พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 981-984
บทที่ 981 กระโดดขึ้นสองขั้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
เซี่ยโห้วหลงเฉิงวิ่งมาอาละวาด คนแรกที่ต้องการจะทำร้ายไม่ใช่เหมียวอี้ แต่เป็นสวีถังหราน แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เหมียวอี้แอบร่าเริงได้หลายวัน
ไม่ใช่แค่ร่าเริงได้หลายวัน แต่เรื่องดีที่แท้จริงมาถึงแล้ว เมื่ออยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมแล้วพลิกวิกฤตช่วยชีวิตตัวเองไว้ได้ ช่วงเวลาอันงดงามที่แลกมาด้วยชีวิตก็มาถึงเสียที
อาการบาดเจ็บของสวีถังหรานยังไม่หายดี แต่ก็ยังกัดฟันไปที่จวนผู้บัญชาการใหญ่พร้อมกับเหมียวอี้ บ่าข้างหนึ่งไม่สามารถงอกออกมาได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่เวลาที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นเศรษฐีมาถึงแล้ว ต่อให้คลานเขาก็จะต้องคลาน มีหรือที่จะพลาด!
ในจวนผู้บัญชาการใหญ่ โค่วเหวินหลานนั่งอยู่บนบัลลังก์ เกราะรบเปลี่ยนเป็นเกราะทองหกแถบแล้ว ประกอบกับคนที่ตัวดำเมี่ยม กลับทำให้ดูน่าเกรงขามขึ้นหลายส่วน แต่พอเขาสะบัดผ้าเช็ดหน้าออกมา เหมียวอี้ก็อยากจะอาเจียน รู้สึกสะอิดสะเอียนเกินทน… เดิมทีผู้ชายที่ทำตัวตุ้งติ้งก็น่าสะอิดสะเอียดพอแล้ว มิหนำซ้ำยังเป็นผู้ชายที่ตัวดำขนาดนี้อีก!
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร โค่วเหวินหลานก็ได้อยู่ในจุดสูงสุดของทหารเลวแล้ว ถ้าทหารเลวหกแถบก้าวขึ้นไปอีกขั้น ก็จะได้เป็นแม่ทัพหนึ่งแถบแล้ว!
ทางซ้ายและขวามีคนนำเกราะรบชุดหนึ่งมาส่งให้ตรงหน้าเหมียวอี้และสวีถังหราน ทั้งสองรับของมา แล้วเปลี่ยนใส่ตรงนั้น
ทหารยศต่ำทั้งสองกระโดดข้ามตำแหน่งรองผู้บัญชาการไปเป็นผู้บัญชาการโดยตรง เท่ากับกระโดดข้ามสองขั้นในรวดเดียว แบบนี้ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปกติ ยังต้องขอบคุณโค่วเหวินหลาน เป็นเพราะโค่วเหวินหลานพยายามช่วงชิงมาให้ทั้งสอง ประการแรกเป็นเพราะโค่วเหวินหลานรับปากพวกเขาไว้แล้ว ประการต่อมา การที่โค่วเหวินหลานได้เลื่อนขั้นในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะอาศัยให้พวกเขาสองคนเสี่ยงชีวิตจับตัวเฮยหวัง
อย่างน้อยสถานการณ์ที่โค่วเหวินหลานรู้ว่าก็เป็นแบบนี้
นอกจากนี้ คนมากมายที่พาออกไปด้วยก็ตายเกือบหมดแล้ว เหลือคนที่รอดกลับมากับเขาแค่สองคน ไม่ต้องพูดเลยว่าในใจรู้สึกผิดขนาดไหน อย่างน้อยการต่อสู้เข่นฆ่าจนมาถึงขั้นนี้ ถ้าไม่ตบรางวัลหนักๆ ก็กลัวว่าจะทำให้ลูกน้องท้อแท้ผิดหวัง
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกบ้านย่อมมีวิธีการดูแลควบคุมเด็กๆ ของบ้านตัวเอง และต้องแสดงให้คนอื่นเห็นด้วย ว่าคนที่ทุ่มเททำงานรับใช้ข้า ข้าจะไม่ปฏิบัติด้วยอย่างขาดความยุติธรรม พวกเจ้าดูพวกเขาสองคนสิ ข้าเลื่อนขั้นให้พวกเขาสองขั้นติดต่อกันเลย!
นี่ก็คือแบบอย่างที่ดี คนอื่นเห็นแล้วย่อมอิจฉาตาร้อน ในภายหลังย่อมทุ่มเททำงานรับใช้เขา!
สำหรับโค่วเหวินหลาน สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือวรยุทธ์ของทั้งสองต่ำไปหน่อย โดยเฉพาะเหมียวอี้ เพิ่งวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง การให้เหมียวอี้เป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เขาก็ต้องแบกความกดดันไว้เยอะมากจริงๆ แต่ก็ไม่เป็นไร เขามอบปัจจัยให้ทั้งสองคน ย่อมเป็นทรัพยากรฝึกตน เชื่อว่าทั้งสองต้องวรยุทธ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแน่นอน
เกราะรบของทหารเลวห้าแถบ สีทองอร่ามงามตากึ่งโปร่งแสง ราวกับหยกสีเหลือง เมื่อสวมไว้บนตัวดูมีสง่าราศีจริงๆ แบบสีทองคำบริสุทธิ์ดูบ้านนอกไปหน่อย
อาวุธก็เปลี่ยนด้วยเหมือนกัน แจกจ่ายทวนยาวและดาบยาวสีอำพันให้ทั้งสอง ทั้งยังเป็นอาวุธขั้นสี่ด้วย ส่วนแบบขั้นห้าแจกให้แม่ทัพเท่านั้น ส่วนขั้นหกก็เป็นของแม่ทัพใหญ่
เล่าหนานซง กงอวี่เฟย ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ช่วยของโค่วเหวินหลาน และเป็นรองผู้บัญชาการใหญ่เช่นกัน ผู้ช่วยสองคนของโค่วเหวินหลานไม่ได้ถูกแต่งตั้งโดยโค่วเหวินหลาน เป็นปี้เยว่ฮูหยินที่แต่งตั้งให้เอง ก็เหมือนกับรองผู้บัญชาการหงกับรองผู้บัญชาการซุนก่อนหน้านี้ ไม่ได้ถูกแต่งตั้งโดยผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกเช่นกัน เป็นผู้บัญชาการใหญ่แต่งตั้งให้โดยตรง นับว่าเป็นวิธีการหนึ่งที่เบื้องบนใช้ควบคุมเบื้องล่าง
แต่รองผู้บัญชาการใหญ่สงท่านนี้ก็เป็นผู้ช่วยของอดีตผู้บัญชาการใหญ่เช่นกัน ปี้เยว่ฮูหยินโยกย้ายแค่ผู้บัญชาการใหญ่ออกไป ไม่ได้แตะต้องผู้ช่วยสองคนนี้
มู่หรงซิงหัว หยางไท่ ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง แบ่งเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือและผู้บัญชาการเขตเมืองใต้ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองก็มีอำนาจหนุนหลังเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางเป็นผู้บัญชาการเขตของตลาดสวรรค์ได้เลย เพียงแต่คนหนุนหลังไม่ได้ใหญ่เท่าโค่วเหวินหลานแค่นั้นเอง ไม่อย่างนั้นตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ก็คงไม่ตกมาถึงโค่วเหวินหลานเหมือนกัน
ทั้งสี่แสดงความยินดีที่เหมียวอี้และสวีถังหรานได้ขึ้นรับตำแหน่ง เหมียวอี้ย่อมกุมหมัดแสดงความขอบคุณ ส่วนสวีถังหรานแขนหายไปข้างหนึ่ง แขวนชุดเกราะไว้ชุดหนึ่ง ทำได้เพียงใช้ฝ่ามือข้างเดียวประทับอกแสดงการขอบคุณ
หลังจากพูดคุยและให้กำลังใจกัน โค่วเหวินหลานก็ยืนขึ้นกล่าวว่า “ทุกคนรู้จักกันแล้ว ไม่ต้องคุยอะไรกันเยอะแล้ว ตามข้าไปเยี่ยมคารวะท่านแม่ทัพภาคในตำหนัก!”
“รับทราบ!” ทุกคนเอ่ยรับคำสั่งและตามเข้าไป
ท่านแม่ทัพที่กล่าวถึงก็คือปี้เยว่ฮูหยิน
ระบบของตำหนักสวรรค์ ราชันสวรรค์และราชินีสวรรค์ใหญ่ที่สุด รองลงมาก็คือสี่อ๋องสวรรค์ สิบสองจอมพล สามสิบหกเทพประจำดาว เจ็ดสิบสองโหว พวกนี้ล้วนเป็นนักพรตที่มีพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ และแน่นอน ตำหนักสวรรค์ไม่ได้มีแค่นักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพพวกนี้ พวกเขาเป็นเพียงขุนนางในตำแหน่งหลักเท่านั้น สมาชิกอิสระระดับเดียวกันยังมีพวกเทพเซียนกับเซียนอาวุโสด้วย แล้วก็มีพวกตำแหน่งรอง แต่ตำแหน่งพวกนี้ค่อนข้างไร้อำนาจ ไม่ได้กุมอำนาจผลประโยชน์เหมือนพวกตำแหน่งหลักเท่านั้นเอง อำนาจที่แท้จริงของตำหนักสวรรค์ก็อยู่ในมือของหนึ่งร้อยยี่สิบหกตำแหน่งนี้
ตำแหน่งที่อยู่ใต้เจ็ดสิบสองโหวลงมามีจำนวนเยอะเกินไป ล้วนถูกแบ่งควบคุมโดยเจ็ดสิบสองโหว การแต่งตั้งเพิ่มหรือถอดออกล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ็ดสิบสองโหว แล้วค่อยรายงานขึ้นไป
ตำแหน่งที่อยู่ใต้เจ็ดสิบสองโหวก็คือหัวหน้าภาค หัวหน้าภาคคนหนึ่งจะคุมหนึ่งน่านฟ้า อย่างเช่นอาณาเขตดาวที่ผ่านประตูดวงดาวมาจนถึงดาวเทียนหยวน และดาวเทียนหยวนเองก็เป็นเพียงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในอาณาเขตดาวผืนนี้เท่านั้น
ใต้หัวหน้าภาคก็คือระดับแม่ทัพภาคอย่างปี้เยว่ฮูหยิน ทำหน้าที่ดูแลรักษาการณ์ทั้งดาวเทียนหยวน ส่วนหัวหน้าของปี้เยว่ฮูหยิน ก็คือหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหว และเป็นหัวหน้าของหัวหน้าของนางเช่นกัน ภูมิหลังของปี้เยว่ฮูหยิน ถ้าเทียบกับนักพรตทั่วไปก็นับว่าทระนงองอาจแล้ว ไม่อย่างนั้นคงยากที่จะได้นั่งตำแหน่งที่รายได้ดีแบบนี้
แน่นอน ไม่ใช่ว่าดาวเคราะห์ทุกดวงจำเป็นต้องแต่งตั้งแม่ทัพภาค ต้องดูว่าดาวเคราะห์ดวงนั้นสามารถสร้างผลประโยชน์ได้หรือไม่ คุ้มค่าที่จะส่งคนจำนวนมากไปรักษาการณ์หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นผู้ที่คุมดาวไร้ลักษณ์ นั่นคือเทพแห่งภูผาที่อยู่ในระดับผู้บัญชาการ และเป็นเทพแห่งภูผาของเกาะศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วย
เป็นเพราะดาวไร้ลักษณ์มีเกาะศักดิ์สิทธิ์ ไม่อย่างนั้นถ้าเป็นเหมือนดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ แม้แต่คนระดับผู้บัญชาการก็ไม่มีเลย แค่แต่งตั้งพวกเทพเจ้าที่ ผีหลักเมืองไว้จำนวนหนึ่งก็พอแล้ว ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ถ้าเป็นดาวเคราะห์ที่ไม่มีความจำเป็นเลย แม้แต่ขุนนางเล็กๆ ของตำหนักสวรรค์ก็ไม่มีเลยสักคน
ตำแหน่งที่อยู่ใต้แม่ทัพภาคก็คือผู้บัญชาการใหญ่ ที่ต่ำกว่านั้นก็คือผู้บัญชาการ ผู้ช่วยผู้บัญชาการ ผู้บังคับการกองร้อย ผู้บังคับการกองห้า ส่วนตำแหน่งรองอื่นๆ ไม่บันทึกรวมอยู่ในนั้น
ตามการจัดระบบที่สมบูรณ์ของตำหนักสวรรค์ ใต้แม่ทัพภาคหนึ่งคนจะมีผู้บัญชาการใหญ่สิบคน ใต้ผู้บัญชาการใหญ่หนึ่งคนก็จะมีผู้บัญชาการอีกสิบคน ใต้ผู้บัญชาการหนึ่งคนก็จะมีผู้ช่วยผู้บัญชาการอีกสิบคน ลดหลั่นกันไปแบบนี้ แต่ที่ดาวเทียนหยวนไม่จำเป็นต้องวางกำลังคนไว้มากมายขนาดนั้นเลย แต่จำเป็นต้องมีคนที่ศักยภาพเท่าเทียมกันมารักษาการณ์ ดังนั้นใต้แม่ทัพภาคอย่างปี้เยว่ฮูหยินจึงมีผู้บัญชาการใหญ่แค่คนเดียว และใต้ผู้บัญชาการใหญ่ก็มีผู้บัญชาการแค่ห้าคน หนึ่งในนั้นมาเฝ้าคุมอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมืองของปี้เยว่ฮูหยิน เป็นลูกน้องคนสนิทของปี้เยว่ฮูหยิเช่นกัน โค่วเหวินหลานเองก็ไปควบคุมไม่ได้ ส่วนใต้ผู้บัญชาการอีกสี่คนก็มีผู้ช่วยผู้บัญชาการแค่หกคน ใต้ผู้ช่วยผู้บัญชาการแต่ละคนก็จะมีผู้บังคับการกองร้อยสี่คน ใต้ผู้บังคับการกองร้อยก็จะมีผู้บังคับการกองห้าอีกสองคน หนึ่งกองห้าที่รวมผู้บังคับการกองห้าไว้ในนั้นก็มีทั้งหมดสิบคน
ตามกฎแล้ว เดิมทีเหมียวอี้สามารถบัญชาการทหารสวรรค์หนึ่งหมื่นนาย แต่อยู่ที่นี่มีแค่ห้าร้อยนายเท่านั้น นี่คือสิ่งที่จัดตามปัจจัยและความจำเป็น การเลี้ยงคนจำนวนมากคือสิ่งที่ไม่จำเป็น แต่ผลประโยชน์ที่ได้ก็ไม่น้อยกว่าผู้บัญชาการตามระบบแน่นอน
ที่จริงแล้วตำหนักคุ้มเมืองคือตำหนักของผู้บัญชาการใหญ่แห่งตลาดสวรรค์ แต่จนใจที่ปี้เยว่ฮูหยินอยากจะอยู่ที่นี่ ก็ช่วยไม่ได้ นี่คือแหล่งที่มีปัจจัยการดำรงชีวิตดีที่สุดของดาวเทียนหยวน สามีของนางเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ ใครจะไม่ไว้หน้านางได้ล่ะ
ต่อให้คนหนุนหลังจะใหญ่กว่านี้ก็สู้คนในตำแหน่งไม่ได้ โค่วเหวินหลานคงไล่ปี้เยว่ฮูหยินออกไปไม่ได้เช่นกัน อิงตามกฎข้อบังคับ หนึ่งในสามส่วนของตำหนักคุ้มเมืองข้างหน้าคือที่อยู่ของเขา สองในสามส่วนที่อยู่ข้างหลังคือที่อยู่ของปี้เยว่ฮูหยิน
คนกลุ่มหนึ่งเข้ามาที่ตำหนักหลัง โค่วเหวินหลานนับว่านำกำลังหลักของตัวเองมาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากปี้เยว่ฮูหยินให้โอวาทเสร็จ สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่เหมียวอี้ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “หนิวโหย่วเต๋อ ไม่ได้เจอกันเป็นครั้งแรก ภาพที่เจ้าขายเครื่องประดับให้ข้าในปีนั้น ข้ายังจำได้อยู่เลย นึกไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกแล้ว”
“ล้วนเป็นเพราะผู้บัญชาการใหญ่สนับสนุนช่วยเหลือ ข้าน้อยจะตั้งใจทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดขอรับ” เหมียวอี้ตอบอย่างมีมารยาท
โค่วเหวินหลานยิ้มบางๆ หน้ายังดำเหมือนเดิม
ปี้เยว่ฮูหยินกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “พอพูดถึงเครื่องประดับ เจ้าของเครื่องประดับตัวจริงก็ปรากฏตัวแล้ว ข้าได้ยินว่าเจ้าจีบเถ้าแก่เนี้ย ‘ร้านโฉมเมฆา’ มาโดยตลอด เจ้าตัวเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว เจ้าทำแบบนี้อาจจะไม่เหมาะสมกระมัง? แน่นอน เรื่องส่วนตัวของเจ้า ข้าก็แค่ถามเฉยๆ เท่านั้น แต่ขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อน ข้ากับเถ้าแก่เนี้ยนับว่าไปมาหาสู่กันบ่อย มีความสนิทสนมกันอยู่บ้าง ถ้าเจ้าอยากจะจีบนางข้าก็ไม่ว่าอะไร แต่ตอนนี้เจ้าเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกแล้ว ถ้าใช้อำนาจหน้าที่แสวงหา ผลประโยชน์ส่วนตัว ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”
เหงื่อแตกพลั่ก! ในใจเหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก สงสัยเมียตัวเองจะมีความสัมนพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับปี้เยว่ฮูหยิน ไม่น่าเชื่อว่าจะเคาะหัวข้าต่อหน้าฝูงชนเพื่อนาง!
คำพูดนี้ทำให้กงอวี่เฟยรองผู้บัญชาการ และมู่หรงซิงหัวผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือเหล่ตามองมา ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือมองเหยียด สำหรับผู้ชายที่จีบผู้หญิงที่มีสามีแล้ว คาดว่าคงมีผู้หญิงไม่กี่คนหรอกที่จะรู้สึกดีด้วย
แม้แต่โค่วเหวินหลานเองก็อดไม่ได้ที่จะเอามือลูบจมูก รู้สึกอับอายนิดหน่อย ถึงอย่างไรตนก็เป็นคนเลื่อนชั้นลูกน้องที่วางตัวไม่ดีแบบนี้เอง
สวีถังหรานยกมุมปากยิ้มเยาะเย้ย นึกไม่ถึงว่าพอหนิวโหย่วเต๋อได้รับตำแหน่ง ก็มีภาพพจน์ที่ไม่ดีต่อหน้าปี้เยว่ฮูหยินทันที นี่คือเรื่องดีสำหรับเขา ในภายหลังหากต้องช่วงชิงตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ สิ่งนี้ก็จะมีประโยชน์กับเขา
จากนั้นโค่วเหวินหลานก็ถามเรื่องเซี่ยโห้วหลงเฉิง ปี้เยว่ฮูหยินตอบอย่างไม่ใส่ใจ ส่งต่อให้ตำหนักสวรรค์ลงโทษแล้ว เห็นได้ชัดเจนมาก ว่านางเองก็ไม่สะดวกจะลงมือ จึงผลักไปให้เบื้องบน
ก่อนจะจากกัน ปี้เยว่ฮูหยินก็สั่งโค่วเหวินหลานอีกว่า “ติดประกาศที่ตลาดสวรรค์ ประกาศเรื่องที่ประหารชีวิตเฮยหวังให้ทุกคนรู้ จะได้ไม่มีใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!”
“รับทราบ!” โค่วเหวินหลานเอ่ยรับคำสั่ง แล้วนำลูกน้องกล่าวอำลาออกมา
เมื่อออกจากตำหนักหลังมาแล้ว โค่วเหวินหลานก็นำสิ่งที่ปี้เยว่ฮูหยินบอกแจกจ่ายลงไปให้ผู้บัญชาการทั้งสี่จัดการ
เมื่อพวกลูกน้องที่เขตเมืองตะวันออกรู้ข่าว จนกระทั่งเหมียวอี้สวมเกราะทองห้าแถบเหาะลงมาจากฟ้า ลูกน้องหลายร้อยคนที่มารอต้อนรับนานแล้วก็กล่าวคารวะเสียงดังทันที “คารวะท่านผู้บัญชาการ!”
“ไม่ต้องมากพิธี!” เหมียวอี้ผายมือ กวาดสายตามองกลุ่มคน ตอนนี้ในมือเขาขาดรองผู้บัญชาการสองคน ผู้ช่วยผู้บัญชาการหกคน ผู้บังคับการกองร้อยยี่สิบสี่คน รวมแล้วขาดนักพรตบงกชทองสามสิบสองคน จะให้ตัวเองไปหาจากไหนมาเติมภายในเวลาสั้นๆ แบบนี้
โค่วเหวินหลานเรียกได้ว่าใช้งานคนโดยไม่ระแวง มีความใจกว้างตรงไปตรงมาต่อเด็กๆ ในบ้านตัวเอง ให้เหมียวอี้จัดการเองตามเห็นสมควร ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ให้ไปขอความช่วยเหลือจากเขา ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นโค่วเหวินหลานจะคุ้มครองให้
ประเด็นสำคัญคือจะหานักพรตบงกชทองมาจากไหนมากมายในรวดเดียว คนของตำหนักสวรรค์ตัวเองก็รู้จักไม่เยอะ แต่ถ้าจะให้หาคนที่ฉวยโอกาสแทงข้างหลังเหมือนสวี่เต๋อ ตัวเขาเองก็ไม่วางใจ เขานับว่าได้บทเรียนจากคนของตำหนักสวรรค์แล้ว ที่ปราสาทดำเนินนภาก็พอจะมีคนอยู่บ้าง แต่อีกฝ่ายไม่อยากมาพัวพันกับตำหนักสวรรค์ลึกซึ้งเกินไป ส่วนนักพรตบงกชทองของสำนักลมปราณก็มีไม่พอใช้ นับไปนับมาก็มีแค่พวกทะเลดาวนักษัตรของพิภพเล็กแล้ว เพียงแต่การให้คนสามสิบกว่าคนเข้ามาอยู่ในตำหนักสวรรค์ในรวดเดียว ก็อาจจะยุ่งยากนิดหน่อย แล้วอีกอย่าง ถ้าจะให้ลูกน้องทั้งหมดเป็นปีศาจ อาจจะดูเกินไปหน่อยรึเปล่า?
บทที่ 982 รับของขวัญจนมือไม้อ่อน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่ใช่ว่าตำหนักสวรรค์ไม่อนุญาตให้รับปีศาจเข้ามาทำงาน ที่จริงแล้วตำหนักสวรรค์มีภูตผีมารปีศาจอยู่เยอะมาก เพียงแต่ถ้าลูกน้องของเหมียวอี้เป็นปีศาจทั้งหมด ก็อาจจะดูสะดุดตาไปหน่อย ถ้านำกำลังพลออกไป ปราณปีศาจอบอวล จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกกลายเป็นรังปีศาจไปแล้ว!
ถ้าพิจารณาให้ลึกกว่านั้น ก็ยังเป็นปัญหาเรื่องความปลอดภัย การนำพวกปีศาจของทะเลดาวนักษัตรมาที่นี่ จะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมกันแน่? นี่ต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุด!
จากสายตาของผู้บังคับการกองห้าที่กำลังมองตนตาปริบๆ เหมียวอี้ก็ดูออกว่าพวกเขากำลังเฝ้ารออย่างแรงกล้า เฝ้ารอให้ตนเลื่อนขั้นให้เป็นกรณีพิเศษ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดที่จะเลื่อนขั้นคนพวกนี้เป็นกรณีพิเศษ เพียงแต่หลังจากผ่านเรื่องที่ภูเขาโอนเอนมา เขาก็ไม่ค่อยวางใจคนพวกนี้เลย ถ้าดูจากในบางด้าน คนพวกนี้นับว่าเน่าเปื่อยผุผังหมดแล้ว ล้วนเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เหมือนอ่างย้อมผ้า
“ผู้บังคับการกองห้าอยู่ก่อน คนอื่นถอยไป!” เหมียวอี้เรียกพวกผู้บังคับการกองห้าเข้ามา แล้วนำสิ่งที่โค่วเหวินหลานบอกถ่ายทอดให้พวกเขาไปจัดการ สั่งให้พวกเขาไปติดประกาศเรื่องเฮยหวัง
พวกผู้บังคับการกองห้าเอ่ยรับคำสั่ง ต่างก็ตบหน้าอกรับประกันว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้ดี แล้วก็รีบส่ายก้นออกไป รีบไปแสดงความสามารถ
เหมียวอี้ที่ยืนลำพังอยูบนบันไดตำหนักใหญ่เงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจจะทดสอบเสียงของโค่วเหวินหลาน ถ้าไม่มีปัญหาอะไร เขาก็ตัดสินใจจะใช้งานคนของทะเลดาวนักษัตร
อวิ๋นจือชิวบอกเขากลายครั้งแล้ว ประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตรมาหาเขาบ่อยๆ ขอเพียงไม่เห็นเขา ประมุขถิ่นสี่ทิศก็เดาออกทันทีว่าเขาไปพิภพใหญ่ แต่ละคนกระเหี้ยนกะหือรือมาก ถ้าไม่ให้คำอธิบายกับพวกเขา เจ้าสี่คนนั้นก็อาจจะจนตรอกกลายเป็นหมากระโดดกำแพง ไม่มีใครหรอกที่มองเห็นความหวังแล้วยังจะยินดีกล้ำกลืนความอัปยศอดสูอยู่ภายใต้หกปราชญ์ต่อไป
ส่วนเรื่องเสี่ยงอันตราย ถ้าลูกน้องมีแต่พวกที่พึ่งพาอะไรไม่ได้ ดีไม่ดีอาจจะอันตรายยิ่งกว่าเดิม ที่ตนเดินมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ก็เพราะเป็นเพื่อนกับคนอันตรายมาตลอด แต่ต่อให้อันตรายก็ต้องรู้จักเลือกให้เป็น ตราบใดที่ตนยังรักษาช่องทางไปมาระหว่างพิภพเล็ก พิภพเล็กก็ยังเป็นทางหนีทีไล่ให้ตนได้!
เมื่อคิดได้แบบนี้ เหมียวอี้ที่ยังไม่ได้ดูจวนขุนนางของตัวเองอย่างเป็นทางการก็เหาะออกไปแล้ว เหาะไปเหยียบนอกตำหนักคุ้มเมืองโดยตรง ไปขอพบโค่วเหวินหลานอีกครั้ง
เมื่อทั้งสองพบกัน โค่วเหวินหลานก็ถามอย่างแปลกใจว่า “มีเรื่องอะไร?” ถึงอย่างไรก็เพิ่งแยกกันได้ไม่นาน
เหมียวอี้ยิ้มเจื่อนพร้อมยอกว่า “ข้าน้อยกลับไปดูมาแล้ว เบื้องล่างมีแต่เกราะรบสีขาวกับสีดำ ไม่เห็นเกราะทองสักคน ในเรื่องบุคลากร ข้าน้อยอยากจะฟังความเห็นของผู้บัญชาการใหญ่สักหน่อย”
โค่วเหวินหลานยื่นมือเชิญให้เขานั่งลงคุยกัน พอตัวเองนั่งลงแล้ว ก็ถามว่า “ทำไม? ข้ามอบอำนาจให้เจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับหาคนที่เหมาะสมไม่ได้? ต้องการให้ข้าช่วยเจ้าหาเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “เรื่องหาคนข้าก็หาได้อยู่ เพียงแต่กำลังคนที่พอจะใช้งานได้ ที่ข้ารู้จักส่วนใหญ่ไม่ใช่คนของตำหนักสวรรค์ ผู้บัญชาการใหญ่เองก็รู้ว่าข้าเพิ่งเข้ามาอยู่ในตำหนักสวรรค์ได้ไม่นาน รู้จักคนของตำหนักสวรรค์ไม่เยอะ เติมนักพรตบงกชทองรวดเดียวสามสิบกว่าคน ทั้งหมดไม่ใช่คนของตำหนักสวรรค์เลย ข้าน้อยเองก็ไม่มีความสามารถที่จะรับพวกเขาเข้ามาทั้งหมดในรวดเดียว”
โค่วเหวินหลานไม่ใช่คนโง่ เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็เข้าใจความหมายแล้ว ที่มาขอคำแนะนำคือเรื่องโกหก หวังให้ตนออกหน้าช่วยต่างหากที่เป็นเรื่องจริง ลูกน้องที่ตนเลื่อนขั้นให้มาขอร้องเป็นเรื่องแรก คงไม่ดีถ้าจะปฏิเสธ แต่เขาก็ยังกล่าวเสียงต่ำว่า “เข้าตำหนักสวรรค์รวดเดียวสามสิบกว่าคน ทั้งยังเป็นนักพรตบงกชทองทั้งหมด เรื่องนี้ค่อนข้างจัดการยาก! ข้าสามารถช่วยเจ้าแก้ปัญหาได้ แต่เจ้าต้องเข้าใจก่อนนะ ว่าคนที่เลือกมาจะต้องเชื่อถือได้ ถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมา ข้าไม่เพียงแค่จะไม่รับผิดชอบให้เจ้า หากเกิดเรื่องขึ้นเจ้าจะต้องรับไว้เอง!” เขามีความสามารถและอำนาจหนุนหลังสำหรับการหาแพะรับบาปแน่นอน
“ขอรับ! ข้าน้อยเข้าใจ ถ้าเชื่อถือไม่ได้ ข้าน้อยก็ไม่เอ่ยปากเหมือนกัน” หลังจากเหมียวอี้ตอบ ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกด้วยเสียงอ่อนปวกเปียกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ยังมีอีกปัญหาหนึ่งขอรับ สามสิบกว่าคนนี้เป็นนักพรตปีศาจทั้งหมด!”
“…” โค่วเหวินหลานอ้าปากค้างครู่หนึ่ง มองสำรวจเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า เหมือนกำลังถามว่า อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้จักคนอื่นเลย คบค้าแต่กับปีศาจมาตลอด? หลังจากอ้าปากค้าง ก็บอกว่า “แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ห้ามมีครั้งหน้า!”
“รับทราบ!” เหมียวอี้ยืนขึ้นทันที กุมหมัดคารวะด้วยสีหน้าซาบซึ่งใจ “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง!”
เขาเองก็หมดหนทางแล้วจริงๆ ถึงได้มาหาโค่วเหวินหลาน ถ้าคนนอกจะเข้าตำหนักสวรรค์ ก็จะต้องมีคนระดับผู้บัญชาการใหญ่สามคนแนะนำ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือช่วยรับประกัน หากเกิดเรื่องขึ้น คนที่รับประกันก็จะต้องรับผิดชอบด้วย ทว่าคนระดับผู้บัญชาการใหญ่ที่เขารู้จัก ก็มีแค่โค่วเหวินหลานคนเดียว จะไปหาผู้บัญชาการใหญ่มากขนาดนั้นจากไหนมารับประกัน?
ส่วนที่บอกว่า ‘ห้ามมีครั้งหน้า’ เหมียวอี้ก็ไม่ได้กังวลอะไร ถ้าตัวเองเข้าตำหนักสวรรค์แล้ว ก็ไม่เชื่อหรอกว่าต่อไปจะไม่รู้จักคนระดับผู้บัญชาการใหญ่อีก ถ้าในภายหลังหาคนจากพิภพเล็กมาอีก อย่างมากก็ไปขอให้คนอื่นแนะนำก็ได้
เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ในที่สุดเหมียวอี้ก็กลับไปที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกอย่างหายห่วงเสียที กลับไปที่ลานบ้านของตัวเองโดยตรง เมื่อเดินมาตรงหน้าศาลเจ้าของตำหนักสวรรค์ที่อยู่ในโถงหลัก ร่ายอิทธิฤทธิ์เข้าไปที่ชัยภูมิถ้ำสวรรค์ของตัวเอง
ข้างในยังคงเป็นลานบ้าน สภาพข้างในถูกโค่วเหวินหลานซึ่งเคยดำรงตำแหน่งมาก่อนตกแต่งไว้ดีมาก เพียงแต่เหมียวอี้ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไร เขาไม่ใช่คนสง่างามมีระดับ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยสนใจของสวยงามเลย จึงเดินตรงไปที่โถงหลัก
ของที่ควรวางแสดงในโถงหลักถูกโค่วเหวินหลานเก็บไปด้วยหมดแล้ว ดูว่างเปล่ากว้างโล่ง ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเหมียวอี้ ต่อให้โค่วเหวินหลานไม่นำไปด้วย เขาก็ ‘ทำใจไม่ลง’ ที่จะใช้ของที่โค่วเหวินหลานทิ้งไว้อยู่ดี
ตรงกึ่งกลางโถงหลักมีจานกลมสีทองที่เหมือนกับแท่นโม่ กินพื้นที่ของห้องโถงไปเกินครึ่ง แบ่งเป็นสามชั้น แต่ละชั้นหมุนเป็นเกลียวลงมาเหมือนก้นหอย เหมือนรองรับให้ของอะไรบางอย่างไหลลงมาเพื่อใช้งานด้านล่าง ด้านบนมีของบางอย่างที่คล้ายๆ เชิงเทียน
ของชิ้นนี้สูงเท่าหน้าอก ทะลุลงใต้ดินโดยตรง เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับชัยภูมิถ้ำสวรรค์ นี่ก็คือเครื่องมือรวบรวมลูกแก้วพลังปรารถน
เหมียวอี้เดินวนพลางยื่นมือไปลูบไล้ หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู ก็ใช้สองนิ้วแตะบนเครื่องมือ ประทับตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงไป
เมื่อประทับตราอิทธิฤทธิลงไป ไม่นาน บน ‘เทียนไข’ ที่เหมือนเชิงเทียนก็มีแสงสีขาวจางๆ กลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นทันที คล้ายๆ กลับจุดเทียน
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ สงสัยทางโค่วเหวินหลานจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงมาก พอประทับตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงไป เทียนไขเล่มนี้ก็จุดติดไฟทันที แสดงว่าทางโค่วเหวินหลานนำตราอิทธิฤทธิ์ที่ตัวเองส่งให้ใส่มาที่เครื่องมือทางฝั่งเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นทางฝั่งนี้คงไม่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้น
หรือพูดได้อีกอย่างว่า พลังปรารถนาที่เขารวบรวม เป็นสิ่งที่ทางโค่วเหวินหลานแจกจ่ายมาให้ สิ่งนี้ทันสมัยกว่าเครื่องมือรวบรวมลูกแก้วพลังปรารถนาของพิภพเล็ก อย่างน้อยก็ไม่ต้องคุ้มกันส่งส่วยอะไรนั่นอีก เทียวไปเทียวมายุ่งยากเกินไป
ผ่านไปไม่นาน ‘น้ำตาเทียน’ ก็หยดลงมาหนึ่งหยด พอมันกระโดดในแอ่งเว้าของจานกลม ลูกแก้วพลังปรารถนาขนาดเท่าไข่นกคุ่มลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้น แล้วไหลตามปากหอยลงมาในแอ่งเว้าที่อยู่ล่างสุด
เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ดูดมาไว้ในมือแล้วใช้นิ้วขยี้ดู เป็นลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูงหนึ่งลูก นี่ก็คือรายได้ของผู้บัญชาการอย่างตน
สวัสดิการของเขาคือลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูงปีละหนึ่งล้านลูก หรือเท่ากับลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำหนึ่งร้อยล้านลูก ไม่ต่ำกว่ารายรับในแต่ละปีของหกปราชญ์ที่พิภพเล็กเลย แน่นอนว่าหกปราชญ์ยังมีรายนับด้านอื่นๆ อีก แต่เขาก็มีรายรับอย่างอื่นอีกเหมือนกัน นั่งอยู่ในตำแหน่งที่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ ลำพังแค่เงินสินบนจากร้านค้านับหมื่นในเขตเมืองตะวันออกก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แล้ว ไม่ใช่สิ่งที่หกปราชญ์จะเทียบติดเลย นี่ก็คือทรัพยากรฝึกตนของพิภพใหญ่
เสียงหยดติ๋งๆ บนจานกลมดังไม่หยุด ลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูงโผล่ออกมาอย่างไม่ขาดสาย เสียงเหมือนน้ำซับฟังแล้วรื่นหูมาก ช่างฝีมือที่ออกแบบหลอมสร้างก็นับว่าใช้ความคิดไปพอสมควร ตรงนี้ไม่ได้มีแค่รายได้ของเขาคนเดียว รายได้ของพวกลูกน้องที่เขตเมืองตะวันออกก็รวบรวมไว้ที่นี่เช่นกัน โดยมีเขาเป็นคนแจกจ่าย
หลังจากดูอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยื่นมือไปร่ายอิทธิฤทธิ์ยกเทียนไขที่อยู่บนจานกลมให้สูงขึ้นหนึ่งชั้น เสียงของลูกแก้วพลังปรารถนาที่ตกลงมาฟังดูรวดเร็วขึ้นเยอะมาก ลูกแก้วพลังปรารถนาระดับกลางไหลตกลงมาลูกแล้วลูกเล่า พอร่ายอิทธิฤทธิ์ยกเทียนไขให้สูงขึ้นอีกชั้น ก็ได้ยินเสียงลูกแก้วพลังปรารถนาระดับต่ำกลิ้งออกมาทันที เสียงนี้ฟังดูค่อนข้างหนวกหู
จากนั้นก็ย้ายกลับมาอยู่ในสถานะรวบรวมลูกแก้วพลังปรารถนาระดับสูง เสียงหยดคล้ายๆ น้ำซับน่าฟังกว่านิดหนึ่ง…
ตลาดสวรรค์แบ่งเป็นสี่แยกโดยมีตำหนักคุ้มเมืองอยู่ตรงกลาง แบ่งเป็นเขตเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกเปลี่ยนคนแล้ว มีคนมาแสดงความยินดีที่จวนผู้บัญชาการอย่างไม่ขาดสาย ล้วนเป็นผู้จัดการจากร้านค้าใหญ่ๆ ที่มาเยี่ยมคารวะ ย่อมต้องถือของขวัญมาด้วยอยู่แล้ว ทุกคนไปที่จวนผู้บัญชาการใหญ่ก่อนแล้วค่อยมาที่นี่ อันดับหลักและอันดับรองคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ความหนักเบาในการให้ของขวัญย่อมมีการแบ่งแยกอยู่แล้ว
เหมียวอี้ที่รักษาการณ์ที่ผู้จวนบัญชาการ ช่วงนี้ไม่ได้ทำงานอะไรทั้งนั้น เรื่องบุคลากรก็วางไว้ก่อนชั่วคราว เขาแค่ยุ่งอยู่กับการรับแขกที่เป็นผู้จัดการจากร้านค้าใหญ่ๆ ร้านค้านับหมื่นของเขตเมืองตะวันออก ถ้าจะให้รับแขกทุกร้านก็ทำไม่ได้ไหว ทำได้เพียงรับแค่ร้านที่รวยๆ เท่านั้น รับมือกับพ่อค้าที่ค่อนข้างมีอำนาจหนุนหลัง
ความแตกต่างระหว่างการเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการกับผู้บัญชาการปรากฏออกมาแล้ว ปกติพ่อค้ารายใหญ่พวกนั้นจะไม่สนใจใยดีผู้ช่วยผู้บัญชาการเล็กๆ เลย การที่พวกเขาสามารถมีที่ยืนตรงนี้ได้ ก็แสดงว่ามีอำนาจและภูมิหลังในระดับหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องมาเกรงใจผู้ช่วยผู้บัญชาการเล็กๆ แต่สำหรับผู้บัญชาการที่คุมเขตนี้ ทุกอย่างก็ต่างออกไปแล้ว ไม่ว่าในใจจะดูถูกหรือไม่ แต่การพูดจายกยอก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็เป็นไปได้สูงว่าอีกฝ่ายจะกลั่นแกล้งให้ลำบากใจ มิหนำซ้ำ เหมียวอี้ยังมีโค่วเหวินหลานหนุนหลังอยู่ด้วย
คนหนุนหลังระดับโค่วเหวินหลานไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะมีเรื่องด้วยไหว ยกตัวอย่างเช่น หลังจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงก่อเรื่องที่เขตเมืองตะวันออก ทำลายร้านค้าเสียหายไปมากมาย ติดหนี้ไว้แล้วหนีไปแล้ว แต่ใครจะกล้าพูดอะไรล่ะ? ใครจะกล้าไปทวงหนี้กับเซี่ยโห้วหลงเฉิง? ทำได้เพียงยอมรับว่าตัวเองดวงซวยเท่านั้น ที่จริงร้านค้าพวกนั้นก็คือคู่กรณี เรียกได้ว่าเห็นกับตาว่าลูกน้องของโค่วเหวินหลานปล้นของในร้านค้าไป แต่ใครจะกล้าไปพูดจาซี้ซั้วล่ะ! ถ้าทำแบบนั้นก็แสดงว่าไม่อยากทำมาหากินแล้ว อำนาจที่หนุนหลังอีกฝ่ายสามารถทำลายตระกูลเจ้าได้เลย ไม่เห็นหรือว่าขนาดปี้เยว่ฮูหยินยังต้องหลับตาข้างเดียว!
ผู้ที่มาพากันเอ่ยปากเชิญแทนเจ้าของร้านของตัวเอง เชิญให้เหมียวอี้มาเป็นลูกค้าที่ร้านยามมีเวลาว่าง เพียงประเดี๋ยวเดียวก็ขยายเครือข่ายเส้นสายให้เหมียวอี้แล้ว
ท่านขุนนางเหมียวเรียกได้ว่ารับของขวัญจนมือไม้อ่อน รอยยิ้มบนใบหน้าค้างจนกลายเป็นแม่พิมพ์ไปแล้ว มีคนนำของขวัญมาให้ถึงที่ จะไม่มอบใบหน้ายิ้มแย้มให้สักหน่อยก็ไม่ได้หรอกมั้ง? ส่วนเจ้าของร้านส่วนใหญ่ที่ระดับยังไม่สูงพอ เขาก็ไม่แม้แต่จะพบหน้าด้วยซ้ำ คนพวกนั้นก็รู้เช่นกันว่าคนที่มารับตำแหน่งใหม่อย่างเขามาพบไม่ไหวจริงๆ ดูจากผู้ที่คนขวักไขว่ไปมาอย่างไม่ขาดสายที่นอกผู้จวนบัญชาการก็รู้แล้ว ทำได้เพียงทิ้งของขวัญกับนามบัตรไว้ให้แล้วกล่าวอำลา
เข้าสังคมทั้งวันทั้งคืนอย่างต่อเนื่องหลายวัน ที่จริงนักพรตก็ไม่สนใจว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน เพียงรักษาความเคยชินดั้งเดิมตอนเป็นมนุษย์ไว้เท่านั้นเอง เมื่อผ่านไปหลายวัน ตอนที่กระแสผู้คนค่อยๆ เบาบางลง ก็มีลูกน้องยื่นกระดาษชิ้นเล็กมาให้ พอเหมียวอี้เปิดอ่านก็อึ้งทันที หวงฝู่จวินโหรวแห่งร้านค้าสมาคมวีรชนมาแล้ว
ผู้หญิงคนนี้จะถ่อมาประสมโรงทำไม? เจ้าอยู่เขตเมืองตะวันตก จะถ่อมาแสดงความยินดีที่นี่ทำไม? เหมียวอี้ที่กลัวว่าจะหลบไม่ทันปวดประสาทนิดหน่อย เขาค่อนข้างกลัวนาง
บทที่ 983 ใจหายใจคว่ำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ดวงหน้างามดุจดอกพุดตาน เรือนร่างอรชรปานต้นหลิว เอวบางหน้าอกอิ่ม ผมดำขลับเกล้าม้วนขึ้น ประกอบกับเครื่องประดับศีรษะที่สวยประณีต ทำให้ดูสวยสดใสราวกับหิมะในฤดูใบไม้ผลิ ดวงตาแวววาวดุจดวงดาว บนใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มที่เย็นสดชื่นราวกับสายลมโชย นี่ก็คือหวงฝู่จวินโหรว ยังคงสวยกินใจ ยังคงทำให้ผู้ชายหัวใจเต้นแรง นางเดินเนิบนาบเข้ามาในห้องโถง
เมื่อเดินเข้าประตูมาก็ยิ้มอย่างสนิทสนม “ผู้บัญชาการหนิวได้เลื่อนขั้น หวงฝู่จวินโหรวจึงมาเองโดยไม่ได้รับเชิญ หวังว่าจะไม่ถือสานะ”
เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้าผู้หญิงคนนี้อย่างไรดี นางย่อมจัดอยู่ในประเภทยอดหญิงงามอยู่แล้ว แต่เหมียวอี้ไม่ได้รู้สึกดีกับนางสักเท่าไร แต่ทั้งสองดันเกิดมีความสัมพันธ์กันไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี หลังจากโบกมือให้คนอื่นๆ ออกไป ถึงได้ขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าถ่อมาที่นี่ทำไม?”
หวงฝู่จวินโหรวนั่งลงเองโดยไม่ต้องเชิญ พอแบมือ แหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งก็ลอยจากฝ่ามือเข้ามา “ข้าก็มาแสดงความยินดีที่ผู้บัญชาการหนิวได้เลื่อนขั้นน่ะสิ รีบมามอบของขวัญให้ อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการหนิวไม่ยินดีต้อนรับ?”
เหมียวอี้ไม่เชื่อหรอกว่านางตั้งใจมาแสดงความยินดีกับตน “เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่ มีอะไรก็พูดมา”
“นำของขวัญมามอบให้จริงๆ” หวงฝู่จวินโหรวตอบ
“ไม่มีธุระอย่างอื่นเหรอ?” เหมียวอี้ถามย้ำ
“ไม่มี!” นายส่ายหน้า
เหมียวอี้ทำสีหน้าสงสัย ยื่นมือไปคว้าแหวนเก็บสมบัติที่ลอยเข้ามาแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู ข้างในมีของขวัญเล็กน้อยเพื่อแสดงน้ำใจอยู่จริงๆ เป็นยาเจี๋ยตันขั้นสามจำนวนสิบเม็ดเท่านั้น สำหรับเขาในตอนนนี้ ไม่นับว่าเป็นของขวัญล้ำค่าอะไร เขานำกระดาษที่ได้รับเมื่อครู่นี้ใส่เข้าไป แล้วเก็บแหวนเก็บสมบัติเอาไว้ “ข้ารับของขวัญไว้แล้ว ถ้าไม่มีธุระอย่างอื่นแล้ว…”
“หนิวโหย่วเต๋อ!” หวงฝู่จวินโหรวพูดตัดบท “ข้าขัดหูขัดตาเจ้าขนาดนั้นเชียวเหรอ? เขาว่ากันว่าเป็นสามีภรรยากันคืนเดียวเท่ากับติดนี้บุญคุณกันไปร้อยวัน มิหนำซ้ำพวกเราก็ไม่ได้เป็นสามีภรรยากันแค่คืนเดียวเสียหน่อย ทำไมเจ้าใจแข็งขนาดนี้?”
เหงื่อแตกพลั่ก! ถ้าคำพูดนี้เผยแพร่ออกไปต้องแย่แน่ๆ เหมียวอี้รีบยืนขึ้นแล้วเดินไปดูนอกประตู เมื่อเห็นว่าไม่มีใครถึงได้โล่งอก รีบเดินกลับมายืนตรงหน้านาง ก้มมองลงพร้อมกล่าวเสียงต่ำ “หวงฝู่จวินโหรว ข้าเคยบอกแล้ว เรื่องระหว่างเรามันผ่านไปแล้ว เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่?”
หวงฝู่จวินโหรวที่กำลังนั่งเงยหน้าขึ้น จ้องมองเขาพลางกัดริมฝีปาก จากนั้นก็ยิ้มหวานทันที “ได้! ข้าจะไม่พูดถึงความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ของเราอีก ข้าอุตส่าห์ยอมรับผิดแล้ว เจ้ายังจะแข็งใจตบข้าได้ลงคอเหรอ ข้ามีน้ำใจนำของขวัญมามอบให้ ต่อให้เจ้าจะไม่เชิญข้าดื่มน้ำชา แต่คงไม่ถึงขั้นต้องรีบไล่ข้าออกไปหรอกมั้ง?”
เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง “เจ้าคิดว่าระหว่างเรามีอะไรดีๆ ให้คุยกันเหรอ?”
หวงฝู่จวินโหรวแค้นจนกัดฟันกรอด ไม่รู้ว่ามีผู้ชายตั้งมากมายเท่าไรที่ใฝ่ฝันถึงนาง แต่เจ้าบ้านี่กลับอยากจะหนี นางจึงยืนขึ้นอย่างช้าๆ แล้วเผชิญหน้าด้วยรอยยิ้ม “เดินดูที่พักของเจ้าสักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง?”
“ตามสะดวก!” เหมียวอี้เบี่ยงตัวหลีกทางให้นาง หลบออกจากลมหายใจหอมที่นางพ่นรดหน้า แต่ก็พูดเสริมอีกว่า “ทางที่ดีเจ้ารีบๆ หน่อยเถอะ อยู่ที่นี่นานจะทำให้คนสงสัย”
หวงฝู่จวินโหรวหมุนตัว มองไปรอบๆ ห้องโถงแวบหนึ่ง แล้วพูดเรื่อยเปื่อยว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด ข้าเคยกัดเจ้าที่นี่!”
เหมียวอี้หน้าบึ้งทันที นั่นเป็นตอนที่โค่วเหวินหลานเป็นผู้บัญชาการ ขณะกำลังจะกล่าวเตือน นางก็เดินไปที่โถงด้านหลังแล้ว
กลัวนางจะวางกับดักอะไร เหมียวอี้เดินตามหลังนางไป ตามไปถึงลานบ้านด้านหลัง
เมื่อเดินมาถึงโถงหลักด้านหลัง หวงฝู่จวินโหรวก็ชี้ไปที่ศาลเจ้าของตำหนักสวรรค์ “ยังไม่เคยเห็นชัยภูมิถ้ำสวรรค์ชั้นหนึ่งของของผู้บัญชาการเลยว่าข้างในเป็นอย่างไร ถ้าไม่ถือสาข้าขอเข้าไปดูหน่อยสิ?”
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “ทางที่ดีเจ้าอย่าเล่นไม่ซื่อนะ” เขาโบกมือร่ายพลังอิทธิฤทธิ์ เปิดประตูมายาทางเข้าให้
“ในสายตาเจ้า ข้าจิตใจอำมหิตขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
“เจ้าไม่ได้ทำร้ายข้าแค่ครั้งสองครั้งใช่มั้ยล่ะ?”
“เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าเรื่องของเรามันผ่านไปแล้ว ทำไมเอาแต่จดจำไว้ล่ะ?” หวงฝู่จวินโหรวถามกลั้วหัวเราะ แล้วก้าวเข้าไปในประตูมายา
ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ นางกำลังเดินเอ้อระเหยลอยชาย เหมียวอี้จ้องทุกการกระทำของนางอย่างระมัดระวัง กลัวว่านางจะเล่นไม่ซื่อ
หลังจากเดินวนดูทั่วแล้ว เขาก็ถามว่า “สิ่งที่ควรเห็นก็ได้เห็นแล้ว ถ้าอยู่นานกว่านี้ จะไม่ให้คนอื่นคิดมากก็คงยาก” เขากล่าวส่งแขกอีกครั้ง
แต่ใครจะไปคาดคิด หวงฝู่จวินโหรวที่หันหลังให้เขายกมือถอดปิ่นปักผมออก พอสะบัดผมเบาๆ ผมยาวดำขลับก็สยายลงมาคลุมบ่าราวกับน้ำตก แล้วเดินตรงไปที่ห้องนอน “ข้าไม่ไปไหนแล้ว ข้าจะอยู่ที่นี่” พูดจบก็ผลักประตูเข้าไป
“…” เหมียวอี้ตาค้างนิดหน่อย ป้องกันเป็นหมื่นเป็นพันอย่าง แต่ก็ป้องกันอุบายนี้ไม่ได้ ผู้จัดการร้านสมาคมวีรชนผู้สง่าผ่าเผยมาพักอยู่ที่นี่ ล้อเล่นอะไรกัน? เขารีบเดินตามเข้าไป แล้วดึงแขนนาง อยากจะดึงนางออกมา
หวงฝู่จวินโหรวถือโอกาสหันตัวมา กางแขนสองข้างคล้องคอ ยื่นริมฝีปากแดงสวยเข้ามาอุดปากไว้ ท่านขุนนางเหมียวออกแรงผลักทันที ทว่าวรยุทธ์ไม่สูงเท่าอีกฝ่าย กลับโดนนางหมุนตัวพาล้มลงบนเตียงด้วยกันทั้งคู่ นางอยู่บนเขาอยู่ล่าง ตอนนี้ริมฝีปากทั้งคู่ถึงได้แยกออกจากกัน ดวงตาทั้งสี่ดวงสบประสาน ผมงามดุจผ้าม่านของนางย้อยลงมาบนใบหน้าของเขา
กลิ่นกายหอมของนางโชยเข้าจมูก รู้สึกได้ว่าเรือนร่างงามที่นุ่มเด้งจนน่าทึ่งของนางกำลังกดทับอยู่บนร่างตน เหมียวอี้จินตนาการได้เลยว่าภาพยามนางถอดเสื้อผ้าออกหมดเป็นอย่างไร ท่วงท่าที่งดงามแพรวพราวแบบนั้น เขาไม่ได้ลิ้มลองบนตัวนางแค่ครั้งเดียว มันอัศจรรย์มาก พอนึกเชื่อมโยงไปถึงฉากแบบนั้นอีกครั้ง เหมียวอี้ก็รู้สึกร้อนผ่าวตรงท้องน้อยทันที
ผู้ชายทนความเย้าย้วนประเภทนี้ไม่ไหว เกิดความรู้สึกแล้วแท้ๆ แต่กลับยังปากแข็ง “ข้าไม่ชอบเจ้าตรงนี้แหละ!”
หวงฝู่จวินโหรวจูบเบาๆ บนริมฝีปากเขา แล้วถามอีก “เจ้าไม่คิดถึงข้าสักนิดเชียวเหรอ?”
“ไม่คิดถึง!” ปากเหมียวอี้ก็พูดแบบนี้ แต่มือกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร อย่างเช่นผลักอีกฝ่ายออกไป
หวงฝู่รู้สึกได้ว่าเขาปากไม่ตรงกับใจ เพราะสัมผัสได้ว่าร่างกายท่อนล่างของเขาไม่ปกติแล้ว นางกัดริมฝีปากแดงเบาๆ ความปรารถนาวูบไหวอยู่ในดวงตางาม “ตอนนี้ล่ะ? ตอนนี้ไม่คิดถึงเหรอ?”
“ไม่คิด!” เหมียวอี้ยังคงปากแข็ง
หวงฝู่ลุกขึ้นแล้วหันหลังให้ ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกเบาๆ เหมียวอี้ที่ลุกขึ้นนั่งจึงได้เห็นภาพที่ทำให้เลือดลมสูบฉีด เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงมองดูเงียบๆ
ผ่านไปไม่นาน ชุดกระโปรงก็ตกลงพื้น เรือนร่างอ่อนช้อยขาวหมดที่อยู่ใต้ม่านผมงามเปิดเผยออกมา ผิวเนียนสวยกลี้ยงเกลา โดยเฉพาะบั้นท้ายขาวที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของนาง และเป็นจุดที่ดึงดูดเหมียวอี้มากที่สุดเช่นกัน ทั้งใหญ่ทั้งขาว ทำให้เหมียวอี้หายใจถี่กระชั้นเล็กน้อย
หวงฝู่ที่กำลังกัดริมฝีปากเหมือนจะตัวสั่นเล็กน้อย นางหันตัวมาอย่างช้าๆ เผยให้เห็นด้านหน้าที่เย้ายวนหัวใจ เดินเข้ามาช้าๆ พร้อมถามเสียงสั่น “ตอนนี้คิดถึงหรือยัง?”
สุดท้ายสติสัมปชัญชะก็พังทลาย เอาชนะความปรารถนาไม่ได้ เหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ใช้มือข้างหนึ่งดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด แล้วโถมทับลงบนเตียง…
หลังจากพายุฝนพรั่งพรู ร่างเปลือยสองร่างก็นอนกอดกัน หวงฝู่จวินโหรวที่ผมเผ้ายุ่งสยายพึมพำเบาๆ ว่า “ข้ารู้ว่าทำแบบนี้ไม่ถูก แต่ข้าไม่มีทางถอนตัวได้…”
เหมียวอี้ไม่รู้จะตอบอย่างไร ขณะที่ใช้มือลูบไล้เรือนร่างของนาง ก็กล่าวเตือนเสียงต่ำว่า “นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ!”
หวงฝู่จวินโหรวตอบเสียงต่ำเช่นกัน “อืม” ซุกศีรษะเข้าไปอ้อมอกเขา…
นอกจวนผู้บัญชาการ อวิ๋นจือชิวนำพ่อครัวมาถึงแล้ว นางยื่นนามบัตรให้ มาแสดงความยินดีที่เหมียวอี้ได้เลื่อนขั้นเช่นเดียวกัน ถึงแม้ระหว่างทั้งสองจะไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ แต่ภายนอกก็ยังต้องทำให้ดูสักหน่อย ในเมื่อแสดงละครและก็ต้องแสดงให้สมจริง
เมื่อเห็นว่าเป็นท่านนี้ ทหารยามก็ยิ้มต้อนรับทันที ตอนนี้ไม่ใครบ้างที่ไม่รู้ ว่าผู้บัญชาการหนิวถูกใจผู้หญิงที่มีสามีแล้วคนนี้ ตามจีบท่านนี้มาตลอด ถ้าผู้บัญชาการเห็นนางมาจะต้องดีใจมากแน่นอน
นอกจากจะไม่กล้าขัดใจแล้ว ยังเชิญให้เข้ามาในลานบ้านของจวนผู้บัญชาการโดยตรง เชิญให้นางรอสักครู่ แล้วก็รีบวิ่งเข้าไปรายงาน
“เถ้าแก่เนี้ย ดูที่ใต้ร่มไม้นั่นสิ” จู่ๆ พ่อครัวก็เตือนอวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างๆ
อวิ๋นจือชิวหันหน้ามองตาม เห็นเกี้ยวหลังหนึ่งจอดอยู่ นางไม่ได้เห็นเกี้ยวหลังนี้เป็นครั้งแรก เป็นเกี้ยวของหวงฝู่จวินโหรวไงล่ะ นางแสยะยิ้มทันที “อีเห็นมาอวยพรปีใหม่ให้ไก่ ไม่ได้หวังดีหรอก คอยดูเถอะ สักวันข้าจะต้องสั่งสอนนาง บังอาจมาคิดไม่ซื่อกับผู้ชายของข้า !”
ที่นางบอกว่าคิดไม่ซื่อ ย่อมไม่ได้หมายความว่าหวงฝู่จวินโหรวชอบเหมียวอี้อยู่แล้ว แต่หมายถึงหวงฝู่จวินโหรวคิดจะวางแผนทำร้ายเหมียวอี้ นางแน่ใจว่าหวงฝู่จวินโหรวมามาที่ดีโดยไม่ได้หวังดี
พ่อครัวพยักหน้าเบาๆ เช่นกัน ในดวงตาฉายแววดุร้าย เขารู้ว่าเหมียวอี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของทุกคน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้ ก็ไม่เป็นผลดีกับทุกคนเลย ตอนนี้ทุกคนไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากรฝึกตน ถ้าเทียบความเร็วในการฝึกตนกับเมื่อก่อน ก็เรียกได้ว่ารุดหน้าไปหลายพันลี้ ดังนั้นจะปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้ไม่ได้ แต่ก็รู้ว่าถ้าอาศัยกำลังความสามารถของพวกเขาในตอนนี้ ยังไม่มีทางแตะต้องหวงฝู่จวินโหรวได้ ทำได้เพียงอดทนไว้ก่อน
ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ ร่างสองร่างยังคงพัวพันกันอยู่บนเตียง แต่ด้านนอกกลับมีเสียงดัง “ผู้บัญชาการ เถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆามาแสดงความยินดีขอรับ!”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เหมียวอี้ตกใจจนแทบขวัญหนีดีฝ่อ ประเดี๋ยวเดียวก็ผุดลุกออกจากเตียง ตอบเสียงดังว่า “ข้ากำลังมีแขกอยู่ เชิญให้นางรอก่อน!” ขณะที่พูดก็รีบเก็บเสื้อผ้าออกมาใส่
อานุภาพยามเมียหลวงมาเยือนนั้นรุนแรงเกินไป สำหรับเขาในตอนนี้ นางน่ากลัวยิ่งกว่านักพรตระดับบงกชรุ้งเสียอีก
หวงฝู่จวินโหรวเองก็ตกใจจนฉุกละหุกลุกขึ้นนั่งเช่นกัน ตกใจจนหน้าถอดสี ใจหายใจคว่ำ!
นางเองก็ได้แต่กล้าลักลอบทำเรื่องแบบนี้กับเหมียวอี้ แต่ไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางแก้ตัวกับสมาคมวีรชนได้เลย
สุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียคู่นี้เรียกได้ว่าลุกลี้ลุกลน ก่อนหน้านี้ลืมสิ้นเสียทุกอย่าง ตอนนี้มานึกสียใจทีหลังแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าทำเรื่องแบบนี้ในเวลานี้
“รีบช่วยข้าจัดแต่งทรงผมหน่อย!” เหมียวอี้นั่งตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ขณะที่เขากำลังใส่เสื้อผ้า หวงฝู่ที่ยังโป๊เปลือยก็รีบเข้ามาช่วยทำผมให้เขา
หลังจากแต่งตัวทำผมเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็รีบลุกขึ้นพร้อมบอกว่า “เจ้ารีบจัดการตัวเองสักหน่อย หลังจากออกไปแล้วห้ามเดินไปที่โถงหลัก ให้ออกทางประตูด้านข้าง”
หวงฝู่จวินโหรวรีบพยักหน้ารีบปาก ใช้คำว่ากินปูนร้อนท้องมาบรรยายจะเหมาะที่สุด
เหมียวอี้รีบเร่งฝีเท้าเดินออกไป หลังจากออกไปแล้ว ตอนอยู่ในลานบ้านก็พบว่าบนร่างกายตัวเองมีกลิ่นของหวงฝู่จวินโหรว ขนาดตัวเองยังได้กลิ่นเลย ชัดเจนเกินไปแล้วมั้ง เขาจึงรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ รอบกายขยับเองโดยไร้ลม กำจัดกลิ่นที่ติดอยู่บนร่างกายออก
หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีกลิ่น เขาถึงได้ตบหน้าหน้าอก ปรับสีหน้าอารมณ์ให้มั่นคงแล้วออกจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์
ส่วนหวงฝู่จวินโหรวที่ลุกลี้ลุกลนอยู่ในห้องนอน ไม่นานก็พบว่าตัวเองลืมสวมใส่อะไรบางอย่าง นางมองซ้ายมองขวา แล้วหยิบเสื้อชั้นในจากใต้เตียง คิดจะยัดเก็บเข้าในกำไลเก็บสมบัติ แต่ไม่นานก็ชะงัก ในนี้คือชัยภูมิถ้ำสวรรค์ที่อยู่ในจวนขุนนางของหนิวโหย่วเต๋อ คนนอกเข้ามาไม่ได้ เถ้าแก่เนี้ยของร้านโฉมเมฆาก็ยิ่งไม่มีทางเข้ามาในที่ลับตาคนแบบนี้ แล้วจะมีอะไรให้นางกลัวล่ะ? จะตื่นตระหนกขนาดนี้ไปทำไมกัน?
พอคิดได้แบบนี้ แล้วนึกถึงภาพลุกลี้ลุกลนเมื่อครู่ จู่ๆ นางก็หลุดหัวเราะ ขนาดตัวเองยังรู้สึกบันเทิงมาก
พอกลับมามองดูเสื้อชั้นในตู้โตว[1]ในมือตัวเอง นางก็กัดริมฝีปาก ตัดสินใจจะทิ้งของที่ระลึกไว้ให้ผู้ชายน่ารังเกียจคนนี้ ไหนๆ ก็ได้ครอบครองความบริสุทธิ์ของนางไปแล้ว นอนก็นอนด้วยกันแล้ว บทจะลืมก็ลืมกันง่ายๆ งั้นเหรอ ไม่มีทาง!
นางก็เลยสะบัดมือ โยนเสื้อชั้นในไว้บนเตียงของเหมียวอี้เสียเลย ส่วนตัวเองก็นั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างสบายใจ จัดแต่งทรงผมตัวเองอย่างเนิบนาบเอาใจใส่ หลังจากออกไปแล้วคนจะได้มองไม่เห็นพิรุธ
นางนั่งหวีผมงามอยู่หน้ากระจกอย่างสุขกายสบายใจ ปากพึมพำร้องเพลงเบาๆ แต่พอนึกถึงภาพที่ตัวเองหลงระเริงเป็นฝ่ายรุกยั่วยวนเมื่อครู่นี้ นางก็แก้มแดงเหมือนแสงแดดยามสายัณห์ทันที
…………………………
[1] เสื้อชั้นในตู้โตว 肚兜 ผ้าปิดหน้าอกของสตรีจีนสมัยโบราณ
บทที่ 984 กินปูนร้อนท้อง
โดย
Ink Stone_Fantasy
อวิ๋นจือชิวที่สวยสง่าเย้ายวนยืนเงียบๆ อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ กระโปรงปลิวเบาๆ อยู่ท่ามกลางสายลม บางครั้งก็ใช้นิ้วงามเกลี่ยไรผมที่ปลิวตามลมไปทัดไว้ที่หลังหู เงยหน้าเล็กน้อยมองไปทางตำหนักคุ้มเมืองที่อยู่ไกลๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
นางคือดอกไม้สดที่กำลังเจิดจ้าสว่างไสว กำลังเบ่งบานรับแสงแดดที่ส่องลงมา ทั้งนุ่มนวลทั้งสุขุม เสน่ห์อันดิบเถื่อนเหมือนสุราหอมที่เคยมี ในตอนนี้นางต้องสำรวมท่าทีเอาไว้ก่อน เปลี่ยนเป็นรอคอยด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น
ภาพนี้ฝังลึกอยู่ในหัวของเหมียวอี้ตลอดไป เหมียวอี้ที่ออกมาแล้วเห็นฉากนี้ยืนนิ่งทันที เพียงมองดูนางเงียบๆ แววตาพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน
เดิมทีทั้งสองเป็นสามีภรรยากันอย่างสง่าผ่าเผย ตอนนี้กลับต้องทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ เหมียวอี้รู้ว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากทำแบบนี้ และรู้ด้วยว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากให้ผู้ชายของตัวเองแต่งงานรับอนุภรรยาหลายคน ทุกสิ่งที่นางทำล้วนคำนึงถึงผลประโยชน์ของเขา
บางครั้งทั้งสองก็เถียงกัน หาเรื่องกัน ถึงขั้นด่าทอและลงไม้ลงมือ แต่เรื่องบางอย่างเหมียวอี้ก็รู้ชัดอยู่แก่ใจ ผู้หญิงคนนี้คิดกับเขาอย่างไร ในใจเข้ารู้อยู่แจ่มแจ้ง ก็เพราะอย่างนี้ เขาถึงได้รู้สึกผิดมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่จริงแล้ว บางครั้งเวลาที่อวิ๋นจือชิวระเบิดอารมณ์ใส่ เหมียวอี้ก็ไม่ได้กลัวนางหรอก เขาแค่ยอมให้เท่านั้น เขาแค่ไม่อยากทำให้นางเสียใจ เขาอยากให้ผู้หญิงคนนี้เข้าใจ ว่าในปีนั้นตอนที่ทั้งสองมีฐานะแต่งต่างกันลิบลับ แต่นางกลับยินดีเลือกเขา เขาก็ได้บอกนางไว้แล้ว ว่าจะไม่มีทางทำให้นางผิดหวัง จะรับผิดชอบกับการเลือกของนางไปทั้งชีวิต แต่เรื่องระหว่างเขากับหวงฝู่จวินโหรวเมื่อครู่นี้เรียกว่าอะไรล่ะ เขาไม่ได้กลัวนางหรอก เพียงแต่รู้สึกผิดอยู่ในใจ เพียงแค่ในใจเขามีนางอยู่จริงๆ
ก็เหมือนกับคำสัญญาที่ให้ไว้กับนางในปีนั้น เขาอยากจะอยู่กับนางอย่างมีความสุขไปทั้งชีวิตจากใจจริง
ทว่าความรู้สึกระหว่างชายหญิง บางครั้งก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เขารู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองไม่ได้อยากทำแบบนั้นกับหวงฝู่จวินโหรว ก่อนเกิดเรื่องเขาไม่ได้อยากจะทำอย่างนั้น หลังเกิดเรื่องเขาก็ไม่อยากเหมือนกัน แต่ดันทำเรื่องแบบนั้นกับหวงฝู่จวินโหรวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เถ้าแก่เนี้ย!” พ่อครัวถ่ายทอดเสียงเตือน
อวิ๋นจือชิวหันกลับมามอง เป็นเหมียวอี้กำลังยืนมองตนอยู่บนบันได สายตาแบบนั้นทำให้ในใจนางรู้สึกอบอุ่น นางจึงพยักหน้าพลางยิ้มบางๆ
พอเหมียวอี้ได้สติกลับมา ก็ทำท่าทางเหมือนดีใจเหนือความคาดหมาย แสดงละครให้คนนอกเห็นทันที พอเดินลงบันไดมาก็กุมหมัดคารวะต้อนรับตั้งแต่อยู่ไกลๆ “เถ้าแก่เนี้ยให้เกียรติมาเยือน ขออภัยที่ต้อนรับไม่ดี ขออภัยที่ต้อนรับไม่ดี!”
คนที่มองเห็นภาพนี้อยู่ไกลๆ กลั้นขำ เมื่อครู่นี้มองจนเหม่อแล้ว คิดในใจว่าท่านผู้บัญชาการคงจะสนใจผู้หญิงคนนี้จริงๆ ตอนผู้จัดการจากร้านค้าใหญ่ๆ มาหา ก็ยังไม่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเองแบบนี้เลย มีแค่ผู้หญิงคนนี้คนเดียวเท่านั้น สงสัยต่อไปจะต้องประจบผู้หญิงคนนี้สักหน่อยแล้ว ส่วนการที่นายท่านไปชอบผู้หญิงที่มีสามีแล้วแบบนี้ จะมีคุณธรรมหรือไร้คุณธรรม นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะต้องพิจารณาแล้ว… เอ! ทำไมไม่เห็นผู้จัดการหวงฝู่นั่นออกมาเสียที?
ไม่มีใครคิดไปถึงเรื่องอย่างว่า เรื่องเกิดมาจนป่านนี้แล้ว บนโลกนี้หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง ความแค้นระหว่างท่านผู้บัญชาการกับผู้จัดการหวงฝู่ พวกเขาก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน เหมือนนายท่านจะโดนผู้จัดการหวงฝู่นั่นบีบจนต้องหนีมาที่เขตเมืองตะวันออก แทบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว ไม่เห็นหรือว่าเมื่อครู่นี้ไม่มีการเชิญให้ดื่มน้ำชาเลย
แต่พอลองคิดดูอีกที ก็รู้สึกว่าผู้จัดการหวงฝู่ยังอยู่ในห้อง ใครจะไปคิดว่าตอนลับหลังศัตรูคู่นี้จะทำเรื่องที่พวกเขาจินตนาการไม่ถึง
“รบกวนให้ผู้บัญชาการออกมารับด้วยตัวเองแล้ว!” อวิ๋นจือชิวคำนับด้วยท่าทางที่งดงาม พ่อครัวกุมหมัดคารวะตามด้วยท่าทางจริงจัง
“ไม่ต้องมากพิธี!” เหมียวอี้ยิ้มพลางผายมือ ปรากฏว่าสังเกตเห็นว่าอวิ๋นจือชิวกำลังมองตนด้วยสายตาแปลกๆ มองสำรวจศีรษะจดเท้า ทั้งยังขมวดคิ้วด้วย
ชั่วพริบตาเดียว ในใจเหมียวอี้ก็เต้นตึกตัก รู้สึกขาดความมั่นใจถึงขีดสุด หรือว่าตัวเองเก็บกวาดไม่เรียบร้อย โดนผู้หญิงคนนี้สังเกตเห็นอะไรบางอย่างเข้าแล้ว? ตอนนี้จะทำยังไงดีล่ะ ถ้าผู้หญิงคนนี้ปรี๊ดแตกขึ้นมาคงแย่แน่!
เมื่อเห็นว่าอวิ๋นจือชิวไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมากมาย เขาก็ฝืนตั้งสมาธิให้มั่นคง แล้วหันตัวยื่นมือเชิญ “เชิญด้านใน!”
อวิ๋นจือชิวรักษาระยะห่างกับเขา สำรวมท่าทีให้คนนอกเห็น พยักหน้าเบาๆ แสดงคำขอบคุณ แล้วตามเหมียวอี้เข้าไปในโถงหลัก ส่วนพ่อครัวที่เดินตามหลังไปก็ยืนเฝ้าอยู่ข้างประตู ทำท่าเหมือนเทพเฝ้าประตู
ย่อมมีคนรีบเข้ามารินน้ำชาให้ เพียงแต่เมื่อเทียบกับแขกคนอื่นๆ คนรินน้ำชายิ้มให้อวิ๋นจือชิวมากเป็นพิเศษ เชิญให้ดื่มน้ำชาอย่างเคารพนอบน้อม
ส่วนเหมียวอี้ก็โบกมือเรียกคนรินน้ำชาเข้ามา แล้วถ่ายทอดเสียงถาม “ผู้จัดการหวงฝู่ของร้านสมาคมวีรชนบอกว่าจะเดินเล่นอยู่ในจวนผู้บัญชาการ เจ้าไปเฝ้าข้างนอกไว้ ถ้าเห็นนางออกไปแล้ว ก็เข้ามารายงานทันที”
“ขอรับ!” คนคนนั้นเอ่ยรับ
เหมียวอี้บอกอีกว่า “บอกด้านนอกด้วย ว่าถ้าข้าไม่อนุญาต ก็ห้ามให้ใครเข้าใกล้ที่นี่”
คนคนนั้นรีบแอบมองเถ้าแก่เนี้ยเงียบๆ แวบหนึ่ง คิดว่านายท่านผู้บัญชาการคงจะอยากอยู่กับท่านนี้ตามลำพัง จึงพยักหน้าอย่างรู้อยู่แก่ใจ แล้วรีบออกไปปฏิบัติตาม
ในห้องไม่มีคนนอกแล้ว ตรงประตูก็มีพ่อครัวเฝ้า เหมียวอี้เลิกวางมาดผู้บัญชาการ ลุกขึ้นเดินไปนั่งที่โต๊ะน้ำชาข้างๆ อวิ๋นจือชิว แล้วถามพร้อมรอยยิ้ม “เข้ามาได้ยังไง?”
อวิ๋นจือชิวเหลือบมองแวบหนึ่ง แต่เหมียวอี้สังเกตเห็นทันทีว่าในแววตานางแฝงความหมายลึกซึ้ง ในใจเริ่มกังวลขึ้นมาอีกแล้ว
ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ อวิ๋นจือชิวยืนขึ้นแล้ว นางเดินวนไปรอบๆ ห้องโถง เหลียวซ้ายแลขวา เหมือนกำลังขมวดคิ้วหาอะไรบางอย่าง
เหมียวอี้ตระหนกจนใจสั่น ยืนขึ้นเช่นกัน ยิ้มแห้งๆ พลางถามว่า “เจ้ามองหาอะไรเหรอ?”
“หวงฝู่จวินโหรวล่ะ?” อวิ๋นจือชิวถามกลับ
ท่านขุนนางเหมียวตกตะลึงพรึงเพริด แต่พยายามทำท่าเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางมาที่นี่?”
“เหลวไหล!” อวิ๋นจือชิวกลอกตาใส่เขาอย่างหยาดเยิ้ม “เกี้ยวของนางจอดอยู่ข้างนอก เจ้าเห็นข้าเป็นคนตาบอดรึไง?”
“…” อย่างนี้นี่เอง เหมียวอี้รู้สึกเหมือนตัวเองพลาดก้าวเท้าตกหน้าผาสูงหมื่นจั้ง แต่ใช้มือคว้าขอบหน้าผาปีนขึ้นมาได้ทันเวลา เหมือนยกภูเขาออกจากอก จึงพูดโกหกออกมาส่งเดชว่า “ข้ากับนางไม่มีอะไรดีๆ ต้องคุยกันหรอก คุยกันไม่กี่คำนางก็ออกไปแล้ว บอกว่าจะเดินเล่นในจวนผู้บัญชาการสักหน่อย เจ้าเองก็รู้ว่านางมีคนหนุนหลัง ข้าไม่สะดวกจะขัดใจนางมากเกินไป เลยตามใจ”
อวิ๋นจือชิวจ้องเขาครู่หนึ่ง จ้องจนเหมียวอี้ขนลุก พอหันหน้าไป นางก็มุ่งตรงไปที่โถงด้านหลังแล้ว
เหมียวอี้ตระหนกทันที รีบดึงแขนนางไว้ “เจ้าทำอะไร?” เขาเองก็ไม่รู้ว่าหวงฝู่จวินโหรวออกไปหรือยัง ถ้าโดนกักไว้ด้านหลังคงแย่แน่!
อวิ๋นจือชิวตีมือเขา แล้วขมวดคิ้วมุ่นจ้องสำรวจเขาศีรษะจดเท้า
ยังคงไม่สบายใจอยู่เหมือนเดิม เหมียวอี้แทบจะเสียสติเพราะปฏิกิริยาของนาง อดไม่ได้ที่จะถามอย่างกินปูนร้อนท้อง “วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป เอาแต่มองข้าแบบนี้ทำไม?”
อวิ๋นจือชิวใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าผากของเขา แล้วก็จิ้มที่จอนผมข้างขวา “ผมเจ้านี่หวียังไง ข้างนี้หวีสั้นไปอย่างเห็นได้ชัด เจ้าไม่รู้เหรอว่าอีกข้างหนึ่งสูงอีกข้างหนึ่งต่ำ? เจ้าออกมารับแขกในสภาพแบบนี้เนี่ยนะ? น่าขายหน้ามั้ย? ข้าว่าเจ้าข้างกายเจ้าขาดผู้หญิงดูแลไม่ได้หรอก น่าเสียดายที่เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ไปสะดวกมาหาเจ้าที่นี่”
เหมียวอี้ราวกับได้ยกหินก้อนใหญ่ออกจากใจ ก็ยังนึกอยู่ว่าทำไมนางเอาแต่มองเขาแบบนี้ ที่แท้ก็เป็นเพราะจอนผมนี่เอง!
เขาเอามือลูบผมตัวเองนิดหน่อย รู้ดีอยู่แก่ใจ เมื่อครู่นี้ตระหนกตกใจเกินไปจริงๆ หวงฝู่จวินโหรวคงฉุกละหุกจนไม่ได้สังเกตเห็นแน่นอน ตกใจแทบตาย!
อวิ๋นจือชิวหันตัวเดินไปที่โถงด้านหลัง เหมียวอี้รีบไปคว้าแขนนางไว้อีก “ทำอะไรของเจ้า?”
“เจ้าเอาแต่ดึงแขนข้าทำไม? ไม่กลัวคนอื่นมาเห็นเหรอ?”
“ไม่ใช่ ข้าถามว่าเจ้าจะเดินไปข้างหลังทำไม?”
อวิ๋นจือชิวตอบอย่างหงุดหงิดว่า “ข้างหลังไม่ใช่สถานที่ลับของเจ้านี่นา? คนอื่นเข้าไปไม่ได้ อย่าบอกนะว่าข้าก็เข้าไปไม่ได้เหมือนกัน? ทรงผมเจ้าเป็นแบบนี้แล้วจะออกไปเจอคนได้อย่างไร ไปข้างหลังสิ ข้าจะช่วยหวีผมให้เจ้าใหม่” ขณะที่พูดก็ดึงแขนเหมียวอี้
เหมียวอี้จะกล้าพานางไปข้างหลังได้อย่างไร ถ้าเจอหวงฝู่จวินโหรวขึ้นมา ก็ไม่มีทางพูดกลบเกลื่อนได้แล้ว จึงพยายามดึงนางไว้ทันที
“เจ้าเป็นอะไรไป ข้างหลังไม่ได้ซ่อนผู้หญิงไว้ใช่มั้ย?” อวิ๋นจือชิวฉงนใจ
ไม่ต้องพูดถึงเลย เดาถูกแล้วล่ะ! แต่ท่านขุนนางเหมียวไม่ยอมรับแน่นอน กลับตอบด้วยท่าทีจริงจังว่า “ไม่สะดวก โค่วเหวินหลานอยู่ข้างหลัง”
การที่เขาอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะไม่ได้อ่อนหัด ความสามารถในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้เรียกได้ว่ายอดเยี่ยม ตราบใดที่กระดาษหน้าต่างไม่ถูกเจาะ เขาย่อมมีวิธีตลบตะแลงอยู่แล้ว
“เอ…” อวิ๋นจือชิวชะงัก แล้วอดไม่ได้ที่จะถามเสียงต่ำอย่างสงสัย “ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าส่งต่องานให้กันไปแล้วเหรอ? เขาจะมาที่นี่อีกทำไม?”
เหมียวอี้กดเสียงตอบว่า “เขามาเก็บของ ข้างหลังยังมีของของเขาอยู่นิดหน่อย เขาจะนำไปไว้ที่ตำหนักคุ้มเมือง”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! อวิ๋นจือชิวพยักหน้า ไม่สะดวกจะให้โค่วเหวินหลานรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจริงๆ ทำได้เพียงล้มเลิก
ขณะเดียวกันนี้เอง พ่อครัวที่เฝ้าอยู่ตรงประตูก็ถ่ายทอดเสียงเตือนทั้งสอง “มีคนมาแล้ว”
ทั้งสองไม่สะดวกจะฉุดกระชากลากยื้อกันอีก รีบถลันตัวออกจากกัน กลับไปนั่งอย่างสง่าผ่าเผยที่ตำแหน่งของตัวเอง
เป็นลูกน้องคนที่ออกไปก่อนหน้านี้ หลังจากเข้ามาคำนับแล้ว ก็ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “นายท่าน ผู้จัดการหวงฝู่ไปแล้วขอรับ”
“อืม! รู้แล้ว” เหมียวอี้พยักหน้าด้วยท่าทางจริงจัง ในใจเหมือนยกหินก้อนใหญ่ออกจากอก แล้วเตือนอีกว่า “ถ้าข้าไม่อนุญาต ก็ห้ามใครเข้ามาทั้งนั้น รวมทั้งเจ้าด้วย!”
หลังจากลูกน้องออกไปแล้ว ท่านขุนนางเหมียวก็เรียกได้ว่ายิ้มออกมาจากใจจริง ยืนขึ้นแล้วกวักมือบอกอวิ๋นจือชิว “ไป ข้าจะพาเจ้าไปดูข้างหลัง”
อวิ๋นจือชิวไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนความคิด นางมองไปทางห้องโถงข้างหลัง แล้วถามอย่างแปลกใจ “ข้าเข้าไปจะเหมาะเหรอ?” นางจะสื่อว่าโค่วเหวินหลานอยู่ข้างหลัง
“ลูกน้องเพิ่งมารายงาน บอกว่าโค่วเหวินหลานไปแล้ว” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม
พอเขาพูดแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็หายกังวลแล้ว ก้าวขึ้นไปควงแขนเขา แล้วพูดคุยยิ้มแย้มเดินเข้าไปที่โถงด้านหลังด้วยกัน “ช่วงนี้เจ้าไม่ได้ไปหาข้าเลย ข้าอยากจะถามมาตลอดว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ได้ยินว่าคนที่ไปสู้กับเฮยหวังนั่น ที่เขตเมืองตะวันตกมีเซี่ยโห้วหลงเฉิงกลับมาคนเดียวเหรอ ส่วนเขตเมืองตะวันออกของเจ้าก็มีคนรอดกลับมาสามคน นักพรตบงกชทองหกสิบกว่าคน สู้รบจนตายหมดเลยจริงๆ เหรอ?”
“ช่วงนี้ไม่สะดวกจะไปหา ตอนที่ยังไม่ได้ตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกอย่างเป็นทางการ ข้าก็ไม่สะดวกจะเพ่นพ่านไปทั่ว กลัวว่าจะมีคนเล่นไม่ซื่อลับหลัง ส่วนคนพวกนั้น ก็ตายแล้วจริงๆ ของวิเศษในมือเฮยหวังร้ายกาจมาก จะว่าไปแล้วก็เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางของปราชญ์ผีซือถูเซี่ยว…” เหมียวอี้เล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นให้ฟังคร่าวๆ
อวิ๋นจือชิวได้ฟังแล้วอกสั่นขวัญแขวน นับว่าเข้าใจแล้ว ว่าตำแหน่งผู้บัญชาการนี้ได้มาเพราะผู้ชายของตนเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นนางก็คงจะเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว ภายใต้สถานการณ์วิกฤต ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายของตนจะพลิกอันตรายให้กลายเป็นความปลอดภัยได้
เรื่องบางเรื่องนางเก็บไว้ในใจไม่กล้าพูดออกมา เหมียวอี้เอาชีวิตไปเล่นครั้งแล้วครั้งเล่า นางกลัวจริงๆ ว่าสักวันเหมียวอี้จะพลาดแล้วกลับมาไม่ได้อีก นี่ไม่ใช่เรื่องที่คิดมากไปเอง แต่เป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้สูง ไม่มีใครที่จะโชคดีรอดชีวิตกลับมาทุกครั้งหรอก ทว่าเมื่อเดินบนเส้นทางนี้แล้ว ก็มีเรื่องมากมายที่ทำตามใจตัวเองไม่ได้…
เหมียวอี้คุ้นชินกับเรื่องแบบนี้จนกลายเป็นปกติแล้ว ไม่รู้สึกว่าเป็นอะไร เขาไม่คิดว่าการรอดชีวิตมาได้เพราะดวงดีอย่างเดียว เรื่องบางเรื่องก็ขึ้นอยู่กับการรับมือยามหน้าสิ่วหน้าขวาน เรื่องราวคล้ายๆ กัน เขาผ่านประสบการณ์มาหลายครั้งแล้วก็ย่อมเข้าใจดี
ทว่าหลังจากฟังจบ อวิ๋นจือชิวก็หันตัวมากอดเขา หมอบศีรษะบนบ่า ปล่อยให้เหมียวอี้ถาม นางเอาแต่ส่ายหน้า ไม่อยากพูดอะไรมาก กอดเข้าไว้แนบแน่น ดวงตาแดงก่ำ แต่กลับไม่ให้เหมียวอี้เห็น ไม่อยากให้เขาเป็นห่วงเกินความจำเป็น ถ้าลดความคิดฟุ้งซ่านลงสักเรื่อง ก็อาจจะช่วยให้เขารอดชีวิตยามที่เขาเผชิญอันตรายก็ได้
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น