ลำนำบุปผาพิษ 979-990
บทที่ 979 น่าตื้นตันนัก!
นายท่านเกลียดคนไม่ตรงเวลาที่สุด! ไม่รู้ว่าคราวนี้นายท่านจะลงโทษเขาอย่างไร?
ฮือๆ เขาไม่อยากเข้าไปรับโทษจากสตรีในทะเลทรายที่แดนสุขาวดีอีกแล้ว…
“นายท่าน ข้าน้อยทำผิดอย่างใหญ่หลวง หลังจบเรื่องแล้ว ข้ายินดีไปรับโทษที่แดนเพลิงลับแลขอรับ…”
แดนเพลิงลับแลอุดมไปด้วยไฟ สำหรับผู้ฝึกฝนธาตุน้ำอย่างเขาแล้ว นับว่าเป็นโทษทัณฑ์ที่หนักหนายิ่ง
ตี้ฝูอีเอียงคอมองเขาแวบหนึ่ง “แดนเพลิงลับแล…โอ้ ข้ารู้สึกว่าลงโทษให้เจ้าไปที่นั่นออกจะหนักหนาเกินไปหน่อย”
มู่อวิ๋นรีบตอบทันที “ไม่หนัก! ไม่หนักเลยขอรับ! ข้าน้อยเกือบทำให้การใหญ่ของนายท่านต้องล่าช้า ไปรับโทษที่นั่นก็สมควรแล้วขอรับ” ถึงแม้ภายในแดนเพลิงลับแลแทบจะทำให้ตัวคนระเบิดได้ แต่เขามีเขตแดนคุ้มกาย ทนทรมานสักหน่อยก็ผ่านพ้นไปแล้ว ถือเป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่งด้วย
ตี้ฝูอีถอนหายใจเบาๆ “ข้ามีจิตใจเมตตาเสมอมา หักใจให้เจ้าไปรับโทษที่นั้นไม่ได้อยู่บ้าง เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะมอบภารกิจให้เจ้าอย่างหนึ่ง ขอเพียงเจ้าทำสำเร็จลุล่วง ข้าก็จะไม่ลงโทษเจ้า”
ดวงตามู่อวิ๋นเปล่งประกาย “ขอนายท่านโปรดสั่งการ!”
มือน้อยๆ ของตี้ฝูอีชี้ไปที่หล่มโคลนที่คล้ายจะเดือดปุดๆ “ที่นั่นมีผีดิบกว่าสามพันตัว ต้องการให้จุดเพลิงเผาที่นั่น รอจนเผาที่นี่เสร็จ คาดว่าจะหักลบกลบหนี้ได้หมด หลังจากข้านั่งพาหนะจากไป เจ้าค่อยจุดไฟเผาที่นี่แล้วกัน เมื่อเผาพวกมันจนตายก็นับว่าเจ้าทำความดีล้างความผิดได้แล้ว วางใจเถอะ เจ้าไม่จำเป็นต้องเตรียมข้าวของสำหรับเผาหรอก แค่ขว้างลูกไฟไม่กี่ลูกลงไปก็พอ น้ำในหล่มแห่งนี้ติดไฟได้”
มู่อวิ๋นตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง หลุดปากเอ่ยออกมา “ง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ?”
ตี้ฝูอียิ้มบางๆ “ง่ายไปหรือ? เช่นนั้นข้าหาภารกิจที่ซับซ้อนกว่านี้ให้เจ้าเอาไหม?”
มู่อวิ๋นรีบตอบทันที “ขอบคุณนายท่าน ข้าน้อยจะทุ่มเทปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงสมบูรณ์ขอรับ!”
นายท่านกลายเป็นเด็ก ก็เปลี่ยนเป็นเห็นอกเห็นใจลูกน้องถึงเพียงนี้ น่าตื้นตันนัก!
เรือนกายตี้ฝูอีไหววูบ ในที่สุดก็ฏระโดดขึ้นไปบนรถม้าคันนั้น ก่อนจะเข้าไปในห้องโดยสาร ยังคงเอ่ยกำชับอีกหนึ่งประโยค “น้ำในหล่มแห่งนี้ค่อนข้างแปลก ดูเหมือนจะเรียกว่าน้ำมันปิโตรเลียมอันใดสักอย่าง เพลิงที่เกิดจากมันอาจจะลุกไหม้รุนแรงไปบ้าง เจ้าระวังตัวด้วยล่ะ ยามที่อยู่ไฟก็อยู่ให้ห่างหน่อย”
มู่อวิ๋นรีบตอบรับ “ขอบคุณนายท่านที่ชี้แนะ ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ!”
ตี้ฝูอีพยักหน้าอย่างพอใจ “เมื่อจุดไฟเรียบร้อยก็มาหาข้าแล้วกัน” จากนั้นรถม้าก็แล่นจากไป
มู่อวิ๋นรอจนรถม้าคันนั้นวิ่งไปไกล ถึงวนเวียนริมหล่มโคลนแห่งนั้นรอบหนึ่ง กลิ่นของหล่มโคลนแห่งนี้ไม่เหมือนหล่มโคลนที่อื่นจริงๆ ด้วย เพียงแต่ยังคงเป็นหล่มโคลนยู่ดี
น้ำมันปิโตรเลียมรึ?
น้ำมันที่หลั่งจากก้อนหินหรือไง?
นามนี้ช่างประหลาดนัก
เพียงแต่ต่อให้เพลิงที่ลุกไหม้จากมันจะรุนแรงไปหน่อยแล้วอย่างไรเล่า?
ตัวเขามู่อวิ๋นต่อให้นั่งยองๆ อยู่ในกองเพลิงก็ไม่บุบสลายสักเส้นขน การจุดไฟที่นี่เป็นเรื่องง่ายๆ! เขาจะต้องจุดไฟเผาที่นี่ให้หมดจดเรียบร้อยได้แน่นอน อีกทั้งจะมองผีดิบเหล่านี้ถูกเผาจนตายด้วยตาของตนด้วย กันไม่ให้พวกมันวิ่งออกมาทำร้ายผู้คน…
ในเมื่อคิดจะมองผีดิบทั้งหมดถูกไฟครอกตายด้วยตาตน ยามที่จุดไฟมู่อวิ๋นย่อมไม่หลบไปให้ไกล เขาอยู่ห่างจากหล่มโคลนประมาณสี่ห้าเมตรเท่านั้น จากนั้นก็โยนลูกไฟลูกหนึ่งไปทางด้านหลังโดยไม่หันไปมอง
‘ตูม!’
….
ลึกเข้าในชั้นเมฆ อาชาเวหากระพือปีกเบาๆ ตี้ฝูอีนั่งอยู่บนรถ มองลงไปด้านล่างแวบหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงระเบิดตูมดังกึกก้อง มองเห็นภูเขาลูกนั้นถูกเผาจนกลายเป็นทะเลเพลิงในชั่วพริบตา มองเห็นเปลวไฟพวยพุ่งสู่ท้องฟ้าพร้อมเสียงระเบิดที่ดังขึ้นเป็นระลอก…
นิ้วเขาเคาะตัวรถเบาๆ เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ราวกับนึกไม่ถึงเช่นกันว่าการจุดไฟตรงนั้นจะมีอานุภาพร้ายแรงถึงเพียงนี้
มู่อวิ๋นที่น่าเวทนา เกรงว่าครานี้จะเตะถูกแผ่นเหล็กเข้าแล้ว! ไม่รู้ว่าจะหนีออกมาได้เมื่อไหร่…
————————————————————————————-
บทที่ 980 พี่ชายเป็นผู้จุดเอง!
เขารออย่างมีน้ำอดน้ำทนอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็เห็นลูกไฟดวงหนึ่งพุ่งขึ้นมาบนฟ้า ในลูกไฟห่อหุ้มคนผู้หนึ่งไว้รางๆ คนที่อยู่ด้านในผู้นั้นกำลังร่ายวิชาดับไฟอย่างรวดเร็ว…
ตี้ฝูอีสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ตอนนี้ร่างเขาน่าจะมีพลังวิญญาณอยู่ประมาณเศษสามส่วนร้อย แต่พลังวิญญาณที่น้อยนิดนี้เพียงพอจะสร้างสายน้ำสีฟ้ากระจ่างสายหนึ่ง ราดรดใส่ลูกไฟดวงนั้น
เมื่อลูกไฟดับลง มู่อวิ๋นโผล่ออกมาจากด้านในก็ดูราวขนมแป้งม้วนที่ถูกเผาจนเกรียม ถูกตี้ฝูอีใช้แถบแพรดึงตัวอีกครั้ง ในที่สุดก็พาเขามาถึงบนรถของตนได้
ยามนี้มู่อวิ๋นดูจนตรอกยิ่งนัก เสื้อผ้าถูกเผาจนรุ่งริ่ง ใบหน้าหล่อเหลาขะมุกขะมอม แม้แต่เส้นผมก็ไหม้จนยาวบ้างสั้นบ้าง ดูคล้ายขอทานที่เพิ่งปีนออกมาจากปล่องควัน ความสง่างามเจ้าสำราญมลายไปจนสิ้น
นี่ยังถือว่าปฏิกิริยาตอบสนองของเขาว่องไว ช่วงที่เกิดระเบิดได้พยายามสร้างเขตแดนคุ้มกันรอบกายสุดชีวิต ฉวยโอกาสกลิ้งออกมาตามแรงปะทุของระเบิด มิเช่นนั้น…
มิเช่นนั้นกว่าเขาจะหนีออกมาจากด้านในได้คาดว่าหนังคงลอกออกเป็นชั้นแล้ว
“หนีได้เร็วเอาการนี่” ตี้ฝูอีชมเชยเขาอย่างเบิกบาน แล้งเพ่งพิศเขาแวบหนึ่ง “ข้าให้เจ้าจุดไฟแล้วหนีให้ห่างหน่อยมิใช่หรือ?”
มู่อวิ๋นแทบจะหลั่งน้ำตา “นายท่าน ท่านไม่ได้บอกว่ามันจะระเบิด…”
ตี้ฝูอีกล่าวหน้าเป็นว่า “มิใช่ว่าข้าบอกเจ้าแล้วหรือ ว่าเพลิงนี้จุดแล้วจะค่อนข้างรุนแรง ให้เจ้าระวังหน่อย?”
มู่อวิ๋นพูดไม่ออก
ฮือๆ ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องแก้แค้นเข้าแน่ๆ แก้แค้นที่เขาเคยเห็นอกเห็นใจที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นเด็กอยู่ในใจ…
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ยังคงไร้ขีดจำกัดล่างถึงเพียงนั้นอยู่ สังหารคนโดยไม่บอกกล่าวหารือ
มู่อวิ๋นโบยตัวเองที่ก่อนหน้านี้ชมเชยว่าท่านเทพศักดิ์สทธิ์เห็นอกเห็นใจลูกน้องอยู่ในใจสามสิบครั้ง…
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง มู่เฟิงมาถึงเป็นคนแรก ร่อนลงบนรถอาชาเวหาคันนี้ทันที ทันใดนั้นก็เห็นมู่อวิ๋นที่อยู่ด้านนอกรถ ขณะนี้ถึงแม้มู่อวิ๋นจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว แต่เส้นผมที่ถูกเผาจนสั้นยาวหร็อมแหร็มยังไม่เปลี่ยนไป สีหน้าก็ยังสลดหดหู่อยู่ มู่เฟิงตกตะลึงนัก “มู่อวิ๋น? เจ้าไปปีนปล่องควันบ้านผู้อื่นมาหรือไง?”
มู่อวิ๋นช้ำใจนัก เขากัดฟันตอบ “เห็นเพลิงที่ระเบิดไม่หยุดหย่อนด้านล่างหรือไม่? ผู้น้องเป็นคนจุดเอง!”
มู่เฟิงส่ายหน้า “แค่จุดเพลิงก็สามารถเผาตัวเองได้นี่คือคุณธรรมเช่นใด? มู่อวิ๋น วรยุทธ์ของเจ้าถดถอยแล้ว!”
มู่อวิ๋นพูดไม่ออก เขาจนปัญญาจะแก้ตัว ไม่อาจบอกได้กระมังว่าถูกท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เล่นงาน?
เขากลืนความขมขื่นลงไปเงียบๆ มู่เฟิงก็เข้าไปรายงานในห้องโดยสารแล้ว
มู่อวิ๋นเหวี่ยงแส้อยู่ตรงนั้น คิดในแง่ร้ายอยู่ที่นั่น ไม่รู้ว่าทันทีที่มู่เฟิงเห็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นเด็กน้อยจะตกใจเหมือนกันหรือไม่ จะเห็นใจหรือเปล่า…
เขาลองเงี่ยหูฟัง ทว่ากลับไม่มีเสียงประหลาดอันใดแว่วออกมาจากห้องโดยสาร ได้ยินเพียงเสียงมู่เฟิงกำลังรายงานภารกิจต่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างสงบมั่นคงอยู่
มู่อวิ๋นยกมือนวดหว่างคิ้วอย่างหดหู่ เห็นทีว่าเขาจะไม่ได้ชมเรื่องขบขันของมู่เฟิงอย่างที่คิดไว้เสียแล้ว…
มู่เฟิงคือคนหนึ่งที่สุขุมที่สุดในเหล่าสี่ทูต เป็นประเภทที่ว่าต่อให้ภูเขาไท่ซานถ่อมลงตรงหน้าสีหน้าก็ไม่แปรเปลี่ยน นับถือ! นับถือ!
ขณะที่มู่อวิ๋นลอบทอดถอนใจอย่างหดหู่อยู่ในใจ เสียงลมพลันดังขึ้น มู่เหล่ยเหินลงมาจากฟ้า ร่อนลงข้างกายเขา
เขาเงยหน้าขึ้นตามเสียง สบตาเข้ากับสายตาตกตะลึงของมู่เหล่ยพอดี “มู่อวิ๋น เจ้าไปปีนปล่องควันบ้านผู้อื่นมาหรือไง? เหตุใดจึงดูเหมือนขนมแป้งม้วนไหม้เกรียมเล่า”
มู่อวิ๋นช้ำใจอีกครั้ง
เขาเช็ดหน้าคราหนึ่ง เอ่ยอย่างดุดัน “เห็นกองเพลิงด้านล่างหรือไม่? พี่ชายเป็นผู้จุดเอง!”
มู่เหล่ยมองเขาอย่างเห็นใจ “เจ้าเล่นอยู่ในแดนสุขาวดีแห่งนั้นจนเพี้ยนไปแล้วสินะ? ถูกสตรีในนั้นสูบหยินเสริมหยางหนักหน่วงเกินไปกระมัง? ถึงได้จุดเพลิงก็สามารถเผาตนได้เช่นนี้…”
————————————————————————————-
บทที่ 981 นิสัยเจ้าสำราญของเจ้านี้ปรับเปลี่ยนเสียบ้างเถอะ
มู่เหล่ยมองเขาอย่างเห็นใจ “เจ้าเล่นอยู่ในแดนสุขาวดีปแห่งนั้นจนเพี้ยนไปแล้วสินะ? ถูกสตรีในนั้นสูบหยินเสริมหยางหนักหน่วงเกินไปกระมัง? แค่จุดเพลิงก็สามารถเผาตนได้เช่นนี้…เฮ้อ ข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ นิสัยเจ้าสำราญของเจ้านี้ปรับเปลี่ยนเสียบ้างเถอะ” ส่ายหน้าแล้วก็เข้าห้องโดยสารไป
มู่อวิ๋นปรารถนาจะร่ำไห้ทว่าไร้น้ำตา ใบหน้าเขาเปื้อนเขม่าดำ ไม่อาจหมดจดได้ด้วยการล้างหน้าเพียงครู่เดียว…
ตามปกติเขาชอบปล่อยผมสยาย เนื่องจากเขารู้สึกว่าแบบนั้นสง่างามมีมาด ยามนี้ถูกเผาจนกลายเป็นเช่นนี้ บางทีเขาควรจะเกล้าผมขึ้นเสีย
แต่บนร่างเขาไม่มีสิ่งของจำพวกที่ผูกผมเลย…
เขาพลันกัดฟัน ฉีกชายชุดออกมาแถบหนึ่ง รวบเส้นผมเข้ามา ขณะที่กำลังจะเกล้าขึ้น ก็มีเสียงลมดังขึ้นอีกครั้ง คนผู้หนึ่งร่อนลงข้างกายเขา
มู่อวิ๋นเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทีคล้ายว่าเป็นเหน็บชา สบกับสายตามีความนัยทว่ามิได้เอื้อนเอ่ยของมู่เตี่ยนเข้า
มู่อวิ๋นไม่รอให้เขาได้เปิดปากก็กล่าวออกมาทันที “พี่ชายหาได้ปีนปล่องควันบ้านผู้อื่นไม่! พี่ชายไปจุดไฟด้านล่างมา! เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าหล่มนั้นจะระเบิดได้ พี่ชายจึงหลบหลีกไม่ทัน…”
มู่เตี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง กลืนน้ำลายแล้วเอ่ยออกมา “มู่อวิ๋น ความจริงแล้วที่ข้าอยากถามคือ เหตุใดเจ้าถึงหักใจเกล้าผมขึ้นเล่า? เจ้ากล่าวไว้ว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่ผูกผมเด็ดขาดมิใช่หรือ?”
มู่อวิ๋นพูดอะไรไม่ออกแล้ว
….
มู่อวิ๋นรู้สึกว่า ใต้หล้านี้เขาคือคนที่อาภัพที่สุดแน่นอน เนื่องจากทั้งสามคนที่เข้าไปรายงานล้วนไม่แสดงอาการประหลาดใจต่อเรื่องของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เลย ต่างรายงานผลภารกิจของตนอย่างสงบนิ่งยิ่ง
มู่เตี่ยนเห็นผู้อาวุโสหลงหนีไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไปประมาณร้อยลี้ หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย ที่นั่นน่าจะมีฐานที่มั่นของเขาเช่นกัน
มู่เฟิงในที่สุดก็เก็บสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องการมาได้ ซึ่งยามนี้ได้ส่งมอบให้แล้ว
มู่เหล่ยก็ได้แจ้งเรื่องราวที่นี่แก่พวกอาจารย์ใหญ่กู่แล้ว
จารย์ใหญ่กู่ ฮวาอู๋เหยียน เชียนเยวี่ยหร่าน เทียนจี้เยวี่ยทั้งหมดล้วนมาถึงแล้ว บัดนี้ดักซุ่มอยู่รอบด้าน กำลังสังเกตความเคลื่อนไหวของดรุณีขี่เจียวกับสัตว์ร้ายสองตัวนั้นอย่างใกล้ชิดอยู่ ขอเพียงมู่เหล่ยสั่งการ พวกเขาก็จะลงมือ…
และมู่เหล่ยกำลังขอให้ตี้ฝูอีออกคำสั่ง สอบถามว่าเขาควรลงมือตอนไหน
ตี้ฝูอีมองด้านนอกครู่หนึ่ง ต่อให้อยู่ห่างไกล แต่สายตาของเขายอดเยี่ยมมาก มองออกว่าดรุณีขี่เจียวนางนั้นที่ถูกสัตว์ร้ายทั้งสองไล่ล่าอยู่กำลังตกที่นั่งลำบาก
เขายิ้มบางๆ คราหนึ่ง “ในเมื่อเซียนท่านนั้นเป็นผู้ที่ดินแดนเบื้องบนส่งลงมา คิดว่าจะต้องมีฝีมืออย่างแท้จริงอยู่บ้าง ภัยพิบัตินี้นางเป็นผู้ก่อขึ้น ก็ให้นางจัดการเองเถอะ อย่างไรก็ต้องให้โอกาสนางได้แสดงฝีมือบ้างมิใช่หรือ? ถ้านางจัดการไม่ได้จริงๆ ค่อยให้คนอื่นลงมือก็ได้”
ถึงแม้พลังวิญญาณของตี้ฝูอีจะสูญหายไปมาก แต่สายตานั้นเฉียบคมยิ่ง ประสบการณ์มากมายหลากหลายเหนือธรรมดา เขามองความสามารถที่แท้จริงของดรุนีขี่เจียวนางนี้ออกแล้ว น่าจะรับมือกับสัตว์ประหลาดสองตัวนั้นต่อไปได้กว่าสามร้อยกระบวนท่าเท่านั้น เมื่อถึงเวลาให้พวกกู่ฉานโม่ลงมืออีกครั้ง ย่อมกำจัดสัตว์ประหลาดสองตัวนี้อย่างสมบูรณ์ได้
เดิมทีเขาได้รับกระแสเสียงจากมู่เตี่ยน ทราบว่าสถานที่แห่งนี้คือแหล่งกบดานของผู้อาวุโสลง และทราบว่าที่นี่ซุกซ่อนผีดิบไว้มหาศาล ดังนั้นก่อนมาเขาจึงจัดการกำลังคนอย่างรวดเร็ว เตรียมไว้รอให้พวกกู้ซีจิ่วออกมาจากเขตแดน คนอื่นๆ ก็จะมารวมตัวกันแล้วทำลายล้างอีกครั้ง ทำให้ผีดิบเหล่านี้ที่เชื่อมโยงกับผู้อาวุโสหลงคนนั้นติดอยู่ด้านในด้วยกัน กลายเป็นตะพาบในไห นึกไม่ถึงว่าเรื่องราวที่กำลังดำเนินไปด้วยดีกลับมีสตรีขี่เจียวนางนี้เข้ามาขวาง…
นางเซียนผู้นี้นอกจากจะทำให้งานสำเร็จไม่ได้ยังทำลายให้เสียหายกว่าเดิมอีก ทำให้เสี่ยวซีจิ่วของเขาชุลมุนวุ่นวายไม่ได้หยุด ทำให้เขาจำเป็นต้องใช้กระบวนท่าที่เผาผลาญพลังวิญญาณเพื่อล่อผีดิบลงหล่ม เป็นเหตุให้กลายเป็นเด็กน้อย ทำให้เขาต้องปรับเปลี่ยนแผนการกะทันหัน…
ดังนั้นเขาจะสั่งสอนบทเรียนชุดใหญ่ให้นางเซียนผู้นี้!
ทุกอย่างที่นี่ส่วนใหญ่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมแล้ว ตี้ฝูอีจึงคิดจะจากไป…
————————————————————————————-
บทที่ 982 เกรงว่าไม่สะดวกจะพบนาง…
เขาเหลือบมองด้านล่างแวบหนึ่ง ยามนี้สถานที่ที่เขาอยู่คือภายในหมู่เมฆ มีระยะห่างจากพื้นดินห้าพันเมตร มองเห็นเพียงกองเพลิงที่พวกพุ่งขึ้นสู่ฟ้าเท่านั้น ไม่เห็นคนเบื้องล่าง
หลังจากเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ที่นี่ สาวน้อยคนนั้นจะมาตามหาตนหรือเปล่านะ?
น่าจะมากระมัง?
ถึงอย่างไรนางก็เห็นอิงเหยียนนั่วเป็นสหายแล้ว
เมื่อนางเห็นการระเบิดครั้งใหญ่นี้อาจจะรีบกลับมาก็ได้ หากนางตามหาอิงเหยียนนั่วไม่พบ เกรงว่าจะนึกว่าเขาประสบเหตุสิ้นชีพไปแล้ว…
ตี้ฝูอีถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง ขณะที่กำลังจะสั่งการมู่เตี่ยนอีกครั้ง ให้ลงไปรับบทเป็นอิงเหยียนนั่ว เลี่ยงไม่ให้สาวน้อยผู้นั้นหาเขาไม่พบโศกเศร้ารู้สึกผิด
รับมือกับนางไปสักสองสามวันก่อน ทำให้จิตใจของนางผ่อนคลาย ผ่านไปสักระยะค่อยให้มู่เตี่ยนออกจากสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เสีย เช่นนี้ก็สามารถทำให้อิงเหยียนนั่วหายตัวไปได้แล้ว…
เขายังไม่ทันได้สั่งการอะไร ก็ได้ยินเสียงตะโกนของกู้ซีจิ่วดังมาจากข้างล่าง
หัวใจเขาพลันสั่นสะท้าน!
น้ำเสียงของกู้ซีจิ่วเต็มไปด้วยวิตกกังวล เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น แฝงความสั่นเครือไว้รางๆ…
เสียงตะโกนนั้นดุจเข็มแหลมที่ทิ่มแทงสู่หัวใจ ทำให้อดไม่ได้ที่จะกำมือ
เขายิ้มขื่นพลางนวดคลึงหว่างคิ้วตน เขาสามารถทำให้ผู้อื่นเศร้าหมองได้ แต่ไม่อาจทนมองนางเศร้าหมองได้…
เมื่ออยู่ต่อหน้านาง หลักการของเขา ความเย่อหยิ่งของเขา ล้วนเป็นดั่งเมฆหมอก กระจายหายไปง่ายดายยิ่ง
แต่เป็นนางที่ทอดทิ้งเขาอย่างง่ายดายถึงเพียงนั้น ซ้ำยังทำให้เขาเกิดปมในใจด้วย…
สี่ทูตที่เดิมทีกำลังรอรับคำสั่งจากเขาอยู่ คาดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งจะเอ่ยขึ้นก็หยุดไปเสีย สีหน้าบนดวงหน้าน้อยๆ ค่อนข้างซับซ้อน
พวกมู่เตี่ยนย่อมได้ยินเสียงตะโกนของกู้ซีจิ่วที่ดังมาจากด้านล่างเช่นกัน แถมมู่เตี่ยนยังเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี จึงกล่าวว่า “นายท่าน ต้องการให้ข้าน้อยปลอมเป็นอิงเหยียนนั่วลงไปปลอบนางอีกครั้งไหมขอรับ?”
ตี้ฝูอีเงียบไปครู่หนึ่ง ถอนหายใจแล้วเอ่ย “เดี๋ยวข้าจะลงไปเอง”
สี่ทูตตกตะลึง มู่เฟิงขมวดคิ้ว “นายท่าน ยามนี้ท่านเป็นเช่นนี้…เกรงว่าไม่สะดวกจะพบนาง…”
นัยน์ตาตี้ฝูอีวูบไหวเล็กน้อย เงี่ยหูฟังเสียงตะโกนของกู้ซีจิ่วอีกครู่หนึ่ง เส้นเสียงนางเริ่มแหบแห้งแล้ว…
ตี้ฝูอีเป็นบุคคลประเภทที่ว่าเมื่อตัดสินใจจะทำเรื่องใดแล้วก็จะทำให้ถึงที่สุด ดังนั้นในที่สุดเขาก็ตัดสินได้แล้ว “ข้าจะลงไป พวกเจ้าไม่ต้องตามมา!”
มู่เตี่ยนอดกลั้นไว้ไม่อยู่สุดท้ายก็เอ่ยออกมาว่า “นายท่าน เช่นนั้นต่อไปข้าน้อยยังต้องปลอมเป็นท่านเหมือนยามนี้อีกไหมขอรับ?”
ตี้ฝูอีในยามนี้สูงแค่หนึ่งร้อยสามสิบเซนติเมตรเท่านั้น กระจ้อยร่อยนัก
ตี้ฝูอีส่ายหน้า “สภาพนี้ของข้าน่าจะคงอยู่ไม่นานนัก ไม่จำเป็นต้องใช้เจ้า”
ขณะที่มู่เตี่ยนกำลังจะถอนหายใจอย่างโล่งอก ฝ่ามือของตี้ฝูอีก็ตบลงบนไหล่เขาคราหนึ่ง “เพียงแต่เจ้ายังต้องหมั่นฝึกฝนวิชาดัดกระดูกอยู่ เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน”
มู่เตี่ยนพูดไม่ออก รูปร่างเขาสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบต้องดัดกระดูกให้กลายเป็นหนึ่งร้อนสามสิบเซนติเมตร ช่างเป็นแรงกดดันปานขุนเขาโดยแท้!
….
กู้ซีจิ่วตามหาจนจะบ้าแล้ว!
เธอวนเป็นวงอยู่รอบสถานที่เกิดเพลิงสองรอบแล้วยังไม่พบเห็นเงาร่างของอิงเหยียนนั่วเช่นเคย และไม่ได้รับการตอบกลับจากเขาเลย
อุณหภูมิรอบสถานที่เกิดเพลิงย่อมสูงยิ่งนักเป็นธรรมดา ทว่าบนหน้าผากเธอกลับมีหยาดเหงื่อเย็นเฉียบผุดออกมา เท้าก็อ่อนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่เธอตระเวนไปทั่วด้วยฝีเท้าหนักบ้างเบาบ้าง ก็มีเสียงครางแผ่วๆ เสียงหนึ่งแว่วออกมาจากพุ่มไม้ด้านข้างที่ถูกเผาจนแทบเกรียม
เสียงนั้นแผ่วเบา ทว่าทำให้กูซีจิ่วหันกลับไปทันที แทบจะโผเข้าไป มือที่สั่นนิดๆ แหวกพุ่มไม้ออก จากนั้นก็ตะลึงงัน!
ในพุ่มไม้มีเด็กคนหนึ่งนอนอยู่ เด็กคนนั้นอายุราวแปดเก้าขวบ ใบหน้าน้อยๆ ค่อนข้างมอมแมม แต่กลับซ่อนเครื่องหน้าที่งดงามดั่งวาดแต้มของเขาไว้ไม่ได้ ยามนี้เด็กน้อยคนนี้กำลังเบิกดวงตาชุ่มฉ่ำแวววาวมองเธออยู่ เรียกชื่อเธออย่างขลาดๆ “ซีจิ่ว…”
เดิมทีกู้ซีจิ่วค่อนข้างสิ้นหวังแล้ว แต่หลังจากได้ยินเสียงนี้ของเขาก็ราวกับถูกฟ้าผ่า!
————————————————————————————-
บทที่ 983 เจ้าจำคนผิดแล้ว เจ้าไปซะเถอะ…
เธอมองเสื้อคลุมตัวน้อยบนร่างเขา เสื้อคลุมเป็นแบบเดียวกับอิงเหยียนนั่ว เป็นฉบับย่อส่วนลงสี่ห้าเท่า เมื่อมองใบหน้าเล็กๆ ของเขาดูอีกครา เครื่องหน้าทั้งห้าก็มีจุดที่คล้ายคลึงกับอิงเหยียนนั่วมากเช่นกัน เพียงอ่อนเยาว์ลงมาก เป็นหนูน้อยที่ทำให้คนปรารถนาจะขบสักคำยิ่งนัก
อิงเหยียนนั่วในวัยสิบห้าปีมีความคมคายแบบเด็กหนุ่ม แต่ใบหน้าของพ่อหนูน้อยอายุแปดเก้าขวบที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้งดงามอ่อนวัยไร้เดียงสา โดยเฉพาะดวงตาชุ่มฉ่ำแวววาวคู่นั้น ราวกับเอ่ยวาจาได้ เห็นได้ชัดว่าเขาหนีออกมาจากสถานที่เกิดเพลิง เสื้อคลุมตัวน้อยค่อนข้างยับยู่ยี่ พวงแก้มก็เลอะเทอะมอมแมม มุมปากถึงขั้นมีคราบโลหิตอยู่บ้าง…ชัดเจนยิ่งนักว่าเขาได้รับบาดเจ็บ
กู้ซีจิ่วมองเขาอย่างมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้า…เจ้าคือ? อิงเหยียนนั่วหรือ?”
ตี้ฝูอีตีสีหน้าประหนึ่งชีวิตนี้ไร้ซึ่งความหมายทันที แพขนตาหลุบลงนิดๆ ร่างกานพลันหดเข้าไปในพุ่มไม้ ราวกับอยากจะซ่อนตัวเขาไว้ “ขะ…ข้าไม่ใช่อิงเหยียนนั่ว…เจ้าจำคนผิดแล้ว เจ้าไปซะเถอะ…”
หัวใจกู้ซีจิ่วเหมือนถูกบางอย่างกระแทกใส่! ท่าทางเช่นนี้ของเขาบ่งบอกว่าที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึงชัดๆ!
ถึงแม้สถานการณ์เช่นนี้จะค่อนข้างน่าเหลือเชื่อยิ่ง แต่ในโลกแห่งการฝึกฝนบำเพ็ญเพื่อเป็นเซียนแห่งนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
โลกนี้มีเรื่องประหลาดมากมายเหลือเกิน ไม่อาจใช้สามัญสำนึกมาวิเคราะห์ได้ อย่าว่าแต่อิงเหยียนนั่วกลายร่างเป็นเด็กน้อยอย่างกะทันหันเลย ต่อให้มีไดโนเสาร์กระโดดออกมาจากซอกมุมหนึ่งในทันใดกู้ซีจิ่วก็ไม่ประหลาดใจจนเกินไป
อิงเหยียนนั่วต้องได้รับบาดเจ็บเนื่องจากการระเบิดเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้ถึงได้กลายเป็นเด็ก ทว่ากลัวจะเสียหน้าจึงยอมหดซุกอยู่ในซอกหลืบนี้ไม่คิดจะยอมรับ…
และทุกอย่างล้วนเกิดจากความสะเพร่าของเธอทั้งสิ้น
ในใจของกู้ซีจิ่วรู้สึกผิดหนักกว่าเก่า เมื่อเห็นสภาพที่น่าสงสารของเขาในใจของเธอดั่งมีกระแสอากาศคล้ายอบอุ่นคล้ายโศกหมองซัดสาดอยู่
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม เขายังมีชีวิตอยู่ก็ดีมากแล้ว ไม่ถึงกับไร้หนทางแก้ไขกลับคืน
กู้ซีจิ่วพรูลมหายใจออกมาเบาๆ เอ่ยเสียงนุ่มว่า “อิงเหยียนนั่ว เจ้าไม่ต้องกังวลนะ ข้าจะไม่บอกคนอื่น มาเถอะ ข้าจะจับชีพจรให้เจ้าสักหน่อย”
เธอต้องดูก่อนว่าสรุปแล้วขาบาดเจ็บตรงไหน จากนั้นค่อยหาทางรักษา
ตี้ฝูอีมองเธออยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ ยื่นข้อมือข้างหนึ่งให้เธอ
ข้อมือขาวเนียนปานหยก เรียบลื่นดุจรากบัว กู้ซีจิ่ข่มความปรารถนาที่อยากจะกัดลงไปสักคำไว้ จับชีพจรให้เขา
ชีพจรของเขาค่อนข้างประหลาด ค่อนข้างร้อนรนและค่อนข้างสับสนวุ่นวาย เป็นอาการที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสผนวกกับเคยสิ้นเปลืองพลังวิญญาณมากเกินไป
กู้ซีจิ่วหยิบโอสถบำรุงพลังวิญญาณรวมถึงโอสถรักษาอาการบาดเจ็บภายในที่ดีที่สุดของตนออกมา ให้เขากินเข้าไป
โอสถสองชนิดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ตี้ฝูอีเคยมอบให้เธอไว้ เป็นโอสถระดับแปดที่มีค่าควรเมืองทั้งสิ้น เธอเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด หักใจใช้ไม่ลง ยามนี้ยอมควักออกมาให้เขาทั้งหมด
ตี้ฝูอีมองโอสถนั้น จากนั้นก็มองเธอ “ซีจิ่ว โอสถนี้…ได้มาไม่ง่ายกระมัง ดูเหมือนจะเป็นโอสถของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เจ้าต้องมีไม่มากแน่ ไม่จำเป็นต้องมอบสิ่งนี้ให้ข้าหรอก ข้ายังมีโอสถของตัวเองอยู่ กินลงไปแล้วล่ะ…”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วขึ้น นึกไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะรู้จักมูลค่าของด้วย
เธอไม่คิดจะผลักดันไปดันกันมากับเขา จึงเอ่ยอย่างคล่องปากว่า “วางใจเถอะ โอสถเช่นนี้ข้ายังมีอีกมากนัก มีทั้งโอสถที่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมอบให้ และโอสถที่เจ้าสำนักหลงมอบให้ เจ้าไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก มา กลืนลงไปก่อนนะ”
ตี้ฝูอีจึงพูดอะไรไม่ได้
ในใจเขาไร้ซึ่งรสชาติอยู่บ้าง โอสถรักษาชีวิตที่ตนมอบให้นางไว้นางมอบให้ผู้อื่นง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ…
ทำไมนางไม่มอบโอสถของหลงซือเย่ให้ล่ะ?
ตี้ฝูอีรู้สึกว่า ดูเหมือนตนจะหึงหวงไม่เลือกหน้าเสียแล้ว ซ้ำยังหึงหวงตัวเองอีก…
เดิมทีเขานอนพิงอยู่บนกิ่งไม้ ยามนี้ขยับเขยื้อนอยู่ครู่หนึ่ง หมายจะลุกขึ้นทว่าค่อนข้างกินแรง
————————————————————————————-
บทที่ 984 หัวใจของนางยังเหี้ยมโหดไม่พอ
เดิมทีเขานอนพิงอยู่บนกิ่งไม้ ยามนี้ขยับเขยื้อนอยู่ครู่หนึ่ง หมายจะลุกขึ้นทว่าค่อนข้างกินแรง กู้ซีจิ่วจึงรีบยื่นมือไปพยุงประคองเขาให้นั่งดีๆ แล้วให้เขากินยาเข้าไป
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่า อาการบาดเจ็บภายในบนร่างเขานับว่ารักษาได้ไม่ยาก แต่การกลับเป็นเด็กนั้น…เธอไม่มีหนทางรักษาเลยจริงๆ
“สถานการณ์เช่นนี้ของเจ้า…เมื่อก่อนเคยเกิดขึ้นหรือไม่?” กู้ซีจิ่วตัดสินใจสอบถามดูก่อน
ตี้ฝูอีหลุบแพขนตาลง “เคย…เคยเกิดขึ้น…”
หรือจะเป็นโรคแฝงประจำตระกูล?
เขาไม่เพียงแต่มีอาการสองบุคลิกเท่านั้น ยังมีโรคแอบแฝงเช่นนี้ด้วยหรือ?
กู้ซีจิ่วมองดูเขา ในใจบังเกิดความเห็นยิ่งขึ้น น้ำเสียงจึงอ่อนโยนขึ้นไปอีก “เช่นนั้นรักษาหายได้อย่างไร?”
ตี้ฝูอีถอนหายใจ เขายังรักษาให้หายไม่ได้เลย ซ้ำยังเด็กลงเรื่อยๆ อย่างน่าบัดซบ…
เขาสงสัยว่าถ้าเขาย้อนคืนสู่วัยเยาว์อีกครั้งอาจจะกลายเป็นเด็กทารกก็ได้! แบบนั้นถึงจะเป็นความบัดซบอย่างแท้จริง!
เขาเม้มริมฝีปากส่ายหน้าไปมา “ข้าก็จำได้ไม่ชัด เคยใช้มากมายหลายวิธีนัก…เลยไม่ทราบว่าวิธีไหนที่ได้ผลทำให้กลับมาเป็นปกติได้”
ดวงตากู้ซีจิ่วทอประกายนิดๆ ดูเหมือนอาการย้อนคืนสู่วัยเยาว์ของเขาสามารถรักษาให้หายได้! เพียงแต่ต้องลองคลำหาวิธีดู…
กู้ซีจิ่วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง นึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาในทันใด!
หลงซือเย่!
เขาจบปริญญาเอกด้านชีววิทยา ซ้ำยังเคยศึกษาค้นคว้าด้านพันธุศาสตร์ด้วย ได้ยินว่าเขาเคยศึกษากรณีการย้อนคืนสู่วัยเยาว์ บางทีถ้าไปหาเขาอาจจะมีวิธีก็ได้!
ดังนั้นเธอจึงขบคิดครู่หนึ่งแล้วเสนอขึ้นว่า “ข้าพาเจ้าไปให้จำสำนักหลงดูอาการที่สำนักถามสวรรค์ดีไหม?”
อิงเหยียนนั่วคล้ายจะกังวลอยู่บ้าง “ข้าไม่อยากให้ผู้อื่นทราบฐานะของข้า…”
“เข้าใจแล้ว ข้าจะไม่เผยฐานะของเจ้าต่อเจ้าสำนักหลง จะบอกเพียงว่าเจ้าคือสหายร่วมเป็นร่วมตายคนหนึ่งของข้าตกลงไหม?”
นัยน์ตาอิงเหยียนนั่ววูบไหวเล็กน้อย ดูเหมือนจะพิจารณาความเป็นไปได้อยู่ ผ่านไปครู่หนึ่งในที่สุดก็พยักหน้านิดๆ “ตกลง! ทุกอย่างล้วนต้องพึ่งเจ้าแล้ว”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอเงยหน้ามองดรุณีขี่เจียวที่ยังต่อสู้พัวพันกับสัตว์ประหลาดทั้งสองอยู่บนฟ้า รู้สึกลังเลอยู่บ้าง สายตาของเธอไม่เลวเลย มองออกว่าดรุณีขี่เจียวนางนั้นตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้ว สันนิษฐานได้ว่าทำอะไรสัตว์ประหลาดสองตัวนี้ไม่ได้เช่นกัน…
ความเป็นความตายของดรุณีขี่เจียวกู้ซีจิ่วย่อมไม่เก็บมาใส่ใจ สิ่งที่เธอกังวลคือพอสัตว์ประหลาดสองตัวนี้เป็นอิสระ หากวิ่งแล่นไปที่อื่น เกรงว่าจะก่อภัยพิบัติสังหารล้างบางได้…
เธอควรรอต่อไป แล้วค่อยล่อสัตว์ประหลาดสองตัวนี้มายังสถานที่เกิดระเบิดดีไหม?
เพียงแต่ทางด้านนี้เกิดเพลิงไหม้ใหญ่โตถึงเพียงนี้ การรระเบิดรุนแรงยิ่งนัก เกรงว่าสัตว์ประหลาดทั้งสองที่พอมีสติปัญญาอยู่บ้างคงไม่ยอมติดกับ…
และความสามารถของเธอก็มีขีดจำกัดเช่นกัน…
ตี้ฝูอีเชี่ยวชาญการอ่านความคิดคน โดยเฉพาะความคิดของนางยิ่งชำนาญเป็นพิเศษ มองท่าทางของนางแวบเดียวก็รู้ว่านางกังวลอะไรอยู่ จึงถอนหายใจเบาๆ “ซีจิ่ว เจ้าเกรงว่าสัตว์ประหลาดสองตัวนี้จะวิ่งไปก่อเภทภัยใช่ไหม?”
กู้ซีจิ่วพยักหน้า “นางเซียนด้านบนนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสัตว์ประหลาดทั้งสอง จะต้องปราชัยในไม่ช้าก็เร็ว…”
“เช่นนั้นเจ้ามีวิธีอันใดหรือไม่?”
กู้ซีจิ่วตอบว่า “ไม่มีแบบจำเพาะเจาะจง ทำได้เพียงลองพยายามให้สุดความสามารถดู”
แววตาตี้ฝูอีวูบไหวเล็กน้อย “ซีจิ่ว ผู้กระทำการใหญ่ไม่สนใจรายละเอียดยิบย่อย ควรจำนนก็ต้องจำนน กระทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อตนที่สุด มิใช่การนำชีวิตไปทุ่มเทกับเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สลักสำคัญ”
กู้ซีจิ่วสะกิดใจทันที “ความหมายของเจ้าคือต้องการให้ข้าเป็นนกน้อยที่ทำรังแต่พอตัวสินะ? ไม่จำเป็นต้องสู้ตายกับสัตว์ประหลาดสองตัวนี้ใช่ไหม?”
ตี้ฝูอีปลื้มปริ่มยินดี สาวน้อยคนนี้ฉลาดเฉลียวนัก เพียงเล็กน้อยก็กระจ่างแล้ว!
ภายหน้านางต้องควบคุมดูแลใต้หล้านี้ และเมื่อนั่งอยู่บนตำแหน่งนั้น สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือส่วนรวม ต้องมีใจเหี้ยมเลือกสรรให้เป็น ไม่อาจถูกเรื่องใดหรือผู้ใดมากะเกณฑ์ได้…
หัวใจของนางยังเหี้ยมโหดไม่พอ…
————————————————————————————-
บทที่ 985 สาวน้อยผู้นี้มีวิธีจริงๆ น่ะหรือ?
ความมีเมตตาธรรมคือข้อดีของนาง หากนางแสวงหาเพียงยุทธภพที่ซื่อตรงเปิดเผย บุคลิกเช่นนี้จะทำให้นางเปรียบเสมือมัจฉาได้วารี
แต่สำหรับการเป็นผู้มีอำนาจกลับไม่เหมาะ หากมีเมตตาธรรมเกินไป จะถูกสิ่งเหล่านี้ผูกมัดไว้ได้ง่ายๆ
ขณะที่เขากำลังจะถือโอกาสกล่าวต่อสักหลายประโยค คาดไม่ถึงว่าริมฝีปากแดงของกู้ซีจิ่วจะหยักยิ้มแวบหนึ่ง ยื่นมือมาลูบศีรษะเขา
“เสี่ยวเหยียนนั่ว นี่เจ้ากำลังสอนหลักการจัดการเรื่องราวให้ข้าใช่ไหม? ฮ่าๆ นึกไม่ถึงว่าเด็กน้อยอย่างเจ้าจะเข้าใจเรื่องราวอย่างชัดเจนถึงเพียงนี้…”
ตี้ฝูอีเงียบงัน
กู้ซีจิ่วมองนัยน์ตาดำขลับคู่นั้นของเขา ยิ้มออกมาอีกครา “สิ่งเหล่านี้ที่เจ้าพูดมาข้าล้วนเข้าใจทั้งสิ้น วางใจเถิด ข้าจะไม่สู้ตายกับสัตว์ประหลาดสองตัวนั้นอย่างไม่ประมาณกำลังตน ข้ามีวิธีของข้าอยู่ ในเมื่ออยู่บนพื้นฐานที่กำลังของข้าสามารถทำได้ ถ้าไม่ลองสักหน่อยข้าเกรงว่าแม้แต่จะหลับก็คงหลับไม่ลง!”
เขาเกิดความอยากรู้อยากเห็น “เจ้ามีวิธีอะไร?”
แม้แต่นางเซียนขี่เจียวที่บรรลุพลังวิญญาณขั้นสิบก็ยังทำอะไรไม่ได้เลย สาวน้อยผู้นี้มีวิธีจริงๆ น่ะหรือ?
กู้ซีจิ่วมองสีหน้าเขา หลังจากโอ้เอ้ชักช้าเพื่อยืนยันว่าจะไม่เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นอยู่พักหนึ่ง ถึงได้ยกยิ้มอีกครา หลอกล่อให้อยากรู้ “อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง เจ้ารอชมก็พอ”
ร่างกายเปล่งแสงวาบ หายไปจากจุดเดิม
ตี้ฝูอีพูดไม่ออกเลย
เขาชักจะสนใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว ยกมือขึ้นกอดอก อยากเห็นว่าสาวน้อยคนนี้จะเล่นลูกไม้อันใดอีก
แน่นอนว่าเขาได้ส่งกระแสบอกสี่ทูตแล้ว ให้พวกเขาเตรียมลงมือได้ทันท่วงที…
เหล่าผู้อาวุโสอย่าง กู่ฉานโม่ เทียนจี้เยวี่ย เชียนเยวี่ยหร่านและฮวาอู๋เหยียนก็ซุ่มอยู่ในจุดลับตาแห่งหนึ่ง ชมการต่อสู้อยู่ตรงนั้น
การต่อสู้ระหว่างสตรีขี่เจียวกับสัตว์ประหลาดทั้งสองอยู่ในสายตาพวกเขาทั้งหมด พวกเขาประหลาดใจกับพลังทำลายล้างอันแข็งแกร่งของสัตว์ประหลาดอัปลักษณ์พวกนี้ อีกทั้งรู้สึกว่านางเซียนที่ดินแดนเบื้องบนส่งมาผู้นี้มีความสามารถรอบด้านนัก หากต้องสู้กันตัวต่อตัว พวกเขาทั้งหลายน่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางทั้งสิ้น
โดยเฉพาะฮวาอู๋เหยียน ผู้ชมการต่อสู้ด้วยความรู้สึกหลากหลาก เดิมทีนางคือสตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินนี้ แต่ยามนี้ดรุณีขี่เจียวนางนั้นกลับฉกฉวยความโดดเด่นของนางไปเสียแล้ว…
คนเหล่านี้ล้วนเป็นยอดฝีมือผู้เลิศล้ำ ย่อมมองออกว่าดรุณีขี่เจียวมิใช่คู่ต่อสู้ของสัตว์ประหลาดสองตัวนั้น จะพ่ายแพ้ในไม่ช้าก็เร็วนี้
สิ่งที่ทุกคนค่อนข้างอึดอัดใจคือไม่ทราบว่าทูตเฉิงเอ้อคิดอะไรยู่ เรียกพวกเขามาที่นี่ ทว่าสั่งให้ดักซุ่มอยู่ ไม่ส่งสัญญาณให้พวกเขาลงมือเสียที
เพียงแต่ได้มองให้มากหน่อยก็ไม่เลว ยิ่งมองนานเท่าไหร่ก็ยิ่งค้นพบจุดอ่อนของสัตว์ประหลาดทั้งสองได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ยามที่ลงมือก็จะมีความมั่นใจยิ่งขึ้น
การต่อสู้เช่นนี้มิใช่จะพบเห็นได้ทั่วไป ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงมองอย่างเคลิบเคลิ้มยิ่ง โลหิตร้อนระอุนัก
และในยามนี้เองจู่ๆ กู้ซีจิ่วก็ปรากฏตัวขึ้นบนฟ้า ทันทีที่ปรากฏตัวขึ้นเธอก็ซัดฝ่ามือใส่สัตว์ประหลาดตัวหนึ่งอย่างรุนแรง! ดึงดูดความสนใจจากสัตว์ประหลาดตัวนั้นได้สำเร็จ มันคำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวแล้วหันมาไล่ล่าเธอ!
ส่วนสัตว์ร้ายอีกตัวเนื่องจากได้รับความลำบากจากดรุณีขี่เจียวนางนั้นค่อนข้างมาก กำลังไล่งับนางอย่าดุร้ายอยู่ จึงไม่สนใจสหายที่ถูกล่อไปชั่วขณะ
เดิมทีดรุณีขี่เจียวนางนั้นกำลังถูกสัตว์ประหลาดสองตัวนี้ไล่ล่าจนพบทางตันแล้ว จนตรอกเหลือแสน การเคลื่อนไหวของกู้ซีจิ่วย่อมทำให้แรงกดดันของนางลดลงมาก พอจะพักหายใจได้บ้าง
นางสละเวลามามองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง ลอบกำหมัดแน่น ในใจไม่เกิดความซาบซึ้งตื้นตันอันใด กลับรู้สึกชิงชังยิ่งกว่าเดิม
หากมิใช่เพราะเด็กสาวคนนี้ นางไม่มีทางถูกสัตว์ประหลาดสองตัวนี้จับจ้องอีกครั้ง ไม่น่าอดสูจนตรอกถึงเพียงนี้กระมัง?
เดิมทีนางคิดจะชักภัยไปให้ผู้อื่นอีกครา แต่พอนึกถึงท่าร่างพิสดารของเด็กสาวผู้นี้ นางก็หยุดลงอีกครั้ง
————————————————————————————-
บทที่ 986 หากถูกเขมือบลงไปจะทำอย่างไร?!
หากนางล่อสัตว์ประหลาดทั้งหมดไปอยู่รอบกายเด็กสาวผู้นั้น แล้วถูกนางล่อกลับมาอีกต้องแย่แน่!
คนยักษ์เกราะทองข้ารับใช้ของนางถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกอย่างแท้จริง ระหว่างที่ต่อสู้อยู่ก็มองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง “ราชินี ท่าร่างของเด็กสาวผู้นี้ไม่เลวเลย วิชายุทธ์นี้ของนางคืออันใดกัน?”
ดรุณีขี่เจียวเดือดดาลขึ้นมาทันที “วิชายุทธ์ของมนุษย์โลกที่พลังวิญญาณยังไม่บรรลุขั้นแปดคนหนึ่งจะมีอะไรดีกัน? คู่ควรให้เจ้าชมเชยหรือ?”
คนยักษ์เกราะทองไม่กล้าพูดอีกแล้ว
ดรุณีขี่เจียวหัวเราะหยันคราหนึ่ง แล้วมองกู้ซีจิ่วอีกแวบ ความขุ่นขึ้งพาดผ่านดวงตา
เด็กสาวผู้นั้นคงเกรงว่าจะล่วงเกินนางผู้เป็นคนจากดินแดนเบื้องบนเข้า ด้วยเหตุนี้จึงวิ่งออกมาแบ่งเบาภาระนางอีกครั้ง คิดจะถือโอกาสสร้างความประทับใจแก่เซียนจากดินแดนเบื้องบนอย่างนางกระมัง?
เหอะ! การดีดลูกคิดรางแก้วของเด็กสาวไหนเลยจะเล็ดรอดสายตาของนางไปได้?
ดรุณีขี่เจียวยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าตนคาดเดาได้ถูกต้อง
เด็กสาวผู้นั้นต้องคิดจะร่วมมือกับเซียนอย่างนางเพื่อต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเป็นแน่ ถ้าหากสู้ไม่ได้ ไม่แน่นางอาจจะใช้ลูกไม้เดิมซ้ำอีกครั้ง ล่อสัตว์ประหลาดกลับมาอีก…
นางจะไม่ปล่อยให้นางได้สมปรารถนาหรอก!
ในเมื่อเด็กสาวผู้นี้ลากสัตว์ประหลาดไปแล้ว เช่นนั้นก็รับผิดชอบให้ถึงที่สุดเถิด ถูกสัตว์ประหลาดกัดตายได้จะดีที่สุด!
นางส่งสัญญาณให้คนยักษ์เกราะทอง รีบหันหลังจากไป สัตว์ประหลาดจระเข้ตีนเป็ดตัวนั้นกำลังโกรธเกรี้ยวสุดขีด ย่อมตามหลังไปติดๆ
ทิ้งระยะห่างจากฝั่งนี้ของกู้ซีจิ่วอย่างรวดเร็วยิ่ง…
กู่ฉานโม่ย่อมจดจำศิษย์ของตนได้ เขาตกใจจนหน้าถอดสี
เขาทราบความสามารถของกู้ซีจิ่วดี แต่สัตว์ประหลาดชนิดนี้ต่อให้เขาลงมือด้วยตัวเองก็ยังไม่แน่ว่าจะสู้ไหว ยังต้องร่วมมือกับคนอื่นถึงจะปราบลงได้
เด็กสาวคนนี้พลังวิญญาณยังไม่ถึงขั้นแปดเลย กลับออกไปสู้กับสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายปานนี้เพียงลำพัง…
หากถูกเขมือบลงไปจะทำอย่างไร?!
กู่ฉานโม่กำหมัดแน่น ทั่วร่างล้วนตึงครียดขึ้นมา ในใจได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ขอเพียงกู้ซีจิ่วตกอยู่ในอันตราย เขาจะออกไปช่วยชีวิตคนโดยไม่แยแสอะไรทั้งนั้น ไม่สนใจสัญญาณสั่งการของทูตเฉิงเอ้อแล้ว!
ศิษย์คนนี้ของเขาจะพลาดพลั้งประสบเหตุไม่ได้เด็ดขาด!
ดวงตาชราภาพของเขาเบิกกว้าง มองกู้ซีจิ่วใช้วิชาเคลื่อนย้ายวนเวียนอยู่รอบตัวสัตว์ประหลาดที่ลักษณะคล้ายพญาหงส์ตัวนั้น หัวใจแทบกระเด้งขึ้นมาถึงลำคอ
บัดนี้วิชาเคลื่อนย้ายของกู้ซีจิ่วแสดงศักยภาพขั้นสูงสุดแล้ว ไปมาอย่างฉับพลัน ทำให้ผู้ที่ซุ่มมุงดูอยู่วิงเวียนตาลาย
เพียงแต่การเคลื่อนย้ายทุกครั้งของเธอล้วนไม่ไปไหนไกลนัก เพื่อไม่ให้สัตว์ประหลาดตัวนั้นสูญเสียเป้าหมายไล่ล่า การเดินเกมเช่นนี้ของเธอย่อมยกระดับความโกรธเกรี้ยวที่สัตว์ประหลาดตั้วนั้นมีต่อเธอให้เพิ่มขึ้นอย่างง่ายดาย สัตว์ประหลาดตัวนั้นกวดซ้ายไล่ขวา ปากกัดหางแกว่ง ล้วนทำร้ายอีกฝ่ายไม่ได้เลยสักนิด เธอยังคงกระโดดไปกระโดดมาตรงริมปากของมันอยู่เสมอ ประหนึ่งแมวหยอกหนู นี่ทำให้เพลิงโทสะของมันพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ สีสันบนร่างเริ่มแปรเปลี่ยน แดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าระดับความโกรธของมันใกล้จะเต็มพิกัดแล้ว…
ยามที่สีสันบนร่างของสัตว์ประหลาดตัวนั้นกายเป็นสีแดงฉาน จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็หัวเราะเสียงดังออกมา ใช้วิชาเคลื่อนย้ายกลางอากาศ ล้วงสิ่งหนึ่งออกมาจากร่าง อาศัยจังหวะยามสัตว์ประหลาดตัวนั้นอ้าปากกว้างงับเข้ามา ขว้างเข้าไปทันที!
เธอลงมืออย่างกะทันหัน ฝ่ายสัตว์ประหลาดตัวนั้นเมื่อพายุโทสะเต็มเปี่ยมก็อ้าปากกว้างสุดขีด แม้แต่ลำคอที่ปิดสนิทมาโดยตลอดก็เผยออกมาเช่นกัน
สิ่งที่อยู่ในมือกู้ซีจิ่วพุ่งผ่านปากมุดลงไปในลำคอของมันโดยตรง
จากนั้นเธอก็ใช้วิชาเคลื่อนย้ายทันที!
เสียง ‘ตูม!’ ดังสนั่นหวั่นไหวอื้ออึง เสียงนั้นราวกับหลุมหลบภัยแห่งหนึ่งระเบิดออก
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของฝูงชน จู่ๆ ก็มีแสงเจิดจ้ากลุ่มหนึ่งระเบิดออกมาจากท้องของ ‘พญาหงส์’ สัตว์ประหลาดร่างใหญ่ยักษ์ตัวนั้น ตามด้วยเสียงกู่ร้องโหยหวนของ ‘พญาหงส์’ ตัวนั้น ทั้งร่างถูกระเบิดออกเป็นชิ้นๆ โลหิตสีดำอมม่วงกระฉูดไปทั่วนภา โปรยปรายลงมาเสมือนฝนโลหิต
————————————————————————————-
บทที่ 987 สถานการณ์ฉุกละหุก อุ้มต่อไปก็แล้วกัน
เห็นได้ชัดว่าโลหิตนี้มีฤทธิ์กัดกร่อน เมื่อหยดลงสู่พื้นแม้แต่ก้อนหินก็ละลายหายไปในชั่วพริบตา
ส่วนกู้ซีจิ่วเนื่องจากใช้วิชาเคลื่อนย้ายได้ทันกาล ฝนโลหิตสีดำนั้นจึงไม่กระเด็นโดนร่างเธอเลยสักหยด
ทุกคนตกตะลึงจนอ้าปากหวอ
ดรุณีขี่เจียวที่อยู่ไกลออกไปก็เห็นฉากนี้เช่นกัน ตัวคนแทบจะแข็งเป็นหิน ถูกสัตว์ประหลาดร่างมังกรโจมตีจนเกือบตะปบกระโปรงนางขาดแล้ว
สายตาของคนยักษ์เกราะทองผู้เป็นข้ารับใช้เบิกกว้างปานลูกกระพรวนทองแดง “ร้ายกาจเหหลือเกิน! นั่นคืออะไรกัน?”
ไม่มีผู้ใดเอ่ยตอบเขา
พวกเขานายบ่าวยังคงถูกมังกรร้ายไล่กัดอยู่ ข้ารับใช้เกราะทองนึกว่ากู้ซีจิ่วจะรีบมาช่วยพวกเขาสังหารมังกรร้ายต่อ นึกไม่ถึงว่ารออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่เห็นเงาร่างของเธอเลย เขาฉวยโอกาสมองไปรอบๆ แวบหนึ่งอย่างอดไว้ไม่อยู่ พบว่าเด็กสาวคนนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว!
หนีไปแล้วหรือ?!
ยังมีอยู่อีกตัวนะ!
….
ความสามารถในการจดจำเส้นทางของกู้ซีจิ่วแกร่งกล้ายิ่ง เธอกลับมาอย่างรวดเร็ว ตามหาพุ่มไม้นั้น พบว่าอิงเหยียนนั่วยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น
ชัดเจนยิ่งนักว่าอิงเหยียนนั่วมองเห็นการสังหารหงส์อันห้าวหาญของเธอ ดวงตาเจิดจรัสแวววาว “ซีจิ่ว นั่นคืออะไร?”
กู้ซีจิ่วเลิกยิ้มแวบหนึ่ง “อาวุธลับ! เอาล่ะ พวกเราไปหาหมอได้แล้ว”
มองดูเขาอีกครั้ง พบว่าท่านั่งของเขาแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย จึงค่อนข้างกังวล “เจ้ายังเดินไหวไหม?”
อิงเหยียนนั่วมองเธอ แพขนตาสั่นไหว หลุบลงไป “ไม่ไหว…”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจ ก้มลงไปโอบเอวเขาอุ้มขึ้นมา “ข้าจะพาเจ้าไปหารถม้าก่อน”
เป็นครั้งแรกในชีวิตของตี้ฝูอีที่ถูกสตรีโอบอุ้ม นอกจากความตกใจก็รู้สึกว่านี่คือผลพลอยได้อย่างหนึ่ง
เพียงแต่ยามนี้ในเมื่อเขาเป็นอิงเหยียนนั่ว ย่อมต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างที่อิเหยียนนั่วควรมี ด้วยเหตุนี้ใบหน้าน้อยๆ ของเขาจึงแดงก่ำอย่างพอเหมาะ “เจ้า…อุ้มข้าไว้เช่นนี้จะดีหรือ? อย่างไรเสียชายหญิงก็ไม่พึงชิดใกล้…”
เด็กชายอายุแปดเก้าขวบคนหนึ่งวางมาดเคร่งขรึมกล่าวอะไรทำนองว่า ‘ชายหญิงมิพึงชิดใกล้’ กับเธอ นี่ทำให้กู้ซีจิ่วเป็นสุขขึ้นมาอย่างน่าประหลาด มุมปากของเธอหยักเป็นรอยยิ้มบางๆ เอ่ยอย่างจงใจว่า “งั้นจะทำอย่างไรเล่า? ไม่เช่นนั้นข้าต่อแพแล้วลากเจ้าไปดีหรือไม่?”
ตี้ฝูอีกอดเอวนางไว้ทันที “สถานการณ์ฉุกละหุก อุ้มต่อไปก็แล้วกัน”
ร่างกายของเขานุ่มนิ่ม ยามที่กอดเขาไว้ในสมองมีประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ‘กลิ่นกายหอมละมุนอวลคุกรุ่นปลายนาสิก’
กู้ซีจิ่วใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงติดต่อเยี่ยนเฉินแล้ว บอกว่าตนมีธุระสำคัญต้องจากไปพร้อมอิงเหยียนนั่ว จะไม่กลับไปรวมตัวกับพวกเขาแล้ว พลางให้ส่งรถลากสิงโตเวหาของเธอกลับมาด้วย…
เนื่องจากกลุ่มของพวกเขาหล่านี้ต่างมีภารกิจของตน เยี่ยนเฉินจึงไม่พูดจาเป็นอื่น ตอบรับอย่างตรงไปตรงมายิ่ง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาที่ซุ่มอยู่ในที่ลับก็ได้ชมการต่อสู้ของกู้ซีจิ่วกับ ‘พญาหงส์’ เมื่อครู่นี้ด้วย เยี่ยนเฉินผู้สุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอดก็เลือดลมเดือดพล่านขึ้นมาเช่นกัน จิตใจเปี่ยมความสนใจใคร่รู้ “ซีจิ่ว กระบวนท่าสุดท้ายที่เจ้าสำแดงออกมาคืออะไร? ไม่น่าเชื่อว่าจะทำใสัตว์ประหลาดตัวนั้นระเบิดได้!”
กู้ซีจิ่วหัวเราะคราหนึ่ง “กลับไปข้าค่อยอธิบายกับพวกเจ้าให้ชัดเจนเป็นรูปธรรมอีกที ข้าไปก่อนนะ”
พอปิดยันต์ถ่ายทอดเสียง เธอก็อุ้มตี้ฝูอีมายังพื้นที่ที่ค่อนข้างราบเรียบแห่งหนึ่ง รอรถลากสิงโตเวหาตัวนั้นกลับมา
ระหว่างที่รอรถอยู่ เดิมทีเธอคิดจะวางเขาลงก่อน นึกไม่ถึงว่าสองมือน้อยๆ ของเขาจะยึดสาบเสื้อเธอไว้ มองเธอด้วยสีหน้าที่ซีดเซียวนิดๆ “ที่นี่มีหินมากเกินไป…”
กู้ซีจิ่วมองหินที่เกลื่อนพื้นแล้วมองเขาอีกครั้ง ลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
เขาบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ อีกทั้งผิวกายก็อ่อนนุ่มนิ่ม คงเกรงว่าจะทับแล้วเจ็บ
ช่างเถอะ อุ้มต่อไปก็แล้วกัน!
อย่างไรก็ตามหลังจากเขาหดเล็กลงตัวก็เบาขึ้นมาก ไม่หนักเลย อุ้มไว้ก็ไม่เหน็ดเหนื่อยอันใด
ผ่านไปครู่หนึ่ง รถลากสิงโตคันนั้นก็มาถึง
————————————————————————————-
บทที่ 988 นุ่มนิ่มน่ารัก อ่อนแอบอบบาง ร้องขอให้อุ้ม…
ผ่านไปครู่หนึ่ง รถลากสิงโตเวหาคันนั้นก็มาถึง กู้ซีจิ่วอุ้มเขาขึ้นไป วางเขาลงบนเบาะนุ่ม ขณะที่กำลังจะออกไปบังคับรถ ตี้ฝูอีก็ยื่นมือมาดึงชายชุดเธอไว้ “รถคันนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องบังคับ ข้าให้มันเสาะหาเส้นทางด้วยตัวเองได้”
กู้ซีจิ่วนิ่งไปครู่หนึ่ง
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยถามเขา “เจ้าบอกมิใช่หรือว่าสิงโตตัวนี้จดจำได้เพียงเส้นทางที่คุ้นเคย? เส้นทางใหม่ๆ ต้องมีคนคอยบังคับอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่หรือไง?”
ตี้ฝูอีกระแอมเบาๆ คราหนึ่ง “นี่คือ…คือว่านิสัยของสิงโตตัวนี้ค่อนข้างพิเศษ เกรงว่าเจ้าจะบังคับไม่ได้ มีแต่ข้าที่บังคับได้…”
กู้ซีจิ่วมองใบหน้ากะจ้อยร่อยที่ซีดขาวของเขา “เจ้าจะนั่งยังนั่งไม่อยู่เลย จะบังคับรถได้อย่างไร?”
ตี้ฝูอีถอนหายใจ “อุ้มข้าออกไปสิ พวกเราไปนั่งบังคับรถตรงกราบรถด้วยกัน เจ้าฟังคำชี้แนะจากข้าก็พอ”
สีหน้ากู้ซีจิ่วทะมึน เดินออกไปทันที “ข้าจะไปลองด้วยตัวเองก่อน”
เธอไม่เชื่อกหรอกว่าจะบังคับรถไม่ได้!
แม้แต่เพรียกวายุยังถูกเธอสยบได้ สิงโตเวหาตัวเดียวจะนับเป็นสิ่งใดกัน?
ยิ่งไปกว่านั้นคือสิงโตเวหาตัวนี้ฉลาดกว่าสิงโตเวหาทั่วไปมาก น่าจะบังคับได้ง่ายกว่าถึงจะถูก…
….
รถลากสิงโตเวหาแล่นไกลออกไปอย่างว่องไวนัก เลือนหายไป ณ ขอบฟ้า
สี่ทูตที่ซ่อนอยู่ในที่ลับถูกการกระทำของเจ้านายตนทำให้ตกตะลึงพรึงเพริดไปเสียแล้ว!
พวกเขาทราบว่าเจ้านายของบ้านตนเดาทางยากแต่ไหนแต่ไรแล้ว ความคิดซับซ้อน กระทำเรื่องที่ผู้อื่นคาดไม่ถึงอยู่บ่อยๆ แต่การกระทำเช่นวันนี้ พวกเขารู้สึกว่าสามมุมมองถูกปรับปรุงใหม่แล้ว!
นุ่มนิ่มน่ารัก อ่อนแอบอบบาง ร้องขอให้อุ้ม…
ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเล่นได้อย่างไม่รู้สึกย้อนแย้งเลยสักนิด! ดูเหมือนการกลายเป็นเด็กยิ่งทำให้เขาเสาะหาผลประโยชน์เข้าตัวได้ไม่น้อย…
นี่…นี่ยังใช่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งของพวกเขาอยู่หรือไม่?
สี่ทูตมองกันไปมองกันมา สุดท้ายสายตาของทูตทั้งสามก็รวมอยู่ที่ร่างของมู่เตี่ยน
เจ้านี่เคยสวมรอยเป็นอิงเหยียนนั่ว เขาก็เคยชิดเชื้อไร้ระยะห่างกับแม่นางกู้ด้วยหรือเปล่า? เห็นแม่นางกู้ก็อุ้มอิงเหยียนนั่วอย่างไม่ลังเลสักนิดเลยเช่นกัน…
เมื่อมู่เตี่ยนเห็นสายตานี้ก็ทราบแล้วว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธทันที “อย่าเข้าใจผิดนะ! เวลาที่สวมรอยข้าอยู่ในระยะที่ปลอดภัยตลอด! ไม่กล้ายื่นเท้าล้ำเส้นเด็ดขาด!”
แม้แต่มือน้อยๆ ของนางเขาก็ไม่กล้าแตะด้วยซ้ำ…
มู่เฟิงตบไหล่เขาเบาๆ “ศิษย์น้อง โชคดีที่เจ้าไม่ได้ล้ำเส้น มิเช่นนั้น เกรงว่าเจ้าคงถูกฟ้าผ่ากลายเป็นซากไปแล้ว”
มู่เตี่ยนนวดคลึงหน้าผากอย่างกระวนกระวาย “อันที่จริงข้าเกรงว่านายท่านจะให้ข้าปลอมเป็นเป็นเขาในยามนี้อีกน่ะสิ ถ้าแม่นางกู้ผู้นี้อุ้มเขาจนติดเป็นนิสัย แล้วมาอุ้มข้าต่อจะทำยังไง?”
มู่เหล่ยปรายตามองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าคิดมากไปแล้ว! เจ้านึกว่านายท่านที่ใช้ตัวตนนี้ขลุกกับนางจนถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะปล่อยให้เจ้าปลอมเป็นเขาอีกหรือไง?”
มู่อวิ๋นที่เพิ่งจัดการตนเองจนสะอาดเอี่ยมยามนี้ในที่สุดก็กลับมีสภาพสง่างามอีกครั้งแล้ว เขายิ้มอย่างมีเลศนัยแวบหนึ่ง ถามคำถามหนึ่งออกมา “จะว่าไป มู่เตี่ยน เจ้ากับนายท่านผลัดกันปลอมเป็นอิงเหยียนนั่ว บุคลิกน่าจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกระมัง? อย่างน้อยเจ้าก็ไม่กล้าเข้าใกล้นางจริงๆ นางไม่สงสัยเลยหรือ?”
มู่เตี่ยนกล่าวด้วยเสียงงึมงำว่า “นางนึกว่าอิงเหยียนนั่วเป็นคนสองบุคลิกอะไรสักอย่าง…”
สามทูตเงียบงัน
พวกเขามองรถลากสิงโตเวหาที่จากไปไกลแล้ว มู่เฟิงเอ่ยขึ้นมา “ใช่แล้ว ไป๋เจ๋อ[1]ตัวนี้คงมิใช่ว่าบินไปได้ครึ่งทางก็เผยร่างออกมาซะแล้วกระมัง?”
มู่เตี่ยนส่ายหน้า “วางใจเถอะ ไป๋เจ๋อเป็นสัตว์วิเศษขั้นแปด ช่วงนี้มันมีความสุขมากที่ได้รับบทเป็นสิงโตเวหา และพึ่งพาได้มากเช่นกัน ยังไม่เคยเกิดความผิดพลาดขึ้นเลย มิเช่นนั้นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์คงไม่ใช้มันหรอก”
นี่ก็ใช่ มู่เฟิงวางใจแล้ว
ไป๋เจ๋อนิสัยหนักแน่น และปกป้องผู้เป็นนายยิ่งนัก เป็นสัตว์วิเศษชั้นเลิศในการครอบครองของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมีมันติดตามอยู่ข้างกายนายท่านตลอด ต่อให้ร่างกายของนายท่านจะอ่อนแอลงไปบ้าง ก็ไม่เกิดอันตรายใดๆ ขึ้น
….
หมู่เมฆขาวเฉียดผ่านข้างกายไป อาภรณ์ถูกสายลมหนาวพัดจนเกิดเสียงเสียดสี
————————————————————————————-
[1] ไป๋เจ๋อ เป็นสัตว์ในตำนานของชาวจีน มีลักษณะลำตัวเหมือนสิงโต มีเขาหนึ่งคู่ และมีเคราเหมือนแพะ เชื่อกันว่าเป็นสัตว์มงคล
บทที่ 989 ไม่แปลกเลยที่เชื่อฟังเขาถึงเพียงนี้!
กู้ซีจิ่วนั่งอยู่นอกตัวรถ ในอ้อมแขนอุ้มตี้ฝูอีตัวน้อยไว้ ตี้ฝูอีถือแส้ไว้ในมือ ควบคุมให้สิงโตเวหาหักเลี้ยวบ้างเป็นบางครั้ง…
ทั้งสองคนแนบชิดกัน กู้ซีจิ่วหลุบตามองเด็กน้อยในอ้อมแขน จากนั้นก็นวดหว่างคิ้วเบาๆ
สิงโตเวหาตัวนี้เป็นสิงโตที่มีนิสัยเป็นเอกลักษณ์มากจริงๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่กู้ซีจิ่วไปบังคับมัน เป็นตายร้ายดีอย่างไรมันก็ไม่บิน ซ้ำยังลากพวกเขาวนไปวนมาอยู่ที่เดิม ทำให้กู้ซีจิ่วอับจนวาจายิ่งนัก
ด้วยความจนปัญญา จึงทำได้เพียงอุ้มตี้ฝูอีออกมา โอบเขาไว้ในวงแขนให้เขาบังคับรถ
ด้วยหตุนี้เจ้าสิงโตเวหาตัวนี้จึงเหินบินขึ้นอย่างปราดเปรียวยิ่ง ให้ไปตะวันออกมันก็ไปตะวันออก เชื่องยิ่งกว่ากระต่าย แถมบางครั้งยังสะบัดหางประจบประแจงเธอด้วย
ดังนั้นจึงเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้น…
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่า ท่าทางเช่นนี้ของเธอกับเขาทำให้สัญชาตญาณความเป็นแม่ขอเธอถูกปลุกขึ้นมาง่ายๆ เกรงว่าเขาอยู่ด้านนอกจะต้องลมหนาว เธอจึงหยิบผ้าห่มขนสัตว์มาห่อตัวเขา…
กู้ซีจิ่วค่อนข้างฉงนจริงๆ รถม้าคันนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่ออิงเหยียนนั่วหรือไง ทำไมสิงโตเวหาตัวนี้ถึงจงรักภักดีกับเขานัก?
ดูเหมือนเขาจะมีทักษะของนักฝึกสัตว์จริงๆ!
กู้ซีจิ่วค่อนข้างเลื่อมใสเขา เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงสัตว์เลี้ยงทั้งสามของตนขึ้นมา ตัวหนึ่งเป็นจอมตะกละ ตัวหนึ่งชอบทำตัวแอ๊บแบ้ว ส่วนอีกตัวถึงแม้จะพึ่งพาได้ แต่ก็เป็นทาสลูก…
เห็นทีว่าเธอคงต้องเพิ่มความสามารถในการฝึกสัตว์ของตนให้แข็งแกร่งขึ้นหน่อยแล้ว
ชาติก่อนถึงแม้กู้ซีจิ่วจะเป็นนักฆ่า แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสังคมสมัยใหม่ ไม่นิยมฝึกฝนเลี้ยงดูสัตว์ดุร้ายสักเท่าไหร่ คนส่วนใหญ่อย่างมากก็เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวไม่กี่ตัวอะไรทำนองนั้น
ส่วนกู้ซีจิ่วเนื่องจากออกไปทำภารกิจบ่อยๆ และไม่มีเวลามาคอยดูแลสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นเธอแทบไม่มีประสบการณ์ในการฝึกสัตว์เลย ต้องคลำหาทางเอาเองอย่างสิ้นเชิง
กู้ซีจิ่วไม่รู้ว่าสิงโตเวหาตัวอื่นเป็นอย่างไร แต่เจ้าตัวที่อยู่เบื้องหน้านี้เป็นสัตว์ชั้นเลิศอย่างไร้ข้อกังขา ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือความสามารถในการตอบสนองล้วนเป็นเลิศทั้งสิ้น
กู้ซีจิ่วไม่ลืมตอนที่พวกจิ้งจอกน้อยอยู่ในรถก่อนหน้านี้ ถูกสัตว์ร้ายสองตัวนั้นไล่ล่าจนโกลาหลวุ่นวาย ยามนั้นสิงโตเวหาตัวนี้มีชั้นเชิงยิ่งนัก หากมิใช่มันหลบหลีกอย่างเฉียบแหลมปราดเปรียว เกรงว่าพวกจิ้งจอกน้อยคงกลายเป็นอาหารของสัตว์ประหลาดแล้ว…
“สิงโตเวหาตัวนี้เดิมทีเป็นเจ้าเลี้ยงดูมาใช่หรือไม่?” กู้ซีจิ่วถามข้อสงสัยที่ยู่ในใจออกมา
ตี้ฝูอีเอนกายพิงอ้อมแขนของเธออย่างเกียจคร้าน หรี่ตาลงน้อยๆ ราวกับจะหลับแล้ว “อืม มันเป็นสัตว์ของบ้านข้า”
ไม่แปลกเลยที่เชื่อฟังเขาถึงเพียงนี้!
กู้ซีจิ่วทอดถอนใจพลางเอ่ย “วิชาฝึกสัตว์ของเจ้าไม่เลวเลย“
ตี้ฝูอีจึงกล่าวว่า “เจ้าอยากเรียนไหม? ถ้าอยากเรียนข้าค่อยๆ สอนให้เจ้าได้”
กู้ซีจิ่วค่อนข้างเหม่อลอย ดูเหมือนเมื่อก่อนท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เคยเดียดฉันท์ทักษะการฝึกสัตว์ของเธอเช่นกัน ต้องการอบรบสั่งสอนเธอ และเคยพูดจาทำนองนี้เช่นกัน…
เธอหลุบตามองเขาที่นอนอยู่บนตักเธอ ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด เธอรู้สึกหลอนขึ้นมาอีกแล้วว่าเขาคือตี้ฝูอี…
เพียงแต่เธอปัดความคิดที่ไม่น่าเชื่อถือนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็วยิ่ง ถึงอย่างไรเธอก็คุ้นเคยกับกลิ่นอายบนร่างของตี้ฝูอี และยามนี้ถึงแม้กลิ่นอายบนร่างอิงเหยียนนั่วจะหอมจางๆ เหมือนกัน แต่เห็นได้ชัดว่าแตกต่างกับตี้ฝูอี
แถมกลิ่นอายบนร่างอิงเหยียนนั่วยังเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งคราวด้วย เหมือนคนทั่วไป แตกต่างกันไปตามกลิ่นกำยาน
เอ๊ะ ไม่ถูกสิ!
เธอจำได้ว่าก่อนที่อิงเหยียนนั่วจะกลายเป็นเด็กกลิ่นที่เธอได้จากร่างเขา ไม่เหมือนกับตอนนี้
เขายังสวมเสื้อผ้าชุดนั้นอยู่ชัดๆ อีกทั้งก่อนหน้านี้ตกอยู่ในอันตรายมาโดยตลอด เขาไม่สามารถผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าได้กระมัง?
เธออดไม่ได้ที่จะก้มลงไปดม แยกแยะกลิ่นหอมบนร่างเขา
ดวงตาตี้ฝูอีสาดแสงเล็กน้อย “ทำไมหรือ?”
กู้ซีจิ่วมองเขา “กลิ่นอายบนร่างเจ้าไม่เหมือนตอนที่ยังไม่กลายเป็นเด็กเลย เป็นเพราะอะไร?”
————————————————————————————-
บทที่ 990 ข้าสามารถแต่งเจ้าเป็นภรรยาได้
ตี้ฝูอีใจเต้นนิดๆ หรือนางจะได้กลิ่นวิญญาณเขาจริงๆ?
กลิ่นวิญญาณในแต่ละช่วงวัยของเขาก็แตกต่างกันไป และเปลี่ยนแปลงไปตามระดับสูงต่ำของพลังวิญญาณ เพียงแต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้กลิ่นก็เท่านั้น
เขามักจะเปลี่ยนตัวตนอยู่เสมอ เลี่ยงไม่ให้ผู้ที่มีเจตนาจดจำได้ เขาจะใช้วิธีผนึกพลังวิญญาณมาปลอมแปลงตน ถึงหมื่นเปลี่ยนพันแปลงแต่แก่นแท้ยังคงเดิม กลิ่นหอมบนร่างเขายังคงมีส่วนที่คล้ายคลึงกันอยู่
โชคดีที่กู้ซีจิ่วไม่เข้าใจหลักอภิปรัชญาลึกซึ้งถึงเพียงนั้น มิเช่นนั้นขอเพียงนางได้กลิ่นที่คล้ายคลึงกันก็จดจำได้ทันทีว่าเป็นเขา!
ความสามารถในการได้กลิ่นหอมของวิญญาณเช่นนี้ในหลายแสนคนยังไม่แน่ว่าจะมีสักคน นึกไม่ถึงว่านางจะเป็นคนพิเศษจากหมู่คนเหล่านั้น
แพขนตาของตี้ฝูอีสั่นไหวถือโอกาสคาดเดาไปตามเธอ “หรือเป็นเพราะข้าเด็กลง จึงมีกลิ่นน้ำนม?”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก
เขาช่างกล้าพูดเสียจริง!
เธอหลุบตามองขนตายาวเป็นแพของเขา ยิ้มแวบหนึ่ง “เจ้านึกว่าตัวเองเป็นเด็กทารกยังไม่หย่านมหรือไง?!”
ตี้ฝูอีอิงแอบในอ้อมแขนเธอ “ข้ารู้สึกว่าหลักการนี้อาจเป็นไปได้…”
ยามนี้ร่างกายกู้ซีจิ่วพัฒนาอย่างสมบูรณ์แล้ว หน้าอกไม่ใช่เสี่ยวหลงเปาอีกต่อไป เมื่อตี้ฝูอีซบเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ ปลายจมูกก็แตะถูกฐานหน้าอกด้านล่างของนางเข้า ตัวเขาพลันแข็งทื่อเล็กน้อย กู้ซีจิ่วรีบดึงเขาออกทันที!
ถึงแม้ยามนี้เขาจะอยู่ในรูปลักษณ์เด็กน้อย แต่ความคิดจิตใจกลับเป็นเด็กหนุ่ม กู้ซีจิ่วไม่คิดจะปล่อยให้เขาเอาเปรียบได้หน้าตาเฉย
ตี้ฝูอียังคงทำตัวน่าเอ็นดูยิ่งนัก ใบหน้าน้อยๆ แดงก่ำเอ่ยขอโทษทันที “ขออภัย”
กู้ซีจิ่วมองเขา เมื่อครู่เธอนึกว่าเขาจงใจเอาเปรียบเธอเสียแล้ว แต่พอนึกถึงการวางตัวในช่วงครึ่งปีมานี้ของเขา ก็รู้สึกว่าเขามิใช่เด็กทะลึ่งเช่นนั้น
เนื่องจากในใจเธอยังคงค่อนข้างรู้สึกผิดต่อเขาอยู่ ดังนั้นเธอจึงใจกว้างยิ่งนัก ส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ไม่เป็นไร”
ตี้ฝูอีเม้มปากนิดๆ “เจ้าไม่ถือสาหรือ?”
เกราะป้องกันระหว่างชายหญิงของเด็กสาวคนนี้บอบบางเกินไปหน่อยหรือเปล่า? ดีร้ายอย่างไรนางก็เป็นคนมีเจ้าของแล้ว เป็นคู่หมั้นของตัวเขาตี้ฝูอี ยามนี้กลับโอบชายอื่นไว้ในอ้อมแขน…
ถึงแม้ ‘ชายอื่น’ คนนี้จะเป็นเขา แต่นางมิได้รับรู้…
ตี้ฝูอีรู้สึกว่า ในใจตนไม่ค่อยพอใจนัก!
กู้ซีจิ่วไหนเลยจะทราบความคิดซับซ้อนพวกนี้ของเขา ดังนั้นเธอจึงตอบอย่างไม่อินังขังขอบยิ่ง “ถือสาสิ แต่เจ้าคือสหายของข้า อีกทั้งไม่ได้ตั้งใจเอาเปรียบข้าด้วย ข้าไม่อาจระบายโทสะใส่เจ้าได้กระมัง ยามนี้เจ้าอยู่ในร่างเด็กไม่ทนต่อการทุบตี แถมยังหาทางกลับคืนไม่ได้ ทำได้เพียงแล้วกันไปแบบนี้”
กลับเป็นเหตุผลข้อนี้ เด็กสาวผู้นี้ช่างมีคุณน้ำมิตรต่อสหายนัก
ตี้ฝูอีมองนางด้วยสายตาแวววาว “ข้าจะรับผิดชอบเอง!”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “รับผิดชอบ?”
ตี้ฝูอีจึงเอ่ยว่า “ข้าสามารถแต่งเจ้าเป็นภรรยาได้”
กู้ซีจิ่วทึ่มทื่อไป
มุมปากเธอกระตุกคราหนึ่ง ดึงเขาออกจากอ้อมแขนตนทันที ลุกขึ้นแล้วเข้าไปในห้องโดยสารอย่างว่องไว “ข้ารู้สึกอยู่ลึกๆ ว่ารักษาระยะห่างจากเจ้าไว้บ้างก็ดี เจ้าบังคับรถเองแล้วกัน!”
ตี้ฝูอีพูดไม่ออกเลย สาวน้อยช่างปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาเสียจริง!
ตี้ฝูอีถอนใจเบาๆ รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าตนค่อนข้างวอนหาเรื่อง ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้รับผลประโยชน์กลับทำสูญหายไปหมดแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่านางคงไม่อุ้มเขาอีกแล้ว…
อันที่จริงการนางอุ้มเขาไว้เช่นนี้ ก็ให้ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมนัก
แต่หากว่าให้สตรีอย่างนางอุ้มอยู่ตลอด ต่อให้นางไม่เหน็ดเหนื่อย เขาก็รู้สึกว่าตนค่อนข้างหน้าตัวเมียยิ่งนัก…
เขาหลุบตามองร่างกายเล็กๆ ของตน เคาะขมับอย่างหดหู่ ช่วงนี้ร่างกายนี้เจ็บป่วยบ่อยเหลือเกิน มีปัญหาสารพัด เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย
————————————————————————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น