังทงเป็นคนสนิทอันดับหนึ่งของฝ่าบาท ชัยชนะใหญ่แต่ละครั้งไมว่าจริงหรือเท็จ เบื้องบนก็ไม่เคยตำหนิ อายุแค่ 20 ต้นๆ ก็ได้แต่งตั้งเป็นโหวแล้ว”
“……สนใจมันทำไม ดื่มสุราเราดีกว่า หากยังดึงดันต่อไป ไม่แน่พวกเราก็คงได้สิ้นชีพที่นี่แล้ว…”
“เจ้าก็ดื่มน้อยหน่อยเถอะ ตอนบ่ายเจ้ายังต้องปฏิบัติหน้าที่ไม่ใช่หรือ!?”
“สุราเล็กน้อยแค่นี้ยังจะมีเท่าไรให้ดื่มอีกกัน ทหารพวกนอกด่านล้วนหันไปกินรวบกองกำลังหู่เวยแล้ว เหลือแค่หกพันจับตาพวกเรา ไหนเลยจะมาโจมตีเรา ตอนบ่ายข้าจะเข้าเมืองไปหาสาวๆ สักหน่อย พวกเจ้าไปไม่ไป”
หลายคนกำลังคุยกันอย่างเหิมเกริม คนหนึ่งพึมพำว่า
“มารดามันสิ ที่นี่ปลายลม รอให้กลิ่นมั่วซั่วทั่วเมืองลอยมาก่อน….เดี๋ยวนะ กลิ่นอะไร….”
คนผู้นี้พอพูดจบก็ยืนขึ้น ปืนช่องกำแพงเมืองออกไปดู กำแพงเมืองเสิ่นหยางสูงมาก มองได้ไกล สามารถเห็นระยะไกลมาก
“ทางนั้นน่าจะเป็นกองกำลังหู่เวย! มาแล้ว!!”
……
“หน่วยกองบริการตั้งค่าย!! ขบวนทัพม้าและหน่วยเจ็ดออกคุ้มกัน!!”
แตรสัญญาณเป่าดัง ทหารราบแต่ละหน่วยตีกลองตาม ทั้งกองทัพหยุดพัก ทหารถ่ายทอดคำสั่งวิ่งออกจากกองทัพกลางไปตะโกนคำสั่งตามที่ต่างๆ
ตอนนี้ทหารม้าในมือหวังทงราวสองพันกว่า ล้วนอยู่รวมกันที่หน่วยกองบริการ ป้องกันทหารม้าสอดแนมของศัตรูขี่ม้าวนเวียน
คนหน่วยกองบริการสีหน้าหวาดกลัว แต่ยังคงจัดการขนของลงจากรถใหญ่ตามปกติ เพราะพวกเขาหากแตกตื่น ก็จะมีแส้และกระบองตีใส่ หากวิ่งแตกตื่น ยังมีดาบกับธนูรอฟัน พวกเขาปล่อยม้าวัวไปรวมตัวกันกลางกองทัพ นำของที่ติดไฟง่ายไปไว้กลางกองทัพ ใช้รถใหญ่บังไว้ ให้รถใหญ่ต่อกัน และยังนำปืนใหญ่กับปืนเสือหมอบพร้อมรถปืนใหญ่ไปประจำตามช่องว่าง
ทหารราบเจ็ดหน่วยเบื้องหน้าจัดทัพแน่นหนา ไม่ใช่คู่ศึกที่จะโจมตีได้ง่าย หากกองรถศึกที่กำลังตั้งค่ายกลับเป็นเป้าหมายน่าสนใจ
แต่ทว่าทหารราบกองกำลังหมิงเช่นนี้ พวกทหารม้านอกด่านไม่เคยเห็นมาก่อน แม้แค่สองพันกว่า แต่ทหารม้านอกด่านรู้ดี ทหารม้าสองพันกว่าเกือบครึ่งมีวินัยมาก เคลื่อนไหวเป็นหนึ่ง ท่ามกลางการโจมตีหรือการรบประจัญบาน ทหารม้านอกด่านมักถูกตีแตกกระเจิง จากนั้นค่อยไล่สังหาร
อีกครึ่งไม่ได้มีวินัยนัก แต่ก็อาจกล้าหาญมาก วิธีการรบบนหลังม้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้กล้าทุ่งหญ้าแถวแม่น้ำเฮยสุ่ยและเขาไป่ซานที่ยอดเยี่ยมที่สุด และยังไม่กลัวตาย
กองกำลังหมิงกองนี้อย่างไรก็เป็นเนื้อปลาบนเขียงบด รอกินรวบกองกำลังหมิงกองนี้ได้ ค่ายรถกับทหารม้าก็ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงภัยไปกินรวบเสียเอง
หลังเสียเปรียบหลายครั้ง ทหารม้าพวกนอกด่านที่สอดแนมอยู่รอบกองกำลังหู่เวยก็ไม่กล้าเข้าปะทะพลการอีก ยามเผชิญหน้าทัพใหญ่ การก่อกวนเล็กน้อยไม่ทำส่งผลต่อภาพรวม
……
หวังทงมองกองทัพอีกฝ่ายอยู่บนหลังม้า เผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีกับมองโกลแต่ละเผ่าล้วนอยู่ร่วมกันแบบเปะปะ แม้ว่ามีสามหมื่นกว่า แต่ก็เหมือนตั้งทัพแบบดำมืดมิดหนาแน่นไปหมด บอกว่าแสนหวังทงก็เชื่อ
ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีหลายพัน พวกเคอเอ่อร์ชิ่นเผ่ามองโกลส่วนใหญ่เป็นทหารม้า หากกล่าวว่ากองกำลังร่วมเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลมีรูปแบบทัพอะไร นั่นก็คือเป็นทหารม้าอยู่ปีกขวา ทหารราบอยู่ค่อนไปทางซ้ายด้านหลัง นี่เป็นรูปแบบการตั้งทัพตามพิชัยสงครามที่เห็นได้บ่อย พวกนอกด่านนับว่าพยายามทำจนได้
“เห็นพวกที่ยืนกันดำมืดหนาแน่นตรงหน้า ทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก ออกสนามรบมาหลายปี แต่เห็นแบบนี้ก็ยังไม่ชิน อยากออกไปดูดินฟ้าสักหน่อย จึงจะรู้สึกสบายใจขึ้น!”
ข้างกายหวังทงนอกจากทหารติดตาม ก็ยังมีหลี่หู่โถวหัวหน้าหน่วยหนึ่ง ทุกคนได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ล้วนยิ้มกว้าง
“ห่างจากทัพศัตรูอีกเท่าไร!?”
“เรียนแม่ทัพใหญ่ ทัพศัตรูห่างไป 700 ก้าว!”
“ถ่ายทอดคำสั่ง หน่วยเจ็ดเป็นกองเสริม หน่วยหนึ่งถึงหก จากขวาไปซ้าย เรียงทัพหน้ากระดาน!”
ทหารถ่ายทอดคำสั่งรับคำ รีบขี่ม้าไปถ่ายทอดคำสั่ง เมื่อครู่เพิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงกลองดังขึ้น ธงรบยกชู เมื่อครู่กองกำลังหู่เวยที่ยังเป็นรูปแบบเหลี่ยมค่อยๆ ขยายปีกออกเป็นเส้นแนวยาว
“พลปืนไฟ ขึ้นหน้า!!”
คำสั่งถ่ายทอดลงไป พลปืนไฟที่อยู่สองปีกกองกำลังก็เริ่มก้าวขึ้นไปอยู่หน้ากองกำลัง
ก่อนหน้าเสียงเอะอะด้านหน้ายิ่งดัง แม้ห่างกันหลายร้อยก้าว แต่ก็ได้ยินชัดเจน พอเห็นทหารหลายหน่วยกองกำลังหมิงแผ่ขยายตัวอย่างมีวินัย แม้ว่าไม่รู้การทหาร แต่หากได้เห็นกองกำลังเช่นนี้ ก็ย่อมรู้ว่าเป็นกองกำลังเช่นไร กองกำลังร่วมระหว่างเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลเริ่มเงียบกริบ
หวังทงมองข้างๆ เอ่ยคำสั่งขึ้น
“ปืนใหญ่ขึ้นหน้า 200 ก้าว ตั้งปืน!”
กองพลปืนใหญ่อยู่ทางปีกขวาหวังทงได้ยินคำสั่ง กำลังปลดปืนใหญ่จากม้าก็รีบผูกกลับ เห็นกองกำลังร่วมพวกนอกด่านก็มีขบวนทัพม้ามารวมตัวกันด้านหน้า
“หน่วยหนึ่งถึงหกบุก ศัตรูเข้าใกล้ระยะยิง ให้ยิงระดมทั่วพื้นที่ ถ่ายทอดคำสั่ง!”
ธงนำทัพด้านหลังหวังทงโบกสะบัด เสียงสัญญาณเป่าดัง ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงเป่ายาวให้หยุด หากเป็นเป่าสั้นเร่งจังหวะ แต่ละกองค่อยๆ รับคำสั่ง มีจังหวะกลองตีดังขึ้น ทหารราบหกหน่วยรวมเป็นแนวขวางเดินขึ้นหน้า
“พี่น้องทหารราบบุกขึ้นหน้าได้ กองปืนใหญ่เราจะตามทุกคนไป ทุกคนเต็มที่!!”
มู่เอินตะโกนดังกลางกองกำลัง พลปืนใหญ่ล้วนตะโกนออกแรงเข็นปืนใหญ่ หวังทงกล่าวอีกว่า
“ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ 500 ขึ้นหน้าคุ้มกันกองปืนใหญ่!”
คำสั่งนี้เพิ่งสั่งการลงไป ม้าหวังทงกับทหารม้าข้างกายก็เร่งมาถึง เสียงกลองด้านหน้าดัง ทหารม้าอีกฝ่ายออกมาตั้งรับ ค่อยๆ เคลื่อนขึ้นหน้า ระยะห่างนี้ ทัพใหญ่ทหารม้าเคลื่อนกำลัง ล้วนได้ยินเสียงพื้นดินดังสนั่นไหว ม้าที่ไม่ค่อยเจอสถานการณ์เช่นนี้ก็เริ่มแตกตื่น
หวังทงหันไปกวาดตามองทหารติดตาม ทหารเก่ายังพอสงบนิ่งได้ แต่พวกที่เพิ่งออกสนามรบล้วนสีหน้าซีดขาว บุตรชายซุนโส่วเหลียนซุนเผิงจวี่สีหน้าก็ไม่ดีนัก หวังทงยิ้ม กล่าวว่า
“ซุนเผิงจวี่ เจ้าจับตาดูกำแพงเมืองเสิ่นหยาง หากมีอะไรผิดปกติ รีบรายงานข้า!”
ซุนเผิงจวี่อึ้งไป รับคำเสียงดัง
ตอนที่ 989 เสียงสนั่นกัมปนาท
โดย
Ink Stone_Fantasy
ยามม้าถูกควบมา ก็ย่อมยิ่งวิ่งยิ่งเร็ว พวกหัวหน้านอกด่านในกองกำลังล้วนตะโกนส่งเสียงดังกำราบกองกำลัง
อานุภาพทหารม้าอยู่ที่การรวมกำลังบุก หากกระจัดกระจายก็ไม่อาจใช้การได้ กองทหารราบต่อหน้าที่รวมตัวกันแน่นหนา กองกำลังหมิงเบื้องหน้าเห็นได้ชัดว่าเป็นพวกที่ไม่ถูกตีแตกตื่นได้โดยง่าย
ทหารม้ามองโกลกับทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินนับวันยิ่งระวังรอบคอบมากขึ้น ไม่กล้าชะล่าใจ มีขุนพลทหารตะโกนคำสั่ง ให้ทหารม้าบุกเข้าใส่กองปืนใหญ่กองกำลังหมิง
ปืนใหญ่หลายสิบกระบอกเคลื่อนขึ้นหน้ามา ทำให้ทุกคนใจเต้นแรง ไม่ว่าเคยเห็นมาก่อนหรือไม่ พวกนอกด่านก็รู้ว่าปืนใหญ่อาวุธทรงอานุภาพที่สุดของกองกำลังหมิง
ระยะห่าง 200 กว่าก้าว ขุนพลทหารมองโกลในหมู่ทัพใหญ่ก็ออกคำสั่งให้ทหารม้าพวกนอกด่านบุกแนวหน้า ความจริงนั้นในทัพใหญ่ทหารราบส่งเสียงคำราม ม้าส่งเสียงร้อง เสียงฝีเท้าดังกัมปนาท คำสั่งขุนพลทหารไม่อาจเข้าหูทุกคนแม้แต่คนเดียว พวกเขาเห็นแต่ทหารม้านำกำลังบุกขึ้นหน้า
พวกเขาบุกขึ้นหน้า ทั้งกองกำลังล้วนเริ่มเร่งความเร็ว ทหารม้าหลายแถวด้านหน้ายกธนูขึ้นเล็ง เล็งยิงยามขี่ม้าไม่หวังผลแม่นอันใด แต่ทหารราบเบื้องหน้าก็แน่นหนาพอให้ยิง ขอเพียงยิงธนูเข้าไปได้ ก็สามารถทำให้บาดเจ็บล้มตายได้
ระยะสองร้อยก้าว สองฝ่ายเตรียมเข้าปะทะ พวกขุนพลทหารมองโกลวิเคราะห์ระยะห่างเช่นนี้ได้ ขุนพลทหารกองกำลังหู่เวยก็ย่อมวิเคราะห์ได้เช่นกัน
ทหารม้าศัตรูเข้ามาในระยะทหารม้าสองร้อยก้าว ตามคำสั่ง ‘เตรียมระยะยิง’ เสียงกลองเร่งเร้า ขุนพลทหารทุกคนรับคำสั่งตะโกนดัง
พลปืนไฟแถวหน้าล้วนเกี่ยวเชือกชนวนสุดท้ายอัดดินปืนแน่น ตรวจสอบดินปืนพร้อม และเตรียมไฟชนวนพร้อมจุด จากนั้นตั้งปืนบนไม้ง่าม เล็งไปตรงหน้า
เสียงฝีเท้าสะเทือนพื้นดินยิ่งดัง ทหารม้าตรงหน้าหน้าตาบิดเบี้ยว ธนูกับอาวุธในมือล้วนมองเห็นชัด ทหารเก่ายังทำใจให้นิ่งได้ แต่ทหารใหม่ล้วนสีหน้าซีดเผือด หลายคนเริ่มตัวสั่นเทาเบาๆ นายทหารแต่ละแถวตะโกนด่าไม่หยุด ให้พวกเขาตั้งสติให้นิ่ง
ไม่มีผู้ใดโยนอาวุธทิ้ง ไม่มีผู้ใดกล้ายิงก่อน ไม่ว่าเป็นหน่วยฝึกเมืองกุยฮว่าเฉิงหรือกลุ่มผู้คุ้มกันเทียนจิน พวกเขาเคยออกสู้ศึก บางคนไม่เคย บางคนเคยเห็นการสังหารนองเลือด บางคนไม่เคย แต่ทว่าพวกเขาร่วมใจกันได้ก็เราะว่าพวกเขาฝึกร่วมกันมานาน
มีวินัยและการลงโทษบังคับไว้ ทหารทุกคนล้วนราวกับเครื่องจักรทำตามคำสั่งเคร่งครัด ปฏิบัติตามอย่างไม่ลังเล
พวกเขารู้ว่าหากยิงก่อน หากทิ้งอาวุธหนี ก็ย่อมถูกจับไปลงโทษทางวินัย และครอบครัวตนเองก็ย่อมถูกลงโทษไปด้วย ตอนนี้ที่ได้รับค่าตอบแทนอย่างดีก็จะถูกริบคืน ถึงกับโดนลงโทษอีกด้วย แต่ละคนล้วนไม่อยากโดนเช่นนี้
ทหารม้าทัพหน้าเผ่าหนี่ว์เจินกับพวกมองโกลเข้ามาในรัศมียิงแล้ว พลธนูบนหลังม้าล้วนค่อยๆ น้าวธนู มีคนยิงออกมาแล้ว ระยะยิงแค่นี้ แน่นอนกว่าธนูไม่อาจยิงโดนพลปืนไฟได้ ยิงลอยมาครึ่งทาง ล้วนปักลงบนพื้น เข้าสู่รัศมี 20 ก้าวแล้ว สองฝ่ายระยะห่างยิ่งใกล้ขึ้น
“ยิง!!!”
มาถึงระยะนี้ คำสั่งหัวหน้ากองกำลังหู่เวย บรรดาทหารไม่ได้ยินเช่นกัน แต่พวกเขาล้วนสามารถดูจากการโบกทวนขวานในมือหัวหน้าทหารเป็นสัญญาณ
‘ฉึกๆ’ เริ่มดังประปราย จากนั้นก็กลายเป็นเสียงยิงหนาแน่นขึ้น เหมือนว่าฝนเริ่มตกปรอยๆ กลายเป็นตกห่าใหญ่
เสียงดังหนาแน่น ยิงมาเรื่อยๆ ทหารม้าด้านหน้าสุดล้วนหงายหลังตกจากหลังม้า ยังมีคนโดนยิงแสกหน้าเป็นรู ม้าสูญเสียการควบคุม แน่นอนไม่อยากวิ่งเข้าใส่พื้นที่มีแสงไฟ เสียงดังปังๆ ติดต่อกัน ที่ยุ่งยากก็คือม้าหลายตัวตกใจแตกตื่น วิ่งๆ อยู่ก็ยกตัวสูง ไม่ก็กระโดดแตกตื่นไปมา สลัดทหารม้าบนหลังม้าร่วง
แม้ว่ากระสุนตะกั่วยิงเข้าไม่ทำให้ตายทันที ตกจากหลังม้าก็ถูกม้าเหยียบตายอยู่ดี กลายเป็นดังเนื้อบดไปทันที มีคนถูกม้าลากไป ลากไปมาบนสนามรบ สุดท้าย แม้ว่าม้ายังไม่ตาย แต่คนก็เหลือแค่แขนขาห้อยโตงเตงเท่านั้น
ทหารม้าฮึกเหิมบุกมาถูกปืนไฟยิงไประลอกแรก ความฮึกเหิมสูญสิ้นไปทันที ความตายแน่นอนไม่ต้องพูดถึง คนบาดเจ็บส่งเสียงร้องหวาดกลัวอยู่ที่พื้น
ม้ากระโจนขึ้นหน้า แรงกำลังไม่น้อย คิดจะคุมสถานการณ์หันหลังหนีก็ไม่ทันแล้ว แถวหน้าถูกโจมตีย่อยยับ ม้าและคนล้มระเนระนาด คนแถวหลังยังเบียดคนแถวหน้าขึ้นมาอีกไม่หยุด
ม้าแถวหน้ากลายเป็นนอนระเนระนาดอยู่กับพื้น ขบวนทัพม้าบุกเพื่อจะรักษาประสิทธิภาพการโจมตี มักจะพยายามรักษาขบวนให้หนาแน่นเอาไว้ ความเร็วไม่อาจจะวิ่งได้เร็วนัก ม้าแถวสุดท้ายถูกแถวหน้าขัดขาล้ม ทำให้ด้านหลังเริ่มอลหม่าน นี่ก็คือที่เรียกว่ายุ่งยากใหญ่
ทหารม้าพวกนอกด่านเข้ามาอยู่ในรัศมียิงแล้ว ลึกพอแล้ว ดังนั้นในเวลากระชั้นชิดพวกเขาย่อมไม่อาจหนีพ้นรัศมีการยิงของปืนไฟ
ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลไม่อาจบุกขึ้นหน้า แต่ปืนไฟกองกำลังหู่เวยยังคงยิงออกไป ราวกับเคียวตัดเกี่ยวต้นข้าวสาลี ล้มพังพาบไปทีละแถบ
“ขึ้นหน้าสิบก้าวยิง!!”
หัวหน้าในชุดเกราะหู่เวยเต็มชุดก้าวขึ้นหน้ายืนนิ่ง พลปืนไฟเรียงแถวหน้ากระดานจากตัวเขา
ทั้งหกหน่วย มีพลปืนไฟรวม 3,600 นาย ผลัดกันยิง สังหารทหารม้าที่ดาหน้ากันเข้ามาบาดเจ็บล้มตายน่าอนาถ ทัพตรงหน้าค่อยๆ ร่อยหรอลงเรื่อยๆ
ปืนใหญ่ที่อยู่อีกทาง ขณะที่ปืนไฟยิง ปืนใหญ่ยังคงเตรียมอยู่ พลปืนใหญ่กับคนงานปืนใหญ่กำลังติดตั้งแท่นปืนใหญ่กับรถปืนใหญ่ ปลดม้าวัวออก รีบบรรจุกระสุนปืนใหญ่
ด้านหน้าพวกเขามีทหารม้ากำลังบุกขึ้นมา หวังทงตอนนี้ข้างกายมีทหารติดตาม 20 กว่าคนล้อมรอบ คนที่เหลือล้วนถูกส่งไปยังกองปืนใหญ่แนวหน้า
ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ ไม่ได้ขี่ม้าไล่ศัตรู แต่พวกเขาล้วนลงจากหลังม้า ยกธนูน้าว ทหารติดตามหวังทงตรวจสอบปืนไฟตนอย่างเร็ว
ชาวเผ่าหนี่ว์เจินเก่งธนูใหญ่น้ำหนักมาก พวกมองโกลเก่งธนูสั้นทรงหยักเขาสัตว์ หนึ่งนั้นสังหารได้รุนแรง อีกหนึ่งนั้นมีกำลังยิงรุนแรง แต่ระยะยิงไม่สู้ธนูกองกำลังหมิง แน่นอนไม่อาจสู้ปืนไฟ
ปืนไฟยิงถล่มมา เพื่อนทหารส่งเสียงร้องเจ็บปวด พวกที่บุกไปทางพลปืนใหญ่ก็ได้ล้วนได้ยินกันชัดเจน ในใจพวกเขาหวาดกลัวแต่ไม่กล้าถอย ตอนนี้เบื้องหน้าพวกเขาคือโอกาส ทลายปืนใหญ่กองกำลังหมิงได้ ยังหันไปตีปีกข้างกองกำลังหมิงได้อีก นี่เป็นโอกาสเดียว หรือก็คือโอกาสตีพ่ายทั้งกอง
พวกเขาได้เห็นปืนไฟวับๆ กับธนูที่กำลังเตรียมยิง ไม่เคยได้ยินว่าธนูสามารถรับมือกองทหารม้าบุกได้ คนไม่น้อยก็ยกโล่ไม้จากข้างอานม้าขึ้นบัง
ระยะยิง ปืนไฟยิงก่อน โล่ไม้ทานกระสุนตะกั่วไม่อยู่ มีคนร่วงจากหลังม้าสิ้นใจทันที แต่บาดเจ็บล้มตายไม่มาก ส่วนใหญ่ยังคงบุกขึ้นหน้า
ระยะหลายสิบก้าว เสียงฉึกๆ ดังขึ้น ธนูกองกำลังหมิงยิงออกมาแล้ว ยิงทะลุม้า และยังทะลุคน แต่ส่วนใหญ่ล้วนถูกโล่ไม้กันไว้ได้ ถึงกับมีคนแม้ว่าโดนยิงแต่ยังไม่ถึงชีวิต ยังสามารถคำรามดังบุกขึ้นหน้ามาได้อีก
ปืนไฟยิงได้ระลอกแรก ธนูยิงได้สองระลอก แต่ก็ไม่อาจทานกำลังบุกได้ มาถึงตรงหน้าได้แล้ว ปืนใหญ่เพิ่งจัดการเสร็จ ไม่อาจบรรจุกระสุนยิงทัน
ปืนไฟยิงอีกระลอก ธนูก็ยิงอีกระลอก ทหารม้านอกด่านยิงโต้กลับมาได้แล้ว กองกำลังหมิงเริ่มมีคนล้มลง เปิดทางให้ศัตรูบุกเข้ามาได้
แต่ในตอนนั้นเอง กองกำลังหมิงที่บังหน้ากองปืนใหญ่ก็ถอยหลังกลับอย่างรวดเร็วไม่คิดชีวิต เปิดทางให้ปืนใหญ่กระบอกหนึ่ง ระยะห่าง 50 ก้าว ปืนใหญ่ทำอะไรได้ กระสุนปืนใหญ่ยิงตายได้ไม่กี่คน ไม่เท่าไร
“ยิง!!!”
เสียงคำรามดังนี้ ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลล้วนได้ยินชัดเจน พวกเขาส่งเสียงร้องดังพร้อมกัน ก่อนจะพุ่งเข้าสังหาร คิดกวาดล้างกองกำลังหมิงให้สิ้นซาก
“ตูม ตูม”
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วพร้อมควันดินปืนลอยออกจากปากกระบอกปืนใหญ่
ความคิดทหารม้าหยุดลงเพียงแค่นี้ ปืนใหญ่กระสุนสามชั่ง 16 กระบอกตอนนี้พร้อมยิงกวาดล้าง ทหารม้าตรงหน้าไม่อาจเล็ดรอดไปได้แม้แต่คนเดียว กวาดล้างระยะห่างหลายสิบก้าวเกลี้ยงไม่มีเหลือเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลทหารม้าส่วนใหญ่แม้แต่เสียงร้องเจ็บปวดก็ไม่อาจเล็ดรอดออกมา ก็ตายไปทันที ตอนนี้ที่ว่างกว้างเพียงพอแล้ว คนด้านหลังที่ขวัญกระเจิงก็ดึงม้าตนไว้อย่างสุดชีวิต ตะโกนร้องกระชากม้าหันหลังกันดังลั่น มีคนบุกเข้ามาอย่างไม่ทันได้สติ คนเหล่านี้สติแตกกระเจิงไปแล้ว
ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ โดดขึ้นม้า กวัดแกว่งดาบและทวนเริ่มออกสังหาร ทหารม้าพวกนอกด่านคิดแต่จะหนี จะมีกำลังใจรบต่อได้อย่างไร พวกเขาเปิดช่องว่างด้านหลังให้แก่คู่ต่อสู้ หนีกันกระเจิดกระเจิง ผลปรากฏถูกสังหารกวาดล้างสิ้น
แต่ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ ไม่ได้ออกล่าไปไกลนัก ไล่ไปได้ไม่กี่สิบก้าวก็ได้ยินเสียงสัญญาณด้านหลัง หากยังไม่กลับไป เช่นนั้นปืนใหญ่ด้านหลังก็ย่อมยิงแล้ว
“ปืนใหญ่กระสุนสามชั่งบรรจุกระสุน ยกมุมสูง มุมยิงสูงสุดเตรียมพร้อม เร็ว เร็ว!!”
“มารดาเจ้าสิ กินข้าวกินได้เป็นชั่ง อย่าทำตัวปวกเปียกราวสตรี ปืนใหญ่กระสุนหกชั่งเข็นขึ้นหน้า เล็งทัพศัตรูให้แม่น ปืนใหญ่กระสุนเก้าชั่งยกมุมสูง…”
มู่เอินยกไม้พลองยาวห้าฉื่อในมือขึ้น จางอู่ถือแส้ในมือ สองคนตะโกนดังอยู่ท่ามกลางกองปืนใหญ่ เร่งให้ทหารเคลื่อนไหวให้ไว ให้ไวยิ่งขึ้น
พลปืนใหญ่บรรจุดินปืนลงในช่องปืนใหญ่ ใช้ไม้กระทุ้งให้แน่น จากนั้นค่อยๆ หย่อนกระสุนปืนใหญ่ที่เป็นลูกเหล็กหรือไม่ก็ลูกตะกั่วลงไป ปืนใหญ่กระสุนสามชั่งที่เพิ่งยิงไป กำลังใช้ผ้าเปียกเช็ดกระบอกปืน จากนั้นค่อยทำความสะอาดสองรอบ ก่อนจะบรรจุกระสุนอีกครั้ง
“เตรียมพร้อมแล้ว!!” “เตรียมพร้อมแล้ว!!”
“เจ้าลูกหมาทั้งหลาย อย่าลืมอุดหู!”
“ยิง!!”
มู่เอินคำรามดังสนั่น ปืนใหญ่ทั้งกองเริ่มยิง กระสุนปืนใหญ่ลอยละล่องออกไปทั้งหมด
ปืนไฟกระหน่ำยิง ปืนใหญ่ระดมยิง ซุนเผิงจวี่ข้างกายหวังทงตัวสั่นไม่หยุด เขาพยายามข่มความกลัว จับตามองกำแพงเมืองเสิ่นหยางไม่กะพริบตา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น