พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 985-986

 บทที่ 985 เสื้อชั้นในมาจากไหน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ความรู้สึกบางอย่างสามารถติดต่อกันได้ เหมียวอี้สัมผัสได้ถึงความคิดของนางแล้ว เขาตบหลังนางเบาๆ “ยังอยู่ในลานบ้านนะ ระวังจะมีคนเหาะผ่านแล้วมองเห็น”


อวิ๋นจือชิวเก็บสำรวมอารมณ์ แล้วดึงมือเขาเข้าไปในห้อง “ชัยภูมิถ้ำสวรรค์ล่ะ? ข้ายังไม่เคยเห็นชัยภูมิถ้ำสวรรค์ชั้นหนึ่งของผู้บัญชาการตำหนักสวรรค์เลยนะ”


ทำไมคำพูดนี้ฟังดูคุ้นหูนักล่ะ พอลองนึกย้อนกลับไป ก็พบว่าหวงฝู่จวินโหรวเคยพูดประมาณนี้เหมือนกัน ใช้ข้ออ้างนี้ดึงเขาเข้าไปทำเรื่องอย่างนั้นในชัยภูมิถ้ำสวรรค์


พอนึกถึงเรื่องนี้ก็อกสั่นขวัญแขวนนิดหน่อย แต่พอนึกได้ว่าหวงฝู่จวินโหรวไปแล้ว เขาก็พาอวิ๋นจือชิวเข้าไปในศาลเจ้านั้นเสียเลย


ท่าทีที่มีต่ออวิ๋นจือชิวกับท่าทีที่มีต่อหวงฝู่จวินโหรวย่อมต่างกัน เหมียวอี้เป็นฝ่ายพานางไปดูเครื่องมือรวบรวมลูกแก้วพลังปรารถนาที่อยู่ในนี้


หลังจากแสดงความมหัศจรรย์ของเครื่องมือรวบรวมลูกแก้วพลังปรารถนาของที่นี่ให้ดู อวิ๋นจือชิวกลับมีความคิดเห็นต่างออกไป นางบอกว่า “เครื่องมือรวบรวมลูกแก้วพลังปรารถนาแบบนี้ ที่พิภพเล็กก็ทำได้เหมือนกัน เพียงแต่พวกเราต้องเสริมการควบคุมกำลังพลเบื้องล่าง ถึงได้มีการส่งส่วยประจำปีเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นพิภพเล็กที่ไม่มีระฆังดาราไว้ติดต่อกัน เวลากำลังพลเบื้องล่างไปที่ไหนมาบ้างเราก็ไม่รู้เลย”


“อย่างนี้เองเหรอ!” เหมียวอี้เข้าใจกระจ่างในทันที


“ข้าอยู่ที่นี่นานไม่ได้ จะรีบช่วยเจ้าจัดแต่งทรงผมใหม่สักหน่อย” อวิ๋นจือชิวดึงเขาเข้าไปที่ห้องนอน


ท่านขุนนางเหมียวรู้สึกกดดันทางอารมณ์ ในห้องนอนก่อนหน้านี้… พอผลักประตูเข้ามาในห้องนอน เหมียวอี้ก็เอ๋อแดกนิดหน่อย!


บนเตียงยังคงยับยู่ยี่ ไม่น่าเชื่อว่าหวงฝู่จวินโหรวจะไม่ช่วยเก็บที่นอนให้เขาสักหน่อยเลย และที่ทำเกินไปที่สุดก็คือ เสื้อชั้นในมาจากไหน?


จะมาจากไหนได้ล่ะ เหมียวอี้แทบจะประสาทกิน โยนเสื้อชั้นในไว้บนเตียงส่งเดช มันสะดุดตาเกินไปแล้วมั้ง!


ความรู้สึกของเหมียวอี้ยุ่งเหยิงยิ่งกว่าสิ่งที่อยู่บนเตียง ในใจด่าหวงฝู่จวินโหรวอย่างบ้าคลั่ง นารีเป็นเหตุ บ้าไปแล้วกระมัง!


อวิ๋นจือชิวตัวนิ่งทื่อแล้ว ก้าวเท้าลำบากมาก สายตาหยุดจ้องอยู่บนเตียง จ้องเสื้อชั้นในตัวนั้นที่อยู่บนเตียง จากนั้นก็ค่อยๆ เลิกคิ้วสูง แล้วหันช้าๆ กลับมาจ้องเหมียวอี้ แววตาค่อนข้างเย็นเยียบ


เหมียวอี้อยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้ตาย แต่ภายนอกยังคงสงบนิ่ง ทั้งยังขมวดคิ้วถามด้วยว่า “โค่วเหวินหลานเล่นบ้าอะไรเนี่ย เจ้าตุ้งติ้งนี่คงไม่ได้เอาเสื้อชั้นในผู้หญิงมาใส่หรอกใช่มั้ย? หรือว่าเขาซ่อนผู้หญิงเอาไว้ที่นี่?”


“เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใครล่ะ?” อวิ๋นจือชิวถามเสียงเรียบ แต่แววตากลับเหมือนเหลือบมองผมที่หวีสูงขึ้นมาข้างหนึ่งของเหมียวอี้ จากนั้นก็ปล่อยมือเหมียวอี้ แล้วหันตัวเดินไปข้างเตียง มองดูภาพระเกะระกะบนเตียงคร่าวๆ แล้วถามว่า “นี่คือผลงานชิ้นเอกของโค่วเหวินหลานเหรอ?”


เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะว่า “นอกจากเขาแล้วจะมีใครอีกล่ะ หลังจากข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการ ช่วงไม่กี่วันมานี้ข้าก็ไม่ทันได้มาที่นี่ คอยต้อนรับพวกผู้จัดการร้านใหญ่ๆ ตลอด”


“จะอธิบายมากขนาดนั้นทำไม ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของเจ้า” อวิ๋นจือชิวพูดเหน็บแหนม แล้วโน้มตัวยื่นนิ้วเกี่ยวเสื้อชั้นในตัวนั้นขึ้นมาดู ทั้งยังเอามาดมใกล้ๆ ด้วย กลิ่นกายหอมที่อยู่บนนั้นทำให้นางเลิกคิ้วอีกครั้ง สุดท้ายนางก็สะบัดมือ โยนเสื้อชั้นในกลับไปไว้บนเตียง “โค่วเหวินหลานนี่ก็จริงๆ เลย ไม่รู้จักเก็บกวาดให้เรียบร้อย”


นางหันตัวเดินไปตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วชี้บอก “นั่งลง ข้าจะช่วยจัดแต่งทรงผมให้เจ้าใหม่”


“ในนี้ระเกะระกะ ออกไปข้างนอกกันดีกว่า” เหมียวอี้กล่าวอย่างค่อนข้างอึดอัด


“ข้าให้เจ้านั่ง เจ้าก็นั่งสิ ส่องกระจกจะได้จัดทรงผมได้ง่ายๆ” อวิ๋นจือชิวชี้ไปที่กระจก กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธ


เหมียวอี้ทำได้เพียงเดินเข้าไปนั่งลง อวิ๋นจือชิวที่เดินมาข้างหลังช่วยถอดปิ่นปักผมออกให้เขา เส้นผมสยายออก ตอนที่สายตาทั้งสี่สบประสานผ่านกระจก จู่ๆ นางก็หมอบที่บ่าของเขา ใช้มือคล้องคอ แล้วคลอเคลียข้างหู “ท่านสามี เราไม่ได้จู๋จี๋กันมานานแล้ว ไม่เคยสะดวกเลย วันนี้กำลังดีเลย เจ้าต้องการข้าหรือเปล่า?”


เหมียวอี้แอบปาดเหงื่อในใจ ก่อนหน้านี้รีบร้อนเกินไป บนร่างกายยังมีรอยกัดอยู่เลย ถ้าถอดเสื้อผ้าออกหมดก็กลัวจะเผยพิรุธ มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้ก็เพิ่งทำเรื่องอย่างว่ากับหวงฝู่จวินโหรว ถ้าตอนนี้จะมาทำกับฮูหยินของตัวเองอีก มันก็จะเกินไปหน่อยแล้ว! จึงจับมือเรียวงามของนาง พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มทันที “ข้าต้องการอยู่แล้วล่ะ แต่วันนี้ไม่เหมาะ อีกประเดี๋ยวจะต้องมีผู้จัดการจากร้านอื่นมาเยี่ยมอีกแน่ๆ เดี๋ยววันหลังข้าจะไปหาเจ้า”


“เอาอย่างนี้เหรอ!” อวิ๋นจือชิวมองเขาผ่านกระจกด้วยแววตาล้ำลึก แล้วก็ล้มเลิกความคิดทันที ช่วยจัดแต่งทรงผมให้เขา แล้วเปลี่ยนประเด็นสนทนา “ได้ยินว่าคนที่มาแสดงความยินดีกับเจ้าต้องต่อแถวกัน ไม่กี่วันนี้รับของขวัญจนมือไม้อ่อนเลยล่ะสิ?”


พอพูดถึงเรื่องนี้ เหมียวอี้ก็หัวเราะเบาๆ พลิกฝ่ามือนำกำไลเก็บสมบัติยื่นไปข้างหลัง “ก็ค่อนข้างเยอะนะ ข้าเองก็ยังเจียดเวลาไม่ได้ ที่นี่ไม่มีลูกน้องที่ไว้ใจได้ ไม่สะดวกจะเอามานับ ของอยู่ในนี้แล้ว เจ้านำกลับไปให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์จัดการแล้วกัน ดูว่ามีใครให้อะไรมาบ้าง”


อวิ๋นจือชิวนำกำไลเก็บสมบัติมาดู อดไม่ได้ที่จะยิ้มเช่นกัน “สงสัยท่านสามีจะได้เลื่อนขั้นร่ำรวยแล้วจริงๆ ได้ เดี๋ยวกลับไปข้าจะรีบช่วยเจ้านับ แล้วอีกสองสามวันจะค่อยไปเอาที่ข้า”


เหมียวอี้ “เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน ข้าไม่มีเวลาจัดการของพวกนี้หรอก เดี๋ยวเขียนรายการให้ข้าดูก็พอ ข้าจะได้รู้ว่าคนพวกนั้นให้อะไรมาบ้าง”


อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “เจ้าเพิ่งขึ้นรับตำแหน่ง ต้องแสดงน้ำใจต่อเบื้องบนสักหน่อย เอาอย่างนี้แล้วกัน เหลือไว้ครึ่งหนึ่งให้พวกเราจัดการเอง เดี๋ยวเจ้านำอีกครึ่งหนึ่งไปให้โค่วเหวินหลานกับปี้เยว่ฮูหยิน ข้าจะแบ่งเอาไว้ให้เจ้า เจ้าเจียดเวลามาเอาไปมอบให้พวกเขาก็พอแล้ว”


เหมียวอี้พยักหน้า “อืม” แล้วก็นำกำไลเก็บสมบัติอีกวงยื่นไปข้างหลัง “อันนี้ไม่ต้องให้ใครแล้ว เป็นของพวกเราทั้งนั้น”


หลังจากอวิ๋นจือชิวรับมาดู ก็รู้สึกตกใจนิดหน่อย ตกใจเพราะของที่กองเป็นภูเขาอยู่ข้างใน ถามอย่างตกตะลึงว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้านำสมบัติมาจากไหนมากมายขนาดนี้? ผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกคงไม่ได้มีผลประโยชน์มากขนาดนี้หรอกมั้ง? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ จะได้หุ้นของร้านขายของชำซื่อตรงหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว”


เหมียวอี้จ้องผู้หญิงที่กำลังตกตะลึงผ่านกระจก พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่ผลประโยชน์เสียที่ไหนกัน ถ้ามีผลประโยชน์ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเยอะขนาดนี้ ถ้าเยอะขนาดนี้จริงๆ ตำแหน่งผู้บัญชาการคงไม่วนมาถึงข้าหรอก นี่เป็นของตอนที่ร้านค้ารอบๆ  โดนพังก่อนหน้านี้ เป็นของที่คนของจวนผู้บัญชาการปล้นมา ตอนอยู่ที่ภูเขาโอนเอนคนพวกนั้นรบตายแล้ว ของก็ย่อมปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ ข้าเลยถือโอกาสเก็บมาหมด สมบัติของคนเขตเมืองตะวันตกที่รบตาย ทั้งยังมีของลูกสมุนเฮยหวังอีก ข้ากวาดมาหมดเลย ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยรวมไว้ด้วยกัน คาดว่ามูลค่าคงเกือบแปดล้านล้านผลึกแดงได้! ถึงอย่างไรธุระในบ้านก็ยกให้เจ้าจัดการแล้ว ข้าขี้เกียจสนใจ เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน”


“แปดล้านล้าน!” อวิ๋นจือชิวตกตะลึงถึงขีดสุด หลังจากได้สติกลับมา ก็ถามว่า “เจ้าฮุบของพวกนี้ไว้คนเดียวเหรอ? โค่วเหวินหลานไม่ว่าอะไรเหรอ?”


“จะว่าอะไรได้ เขารวยตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว ความคิดไม่ได้อยู่กับของพวกนี้เลย เขาสนใจอำนาจมากกว่า บอกอย่างสบายใจว่าให้ข้ากับสวีถังหรานแบ่งกันคนละครึ่ง มองออกเลยว่าเขาไม่มั่นใจกับจำนวนของพวกนี้ ถ้ามั่นใจคงไม่พูดแบบนี้ออกมาหรอก สวีถังหรานกลับรู้อยู่แก่ใจ อยากจะขอแบ่งครึ่งหนึ่ง แต่ก็ต้องดูว่าเขามีความสามารถนั้นหรือเปล่า แล้วอีกอย่าง ก็มีแค่ข้าคนเดียวที่รู้ว่าเก็บของมาได้จำนวนเท่าไร ไม่มีทางมาตรวจสอบจำนวนได้หรอก ข้าบอกว่าเท่าไรก็แปลว่าเท่านั้น ให้ของเขาไปส่งเดชนิดหน่อยก็ไล่เขาไปได้แล้ว” เหมียวอี้กล่าว


อวิ๋นจือชิวส่ายหน้าเดาะลิ้น แต่พอนึกได้ว่าของพวกนี้ล้วนแลกมาด้วยชีวิตของเหมียวอี้ ก็ไม่ถือว่าดีใจเท่าไรนัก แค่เพ่งมองเหมียวอี้ผ่านกระจกด้วยแววตาล้ำลึกพักหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำมถึงถอนหายใจเบาๆ


เหมียวอี้หันกลับมาบอกว่า “เป็นอะไรไป? ร่ำรวยแล้วเจ้าไม่ดีใจเหรอ? เมื่อมีของพวกนี้แล้ว ก็จะทำให้เจ้าบรรลุวรยุทธ์ถึงระดับบงกชรุ้งได้เร็วๆ”


อวิ๋นจือชิวบอกเขาว่า “ของก็มีไม่น้อย แต่ถ้าอยากให้ถึงระดับบงกชรุ้งก็ยังห่างไกล แล้วอีกอย่าง ได้บรรลุถึงระดับบงกชรุ้งคนเดียวจะมีประโยชน์อะไร? ต่อให้วรยุทธ์สูงก็ยังมีคนที่สูงกว่า รุดหน้าไปคนเดียวก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าพวกลูกน้องตามไม่ทัน โลกกว้างใหญ่ขนาดนี้ ถ้าต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย คงจัดการเรื่องอะไรด้วยตัวคนเดียวไม่ไหว ต้องมีกลุ่มลูกน้องคอยจัดการธุระให้ แบบนั้นถึงจะเป็นวิธีการที่ยั่งยืนถาวร ก็เหมือนกับหกปราชญ์ เลี้ยงคนไว้คุมอาณาเขตให้ เพื่อส่งผลประโยชน์ไปให้พวกเขาในระยะยาว ราชันสวรรค์กับประมุขพุทธะที่พิภพใหญ่ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน”


เหมียวอี้ถอนหายใจอีก “ใช่แล้ว! แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าไม่มีคนที่พอจะใช้งานได้เลย”


อวิ๋นจือชิวอธิบายว่า “ตอนนี้พวกเรายืนที่พิภพใหญ่ได้อย่างมั่นคงแล้ว มีของมากมายขนาดนี้ สามารถเพิ่มวรยุทธ์ให้พวกลูกน้องคนสนิทของเจ้าได้ ทำให้วรยุทธ์ของพวกเขาสูงถึงระดับบงกชทอง หลังจากนี้อีกไม่กี่ปี พิภพเล็กก็จะเป็นของเจ้าแล้ว บางสิ่งที่ทุ่มเทไปตอนนี้ ก็เพื่อแลกกับกลุ่มคนที่จะคุมพิภพเล็กเพื่อเจ้าในระยะยาว และนำผลประโยชน์ของพิภพเล็กมาส่งให้เจ้าในระยะยาว เมื่อเวลาผ่านไปเจ้าจะไม่เสียเปรียบแน่นอน ความหมายของข้าก็คือ ข้าวางใจเวยเวยกับหยางชิ่งได้แล้ว กลับไปก็นำยาแก่นเซียนไปให้พวกเขา เพิ่มวรยุทธ์ให้พวกเขาก่อน ส่วนหลางหลางกับหวนหวน ไม่ใช่ว่าข้ามีอคติกับพวกนางนะ แต่ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าภูมิหลังพวกนางเป็นอย่างไร ตอนนี้ข้ายังไม่ค่อยวางใจ ถ้านำยาแก่นเซียนให้พวกนางแล้วข่าวหลุดถึงหูมู่ฝานจวิน มู่ฝานจวินคไม่ปรานีแน่นอน!”


เหมียวอี้พยักหน้า “เจ้าเป็นภรรยาเอก เป็นเจ้านายของบ้าน เจ้ามีอำนาจตัดสินใจเรื่องในบ้าน เจ้าพูดอะไรพวกนางก็ไม่กล้าขัดคำสั่งหรอก เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน”


“เอ๋!” อวิ๋นจือชิวถามหยอก “ไม่กลัวข้าลำเอียงใจแคบแล้วปฏิบัติต่อพวกอนุภรรยาของเจ้าอย่างไม่เป็นธรรมเหรอ?”


“ถ้าเจ้าใจแคบขนาดนั้น ก็คงไม่ให้ข้าแต่งงานกับพวกนางหรอก” เหมียวอี้ยิ้มตอบ


“หลงตัวเอง ได้เปรียบแล้วยังจะแกล้งทำตัวน่าสงสารอีก!” พอจิ้มหลังศีรษะของเขาแรงๆ ทีหนึ่ง อวิ๋นจือชิวก็ถอนหายใจแล้วบอกอีกว่า “แต่จะว่าไปแล้ว เจ้าก็เจียดเวลากลับไปสักครั้งเถอะ อย่าแต่งงานกับพวกนางแล้วทิ้งไว้อย่างนั้นโดยไม่สนใจ แบบนั้นพวกนางจะนินทาข้าลับหลังว่าเป็นผู้หญิงขี้อิจฉา จะนึกว่าภรรยาเอกอย่างข้าขัดขวางไม่ให้เจ้าไปจู๋จี๋กับพวกนาง แบบนั้นก็ผิดพลาดใหญ่หลวง ถึงตอนนั้นพวกเวยเวยต้องเกลียดข้าแย่แน่ เจ้าใส่ใจหน่อยเถอะ ได้แต่งงานกับสาวงามก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว อย่าทำให้กลายเป็นเรื่องแย่”


“เพิ่งห่างกันไม่กี่ปีเอง ไม่ร้ายแรงขนาดนั้นหรอก นึกถึงตอนแรกที่ข้ากับเจ้าไม่เจอกันสามปี เจ้าก็ยังสบายดีไม่ใช่เหรอ”


“หลงตัวเอง! พูดเรื่องจริงจังอยู่นะ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นฮูหยินตำหนักหลัก กุมอำนาจมากมายไว้ในมือ ทะเลาะกับเจ้าก็ไม่เป็นไร แต่พวกเวยเวยไม่เหมือนกัน เจ้าต้องเห็นอกเห็นใจผู้หญิง โดยเฉพาะหลางหลางกับหวนหวน ตอนเจ้าไม่อยู่พวกนางก็ต้องวางตัวอย่างระมัดระวัง ขนาดเวลาเจอผู้ชายคนอื่นก็ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ กลัวว่าจะมีข่าวลือไม่ดีแพร่ออกไป วันๆ เอาแต่อยู่ในลานบ้านไม่กล้าออกไปไหน แถมไม่มีอะไรทำด้วย กอปรกับอันหรูอวี้และสามีกำลังโดนลงโทษ ในใจพวกนางขื่นขมนะ อย่าให้พวกนางคับแค้นใจ ครอบครัวปรองดอง ทุกเรื่องก็ราบรื่น เวลาแต่งงานมาแล้ว ผู้หญิงไม่ได้มีหน้าที่ถอดเสื้อผ้านอนกับเจ้าอย่างเดียว เจ้าต้องพูดหวานๆ เอาใจด้วยสิ ใส่ใจหน่อย!” ขณะที่พูดก็จิ้มหลังศีรษะเหมียวอี้อีกที


…………………………


บทที่ 986 ไม่มีอะไร

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เจ้านี่ไม่รู้จักจบสักทีนะ!” เหมียวอี้เอามือลูกหลังศีรษะ เพราะโดนจิ้มจนเจ็บ ทั้งยังโดนจิ้มที่เดิมด้วย


อวิ๋นจือชิวหัวเราะคิกคัก พูดไม่หยุด ยิ่งพูดยิ่งฮึกเหิม แล้วจิ้มเขาอีกหลายครั้งติดต่อกัน “ได้ยินแล้วหรือยัง?”


เหมียวอี้ทำอะไรนางไม่ได้ “พอแล้วๆ ข้ารู้แล้ว ข้ากำลังจะกลับไปที่ทะเลดาวนักษัตรพอดี”


“ไปทะเลดาวนักษัตรทำไม?” อวิ๋นจือชิวแปลกใจ


เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ที่ตัวเองเผชิญให้นางฟัง บอกว่าตัวเองได้รับอนุญาตจากโค่วเหวินหลานแล้ว เตรียมจะดึงคนจากทะเลดาวนักษัตรมาเป็นผู้ช่วย


“แบบนี้จะเหมาะสมเหรอ? ไม่กลัวพวกเขาจะทรยศหรือไง?” อวิ๋นจือชิวถาม


เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว พวกเขากับเขาเคยปล้นเกาะศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน นี่คือโทษตายนะ ถ้าไม่กลัวตายก็ลองหาเรื่องข้าดูสิ ข้าคิดดูอย่างละเอียดแล้ว ตราบใดที่ช่องทางการไปกลับพิภพเล็กยังอยู่ในมือเรา ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ยุ่งยาก ก่อนหน้านี้ยังโกหกตบตาพวกเขาได้ แต่ถ้าตอนนี้ยังปิดบังเส้นทางไปกลับต่อไป ก็กลัวว่าพวกเขาจะวิจารณ์ในใจ ถึงอย่างไรทะเลดาวนักษัตรก็ยังมีลูกน้องของพวกเขาอีก”


อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว “พวกเขาตามเจ้าไปปล้นเกาะศักดิ์สิทธิ์ ถ้ามาที่นี่แล้วจะไม่โดนคนจำได้เหรอ?”


“จะจำได้ง่ายๆ ขนาดนั้นได้ยังไง ตอนนั้นก็ปลอมตัวแล้ว ถ้าจำได้ข้าจะได้มานั่งอยู่ตรงนี้เหรอ คงจะโดนจำได้ไปนานแล้ว จักรวาลใหญ่ขนาดนี้ ใช่ว่าตำหนักสวรรค์จะทำได้ทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นพิภพเล็กคงถูกตำหนักสวรรค์ใส่ไว้ในอาณาเขตตั้งนานแล้วล่ะ” เหมียวอี้ตอบ


อวิ๋นจือชิวใช้สองมือประคองบ่าเขา “งั้นตอนนี้เจ้าก็ยังไม่ต้องกลับไปหรอก ถึงยังไงเจ้ากับประมุขถิ่นสี่ทิศก็เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน เรื่องที่ไม่อยากให้พวกเขารู้เส้นทางไปกลับ ถ้าเจ้าเอ่ยปากบอกเองคงไม่ดี สัจจะที่ควรจะมีก็ยังต้องมี”


เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “ข้าเองก็ไม่มีหนทางแล้วเหมือนกัน รู้จักคนที่ตำหนักสวรรค์ไม่เยอะ ในมือก็ไม่มีคนที่สามารถใช้งานได้เลย! ผู้บัญชาการอย่างข้าคงจะพาคนไปเฝ้าประตูเมืองไม่ได้หรอกมั้ง? คิดไปคิดมาก็มีแต่พวกเขาแล้ว”


“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ในเมื่อเจ้ารู้สึกว่าใช้งานพวกเขาได้ งั้นเจ้าก็ใช้งานไปสิ เพียงแต่เรื่องนี้คงไม่สะดวกให้เจ้าออกหน้าเอง ก็อย่างที่ข้าบอก พวกเจ้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ต้องรักษาชื่อเสียงด้านสัจจะไว้ให้มั่นคง…เดี๋ยวข้าจะเป็นคนร้ายๆ แทนเจ้าเอง ถึงอย่างไรตอนอยู่ที่พิภพเล็ก ฉายา ‘รองเท้าขาด’ ของข้าก็แพร่ไปข้างนอกแล้ว จะทำทำตัวปลิ้นปล้อนหรือน่าไม่อายก็ยังพอฟังขึ้น เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะช่วยพาคนมาให้เจ้าแน่นอน และต่อไปจะไม่ให้พวกเขาเอ่ยปากถามเรื่องเส้นทางกับเจ้าอีก” อวิ๋นจือชิวกล่าว


เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วยกมือจับมือของนางที่วางอยู่บนบ่า “ทำไมพูดเรื่องรองเท้าขาดอีกแล้วล่ะ ขนาดข้ายังไม่สนใจเรื่องเฟิงเสวียนเลย เจ้ายังเก็บมาใส่ใจอยู่อีกเหรอ?”


อวิ๋นจือชิวบุ้ยปาก “ปากก็พูดดีแบบนี้ แต่ลับหลังข้าอาจจะหาไว้อีกคนแล้วก็ได้ ถึงตอนนั้นรองเท้าขาดอย่างข้าน่ะ ยังเดินไปไม่ถึงไหนก็คงโดนเจ้าถีบส่งไปไกล แล้วมั้ง!” ขณะที่พูดก็เหล่ตามองปฏิกิริยาของเหมียวอี้


เหงื่อแตก! พอได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็รู้สึกผิดสุดๆ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินตอนอยู่ในห้องนี้ อับอาย รู้สึกผิด! จึงไอแห้งๆ แล้วบอกว่า “พูดเหลวไหลอะไร เจ้าคือภรรยาเอกของเหมียวอี้ โลกนี้ไม่มีใครแทนที่เจ้าได้แล้ว ถ้าข้าผิดคำสาบาน ขอให้ฟ้าดินลงโทษ!”


อวิ๋นจือชิวพ่นเสียงทางจมูกๆ แล้วบิดหูเขา “หนิวเอ้อร์ นี่เจ้าพูดเองนะ ข้าจดจำเอาไว้แล้ว ถึงตอนนั้นไม่ต้องให้ฟ้าดินลงโทษหรอก เพราะข้าจะตอนเจ้าก่อน ถ้าไม่เชื่อเจ้าก็ลองดู วันนี้ข้าจะบอกเอาไว้ตรงนี้เลย เจ้าเป็นคนรับปากเองนะ ข้ามีอำนาจตัดสินใจในบ้าน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหน้าไหน ถ้าข้าไม่อนุญาต ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้ก้าวเข้าประตูมา นอกเสียจากเจ้าจะฆ่าข้าทิ้ง ไม่อย่างนั้นข้าก็รับรองได้เลย ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะมีอิสระ ถ้าข้ายอมแลกทุกอย่างโดยไม่สนใจอะไร รับรองว่าเจ้าจะได้บทเรียนจากผลที่ตามมาแน่!”


เหมียวอี้แทบจะไม่คิดอะไรเลย พยักหน้าทันที แสดงออกว่าเห็นด้วยอย่างจริงจัง “ก็เป็นแบบนี้มาตลอด  พวกเวยเวยข้าก็ได้รับอนุญาตจากเจ้าก่อนถึงได้แต่ง ข้ารับรอง ตราบใดที่เจ้าไม่ยินยอม ข้าก็จะไม่แต่งใครเข้าบ้านอีกเด็ดขาด!”


“แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย!” อวิ๋นจือชิวทำเสียงฮึดฮัดแล้วจิ้มเขาอีกทีหนึ่ง “เอาตามนี้แล้วกัน ทางพิภพเล็กเจ้าอย่าเพิ่งกลับไป เดิมทีเจ้าก็ไม่มีกำลังคนที่มีความสามารถอยู่แล้ว ถ้าเจ้าออกไปอีกก็จะไม่เหมาะ เรื่องที่ทะเลดาวนักษัตรข้าจะช่วยจัดการให้เจ้า ข้าจะกลับไปจัดการเรื่องส่งส่วยประจำปีพอดี จะถือโอกาสจัดการให้เจ้าด้วย”


“ได้!” ผู้บัญชาการเหมียวผู้น่าเกรงขามที่เผชิญหน้ากับผู้จัดการร้านมากมาย ในตอนนี้กลับเอ่ยรับอย่างว่าง่ายราวเด็กน้อย แม้แต่ความเห็นเพิ่มเติมก็ไม่กล้าเสนอ เป็นเพราะกลัวว่าจะเผยพิรุธอะไร ในเวลานี้ในสถานที่นี้ เป็นวัวสันหลังหวะจริงๆ!


“ยังมีอีกเรื่อง” อวิ๋นจือชิวพูดอีก


“เจ้าพูดมาสิ ข้าฟังอยู่” เหมียวอี้ขานรับทันที


“ข้าลองคิดดูแล้วนะ ครั้งนี้ข้าเตรียมจะกลับไปรับหลางหลางกับหวนหวนมาที่นี่ด้วยเหมือนกัน”


เหมียวอี้หันขวับ ถามอย่างตกตะลึงว่า “ไม่ใช่แล้วมั้ง? เจ้าจะพาพวกนางมาด้วยเหรอ? ทำแบบนี้เหมาะสมเหรอ?”


อวิ๋นจือชิวตอบว่า “ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม พอเจ้าพูดเรื่องทะเลดาวนักษัตร ก็ถือเป็นการเตือนข้าเหมือนกัน ตราบใดที่เส้นทางไปกลับพิภพเล็กยังอยู่ในมือเราก็พอ แล้วอีกอย่าง ตอนนี้เจ้าก็ได้เลื่อนขั้นร่ำรวยแล้ว ที่แดนฝึกตนมีผู้หญิงร่านที่จ้องจับคนมีเงินเพื่อหาทรัพยากรฝึกตนเยอะเกินไป ข้ากลัวว่าเจ้าจะกระดกหางซี้ซั้ว ทนความยั่วยวนของนางผู้หญิงใจแตกไม่ไหว พาผู้หญิงในบ้านมาให้เจ้าเปลี่ยนรสชาติสักสองคนดีกว่า จะได้ทำให้เจ้าสำรวมตัวเองหน่อย เจ้าจะได้ไม่เบื่อหน่ายเพราะเจอแต่หญิงแก่หน้าเหลืองอย่างข้าคนเดียว ถ้ามีกำลังวังชาก็เลี้ยงคนในบ้านให้อิ่มก่อน คนในบ้านจะได้ปรองดองกัน ดีกว่าไปเจอพวกผู้หญิงมีเจตนาร้ายแอบแฝงที่มาวางแผนทำร้ายเจ้า ใช่มั้ยล่ะ? หนิวเอ้อร์ ผู้หญิงในบ้านตัวเองต่างหากที่น่าไว้วางใจ!” คำพูดของนางค่อนข้างลึกซึ้งและจริงใจ


เหมียวอี้กลับใจสั่นด้วยความกลัว รู้สึกว่าคำพูดนางมีความหมายแฝง สงสัยว่านางจะดูอะไรออกแล้วหรือเปล่า แต่ดูจากท่าทางของนาง ก็ไม่เหมือนว่านางดูออก ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยโหดเหี้ยมของผู้หญิงคนนี้ คงจะลงไม้ลงมือกับเขาไปนานแล้ว


ยิ่งรู้สึกผิดก็ยิ่งไม่กล้าสู้ แต่ยังคงกล่าวอย่างหวาดระแวง “จะพายกโขยงมาทั้งบ้านก็คงไม่ดีมั้ง ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาก็จะหนีไม่รอดสักคนเลยน่ะสิ”


“ดังนั้น! เจ้าต้องหาร้านค้ามาอีกร้านหนึ่ง ตอนนี้เจ้าเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกแล้ว คิดหาทางหามาให้สักร้านคงไม่ยากหรอกมั้ง? จะเล็กจะใหญ่ก็ไม่เป็นไร จะให้พวกนางมาค้าขายอะไรสักอย่าง ให้มีงานทำสักหน่อย ทั้งยังได้อยู่ข้างกายเจ้าด้วย พวกนางจะได้ไม่คิดอะไรฟุ้งซ่าน”


“ไม่ใช่แล้วมั้ง! ตอนนี้ข้าจีบผู้หญิงมีสามีแล้วอย่างเจ้าคนเดียวก็ชื่อเสียงแย่พอแล้ว ครั้งก่อนยังโดนปี้เยว่ฮูหยินตำหนิด้วย ถ้าให้ข้าวิ่งไปที่ร้านพวกนางอีก  แล้วข้าจะหาเหตุผลอะไรได้อีกล่ะ?”


“เจ้าโง่รึเปล่า! ก็แกล้งทำเป็นไม่เกี่ยวข้องกับพวกนางสิ คบหาเป็นสหายกับพวกนางก็สิ้นเรื่องแล้ว ถึงอย่างไรเจ้าก็มาที่ร้านของข้าบ่อยๆ พวกเจ้ามาเจอกันที่ร้านข้าก็ได้ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องจัดการก่อน?”


“เรื่องอะไร?”


“หญิงรับใช้สี่คนของหลางหลางกับหวนหวน จะต้องพามาด้วยกันแน่นอน เจ้าต้องทำตัวกระปรี้กระเปร่าเจ้าชู้ใส่พวกนางสักหน่อย ถ้าพามาแล้วเจ้าต้องรีบนอนกับสาวใช้สี่คนนั้น ถ้าไม่ทำให้กลายเป็นคนของตัวเอง ถ้าพามาแล้วข้าก็ไม่วางใจเลยจริงๆ ถ้าวันไหนบังเอิญไปเจอคนที่รักใคร่กันขึ้นมา ผู้หญิงก็จะควักหัวใจให้ง่ายๆ ถ้าโดนคนอื่นล่อลวงไปแล้ว อดีตที่น่ารังเกียจอะไรก็คงเอาไปบอกคนนอกหมด เจ้าเองก็คงรู้ผลที่ตามมานะ”


“เจอกับฮูหยินแบบเจ้า ข้าช่างโชคดีจริงๆ!” เหมียวอี้ยิ้มทื่อๆ “เจ้าคงไม่ได้เห็นข้าเป็นหมูพ่อพันธุ์หรอกใช่มั้ย?”


“อย่ามาพูดจาคลุมเครือแปลกๆ! ในใจชอบเลยล่ะสิ? ข้าเห็นพวกพี่ชายน้องชายของข้าแล้ว แต่งเมียเข้าบ้านมาเป็นฝูง อย่านึกว่าข้าไม่รู้สันดานผู้ชายอย่างพวกเจ้านะ ข้าขอเตือนไว้ก่อน ในบ้านก็มีผู้หญิงไม่น้อยแล้ว อย่าไปหาเด็ดอกไม้ริมทางนอกบ้าน ถ้าข้าจับได้ขึ้นมา เจ้าคอยดูแล้วกันว่าข้าจะจับเจ้าตอนได้หรือเปล่า!”


พอพูดคำว่าเด็ดอกไม้ริมทาง เหมียวอี้ก็หายใจลำบากเป็นพิเศษ หดหัวไม่พูดอะไรแล้ว นับว่ายอมตอบตกลงแล้ว


อวิ๋นจือชิวกลับลงมืออย่างโหดเหี้ยม ใช้มือดึงผมเขาไว้ ยกหัวที่หดของเขาขึ้นมา ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังระบายอารมณ์กับเขา เขาเจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟันร้องโอดโอย แล้วก็โดนนางเตะอย่างแรงอีกหนึ่งครั้ง ทำให้หุบปากทันที!


หวีผมให้เสร็จแล้ว ทั้งสองออกจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์ อวิ๋นจือชิวเองก็ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นาน ก่อนจะออกไปนางก็เตือนอีกว่า “เป็นผู้บัญชาการแล้วก็อย่าหลงระเริงจนลืมตัวนะ อย่าลืมรากเหง้าของตัวเอง เรื่องฝึกตนก็ขยันๆ หน่อย ถ้าไม่มีความสามารถ เจ้าก็ไม่มีทางยืนอยู่ที่นี่ได้นานหรอก”


“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องบอกหรอก ในใจข้ารู้ดี ที่จริงช่วงนี้ข้าก็ครุ่นคิดเรื่องฝึกตนอยู่ตลอด ตอนที่ประมือกับปีศาจโลหิตครั้งก่อน ข้าเหมือนจะตระหนักอะไรบางอย่างได้ บางทีอาจจะเพิ่มกำลังความสามารถให้ตัวเองได้ตัวเองได้เยอะ เพียงแต่ช่วงนี้งานล้นมือตลอด รอให้ผ่านช่วงที่งานยุ่งนี้ไปก่อน ข้าเตรียมจะหาสถานที่ที่มีปัจจัยเหมาะสมสักแห่งเอาไว้ฝึกตน”


“ยังต้องหาที่อื่นอีกเหรอ? ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ไม่ได้เหรอ?”


“ไม่ได้ ข้าตระหนักอะไรบางอย่างได้จากวิชาทวน ข้าอยากจะใช้วิชาทวนของข้าให้ถึงระดับสูงสุด ไม่อย่างนั้นเวลาใช้กระบวนท่าสังหารไปแค่ครั้งเดียว ร่างกายตัวเองก็จะเสื่อมโทรม ไม่มีทางใช้งานเกิดประสิทธิภาพได้เลย แล้วข้าก็อยากทดสอบด้วย ดูว่าจะสามารถนำสิ่งที่ตระหนักได้จากการใช้วิชาทวนมาใช้ประโยชน์บนร่างกายได้หรือเปล่า ข้าก็เลยอยากจะหาสถานที่ที่มีปัจจัยเหมาะสมเพื่อฝึกร่างกาย ช่างเถอะ ใช้เวลาสั้นๆ อธิบายให้เจ้าเข้าใจไม่ได้หรอก”


“อืม! ในเมื่อเจ้ามีแผนในใจแล้ว ข้าก็จะไม่พูดอะไรมาก ถ้าต้องการอะไรก็บอกข้า ข้าจะหาทางช่วยรวบรวมมาให้เจ้า”


“ตอนนี้ข้ายังไม่ต้องการอะไรหรอก ยาเม็ดปีศาจของปีศาจโลหิตยังเพียงพอให้ข้าใช้ได้นาน เจ้าเอาใจใส่เรื่องวรยุทธ์ของตัวเองให้มากๆ เถอะ ของที่อยู่ในมือเจ้าคงจะเพียงพอให้เจ้าฝึกตนได้เป็นเวลานาน เออใช่ ถ้าเป็นไปได้ เจ้าดูหน่อยว่าสามารถทำภาพพิกัดของพวกดาวหลักได้ไหม เรื่องหาสมบัติที่ข้าคุยกับเจ้าครั้งก่อน ถ้ามีโอกาสข้าจะพยายามช่วงชิงมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินมาไว้ในมือด้วยเหมือนกัน”


“รู้แล้ว ข้าจะไปถามทางปี้เยว่ฮูหยินให้ จะไปถามหวงฝู่จวินโหรวด้วยเหมือนกัน นางตั้งใจจะมาตีสนิทกับข้าพอดี ร้านค้าสมาคมวีรชนมีอำนาจอิทธิพลมาก เข้าถึงอย่างกว้างขวาง ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยพวกเราแก้ปัญหาได้ ข้าตีสนิทกับพวกสตีสูงศักดิ์ไว้บ้างแล้ว ค่อยๆ สืบข่าวเอาก็ได้ เจ้าไม่ต้องใจร้อนกับเรื่องนี้หรอก ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า ถ้าใจร้อนเกินไปจะทำให้คนสงสัยได้”


พอพูดถึงหวงฝู่จวินโหรว เหมียวอี้ก็ค่อนข้าง…จึงเตือนว่า “หวงฝู่จวินโหรว ผู้หญิงคนนั้นเจตนาไม่ดี เจ้ารักษาระยะห่างกับนางไว้ดีกว่า” เขากลัวที่สุดว่าทั้งสองจะสนิทกันเกินไป กลัวว่าจะเปิดโปงเรื่องอะไรออกมา


อวิ๋นจือชิวเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าบอกเป็นนัยว่ารู้แล้ว และไม่ได้พูดอะไรอีก


ตอนที่เหมียวอี้เดินออกจากโถงหลักมาส่ง อวิ๋นจือชิวก็เหลือบมองพ่อครัวที่ยืนเฝ้าประตูแวบหนึ่ง แล้วสายตากวาดมองไปยังใต้ร่มไม้ที่อยู่ไม่ไกล เกี้ยวที่เคยจอดอยู่ตรงนั้นหายไปแล้ว


หลังจากออกจากจวนผู้บัญชาการ พอออกประตูมา อวิ๋นจือชิวก็ถ่ายทอดเสียงถามพ่อครัวทันที “หวงฝู่จวินโหรวออกไปเมื่อไร?”


พ่อครัวไม่รู้ว่านางถามแบบนี้ทำไม จึงตอบว่า “ก็ก่อนที่พวกท่านจะเข้าไปที่โถงด้านหลัง เถ้าแก่เนี้ย มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”


“ไม่มีอะไร กลับกันเถอะ!” อวิ๋นจือชิวตอบส่งๆ แต่บนใบหน้ากลับเรียบเฉยไร้อารมณ์ ในดวงตางามฉายแววเย็นเยียบอำมหิต!


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)