ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 98-101
ตอนที่ 98 เกราะอาญาสิทธิ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ในเมื่อศิษย์พี่ทั้งสองต่างก็มอบของขวัญให้เจ้าแล้ว ข้าเป็นถึงอาจารย์ก็ไม่อาจทำให้เจ้าผิดหวังได้ ข้ามีอาวุธอาญาสิทธิ์ที่เคยใช้ในสมัยก่อนอยู่ชิ้นหนึ่ง มอบให้เจ้าป้องกันตัวก็แล้วกัน” นักพรตจงเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา หลังจากคิดไปคิดมาก็หยิบสิ่งของสีเหลืองชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วยื่นให้หลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณอาจารย์ เอ๋! นี่คือ…” พอหลิ่วหมิงรับของชิ้นนี้มาแล้วก็พินิจดูอย่างละเอียด แต่ก็ต้องรู้สึกฉงนขึ้นมา
อาวุธอาญาสิทธิ์ที่กล่าวถึงคือชุดเกราะเรียบง่ายที่ทำจากไผ่สีเหลืองที่สานเข้าด้วยกัน ถักทอด้วยเส้นสีเงินบางอย่างที่ไม่ทราบชื่อตลอดทั้งตัว
บนไผ่แต่ละเส้นมีอักขระหลากสีจารึกอยู่เต็มไปหมด เพียงแต่สีของมันค่อนข้างจางมาก หากไม่สังเกตให้ละเอียดก็จะมองไม่เห็น
ศิษย์น้อง ทำไมเจ้าถึงนำเกราะอาญาสิทธิ์ชิ้นนี้ออกมาล่ะ! เกราะนี้ได้ช่วยชีวิตเจ้ามาหลายครั้งนะ” พอจูชื่อเห็นเกราะชิ้นนี้ สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
กุยหรูฉวนก็งงงันเล็กน้อย
“ของชิ้นนี้ต้านทานได้แค่การโจมตีของศิษย์จิตวิญญาณ และข้าใช้มันได้แค่สมัยก่อนเท่านั้น ตอนนี้มันไม่มีประโยชน์สำหรับข้าแล้ว อีกอย่างของสิ่งนี้เคยโดนคนทำลายจนเสียหายมาก่อน ถึงแม้จะซ่อมแซมมาแล้วก็ยังเพียงพอที่จะต้านทานการโจมตีได้แค่สองสามครั้งแล้วมันก็จะโดนทำลายไป จะว่าไปแล้วปกติข้าก็ไม่ได้ใส่มันอยู่แล้วไม่สู้มอบให้ชงเทียนไว้ป้องกันตัวจะดีกว่า” นักพรตจงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
อาจารย์จิตวิญญาณทั้งสองได้ยินคำพูดเช่นนี้ ต่างก็รู้สึกว่ามีเหตุผลดีก็เลยไม่พูดอะไรออกมาอีก
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงรู้ประโยชน์ของชุดเกราะตัวนี้ จากนั้นเขาก็กล่าวขอบคุณแล้วเก็บชุดเกราะเข้าไป
“ศิษย์หลานไป๋ มุกเพลิงอัคคีที่ให้เจ้าไปทั้งสามเม็ดนั้น แต่ละเม็ดเทียบเท่ากับการโจมตีของอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำ ดังนั้นไม่อนุญาตให้เจ้าใช้ในการประลองใหญ่ แต่ถ้าเจ้าสามารถเข้าร่วมทดสอบความเป็นความตายได้ย่อมไม่มีข้อจำกัดใดๆ” กุยหรูฉวนคิดอะไรบางอย่างได้จึงพูดกำชับออกมา
หลิ่วหมิงพยักหน้าเข้าใจ
ต่อมาอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสามก็ให้กำลังใจหลิ่วหมิงอีกไม่กี่ประโยค แล้วก็ปล่อยให้หลิ่วหมิงกลับไปพักผ่อนเพื่อเตรียมรับมือกับการประลองในวันพรุ่งนี้
ดังนั้นหลิ่วหมิวจึงคารวะทั้งสามแล้วก็ถอยออกไปจากห้องโถงใหญ่ จากนั้นก็ขี่เมฆกลับไปยังที่พัก
“คิดไม่ถึงจริงๆ เลยว่าชงเทียนจะสามารถเข้าไปในสิบอันดับแรกได้ ดูท่าครั้งนี้สาขาของเราก็มีหวังที่ฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว” กุยหรูฉวนรอหลิ่วหมิงออกไปจากห้องโถงใหญ่ แล้วถอนหายใจเบาๆ กล่าวออกมา
“ใช่แล้ว ศิษย์หลานไป๋แสดงออกมาได้โดดเด่นกว่าที่คาดไว้มาก ก่อนหน้านี้พวกเรามองข้ามเขาไปหน่อย ตอนนี้ศิษย์น้องจงรับเขาเป็นศิษย์ติดตาม และพวกเรายังมอบของล้ำค่าให้ คิดว่าถึงแม้ก่อนหน้านี้จะแอบแค้นเคืองกันบ้างแต่ตอนนี้คงหายไปหมดแล้ว เช่นนี้แล้วล่ะก็ขอแค่เขายังคงรักษาตำแหน่งในการประลองพรุ่งนี้ไว้ได้ มันจะมีผลดีต่อสาขาเราไม่น้อย สาขาของเราก็จะได้ไม่รั้งท้ายในการประลองใหญ่อีกแล้ว” จูชื่อเองก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
นักพรตจงได้ยินก็หัวเราะเบาๆ และไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
“ชวนเอ๋อร์ เจ้าเตรียมตัวเป็นอย่างไรบ้าง คิดไว้หรือยังว่าจะท้าสู้กับใคร มีความเชื่อมั่นที่เข้าไปสิบอันดับแรกในวันพรุ่งนี้ไหม” กุยหรูฉวนหน้ามาถามสือชวนที่ยืนสงบอยู่ด้านข้าง
“อาจารย์วางใจเถอะ พรุ่งนี้ข้าเตรียมที่จะท้าชิงตำแหน่งอันดับที่แปด ข้ามีโซ่ปราบปีศาจกับหัวบินอยู่ในมือ จะต้องไม่มีปัญหาใดๆ อย่างแน่นอน” สือชวนกล่าวโดยไม่ต้องคิด
“ดีมาก เจ้ามีความเชื่อมั่นเช่นนี้พวกข้าทั้งสามก็วางใจแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีศิษย์ที่พลังอะไรซ่อนอยู่โผล่มามากมายแค่ไหน เจ้าจะต้องห้ามประมาทเป็นอันขาด” กุยหรูฉวนพยักหน้า แล้วกล่าวกำชับออกไป
สือชวนพยักหน้าตอบรับ
“ศิษย์พี่ก็กังวลจนเกินไป พลังของศิษย์หลานสือชวนไม่ได้เปราะบางสักหน่อย ต่อให้พรุ่งนี้ไม่ใช้อาวุธอาญาสิทธิ์กับหัวบินก็สามารถเจ้าไปอยู่ในสิบอันดับแรกได้อย่างสบายๆ และมันก็จะไม่มีปัญญาใดๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
“ข้อนี้ข้าย่อมรู้ดี เพียงแต่กลัวเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดเท่านั้น ชวนเอ๋อร์ เจ้าเองก็ไปพักผ่อนเถอะ” กุยหรูฉวนฝืนหัวเราะ และกล่าวกำชับกับสือชวน
สือชวนตอบรับ แล้วก็ถอยออกไปจากห้องโถงใหญ่
“ตอนนี้ก็มีเพียงพวกเราแค่สามคนแล้ว พวกเราทั้งสามมีความคิดเห็นอย่างไรกับการประลองในวันพรุ่งนี้ อย่าพูดแค่ผิวเผิน คุยเรื่องที่มันเป็นแก่นสำคัญสักหน่อย ถึงแม้พวกเจ้าจะไม่โผล่หน้าในงานประลองใหญ่ในสองวันก่อน แต่ก็อาศัยพลังจากค่ายกลคงพอจะเห็นโดยคร่าวๆ แล้ว” กุยหรูฉวนรอจนสือชวนออกไปแล้ว สีหน้าก็ค่อยๆ หนักอึ้งขึ้นมา
“ถ้าพูดตามจริงมันก็พูดยาก ถ้าว่ากันตามการประลองใหญ่หลายครั้งที่ผ่านมา ศิษย์หลานไป๋กับสือชวนคงจะมีโอกาสเข้าสู่สิบอันดับแรกได้ แต่การประลองใหญ่ในครั้งนี้มีบางอย่างที่ต่างกันกับหลายครั้งที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่จะมีชีพจรจิตวิญญาณพสุธา ร่างละเมอฝัน ชีพจรจิตวิญญาณอัสนี และศิษย์ผู้มีพรสวรรค์อย่างหยางเฉียน เฟิงฉาน หมิ่นโซ่วซึ่งหาได้ยากยิ่งในหลายปีที่ผ่านมา ตลอดจนศิษย์เก่าบางคนก็คงจะมีพลังที่เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ” จูชื่อได้ยินก็กล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ไม่เพียงแต่เท่านี้ ตามที่ข้าสังเกตดูยังมีศิษย์ที่มีพลังแข็งแกร่งแต่ยังไม่เข้าสิบอันดับแรกอยู่มากมาย เกรงว่าคงจะเก็บซ่อนพลังที่แท้จริงมาโดยตลอดเพื่อรอที่จะปลดปล่อยออกมาในวันพรุ่งนี้ ศิษย์หลานสือชวนยังไม่ค่อยห่วงเพราะเขามีอาวุธจิตวิญญาณกับหัวบินไว้ป้องกันตัว คงจะเข้าสิบอันดับแรกได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ถ้าชงเทียนมีแค่วิชาคมวายุขั้นสมบูรณ์แบบเพียงอย่างเดียวล่ะก็เกรงว่าพรุ่งนี้คงไม่อาจรักษาตำแหน่งไว้ได้” นักพรตจงส่ายศีรษะกล่าวออกมา
“ความเห็นของพวกเจ้าไม่ต่างกับข้ามากนัก แต่ดูจากศิษย์ในนิกายตอนนี้ นอกจากเขาทั้งสองแล้วก็ไม่มีผู้อื่นที่จะสามารถเข้าไปในสิบอันดับแรกได้ ถึงแม้เซียวเฟิงจะเข้าไปมีชื่อบนแท่นศิลาจันทราได้ แต่เกรงว่าคงใช้เวลาฝึกฝนอีกหลายปีถึงจะทำได้” กุยหรูฉวนถอนหายใจเบาๆ กล่าวออกมา
“ศิษย์พี่ ท่านคิดฟุ้งซ่านไปแล้ว สิ่งที่พวกเราทำได้ก็ได้ทำลงไปแล้ว ส่วนผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ปล่อยไปตามนั้น เราวิตกกังวลไปก็ใช่ว่าจะสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้” จูชื่อถอนหายใจกล่าวออกมา
นักพรตจงได้ยินก็แสดงท่าทีเห็นด้วย
“ศิษย์น้องจูพูดถูก พรุ่งนี้ก็จะรู้ผลทุกอย่างเอง แต่เรื่องที่ศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณอย่างชงเทียนฝึกฝนจนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้นั้นช่างเป็นเรื่องที่พบเจอได้น้อยมาก น่าเสียดายที่ถึงแม้จะมีสามชีพจรจิตวิญญาณที่เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย แต่อาศัยสามชีพจรจิตวิญญาณเพื่อเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณนั้นล่ะก็ มีตัวอย่างให้เห็นแค่เมื่อห้าหกร้อยปีก่อนเท่านั้น” กุยหรูฉวนตกตะลึงเล็กน้อยแล้วก็หัวเราะขึ้นมา จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนามาเป็นเรื่องของหลิ่วหมิง
“สามชีพจรจิตวิญญาณที่เข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณได้นั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ช่างน่าเสียดายพรสวรรค์ในการฝึกฝนวิชาของศิษย์หลานไป๋จริงๆ” จูชื่อเองก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา
“นี่ก็ไม่แน่ ในเมื่อมีตัวอย่างให้เห็นมาก่อน ใครก็ไม่สามารถพูดได้ว่าศิษย์ผู้นี้จะไม่สามารถกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ อย่างมากก็แค่ฝึกฝนหนักกว่าคนอื่นสักหน่อย ถ้าหากเขาเข้าร่วมการทดสอบความเป็นความตายแล้วรอดชีวิตกลับมา ด้วยทรัพยากรที่ได้จากนิกายเป็นจำนวนมากก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีโอกาสที่จะลองดู” นักพรตจงมีข้อคิดเห็นที่ต่างออกไป
“ใช่ ถ้าหากใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการทะลวงเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณล่ะก็ ศิษย์หลานไป๋ก็จะพอมีหวังอยู่บ้าง แต่ก่อนอื่นพรุ่งนี้เขาจะต้องรักษาตำแหน่งไว้ให้ได้ก่อนถึงจะทำเรื่องนี้ได้” กุยหรูกวนกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“สุดท้ายทุกอย่างก็ต้องขึ้นอยู่กับผลการประลองในวันพรุ่งนี้!” จูชื่อเองก็กล่าวพึมพำออกมา
พูดเรื่องเหล่านี้จบ ทั้งสามคนต่างก็ครุ่นคิดด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป ห้องโถงใหญ่ดูสงบเงียบไปชั่วเวลาหนึ่ง
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงที่กลับไปถึงที่พัก ก็กำลังนั่งชื่นชมชุดเกราะสีเหลืองที่อยู่บนมือ
เขาลูบไล้ลงบนนั้น ถึงแม้ไผ่ที่ประกบเป็นเกราะอาญาสิทธิ์จะมีไอเย็นเล็กน้อย แต่พื้นผิวภายนอกกลับไม่ค่อยแข็งมากนัก และกลับทำให้คนรู้สึกถึงความอ่อนนุ่มและความยืดหยุ่นของมัน
เขาปล่อยพลังเวทย์เข้าไปในนั้นเล็กน้อย แล้วอักขระบนพื้นผิวไม้ไผ่ก็เปล่งประกายแสงจางๆ ออกมา ทำให้เห็นถึงความสวยงามราวกับภาพเพ้อฝัน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจจนไม่สามารถระงับไว้ได้
ถึงแม้อาวุธอาญาสิทธิ์จะพบเจอได้บ่อยในแต่ละนิกาย และตามตลาดต่างๆ แต่อาวุธอาญาสิทธิ์ที่พิเศษอย่างเกราะอาญาสิทธิ์นี้กลับพบเจอได้น้อยมาก อย่างน้อยในตลาดเว่ยโจวก็มีแค่ไม่กี่ชิ้น ทั้งยังขายในราคาที่สูงจนเกือบจะเท่าอาวุธจิตวิญญาณ
เกราะอาญาสิทธิ์ชิ้นนี้ ถึงแม้จะถูกทำลายมาก่อน และในตอนนี้ก็ต้านทานการโจมตีได้เพียงสามครั้งแล้วมันก็จะถูกทำลายไปจนใช้งานไม่ได้ในที่สุด แต่สำหรับหลิ่วหมิงแล้วมันคือของล้ำค่าที่สามารถช่วยชีวิตเขาได้เมื่อถึงช่วงจุดสำคัญ
หลิ่วหมิงตรวจสอบดูชุดเกราะเล็กน้อย แล้วแน่ใจว่าไม่มีปัญหาใดๆ ก็รีบสวมมันทับกับเสื้อตัวใน แล้วปิดทับด้วยชุดคลุมยาวสีเขียว
เช่นนี้แล้วเมื่อมองจากภายนอกก็จะไม่ค้นพบความผิดปกติใดๆ
จากนั้นเขาก็หยิบตลับเหล็กที่ใส่มุกเพลิงอัคคี และขวดโอสถโลหิตไขกระดูกออกมา แล้วเปิดฝาดูไปหนึ่งรอบ
มุกเพลิงอัคคี เป็นมุกกลมๆ สีดำขนาดเท่าเม็ดถั่วสามเม็ด ดูแล้วมันไม่ได้เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจเลยสักน้อย
โอสถโลหิตไขกระดูก เป็นเม็ดโอสถสีแดงเลือดขนาดเท่าเม็ดถั่ว ซึ่งมีทั้งหมดสิบกว่าเม็ด เมื่อเขาวางไว้ใต้จมูกก็มีกลิ่นหอมจรุงใจโชยออกมาจางๆ
ถึงแม้โอสถโลหิตไขกระดูกนี้จะไม่เพียงพอที่จะชุบหลอมโลหิตในร่างเขาทั้งหมด แต่ก็พอที่จะชะล้างสิ่งสกปรกให้ออกไปจากโลหิตที่อยู่ในร่างเขาได้บางส่วน และทำให้พลังของเขาแข็งแกร่งขึ้นอีกเล็กน้อย
พรุ่งนี้เขายังต้องเข้าร่วมการประลองต่อ ตอนนี้จึงยังไม่ใช่เวลาที่จะทานโอสถโลหิตไขกระดูกนี้เพื่อชุบหลอมโลหิตของเขา
ดังนั้นหลิ่วหมิงจึงเก็บมุกเพลิงอัคคีกับโอสถโลหิตไขกระดูกไว้ แล้วก็นั่งกำหนดลมหายใจอย่างสงบ
สำหรับเขาแล้ว พรุ่งนี้คือวันที่เขาจะพ่ายแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ในใจ จิตก็ค่อยๆ นิ่งสงบลงจนไม่รับรู้เรื่องราวภายนอกแล้ว
เช้าวันที่สามของการประลองใหญ่ ศิษย์นิกายปีศาจหลายพันคนพากันเข้าไปบนเขาหิน
ครั้งนี้ศิษย์ทุกคนต่างก็ห้อมล้อมอยู่รอบๆ แท่นประลองที่ใหญ่ที่สุด และลานหยกที่ประมุขนิกายปีศาจ และอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นยืนอยู่ ก็ลอยอยู่บนแท่นประลองซึ่งห่างจากพื้นร้อยกว่าจั้ง
“กฎการประลองรอบที่สอง พวกเจ้าต่างก็รู้กันหมดแล้ว ดังนั้นข้าจะไม่พูดอะไรมาก ตอนนี้ข้าขอประกาศให้เริ่มการประลองรอบที่สองได้อย่างเป็นทางการ” ประมุขนิกายปีศาจเหาะออกมาจากลานหยก แล้วประกาศออกมาอย่างราบเรียบ จากนั้นก็เหาะกลับไปยังที่เดิม
ขณะนั้นเอง ผู้อาวุโสร่างท้วมผู้หนึ่งกลับเหาะออกมาจากลานหยก และลอยลงมาบนแท่นประลองอย่างมั่นคง เขากวาดสายตามองไปทั่วทิศแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเป็นใครนั้น คิดว่าคงมีคนจำนวนน้อยมากที่ไม่รู้จักข้า และการประลองรอบที่สองนี้ข้าจะเป็นคนดำเนินการเอง”
ผู้อาวุโสร่างท้วมผู้นี้ก็คือ ‘อาจารย์อาหร่วน’ ที่ดูแลหอเก็บคัมภีร์นั่นเอง!
……………………………………….
ตอนที่ 99 การท้าสู้ครั้งใหม่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่คาดคิดว่าเขาจะเป็นอาจารย์จิตวิญญาณที่ดำเนินการประลองใหญ่ในรอบที่สอง!
พอหลิ่วหมิงมองเห็นใบหน้าของผู้อาวุโสร่างท้วมชัดเจนก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่เขาตั้งสติได้แล้วสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ
ผู้อาวุโสร่างท้วมสะบัดแขนเสื้อ ธงเล็กๆ แต่ละเสาก็พุ่งออกมา แล้วขยายขนาดเป็นธงผ้าปักอยู่ที่ขอบของลานประลองทั้งสองด้าน ทั้งหมดมียี่สิบเสา และต่างก็ปักเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ
มองจากเครื่องหมายบนธงแล้ว ธงสิบเสาที่อยู่ด้านหนึ่งเป็นเครื่องหมายกำกับของอันดับที่หนึ่งร้อยถึงเก้าสิบเอ็ด ส่วนธงสิบเสาที่อยู่อีกด้านหนึ่งเป็นเครื่องหมายของอันดับที่เก้าสิบถึงแปดสิบเอ็ด
ขณะนี้ ผู้อาวุโสร่างท้วมได้กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ศิษย์แกนนำทุกคนที่อยู่อันดับตามเครื่องหมายบนธง ตอนนี้ขึ้นมาบนลานประลองได้แล้ว”
เขาเพิ่งจะพูดจบก็มีเสียง “ฟู่!” “ฟู่!” ดังมาจากด้านล่าง ศิษย์ยี่สิบคนที่เตรียมตัวไว้แต่แรกแล้ว ต่างก็ทยอยเหาะขึ้นมาอยู่ตรงใต้ธงที่มีเครื่องหมายบอกตำแหน่งของตนเองทันที โดยไม่ที่ขาดแม้แต่คนเดียว
ภายใต้ดวงตาที่เปล่งประกาย หลิ่วหมิงก็มองเห็นคนที่คุ้นหน้าอย่างเซียวเฟิง และตู้ไห่ ทั้งสองคนนั้น คนหนึ่งอยู่อันดับที่เก้าสิบสาม อีกคนหนึ่งอยู่อันดับที่แปดสิบเก้า
“ดีมาก! ตามตำแหน่งการจัดอันดับ ศิษย์แกนนำสิบอันดับสุดท้ายสามารถเลือกท้าสู้ศิษย์สิบอันดับก่อนหน้าได้ตามที่ต้องการหนึ่งครั้ง ผู้ชนะไปแทนที่อันดับที่สูงกว่า ผู้แพ้ก็แทนที่อันดับที่ต่ำกว่า ข้าจะถามติดกันสามครั้งแล้วถ้าไม่มีผู้ท้าสู้ก็จะสิ้นสุดการประลองระหว่างศิษย์ในกลุ่มนี้ และการท้าสู้ในแต่ละกลุ่มทุกคนมีสิทธิ์ท้าสู้ได้คนละหนึ่งครั้งเท่านั้น ตอนนี้เริ่มท้าสู้ได้” ผู้อาวุโสร่างท้วมพยักหน้า และกล่าวออกมาในทันที
ศิษย์ที่อยู่ใต้ธงทั้งสองฝั่งต่างก็จ้องมองกันครู่หนึ่ง แล้วก็มีชายรูปร่างกำยำล่ำสันเดินมาจากใต้ธงทันที และท้าสู้ศิษย์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคนหนึ่ง
ผู้อาวุโสร่างท้วมทำท่ามือด้วยมือเดียว ค่ายกลอักขระบนลานประลองก็เปล่งประกายออกมา จากนั้นม่านแสงก็ปกคลุมลานประลองทั้งหมดไว้
เพราะว่าศิษย์ทั้งสองที่อยู่บนลานประลองได้ลงนามความเป็นความตายตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ด้วยเหตุนี้วันนี้จึงไม่ต้องทำซ้ำอีกรอบ ทั้งสองจึงเริ่มการประลองทันที คนหนึ่งดึงดาบยาวออกมา อีกคนสวมถุงมือสีดำ ทั้งสองต่างก็รีบร่ายคาถาออกมาจากระยะไกลๆ
การต่อสู้ของทั้งสองไม่ได้โดดเด่นแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าทั้งฝ่ายต่างก็กระตุ้นอาวุธอาญาสิทธิ์ในมือโจมตีฝ่ายตรงข้ามอยู่ไม่หยุด และก็พยายามปล่อยวิชาง่ายๆ หลายรูปแบบเพื่อช่วยในการโจมตี
ดูเหมือนว่าทั้งสองต่างก็ระวังตัวเป็นพิเศษ โดยไม่คิดที่เข้าใกล้กันเลย
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม การประลองนี้ก็กลายเป็นการประลองพลังเวทย์ไปชั่วเวลาหนึ่ง
สำหรับพวกเขาแล้ว ถึงแม้การโจมตีโดยใช้อาวุธอาญาสิทธิ์จะปล่อยพลังได้ง่าย แต่เห็นได้ชัดว่าอานุภาพของมันไม่เพียงพอที่จะทำลายการป้องกันของฝ่ายตรงข้ามได้ อานุภาพการโจมตีของวิชาที่ใช้ก็เพียงพอแล้วแต่เห็นชัดว่าความเร็วในการปล่อยวิชาช้าเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้โดนฝ่ายตรงข้ามขัดจังหวะหรือหลบหนีได้ง่าย
ด้วยเหตุนี้ ในระหว่างการประลอง ทั้งสองก็แค่กระตุ้นอาวุธอาญาสิทธิ์แสดงวิชาง่ายๆ และหลบหลีกอยู่ไม่หยุด จนทำให้ผู้ชมด้านล่างลานประลองเกิดง่วงขึ้นมา
แต่เมื่อชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ในที่สุดผู้ท้าสู้ก็โจมตีฝ่ายตรงข้ามจนหลบหลีกไม่ทัน ลูกเปลวไฟลูกหนึ่งโจมตีจนฝ่ายตรงข้ามสลบไป หลังจากผู้อาวุโสร่างท้วมประกาศชื่อผู้ชนะ ชายผู้นั้นก็เดินไปยังใต้ธงของฝ่ายตรงข้ามด้วยความดีใจ
ผู้อาวุโสร่างท้วมลงมาจากบนอากาศ ตรวจสอบผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยแล้วให้การรักษา จากนั้นก็สั่งคนหามผู้แพ้ลงไปจากประลองก่อนแล้วประกาศดำเนินการท้าสู้ต่อไป
อาจเป็นเพราะถูกแรงกระตุ้นจากผู้ท้าสู้คนแรก ทำให้มีผู้ท้าสู้สองคนแย่งกันออกมา หนึ่งในนั้นมีเซียวเฟิงอยู่ด้วย
ทั้งสองต่างก็สบตากันครู่หนึ่ง เซียวเฟิงที่ออกมาช้ากว่าครึ่งก้าวก็ถอยกลับไปอย่างไม่เต็มใจ
ดังนั้นพอผู้ท้าสู้คนใหม่เลือกคู่ต่อสู้ได้แล้ว การต่อสู้ครั้งใหม่ก็เริ่มขึ้น
แต่หลิ่วหมิงดูอยู่ครู่เดียวก็แอบถอนใจออกมา
การต่อสู้ของทั้งสองก็เหมือนกับคู่แรก เพียงแค่ใช้อาวุธอาญาสิทธิ์กับวิชาง่ายๆ ต่อสู้กันเท่านั้น ทำไม่ให้เขาไม่คิดจะอยากดูการประลองนี้
เขาไม่ยอมเสียเวลาทนดูอีกต่อไป แต่กลับเดินออกมาจากกลุ่มคนไปหาที่สงบๆ ในมุมหนึ่งของเขาหินที่ไม่มีคน แล้วนั่งลงไปพร้อมกับหลับตากำหนดลมหายขึ้นมา
ถึงแม้เขาจะมองไม่เห็นสถานการณ์บนลานประลอง แต่หูของเขาก็ยังคงได้เสียงกู่ร้องที่ดังมาจากทางนั้น ถึงกระนั้นเขาก็ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา
ทางฝั่งลานประลอง เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไป การประลองแต่ละคู่ก็สิ้นสุดลง สุดท้ายเซียวเฟิงก็เป็นผู้ที่ลงมือท้ายสุด และเอาชนะคู่ต่อสู้จนได้อันดับที่แปดสิบห้ามาครอง
ตู้ไห่ก็ชนะผู้ท้าชิงคนหนึ่งมาได้อย่างราบรื่น และรักษาอันดับของตนเองไว้ได้
หลังจากการประลองอีกสองครั้งได้สิ้นสุดลง ในที่สุดก็ไม่มีผู้ท้าสู้อีก ศิษย์อันดับที่หนึ่งร้อยถึงเก้าสิบเอ็ดก็ลงจากลานประลองไป เปลี่ยนเป็นศิษย์อันดับที่แปดสิบถึงเจ็ดสิบเอ็ดแทน จากนั้นการประลองรอบใหม่ก็ได้เริ่มต้นขึ้น
แต่ครั้งนี้ตู้ไห่และคนอีกเก้าคนกลายเป็นผู้ท้าสู้แทน
การประลองดำเนินไปตามนี้ โดยศิษย์สิบคนที่อันดับต่ำกว่าท้าสู้ศิษย์สิบคนที่อันดับสูงกว่า แต่หลังจากผ่านการประลองอันดุเดือดเมื่อสองวันที่ผ่านมา ศิษย์ส่วนมากต่างก็รู้ขีดความสามารถของตนเอง และไม่ใช้สิทธิ์ในการท้าสู้ เพียงแค่โผล่หน้ามาให้เห็นแล้วก็เดินลงไปจากลานประลองด้วยความพอใจ
เช่นนี้แล้ว นอกจากศิษย์บางรอบที่ประลองกันค่อนข้างดุเดือดเล็กน้อยแล้ว การประลองในแต่ละรอบก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปครึ่งวันก็มาถึงรอบยี่สิบอันดับแรกของสือชวน ซือหม่าเทียน และคนอื่นๆ ซึ่งพวกเขาต่างก็ขึ้นไปบนลานประลองแล้ว
ขณะนี้หลิ่วหมิงที่นั่งสงบจิตอยู่ได้ลืมตาขึ้นมา และลุกขึ้นเดินมายังลานประลองอีกครั้ง
เป็นอย่างที่เขาคาดไว้จริงๆ การต่อสู้ระหว่างศิษย์สามสิบอันดับแรกกับศิษย์ยี่สิบอันดับแรกนั้นดุเดือดเป็นอย่างมาก ดูเหมือนกับว่าศิษย์ทุกคนที่อยู่สามสิบอันดับแรกต่างก็ออกมาท้าสู้กันทั้งหมด รวมถึงศิษย์ยี่สิบอันดับแรกที่มีสือชวนอยู่ในนั้นด้วย และต่างก็แสดงพลังอันน่าตกใจที่ศิษย์ก่อนหน้าเหล่านั้นไม่สามารถเทียบได้
ในขณะที่ศิษย์เหล่านี้ทำการต่อสู้ มีทั้งคนที่ใช้วิชาศิลาร่วงที่ฝึกจนเกือบจะถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ซึ่งหินขนาดเท่าหัวคนแต่ละก้อนร่วงตกลงมาราวกับเม็ดฝน และยังมีคนเรียกปีศาจระดับพลทหารออกมาสองตน ประสานกันโจมตีจนคู่ต่อสู้ถดถอยไป ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนใช้ร่างฝึกแสดงพลังอันแข็งแกร่งออกมา ซึ่งปล่อยออกไปแค่หมัดเดียวก็โจมตีอาวุธอาญาสิทธิ์ที่ใช้ป้องกันตัวของคู่ต่อสู้จนพังทลาย
เมื่อสือชวนถูกท้าสู้จากศิษย์ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง เขาจำเป็นต้องตวัดโซ่เงินออกมาเป็นครั้งแรก และเปลี่ยนมันเป็นบ่วงไปรัดพันฝ่ายตรงข้ามไว้หลายรอบ และตรึงจนแน่น ถึงจะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้
ซือหม่าเทียนเองก็เพิ่งหยิบดาบสั้นสีดำราวกับหมึกเล่มหนึ่งที่มีไอเย็นแปลกประหลาดออกมา ภายใต้การกวัดแกว่งของเขาไอสีดำแผ่ความเย็นแปลกประหลาดม้วนตัวออกมา ครู่เดียวก็ทำให้คู่ต่อสู้กลายเป็นน้ำแข็งสลักสีดำ จนคนจำนวนมากต่างก็ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
แต่นอกจากทั้งสองคนแล้ว ชายฉกรรจ์หัวล้านอันดับที่สิบเก้าที่ชื่อ ‘กู่เจวี๋ย’ ผู้นั้น ก็ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกสนใจขึ้นมา
คนผู้นี้นอกจากจะมีโซ่ตรวนวิญญาณที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติแล้ว บนตัวเขายังมีกลิ่นไอแปลกๆ บางอย่างที่เขาค่อนข้างคุ้นเคย
และชายฉกรรจ์หัวล้านผู้นั้นอาศัยแค่โซ่ตรวนวิญญาณในมือก็สามารถเอาชนะผู้ท้าชิงได้อย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าพลังของเขาแข็งแกร่งจนยากที่คาดเดาได้
แต่ที่ทำให้เขาสนใจมากกว่าเดิมก็คือ พออาจารย์อาหร่วนผู้นั้นเห็นชายฉกรรจ์หัวล้านขึ้นมาบนเวที เขาก็ดูเหมือนจะสนใจเป็นพิเศษ และระหว่างที่ชายฉกรรจ์หัวล้านทำการต่อสู้ เขาก็ไม่ยอมละสายตาไปไหนเลย ราวกับว่าสนใจในทุกการเคลื่อนไหวของชายฉกรรจ์หัวล้าน
ภายใต้ความฉงนสนเท่ห์ หลิ่วหมิงก็เกิดข้อกังขาขึ้นมาในใจ
ถึงแม้การต่อสู้เหล่านี้จะดุเดือดสักแค่ไหน และก็มีคนส่วนหนึ่งถูกชิงตำแหน่งไปได้ แต่ตำแหน่งของสือชวนกับชายฉกรรจ์หัวล้านกลับรักษาไว้ได้
หลังจากที่การท้าสู้ครั้งสุดท้ายของศิษย์สองกลุ่มนี้สิ้นสุดลง ผู้อาวุโสร่างท้วมก็ยังไม่ได้เรียกกลุ่มของหลิ่วหมิงขึ้นไปบนลานประลอง แต่กลับประกาศให้หยุดพักหนึ่งชั่วยาม แล้วค่อยมาเริ่มการท้าสู้กับศิษย์สิบอันดับแรก
สือชวน ซือหม่าเทียน และคนอื่นๆ ต่างก็อาศัยจังหวะนี้ทานโอสถแล้วนั่งลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจขึ้นมา
และศิษย์นิกายปีศาจคนอื่นๆ ก็เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการประลองในรอบต่อไปด้วยความตื่นเต้น และยังคาดเดาเกี่ยวกับคนที่ไม่ถูกท้าสู้ และคนที่อาจถูกแย่งชิงตำแหน่งไปได้
หลิ่วหมิงได้ยินคนพูดถึงเขาไม่มากนัก แต่ดูเหมือนส่วนมากจะคิดว่าเขาทำออกมาได้ไม่ดี เขาจึงหัวเราะขมขื่นอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้
เมื่อเวลาหนึ่งชั่วยามผ่านไป พลังเวทย์ของสือชวน และคนอื่นที่เสียไปก็ฟื้นฟูมาพอประมาณแล้ว
ผู้อาวุโสร่างท้วมปักธงของศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกไว้ข้างลานประลองแล้วก็ประกาศให้เหลยเจิ้น และคนอื่นๆ ขึ้นลานประลองได้
หลิ่วหมิง และคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็ขึ้นลานประลองไปอย่างไม่ลังเล
สายตาของผู้อาวุโสร่างท้วมที่เดิมยิ้มกริ่มอยู่ พอเห็นหลิ่วหมิงที่เดินมายังธงเสาที่เก้าก็พลันอึ้งไปเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นก็กลับคืนมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
เกาชงเหาะขึ้นมาจากอีกด้านหนึ่งของลานประลอง และประจวบเหมาะเจอกับหลิ่วหมิงพอดี เขาจ้องมองหลิ่วหมิงอย่างเยือกเย็น แล้วก็เดินไปยืนใต้ธงของตัวเองโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
เหลยเจิ้นที่เหาะมาจากอีกด้าน เมื่อมองเห็นหลิ่วหมิงก็หัวเราะแล้วแสดงสีหน้าฮึกเหิมออกมา
“การท้าชิงศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกเริ่มต้น ณ บัดนี้ ผู้ชนะทั้งสิบคนจะกลายเป็นศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกที่แท้จริง และจะได้เข้าร่วมท้าสู้เพื่อจัดอันดับศิษย์แกนนำในภายหลัง ตอนนี้ข้าขอประกาศให้ทุกคนเลือกท้าสู้ได้อย่างอิสระ” ผู้อาวุโสร่างท้วมกล่าวอย่างรวดเร็ว แล้วก็ค่อยๆ เหาะออกไปจากลานประลอง
ถึงแม้ผู้คนที่อยู่บนลานประลองต่างก็สบตากันอยู่ตลอด แต่สือชวน และคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหน้าของหลิ่วหมิงต่างก็ไม่มีใครกล้าก้าวออกมา แต่ในนั้นก็มีสายตาของคนห้าหกคนต่างก็มองมาที่หลิ่วหมิงติดๆ กันไม่หยุด
สีหน้าของหลิ่วหมิงไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย แต่กลับแอบถอนหายใจอยู่ในใจ
ประจักษ์ชัดว่าคนกว่าครึ่งหนึ่งเลือกเขาเป็นเป้าหมายในการท้าสู้
นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะดูจากภายนอกของเขาเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้ว เขาเป็นที่ผู้ที่ดูเปราะบางที่สุด ที่พวกเขายังไม่ได้เลือกท้าสู้ทันที เป็นเพราะว่ายังกังวลว่าเขาจะมีท่าไม้ตายอื่นๆ ซ่อนอยู่หรือไม่
และในขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดเช่นนี้อยู่นั้น ในที่สุดศิษย์ที่ยืนอยู่ติดกับสือชวนก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วพลันก้าวมาข้างหน้าพร้อมกับกล่าวด้วยเสียงอันดัง
“ศิษย์หูเฟยขอท้าสู้กับศิษย์น้องไป๋ที่อยู่อับดับที่เก้า ขออาจารย์อาหร่วนได้โปรดอนุญาต!”
คนผู้นี้ผอมสูงราวกับต้นไม้ไผ่ ชุดคลุมผ้าดิ้นที่สวมอยู่บนตัวมีแสงสีเขียวจางๆ เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ขณะเดียวกันด้านหลังก็สะพายดาบประหลาดที่มีรูปร่างแคบยาว และเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว พอเขาเดินออกมาก็ทำให้คนรู้สึกมืดมนราวกับเผชิญหน้ากับอสรพิษ
หลิ่วหมิงได้ยินก็รีบหรี่ตาสังเกตดูฝ่ายตรงข้ามอยู่ครู่หนึ่ง
ผู้อาวุโสร่างท้วมได้ยินเช่นนี้ ก็เหลือบมองไปที่หลิ่วหมิงแล้วพยักหน้าอนุญาต
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เดินออกมาด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ
ขณะนี้ชายร่างท้วมทำท่ามือด้วยมือเดียว กระตุ้นม่านแสงออกมาปกคลุมลานประลองไว้ และประกาศให้เริ่มการต่อสู้ได้
……………………………………….
ตอนที่ 100 การต่อสู้อันดุเดือด (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แต่ในใจกลับนึกถึงฉากที่ฝ่ายตรงข้ามใช้การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วราวกับปีศาจเข้าไปประชิดตัวคู่ต่อสู้ แล้วก็ใช้ดาบประหลาดจี้คอของคู่ต่อสู้ไว้ได้
ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะรู้วิชาที่ร้ายกาจบางอย่างอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อศิษย์ทั่วไปเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ระดับนี้ จะยอมให้เขาประชิดตัวได้ง่ายดายเช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด
หลิ่วหมิงดูเหมือนไม่ขยับแต่ได้แอบร่ายคาถาเรียบร้อยแล้ว และยังถือโอกาสกระตุ้นวิชาตัวเบาแล้ว
หลังจากชายร่างผอมสูงที่ชื่อหูเฟยได้ยินผู้อาวุโสร่างท้วมประกาศให้เริ่มการต่อสู้ได้ เขาก็ยิ้มเยาะใส่หลิ่วหมิง จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ชุดคลุมผ้าดิ้นบนตัวก็เปล่งแสงสีเขียวออกมาทันที แล้วมันค่อยๆ พาร่างของชายหนุ่มจมเข้าไปในนั้น เมื่อมองจากที่ไกลๆ ก็เห็นราวกับว่าเขาเป็นมนุษย์แสงสีเขียว
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์อันแปลกประหลาดนี้ ในใจเขาก็รู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา เขายกแขนทั้งสองขึ้นมาอย่างไม่ลังเล
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมาทันที คมวายุหกเจ็ดเส้นกลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งออกไป มันแค่กะพริบไม่กี่ทีก็มาถึงด้านหน้าของมนุษย์แสง
แต่หลังจากที่หูเฟยส่งเสียงหัวเราะออกมามนุษย์แสงก็ดูลางเลือน และคมวายุก็ทะลุผ่านตัวเขาไปราวกับว่าไม่มีร่างเขาอยู่ตรงนั้น
ฉากนี้สร้างความตกใจให้กับผู้ที่ชมอยู่ด้านล่างเป็นอย่างมาก มีบางคนถึงขนาดหลุดปากอุทานออกมา
หลิ่วหมิงก็แค่ขมวดคิ้วเข้าหากัน และไม่ได้เผยสีหน้าตกใจอะไรออกมา
ฉากที่คาดไม่ถึงเมื่อครู่นี้ อาจจะหลอกสายตาคนจำนวนมากได้ แต่ไหนเลยจะรอดพ้นสายตาเขาไปได้
คมวายุดูเหมือนจะทะลุผ่านร่างเขาไป แต่แท้จริงแล้วเขาสามารถหลบหลีกมันไปได้ เพียงแต่เขาหลบหลีกอย่างรวดเร็วจนทำให้คนรู้สึกว่าเขายังอยู่ที่นั่น
แต่เมื่อฝ่ายตรงข้ามสามารถหลบหลีกการโจมตีของคมวายุได้อย่างไม่สะทกสะท้าน มันก็ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
แต่ในขณะนั้นเองได้มีเสียง “ฟรึ่บ!” ดังขึ้น
มนุษย์แสงด้านหน้าดึงดาบประหลาดตรงหลังออกมา หลังจากที่กวัดแกว่งมันแล้ว เขาก็กลายเป็นเงาแสงสีเขียวกระโจนเข้ามา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ถูมือทั้งสองเข้าด้วยกันโดยไม่แม้แต่จะคิด หลังจากที่ยกมือทั้งสองขึ้นอีกครั้งคมวายุสิบกว่าเส้นก็พุ่งออกไปทันที และต่อมาเขาเพียงแค่เคลื่อนไหวนิ้วสิบ คมวายุแต่ละเส้นก็ปรากฏออกมากลางอากาศ หลังจากที่ดีดออกไปมันก็กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งออกไปอีกครั้ง
คาดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะใช้เวลาสั้นๆ เช่นนี้ ปล่อยคมวายุออกไปได้ยี่สิบกว่าเส้น
เงาร่างมนุษย์แสงที่อยู่ไกลออกไปเพียงแค่เคลื่อนไหวไปมาครู่เดียวก็หลบหลีกคมวายุทั้งหมดได้ หลังจากที่มันดูลางเลือนแล้วก็พุ่งมาหาหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ โดยทิ้งระยะห่างไว้แค่ไม่กี่จั้ง
หลิ่วหมิงแอบตกใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็สะบัดแขนเสื้ออย่างรุนแรง โซ่สีดำราวกับอสรพิษเส้นหนึ่งดีดตัวออกไป พุ่งไปยังด้านหน้าของมนุษย์แสง
แต่มนุษย์แสงเพียงแค่หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น จากนั้นเขาแค่สะบัดดาบประหลาดในมือ แสงเย็นสะท้านสิบกว่าลำก็ม้วนตัวออกไปจนทำให้โซ่ดำครึ่งหนึ่งถูกทำลายจนแตกละเอียด จากนั้นเขาก็ยกมืออีกข้างขึ้นมาปล่อยลำแสงหยกพุ่งเข้ามาหาหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด แล้วยกแขนข้างหนึ่งขึ้นทันที เขาสะบัดห่วงเขี้ยวพยัคฆ์บนข้อมือ ทันใดนั้นโล่แสงสีเหลืองได้ปรากฏออกมาตรงหน้าเขาทันที
พอลำแสงหยกเหล่านั้นปะทะกับโล่แสง มันก็ส่งเสียงดังเปาะแปะราวกับฝนที่ตกกระทบรั้วไม่ไผ่ และแตกสลายไป
ในขณะนั้นเอง มนุษย์แสงตรงหน้าก็บิดตัวเคลื่อนไหวไปมาจนเกือบจะถึงด้านหน้าของหลิ่วหมิง และสามารถมองเห็นใบหน้าที่เหี้ยมโหดได้อย่างชัดเจน
หลิ่วหมิงสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมาทันที เขาแค่ขยับเท้าทั้งสองเล็กน้อย ร่างของเขาก็ไถลถอยออกไปราวกับสายน้ำไหล มืออีกข้างก็ตบลงตรงอกโดยฉับพลัน
เสียงดัง “ฟู่!”
มีจุดสีดำสามจุดปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาแล้วก็กลายเป็นโล่แสงสีดำ
แต่หูเฟยที่กลายร่างเป็นมนุษย์แสงกลับไม่สนใจในสิ่งนี้ เขายังคงพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงติดๆ ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาจนดาบประหลาดบนมือถูกแสงสีเขียวปกคลุมไว้ หลังจากที่โบกเบาๆ มันก็เลือนหายไปในอากาศ
ครู่ต่อมาพลันบังเกิดเสียงดังขึ้นที่ด้านหน้าของหลิ่วหมิง เงาดาบสีเขียวปรากฏออกทันที และฟันลงบนโล่แสงอย่างถี่ยิบ
เพียงครู่เดียว หลังจากมีเสียงแตกหักดังขึ้น โล่สามดาวก็แตกออกมาเป็นชิ้นๆ เงาดาบพุ่งเข้ามาทันทีโดยที่ไม่มีอะไรขัดขวางไว้
หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด และสั่นห่วงเขี้ยวพยัคฆ์เบาๆ หัวพยัคฆ์สีเหลืองปรากฏออกมาในทันที ขณะเดียวกันมันก็พ่นคลื่นเสียงสีขาวโพลนออกไป
เงาดาบด้านหน้าถูกโจมตีจนหยุดชะงักไป
ในช่วงระหว่างเวลานี้ หลิ่วหมิงที่ยังไถลไปข้างหลังอยู่ก็ประกบมือทั้งสองเข้าหากันแล้วแยกออกจากกันโดยฉับพลัน คมวายุยักษ์ขนาดยาวหลายฉื่อก็เปล่งประกายออกมา เพียงแค่หลิ่วหมิงสะบัดแขนมันก็พุ่งออกไปด้วยเสียงอันดัง
พอหูเฟยเห็นคมวายุยักษ์ปรากฎออกมา ใจเขาก็รู้สึกเสียววาบ ภายใต้ความตกใจร่างมนุษย์แสงของเขาถอยห่างออกมาทันที ขณะเดียวกันก็กวัดแกว่งดาบประหลาดในมือไปยังด้านหน้า เงาดาบสีเขียวปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
ในขณะนั้นเองก็มีเสียงดัง “ฟิ้ว!” คมวายุยักษ์ปรากฏออกมาทำลายเงาดาบจนพังพินาศไป จากนั้นมันก็ฟันเข้าไปที่ร่างของมนุษย์แสงผู้นั้นนั้น
หูเฟยไม่คาดคิดมาก่อนว่าคมวายุยักษ์จะร้ายกาจ และเคลื่อนไหวได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ภายใต้ความตื่นตะลึงต่อให้เขาคิดที่หลบหลีกมันก็สายไปเสียแล้ว เขาทำได้แค่ยื่นดาบไปบังไว้ด้านหน้า มืออีกข้างคีบยันต์สีเหลืองบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ
เสียงดัง “ตู้ม!”
หูเฟยรู้สึกแค่ว่ามีลมพายุที่แหลมคมแวบผ่านไป แล้วมือก็ร้อนขึ้นมาจนดาบประหลาดหลุดออกจากมือ
จากนั้นคมวายุยักษ์ก็ฟันลงบนโล่สีเหลืองที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา หลังจากที่มีเสียงแตกหักดังออกมาทั้งสองก็แตกละเอียดไปพร้อมๆ กัน
หูเฟยเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ และรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา
ถ้าเมื่อครู่เขาปล่อยยันต์คุ้มกันที่ซื้อมาด้วยราคาที่สูงออกไปช้าอีกหน่อยล่ะก็ ร่างของเขาคงโดนสับเป็นสองชิ้นแล้ว
ความร้ายกาจของคมวายุยักษ์มันช่างเหนือกว่าคำร่ำลือมาก
ขณะนี้ ร่างของหลิ่วหมิงที่อยู่ไม่ไกลได้เริ่มเคลื่อนไหว เพียงครู่เดียวก็โผล่แวบไปยังบริเวณดาบประหลาดเล่มนั้น เขายกเท้าขึ้นมาเหยียบอาวุธอาญาสิทธิ์ชิ้นนี้ไว้แน่น
หูเฟยเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา หลังจากที่คิดวกไปมาอย่างรวดเร็วก็คิดที่จะทำอะไรบางอย่างนั้น แสงสีเขียวที่เปล่งประกายอยู่บนตัวเขาก็หยุดชะงักลง จากนั้นก็ค่อยๆ สลายจนกลายเป็นจุดแสง และหายไปในที่สุด
ร่างที่แท้จริงของชายร่างผอมสูงปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ชุดผ้าดิ้นบนตัวก็เปลี่ยนเป็นสีดำมืดไร้แสงขึ้นมา อาการตกตะลึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
หลิ่วหมิงกลับไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย เขายกมือทั้งสองขึ้นโดยไม่กล่าวอะไรออกมา คมวายุแต่ละเส้นเกาะตัวกันขึ้นตรงด้านหน้าเขา มันมีทั้งหมดยี่สิบกว่าเส้น จำนวนอันมากมายนี้ดูน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เมื่อแสงเย็นสะท้านเปล่งประกายในดวงตาของเขา เขาก็พร้อมที่จะปล่อยคมวายุเหล้านี้ออกไป
“ไม่ต้องสู้แล้ว ข้ายอมแพ้!”
พอชายร่างผอมสูงเห็นเช่นนี้ ก็เรียกสติกลับมาได้ และรีบตะโกนยอมรับความพ่ายแพ้ทันที
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิง และคนที่ดูอยู่ด้านล่างต่างก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา
แต่พอคิดๆ ดูแล้วมันก็น่าจะเป็นเรื่องธรรมดา
ที่ก่อนหน้านั้นหูเฟยเคลื่อนไหวได้รวดเร็วราวกับปีศาจนั้น ส่วนมากก็ล้วนอาศัยพลังจากชุดคลุมผ้าดิ้นที่สวมอยู่กับดาบแปลกประหลาดเล่มนั้น แต่ตอนนี้อานุภาพของทั้งสองสิ่งได้สูญสิ้นไปแล้ว ซึ่งดาบแปลกประหลาดได้ตกอยู่ในกำมือของหลิ่วหมิงแล้ว ถ้ายังต่อสู้กันต่อไปก็ไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย
“ครั้งนี้ไป๋ชงเทียนชนะ และครั้งต่อไปไม่สามารถท้าสู้เขาได้อีก” ผู้อาวุโสร่างท้วมลอยออกมาจากกลางอากาศ แล้วกล่าวกำชับอย่างไม่ใส่ใจ แต่สายที่มองดูหลิ่วหมิงกลับแสดงความประหลาดใจออกมา
หลิ่วหมิงกล่าวคำว่า “เจ้าให้ข้าชนะ” ด้วยรอยยิ้ม หลังจากที่สะบัดแขนเสื้อคมวายุสีเขียวก็สลายไป ขณะเดียวกันก็ยกเท้าออกมาจากดาบแปลกประหลาดที่เหยียบอยู่ แล้วจึงกลับไปตรงใต้ธงของตัวเอง
แต่เกาชง เหลยเจิ้น และศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้น ต่างก็มองไปที่หลิ่วหมิงด้วยสีหน้าที่ดูหวาดกลัวเล็กน้อย
ถึงแม้พวกเขาจะรู้ว่าคมวายุขั้นสมบูรณ์แบบนั้นไม่อาจประมาทได้ แต่การใช้มันได้อย่างยอดเยี่ยมของหลิ่วหมิงที่ดูเหมือนจะปล่อยไปออกไปได้เพียงแค่ดีดนิ้วนั้น มันเกินความคาดหมายพวกเขาไปมาก
แน่นอนพวกเขาย่อมไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงนอกจากหลิ่วหมิงจะฝึกฝนมันอย่างหนักในห้องว่างเปล่าลึกลับแล้ว ทุกวันเขายังเจียดเวลาส่วนหนึ่งไปใช้ในสถานการณ์จริง และฝึกใช้มันกับศัตรูหลากหลายรูปแบบถึงสามารถใช้ได้ถึงขั้นนี้
ศิษย์ด้านล่างลานประลองยิ่งตื่นเต้นเป็นพิเศษ ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์เรื่องคมวายุขั้นสมบูรณ์แบบของหลิ่วหมิง และยังนำไปสู่การพูดคุยเกี่ยวกับวิชาอื่นๆ ว่าถ้าได้ผนึกประทับวิชาแล้ว มันจะมีอานุภาพร้ายกาจเพียงใด
“หยางเฉียน การประลองใหญ่ในครั้งก่อนเจ้าได้ฝึกฝนวิชากระสุนไฟจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว และยังผนึกประทับวิชาแล้วด้วย แต่การปล่อยกระสุนไฟยังช่างชั้นจากเจ้าเด็กนี้มากนัก” หยางเฉียนที่นั่งสงบมาตั้งแต่แรก พลันได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งที่ดังเข้ามา
หน้ากากของเขาสั่นไหวเล็กน้อย แล้วหันหน้าไปยังต้นเสียง แล้วก็พบว่าเป็นชายร่างผอมแห้งที่นั่งอยู่ใต้ธงเสาที่สอง เขาจึงตอบกลับไปอย่างราบเรียบ
“เดิมทีวิชากระสุนกับวิชาคมวายุก็เป็นวิชาที่แตกต่างกัน หลังจากผนึกประทับวิชาแล้วอานุภาพที่เพิ่มขึ้นของมันก็ต่างกันเป็นอย่างมาก ความเร็วในการปล่อยวิชากระสุนไฟย่อมไม่เท่ากับคมวายุอยู่แล้ว แล้วจะมีอะไรน่าแปลกใจเล่า ว่าแต่เคล็ดวิชาที่เจ้าฝึกฝนนั้น ถึงแม้จะบอกว่าใช้ป้องกันตัว แต่จะสามารถต้านทานคมวายุของศิษย์น้องไป๋ได้หรือไม่นั้นก็ยังไม่อาจพูดได้”
“ฮึ! เจ้าวางใจเถอะ! ต่อให้คมวายุของศิษย์น้องไป๋จะแข็งแกร่งกว่านี้เท่าตัว ก็ไม่อาจทำลายวิชาป้องกันตัวของข้าได้” เฟิงฉานยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมา จากนั้นก็ใช้สายตาอันน่าสะพรึงกลัวมองหลิ่วหมิงครู่หนึ่ง
หลิ่วหมิงย่อมไม่รู้บทสนทนาของพวกเขาทั้งสอง ขณะนี้เขากำลังนั่งหลับตากำหนดลมหายใจอยู่
บนแท่นประลอง หูเฟยเก็บดาบแปลกประหลาดเล่มนั้นขึ้นมา แล้วก็เดินกลับไปยังที่ของตนเองโดยไม่แสดงอาการใดๆ บนใบหน้า
เกือบจะในเวลาเดียวกัน ซือหม่าเทียนปรับเปลี่ยนสีหน้าแล้วก็ยืนขึ้นเดินมากลางแท่นประลอง จากนั้นก็กวาดสายตาพร้อมกับพูดออกไป
ถ้าศิษย์น้องเหลยไม่รังเกียจล่ะก็ ลองมาแลกมือกันหน่อยไหม”
ไม่คาดคิดว่าเป้าหมายที่เขาท้าสู้คือศิษย์ผู้มีเก้าชีพจรจิตวิญญาณอัสนีอย่างเหลยเจิ้น
เหลยเจิ้นได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะออกมา แล้วเดินออกมาจากใต้ธงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ผู้อาวุโสร่างท้วมพยักหน้าแล้วรีบประกาศออกมาทันที “เริ่มต้นการท้าสู้” หลังนั้นก็แวบออกไปจากม่านแสง
และขณะเดียวกันเหลยเจิ้นกลับทำท่ามือด้วยมือทั้งสองแล้ว หลังจากที่มีดังขึ้นบนตัวเขา สายฟ้าสีเงินแต่ละเส้นก็พันกันออกมา และมันก็พันรอบตัวเขาราวกับอสรพิษสีเงินพร้อมกับเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซือหม่าเทียนก็สะบัดแขนเสื้อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็ดึงดาบสั้นสีดำเปล่งประกายแวววาวออกมา และเขาก็ก้าวยาวๆ เข้าไปหาเหลยเจิ้น
……………………………………….
ตอนที่ 101 การต่อสู้อันดุเดือด (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหลยเจิ้นร่ายคาถาพร้อมกับยกแขนขึ้น ยื่นนิ้วมือนิ้วหนึ่งแตะไปยังด้านหน้า
เสียงดัง “ตู้ม!”
สายฟ้าขนาดใหญ่ผ่าลงเหนือศีรษะของซือหม่าเทียน
ซือหม่าเทียนกวัดแกว่งดาบสั้นในมือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
เสียงดัง “ฟู่!” เมฆดำกลุ่มหนึ่งม้วนตัวขึ้นไปยังที่สูง
สายฟ้าปะทะกับเมฆดำแล้วก็หายไปพร้อมกับเสียงอันดังสนั่น
“อาวุธจิตวิญญาณ!”
ถึงแม้หลิ่วหมิงพอจะคาดเดาได้บ้าง แต่พอมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้รูม่านตาก็หดลงอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่ผิด! ข้าซื้อดาบเมฆามืดมาจากตลาดด้วยหินจิตวิญญาณที่ข้าสะสมมาได้ทั้งหมด และมันก็สามารถควบคุมพลังอัสนีของเจ้าได้ด้วย” ซือหม่าเทียนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากที่พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น พลันปรากฏถุงหนังขนาดเท่าฝ่ามือใบหนึ่ง จากนั้นเมื่อเขาโยนมันออกไปในอากาศก็มีแสงสว่างม้วนตัวออกมาพร้อมกับปีศาจรูปร่างสูงใหญ่ที่มีไอสีดำล้อมรอบ
ปีศาจตนนี้หน้าตาดุร้าย เขี้ยวงอโค้งอย่างน่ากลัว สวมเกราะเหล็กหนาๆ อยู่ชิ้นหนึ่ง เล็บทั้งสิบเป็นสีดำขลับและคมเป็นอย่างมาก ทั่วทั้งร่างของมันปกคลุมไปด้วยขนสีดำแข็ง มันคือผีดิบเกราะเหล็ก
ดวงตาสีเขียวทั้งสองเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด กลิ่นไอบนตัวน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก มันเป็นถึงปีศาจระดับขุนพล
เหลยเจิ้นเห็นเช่นนี้สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป จากนั้นก็ตบไปยังถุงหนังตรงเอวอย่างไม่ลังเล
หลังจากที่แสงสีทองม้วนตัวออกมา ปีศาจวานรที่มีปีกสองข้างก็โผล่ออกมาท่ามกลางแสงนั้น มันคือปีศาจท่องราตรีระดับพลทหารที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด!
เพียงแต่ปีศาจตนนี้มีหางเป็นสีแดงเพลิง และพอมันเห็นผีดิบเกราะเหล็กตนนั้นก็ไม่ได้แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา แต่กลับงอตัวยิ้มแสยะฟันใส่ผีดิบเกราะเหล็กอยู่ไม่หยุด
เหลยเจิ้นทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งแล้วอ้าปากพ่นโลหิตไปยังปีศาจท่องราตรีตนนั้น
เสียงดัง “ฟู่!”
โลหิตระเบิดออกมาเป็นหมอกโลหิต แล้วเปลี่ยนเป็นเส้นใยโลหิตซึมเข้าไปในร่างของปีศาจท่องราตรีอย่างรวดเร็ว
ครู่ต่อมา ปีศาจตนนี้ก็แหงนหน้าส่งเสียงร้องแหลมออกมา หางสีเพลิงฟาดไปยังพื้นแท่นประลองด้านหลังอย่างรุนแรง พริบตาเดียวร่างของมันก็ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดสูงจั้งกว่าๆ ขณะเดียวกันหลังจากที่ปลายหางแหลมพลิ้วไหวตามลมก็บังเกิดเสียงดัง “ฟู่!” จากนั้นทั่วทั้งร่างกลายเป็นเปลวไฟสีแดงคุโชนขึ้นมา
“ปีศาจท่องราตรีกลายพันธุ์!”
ซือหม่าเทียนเห็นฉากนี้ก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา แต่หลังจากทำเสียงฮึดฮัดก็ฟันดาบสั้นในมือไปยังอากาศตรงหน้า ขณะเดียวกันก็ทำท่ามือด้วยมืออีกข้างเพื่อกระตุ้นผีดิบเกราะเหล็ก
อักขระอันหนาแน่นเปล่งประกายขึ้นบนดาบสั้น ไอสีดำก็พวยพุ่งออกไปควบคุมพลังของเหลยเจิ้นไว้ แต่ก่อนที่มันจะไปถึงก็มีไอเย็นแปลกประหลาดม้วนตัวออกไปก่อน
ผีดิบเกราะเหล็กตนนี้คำรามเสียงต่ำออกมาพร้อมกับพุ่งไปยังฝ่ายตรงข้าม
เหลยเจิ้นเมินเฉยต่อผีดิบเกราะเหล็ก แต่กลับเผชิญหน้ากับเมฆดำด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากที่มือทั้งสองทำท่ามือแล้วก็ยกขึ้นพร้อมกัน
เสียงฟ้าร้องดังขึ้น!
สายฟ้าแต่ละเส้นดีดตัวทอสลับกันไปมา จากนั้นก็ขยายตัวกลายเป็นแหอัสนีไปปะทะกับเมฆดำ
เมื่อทั้งสองสิ่งสัมผัสกันก็มีเสียงดัง “ตู้ม!” สายฟ้ากับเมฆสีดำเกาะผนึกเข้าด้วยกัน จากนั้นก็มีเสียงสนั่นหวั่นไหวผสานกับแสงที่แลบออกมาอยู่ไม่หยุด
ซือหม่าเทียนมีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมาพร้อมกับกระตุ้นดาบสั้นในมืออีกครั้ง จากนั้นเมฆดำก็ม้วนตัวกระหน่ำออกไป
เหลยเจิ้นที่อยู่ตรงข้ามทำเสียงฮึดฮัด แล้วก็เร่งร่ายคาถาโดยไม่เผยจุดอ่อนใดๆ ออกมา นิ้วทั้งสิบดีดไปยังด้านหน้าอยู่ไม่หยุด และแต่ละครั้งก็จะมีสายฟ้าผ่าลงไปด้วยเสียงอันดัง
ชั่วขณะนั้น แท่นประลองด้านหนึ่งเต็มไปด้วยเมฆดำที่พวยพุ่งราวกับอยู่ในแดนปีศาจปรโลก อีกด้านหนึ่งก็มีสายฟ้าสีเงินแลบแปลบปลาบออกมาอยู่ไม่หยุดจนดูราวกับเป็นทะเลสีเงิน
พลังของทั้งสองน่าสะพรึงเป็นอย่างมาก พริบตาเดียวทุกคนก็ตกอยู่ในภาวะชะงักงัน
ส่วนผีดิบเกราะเหล็กตนนั้น พอมันพุ่งเข้ามาได้สิบกว่าจั้งก็ถูกปีศาจท่องราตรีกลายพันธุ์กระโจนเข้าใส่ด้วยความรวดเร็วจนมันล้มลงไป จากนั้นทั้งสองก็ต่อสู้กันอย่างอุตลุต ปราณหยินสีดำกับเปลวไฟสีแดงผสมปนเปเข้าด้วยกัน และต่างก็ส่งเสียงร้องแหบแห้งกับเสียงคำรามต่ำออกมาอยู่ตลอด
พอซือหม่าเทียนเห็นว่าการโจมตีของตนเองไม่ค่อยได้ผลมากนัก แต่พลังเวทย์ภายในกลับไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ และเขาก็รู้สึกร้อนรนใจขึ้นมา
ถึงแม้อาวุธจิตวิญญาณจะมีอานุภาพร้ายแรงมาก แต่สำหรับศิษย์จิตวิญญาณอย่างเขาแล้วพลังเวทย์อาจจะต้องรับภาระหนักไปหน่อย ถ้าหากว่าเขายังฝืนต่อไปเช่นนี้พลังเวทย์ของเขาอาจจะหมดไปก่อนได้
ดูเหมือนว่าถ้าไม่ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมคงจะไม่ได้แล้ว
ซือหม่าเทียนคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว พลันกัดฟันแล้วร่ายคาถาขึ้นมา หลังจากที่สะบัดข้อมือดาบสั้นในมือก็พุ่งขึ้นไปเปล่งประกายอยู่บนฟ้าทันที เห็นได้อย่างลางๆ ว่ามีค่ายกลสีดำสามชั้นปรากฏอยู่บนดาบสั้น
ไม่คาดคิดว่าเขาจะกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำที่มีชั้นจำกัดสามชั้นได้ และยังกระตุ้นอานุภาพสูงสุดของมันออกมาได้จนหมด
ซือหม่าเทียนเชื่อมจิตกับอาวุธจิตวิญญาณแล้วก็รู้สึกว่าพลังภายในร่างพรั่งพรูออกมาราวกับน้ำไหลบ่า
และดาบสั้นสีดำก็หมุนติ้วๆ แล้วค่อยๆ ฟันออกไปหาเหลยเจิ้นจากที่ไกลๆ
บังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!
อากาศเหนือศีรษะเหลยเจิ้นสั่นไหว พร้อมกับปรากฏเงาร่างของดาบยักษ์สีดำครึ้มขนาดยาวจั้งกว่าๆ กดทับลงมาด้านล่าง
เหลยเจิ้นแค่รู้สึกสึกว่าบรรยากาศรอบด้านอึดอัดไปหมด กลิ่นไอน่ากลัวจนรู้สึกหายใจอึดอัดได้ปิดตายเขาไว้จนสีหน้าเขาหนักอึ้ง
“ดี! ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าอานุภาพของดาบเมฆามืดนี้จะร้ายกาจสักแค่ไหน!”
หลังพูดจบ เหลยเจิ้นก็สะบัดแขนเสื้อ พลันค้อนเล็กสีเงินเจิดจ้าได้ปรากฏขึ้นในมือ ค้อนมันนี้มีขนาดยาวครึ่งฉื่อ บนหัวค้อนมีอักขระแปลกประหลาดที่ดูคล้ายกับสายฟ้าอยู่เต็มไปหมด เขาแค่กวัดแกว่งมันเบาๆ สายฟ้าแค่ละเส้นก็พุ่งออกมาอยู่ไม่หยุด และมันก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณเช่นเดียวกัน ทั้งยังดูเหมือนจะเหนือกว่าอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำอย่างเมฆามืดด้วย
แววตาของเหลยเจิ้นเปล่งประกายความโหดเหี้ยมออกมา ทันใดนั้นสายฟ้าบนตัวก็พุ่งเข้าไปยังค้อนในมือจนหมด จากนั้นก็โยนขึ้นไปบนฟ้าอย่างรุนแรง
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วฟ้าและปฐพี!
มังกรอัสนีสีเงินปรากฏขึ้นมาอย่างลางเลือน มันแยกเขี้ยวยิงฟันกระโจนขึ้นไปบนอากาศโจมตีจนดาบยักษ์สีดำแตกละเอียด
และหลังจากที่ดาบสั้นสีดำส่งเสียงดังหวึ่งๆ แล้วมันก็ตกลงมาโดยที่ประกายแสงบนตัวมันได้ดับวูบไปแล้ว
เนื่องจากจิตของซือหม่าเทียนยังเชื่อมโยงกับมันอยู่ เขาก็เลยก็กระอักเลือดออกมาด้วยใบหน้าที่ซีดขาว ขณะเดียวกันพลังเวทย์ในร่างกายก็เหลืออยู่เพียงน้อยนิดจนใจเขาร่วงหล่นลงไป
และเหลยเจิ้นที่เพิ่งทำการโจมตีเสร็จกลับมีพลังเวทย์อยู่เหลือเฟือ จากนั้นเขาก็กระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณบนอากาศอีกครั้ง มังกรอัสนีที่กลายร่างมาจากสายฟ้าก็ส่งเสียงร้องดังสนั่นออกมา และเตรียมที่จะพุ่งเข้าใส่ซือหม่าเทียน
หลังจากที่สีหน้าของซือหม่าเทียนเปลี่ยนไปมา เขาก็รีบตะโกนออกไปพร้อมกับประกบฝ่ามือเข้ากับกำปั้นอีกข้าง
“ศิษย์น้องเหลยไม่ต้องลงมือแล้ว ข้ายอมรับความพ่ายแพ้!”
เมื่อกล่าวจบเขาก็ผิวปากเรียกผีดิบเกราะเหล็กที่มีบาดแผลเต็มตัวกลับเข้ามา และคว้าไปในอากาศดูดเอาดาบสั้นบนพื้นขึ้นมาด้วย จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปด้วยสีหน้าทรุดโทรม
ครั้งนี้เขาไม่สามารถเข้าไปในสิบอันดับแรกของศิษย์แกนนำได้ การประลองใหญ่ครั้งหน้าอายุก็เกินกำหนดจนไม่สามารถเข้าร่วมประลองได้แล้ว เขาย่อมไม่มีโอกาสอีกแล้ว
เหลยเจิ้นเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจไปมาก จากนั้นเขาก็เรียกปีศาจท่องราตรีกลายพันธุ์ที่มีรอยเล็บเต็มตัวไปหมดกลับมา จากนั้นก็คว้ามือขึ้นไปบนฟ้า
มังกรอัสนีสลายตัวกลายเป็นค้อนตกลงมา
“ค้อนเทพอัสนี! ไม่คาดคิดว่าศิษย์น้องเหลยจะมีอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางให้กับหลานของเจ้าด้วย ช่างเป็นเรื่องที่คิดไม่ถึงจริงๆ แต่นี่เป็นถึงอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง เกรงว่าเขาคงกระตุ้นอานุภาพของมันออกมาได้แค่เล็กน้อยเท่านั้น”
บนลานหยก ประมุขนิกายปีศาจมองดูเหลยเจิ้นเก็บค้อนเล็กสีเงินแล้วจึงถามชายฉกรรจ์แซ่เหลยด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ช่วงนี้ข้าได้รับอาวุธจิตวิญญาณชิ้นใหม่อีกชิ้นหนึ่ง พลังมันเหนือกว่าค้อนเทพอัสนีนี้มากก ข้าเลยมอบของชิ้นนี้ให้เขา ส่วนอานุภาพของมันน่ะหรือ? ในการประลองระหว่างศิษย์จิตวิญญาณด้วยกันนั้นแค่กวัดแกว่งมันหน่อยเดียวก็เพียงพอแล้ว” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แต่ซือหม่าเซียนก็น่าเสียดาย ด้วยปีศาจระดับขุนพลที่เขามีบวกกับดาบเมฆามืดที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำ ถ้าไม่เขาไม่ทุ่มสุดตัวในตอนท้ายไม่แน่ยังพอจะมีโอกาสชนะได้ และด้วยพลังของเขาแท้จริงก็เพียงพอที่จะเข้าในสิบอันดับแรกของศิษย์แกนนำได้แล้ว” หลังจากที่ดวงตาของฉู่ฉีเป็นประกายเล็กน้อยแล้วก็กล่าวออกมาอย่างเสียดาย
“ศิษย์น้องฉู่กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? หรือคิดว่าหลานของข้าคนนี้ควรจะพ่ายแพ้ให้กับสาขาของพวกท่าน มันถึงเป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น?”
“ฮ่าๆ! ศิษย์น้องเหลยเข้าใจผิดแล้ว ข้าจะคิดแบบนั้นได้อย่างไรกันล่ะ เพียงแค่รู้สึกว่าถ้าดูจากพลังของศิษย์สิบอันดับในหลายปีที่ผ่านมา เด็กคนนี้แต่เดิมก็สามารถเข้าไปในนั้นได้” ฉู่ฉีไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย แต่กลับหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
ชายฉกรรจ์แซ่เหลยทำเสียงฮึดฮัดไปสองสามที แล้วก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงถามอะไรต่ออีก
คนอื่นต่างก็สบตากันแล้วยิ้ม ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าทั้งสองขัดแย้งกันบ้างนิดหน่อย เลยไม่เข้าร่วมสนทนาในเรื่องนี้ด้วย
กุยหรูฉวนก็ไม่อยากเข้าไปแทรกแซงเช่นเดียวกัน แต่กลับเพ่งเล็งความสนใจไปยังแท่นประลองด้านล่าง
ถึงแม้ชัยชนะของหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้นจะทำให้เขาใจเต้นขึ้นมา แต่ที่กังวลที่สุดคือการท้าสู้ของสือชวน ซึ่งเป็นศิษย์ที่เขาให้ความสนใจมากที่สุด
ขณะนี้ผู้อาวุโสร่างท้วมบนแท่นประลองได้ประกาศชื่อผู้แพ้ชนะเสร็จแล้ว
ศิษย์ที่ชมอยู่รอบด้านแท่นประลองต่างก็พูดคุยอย่างตื่นเต้น จากการที่ได้เห็นพลังอันแข็งแกร่ง และยังมีการใช้อาวุธจิตวิญญาณกับปีศาจระดับขุนพลในการต่อสู้ด้วย นับว่ามันได้เปิดสายตาของพวกเขาอีกครั้ง
เมื่อหลิ่วหมิงเห็นซือหม่าเทียนกับเหลยเจิ้นใช้อาวุธจิตวิญญาณและปีศาจระดับขุนพล ใจเขาก็ค่อนข้างสั่นไหวเป็นอย่างมาก แต่พอนึกถึงอาวุธจิตวิญญาณของตัวเองทั้งสองชิ้นกับแมงป่องกระดูกขาวก็กลับมาสงบดังเดิม
ขณะนี้มีชายหนุ่มใบหน้าเหล่อเหลา ได้ขึ้นมาท้าสู้กับเจียหลานที่อยู่อันดับที่เจ็ด ด้วยประกายตาอันร้อนแรง
ดรุณีน้อยใบหน้างดงามได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ออกอาการใดๆ หลังจากที่ผู้อาวุโสร่างท้วมได้ประกาศให้เริ่มต่อสู้ได้แล้ว นางก็แค่ค่อยๆ เดินไปตรงกลางแท่นประลอง แต่ก็มีแสงสีม่วงจางๆ หมุนเวียนอยู่ในดวงตาตั้งนานแล้ว
พอชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาเห็นเช่นนี้ก็ตกใจสะดุ้งโหยง เขาหยิบยันต์สีทองที่เตรียมไว้ออกมาผืนหนึ่ง จากนั้นก็ตบมันลงบนตัว
ชั่วเวลานั้นเอง ม่านแสงสีทองอร่ามก็ปรากฏขึ้นบนร่างของเขา
“ฮ่าๆ! ศิษย์น้องเจียหลาน ข้ารู้ว่าดวงดาของเจ้ามีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งมาก แต่ยันต์เลี่ยงมายาผืนนี้ใช้เพื่อป้องกันการโจมตีจากพลังจิตโดยเฉพาะ ร่างละเมอฝันของเจ้าในตอนนี้มันไม่มีผลต่อข้ามากนัก” ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาหัวเราะกล่าวออกมา จากนั้นก็ดึงดาบสีเขียวเล่มหนึ่งออกมาพร้อมกับเดินเข้าไปดรุณีน้อย
“เช่นนั้นหรือ? ข้าเองก็อยากลองดูว่ายันต์เลี่ยงมายาจะใช้ได้ผลจริงหรือไม่?” ดรุณีน้อยยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน เพียงแต่แสงสีม่วงในดวงตาโชติช่วงขึ้นมา
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น