องครักษ์เสื้อแพร 981-982

 ตอนที่ 981 ใต้เท้าหวังถามใต้เท้าหวัง

โดย

Ink Stone_Fantasy

เส้นทางอีกราววันครึ่งจะถึงเหลียวหยาง ทหารม้าแนวหน้าแต่ละที่ตามมาตลอดทาง ล้วนตามทัพใหญ่มา


ที่อื่นไม่พูดถึง แค่จากกองกำลังไห่โจวถึงเหลียวหยางตลอดทางมา โจรถูกปราบราบเรียบ เมื่อมีเงินทองล่อใจ พวกทหารพ่ายศึกและโจรร้ายก็ไม่ใช่ภัยร้าย หากเป็นสิ่งของล่าเก็บเพื่อทำเงิน


ทัพใหญ่ยกทัพปราบตะวันออกให้มาสามพันกว่าตำลึงเงิน ก็ไม่ต้องจ่ายอีก ความจริงนั้นกองทัพยินดีจ่ายเงินก้อนนี้ ตามตกลงหัวละสองตำลึง ถูกกว่าส่งทหารทั้งกองออกปราบเสียอีก


เดือนหนึ่งเมืองเหลียวโจวหนาวจริงๆ แต่ทว่ากองกำลังหู่เวยที่มาหลายคนก็เคยขึ้นเหนือเผชิญลมหนาวเช่นนี้ ทหารจากเมืองต้าถงและเมืองจี้โจวก็ปรับตัวได้ดี สำหรับพวกจากเมืองเซวียนฝู่ เดิมก็เป็นทหารจากเมืองเหลียวโจวมาก่อน ยิ่งปรับตัวได้ดีกับอากาศหนาว


แต่หวังทงเองก็ใช้จ่ายไม่ลังเล ยอมจ่ายเงินไปกับสิ่งป้องกันอากาศหนาว ซื้อหาสิ่งของจำเป็นสำหรับกองทัพจากเมืองจี้โจวจำนวนมาก บรรดาทหารกินดีอยู่อุ่น ทุกวันได้เห็นอาหารที่มีน้ำมันสัตว์


กองกำลังหู่เวยไม่ต้องพูดถึง ทหารเมืองต้าถงกับเมืองเซวียนฝู่เดิมเป็นทหารในสังกัดขุนพล เห็นการดูแลแบบนี้มาจนชิน หากทหารราบเมืองจี้โจวหมื่นกว่ามีชีวิตยากลำบาก สามารถมีกินเช่นนี้ได้ ก็ดีใจกันสุดขีด


แม้เป็นเช่นนี้ การเดินทัพทุกวันยังคงไม่ใช่เรื่องสบาย แต่หวังทงล้วนขี่ม้านำทัพ  ขี่ไปตรวจแต่ละหน่วยในกองทัพ


หวังซีเจวี๋ยกับเฉินจวี่ทุกวันขลุกแต่ในรถใหญ่ พวกทหารไม่ได้รู้สึกอันใดกับพวกเขา เห็นแต่หวังทงวันๆ สวมเกราะเดียวกันกับพวกเขาเดินไปมาในกองทัพ ก็คิดถึงสิ่งที่ได้กินได้รับในแต่ละวัน ความรู้สึกแตกต่าง ติดตามแม่ทัพเช่นนี้ย่อมยินยอมรับใช้ด้วยใจ


หวังทงใบหน้าทาน้ำมัน เป็นน้ำมันสัตว์ผสมกับน้ำมันยา ได้ผลดี นับว่าเป็นสิทธิพิเศษของแม่ทัพ


“แม่ทัพใหญ่ ผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพเรียนเชิญ ขอท่านไปหารือสักหน่อย!”


ขณะกำลังตรวจตรากองกำลังหู่เวย ก็มีทหารหนึ่งขี่ม้ามา กล่าวอย่างนอบน้อม หวังทงพยักหน้าตามไป รถม้าหวังซีเจวี๋ยอยู่ที่นั่น


ตลอดทางจากเมืองหลวงมาถึงตอนนี้ หวังซีเจวี๋ยไม่ได้กล่าวกับหวังทงมากนัก หวังซีเจวี๋ยเอาแต่เดินมองไปทั่ว หวังทงก็ยุ่งแต่กับการงานในกองทัพ แน่นอนเฉินจวี่ก็เช่นกัน แต่ทว่าหวังทงกลับรู้สึกได้ตลอดว่า หวังซีเจวี๋ยไม่ได้คิดร้ายกับตน และคงจะหาโอกาสมาสนทนากับตน


*************


“ใต้เท้าหวังเป็นแม่ทัพ แน่นอนต้องขี่ม้านำทัพ แต่ทว่าข้าร่างกายไม่ไหว ใต้เท้าหวังเข้ามาคุยด้านในเถอะ!”


หวังทงขี่ม้ามาถึงรถม้าหวังซีเจวี๋ยรถม้า เห็นหวังซีเจวี๋ยผลักประตูรถม้าออกมายิ้มกล่าว หวังทงรีบประสานมือ ลงจากหลังม้าเข้าไปในรถม้า


ในรถม้าบุนวมนิ่มหุ้มหนัง มีเตาร้อนอีก เพื่อดูแลหวังซีเจวี๋ย ที่มุมหนึ่งยังมีกำยานที่เขาชอบ กลิ่นหอมรวยริน ดูสูงส่งยิ่ง เหล่านี้หากไม่ใช่กองกำลังหู่เวยหาให้ หวังซีเจวี๋ยเองก็ร่ำรวยอยู่ สิ่งเหล่านี้ล้วนหาได้


สองฝ่ายนั่งลง ผู้ติดตามหวังซีเจวี๋ยรินน้ำชาแล้ว ก็ถอยออกไป เดินทัพในหน้าหนาวทั้งวันลำบากมาก สามารถได้เข้ามาพักในที่เช่นนี้สักครู่ หวังทงก็รู้สึกผ่อนคลายยิ่ง


“ตอนข้าอยู่เมืองหลวง อยากนั่งแต่เกี้ยว ไม่อยากนั่งรถ เพราะรถใหญ่โคลงเคลงมาก อยู่ๆ ต้องมานั่งรถใหญ่ ในใจยังยังร้องโอย คิดไม่ถึงแม้ว่าจะมีกระแทก แต่ไม่โคลงเคลง น่าแปลกมาก ไม่รู้ทำได้อย่างไร?”


“ช่างใช้ไผ่ชุบน้ำมันและเส้นเหล็กบุด้านใน ตัวรถสองชั้น ระหว่างชั้นบุให้เต็ม”


หวังทงไม่ได้อธิบายละเอียด ภาพรวมที่จัดการลดความโคลงนั้น เป็นโรงช่างสามธาราประสานกำลังเตาหลอมและแรงกำลังน้ำ จึงได้ตีเหล็กเช่นนี้ออกมาเป็นเส้นได้ แต่ทว่าเสียเงินไปมาก เทคนิคนี้ไม่จำเป็นต้องกล่าวละเอียดกับหวังซีเจวี๋ย หวังซีเจวี๋ยก็แค่เกริ่นนำเท่านั้น ไม่ใช่ต้องการถามถึงรถใหญ่นี้


สองฝ่ายดื่มชากันไป  หวังซีเจวี๋ยเปิดประเด็นตรงไปตรงมาตามคาดว่า


“ใต้เท้าหวัง หลายวันนี้ข้าเห็นสมุดจดเสบียง ที่เราเอามาด้วยนั้น หากยังใช้เช่นนี้ไป ไม่ถึงเหลียวหยาง แค่เสิ่นหยาง เสบียงก็หมดแล้ว ข้าไม่เคยร่วมรบ  แต่ก็รู้ว่าเช่นนี้ไม่สู้นำเงินที่ซื้อสัตว์เลี้ยงมากินทุกวันไปซื้อเสบียงไว้ เช่นนี้จะได้ใช้ได้หลายวันหน่อย”


“หากไม่ได้กินดี ทหารจะมีแรงไปรบที่ไหนกัน”


วาจาหวังทงแข็งกร้าวสักหน่อย แต่ทว่าน้ำเสียงผ่อนลง สีหน้ายิ้มแย้ม หวังซีเจวี๋ยไม่คิดอันใด ตำหนิการทำงานผู้อื่น มีปฏิกิริยาเช่นนี้ก็ควรอยู่ เขายิ้ม กล่าวว่า


“ใต้เท้าหวังเอาใจใส่ลูกน้อง  ช่างน่าเลื่อมใส แต่ทว่า ข้าแม้ว่าไม่เคยร่วมออกทัพ แต่เคยเห็นมาไม่น้อย ใต้หล้านี้มีทหารมากมาย หากล้วนเหมือนใต้เท้าหวังจัดการกำลัง เกรงว่าคลังแผ่นดินหมิงคงไม่อาจเพียงพอ ตอนนี้สิ้นเปลืองเช่นนี้ หากถึงเสิ่นหยาง เสบียงหมด ก็ย่อมเป็นเรื่อง”


หวังทงยิ้มส่ายหน้า วางถ้วยชาลงกล่าวว่า


“ใต้เท้าคิดได้รอบคอบ ข้ากล่าวเช่นนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคารพใต้เท้าในฐานะผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพ ขอถามใต้เท้า พวกที่กินไม่อิ่มกินไม่ดีเคยรบได้ชัยใหญ่เช่นข้าหรือไว้”


หวังซีเจวี๋ยอึ้งไป ส่ายหน้ากล่าวว่า


“ใต้เท้าหวังความดีความชอบเทียมฟ้า ใต้หล้าล้วนรู้ แต่ทว่ากองทัพแม่ทัพชีที่เมืองจี้โจวก็ไม่ได้ต่างจากทหารที่อื่น และยังรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ท่านจะว่าอย่างไร?”


“เรื่องวันหน้ากล่าวได้ยาก แต่ทว่าข้าขอกล่าวกับผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพตรงนี้ หากเมืองจี้โจวยังทำเช่นนี้ ที่แม่ทัพชีสร้างมาห้าปีค่อยต้องสูญสิ้น แต่ทหารที่ข้าฝึกมา จะเป็นเช่นนี้ต่อไป จะองอาจกล้าหาญเช่นนี้ต่อไป…”


หวังทงกล่าวเช่นนี้ สีหน้ามั่นใจ หวังซีเจวี๋ยถึงกับอึ้งไป อย่างไรเขาก็เป็นขุนนางบุ๋น เรื่องการทหารก็รู้เพียงแค่น้อยนิดดังคนนอกมอง ไม่อาจกล่าวได้แน่ชัด หวังทงกล่าวได้มั่นใจ ทำให้เขาไม่อาจกล่าวอันใดได้อีก


บางทีอาจเพราะเห็นสถานการณ์ตึงเครียด หวังทงยิ้มกล่าวเสริมว่า


“ใต้เท้าอาจไม่รู้ เหลียวหยางกับเสิ่นหยางสองแห่งนี้ เสบียงเก็บไว้เพียงพอกองทหารเราใช้ได้สิบปี และยังไม่ต้องเอาจากราษฎรพื้นที่”


“เมืองเหลียวโจวเหตุใดมีเสบียงมากเพียงนี้!?”


หวังซีเจวี๋ยได้ยินเรื่องนี้ ก็คิดไปอีกทาง การจัดหาเสบียงให้ชายแดนทั้งเก้าแต่ไรมาเป็นปัญหาของราชสำนัก เมืองเหลียวโจวเอาแต่ร้องโอดโอยทั้งวัน คิดไม่ถึงถึงกับสะสมเสบียงไว้มากเพียงนี้


“ใต้เท้า ตลอดทางมานี้ ท่านเห็นเมืองเหลียวโจวไหม ทหารก็ดี ราษฎรก็ดี สีหน้าใช่ว่าดีกว่าที่อื่นมากหรือ?”


หวังทงเอ่ยถามขึ้น หวังซีเจวี๋ยปกติไม่ได้สังเกตเรื่องนี้ แต่พอหวังทงกล่าวเช่นนี้ หวังซีเจวี๋ยก็เริ่มคิดย้อนกลับไป เหมือนว่าเป็นเช่นนี้ จึงพยักหน้า หวังทงกล่าวอีกว่า


“เมืองเหลียวโจวดินน้ำสมบูรณ์ ประชากรแม้ว่ามาก หากแต่ละคนเพาะปลูกได้ยังมากกว่าหลายมณฑลในด่านมากนัก ยังทำการค้ากับพวกนอกด่านมาก เพาะปลูกสัตว์เลี้ยงก็มาก เหตุต่างๆ เหล่านี้รวมกัน ทุกตระกูลล้วนมีผลผลิตไม่น้อยกว่าคนในแผ่นดินหมิง เมืองเหลียวโจวเป็นเมืองชายแดน ไม่เพียงแต่ใช้เบี้ยจากราชสำนักดูแล หากยังได้เสบียงจากราชสำนักอีก ขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวยังไม่เก็บภาษีคนในพื้นที่อีก มีแต่เข้าไม่มีออก นานวันเข้า แน่นอนย่อมสะสมได้ก้อนโต ความจริงนั้นหากไม่ใช่เมืองเหลียวโจวเอาไว้เองเยอะ น่าจะมีมากกว่านี้อีก!”


“มีใช้ได้สิบปี ผุยๆ ไม่ธรรมดาจริงๆ มิน่าใต้เท้าหวังจึงว่าให้ตั้งเมืองเหลียวโจวเป็นมณฑล หลายปีมานี้ พวกเขาหาให้ตนเองพอแล้ว เอาแต่ดูดเลือดสูบเนื้อราชสำนัก…”


หวังซีเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง รถม้าสะดุดสองที ทำให้เขาได้สติ เงียบไปครู่หนึ่งก็มองหวังทงถามขึ้น


“ใต้เท้าหวัง เมืองเหลียวโจวสั่งสมไว้แต่ละแห่งน่าจะไม่ใช่ความลับ แต่หากอยากรู้ก็ไม่ง่าย ใต้เท้าหวังรู้มาได้อย่างไร?”


หวังทงสังเกตเห็นสายตาระแวดระวังตัวของหวังซีเจวี๋ย หวังทงยิ้มกล่าวว่า


“แน่นอนเป็นองครักษ์เสื้อแพรรายงานมาทุกวัน  ใต้เท้าคงไม่คิดว่าข้าส่งคนไปสืบเฉพาะกระมัง?”


หวังซีเจวี๋ยยิ้มเก้กัง หลังจากเก้กังพักหนึ่งก็รู้สึกทอดถอนใจ กล่าวว่า


“ใส่ใจรายละเอียดทุกเรื่อง ใต้เท้าหวังเป็นขุนนางสามารถจริง”


“ใต้เท้าชมเกินไปแล้ว องครักษ์เสื้อแพรประจำพื้นที่ เดิมก็มีหน้าที่หาข่าว เก็บรวมรวมเรื่องราวในพื้นที่ตามหน้าที่อยู่แล้ว ข้าทำไปนั้นก็แค่ให้พวกเขาปฏิบัติงานตามหน้าที่เท่านั้น ข่าวเหล่านี้ล้วนส่งเข้าวัง ฝ่าบาทเองก็ทรงทราบ”


หวังซีเจวี๋ยเป็นห่วงคิดลอบสอบดู คิดไม่ถึงเป็นแค่งานในหน้าที่ที่องครักษ์เสื้อแพรควรทำเท่านั้น ในใจหวังทงคิดได้เช่นนี้ และยังเอ่ยมาอีกคำว่า ‘ฝ่าบาทก็ทรงทราบ’ แสดงให้เห็นว่าเป็นความต้องการในวังเช่นนี้ ใช่หวังทงเองคิดหาข้อมูลเพื่อหาเรื่องแต่อย่างใด


ตามคาด พอกล่าวเช่นนี้ หวังซีเจวี๋ยก็ตกในภวังค์ความคิด ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจ กล่าวว่า


“ปฏิบัติตามธรรมเนียมหน้าที่ ธรรมเนียมบรรพชนล้วนตั้งไว้ดีแล้ว แต่ทำตามได้กี่คนกัน จะปฏิบัติได้ตามธรรมเนียมที่ตั้งไว้ ไหนเลยจะง่ายเพียงนั้น”


การทอดถอนใจกล่าวนี้ใช่ว่าเป็นเพราะ ‘ปฏิบัติตามธรรมเนียม’  องครักษ์เสื้อแพรรวบรวมข่าวได้ดี ในวังรู้เรื่องหมด แต่เพราะในราชสำนักกลับเหมือนไม่รู้ สถานการณ์เช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อคณะเสนาบดีใหญ่ หกกรมกองและสำนักตรวจสอบ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ยิ่งนับวันก็จะยิ่งถูกมองข้าม


หวังทงเองก็คิดเรื่องนี้ได้ แต่ทว่าไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง รถม้าค่อยๆ ขับเคลื่อนไป สะดุดอยู่บ้าง แต่เพราะไม้ไผ่และเหล็กเส้นรวมทั้งหนังบุฝ้ายที่รับแรงกระแทกไว้ คนในรถไม่ได้รู้สึกกระทบสักเท่าไร หวังซีเจวี๋ยเงียบครู่ก็กล่าวว่า


“หลายวันที่รายงานกองทัพ ใต้เท้าหวังก็ได้อ่านแล้ว ตอนนี้ศัตรูแบ่งเป็นหลายเส้นทาง เสิ่นหยางทางหนึ่ง กองกำลังเถี่ยหลิ่งทางหนึ่ง เหลียวหนานอีกทางหนึ่ง หากคิดให้ละเอียด นอกกำแพงเมืองยังมีอีกทางหนึ่ง พวกนอกด่านมากมายเพียงนี้ มีกำลังมาเสริมไม่ขาด สถานการณ์เมืองเหลียวโจวเรียกได้ว่ากำลังตกในภาวะรับมือเต็มกำลัง เกรงว่าไม่อาจช่วยพวกเราได้ ศัตรูหลายทิศทาง ทหารเราไม่พอ ศัตรูรวมกำลังกัน สามารถแยกจากหลายทิศทางมารวมกัน ทัพเรารับมือยาก ข้าไม่รู้การทหาร ใต้เท้าหวังเห็นเช่นไร?”


หวังทงยกถ้วยชาขึ้นจิบ คิดครู่หนึ่ง กล่าวนิ่งเรียบว่า


“ไม่สนใจว่ามากันกี่ทาง ข้าไปแค่ทางเดียว!”


ตอนที่ 982 ไปถึงที่แรกสำแดงบารมี

โดย

Ink Stone_Fantasy

น้ำเสียงและท่าทางของหวังทง มีความรู้สึกมั่นใจเต็มเปี่ยม ความมั่นใจนี้มาจากความสำเร็จและชัยชนะที่ได้รับมาตลอดแต่เล็กจนโต


คนที่คุยกับเขามักถูกความมั่นใจนี้ครอบงำใจอย่างไม่ทันรู้ตัว แน่นอนเป็นเพราะเรื่องราวที่ผ่านมาของหวังทงเป็นประกัน ทุกคนล้วนพากันมั่นใจตาม


หวังซีเจวี๋ยที่เป็นกังวลได้หารือกับหวังทงแล้ว ความกังวลก็หายไปไม่น้อย เริ่มไปคุยต่อเรื่องอื่นในกองทัพ ถามขึ้นหลายเรื่อง


 ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ คุ้นเคยกับพื้นที่และผู้คนในพื้นที่มาก หัวโจรแลกเงินทำให้พวกเขาตั้งใจกันมากยิ่งขึ้น ที่หวังทงคิดไม่ถึงก็คือ ชายฉกรรจ์ในแต่ละหมู่บ้านไม่น้อยตามทัพมา ทัพใหญ่รับสมัครทหารม้า ‘ผู้กล้า’ เงื่อนไขสูง พวกเขาจึงสมัครใจเป็นผู้ติดตามทหารม้า ติดตามทำงานจิปาถะไป


ทัพใหญ่ไม่มีอำนาจจัดการเรื่องนี้ สื่อชีส่งสองสามคนปะปนเข้าไป ให้รายงานสถานการณ์  ทหารม้าหนึ่งคนอาจมีคนติดตามจากหมู่บ้านถึง 7-8 คน ล้วนนำม้าและอาวุธมากันเอง ทุกคนบอกว่าเป็นสายสัมพันธ์นายบ่าวก็ไม่น่าใช่ สายสัมพันธ์เจ้านายลูกน้องก็ไม่ใช่ เหมือว่าเป็นพวกร่วมกันทำการค้ามากกว่า


หวังซีเจวี๋ยทอดถอนใจกล่าวว่า คิดไม่ถึงเมืองเหลียวโจวร่ำรวยเช่นนี้ ม้าและอาวุธ  หมู่บ้านต่างๆ ล้วนสะสมไว้มากมายเพียงนี้


หวังทงสามารถส่งกำลังทหารม้าเหล่านี้ออกไปไกลที่สุด ให้ทหารม้ากองทัพร่วมประสานกำลังกับทหารม้าชาวบ้าน ส่วนใหญ่ก็รวมเป็นขบวนใหญ่ได้


แต่ที่ไม่เหมือนกันกับที่คิดไว้ก็คือ ทางตะวันตกกับทางใต้ของเหลียวหยาง ไม่พบเผ่าหนี่ว์เจินหรือเผ่ามองโกลเลย แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ยังอยู่ขอบเขตที่ควบคุมได้


ขันทีคุมกำลังเฉินจวี่เห็นท่าทีหวังซีเจวี๋ยแล้ว ก็เข้าใจว่าตนควรทำตัวเช่นไร จริงๆ เขานั้นทำหน้าที่ได้ดี ‘คุม’ ไม่ทำอะไร เขาทำได้มีตกบกพร่อง


เสบียงทัพใหญ่ใช้เงินไปแต่ละก้อน ล้วนต้องผ่านตาเขา ไม่ใช่ว่าหาเรื่องให้ทำงานลำบาก แต่เพราะเป็นห่วงมีการโกงกินในกองทัพหรืออาจมีคนกอบโกย จึงได้ตั้งใจทำงานนี้ หนึ่งก็เพื่อหางานทำ สองก็เพราะเขาคิดว่าหากยังใช้จ่ายเช่นนี้ ทัพใหญ่อาจยันไว้ได้ไม่นาน


แต่ทว่าเฉินจวี่จับตาได้ 20 วัน ก็พบว่า การเสบียงหวังทงอาจใช้คำว่า ‘มือสะอาด’ มากล่าวถึงก็ได้ ไม่ใช่ไม่ฟุ่มเฟือยจ่ายหนัก ไม่ใช่ว่าไม่มีการละโมบเล็กน้อย แต่ไม่มีการหักเบี้ยอันใด ทุกอย่างล้วนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สถานการณ์แบบนี้แม้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่ตั้งใจที่สุดก็ยังไม่อาจทำได้ ทำให้เฉินจวี่เลื่อมใสอย่างมาก แต่เมื่อเห็นทุกคนมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ  เขาเริ่มรู้สึกกลัวอยู่บ้าง


***************


ที่นำทหารมารับก็คือหลี่หรูเหมยขุนพลเมืองเหลียวโจว ผู้ช่วยคือฉาต้าโข่ว สองคนนำทหารสองพันมาถึง พวกเขาสองคนแม้ว่าท่าทีนอบน้อม แต่ไม่อาจเรียกได้ว่าสนิทใจอันใด


การเย็นชาใส่เช่นนี้หวังทงคาดเดาไว้ก่อนหน้าแล้ว องครักษ์เสื้อแพรมีรายงานมาก่อนหน้าว่า พวกเมืองเหลียวโจวทุกระดับพูดถึงหวังทงด้วยอาการเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกันส่วนมาก สาเหตุก็ง่ายมาก หากไม่ใช่หวังทงบีบ เมืองเหลียวโจวจะพ่ายแพ้เช่นนี้ได้อย่างไร


แน่นอนเมืองเหลียวโจวเหตุใดปล่อยปละศัตรูตน เหตุใดถูกศัตรูที่อ่อนแอกว่าตีพ่ายได้ เรื่องนี้ไม่มีคนพูดถึง


หวังทงย่อมไม่ใส่ใจกับท่าทีเช่นนี้ หวังซีเจวี๋ยกับเฉินจวี่เกรงใจหวังทง แต่กับขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวกลับวางตัวเหนือกว่ามาก


“ผู้บัญชาการแม่ทัพใหญ่เรารู้ว่าฝ่าบาทมีราชโองการ ควรออกมาต้อนรับ แต่แม่ทัพใหญ่ตอนนี้อายุมากแล้ว ยังล้มป่วย ขอใต้เท้าทุกท่านโปรดอภัย”


ยามส่วนตัว ฉาต้าโข่วยังเอ่ยถึงเรื่องนี้กับพวกหวังทงสามคน ขุนพลชายแดนในพื้นที่แสดงความนอบน้อม อย่างไรก็ต้องออกนอกเมืองมาต้อนรับ แต่หลี่เฉิงเหลียงไม่อาจมาได้จริงๆ


เฉินจวี่ไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ ตามระเบียบราชสำนัก ควรประกาศราชโองการในที่ทำการ แต่เขาก็ย่อมรอความเห็นหวังทง หากหวังทงคิดอาศัยโอกาสนี้ลงมือ เขาก็ย่อมให้น้ำใจ


ที่หวังทงสนใจไม่ใช่เรื่องนี้ หลี่หรูป๋อกับหลี่หรูเหมยจัดที่ตั้งฐานทัพให้ทัพใหญ่ปราบตะวันออก ห่างจากเหลียวหยางสิบลี้ เหลวไหลจริง สาเหตุก็เห็นได้ตอนเข้าเมืองมา รอบเหลียวหยางตอนนี้มีทหารห้าหมื่นหรืออาจมากกว่านั้น


พอถามจึงได้รู้ หลังพ่ายศึกกลับถึงเหลียวหยาง หลี่เฉิงเหลียงก็ระดมทหารทุกสารทิศกลับมาป้องกัน ทหารส่วนใหญ่ตอนเหนือเหลียวหยางถูกเรียกตัวกลับมาหมด รอทัพใหญ่ศัตรูล้อมเสิ่นหยาง หลี่เฉิงเหลียงก็ล้มป่วย หลี่หรูป๋อยิ่งลนลาน ถึงกับระดมกำลังทหารฝึกใหม่จากหน่วยต่างๆ มาหมด


พอเข้าเมืองมาพักในจวนใหญ่ตระกูลหลี่เรียบร้อย ทหารติดตามก็นำข่าวใหม่ล่าสุดจากองครักษ์เสื้อแพรในเมืองมารายงานหวังทง ว่าตอนนี้ในเมืองสังหารปล้นชิง เรื่องพังประตูบุกเข้าไปปล้นพฤติกรรมชั่วร้ายพวกนี้ตอนนี้เป็นเรื่องปกติ ทหารติดตามตระกูลหลี่กับคนงานตระกูลใหญ่ในเมืองและทหารเสริมกำลังจากนอกเมือง มักจะมีเรื่องกันประจำ  ตามถนนชกต่อยกันได้เลือดเป็นเรื่องปกติ ราษฎรตัวเล็กๆ ล้วนพากันหลีกหนี


ที่แท้มีเรื่องกันถึงขั้นนี้ ที่ทำการผู้บัญชาการก็ส่งทหารมาคุมสถานการณ์ไว้ก่อนหน้าแล้ว ตอนนี้จิตใจทุกคนหวาดหวั่น ไม่มีผู้ใดสนใจผู้ใด ผลปรากฏในเมืองนอกเมืองนับวันยิ่งชุลมุน


 ข่าวรายงานมากจริงๆ หวังทงให้ทหารติดตามนำตัวคนรายงานเข้ามา เขาเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร มีสถานะนี้ แม้ดูแล้วขัดตา แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเอาเรื่อง


คุยกันไม่นาน คนในที่ทำการก็ว่าจัดห้องและกำยานพร้อมแล้ว ขอทุกท่านไปประกาศราชโองการได้


หวังทงได้ยินคนมากมายบรรยายหน้าตาหลี่เฉิงเหลียง แม้ไม่ได้เห็นด้วยตนเอง แต่หวังทงก็ยังพอนึกภาพออก ขุนพลใหญ่มากบารมีและองอาจผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดา แต่พอเห็นสองคนประคองหลี่เฉิงเหลียงออกมา หวังทงก็อึ้งไป  เป็นชายชราผอมแห้ง แค่นี้เท่านั้น


ร่างกายถานเจียงฝืนไว้อยู่ แต่ถานเจียงยังมีจิตใจฮึกเหิมประคองไว้ แต่ชายชราตรงหน้าล้วนไม่มี หลี่เฉิงเหลียงซีดเซียวซูบผอม หวังทงคิดไม่ถึงจริง


หลี่เฉิงเหลียงสถานะสูงส่ง พบพวกหวังทงก็เพียงแค่พยักหน้ากันเท่านั้น หลี่เฉิงเหลียงกล่าวว่า


“ข้าเป็นขุนพลมาทั้งชีวิต มาถึงตอนแก่ กลับก่อเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่เช่นนี้ได้ ฝ่าบาททรงพระเมตตาไม่ลงอาญา แต่โทษความผิดนี้ ฟ้าคงไม่ปราณี พอกลับถึงเหลียวหยางก็ล้มป่วย หมอกำชับว่าอาการป่วยนี้ไม่อาจต้องลมหนาว ดังนั้นจึงไม่ได้ออกไปต้อนรับทุกท่าน ขอทุกท่านโปรดอภัย”


หวังทงก้มหน้าลงเล็กน้อย ช่างสมเป็นขุนนางในวงการมาหลายสิบปีเสียจริง ป่วยซูบผอมเช่นนี้ยังคงท่าทีไม่ขาดตกบกพร่อง หากมีใจเช่นนี้ในการศึก จะมาถึงวันนี้ได้อย่างไร


จากนั้นก็เป็นไปตามกระบวนการ เป็นเฉินจวี่ประกาศราชโองการ พ่ายใหญ่ครานี้ พ่อลูกตระกูลหลี่ล้วนมีความผิด หลี่เฉิงเหลียงถูกลดบรรดาศักดิ์ พ่อลูกตระกูลหลี่ถูกปรับเบี้ยหวัดสามปี


การลงโทษเช่นนี้สำหรับตระกูลหลี่แล้ว เรียกได้ว่าไม่ได้ทำให้รู้สึกเท่าไร แต่ทว่าทุกคนล้วนรู้ ตระกูลหลี่ในเมืองเหลียวโจวราวกับอ๋อง คงไม่อาจมีวันนั้นอีกแล้ว


ราชโองการอีกส่วนหนึ่งมีเนื้อหาว่า ทุกคนเมืองเหลียวโจวให้ประสานกำลังเสริมทัพใหญ่ปราบตะวันออก ขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวล้วนอยู่ใต้บังคับบัญชาของหวังซีเจวี๋ย หวังทงและเฉินจวี่   ผู้ว่าการเขตจี้เหลียวที่มาคุมสถานการณ์ก่อนหน้าได้ไปปักหลักที่กองกำลังหนิงหย่วนแล้ว เพื่อให้สั่งการทับกันกับพวกหวังซีเจวี๋ย


ราชโองการประกาศจบ หลี่เฉิงเหลียงก็นำขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวทั้งหมดคารวะหวังซีเจวี๋ย หวังทงและเฉินจวี่ตามธรรมเนียมทันที  สามคน ถือเป็นผู้บังคับบัญชาแล้ว


ในนี้มีหวังซีเจวี๋ยสถานะสูงสุด มาถึงที่นี่ครั้งแรก อย่างไรก็ต้องประชุมสั่งการ พ่อลูกตระกูลหลี่กับทหารเมืองเหลียวโจวนั่งกันตามลำดับชั้น จัดที่นั่งให้หลี่เฉิงเหลียงที่หนึ่ง นับว่าให้เกียรติ


ทุกคนล้วนรอหวังซีเจวี๋ยกล่าว แต่กลับเห็นหวังซีเจวี๋ยหันไปทางหวังทงพยักหน้า ยิ้มกล่าวว่า


“ขอใต้เท้าหวังกล่าวละกัน ข้าเหมือนกับตลอดทางที่มา นั่งรับฟังก็พอ!”


ขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวไม่อาจกล่าวอันใด ได้แต่สบตากันไปมา สายตาล้วนตกตะลึงแปลกใจ ราชสำนักส่งผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพมา เป็นถึงรองอำมาตย์คณะเสนาบดีใหญ่ ยังมอบให้หวังทงเป็นใหญ่?


หลี่เฉิงเหลียงที่นั่งอยู่หันไปส่ายหน้าเบาๆ กับทุกคน ส่งสัญญาณว่าให้เงียบ แต่ตัวหลี่เฉิงเหลียงกลับลอบถอนหายใจ หวังทงอำนาจล้นฟ้าแล้ว เขารู้นานแล้ว แต่ทุกครั้งก็พบว่าอำนาจหวังทงเหนือกว่าที่เขาคาดไว้มาก  หากรู้ก่อนหน้านี้ ไยต้องมีลูกเล่นเช่นนั้นก่อนหน้านั้นด้วย ทำให้เกิดเรื่องกันมาหลายครา


หวังทงตอนนี้มาถึงที่แล้ว อำนาจตระกูลหลี่และพื้นที่เมืองเหลียวโจวสามารถไม่เอาแล้ว ขอเพียงทั้งครอบครัวไม่ต้องมีภัยก็ถือว่าเป็นโชควาสนาแล้ว


“ยามเผชิญหน้าศัตรู ไม่ขอกล่าววาจามากความ ข้าขอจัดการสองสามประการ เกี่ยวกับทุกท่านที่นี่ ให้รีบเร่งดำเนินการ ไม่อาจรอช้า!”


หวังทงกล่าววาจาเป็นการเป็นงาน ทำให้ทุกคนรู้สึกอึดอัด หลายคนถลึงตาคิดโต้ แต่สายตากำราบของหลี่เฉิงเหลียงกวาดตามองมา หลี่เฉิงเหลียงแม้ว่าสุขภาพอ่อนแอ แต่ยังคงทรงบารมีในเมืองเหลียวโจว คนเบื้องหน้าล้วนเงียบทันที


“ทหารหน่วยฝึกนอกเมือง พรุ่งนี้ให้กลับประจำการที่เดิม…”


ทุกคนเบื้องหน้าพากันถลึงตาจ้องไม่พอใจ หวังทงกล่าวต่อว่า


“โกดังในเมืองแต่ละแห่งให้ส่งมอบเร็ววัน ให้กองเสบียงข้าเข้าดูแล ให้ทหารเมืองจี้โจวกับเมืองเหลียวโจวร่วมเฝ้าป้องกัน แจกจ่ายตามคำสั่ง ล้วนให้กองเสบียงข้ารับหน้าที่ดูแล!”


กล่าวจบ คนเบื้องหน้าก็เริ่มเอะอะ หวังทงกล่าวไม่จบต่อว่า


“จากวันนี้ไป ข้าจะส่งทหารไปลาดตระเวนตามท้องถนน ยามสงครามไร้น้ำใจ ทหารไม่อยู่ในค่ายถือเป็นทหารหนีทัพ กระทำการไร้กฎหมายถึงเป็นโจร หากจับกุมได้ ไม่ว่าเป็นคนผู้ใด ตระกูลใด สังหารหมด”


สั่งการสามเรื่องเสร็จ ไม่ว่าหลี่เฉิงเหลียงถลึงตาจ้องอย่างไร ล้วนไม่อาจกำราบลูกหลาและขุนพลคนสนิทตระกูลหลี่ได้ มีคนส่งเสียงด่าขึ้นเบาๆ หวังทงกวาดตามองกล่าวว่า


“ข้าเคยนำทัพสามหมื่นขึ้นเหนือปราบเผ่าอันต๋า ตัดหัวมาได้หกหมื่น ยึดเมืองศัตรูมาได้ ตอนนี้การทหารเคร่งเครียด คำสั่งทางการค่อยมีตามไป ทุกคนไปจัดการกันก่อน!”


วาจานี้เหมือนไม่สอดรับกัน แต่สถานการณ์วุ่นวายตรงหน้าที่เดิมมีคนคิดจะออกมา หลี่เฉิงเหลียงก้มหน้าไม่ยับยั้ง อยู่ๆ ก็ค่อยๆ เงียบ ทุกคนสีหน้าล้วนให้ความเคารพ


หวังทงนำกำลังทหารสามหมื่นขึ้นเหนือ ตัดหัวศัตรูหกหมื่น ยึดเมืองศัตรูมาได้ เมืองเหลียวโจวนับแสนยกทัพปราบตะวันออก กลับพ่ายแพ้กระจัดกระจาย แข็งแกร่งหรืออ่อนแอเห็นได้ชัด  การใช้กำลังเหนือกว่าสยบผู้คนเป็นเรื่องที่ขุนนางบู๊ยอมรับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)