องครักษ์เสื้อแพร 985-987
ตอนที่ 985 เหลียวหยาง หนึ่งวันหนึ่งคืน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่เพียงแต่เมืองเหลียวโจว ขุนนางบู๊ใต้หล้าล้วนมีความคิดคล้ายกันอันหนึ่ง ก็คือทวนยาวและดาบใหญ่เป็นอาวุธดี แต่ที่ใช้งานได้ดี มีแต่ลูกหลานทหาร
ทวนยาวใช้ได้ดีในสนามรบ เป็นอาวุธสังหารที่ดีจริง แต่หากไม่ได้ฝึกแต่เด็กก็ยากจะชำนาญ ไม่สู้ใช้ดาบหรือขวาน ดาบหรือขวานอย่างไรก็ไม่มีความยาว บังคับกระชับมือได้ราวกับแขนตน
กลับมาที่สถานการณ์ยามนี้ ทหารตอนนี้ใช้ทวนยาวเยอะที่สุด ก็เพราะทวนยาว อย่างไรก็ประหยัดเหล็กและเวลาทำมากกว่าดาบ ด้ามทวนใช้ไม้ สามารถใช้ไม้ไป๋ล่าเป็นด้ามทวนย่อมไม่ใช่ทหารธรรมดา
ทหารเมืองเหลียวโจวก็มีฝีมือการต่อสู้เช่นกัน ทุกคนล้วนใช้ดาบและขวาน เข้าใกล้ปะทะ แสดงถึงความองอาจกล้าหาญ เผ่าหนี่ว์เจินก็เช่นกัน มีแต่พวกอ่อนแอจึงจะใช้ทวนยาววางท่าวางทางเท่านั้น ชายฉกรรจ์แท้จริงล้วนใช้ดาบสั้นเข้ารบในสนามกันทั้งนั้น
ขุนนางบู๊ทุกคนล้วนคิดเช่นนี้ แม้ทหารปกติถือทวนสู้ดาบศัตรู เกิดเรื่องง่ายมาก อันแรกคือแทงไม่ดี ถูกคนใช้ดาบเข้าประชิดได้ก็ย่อมยุ่งยาก
ตอนนี้ทหารไร้ระเบียบถือดาบและขวานกันมาก ล้วนเป็นดาบและขวานเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทหารทวนยาวกองกำลังหู่เวยกลับบีบเข้าใกล้ทีละก้าว สถานการณ์นี้เรียกได้ว่าใกล้เสียเปรียบ
ควันดินปืนเริ่มกระจายหายไป ท้องถนนเห็นศพกองเกลื่อนกลาด ด้วยชื่อเสียงกองกำลังหู่เวย น่าจะไม่เสียเปรียบ ขุนนางบู๊เมืองเหลียวโจวหลายคนบนกำแพงที่ชมอยู่ พวกตาดีก็จะเห็นว่าสีหน้าพลทวนยาวกองกำลังหู่เวยเคร่งเครียด ดูท่าแล้ว เห็นชัดว่าเพิ่งเห็นการหลั่งเลือดเช่นนี้เป็นครั้งแรก
ที่คนบนกำแพงเมืองเห็นก็คือ ทหารไร้ระเบียบเบื้องหน้าเริ่มกระวนกระวาย อย่างไรก็ทางตัน สู้ตายเท่านั้น ตอนนี้โอกาสมาแล้ว ทหารไร้ระเบียบแต่ละคนล้วนถูกกระตุ้นให้ฮึดสู้
“สังหารได้หนึ่งเท่าทุน ได้สองก็กำไรแล้ว!!” ตอนนี้ไม่มีคนคิดวิ่งออกมา คิดแต่จะสู้อย่างไรไม่ให้เสียเปรียบ ทหารไร้ระเบียบที่ยังเหลืออยู่ยังคงมีความกล้าหาญ ตะโกนดัง รวมกำลังกันบุกออกไป
บีบเข้าใกล้เพียงพอแล้ว ตามองเห็นทวนยาวตรงหน้า คนตรงหน้าแม้ว่าหวาดกลัว แต่คนด้านหลังกลับไม่ยอมให้เขาถอยหลัง ทหารไร้ระเบียบด้านหน้าได้แต่ตัดใจ ระหว่างทวนยาวกับทวนยาวย่อมมีช่องว่าง เสี่ยงเอาละกัน
“สังหาร!!”
หัวหน้าทหารปีกขวาตะโกนดัง เห็นพวกด้านหน้าราวพยัคฆ์มุ่งเข้าโจมตีทหารไร้ระเบียบ กองกำลังหู่เวยเหล่านี้ล้วนเป็นทหารใหม่ ในใจยังหวาดกลัว พวกเขากับหน่วยที่ฝึกจากเมืองกุยฮว่าเฉิงไม่เหมือนกัน พวกเขาอยู่ในพื้นที่สงบเช่นเทียนจิน นอกจากฝึกตรากตรำลำบากแล้ว ไหนเลยเคยพบการนองเลือด
ในสนามฝึกภายใต้การคุมของครูฝึกที่ใช้ไม้พลองและแส้หนัง ระเบียบวินัยเข้มงวด และเวลาฝึกซ้อมเพียงพอ ทำให้พวกเขาเมื่อทำตามคำสั่งหัวหน้าแล้ว ก็เหมือนเครื่องจักรทำงาน
กระชับทวนยาวให้แน่น พยายามยกให้ได้ระดับสูง ใช้แรงแทงเข้าไปตรงหน้า ตอนแทงออกไป พวกเขาก็ยังคงกลัว แต่ท่าทางเคลื่อนไหวก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ทหารไร้ระเบียบด้านหน้ารู้ว่าอีกฝ่ายแทงมา ต้องรู้หลบ แต่ป้องกันช่วงท้อง คิดไม่ถึงอีกฝ่ายจะแทงสูง ยกดาบกันไว้ไม่ทัน หน้าอกและลำคอถูกแทงทะลุ เลือดสดสาดกระจาย
มีบางคนทะลุแถวพลทวนยาวหนึ่งเข้าไปตามช่องว่างได้ ไม่ทันได้เดินหน้าต่อ ก็มองเห็นพลทวนยาวแถวสองรอจ่ออยู่ ย่อมสิ้นหวัง
มีพวกที่เคลื่อนไหวว่องไว เห็นท่าไม่ดี ก็กลิ้งไปบนพื้นราวกับน้ำเต้าคิดหาทางรอดระหว่างแถวทวนยาวไป แต่เขาไปได้ไกลกว่าเพื่อนทหารด้วยกันอีกเล็กน้อยเท่านั้น เพราะพลทวนยาวแถวสามมารอแทงอยู่แล้ว แทงเสียบติดพื้นทันที
เสียงร้องโหยหวนดังไปทั่วท้องถนนไม่หยุด ทหารเหลียวโจวบนกำแพงล้วนไม่อาจคลายสายตาในฉากนี้ แม้ว่าเสียงร้องโหยหวนดังมากมาย หากแต่ละคนล้วนรู้สึกว่าเสียง ‘ฉึกๆ’ ของทวนยาวแทงทะลุนั้นดังกว่า บนสนามต่อสู้มีแต่เสียงนี้ที่กระทบโสตหูดังที่สุด
หน่วยกองกำลังหู่เวยแต่ละหน่วยมารวมกัน ทหารไร้ระเบียบเริ่มน้อยลง จิตใจคิดต่อสู้แตกกระเจิงไปนานแล้ว มีคนคิดหนี แต่ไร้ทางหนี ทางเข้าออกทั้งหมดถูกกองกำลังหู่เวยอุดไว้หมด สองข้างทางเป็นกำแพงสูงบ้านใหญ่ เกรงว่าปีนเข้าไปไม่ได้
มีคนคุกเข่าร้องขอชีวิต แต่กองกำลังหู่เวยยังคงไม่ลังเลแทงสังหารทิ้งทันที มีคนสติแตกแล้ว วิ่งไปร้องไป แต่ก็ยังคงต้องตายใต้คมทวน หัวหน้าทหารไร้ระเบียบชุดสุดท้ายเป็นทหารนายกองร้อยเป็นส่วน พวกเขาเห็นอยู่ว่า พวกทหารกองกำลังหู่เวยพากันอาเจียน มีคนวิ่งออกไปร้องไห้ แต่พวกเขากลับยังคงแทงไม่หยุด ราวเครื่องจักรทำงานวนซ้ำไปมา
หลังวันนี้ผ่านไป เจ็ดหน่วยกองกำลังหู่เวยไม่มีทหารใหม่อีกแล้ว
“ข้ารู้สึกเวียนหัว เดี๋ยวเจ้าไปรายงานแม่ทัพใหญ่หวังหน่อยว่าข้าขอลาป่วย บอกว่าพรุ่งนี้ข้าจะไปรับคำสั่งท่านแม่ทัพที่กระโจม วันนี้ไปไม่ไหวแล้ว”
ฉาต้าโข่วสีหน้าซีดเผือดหลังดูการต่อสู้อยู่บนกำแพง เหมือนป่วยกะทันหัน ทหารติดตามแปลกใจมองตาเขา ฉาต้าโข่วรีบลงจากบันไดไปทันที พอถึงพื้นดิน ก็ถอนหายใจ ‘เฮือก’ ออกมา
ขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวแม้เป็นพวกหรูหราฟุ่มเฟือย แต่ก็เคยออกสนามรบสังหารมา เห็นเลือดและการบาดเจ็บมามาก หากการต่อสู้วันนี้ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบาย รู้สึกทำกับทหารที่อยู่ท่ามกลางมีดดาบเหล่านี้โหดเหี้ยมไป เป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้สึก การรบไม่เกี่ยวอันใดกับความกล้าหาญของขุนพลทหารและพลทหาร ปัจจัยหลักมีอีกอย่างคือ เครื่องมือสังหารเลือดเย็น สังหารกวาดล้างยังสู้ไม่ได้
****************
ทหารไร้ระเบียบถูกสังหารกวาดล้างอย่างโหดเหี้ยม ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว หลังประกาศราชโองการ ทุกคนยังมีท่าทีใส่อารมณ์กับคำสั่งหวังทง
แต่หลังกวาดล้างเก็บกวาดไปแล้ว พวกหลี่หรูป๋อก็มาขอพบหวังทงเอง กล่าวว่าจะส่งคนมาช่วยทัพใหญ่เคลื่อนย้ายศพ อย่างไรก็ศพมากมายอยู่ในเมือง ทำให้เกิดโรคระบาดได้ง่าย
“อากาศหนาว ศพทิ้งไว้ในเมืองวันหนึ่งไม่เป็นไร”
หวังทงตอบง่ายดายมาก ยังคงห้ามทุกคนออกจากเมือง หวังทงให้ขุนนางท้องที่ ทหารในสังกัดตนกับองครักษ์เสื้อแพรในเมืองร่วมประสานงาน คนร้านสามธาราที่เชี่ยวชาญพื้นที่ให้ออกมาช่วยงาน หวังทงส่งคนไปขอให้หลี่เฉิงเหลียงจัดการดูแลความสงบในเมืองให้ 500 นาย หน่วยเจ็ดกองกำลังหู่เวยก็จะแบ่งเป็นกองเล็กติดตามด้วย
หลังเสียงฆ้องเคาะตะโกนตามท้องถนน แต่ละครอบครัวจำเป็นต้องให้ผู้ชายหัวหน้าครอบครัวออกมาแสดงตัวกับทหาร ไม่เช่นนั้นมีความผิดแอบซ่อนทหารโจรไร้ระเบียบ หัวหน้าครอบครัวออกมาก็ต้องแจ้งว่าครอบครัวมีกี่คน วันหน้าจะตรวจสอบอีก หากไม่เหมือนเดิม ทั้งครอบครัวต้องรับโทษ
นอกจากให้ขุนนางในเมืองกับครอบครัวขุนพลทหารไม่ต้องตรวจสอบแล้ว ที่เหลือไม่ว่าร้านค้าหรือชาวบ้าน ก็ต้องเปิดประตูให้เข้าตรวจทั้งหมด
เมืองเหลียวหยางเงียบเชียบหลังการสังหารก็เริ่มคึกคักอีกครา ขุนนางทั้งหลายถือคบเพลิงและโคมไฟ ออกไปตรวจสอบแต่ละบ้าน ไม่นานก็มีเสียงคนตะโกนและหวีดร้องดัง และมีเสียงคำรามสังหารดังมาเป็นระยะ
ทหารเหลียวโจวที่ยังอยู่บนกำแพงส่งข่าวไปยังหลี่เฉิงเหลียง ที่พักนอกเมืองเหลียวโจวพวกนั้นถูกกองกำลังหู่เวยเข้าตรวจที่ละหลังแล้ว
ตามธรรมเนียม ทัพใหญ่ไปถึงที่ใด หากทำเช่นนี้ แปดเก้าส่วนย่อมคิดปล้นทีละบ้าน แต่ทว่าหลี่เฉิงเหลียงกับลูกหลานเขารู้ดีกว่าไม่ใช่เช่นนี้ แต่เป็นเช่นไร พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
เช้าวันต่อมาก็รู้คำตอบ หลังจากตรวจสอบเข้มทั่วเมืองมาถึงก่อนรุ่งสาง ทหารไร้ระเบียบที่เข้าหลบตามบ้านราว 300 ก็ถูกกวาดต้อนออกมา เป็นไปตามคาด ยังมี 200 กว่าคนไม่รู้ที่มาที่ไปก็ถูกจับออกมาด้วย นี่นับว่าเป็นผลพลอยได้
มีทหารหนีทัพมาจากเหลียวตงกับเหลียวเป่ย มาพักอาศัยญาติ หลังจากลงโทษโบยไปก็ให้ไปทำงานใช้แรงงานหนัก ยังมีคนมาจากนอกกำแพงเมือง เป็นชาวเผ่าหนี่ว์เจิน
เผ่าหนี่ว์เจินนอกกำแพงเมืองเมืองเหลียวโจวส่งสายมาแฝงตัวตามหมู่บ้าน ชาวเผ่าหนี่ว์เจินก็ทำเรื่องเช่นนี้เช่นกัน แต่หลังเมืองเหลียวโจวพ่ายศึก ก็ไม่มีใจติดสืบต่อ สายสืบไม่น้อยเข้ามาในเมืองเหลียวหยาง ครั้งนี้จึงถูกจับตัวออกมาราวกับใช้กระด้งร่อนหาเจอหมด
สายเผ่าหนี่ว์เจินแน่นอนว่าน่ารังเกียจ แต่พวกที่คิดละโมบเงินทองเล็กน้อยให้ที่พักสายเผ่าหนี่ว์เจินยิ่งน่ารังเกียจกว่า วิธีจัดการพวกเขาก็ง่ายมาก ตัดหัวสายเผ่าหนี่ว์เจิน พวกที่แอบให้ที่พักพวกนอกด่านก็สังหารทิ้ง
หนึ่งคืนหนึ่งวันจัดการเข้มงวดเสร็จ ในเมืองก็มีระเบียบผิดปกติ ย่อมยังมีทหารไร้ระเบียบกับพวกนอกด่านที่หลุดรอด แต่บรรยากาศในเมืองที่โหดเหี้ยมก่อนหน้า พวกเพื่อนบ้านที่กลัวกับคนตามท้องถนนที่ระวังตัวกันมาก ทำให้พวกเขาแม้จะหลบก็หลบได้ไม่นาน
เมืองเหลียวโจวไม่ขาดไม้ แม้ว่าแพ้มา แต่ก็ไม่ขาดคน ศพในเมืองเริ่มขนย้ายออกไป ตามทางตั้งท่อนไม้แขวนศพทหารไร้ระเบียบประจานให้ทุกคนได้เห็น
การข่มขวัญเช่นนี้ได้ผลดีที่สุด เห็นว่าไม่กี่วันพวกทหารไร้ระเบียบในเมืองกลายเป็นศพ แต่ละคนล้วนอึ้งไป ศพที่แขวนประจานเหล่านี้เตือนสติทุกคน เมืองเหลียวโจวพ่ายศึก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ใช่แผ่นดินหมิง คิดจะทำผิดกฎหมาย คนพวกนี้ล้วนมีจุดจบน่าอนาถ
บ่ายหลังจากแขวนประจาน หน่วยดูแลความสงบกับองครักษ์เสื้อแพรก็ได้ข่าวลับมาหลายสิบข่าว มีทหารไร้ระเบียบกับสายศัตรูถูกเปิดเผยที่ซ่อน แต่นี่เป็นแค่งานเก็บกวาดส่วนปิดท้ายเท่านั้น
*************
“ใต้เท้าหลี่ขอให้รายงานตามจริง เหลียวหยางและพื้นที่โดยรอบนี้ระยะทางหนึ่งวันรวบรวมกำลังทหารม้ามาได้เท่าไร?”
หลังเก็บกวาดเรียบร้อย หลี่เฉิงเหลียงก็มีท่าทีนอบน้อมต่อหวังทงขึ้นหลายส่วน ได้ยินหวังทงถามขึ้นเช่นนี้ หลี่เฉิงเหลียงยิ้มเยาะตนเอง ตอบว่า
“ต่อหน้าใต้เท้ายังมีอันใดกล้าปิดบัง พวกที่ออกรบได้ไม่รู้ระดับไหน หากเป็นทหารตระกูลหลี่ได้ระดับ สี่พันกว่าคงหาได้”
ได้ยินหลี่เฉิงเหลียงตอบ หวังทงเงียบไป กล่าวว่า
“ขอใต้เท้าหลี่ส่งขุนพลท่านมาร่วมรบ ข้าต้องการใช้คนเหล่านี้”
“ในเมื่อใต้เท้ามีคำสั่ง เมืองเหลียวโจวแน่นอนไม่กล้าไม่ทำตาม แต่ยามศึกเช่นตอนนี้ การป้องกันเหลียวหยางไม่อาจปล่อยว่าง!”
“ป้องกันรักษาเมือง ข้าทิ้งทหารราบไว้ที่นี่หมื่นนาย เพียงพอแล้ว ทัพใหญ่ออกศึก เสบียงก็ขอให้ใต้เท้าหลี่ดูแลจัดการด้วย”
พูดถึงตอนนี้ หลี่เฉิงเหลียงแน่นอนไม่มีอันใดกล่าวต่อ ได้แต่รับคำสั่ง หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวอีกว่า
“ไม่ทราบว่าตอนนี้ใต้เท้าหลี่สามารถส่งข่าวไปแต่ละแห่งในเมืองเหลียวโจวได้ไหม…”
ตอนที่ 986 ล่าสังหาร
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตั้งแต่หลี่เฉิงเหลียงนำทัพ ตระกูลหลี่ครองเมืองเหลียวโจวมานานสามสิบปี อิทธิพลอำนาจแน่นอนไม่เพียงแค่ทหารแสนกว่าที่เห็น ยังมีทหารส่วนตัวและคนงานรวมหมื่นกว่า สายสัมพันธ์ย่อมซับซ้อนหลายชั้น
“เรื่องนี้ข้ามีความมั่นใจ แม้ว่าพื้นที่พวกนอกด่าน ข้าก็มั่นใจว่าแพร่ข่าวไปถึง”
ได้ยินหลี่เฉิงเหลียงตอบ หวังทงพยักหน้ากล่าวว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มีข่าวหนึ่งต้องแพร่ออกไปให้เร็วที่สุด ให้พวกนอกด่านแต่ละทางได้รู้เร็วที่สุด…”
……
อวี๋เฟิงเป็นทหารกองกำลังไห่โจวหมู่บ้านกู่เฉิงถุน กล่าวเช่นนี้ไม่ตรงนัก เมืองเหลียวโจวไม่มีผู้ใดไม่เป็นครอบครัวทหาร พูดให้ตรงก็คือ ตระกูลอวี๋เฟิงเป็นตระกูลทหารทำไร่ทำนา ตระกูลพวกเขาผู้ชายล้วนไม่อาจไปเป็นทหารได้หมด ได้แต่เพาะปลูกยังชีพ ไม่ต่างอันใดกับชาวนาในด่าน
เมืองเหลียวโจวมีคนน้อยพื้นที่มาก ผลผลิตค่อนข้างดี ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้แรงงานทั้งหมดไปเพาะปลูก หากเจ้าไปเป็นทหารได้ ครอบครัวก็ได้เว้นภาษี หากเจ้าสามารถเป็นทหารสังกัดตระกูลหลี่ได้ ยังอาจถึงขั้นมีคนทำนาแทนเจ้า มีเงินเบี้ยหวัดให้เพิ่มอีกด้วย
แต่ทว่าชาวเมืองเหลียวโจวนับล้าน ชายฉกรรจ์นับแสนสามารถไปดำรงตำแหน่งขุนนางบู๊ได้ หากไม่ใช่ตกทอดมาจากต้นตระกูลย่อมไม่อาจทำได้ แม้ว่าจะเก่งกล้าโดดเด่นก็ตาม เช่นอวี๋เฟิงนับว่ายากจะได้รับเลือก
อวี๋เฟิงปีนี้ 21 เพื่อนที่โตมากับเขาสองคนตอนนี้คนหนึ่งไปเป็นทหารให้ซุนโส่วเหลียน อีกคนไปทำงานรับใช้หลี่หรูเหมย วันๆ ครอบครัวล้วนมีชีวิตไม่เลว เพื่อนสองคนนี้บางครั้งกลับมายังหมู่บ้านกู่เฉิงถุนเยี่ยมญาติ ล้วนมีหน้ามีตา ท่าทางมากบารมีไม่เบา
ผู้ชายชอบอาวุธ เห็นเพื่อนสองคนได้ดีเช่นนี้ อวี๋เฟิงอิจฉามาก และเรื่องอิจฉานี้ไม่ใช่แค่ปีสองปี ทำให้เขาไม่อยากทำนาลำบาก จึงออกไปยิงธนู ขี่ม้า ล่าสัตว์ยังชีพ
เมืองเหลียวโจวยังมีที่กว้างใหญ่ให้บุกเบิก ป่าเขามีไม่น้อย รอบๆ หมู่บ้านกู่เฉิงถุนก็มีเทือกเขา อวี๋เฟิงเรียนยิงธนูขี่ม้ากับทหารเก่าในหมู่บ้านกู่เฉิงถุนนับว่าลำบากมาก ได้ออกล่าสัตว์ เลี้ยงครอบครัวได้ไม่เลว อย่างน้อยทำให้ครอบครัวได้มีชีวิตที่ดีกว่า ‘ครอบครัวทหารเพาะปลูก’ คนอื่นๆ ในหมู่บ้าน
อวี๋เฟิงไม่พอใจสถานการณ์ตรงหน้า ทหารติดตามเมืองเหลียวโจวแต่ละแห่งล้วนขาดหนึ่งเติมหนึ่ง ขุนพลทหารยังคงพอใจกับการรักษาสภาพการณ์เช่นนี้ ไม่คิดขยาย เพราะมีเพื่อนวัยเด็กเปรียบเทียบ ตอนนี้ให้อวี๋เฟิงไปเป็นหทารหน้าใหม่ เขาย่อมรู้สึกยอมรับไม่ได้
เมืองเหลียวโจวพ่ายศึกนอกกำแพงเมือง ทำให้อวี๋เฟิงรู้สึกว่าโอกาสยิ่งริบหรี่ อวี๋เฟิงที่ความหวังหมดสิ้นก็เตรียมออกไปหาโอกาสบนทุ่งหญ้าดู เขาได้ยินทหารหมู่บ้านกู่เฉิงถุนบอกว่า บนทุ่งหญ้าพ่อค้าไม่น้อยรับสมัครผู้คุ้มกัน ผู้คุ้มกัน เหล่านี้อาศัยฝีมืออาวุธยังชีพ รายได้ดีมาก มีชีวิตที่สุขสบาย
กำลังคิดอยู่นี่เอง หวังทงยกทัพใหญ่ปราบตะวันออกมาถึงเมืองเหลียวโจว รับสมัครทหารม้า ‘ผู้กล้า’ หลายคนล้วนเห็นเป็นเรื่องตลก แต่ข่าวของอวี๋เฟิงไวกว่าพวกคนเมืองเหลียวโจวรุ่นเก่า รู้เรื่องราวหวังทงไม่น้อย นี่ดูเหมือนเป็นประกาศรับสมัครที่เหลวไหล แต่ทำให้เขารู้สึกอยากไปลองดู อย่างน้อยก็มีโอกาสซ่อนอยู่
เขาเตรียมม้าและธนู และยังเอาหนังสัตว์ผืนงามสองชิ้นขายถูกๆ ให้กับนายกองร้อยในหมู่บ้าน แลกเป็นลูกธนูและเสบียง การกระทำนี้ไม่เพียงแต่คนในหมู่บ้านหัวเราะเยาะเขา แม้แต่บิดาและพี่น้องก็ยังด่าทอเขา
แต่เสียงหัวเราะเยาะนี้ หลังจากอวี๋เฟิงยิงสังหารโจรอันธพาลไปได้ 70 คน แลกเป็นเงินมา 14 ตำลึงเงิน ก็กลายเป็นคนมากความสามารถของหมู่บ้านทันที มีคนไม่น้อยอยากมาติดตามเขาทันที
พอมาถึงเหลียวหยาง อวี๋เฟิงก็มีคนติดตาม 8 คน ล้วนมีอาวุธและม้าของตนเอง เป็นชายฉกรรจ์อายุน้อยที่คิดจะเสี่ยงโชคหาทางร่ำรวยในเมืองเหลียวโจว
คนเหล่านี้ล้วนเรียกอวี๋เฟิงว่า ‘นายท่าน’ อวี๋เฟิงหวังอยากให้คนพวกนี้เรียกเขาว่า ‘พี่ใหญ่’ เพราะอวี๋เฟิงรู้ว่าในกองทัพเรียกนายกองธงเล็กเช่นนี้
ติดตามทัพใหญ่ปราบตะวันออกมา ที่อวี๋เฟิงคิดไม่ใช่แค่หาเงินทองให้เร็วเท่านั้น เขายังคิดอยากเข้าร่วมเป็นทหารใน กองกำลัง หวังทงสร้างความดีความชอบเหนือประมาณ อวี๋เฟิงคิดอยากมาเป็นทหารหวังทง
ความหวังเขานับวันยิ่งมาก หลังยิงสังหารไปได้หลายคน ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ผู้ไม่ใช่สายขุนนางบู๊แต่เกิด จำนวนที่อวี๋เฟิงสังหารได้นับว่ามากสุด ทหารม้าทัพใหญ่ปราบตะวันออกผู้หนึ่งถึงกับมาดูหน้าตาเขา คุยกับเขาสองสามคำ จากนั้นก็ให้เขาแสดงการต่อสู้บนหลังม้าให้ดู ยิงธนูสามดอก
พอได้เห็นแล้วก็ชมไปสองสามคำ ยังให้ลูกธนูและเครื่องขี่ม้าเพิ่มแก่เขา ยังให้ชุดเกราะครึ่งตัวและหมวกเกราะด้วย ชุดเกราะนี้ทำให้อวี๋เฟิงตื้นตันมาก ชุดเกราะในเมืองเหลียวโจวหากไม่ใช่สายตระกูลหลี่ก็ไม่อาจมี พวกชายหนุ่มที่ชมชอบการต่อสู้ก็ล้วนมองน้ำลายหก ทำให้ยิ่งมั่นใจว่าจะอยู่กับทัพใหญ่ปราบตะวันออกให้ถึงที่สุด
หลังได้เสบียงจากเหลียวหยางพอแล้ว ทุกคนก็ออกเดินทาง อวี๋เฟิงคิดสร้างเนื้อสร้างตัว คนอื่นๆ คิดล่าสังหารหัวพวกนอกด่าน เพื่อหาเงินทองกลับไปให้มาก ตอนนี้หัวหนึ่งได้ถึงห้าตำลึงเงิน คนระดับกลางมีชีวิตสบายๆ ปีหนึ่ง 12 ตำลึงเท่านั้น
ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ส่วนใหญ่ล้วนจากหลียวหยางไปยังที่ทำการทางตะวันตกของเสิ่นหยาง เพราะที่นั่นมีป้อมทหารกับหน่วยกองพันทหารหนาแน่น ค่อนข้างปลอดภัย แม้ว่าเสิ่นหยางถูกล้อมไว้ ป้อมใกล้แนวหน้าก็เริ่มถูกทิ้ง สถานการณ์ที่อื่นก็ไม่ดีนัก แต่การเคลื่อนไหวที่นั่นนับว่ายังหาที่พึ่งได้อยู่ เพราะยังมีหลายป้อม
แต่ทว่าสำหรับเหล่าทหารม้า ‘ผู้กล้า’ พวกเช่นอวี๋เฟิงหากคิดอยากเสี่ยงภัยสักครา ไปอยู่หน่วยทางการทางตะวันออกจะดีกว่า ที่นั่นมีแค่สองป้อม ที่หนึ่งร้างไปแล้ว ที่เหลือตกอยู่ใต้ครอบครองของทัพใหญ่ซูเอ่อร์ฮาฉีเผ่าหนี่ว์เจินเจี้ยนโจว ที่นั่นส่วนใหญ่ล้วนเป็นพื้นที่ครอบครองพวกนอกด่านแล้ว
ที่นี่แม้ว่าเป็นที่ราบ แต่ทว่าหลายที่เป็นป่าเขาและบึงน้ำ ล้วนเป็นที่หลบซ่อนตัวได้ สายเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลต้องผ่านมา เป็นเส้นทางที่พวกเขาต้องเลือกเดินทาง
……
“ที่นี่มีศพทหารสุนัขหมิง ศพที่หกแล้ว”
ชายเผ่าหนี่ว์เจินรูปร่างสูงใหญ่เดินมาถึงใต้ต้นไม้ ด้านหลังมีเพื่อนทหารอีกสี่นายแต่งกายแบบชายเผ่าหนี่ว์เจิน เสื้อคลุมหนังพร้อมหมวกหนัง คนหนึ่งนั่งลงใต้ต้นไม้ ดูให้มั่นใจว่าเห็นศพ ท่อนขามีรอยแผลใหญ่เห็นได้ชัด หน้าขาวกลายเป็นดำ
ชายเผ่าหนี่ว์เจินเอื้อมมือไปกดศพ กล่าวว่า
“ยังไม่แข็ง น่าจะเสียเลือดมากก่อนตาย อีกสามคนที่เหลือน่าจะไม่ไปได้ไกล”
ด้านหลังมีคนเดินตามมา เอื้อมมีไปลูบศพไปมา ลุกขึ้นยกเท้าถีบไป ถ่มน้ำลายใส่กล่าวว่า
“ไม่มีอะไรสักอย่าง ม้ามันไม่รู้ยังอยู่ไหม”
“เจ้าพวกเด็กอมมือคิดจะสู้กับเรา ก็เหมือนนกกาคิดเทียบนกเหยี่ยวไห่ตงชิง น่าจะยังเหลืออีกสาม ลูกธนูข้ายา น่าจะไม่รอดนาน”
มีคนหนึ่งกล่าวสบถขึ้นท่าทางหยาบคาย คนแรกที่ก้มตัวลงไปดูศพ เห็นร่องรอยบนหิมะ เดินไปสองสามก้าวก็หันมากล่าวว่า
“พวกเขาทิ้งคนไว้ที่นี่ จากนั้นใช้ไม้กวาดรอยเท้าม้า…”
เสียงพูดไปพร้อมเสียงหัวเราะ คนที่เหลือก็ยกธนูขึ้นน้าว ยิ้มวิ่งตามไป กวาดร่องรอยหิมะมีประโยชน์อันใด ใช่ว่าเป็นการทิ้งร่องรอยให้ไล่ตามหรอกหรือ ดูท่าแล้ว ยังไม่ได้ใช้หางม้าลากท่อนไม้กวาดรอย เห็นชัดว่าเดินไปกวาดรอยไป คนย่อมไปไม่ไกล
ทหารเผ่าหนี่ว์เจินห้าคนนี้ล้วนเป็นนักล่ามือฉมังแห่งเจี้ยนโจว ครั้งนี้ส่งมาในพื้นที่เหลียวหนานกับเหลียวหยาง ผลปรากฏปะทะกับกลุ่มทหารม้า ‘ผู้กล้า’ เทียบกับพวกเผ่าหนี่ว์เจินที่ฝึกฝนตนในป่าลึกมานาน ทหารม้าเมืองเหลียวโจวไม่ใช่คู่ต่อสู้ กลุ่มหนึ่งมีถึงเก้าคน เห็นอยู่ว่าได้เปรียบ ผลปรากฏพอปะทะกันก็ถูกอีกฝ่ายไล่ยิงไปได้สองสามคน กลายเป็นผู้ล่าถูกผู้ถูกล่าไล่สังหารแทน
ชายเผ่าหนี่ว์เจินตามรอยเดินไปได้สองสามก้าว เพราะใช้กิ่งไม้กวาดรอย ดังนั้นพื้นหิมะจึงเป็นชั้น ที่อื่นๆ ไม่หนานแน่นเท่า เห็นชัดว่าแตกต่างกัน เดินตามไป ก็ตามทันอย่างรวดเร็ว พวกหมิงถึงกับใช้วิธีโง่เง่านี้มาปิดบังร่องรอย ช่างเหลวไหลสิ้นดี
เดิมทุกคนล้วนไม่สบายใจที่ข่านปรีชาอยู่ๆ เปิดศึกกับแผ่นดินหมิง แม้ว่ามีชัยชนะใหญ่แล้ว แต่ในใจก็ยังคงไม่มั่นใจ แต่วันนี้ที่ได้เห็น ทหารเผ่าหนี่ว์เจินล้วนรู้สึกว่าดีไม่ดีอาจก้าวไปอีกขั้น เมืองเหลียวโจวอาจกลายเป็นของตนเองก็ย่อมเป็นได้
ทุกครั้งในหน้าหนาว หิมะเมืองเหลียวโจวล้วนตกหนัก หิมะในพื้นที่เกาะตัวลื่นเป็นปกติ คนและม้าวิ่งได้ไม่เร็ว ทุกคนความจริงนั้นไม่ได้เดิน แต่เรียกว่าลุย
คนด้านหน้าสุดกวาดสายตามองไปด้านหน้า จากนั้นก็จับได้ร่องรอยหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้าไป แค่เวลาช่วงเสียงดังและเงียบลง อยู่ๆ พลันรู้สึกว่าหิมะอ่อนตัว มีบางอย่างขวางไว้ เพิ่งได้สติ ก็เห็นผิวหิมะด้านหน้ามีรอยเชือกโผล่ออกมา
‘ฉึก’ บนพื้นด้านหน้าสิบกว่าก้าวมีของบางอย่างโผล่ออกมา ของนี้ฝังอยู่ตื้นมาก แค่ใช้หิมะคลุมไว้ ยังมีแสงวาบ หากไม่ทันระวัง ก็ยากจะมองเห็น ทหารเผ่าหนี่ว์เจินลำพองเกินไป ติดตามไล่ล่าด้วยความชะล่าใจนึกสนุก
สายเผ่าหนี่ว์เจินส่งเสียงร้องเจ็บปวด หน้าหงายล้มลง ท้องน้อยถูกบางสิ่งแทงทะลุ กลิ้งไปมาบนพื้นด้วยความเจ็บปวด คนด้านหลังรีบวิ่งตามมา
พลิกตัวดู คนบนพื้นสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เสียงแหบพร่ากล่าวว่า
“นี่มันธนูยิงหมี ตอนนี้ลำไส้ข้าหมดสิ้นแล้ว พวกเจ้าปลิดชีวิตข้าด้วย ค่อยไปตัดหัวสุนัขหมิงพวกนั้น…”
ลำไส้ขาด คนก็ย่อมไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้ เพื่อนทหารเขาพากันด่าทอเสียงดัง หากก็ชักดาบออกมาตัดคอเขาทิ้ง
อยู่ๆ ต้องมาตาย ทำให้คนที่เหลือขาดสติ ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านหน้า ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง มีคนหนึ่งห่างจากพวกเขาไม่ถึง 20 ก้าว เมื่อครู่น่าจะหลบอยู่หลังต้นไม้ ธนูในมือน้าวเต็มที่ ชาวฮั่นผู้นี้มีคนยิงได้ดีสองคนเท่านั้น หนึ่งคนตายไปแล้ว แต่ไม่ว่าฝีมือยิงธนูแย่อย่างไร ระยะแค่นี้อย่างไรไม่แม่นคงยาก ไม่มีเวลาตั้งสติแล้ว
ชาวฮั่นยิงธนูมาพร้อมส่งเสียงร้องดังเหมือนถูกยิงตาย แต่มือเขาไม่สั่น ยิงออกไปยังไม่ทันถึงหน้าอกชาวเผ่าหนี่ว์เจิน เขาก็ถูกธนูสองดอกยิงตายไปก่อนแล้ว
ไล่ล่ามาตลอดทาง เหมือนเล่นเกมส์แมวล่าหนู อยู่ๆ ตนเองตายไปสอง ทหารเผ่าหนี่ว์เจินล้วนโกรธแค้นอย่างมาก
ในตอนนั้นเองทางขวาพวกเขา ก็มีธนูหนึ่งยิงแหวกอากาศมา ชายเผ่าหนี่ว์เจินคนหนึ่งหันไปมองด้วยสัญชาตญาณ ธนูแทงทะลุลำคอ ตายไปอีกหนึ่ง
ตอนที่ 987 สถานการณ์ดี
โดย
Ink Stone_Fantasy
เดิมคิดว่าได้ล่าสังหารพวกหมิงให้สิ้นซาก คิดไม่ถึงสุดท้ายฝ่ายตนต้องมาสูญเสียไปถึงสามคน ที่เหลืออีกสองคนล้วนตกใจหวาดกลัวส่งเสียงร้องดัง คว้าธนูยิงไปยังทิศทางนั้นทันที
ระยะ 30 ก้าว สามารถยิงทะลุคอได้ ย่อมต้องเป็นชาวหมิงที่ฝีมือดีผู้นั้น สังหารเขาทิ้ง ที่เหลืออีกคนที่ถูกยิงก่อนก็ย่อมไม่อาจทนพิษบาดแผลไหว มีชีวิตต่อไม่นาน ไม่น่าเป็นห่วง
พื้นหิมะถูกย่ำเป็นรอย คนตรงหน้าวิ่งได้ไม่ไกล คนด้านหลังตามไม่ทัน แต่ไม่อาจทิ้งระยะห่างได้ ชาวหมิงสวมเกราะวิ่งเปะปะไปซ้ายขวา ท่ามกลางการบังของต้นไม้ในป่า คิดจะยิงโดนก็ยาก
ไล่ไปได้ 30 ก้าว ระยะเกือบเท่าที่ชาวหมิงเมื่อครู่ยิงมา รีบวิ่งตามเข้าไปติดๆ ด้านหลังต้นไม้หนึ่ง ก็มีคนพุ่งออกมา
คนผู้นี้เหมือนว่าหลบอยู่หลังต้นไม้ พอพุ่งออกมารวบขาไว้ได้คนหนึ่ง แรงปะทะไม่มากนัก เพียงแค่ทำให้ตัวเอียง ถูกเผ่าหนี่ว์เจินที่ถูกรวบไว้ด่าพร้อมจะฟันด้วยอาวุธ แต่แค่เงื้อ ก็ส่งเสียงร้องดังอย่างเจ็บปวด
คนที่รวบขาเขาไว้ในมือมีมีดสั้น พยายามแทงเข้าใส่ด้านล่างชายเผ่าหนี่ว์เจินอย่างไม่คิดชีวิต ชายเผ่าหนี่ว์เจินส่งเสียงร้องดัง คว้าดาบฟันลงไป
พริบตา ชาวฮั่นตรงหน้าก็แน่นิ่งไป รอยธนูปักบนร่างกายเขาเห็นได้ชัด ฟันศัตรูตาย ชายเผ่าหนี่ว์เจินก็เจ็บปวดกลิ้งไปมาบนพื้น
เพื่อนทหารถูกลอบโจมตี อีกคนก็ไม่อาจตั้งสมาธิ พอเห็นท่อนล่างมีเลือดสาด ก็รู้ว่าไม่อาจสนใจอันใดได้แล้ว แต่การที่ขาดสมาธิ ชาวฮั่นตรงหน้าก็หันหน้ามา ยกธนูเล็งใส่ สายไปก้าวหนึ่ง คิดจะทำอันใดก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว
ชายเผ่าหนี่ว์เจินผู้นี้ทิ้งธนูในมือ คว้าดาบออกมาบุกเข้าใส่ ชาวฮั่นเหล่านี้ไม่เคยเห็นการสังหารซึ่งหน้าสักเท่าไร ระยะ 30 ก้าวนี้ ตนเองบุกเข้าไป อีกฝ่ายไม่แน่อาจตกใจลนลาน โอกาสก็มีแค่ยามนี้แล้ว
ตอนแรกที่ได้พบชาวเผ่าหนี่ว์เจินที่องอาจกล้าหาญ อวี๋เฟิงตกใจหวาดกลัวจริง แต่มาถึงตอนนี้ เพื่อนกันตายไปหลายคน ใจอวี๋เฟิงก็แกร่งกร้าวขึ้นมาก
เขายกธนูเล็งได้นิ่งมาก พอยิงออกไป ก็ยิงเข้าใส่หน้าอกคนตรงหน้าล้มลงทันที
อวี๋เฟิงโยนธนูทิ้ง ถอนหายใจยาว เขาชักดาบยาวตนเองออกมา ค่อยๆ ย่ำเท้าไปด้านหน้า เพื่อนตนถูกฆ่าตายไปแล้ว ชายเผ่าหนี่ว์เจินผู้นั้นยังคงกุมบาดแผลส่งเสียงร้องเจ็บปวด อวี๋เฟิงเดินไปด้านหน้า ยกดาบขึ้นฟันฉับลงไปทันที
ชายเผ่าหนี่ว์เจินเบื้องหน้าส่งเสียงร้องเจ็บปวดดังยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะค่อยๆ เงียบไป ดาบในมืออวี๋เฟิงยังคงฟันไม่หยุด ไม่รู้ว่าเมื่อใด น้ำตาอวี๋เฟิงไหลอาบแก้ม สีหน้านิ่งเป็นน้ำแข็ง เกราะเขาเต็มไปด้วยเลือดอุ่นสดๆ เปื้อนเลือดสดเป็นหย่อมๆ ตลอดทางที่ถูกไล่ล่ามา อวี๋เฟิงถูกยิงมาสี่ดอก หากไม่ใช่เพราะมีเกราะ เขาคงได้ตายไปนานแล้ว
……
เหลียวหยางห่างจากเสิ่นหยางไม่ไกล แต่ทัพใหญ่ค่อยๆ เดินทัพ เกือบสามวันจึงจะถึง ทัพใหญ่ออกเดินทัพได้หนึ่งวัน ก็ส่งทหารม้า ‘ผู้กล้า’ ออกไป
คนที่ออกไปหลายคนยังไม่กลับมา ไม่เพียงแต่ผู้ติดตามทหารม้า ‘ผู้กล้า’ ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ ก็เช่นกัน แต่มีคนไม่น้อยกลับมา ส่วนใหญ่เดิมเป็นทหารเมืองเหลียวโจว ได้หัวกลับมารับรางวัล ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ ที่โดดเด่ดมีถึงหนึ่งในสี่ส่วนกลับมา
อวี๋เฟิงกลับมาเร็วที่สุด หัวที่นำกลับมาก็มีจำนวนน้อยกว่าทหารในสังกัดขุนพลทหารไม่เท่าไร ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ เช่นนี้กลับถึงทัพใหญ่ กองกำลังหู่เวยรีบจ่ายเงิน และยังรับสมัครเขาร่วมทัพ ทหารม้ากองนี้เป็นกองแยกเดี่ยวเรียกว่า กองทหารม้าสายสืบ เบี้ยหวัดได้มากกว่าทหารม้าทั่วไป แต่งานที่พวกเขาต้องทำก็อันตรายที่สุดจริง มีหน้าที่สืบข่าว และซ่อนตัวจากสนามรบ
อวี๋เฟิงออกไปและกลับมาพร้อมห้าหัว ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกองธงเล็กประจำกองทหารม้าสายสืบ หลังผ่านเหตุการณ์ถูกล่าและไล่ล่ากลับมา รอบเส้นทางหลวงเหลียวหยางกับเสิ่นหยางก็ไม่ค่อยมีพวกทหารนอกด่านปรากฏตัว พวกนอกด่านแต่ละสายได้ข่าวก็พากันคิดหนัก กองทหารม้าหวังทงไม่ได้ใช้งาน ทหารม้าอื่นไม่ต้องใช้งานเช่นกัน
ขุนพลทหารจากเมืองเหลียวโจวเดิมที่นายตนส่งมาช่วยการรบนี้ ไม่อยากร่วม หวังทงก็แล้วแต่พวกเขา รวมแล้ว 300 คนเข้าร่วมกองทหารม้าสายสืบ ทหารม้ากองกำลังหู่เวยเดิมก็ส่งคนรวมมาอีก 500 ทหารม้าเหล่านี้รับหน้าที่เป็นสายสืบระยะ 30 ลี้รอบทัพใหญ่ ค่อยสังหารทหารลาดตระเวนศัตรู
ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ 700 ที่ไม่อยากรวมกองทหารม้าสายสืบ รวมทหารม้ากองกำลังหู่เวย 500 ทหารติดตามหวังทงอีก 300 รวมแล้วก็มีทหารม้าทัพใหญ่พันห้าร้อยคน
ทุกหน่วยรวมกัน ทหารม้ากองกำลังหู่เวยก็มีอีกพันนายกว่า
คนในเมืองเหลียวหยางล้วนรู้ ตอนนี้ทัพที่ใช้เส้นทางหลวงเหลียวหยางไปเสิ่นหยางก็คือเจ็ดหน่วยกองกำลังหู่เวยประจำทัพใหญ่ และกองพลปืนใหญ่ กำลังทหารม้าตอนนี้มีจากเมืองเหลียวโจวตนเองสี่พัน เมืองจี้โจวสองพัน ต้าถงสองพัน เมืองเซวียนฝู่พันกว่า และกองกำลังหู่เวยพันกว่า มุ่งไปทางตะวันตกของเหลียวหยาง บรรดาป้อมรายทางเมืองเหลียวโจวกับทุ่งหญ้าเร่งเดินทางไปยังกองกำลังเถี่ยหลิ่ง
รวมกำลังออกเดินทางจากเหลียวหยาง ตามเส้นทางหลวงไปเสิ่นหยาง จากนั้นค่อยต่อไปยังกองกำลังเถี่ยหลิ่ง จึงเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุด แต่ตอนนี้การเดินทัพจริงกลับไปตามเส้นทางแม่น้ำขึ้นเหนือไปยังกองกำลังเถี่ยหลิ่ง เท่ากับเส้นทางยาวขึ้นอีกหนึ่งในสี่ส่วน
แต่หากคิดจากเสบียงแล้วก็นับว่าเหมาะสม ทหารม้านับหมื่นต้องการเสบียงมาก ริมแม่น้ำก็มีป้อมและค่ายมากมายตั้งอยู่ สะสมไว้มาก ทัพทหารม้าทัพใหญ่ต้องการใช้เสบียงกับม้ามาก ที่เหลือหาได้จากรายทาง ความเร็วเพิ่มมากขึ้น
แต่ทว่าการเดินทัพกับเสบียงเป็นเรื่องเดียวกัน จุดหมายทัพใหญ่ก็คือชัยชนะ ทหารราบหมื่นนาย ทหารม้าพันนาย และพลกองปืนใหญ่กับคนงาน รวมแล้วไม่ถึงหมื่นหกร้อยคน แต่กองกำลังเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลรอบเมืองเสิ่นหยางรวมกำลังกันสี่หมื่นได้
สำหรับทหารม้าจากเมืองต่างๆ ที่ไปยังกองกำลังเถี่ยหลิ่งมีทหารม้าหมื่นกว่านาย แต่เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นกับมองโกลทางนั้นรวมกำลังทหารม้ารอบนอกกองกำลังเถี่ยหลิ่งเกือบสามหมื่น
ยังคงมีสายสืบเข้าใกล้ทัพใหญ่ อย่างไรมีจำกัดแค่ทหารม้าพันนาย ไม่อาจครอบคลุมไปทุกพื้นที่ได้ ข่าวที่ได้เห็นท่ามกลางการพยายามปกปิดไว้ก็เริ่มเห็นมากขึ้น
ความจริงนั้นแต่ละแห่งในเมืองเหลียวโจว จากเหลียวตงไปเหลียวเป่ย พื้นที่ปกครองกองกำลังหมิงและพื้นที่พวกนอกด่านต่างก็ค่อยๆ รู้ข่าว
ทหารราบเมืองจี้โจวหมื่นกว่ารักษาการอยู่เมืองเหลียวโจว ทหารม้าทุกเมืองไปยังกองกำลังเถี่ยหลิ่ง หวังทงนำกำลังกองกำลังหู่เวยไปช่วยเสิ่นหยาง ยุทธวิธีนี้ผู้พอรู้การรบก็ล้วนคิดว่าเหลวไหล ศัตรูแบ่งเส้นทางบุก เจ้าก็แบ่งตาม ทุกเส้นทางเจ้ายังดูอ่อนกำลังกว่าศัตรู
ทางเหลียวหนาน รองแม่ทัพซุนโส่วเหลียนก็สู้เปลืองแรงมากแล้ว เสียเปรียบแล้ว ไม่มีทางมาช่วย และยังอาจต้องการให้หวังทงไปช่วยด้วยซ้ำ
สถานการณ์เมืองเหลียวโจวตอนนี้ไม่เหมือนกับพวกนอกด่าน เมืองเหลียวโจวตอนนี้สูญเสียกำลังหนัก หลังถูกเคลื่อนกำลังไปสี่พัน กำลังที่เหลือก็ได้แต่รักษาการ ไม่อาจไปช่วยเสริมได้อีก พวกนอกด่านกลับคล่องตัวกว่า ตอนนี้นู่เอ่อร์ฮาชื่อสามารถจากเฮ่อถูอาลาเข้าตีเมืองเหลียวโจวได้ เสริมกำลังตามใจที่ใดสักทาง พวกนอกด่านหลายทางก็ยังสามารถไปช่วยเหลือกันเองได้อีก กำลังสามารถรวมตัวกันได้ตลอดเวลานี้เป็นข้อได้เปรียบ
……
ทัพใหญ่ปราบตะวันออกมาเมืองเหลียวโจว ทุกคนล้วนรู้สึกสถานการณ์จะดีขึ้น ผู้ใดก็ไม่คิดว่า สถานการณ์ตอนนี้จะยิ่งเลวร้าย
หวังทงเห็นๆ ว่าเป็นขุนพลมากสามารถ รู้การทหาร ได้รับชัยชนะมาหลายครา คิดไม่ถึงเขาจะแบ่งทหารเป็นหลายทางอันเป็นเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้
หากกล่าวว่ามีแผนการลึกซึ้งใดก็ว่าไปอย่าง แต่ไม่มีผู้ใดมองออก หากเหล่านี้ล้วนทำไม่ได้ แต่ป้องกันแน่นหนาได้ก็ยังดี ข่าวแพร่ทั่วไปในเหลียวตงเหลียวเป่ย ไม่มีผู้ใดไม่รู้ พวกนอกด่านรบชนะมาได้เช่นนี้ก็ย่อมไม่ใช่คนโง่ พวกเขาแน่นอนเข้าใจว่าควรรับมืออย่างไร
ที่ราบระหว่างเหลียวหยางกับเสิ่นหยาง พวกนอกด่านล้อมเมืองเสิ่นหยาง รู้ว่าในเมืองเสิ่นหยางไม่มีกำลังมากนัก พวกเขาเริ่มสะสมเสบียงที่นอกเมืองเสิ่นหยางได้เพียงพอแล้ว พื้นที่ก็ชำนาญแล้ว
หวังทงนำกองกำลังหู่เวยกับกำลังในเมืองเสิ่นหยางรวมกันก็ย่อมไม่อาจเทียบกับทัพใหญ่นอกด่านที่ล้อมอยู่นอกเมือง เพราะข้อได้เปรียบนี้ ดังนั้นทัพใหญ่พวกนอกด่านจึงยกไปตั้งทางใต้เมืองเสิ่นหยาง รอรบ
พวกนอกด่านส่งทหารม้าออกมาหลายกอง เตรียมตัดเส้นทางเสบียงกองกำลังหมิง กลับพบว่าเสบียงกองกำลังหู่เวยล้วนเป็นรถใหญ่ขนมาพร้อมกองกำลัง ไม่มีกองกำลังเสบียงตามหลังมา
แม้ว่ารถใหญ่ขนเสบียงได้มาก แต่ก็ใช้หมดในหนึ่งวัน สถานการณ์เช่นนี้อาจทำให้ขาดเสบียงได้ตลอดเวลา ทำให้ทหารเริ่มวุ่นวายใจ
ล้วนรู้หวังทงเคยได้ชัยบนทุ่งหญ้าถู่ม่อเท่ออย่างยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้ในมือเขามีทหารสามหมื่นกว่า มีทัพใหญ่เมืองจี้โจว ทหารเมืองจี้โจวมีชื่อเสียงบนทุ่งหญ้า แต่ครั้งนี้มีแค่ทหารราบหมื่นนาย ทหารม้าเมืองจี้โจวทิ้งไว้ที่เหลียวหยางหมด
สิ่งที่เรียกว่าเป็นหลักแห่งการพ่ายศึกนั้น ทัพหวังทงก็กระทำไปแล้วหลายข้อ สถานการณ์ตอนนี้มีแต่ทำให้ศัตรูได้ใจ ฝ่ายตนหมดหวัง
แต่มีเรื่องหนึ่งที่กองกำลังหมิงทำได้ไม่เลว ตลอดเส้นทางเดินทัพรักษาการณ์แน่นหนา พวกนอกด่านส่งทหารม้ามาคิดหาโอกาสโจมตีล้วนไม่ง่าย เข้ามาใกล้ยังอาจถูกธนูกับปืนไฟยิงเอาได้
ตลอดเส้นทางที่ได้สัมผัสมา ทำให้พวกมองโกลกับเผ่าหนี่ว์เจินโลกแคบได้เห็นบารมีกองกำลังหู่เวย รถใหญ่พวกนั้น ม้าลากสี่ตัว อาวุธในมือทหาร ชุดเกราะที่สวม ล้วนทำให้น้ำลายสอ หากกินรวบกองกำลังนี้ได้ ก็ย่อมทำให้กำลังตนเข้มแข็งขึ้นทันที ชนชั้นสูงบรรดาศักด์ระดับไถจี๋พวกนอกด่านต่างคิดเช่นนี้
นับวันยิ่งคนยิ่งมาก มารวมตัวกันที่รอบเมืองเสิ่นหยาง กองกำลังร่วมหลายฝ่ายของเผ่าหนี่ว์เจินและมองโกล สถานการณ์กำลังไปได้ดี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น