พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 987-988
บทที่ 987 ชะตาดอกท้อเป็นภัย
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อส่งฮูหยินกลับไปแล้ว เหมียวอี้ก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก รู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าโชคดี ทำไมตอนแรกเขานึกไม่ถึงว่าหวงฝู่จวินโหรวจะทิ้งเสื้อชั้นในไว้ในห้องนอน โชคดีที่ตอนแรกตัวเองอ้างชื่อโค่วเหวินหลานมาเป็นโล่ป้องกันแล้ว ตอนหลังเลยผลักเรื่องนี้ให้โค่วเหวินหลานไป ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางอธิบายได้เลยจริงๆ ในที่สุดก็รับมือจนผ่านไปได้แล้ว
พอนึกถึงเสื้อชั้นในตัวนั้น เหมียวอี้ก็เดือดดาลมาก เกิดความคิดชั่ววูบอยากจะไปเอาผิดกับหวงฝู่จวินโหรว อยากจะถามว่านางจงใจหรือว่าอะไรกันแน่
แต่พอลองคิดดูอีกมุมหนึ่ง จะไปเอาผิดอะไรนางล่ะ? เจ้าตัวไม่รู้ถึงความสัมพันธ์จะหว่างเขากับอวิ๋นจือชิวเสียหน่อย และไม่รู้ด้วยว่าอวิ๋นจือชิวจะเข้าไปในสถานที่ส่วนตัวของเขา จำเป็นต้องจงใจด้วยเหรอ? ดูจากเหตุการณ์ที่ฉุกละหุกตอนนั้น ก็เป็นไปได้สูงว่าทำตกหล่นโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วอีกอย่าง เรื่องแบบนี้เจ้าจะไปเอาผิดได้อย่างไร?
ถึงแม้จะล้มเลิกความคิดที่จะไปเอาผิด แต่เรื่องแบบนี้ก็กลายเป็นบทเรียนของเหมียวอี้แล้ว รู้สึกว่าตัวเองจะไปมีเรื่องกับหวงฝู่จวินโหรวอีกไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นสักวันต้องเกิดเรื่องแน่ โชคดีที่ก่อนหน้านี้ตนได้พูดไว้ชัดแล้ว ว่าครั้งนี้คือครั้งสุดท้าย!
แต่จนใจที่แม้แต่เขาเองก็ยังไม่กล้าแน่ใจกับคำว่า ‘ครั้งสุดท้าย’ เพราะเขามีประสบการณ์มาแล้วว่าหวงฝู่จวินโหรวเกาะแกะขนาดไหน ถ้าเจ้าตัวเกาะแกะต่อไปไม่ยอมปล่อย เขาจะทำอย่างไรดีล่ะ?
ความรู้สึกของเหมียวอี้เรียกได้ว่ายุ่งเหยิงไร้ระเบียบ นึกย้อนไปตอนปีนั้นที่ตัวเองเชือดหมูอยู่ที่ตลาด ขนาดถือของขวัญไปสู่ขอแต่งงานถึงประตูบ้านยังโดนไล่ตะเพิดออกมา ตอนนี้ได้เผชิญหน้ากับยอดหญิงงาม แต่กลับรำคาญจนทนไม่ไหว เขาเองก็คิดไม่ตกเหมือนกัน ว่าตัวเองเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ได้อย่างไร แม้แต่ตัวเองก็ยังรำคาญตัวเอง
ขณะที่ความคิดกำลังยุ่งเหยิง เบื้องล่างก็มีคนยื่นนามบัตรมาให้ พอพลิกอ่านดู ก็พบว่าคนของร้านขายของชำซื่อตรงมาแสดงความยินดี จึงพยักหน้าทันที “เชิญเข้ามา!”
ผู้ที่มาคืออวี้หลิงเจินเหริน เจ้าสำนักลมปราณ มาแสดงความยินดีด้วยตัวเอง ผู้ที่มาด้วยกันยังมีเป่าเหลียนอีกคน
เพื่อที่จะแสดงความใกล้ชิดสนิทสนม เหมียวอี้ตั้งใจต้อนรับทั้งสองคนในศาลาที่สวนด้านหลัง แล้วนำน้ำชามาวางให้ด้วยตัวเอง
เหมียวอี้กับอวี้หลิงเจินเหรินนั่งตรงข้ามกัน พูดคุยหัวเราะกันอย่างชื่นมื่น เหมียวอี้อยากจะรักษาความสัมพันธ์อันดีกับสำนักลมปราณมาก เป่าเหลียนยืนอยู่ข้างหลังอวี้หลิงเจินเหริน
“ประเดี๋ยวเดียวก็ผ่านไปหลายปี นึกย้อนไปถึงตอนที่ฆราวาสยังเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์ ถึงไม่ถึงว่าผ่านไปชั่วพริบตาเดียว ฆราวาสจะได้กลายเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกเร็วกว่านี้ ผู้ที่มีความสามารถ ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนตรงนั้นก็เป็นฮวงจุ้ยที่ร่ำรวยทั้งนั้น!” อวี้หลิงเจินเหรินเรียกได้ว่าทอดถอนใจไม่หยุด ตอนแรกเดิมทีคิดจะรับอีกฝ่ายไว้เป็นศิษย์ มีความสามารถระดับนี้ ในอนาคตจะส่งต่อตำแหน่งเจ้าสำนักให้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะส่งเสริมให้สำนักลมปราณเจริญรุ่งเรืองก็ได้
เหมียวอี้ส่ายหน้า “เจ้าสำนักกล่าวชมเกินไปแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่หนิวคนนี้ตั้งใจ เดินมาจนถึงทุกวันนี้โดยไม่รู้ตัวภายใต้ความจำได้ เพราะโดนกดดันจึงทำได้เพียงมาหลบภัยที่เขตเมืองตะวันออก ตอนแรกข้าเคยคิดเสียที่ไหนว่าจะมีวันนี้ได้! ถ้าไม่ใช่เพราะความจำใจ หนิวคนนี้ยินดีจะฝึกตนอย่างสงบเงียบอยู่ที่เรือนไม้ไผ่น้อยในสำนักลมปราณ ไม่อยากจะก่อให้เกิดความขัดแย้งเลยจริงๆ”
อวี้หลิงเจินเหรินพยักหน้า “พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ สำนักลมปราณก็ณู้สึกผิดต่อฆราวาส! แต่ที่อวี้หลิงมาครั้งนี้ กลับมีเรื่องจะขอร้อง ไม่รู้เหมือนกันว่าควรเอ่ยปากหรือเปล่า”
เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ “เจ้าสำนักว่ามาได้เลย ขอเพียงหนิวคนนี้สามารถทำได้ ก็จะไม่ปฏิเสธแน่นอน!”
อวี้หลิงเจินเหรินหันกลับไปมองเป่าเหลียนแวบหนึ่ง “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเป่าเหลียน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากอย่างไร เจ้าเด็กนี่เซ้าซี้ข้ามานานมาก ว่าก็ว่าแล้ว ด่าก็ด่าแล้ว แต่นางไม่ยอมฟัง ดึงดันอยากจะเข้าตำหนักสวรรค์ด้วยเหมือนกัน เดิมทีข้าอยากจะไปให้ชีอู๋เจินเหรินของสำนักเราช่วย ทว่าเป่าเหลียนไม่อยากรบกวนปรมาจารย์ แล้วก็อยากอยู่ใกล้กับสำนักลมปราณสักหน่อย ดังนั้น…ไม่ทราบว่าฆราวาสจะเห็นสมควนหรือไม่?”
“…” เหมียวอี้เข้าใจความหมายแล้ว เขาเงยหน้ามองเป่าเหลียน นางจึงก้มหน้าเล็กน้อย
“หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็เตือนว่า “”เจ้าสำนักเองก็รู้ ว่าเดิมทีหนิวคนนี้เป็นคนรักอิสระเสรี ชั่วพริบตาเดียวกลับตกอยู่ในอ่างย้อมผ้าอย่างตำหนักสวรรค์ การแก่งแย่งผลประโยชน์ การใช้เล่ห์เหลี่ยมใส่กัน เกรงว่าถ้าเข้ามาแล้วจะกลับตัวได้ยาก ไม่สอดคล้องกับคำสอนของสำนักลมปราณ สถานที่อันตรายน่าหวาดกลัวขนาดนี้ เจ้าสำนักปล่อยปละละเลยได้อย่างไร?””
“
อวี้หลิงเจินเหรินหันกลับไปหาหลานสาว “เป่าเหลียน เจ้าเองก็ได้ยินสิ่งที่ฆราวาสบอกแล้ว ตำหนักสวรรค์เป็นสถานที่แห่งปัญหาและความขัดแย้ง เจ้าต้องคิดดูให้ดีนะ”
เป่าเหลียนจึงกุมหมัดกล่าวว่า “ท่านปู่ ต่อให้อยู่ที่สำนักลมปราณแล้วอย่างไรล่ะ ฝึกตนไปจนถึงตอนสุดท้ายก็ไม่ใช่เพื่อจะเป็นแบบปรมาจารย์หรอกเหรอ สุดท้ายก็ต้องเข้าไปทำงานรับใช้ตำหนักสวรรค์ ไม่ช้าก็เร็วท่านปู่ก็ต้องมีวันนั้นเหมือนกัน ไม่สู้ทำแบบนี้ไปเลยล่ะคะ เป่าเหลียนไม่สู้ก้าวเข้าไปก่อนดีกว่า ไปสำรวจเส้นทางให้ท่านปู่ไง!” จากนั้นก็หันไปกุมหมัดคารวะเหมียวอี้ “หวังว่าฆราวาสจะช่วยให้สมปรารถนา!”
อวี้หลิงเจินเหรินหัวเราะเจื่อนแล้วบอกว่า “นางตัดสินใจแล้ว ไม่ทราบว่าฆราวาสคิดว่าอย่างไร ถ้าไม่สะดวก ก็บอกมาตรงๆ ได้ อวี้หลิงจะได้คิดหาทางอื่น”
เหมียวอี้จ้องเป่าเหลียน แล้วขมวดคิ้วบอกว่า “ในเมื่อเป่าเหลียนแน่วแน่แบบนี้ ข้าเองก็ไม่มีอะไรจะพูด เจ้ากลับไปรอก่อนสักระยะ เดี๋ยวข้ายังต้องเติมกำลังคนอีกชุดหนึ่ง ถึงตอนนั้นจะรายงานชื่อเจ้าไปพร้อมกันเลย คาดว่าคงไม่มีปัญหาใหญ่อะไร ต่อไปก็ทำงานใต้บังคับบัญชาข้าแล้วกัน”
“ขอบคุณฆราวาส!” เป่าเหลียนกุมหมัดขอบคุณอย่างตื่นเต้นดีใจ โค้งตัวกล่าวขอบคุณ!
“อวี้หลิงเจินเหรินหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวฝากฝัง “”เรื่องบางอย่างข้าก็รู้ ที่จริงศิษย์ของสำนักลมปราณไม่เหมาะจะทำงานเป็นขุนนาง ต่อไปหวังว่าฆราวาสจะดูแลเป่าเหลียนมากๆ หน่อย””
“
เหมียวอี้โบกมือ “เจ้าสำนักเกรงใจเกินไปแล้ว คนกันเองทั้งนั้น ถ้าดูแลได้ก็ย่อมไม่รีรออยู่แล้ว”
หลังจากพูดคุยพอเป็นพิธี ปู่และลหานสาวก็กล่าวอำลาและออกไป
เมื่อกลับมาถึงร้านขายของชำซื่อตรง อวี้หลิงเจินเหรินก็ให้เป่าเหลียนไปทำงาน ส่วนตัวเองก็เข้าไปในห้องของอวี้ซวีเจินเหรินผู้เป็นศิษย์น้อง
เมื่อพบหน้ากัน อวี้ซวีเจินเหรินก็ถามทันที “ศิษย์พี่ หนิวโหย่วเต๋อตอบรับแล้วเหรอ?”
“ไม่ได้ปฏิเสธ ตอบรับแล้ว พอผ่านช่วงไม่กี่วันนี้ไป เป่าเหลียนก็น่าจะต้องไปที่เขตเมืองตะวันออกแล้ว” อวี้หลิงเจินเหรินตอบพร้อมรอยยิ้ม
“เฮ้อ!” อวี้ซวีเจินเหรินส่ายหน้าทอดถอนใจ “นางหนูนี่เป็นอะไรไปแล้ว อยู่ดีๆ จะไปที่ตำหนักสวรรค์ทำไม ศิษย์พี่ ขออภัยที่ข้าพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดนะ เป่าเหลียนเป็นสาวเป็นนาง ให้ไปทำงานรวมกับพวกผู้ชาย ท่านอนุญาตได้อย่างไร นี่ไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาดเลย!”
“ศิษย์น้องเอ๊ย! ตอนอยู่ต่อหน้าเจ้า ข้าเองก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังเหมือนกัน” อวี้หลิงเจินเหรินตีข้อมือเขาเบาๆ “เป่าเหลียนนางเด็กนั่นถูกใจหนิวโหย่วเต๋อ นางมีความรักแล้ว ห้ามไม่อยู่หรอก!”
“…” อวี้ซวีเจินเหรินตกตะลึงอ้าปากค้าง “ศิษย์พี่พูดจริงเหรอ?”
อวี้หลิงเจินเหรินยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “โกหกเสียที่ไหนล่ะ! หลานสาวของข้าข้าจะไม่รู้จักดีได้อย่างไร เห็นมาตั้งแต่เด็กจนโต พอนางเอ่ยปากถึงแม้จะตั้งใจปิดบัง แต่ข้าก็ไม่ถึงขั้นเป็นตาแก่ตาฝ้าฟาง เรื่องบางเรื่องข้ารู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่ข้าไม่ได้เปิดเผยก็เท่านั้นเอง”
“เอ่อ…” อวี้ซวีเจินเหรินอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะถามอย่างแปลกใจ “อย่าบอกนะว่าศิษย์พี่ตั้งใจจะช่วยให้พวกเขาสองคนสมปรารถนา?”
อวี้หลิงเจินเหรินเอามือลูบเครา แล้วพยักหน้ายิ้มบางๆ “ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นข้าก็จะพิจารณาดูอีกที ทั้งเจ้าทั้งข้าก็รู้ๆ กันอยู่ว่าความนิสัยของหนิวโหย่วเต๋อเป็นอย่างไร ทำงานอะไรไม่ค่อยพิถีพิถัน มีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงมากมาย แต่ก้นบึ้งของจิตใจนั้นซื่อตรง ไม่ต้องพูดถึงคุณสมบัติประจำตัวเลย คนแบบนี้สามารถรับผิดชอยเรื่องต่างๆ ได้ เป็นคนที่กำบังลมฝนให้เป่าเหลียนได้เป็นอย่างดี ตอนแรกข้าอยากจะรับเขาเป็นศิษย์ แต่น่าเสียดายที่ทำไม่สำเร็จ ตอนนี้พอลองมาคิดๆ ดูแล้ว เขาคือตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะรับเป็นหลานเขย”
อวี้ซวีเจินเหรินกลับกล่าวอย่างกังวล “กลัวแต่เป่าเหลียนจะสนใจอยู่ฝ่ายเดียวน่ะสิ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อไม่ได้คิดอะไรกับเป่าเหลียนเลย ถึงตอนนั้นจะให้เป่าเหลียนรู้สึกอย่างไร?”
อวี้หลิงเจินเหรินโบกมือ “ไม่เป็นไร! ถึงอย่างไรหนิวโหย่วเต๋อก็ยังไม่ได้แต่งงาน ผู้ชายยังไม่แต่งงาน ผู้หญิงก็ยังไม่แต่งงาน เหมาะสมกันพอดี ให้พวกเขาลองใกล้ชิดกันสักหน่อยก็ไม่เป็นไร นางหนูนั่นมีความรักแล้ว ห้ามไม่อยู่ ถ้าไม่สำเร็จก็ให้นางโดนปฏิเสธไป แบบนั้นก็ไม่มีอะไรเสียหาย จะได้ทำให้นางตัดใจ สำนักลมปราณเดินมาจนถึงวันนี้ได้ หาเส้นสายได้ไม่อยากหรอก ถ้าเป่าเหลียนไม่สมปรารถนาจริงๆ อย่างมากก็แค่ให้นางออกจากตำหนักสวรรค์ก็พอแล้ว”
“ที่แท้ศิษย์พี่ก็มีแผนในใจแล้วนี่เอง” อวี้ซวีเจินเหรินพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมากอีก
เรื่องนี้เหมียวอี้ไม่รู้ ถ้ารู้แล้วก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร เกรงว่าคงจะหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ขนาดเขายังไม่คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติดีสักเท่าไรเลย ในปีนั้นพยายามเสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นคนดีอยู่ที่สำนักลมปราณ ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะกลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งที่จะมาเป็นหลานเขยของเจ้าสำนักอวี้หลิง
ตอนนี้เขาโดนดอกท้อพัวพันรัดตัวแล้ว ทั้งยังมีดอกท้อมหาภัยเพิ่มมาดอกหนึ่งด้วย ในปีนั้นที่เป็นคนเชือดหมูขายหมูอยู่ในตลาด เขาเป็นคนไร้ตัวตนไร้คนสนใจอยู่หลายปี แต่ตอนนี้ชะตาดอกท้อ[1]มาถึงแล้วจริงๆ ทั้งยังมาแบบดุเดือดรุนแรง จะต้านก็ต้านไม่อยู่!
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ทางอวิ๋นจือชิวก็ตรวจนับของขวัญเสร็จแล้ว ร้านค้าใหญ่ๆ มอบของขวัญมาไม่น้อย หลังจากนำใบแสดงรายการสิ่งของให้เหมียวอี้ เหมียวอี้ก็ถือของขวัญที่อวิ๋นจือชิวแบ่งไว้ให้แล้วไปมอบแสดงน้ำใจที่ตำหนักคุ้มเมือง
ส่วนอวิ๋นจือชิวก็ซื้อของที่ตลาดสวรรค์พักหนึ่ง จากนั้นก็ปลอมตัวออกจากตลาดสวรรค์เพียงลำพัง เหาะไปยังจุดลึกของท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล กลับไปยังพิภพเล็ก
ณ ดาวแมกไม้ ในป่าภูเขาซึ่งเป็นที่อยู่ของเผ่าปีศาจ ในสระมรกตในน้ำตกแห่งหนึ่ง ศีลแปดที่สวมชุดสีขาวนั่งขัดสมาธิอยู่บนโหดหินกลางน้ำ ปล่อยให้เรือยร่างเปลือยแหวกว่ายยั่วยวนอยู่ในน้ำ ส่วนเขาก็นั่งตระหง่านไม่สะทกสะท้าน
เปลือยกายตามอำเภอใจโดยไม่เกรงกลัวใคร? ปีศาจโลหิตที่แหวกว่ายอยู่ในสระมรกตหันกลับมาโดยไม่ได้ตั้งใจ จู่ๆ ก็ตกตะลึงทันที เท้าเปลือยเหยียบอยู่บนหินที่ก้นสระ เหม่อมองศีลแปดที่กำลังนั่งขัดสมาธิ เรียกได้ว่ามองเหม่ออย่างแท้จริง
ภายใต้ละอองน้ำที่สาดซัดออกมาจากม่านน้ำตก เสื้อของศีลแปดเปียกน้ำจนแนบเนื้อแล้ว บางครั้งหยดน้ำบนศีรษะล้านก็ไหลลงมาเป็นทาง ไหลจากคางและปลายจมูก แต่อากัปกิริยากลับยังสงบนิ่งเยือกเย็น ราวกับหญิงสาวบริสุทธิ์ ที่อัศจรรย์ที่สุดก็คือ ภายใต้แสงแดดที่ส่องเฉียงลงมา บนตัวศีลแปดเปล่งประกายระยิบระยับ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสายรุ้งเล็กๆ สายหนึ่งแผ่คลุมอยู่เหนือยอดศีรษะของศีลแปด
ประกอบกับเคร่งขรึมศักดิ์สิทธิ์ของศีลแปด ทำให้ในดวงตาปีศาจโลหิตฉายแววตกตะลึง ฝึกตนมาหลายปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นและรู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่าศักดิ์สิทธิ์โดยเนื้อแท้ นึกไม่ถึงว่าแม้แต่นิมิตมงคลแบบนี้ก็ยังปรากฏอยู่บนตัวศีลแปด นางแน่ใจได้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากการร่ายพลังอิทธิฤทธิ์ของศีลแปด เพราะบนตัวศีลแปดไม่มีการเคลื่อนไหวของพลังอิทธิฤทธิ์ แต่ทุกอย่างเป็นความบังเอิญจริงๆ
ภูเขาเขียวหมื่นชาติ พระพุทธเจ้าในสระมรกต!
พระพุทธเจ้า! นี่คือคำแรกที่แวบเข้ามาในหัวของปีศาจโลหิต นางรู้สึกว่าตัวเองได้พบพระพุทธเจ้าตัวจริงแล้ว ไม่ใช่พวกพระที่วางมาดสง่าภูมิฐาน แต่เป็นพระพุทธเจ้าที่มีหัวใจเป็นพุทธอย่างแท้จริง ไม่แปดเปื้อนสิ่งเร้าภายนอก หญิงงามอยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่เกิดความคิดใฝ่ฝันจินตนาการ สิ่งเหล่านี้นางล้วนใช้ร่างกายสัมผัสประสบการณ์เอง
ยิ่งเป็นแบบนี้ นางก็ยิ่งปรารถนาอยากได้เขา เพราะเขาไม่ธรรมดา และก็เพราะว่าเขาไม่ธรรมดา จึงทำให้นางยิ่งกลัดกลุ้ม เพราะเป็นเรื่องที่ยากที่จะไขว่คว้าเขามาได้ ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของเขาทำให้นางรู้สึกต่ำต้อยน้อยใจ
ในหัวใจทรมานอย่างบอกไม่ถูก นางดำลงไปในน้ำ แต่น้ำใสในสระก็ยากที่จะชำระล้างความกลัดกลุ้มของนางได้ นางโผล่ขึ้นมาข้างโขดหินกลางสระ ใช้แขนสองข้างกอดศีลแปดเอาไว้ ใช้ร่างกายอ้อนแอ้นคลอเคลีย ปากก็ครางเบาๆ จูบศีรษะโล้น ใบหน้า ติ่งหูของเขาอย่างเร่าร้อน ตอนนี้นางเหมือนปีศาจร้ายที่ทำทุกอย่างเผื่อยั่วยวนเขา
ถ้ายั่วยวนสำเร็จ ต่อให้ตัวเองจะกลายเป็นนางปีศาจมารร้ายที่เลวทรามที่สุด นางก็ไม่สนใจ!
ศีลแปดไม่สะทกสะท้าน บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มบางๆ ในหัวกลับเกิดภาพอีกภาพหนึ่งแทน
สาเหตุที่เขามาถึงที่นี่ ก็เพราะตอนแรกปีศาจโลหิตพุ่งเป้ามาหาพี่ใหญ่ของเขา ปรากฏว่าพอมาถึงพี่ใหญ่ก็ไปแล้ว ทว่าในป่าภูเขาผืนนี้ ภายใต้แสงจันทร์ เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังอาบน้ำ นั่งอาบน้ำอยู่บนโขดหินที่เขานั่งอยู่ นั่นคือผู้หญิงที่สวยเหมือนปีศาจ ที่แท้นางก็เป็นปีศาจจริงๆ บนโลกมีปีศาจแบบนี้อยู่จริงๆ เป็นปีศาจผู้หญิงที่ขาวบริสุทธิ์เหมือนแผ่นกระดาย มองบ่อยๆ แล้วร่างกายกับจิตใจได้ชำระบาป
พอเขาเดินมาข้างสระน้ำ ผู้หญิงคนนั้นก็ตกใจรีบเอามือปิดหน้าอก แล้วมุดลงไปในน้ำ ตอนที่นางหลบอยู่หลังโขดหิน เขาก็ยืนถามอยู่ภายใต้แสงจันทร์ว่า “โยมสีการู้หรือเปล่า ว่าสิ่งที่เรียกว่าชะตาดอกท้อเป็นภัยคืออะไร?”
ภาพนั้นช่างงดงาม! ทำให้ตอนนี้เขานึกถึงแล้วยิ้มบางๆ มองข้ามปีศาจโลหิตที่กำลังเกาะแกะพัวพันราวกับไม่มีตัวตน
…………………………
[1] ชะตาดอกท้อ 桃花运 ดอกท้อเป็นตัวแทนของดวงชะตาด้านความรัก คนที่มีชะตาดอกท้อก็หมายถึงคนที่มีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม เสน่ห์แรง
บทที่ 988 จุดประสงค์ของศีลแปด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ละอองน้ำที่เย็นสดชื่นไม่มีทางดับความร้อนรุ่มในใจปีศาจโลหิตได้ เรือนร่างอ่อนช้อยซุกเข้ามาในอกเขา ใช้สองมือประคองใบหน้าเขา แล้วจูบริมฝีปากเขาอย่างดูดดื่มหิวกระหาย ทั้งวาบหวามทั้งเร่าร้อน ถึงแม้จะไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากศีลแปด แต่สำหรับปีศาจโลหิต นี่ก็คือวิธีการได้เขาอย่างหนึ่งเหมือนกัน เป็นวิธีการครอบครองอย่างหนึ่ง
ท่ามกลางความหลงใหล ขณะกำลังเคลิบเคลิ้ม มือก็ลื่นไหลเข้าไปในเสื้อผ้าของเขา เลื้อยเข้าไปในหน้าอก เริ่มตั้งแต่บนลงล่าง จนกระทั่งถึงตรงหว่างข้า หลังจากนางในจับก้อนปรารถนาของเขา ก็พบว่ามันยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย สิ่งนี้ทำให้นางได้สติกลับมาหลายส่วน ดวงตาที่หรี่ปรือพลันเบิกกว้าง จ้องมองเขาทันที
เมื่อเห็นรอยยิ้มบางๆ ของศีลแปด รอยยิ้มยังคงสะอาดบริสุทธิ์ เกิดข้อเปรียบเทียบชัดเจนกับภาพลักษณ์ที่ล่องลอยเหลวไหลของนาง ปีศาจโลหิตโมโหทันที เพราะรู้สึกได้ถึงความอัปยศอดสู จู่ๆ นางก็บีบคอศีลแปดอย่างแรง อยากจะบีบคอเขาให้ขาด ตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด บีบคอเขาเขย่าอย่างไม่รู้ว่าจะไประบายความโมโหที่ไหน “ลืมตาขึ้นมา มองข้า!”
ศีลแปดโดนบีบคอจนหน้าแดง ได้สติตื่นขึ้นจากความฝันอันงดงามในหัว เขาลืมตามองนาง ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงปรี๊ดแตกอีกแล้ว ส่วนร่างเปลือยที่อยู่ตรงหน้าเขาน่ะเหรอ? ก็เป็นแค่ร่างกาย เขาเห็นจนชินเหมือนเป็นเรื่องปกติแล้ว ต่อให้เย้ายวนกว่านี้ก็สู้ภาพโครงกระดูกดูดเลือดที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำไม่ได้
ในสายตาของเขา ปีศาจโลหิตคือโครงกระดูกที่งดงามอย่างแท้จริงๆ
ขระที่นางบีบคอเขา เขาก็มองหน้านาง ทั้งสองนิ่งเงียบ เงาสองเงาสะท้อนกลับหัวอยู่ในสระมรกต น้ำตกที่อยู่ด้านบนยังคงส่งเสียงดัง
มือนางค่อยๆ ออกแรงเพิ่ม บีบคอจนกระทั่งศีลแปดทำสีหน้าขื่นขม สุดท้ายนางก็ตัดใจลงมืออีกไม่ไหว ปล่อยมือออกแล้ว แต่กลับชักดาบนกเป็ดน้ำสีเลือดออกมาแทน จ่อดาบไว้บนคอศีลแปด “ทำไมไม่ชอบจ้า? หรือว่าข้าไม่สวย?”
ศีลแปดกวักมือเบาๆ ดอกกล้วยไม้ดอกหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากสระน้ำลอยเข้ามา เด็ดบุปผาประดับรอยยิ้ม ถามกลับว่า “ดอกไม้ดอกนี้สวยหรือไม่?”
เมื่อเห็นเขาทำท่าเหมือนจะแสดงธรรมเทศนาอีก ปีศาจโลหิตรู้สึกขนลุกนิดหน่อย กัดฟันตอบว่า “สวย!”
“เจ้าชอบรึเปล่า?” ศีลแปดถาม
“ชอบ!” ปีศาจโลหิตตอบ
ศีลแปดจึงยื่นมือเข้าไป นำดอกกล้วยไม้ทัดไว้บนหูนาง แล้วพยักหน้าถามว่า “เจ้าสวยมาก ข้าเองก็ชอบ ก็เหมือนที่เจ้าชอบดอกกล้วยไม้ดอกนี้ แต่พอเด็ดมาแล้ว ผลสุดท้ายก็จะเหี่ยวเฉา ความรักระหว่างชายหญิง ความชอบก็ดี ความสวยก็ดี หากทำเลยเถิดไปคงไม่ดี เมื่อมีระยะห่าง ถึงจะมีการชื่นชม การเด็ดลงมาไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดี เจ้าเข้าใจมั้ย?”
ปีศาจโลหิตรู้สึกเหมือนจะสติแตก ดอกไม้ดอกหนึ่งทัดบนหูนาง เอียงหน้ามองเงากลับหัวที่อยู่ในน้ำ ช่างงดงามจริงๆ แล้จะให้นางตัดใจทำลายทิ้งได้อย่างไร?
“อ๊า…” ดาบถูกเก็บไปแล้ว มือสองข้างกุมศีรษะ ปีศาจโลหิตครวญครางอย่างเจ็บปวด ทิ้งร่างให้ไหลจมลงในน้ำ ดอกกล้วยไม้ดอกนั้นลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ แล้วลอยไปตามกระแสน้ำ บุปผาร่วงหล่นที่มีใจ แต่สายธารหลั่งไหลกลับไร้รัก[1]
นางกำลังทรมาน ศีลแปดที่อยู่ตรงนี้กลับกำลังดื่มด่ำกับความสุข เขาหลับตาลงอีกครั้ง เสียงน้ำไหล เสียงน้ำตก สภาพแวดล้อมของสระน้ำนี้ ยังขาดเพียงแสงจันทร์ แค่หลับตาก็มองเห็นแล้ว นึกย้อนกลับไปถึงภาพงดงามใต้แสงจันทร์ของคืนนั้น
ปีศาจโลหิตที่ระบายความโกรธในน้ำเสร็จแล้วลอยขึ้นมา ร่างกายท่อนบนหมอบอยู่บนขาของศีลแปด ร่างกายท่อนล่างแช่อยู่ในน้ำ นางสงบลงแล้วเช่นกัน ถามอย่างนิ่งสงบว่า “ศีลแปด เจ้าตัดความรู้สึกระหว่างชายหญิงได้แล้วจริงๆ เหรอ? มารปีศาจยังมีความรู้สึก แต่พระกลับหัวใจไร้ความรู้สึกอย่างนั้นเหรอ?”
ศีลแปดกำลังตกอยู่ในภวังค์ใต้แสงจันทร์ นึกภาพตอนเดินไปริมสระน้ำ แล้วเอ่ยถามใต้แสงจันทร์ “โยมสีการู้หรือเปล่า ว่าสิ่งที่เรียกว่าชะตาดอกท้อเป็นภัยคืออะไร?” เขามองลืมตาก้มมองนาง ถามคำถามเดี๋ยวกันกับปีศาจโลหิต
ปีศาจโลหิตที่หมอบอยู่บนขาเงยหน้า แล้มถามว่า “ข้าคือดอกท้อนำภัยของเจ้าเหรอ?”
“อาจารย์ของข้าบอกไว้ว่า เพราะว่ามี ถึงได้อยู่” ศีลแปดกล่าว
ปีศาจโลหิตรออยู่ครู่หนึ่ง พอไม่ได้ยินประโยคถัดไป นางก็ฟังไม่เข้าใจความหมาย จึงถามว่า “มีแค่นี้เหรอ?”
“นี่ก็คือภัย” ศีลแปดพยักหน้า
ปีศาจโลหิตรำคาญที่เขาใช้วิธีการพูดที่สื่อความหมายไม่ชัดเจนแบบนี้ “ที่เจ้าพูดหาปีศาจพวกนั้นทุกวัน ไม่ยอมจากไป สิ่งนั้นมาจากไหนกัน?”
“ในใจมีความคิดยึดติด เหมือนที่เจ้ามีต่อข้า ถ้ายังไม่ได้ แล้วจะจากไปได้อย่างไร ถ้าปล่อยวางได้ก็ย่อมจากไปได้” ศีลแปดตอบ
ปีศาจโลหิต:”อยู่ที่นี่ข้าไม่สะดวกจะฝึกตน ไปกันเถอะ! ไม่อย่างนั้นอย่าโทษว่าข้าเอาชีวิตของปีศาจพวกนั้นมาฝึกตนนะ”
“นี่คือสถานที่ที่สะอาดบริสุทธิ์ อย่าดูหมิ่นที่นี่ให้บาปตัวเองเพิ่มเลย ผู้อาวุโสของที่นี่ไม่ใช่คนที่เจ้าจะมีเรื่องด้วยไหว” ศีลแปดกล่าว
ปีศาจโลหิตคว้าเสื้อผ้าของเขาแล้วดึง “เจ้าไปกับข้าสิ”
“ข้าจะอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหนแล้ว ถ้าเจ้าอยากจะมาหาข้าก็กลับมาที่นี่ เจ้าจะยังเห็นข้าเสมอ” ศีลแปดตอบ
ปีศาจโลหิตลังเลครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “จริงเหรอ?”
ศีลแปดประนมมือตอบ “อาตมาไม่โกหก”
ปีศาจโลหิตเชื่อคำพูดนี้ ในสายตานาง ศีลแปดไม่หลอกลวงใคร เขาเป็นคนที่มีธรรมะในใจอย่างงแท้จริง ไม่เหมือนพระรูปอื่นที่แสร้งวางมาดสง่าภูมิฐาน
แต่ช่วงนี้นางรับความทรมานมาเต็มที่แล้ว อยากจะออกห่างจากเขาไปคิดทบทวนดูเหมือนกัน ดูว่าตัวเองจะแยกจากเขาได้ไหม ถ้าแยกจากเขาได้ ทั้งชีวิตนี้นางก็ไม่อยากมาพบเขาอีก นางจึงผลึกแขนให้ทั้งร่างตกลงในน้ำ แล้วหมุนวนอยู่ในสระมรกต หมุนผ้ามุ้งสีแดงออกมาหลายเส้น และไม่นานก็สวมใส่เสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย
ศีลแปดมองนางพร้อมถามว่า “ยังอยากจะไปคิดบัญชีกับหนิวโหย่วเต๋ออีกเหรอ?”
ปีศาจโลหิตตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่มีโอกาส เขาได้เป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกของตลาดสวรรค์ที่ดาวเทียนหยวนแล้ว ข้าไม่สะดวกจะแตะต้องเขาอย่างโจ่งแจ้ง ไม่อย่างนั้นจะเท่ากับเป็นศัตรูกับตำหนักสวรรค์อย่างเปิดเผย ข้ารับผลที่ตามมาไม่ไหว ทำได้เพียงรอเวลา รอให้โอกาสดีๆ มาถึง”
“ทำไมไม่ปล่อยวาง? ทะเลทุกข์ไร้ที่สิ้นสุด หันกลับมาก็คือฝั่ง ถอยหนึ่งก้าว พบท้องทะเลกว้างและท้องนภาอันไพศาล!”
ปีศาจโลหิตดึงผ้ามุ้งสีแดงลอยกระเพื่อมในน้ำ หมอบอยู่บนขาของเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็พุ่งขึ้นฟ้าทันที ร่างที่ลอยอยู่บนฟ้าระเบิดเป็นหมอกเลือดกลุ่มหนึ่ง ร่างกายแห้งแล้ว หลุดออกจากละอองน้ำ พุ่งสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ด้วยความเร็วสูง ไปแล้ว!
ศีลแปดเงยหน้ามอง หลังจากผ่านไปนานมากถึงได้ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เพราะเขาสู้ไม่ชนะปีศาจโลหิต ถ้าสู้ชนะนางได้ เขาคงไม่ต้องขยับปากตลบตะแลง คงจะลงมือจัดการนางไปแล้ว
เขารู้สึกซวยมากที่ได้พบปีศาจโลหิต ตอนอยู่พิภพเล็กเสแสร้งเป็นพระที่สูงส่ง อยู่ที่พิภพใหญ่ก็ยังต้องเล่นละครอีก แต่พอปีศาจโลหิตไปแล้วก็ยังต้องเล่นละครต่อไป ก็ช่วยไม่ได้ เส้นทางนี้ต้องขายหน้าตา
เขาลอยขึ้นไปเหยียบลงริมสระ ร่ายอิทธิฤทธิ์ตากเสื้อผ้าให้แห้ง แล้วลอยเข้าไปในจุดลึกของป่าไม้โบราณ
ผ่านไปไม่นาน เขาก็มาที่เผ่าปีศาจอีกแล้ว ตอนนี้เขาได้เป็นแขกของที่นี่ คนที่นี่ไม่ชอบใช้กำลัง ขอเพียงพิสูจน์ได้ว่าเจ้าไร้พิษภัย ก็จะไม่มีใครเห็นเจ้าเป็นแขก
พอมาถึงใต้ต้นไม้ที่เคยนั่งบ่อยๆ เขาก็นั่งขัดสมาธิ ประนมมือสองข้าง ปากก็สวดมนต์อย่างไม่รีบร้อน คนที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วยากที่จะทำความเข้าใจ
แต่ภาพลักษณ์ของศีลแปดเป็นมิตรน่าเข้าใกล้ ประกอบกับจังหวะและท่วงทำนองที่ไพเราะเหมือนบทกวี จึงฟังดูไพเราะมาก เข้ากับบรรยากาศในป่า ราวกับว่าเมื่อได้ยินเสียงนี้แล้ว แม้แต่ต้นไม้ก็จะเติบโตแข็งแรง ดังนั้นจึงเป็นเหมือนที่ผ่านมา เริ่มมีคนเข้ามานั่งฟังเขาสวดมนต์อยู่ข้างๆ แล้ว
มู่หลินหลางเดินมาเตือนข้างๆ “ไต้ซือ เผ่าของพวกเราไม่ได้นับถือพุทธ” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ ไม่ต้องทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์แล้ว แต่เมื่อเห็นศีลแปดไม่ได้รับผลกระทบอะไร นางจึงนั่งฟังเขา ‘ร้องเพลง’ อยู่ข้างๆ เช่นกัน ถึงอย่างไรทุกคนก็ชอบเรื่องที่ดีงามอยู่แล้ว
จนกระทั่งคนมาค่อนข้างเยอะ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ หลังจากรอให้ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าปรากฏตัวและนั่งลงฟังกับคนอื่นๆ เสียงสวดมนต์ของศีลแปดถึงได้หยุดลง แล้วเริ่มแสดงธรรมเทศนากับกลุ่มปีศาจ นำสิ่งที่ไต้ซือศีลเจ็ดบอกมาพูดซ้ำที่นี่รอบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามอยู่เป็นระยะ ทุกครั้งเขาจะถามธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่า พยายามใช้ความคิดเพื่อลดระยะห่างระหว่างตัวเองกับธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่า
เขารู้ว่าเรื่องแบบนี้รีบร้อนไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงมีความอดทนมาก ถึงแม้ทุกครั้งมู่หลินหลางจะโผล่มาบอกว่าไม่มีประโยชน์ แต่ศีลแปดก็เข้าใจจุดประสงค์ของตัวเองดี และมองเห็นผลลัพธ์แล้วเช่นกัน ตอนแรกธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าเพียงยืนมองพระที่เคยดูนางอาบน้ำอยู่ไกลๆ จากนั้นก็เดินเข้ามาในกลุ่มคน แล้วก็เข้ามานั่ง จนทุกวันนี้นางคุยกับเขาแล้ว เขารู้สึกว่านี่คือความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่มาก อนาคตงดงามแน่นอน…
หลังจากส่งส่วยประจำปีกลับมาจากแดนโพ้นสวรรค์ ช่างไม้กับช่างหินวางเกี้ยวลง อวิ๋นจือชิวมุดออกมาจากเกี้ยว ยังคงเป็นมารดาแห่งใต้หล้าที่สวมเครื่องแต่งกายสุดหรูหรา ดวงตางามฉายแววเปล่งประกาย มีบารมีน่าเกรงขาม เหยียนซิวกับหยางเจาชิงเข้ามาต้อนรับและทำความเคารพ
อวิ๋นจือชิวที่เดินอย่างไม่ช้าไม่เร็วหันกลับมาสั่งว่า “เรียกฮูหยินตำหนักอินทนิลกับผู้การหยางมาพบข้า!”
ฮูหยินตำหนักอินทนิลก็คือฉินเวยเวยที่อยู่ตำหนักอินทนิล ถึงแม้จะเป็นอนุภรรยา แต่กลับรับหน้าที่แทนท่านทูตอยู่เสมอ เพื่อเป็นการให้เกียรติ ทุกคนต่างเรียกขานอย่างเคารพว่าฮูหยินตำหนักอินทนิล
“ขอรับ!” เหยียนซิวกับหยางเจาชิงเอ่ยรับและไปปฏิบัติตาม ทั้งสองแยกกันไปรายงาน
ผ่านไปไม่นาน ฉินเวยเวยกับหยางชิ่งก็มาเข้าพบที่ปราสาททอง
บนตึกปราสาททอง หลังจากอวิ๋นจือชิวบอกให้คนอื่นๆ ออกไปแล้ว นางก็เลิกวางมาดน่าเกรงขาม บนใบหน้าเผยรอยยิ้ม เข้ามาคล้องแขนฉินเวยเวยพร้อมบอกว่า “น้องสาว มานั่งด้วยกันสิ!”
ฉินเวยเวยไม่กล้านั่งเทียบเสมอกับนาง จึงรีบปฏิเสธแล้ว
อวิ๋นจือชิวเองก็ไม่บังคับ นำแหวนเก็บสมบัติออกมาสองวง แบ่งให้ทั้งสองคน “น้องสาว นี่คือของขวัญที่ท่านสามีของเราสั่งให้ข้านำมามอบให้พวกเจ้า กำชับว่าต้องมอบให้พวกเจ้าให้ได้ บอกว่าถ้าขาดไปแม้แต่เม็ดเดียว เขาจะมาขอคำอธิบายจากข้า พวกเจ้าต้องนับต่อหน้าให้ชัดเจนนะ ไม่อย่างนั้นถ้าข้ากลับไปแล้วเขาถาม ข้าก็จะไม่มีทางอธิบายได้”
ที่จริงเหมียวอี้ไม่คเยพูดอะไรแบบนี้เลย เรื่องในบ้านทางนี้ส่งให้นางจัดการทั้งหมด
หลังจากหยางชิ่งกับฉินเวยเวยเห็นของที่อยู่ข้างใน ทั้งสองก็ตกตะลึงมาก ต่อให้ไม่เคยกินเนื้อหมูแต่ก็รู้ว่าหมูหน้าตาเป็นอย่างไร หยางชิ่งพลันเงยหน้า “ท่านทูต นี่…หรือว่านี่จะเป็น…” เขารู้สึกเหลือเชื่อนิดหน่อย
อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเบาๆ “เป้นสิ่งนั้นแหละ คนละสิบล้านเม็ด เพียงพอให้พวกเจ้าสองคนเพิ่มวรยุทธ์ให้ถึงระดับบงกชทองไวๆ พวกเจ้านับดูสิ ดูว่ามีเท่าไร”
ไม่ต้องนับเลย ดูจากจำนวนแล้ว ต่อให้ขาดไปบ้างก็ไม่ต่างกันเท่าไร หยางชิ่งยังคงตกตะลึงมาก กุมหมัดถามว่า “ท่านทูต ข้าน้อยจำเป็นต้องถาม นายท่านเหมียวนำของสิ่งนี้มาจากไหนมากมายขนาดนี้?”
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวม พูดมากไปจะไม่เป็นผลดี เมื่อเห็นของสิ่งนี้แล้ว พวกเจ้าก็คงเข้าใจว่านายท่านจะไม่ออกมาพบใครไปอีกนาน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เขากำลังหายเข้ากลีบเมฆเพื่ออนาคตของครอบครัวเรา แม้แต่หลางหลางกับหวนหวนก็ไม่เคยได้ของสิ่งนี้เลยสักเม็ด เป็นเพราะภูมิหลังของพวกนาง ถ้ามีข่าวหลุดว่าพวกเราหาของพวกนี้มาได้ ผู้การหยางก็คงจะรู้ว่าผลที่ตามมาคืออะไร แบบนั้นครอบครัวเราก็จะจบเห่แล้วเหมือนกัน”
ขณะที่พูดก็จับมือฉินเวยเวย “น้องสาว ที่นายท่านไม่ได้มาเจอเจ้านาน ไม่ใช่ว่านายท่านจงใจเย็นชากับเจ้านะ แต่เรื่องนี้สำคัญมาก ไม่สามารถแบ่งสมาธิได้ ข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นชมดอกไม้ชมพระจันทร์กับนายท่านเหมือนกัน แต่กำลังช่วยนายท่านจัดการธุระ ที่ให้เจ้าคุมยอดเขาหยกนครหลวง ก็เพราะว่าเชื่อใจเจ้ามากจริงๆ เจ้าต้องช่วยนายท่านคุมสนามนี้ให้ได้ ไม่จำเป็นต้องแสดงฝีมือมากเกินไป ขอเพียงคุมได้ก็พอ ขอแค่คุมได้หลายร้อยปี รอให้ความสามารถของนายท่านสูงขึ้นก่อน แล้วครอบครัวเราก็จะมีอำนาจทั้งพิภพเล็ก แม้แต่หกปราชญ์ก็ยังต้องยืนชิดซ้าย”
…………………………
[1] บุปผาร่วงหล่นที่มีใจ แต่สายธารหลั่งไหลกลับไร้รัก 落花有意 流水无情 หมายถึง รักข้างเดียว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น