องครักษ์เสื้อแพร 977-980
ตอนที่ 977 ศึกนี้ข้าคิดรบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หวังทงจริงใจยอมนำทัพออกศึกนี้เช่นนี้ ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่จ้องมองหวังทงอยู่นาน ไม่ตรัสอันใด ในห้องทรงอักษร เถียนอี้กับโจวอี้ล้วนหยุดงานในมือตน ก้มหน้าทิ้งมือแนบตัว ไม่กล้ากล่าวอันใด
เงียบไปนาน ฮ่องเต้ว่านลี่ปิดฎีกาเบื้องหน้าลง ตรัสว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็เสนอมา ให้เจ้านำทัพไปเมืองเหลียวโจว!”
หวังทงรับคำสีหน้าเคร่งขรึม บรรยากาศในห้องทรงอักษรแปลกมาก ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อไป พอทูลจบ หวังทงก็ถวายบังคมลา
พอถึงหน้าประตู กำลังจะหันกายจากไป ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เรียกไว้ ตรัสถามขึ้น
“หวังทง เจ้าจริงใจคิดจะนำทัพไปเมืองเหลียวโจวจริงหรือ?”
“ฝ่าบาท กระหม่อมจริงใจ”
ฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์ ไม่ตรัสอันใดอีก
*************
เมืองหลวงมีคนกล่าวกันว่า เทียนจินกับแดนใต้ คหบดีร่ำรวยล้วนมีภรรยางดงาม ผู้ใดภรรยาน้อยกว่าสิบ ล้วนไม่กล้าออกมาคุยโวข้างนอก แต่ฮ่องเต้ว่านลี่มีเพียงภรรยาหลวงหนึ่งน้อยหนึ่ง วันเวลายากลำบากยิ่ง
วาจาแม้ฟังหดหู่ แต่ก็เป็นความจริง ฮ่องเต้ว่านลี่กับฮองเฮาเจิ้งเหมือนเป็นคู่สามีภรรยาทั่วไป ทั้งวันอยู่ด้วยกัน บางทีพระสนมหลี่เต๋อเฟยก็อาจมาสักครั้ง พระสนมที่เหลือไม่ได้เป็นที่สนพระทัย
พอฮ่องเต้ว่านลี่กลับตำหนักบรรทม สีพระพัตกร์เหน็ดเหนื่อย ฮองเฮาเจิ้งปรนนิบัติฮ่องเต้ว่านลี่ล้างพระพักตร์เปลี่ยนฉลองพระองค์เรียบร้อย ก็ตรัสถามขึ้นเบาๆ ว่า
“ฝ่าบาทมีเรื่องอันใดในพระทัยหรือเพคะ?”
“เถียนอี้กล่าวว่าหวังทงคิดการเหิมเหริม ไม่อยากอยู่สถานะแค่นี้ คิดสร้างผลงานยิ่งใหญ่อีกครั้ง คิดจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ดังนั้นจึงได้ทูลขอไปเมืองเหลียวโจว กุมกำลังหาร สร้างความชอบใหญ่!”
ฮองเฮาเจิ้งขมวดพระขนง แต่ทว่าก็ลงประทับข้างฮ่องเต้ว่านลี่ ตรัสสุรเสียงอ่อนโยนว่า
“ฝ่าบาท หม่อมฉันขอบังอาจ ด้วยความสามารถและความคิดหวังทง หากคิดการใหญ่จริง เกรงว่าคงไม่เสนอกับฝ่าบาทเช่นนี้ ที่ทำเช่นนี้ ใช่ว่าเป็นการหาภัยสู่ตนเองหรือ เถียนอี้คิดเช่นนี้ได้ หวังทงเหตุใดคิดไม่ได้?”
ฮ่องเต้ว่านลี่เสวยสุราผลไม้ ส่ายพระพักตร์ตรัสว่า
“โจวอี้ก็กล่าวเช่นนี้ เขาว่าหวังทงรู้ว่าตนเองกล่าวออกไปเช่นนี้ย่อมนำภัยสู่ตัว แต่เพราะจงรักภักดีเรา เพราะจงรักภักดีแผ่นดินหมิง ดังนั้นจึงเสนอออกมาอย่างเปิดเผยไม่เกรงกลัว”
ฮองเฮาเจิ้งยิ้มอ่อนโยน ตรัสอ่อนโยนถามขึ้น
“ฝ่าบาทคิดเช่นไรเพคะ?”
“เมืองเหลียวโจวเกิดเรื่องเช่นนี้ ทำให้เราคิดได้ว่า ทหารกล้าเมืองชายแดนอันใด ล้วนเหลวไหลทั้งเพ เหมือนกับเล่นละคร เปลือกนอกแสดงกำลังให้ดูว่าดี แต่พอหวังทงปรากฏ พวกเขาล้วนเป็นเท็จ ครั้งนี้สถานการณ์เมืองเหลียวโจวพ่ายแพ้หมดท่า จะต้องส่งคนไปจัดการ ที่เราไว้ใจที่สุดก็คือหวังทง เขาไป ดีไม่ดีอาจเหมือนที่เขาว่าไว้ จัดการภัยสิ้นซาก สังหารพวกนอกด่านหมดสิ้น”
ตรัสถึงตรงนี้ นิ่งไปพักหนึ่ง ฮองเฮาเจิ้งเทสุราผลไม้ให้อย่างรู้พระทัย ก่อนจะยกน้ำชามาอีกถ้วย ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสต่อว่า
“แต่เราไม่วางใจที่สุดก็คือหวังทงกุมกำลังทหาร แม้ว่าหลายครั้งไม่เกิดเรื่องใด แต่หากเกิดเรื่องเพียงครั้งเดียว เช่นนั้นก็ทำให้เกิดภัยใหญ่ล่มแผ่นดินได้”
ฮองเฮาเจิ้งลังเลครู่หนึ่ง ก็เสนอความเห็นอ่อนโยนว่า
“ฝ่าบาท หวังทงนำทหารไปหลายครั้ง ล้วนสร้างผลงานได้ดี แต่ไรมาไม่ทำตามธรรมเนียม หากแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ฝ่าบาทสามารถจัดการตามธรรมเนียมบรรพชน ให้ขุนนางบุ๋นนำทัพ ขุนนางบู๊นำทหารออกรบ และมีขันทีคุมกำลังในวังไปด้วย สามฝ่ายประสานงาน ฝ่าบาทเลือกขุนนางบุ๋นที่ทรงวางพระทัยนำทัพ ให้ขันทีในวังที่ทรงวางพระทัยไปด้วย เช่นนี้ก็วางพระทัยได้ไหมเพคะ?”
*************
“กล่าวโดยรวมก็คือ กลุ่มที่ฝึกกำลังในเมืองกุยฮว่าเฉิงสามารถจัดการเป็นสองหน่วย ผู้คุ้มกันเทียนจินสามารถจัดการแบ่งเป็นสามหน่วย รวมกับสองหน่วยเดิมของกองกำลังหู่เวยที่จะเพิ่มแยกหน่วยเป็นเจ็ดหน่วย นอกจากนี้กลุ่มพ่อค้าติดอาวุธกับชนเผ่ารอบนอกเมืองเมืองกุยฮว่าเฉิงก็นำมาใช้การได้ ทหารม้าสี่พันไม่มีปัญหา เมืองจี้โจวส่งทหารมาได้ 15,000 เมืองเซวียนฝู่อย่างไรก็คงได้อีกห้าพัน ทางต้าถงทหารม้าสองพันก็คงส่งมาได้….”
ตอนฟ้ามืด หวังทงกับหลี่ว์วั่นไฉ หลี่เหวินหย่วน และหยางซือเฉินอยู่ในห้องหนังสือ ไม่ว่าผู้ใดล้วนมองความตื่นเต้นหวังทงออก
“เมืองเหลียวโจวแม้ว่าพ่ายศึกใหญ่ แต่เมืองยังอยู่ พื้นที่ใจกลางยังคงอยู่ในมือตน ทหารเพียงแค่มีหน้าที่คุมเสบียงไปเมืองเหลียวโจว หากเมืองเหลียวโจวยังมีเสบียงเหลือพออยู่…ศึกครั้งนี้ แน่นอนไม่ให้พวกเขาเสียเปล่า เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นกับเผ่าหนี่ว์เจินย่อมนำมาเป็นสินทรัพย์หลังสงคราม ทหารเก่าแก่ก็สามารถปลดระวางได้ตามธรรมเนียมเมืองกุยฮว่าเฉิง แบ่งที่นาและทาส มีสิ่งล่อใจเหล่านี้ ขุนพลทหารทุกคนย่อมอยากไปกัน…ท่านหยาง ท่านร่างเทียบตอนนี้ พรุ่งนี้ส่งไปเทียนจิน ให้โรงช่างสามธารา กับจางซื่อเฉียงและซุนต้าไห่ตรวจนับโกดัง ดูก่อนว่าปืนกับรถใหญ่ รวมทั้งกระสุนและเครื่องรบอื่นๆ ว่าพอไหม อย่างไรก็ครั้งนี้ก็คงต้องมีหน่วยกำลังใหม่ ต้องเตรียมใหม่”
หยางซือเฉินกับหลี่ว์วั่นไฉสบตากันลุกขึ้นพยักหน้ารับคำ กางกระดาษออกเขียนในตอนนั้นทันที พัดจีบในหลี่ว์วั่นไฉหุบลง ตีกับฝ่ามือสองสามทีก่อนจะกล่าวว่า
“ทุกท่านที่นี่ไม่ใช่คนนอก ข้าขอกล่าวตรงๆ การศึกอันตรายไม่พูดถึง น้องหวังเป็นขุนพลมีชื่อในยุคนี้ ไปครั้งนี้ย่อมได้ชัยกลับมา แต่น้องหวังเคยคิดบ้างไหมว่า ไปครานี้หากได้ชัยมา เรื่องที่วางแผนไว้ทั้งหมดก็สูญสิ้น หากได้ชัยมา ความดีความชอบใหญ่เช่นนี้ น้องหวังจะอยู่ในราชสำนักต่อได้อย่าง จะวางตนในตำแหน่งใด?”
หวังทงวางร่างแผนการรบลงบนโต๊ะ ได้ยินหลี่ว์วั่นไฉว่ามา สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง หลี่ว์วั่นไฉกล่าวอีกว่า
“น้องหวังยกทัพขึ้นเหนือปราบเมืองกุยฮว่าเฉิง โดนกระทำเช่นไร ลืมแล้วหรือ? ครั้งนี้หากได้ชัยอีก ความดีความชอบไม่เป็นรองเมืองกุยฮว่าเฉิง สองความดีรวมกัน ยังมีตำแหน่งบรรดาศักดิ์ใดให้อีก หรือว่าต้องแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้ว?”
หวังทงยิ้มส่ายหน้าเอ่ยขึ้นว่า
“คิดไม่ถึงพี่หลี่ว์จะประเมินข้าสูงเช่นนี้ ทหารยังไม่ทันเคลื่อน ท่านก็คิดว่าข้าย่อมได้ชัยชนะใหญ่แล้ว”
“ไอยา!…น้องหวัง ยามนี้ไม่ใช่เวลาล้อเล่น เจ้าคิดว่าตอนนี้ฝ่าบาทกับเจ้ายังเหมือนอยู่ลานฝึกหู่เวยหรือ ไม่ใช่นานแล้ว ตอนนี้ทรงตัดสินพระทัยเด็ดขาด ข้างพระวรกายไม่อาจมีที่ยืนให้คนระดับเจ้าแล้ว หรือว่าข้ายังพูดไม่กระจ่างพอ เจ้าความดีเหนือนาย ไม่อาจเป็นเช่นนี้ต่อไปได้แล้ว!”
หลี่ว์วั่นไฉยิ่งพูดก็ยิ่งตรง เขาร้อนใจ หยางซือเฉินข้างๆ ก็วางพู่กันลง คำนับกล่าวว่า
“ท่านโหว ใต้เท้าหลี่ว์กล่าวได้ถูกต้อง ท่านโหวครั้งนี้หากนำทัพใหญ่ออกศึก ได้รับชัยอีกไม่เพียงแต่ไม่มีผลดี กลับยังมีอันตรายถึงชีวิตอีกด้วย ขอท่านโหวคิดให้รอบคอบ!”
“ใต้เท้าหวัง ท่านตอนนี้ก็มีลูกเมียแล้ว”
หยางซือเฉินกล่าวจบ หลี่เหวินหย่วนที่เอาแต่เงียบก็กล่าวขึ้นอย่างอึดอัด หวังทงส่ายหน้าเอ่ยถามขึ้น
“ข้าได้ทูลขอพระอนุญาตแล้ว ตอนนี้พวกท่านกล่าวเช่นนี้ หรือว่ายังปฏิเสธได้อีกกัน?”
“มีอันใดไม่อาจปฏิเสธ ท่านโหวก็แกล้งป่วย คิดหาทางว่าอยู่ๆ ป่วยหนักกะทันหัน ก็มีหนทางมากมาย ถึงตอนนั้น ฝ่าบาทก็ไม่อาจทรงตำหนิได้ ก็คงต้องตามน้ำ!”
หลี่ว์วั่นไฉกล่าวตรงไปตรงมา หวังทงก้มหน้าเงียบไปครู่หนึ่ง เงยหน้าถามขึ้น
“หากไม่ใช่ข้าไป คนอื่นนำทัพไปเมืองเหลียวโจว จะเป็นเช่นไร จะปราบพวกนอกด่านได้หรือ? จะขับไล่พวกนอกด่านออกจากเมืองเหลียวโจวได้หรือ?”
คิดไม่ถึงหวังทงถามขึ้นเช่นนี้ ทุกคนได้แต่เงียบไป กองกำลังหู่เวยเข้มแข็งจริง แต่หลี่หู่โถว ถานปิงและคนอื่นๆ นำทัพออกรบ สามารถสร้างผลงานได้เหมือนหวังทงทำได้หรือไม่ ผู้ใดก็ไม่อาจมั่นใจ หลี่ว์วั่นไฉกับหยางซือเฉินที่ทำได้ตอนนี้ก็ล้วนวิเคราะห์เช่นนี้ หลี่เหวินหย่วนมิได้คิดเข้าข้างบุตรชายตน เขากล่าวว่า
“ตอนนี้หลี่เฉิงเหลียงแพ้มาหมดรูป ไม่มีกำลังใจนำทัพอีกแล้ว เมืองที่เหลืออย่างมากก็รักษาเต็มกำลัง คนที่เหลือนำทหารออกศึกได้ แต่ไม่อาจนำทัพได้ ครั้งสองครั้งอาจชนะได้ แต่ศึกใหญ่นั้น พวกเขาทำไม่ได้”
หวังทงยิ้มพยักหน้า ลังเลครู่หนึ่งจึงกล่าวออกมา
“เมืองเหลียวโจวพ่ายครานี้ หากเอาต้นเรื่อง ก็คงเป็นแผนจากข้าเอง สถานการณ์ตอนนี้ที่พ่ายหมดรูปก็คือหลี่เฉิงเหลียงกับตระกูลหลี่ หากข้ายังไม่ออกไปจัดการให้เรียบร้อย คิดถึงแต่เรื่องตนเอง ก็เป็นความผิดของข้าแล้ว ผิดต่อฝ่าบาท ผิดต่อแผ่นดินหมิง และผิดต่อตนเอง”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ หลี่ว์วั่นไฉถอนหายใจยาว ไม่กล่าวอันใด หวังทงกล่าวอีกว่า
“ครั้งนี้ออกศึก ข้ามีเหตุผลของตน ไม่เกี่ยวกับอำนาจสถานะ ข้าตอนนี้มีอำนาจเงินทองมาก มีตำแหน่งโหว มีภรรยางดงาม ไม่ขาดสักอย่าง ข้าจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ไม่มีคิดเป็นอื่น จึงต้องนำทัพออกศึกเหลียวโจวครานี้”
หลี่ว์วั่นไฉส่ายหน้า หลี่เหวินหย่วนถอนหายใจกล่าวว่า
“เหล่าหลี่ เจ้ากับข้าคิดหาทาง นำวาจา ‘ไม่คิดเป็นอื่น’ นี้แพร่ออกไป อย่างน้อยก็นับว่าปลอดภัยส่วนหนึ่ง”
หลี่เหวินหย่วนพยักหน้า หวังทงยิ้มกล่าวว่า
“ดูท่าปีใหม่นี้ไม่อาจอยู่เมืองหลวงฉลองอีกแล้ว ข้าออกนอกด่าน ข่าวเมืองหลวง พวกท่านยังต้องช่วยข้าสืบต่อ จัดการสถานการณ์เมืองหลวงให้นิ่ง อย่าให้เกิดผู้ใดก่อความวุ่นวายคาดไม่ถึงได้”
หลี่ว์วั่นไฉยิ้มเฝื่อนประสานมือกล่าวว่า
“เรื่องนี้แน่นอน ทุกคนมีวันนี้ได้ก็ล้วนเป็นน้องหวังส่งเสริม ทุกคนรวมกำลังเป็นหนึ่ง”
หวังทงยกมือชี้ไปทางเขากล่าวว่า
“พี่หลี่นี่ คิดมากเกินไปแล้ว ข้ารับประกันกับทุกท่านได้เลยว่า ไม่มีเรื่องอันใดแน่ วางใจได้!”
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ในห้องหลายคนล้วนอึ้งไป หลี่ว์วั่นไฉส่ายหน้ากล่าวว่า
“เมื่อก่อนได้ยินน้องหวังกล่าวเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกสงบใจได้ แต่ครั้งนี้เหมือนไม่แน่ใจ อย่างไรก็ไม่แน่ใจ”
หวังทงไม่กล่าวปลอบต่อ ไปนอกด่านตีเผ่าหนี่ว์เจิน ปราบพวกเขาให้สิ้นซาก กลืนกินพวกเขาให้สิ้นซาก คิดถึงตรงนี้ ทำให้เลือดในกายหวังทงเดือดพล่าน แม้ประวัติศาสตร์ที่เขารู้มาจะน้อยนิดนัก แต่หวังทงก็รู้ว่าชาวแมนจูเผ่าหนี่ว์เจินทำอะไรบนแผ่นดินจีนบ้าง ทำให้แผ่นดินจีนมืดมิดไปกี่ปี ทำให้วัฒนธรรมฮั่นล้าหลังวัฒนธรรมอื่นไปเท่าไร ไล่ตามคนอื่นมาอย่างยากลำบาก ยังต้องเสียโอกาสไปมากมายเท่าไร ตอนนี้โอกาสเปลี่ยนแปลงทุกอย่างมาอยู่ตรงหน้าตนแล้ว ตนจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์!!!!
ตอนที่ 978 เตรียมการทุกอย่างพร้อม ทัพใหญ่ออกศึก
โดย
Ink Stone_Fantasy
วันที่ 21 เดือนสิบเอ็ดปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 ฮ่องเต้ว่านลี่มีราชโองการให้รองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยตำแหน่งเสนาบดีกรมทหารบัญชาการทัพสี่เมืองได้แก่ จี้โจว เหลียวโจว เซวียนฝู่และต้าถง ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพกิจเหลียวโจว ให้หวังทงเป็นแม่ทัพใหญ่นำกองกำลังหู่เวยและจี้โจว เหลียวโจว เซวียนฝู่ ต้าถง สี่เมืองใหญ่และกลุ่มทหารแต่ละหน่วย พร้อมส่งขันทีคุมกำลังจากสำนักส่วนพระองค์เฉินจวี่ไปด้วย
ขุนนางบุ๋นบัญชาการ ขุนนางบู๊นำทัพออกศึก ขันทีคุมกำลังไปด้วย นี่เป็นรูปแบบมาตรฐานแผ่นดินหมิง หวังทงออกศึกหลายครั้งล้วนไม่มีระเบียบนี้ ครั้งนี้กลับต้องทำตามธรรมเนียมนี้
พูดถึงขันทีคุมกำลังนั้นหาไม่ยาก คนสำนักส่วนพระองค์กับสำนักอาชาหลวงล้วนออกไปปฏิบัติหน้าที่หลายครั้ง แต่ทุกคนสนิทกับหวังทงมากไป ดังนั้นจึงเลือกคนจากสำนักส่วนพระองค์ เฉินจวี่สนิทกับเถียนอี้ มีฉายาว่า ‘สุชนคุณธรรม’ เป็นขันทีประจำห้องงานในสำนักส่วนพระองค์ ถูกเลือกให้เป็นขันทีคุมเสบียง
ขุนนางบุ๋นบัญชาการกลับหายาก ตามหลัก ในเมื่อเป็นเรื่องการศึกก็ย่อมเป็นเสนาบดีกรมทหาร แต่เสนาบดีกรมทหารคนเดียวจะมีสิทธิ์เสียงใดต่อหน้าหวังทง เสนาบดีกรมทหารปี้เชียงยืนยันไม่ยอม คนที่เหลือก็หวาดกลัว กล่าวว่าขุนนางบุ๋นใหญ่กว่าขุนนางบู๊ แต่หากอยู่นอกเมือง เกิดหวังทงบ้าคลั่งขึ้นมา ทำเรื่องบัดซบใด ผู้ใดจะทานเขาได้ อย่างไรก็ไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว
สุดท้ายยังคงเป็นหวังซีเจวี๋ยกล้าหาญออกหน้ามารับ รองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยอยู่คณะเสนาบดีใหญ่ เป็นขุนนางบุ๋นมาหลายสิบปี หาได้ยาก กล้ากล่าวเช่นนี้ กล้ารับงานเช่นนี้ มีเหตุมีผล ในเมื่อไม่มีผู้ใดกล้าไป เซินสือหังเป็นมหาอำมาตย์ ไม่อาจจากเมืองหลวงได้ สวี่กั๋วอายุมากไป หวังซีเจวี๋ยได้แต่จำต้องออกหน้าแสดงความกล้าหาญครานี้
หวังซีเจวี๋ยออกหน้า ทุกคนโล่งใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าสถานนะมีแต่หวังซีเจวี๋ยผู้เดียวที่เป็นได้ และเพราะเขากล้าแสดงออกตรงไปตรงมาจึงน่าจะรับมือหวังทงได้
“ทุกท่าน ข้าไปเมืองเหลียวโจวครั้งนี้เพื่อกำราบศัตรู หยุดยั้งสถานการณ์วุ่นวาย ไม่ใช่เพื่อแย่งชิงกับติ้งเป่ยโหว ทุกท่านโปรดระวังวาจาด้วย!”
เพราะคนคิดมั่วมีมาก หวังซีเจวี๋ยไม่อาจสนใจวางตัวสถานะรองอำมาตย์ ได้แต่เอ่ยขึ้นเตือนตรงไปตรงมา
หวังทงตอนนี้เป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ยังมีตำแหน่งติ้งเป่ยโหว ตำแหน่งตอนนี้ ในระบบและตำแหน่งไม่อาจนั่งบัญชาการทหารสี่เมืองใหญ่และทหารหน่วยต่างๆ
ตัวอย่างก่อนหน้า ล้วนเป็นขุนนางบุ๋นบัญชาการ พร้อมยังมีรองแม่ทัพ ขุนนางบุ๋นแต่งตั้งหนึ่งผู้บัญชาการ ผู้บัญชาการค่อยคุมขุนนางระดับล่างลงไป หวังทงไปเมืองเหลียวโจวครานี้ อย่างน้อยต้องมีผู้บัญชาการที่ปรึกษาและขันทีคุมกำลังอีกสองคอยทานอำนาจ ยังมีอีกสามรองแม่ทัพ ขุนพลทหารอีกเท่าไรไม่ต้องพูดถึง หวังทงตำแหน่งแค่ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร บัญชาการไม่ได้ แต่ระบบธรรมเนียมครั้งนี้ การนำทัพและบัญชาการล้วนเป็นคนหวังทง คนอื่นๆ อีกสองคนได้แต่เป็นไปตามกระบวนการเท่านั้น กล่าวคือ ตำแหน่งผู้บัญชาการที่ปรึกษาของหวังซีเจวี๋ย มีแต่ในเวลาเฉพาะกิจเท่านั้นที่จะสั่งการได้จริง ปกติเขาอยู่เหนือหวังทงแค่ตำแหน่งเท่านั้น
ครั้งนี้นำทัพใหญ่ออกศึก หวังทงนำห้าทัพใหญ่จากแต่ละเมือง ควรมีตำแหน่งแม่ทัพเพื่อให้สั่งการได้มีประสิทธิภาพ แต่กลับเหมือนยามสมัยปฐมฮ่องเต้จูหยวนจางและสมัยฮ่องเต้จูตี้ที่เหมือนกับขุนพลสวีต๋า ให้ชื่อตำแหน่งอื่นแทนตำแหน่งแม่ทัพ
ครั้งนี้ราชสำนักเพียงแค่กล่าวในราชโองการว่า ‘ผู้นำทัพ’ ‘หัวหน้าหลัก’ ตำแหน่งใดก็ไม่มีเอ่ยถึง ก็คือว่า หวังทงไปนั่งบัญชาการในฐานะผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร
ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรดำรงตำแหน่งระดับสามชั้นต้น ยังมีบรรดาศักดิ์อีก สถานะสูงสุดในบรรดาขุนนางบู๊ นับประสาใดกับแม่ทัพใหญ่จี้โจว เหลียวโจว เซวียนฝู่ ต้าถง สี่เมือง ระดับสามชั้นต้นขึ้นไป สถานะบรรดาศักดิ์มีถึงหกระดับ หลี่เฉิงเหลียงเป็นถึงกั๋วกง ปกติจะนั่งบัญชาการอย่างไร จะสั่งการคนระดับสูงกว่าตนได้อย่างไร
เห็นราชโองการ บัณฑิตเมืองหลวงพากันวิพากษ์วิจารณ์ มีพวกคิดไม่ดีพากันคิดว่าราชสำนักครั้งนี้หักหน้าหวังทง แต่คนเข้าใจล้วนไม่กล่าวอันใด หวังทงมีความชอบมากเช่นนี้ ไม่อาจมีความชอบใดได้อีก ได้ชัยชนะใหญ่กลับมา แต่งตั้งใดล้วนเป็นเรื่องยาก
ยังมีอีกเรื่อง แม้ว่าเป็นขุนพลทหารจี้โจว เหลียวโจว เซวียนฝู่ ต้าถงที่ระดับสูงกว่าหวังทง แต่คำสั่งหวังทง พวกเขา ผู้ใดกล้าไม่ฟัง เช่นนั้นใช่ว่ารนหาที่ตาหรือ?
กองกำลังหลักครั้งนี้ไม่ใช่ทหารเมืองชายแดน แต่เป็นกองกำลังหู่เวยเทียนจิน ผู้ใดไม่รู้ว่ากองกำลังหู่เวยที่หวังทงฝึกที่เทียนจินนั้นเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งในแผ่นดินหมิง แม้ตอนนี้หัวหน้ากองกำลังหู่เวยจะเป็นหลี่หู่โถว แต่หวังทงก็ใช้งานสั่งการได้สะดวกดังเดิม
***************
หน่วยฝึกเมืองกุยฮว่าเฉิงรวมกำลังได้ 3,200 นาย ตามระเบียบกองกำลังหู่เวยแบ่งเป็นสองหน่วย เมืองหลวงมีม้าเร็วนำราชโองการมาให้รีบออกเดินทางจากเมืองกุยฮว่าเฉิง ไปรวมกันที่เมืองเหลียวโจว หน่วยฝึกเทียนจินรวมกำลังได้ 4,800 นาย ตามระเบียบกองกำลังหู่เวยแบ่งเป็นสามหน่วย เร่งรวมตัวกับกองกำลังหู่เวยฝึกร่วมกัน เตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ให้พร้อม และยังให้ทหารม้าผู้คุ้มกันเมืองกุยฮว่าเฉิงเลือกที่เก่งกาจมาพันนาย เข้าร่วมทหารม้ากองกำลังหู่เวย
กองกำลังหู่เวยตอนนี้ทั้งหมดเจ็ดหน่วยทหารราบ รวมแล้วก็ 11,200 นาย ยังมีทหารม้าอีก 2,000 นาย พร้อมพลกองปืนใหญ่อีก 1,500 นาย มีปืนใหญ่ 78 กระบอก พร้อมคนงานในกองทัพเตรียมงานอีก 3,000 คน
กองกำลังหู่เวยทั้งหมดเจ็ดหน่วย เดิมหน่วยหนึ่งมีหลี่หู่โถวเป็นหัวหน้าหน่วย มีลี่เทาเป็นรองหัวหน้าหน่วย หัวหน้าหน่วยสองเป็นถานปิง มีซุนซิงเป็นรองหัวหน้าหน่วย ตอนนี้เพิ่มมาอีกห้าหน่วย ต้องมีหัวหน้าหน่วยและรองหัวหน้าหน่วยเพิ่ม ฮ่องเต้ว่านลี่ให้อำนาจหวังทงจัดการ มีพระดำรัสว่า ‘…หารือกับผู้บัญชาการกองกำลังหู่เวยหลี่หู่โถว รายชื่อทูลเกล้าก็พอ…’
ทหารติดตามหวังทงไม่รู้เรื่องระเบียบแผ่นดินหมิง ทหารในสังกัดล้วนเป็นทหารที่เก่งกล้าที่สุดของแม่ทัพ เป็นแกนหลักการรบ ทหารติดตามหวังทงก็เป็นกองหลังในกองทัพ พวกเขาติดตามเรียนรู้จากหวังทง ย่อมรู้งานต่อสู้และคุ้มกัน แต่เรียนรู้เรื่องนำทัพกับบัญชาการเป็นงานที่พวกเขาให้ความสำคัญที่สุด
ครั้งนี้หน่วยใหม่ห้าหน่วย ทหารหวังทงถูกเลือกไปประจำแต่ละหน่วย หน่วยแรกเป็นหลี่หู่โถวกองกำลังหู่เวยควบตำแหน่ง รองหัวหน้าหน่วยเป็นถานต้าหู่รับหน้าที่ หน่วยสองเป็นถานปิงรับหน้าที่ รองหัวหน้าก็คือเป้าเอ้อร์เสี่ยว หน่วยสามเป็นลี่เทา รองหัวหน้าก็คือถานเอ้อร์หู่ หน่วยสี่ก็คือซุนซิง รองหัวหน้าก็คือหลีเสี่ยวเปียว หน่วยห้าก็คือเฉินต้าเหอ รองหัวหน้าก็คือหลิ่วซานหลาง หน่วยหกก็คือหานกัง รองหัวหน้าก็คือถานกง หน่วยเจ็ดก็คือถานเจี้ยน รองหัวหน้าหน่วยก็คือฉีอู่
ทหารม้ากองกำลังหู่เวยต้องกองจู่โจม มีหม่าซานเปียวรับหน้าที่ ม่อรื่อเกิน ปาถู และชื่อเฮยล้วนเป็นขุนพลในกองนี้ กองปืนใหญ่กองกำลังหู่เวยก็ตั้งอีกกอง มีมู่เอินรับหน้าที่ รองกองปืนใหญ่ก็มีตำแหน่งนายกองพัน ให้จางอู่รับหน้าที่ รองหัวหน้าหน่วยห้าหลิ่วซานหลางควบตำแหน่งดูแลการจัดการในค่ายอีกตำแหน่ง
ทหารระดับขุนพลในหน่วยหนึ่งและสองเดิมรวมทั้งทหารเก่า ครั้งนี้ล้วนได้รับแต่งตั้ง และเพราะครั้งนี้มีห้าหน่วยตั้งใหม่ ดังนั้นตำแหน่งรองหัวหน้าที่เคยมีคนเดียวก็ย่อมมีมากขึ้น ทหารเก่ากองกำลังหู่เวยล้วนได้รับแต่งตั้ง
มีคนเป็นห่วง กล่าวว่าการจัดการเช่นนี้ ดูเหมือนคิดรอบด้าน แต่เหมือนกระจายกำลังหลักกองกำลังหู่เวยออกจากกัน แต่ทว่าหวังทงไม่เป็นห่วง ไม่ว่าเมืองกุยฮว่าเฉิงหรือเทียนจิน หน่วยฝึกชายชาวบ้านในพื้นที่ได้ฝึกตามระเบียบฝึกของกองกำลังหู่เวยมาหลายปี และเดิมก็เป็นพวกแกนหลักที่ปลดระวางจากกองกำลังฝึกออกมาทั้งสิ้น
การจัดการหัวหน้าหน่วย รองหัวหน้าหน่วยแต่ละหน่วย ยังคงให้คนจากลานฝึกหู่เวยเป็นหลัก ทหารติดตามหวังทงเป็นรอง ประสานกำลังกัน การจัดการเช่นนี้ ราชสำนักก็ย่อมไม่มีความเห็นแย้ง
ซาตงหนิงค่อนข้างพิเศษ ซาตงหนิงอายุมากกว่าหลีเสี่ยวเปียว อายุแค่นี้ยากจะนิ่งได้เพียงนี้ แต่เขาไม่อยากมารับใช้กองกำลังหู่เวย อยากขอเป็นทหารติดตามหวังทง ซาตงหนิงคิดถึงกองเรือซาตงเฉิงเป็นหลัก หากไปเป็นขุนพลทหาร สายสัมพันธ์กับหวังทงห่างออกไป กองเรือตนได้รับการปกป้องคุ้มครองคงน้อยลง ไม่สู้ติดตามสร้างสายสัมพันธ์ใกล้ชิดดีกว่า
เป็นเพราะเขาคิดเรื่องนี้ หวังทงจึงได้สั่งให้หลิ่วซานหลางเป็นรองหัวหน้าหน่วย ไม่เช่นนั้นก็อาจจะให้หลิ่วซานหลางอยู่เทียนจินต่อเพื่อคุมกลุ่มผู้คุ้มกันกลุ่มร้านสามธารา สำหรับถานกงกับถานเจี้ยน พวกเขาอายุสี่สิบต้น กำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ กองกำลังเมืองกุยฮว่าเฉิงก็เป็นพวกเขานำมา คุ้นเคยดี วางใจได้มาก
สำหรับทหารติดตาม ซาตงหนิงเป็นหัวหน้าทหารติดตามหวังทง อู๋เอ้อร์กับสื่อชีล้วนได้เป็นรอง พวกที่ฝึกได้โดดเด่นในเมืองกุยฮว่าเฉิงกับเทียนจินก็เสริมกำลังกันเข้ามา
กองกำลังหู่เวยขยายตัวพัฒนาพร้อมเช่นนี้ หลี่หู่โถวดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการ ถานปิงเป็นรองแม่ทัพ หัวหน้าหน่วยอื่นล้วนดำรงตำแหน่งขุนพลภาค ไช่หนานยังคงเป็นขันทีปฏิบัติงานจากสำนักอาชาหลวง แต่ความจริงนั้นเขานับว่าเป็นขันทีใหญ่ประจำสำนักอาชาหลวง สถานะในสำนักอาชาหลวงก็ขึ้นตามน้ำ เอกสารต่างๆ หลังจากผ่านหัวหน้า รองหัวหน้าและผู้ช่วยสำนักขันทีสามคนแล้ว ไช่หนานก็อยู่ในลำดับต่อมา
นอกจากนี้ หม่าหย่งขุนพลเมืองต้าถงนำทหารม้าสองพัน หลี่ซานสือเมืองเซวียนฝู่นำทหารม้าพันห้าร้อยนาย หยางจิ้นรองแม่ทัพเมืองจี้โจวนำทหารราบจี้โจวหนึ่งหมื่น รวมกับทหารราบเมืองเหลียวโจวแต่ละส่วน ตอนนี้ทัพใหญ่ไปเมืองเหลียวโจวเหนือกว่ากำลังไปตีเมืองกุยฮว่าเฉิง น่าจะมากกว่าเกินห้าหมื่น
เมืองชายแดนไม่สงบ ก็เพราะพ่ายศึก คณะเสนาบดีใหญ่กับกรมอากรไม่อยากจะยอมควักเงินงบประมาณออกมาใช้จ่ายในการศึกใหญ่ครานี้ทั้งเงินก้อนใหญ่เพื่อให้โรงช่างสามธารากับเมืองกุยฮว่าเฉิง ใช้เป็นค่าใช้จ่าย ค่าเบี้ยทหารและค่ายุทโธปกรณ์
ยุ่งกับการเตรียมการ ล่วงเข้าสู่เดือนสิบสอง สถานการณ์เมืองเหลียวโจวยังคงเลวร้ายลงอีก แต่ไม่ได้พ่ายกระเจิง ได้แต่มองพวกเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวกวาดต้อนทรัพย์สินและชาวเมืองเหลียวโจวไป มองโกลและเผ่าอื่นที่ได้แต่มองเผ่าหนี่ว์เจิน ก็เริ่มคิดอยากทำตาม เริ่มออกมารุกรานเขตเมืองเหลียวโจว
กำลังเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลรวมกันยิ่งใหญ่ ที่ตั้งมั่นรักษาการทางตะวันออกเมืองเหลียวโจวนับวันยิ่งถูกบีบ แต่ทว่าทหารจากเหลียวซีตะวันตกก็เสริมกำลังกันเข้ามาเรื่อยๆ เหลียวหนานทางใต้เริ่มเคลื่อนกำลัง กำลังศัตรูกับเราไม่เท่ากัน ได้แต่ค่อยๆ ถอย แต่ไม่อาจถอยกระเจิง แต่ละคนล้วนกำลังรอทัพเสริมจากเมืองหลวง
วันที่ 15 เดือนสิบสองปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 เมืองหลวงจัดพิธีใหญ่ เป็นพิธีเดินทัพใหญ่ หวังซีเจวี๋ย หวังทง เฉินจวี่ สามคนร่วมกับขุนพลทหารออกปรากฏตัว นอกจากสองหน่วยจากเมืองกุยฮว่าเฉิงที่เพิ่งเดินทางจากซานซีเข้าเมืองเซวียนฝู่แล้ว ที่เหลือล้วนเตรียมการเรียบร้อย ทัพใหญ่ออกเดินทาง!
หวังทงก่อนออกเดินทางก็ยิ้มเฝื่อนๆ กับบรรดาภรรยาว่า
“ปีนี้ไม่ได้ฉลองปีใหม่ที่บ้านอีกแล้ว”
ตอนที่ 979 รู้บารมี ทหารเก่าร่วมทัพ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ครั้งนี้โครงสร้างทัพใหญ่ยกทัพปราบตะวันออก หวังซีเจวี๋ยดำรงตำแหน่งสูงสุด หวังทงตำแหน่งรองลงมา เฉินจวี่เทียบเท่าหวังทง คนนอกมองมาแล้วรู้ว่าเป็นแผนสมดุลอำนาจของฮ่องเต้ที่มีต่อหวังทง ในกองทัพหวังทงทำอะไรย่อมต้องไม่สะดวกนัก ไม่อาจทำอะไรได้ดังใจ
ที่ว่าฮ่องเต้วันๆ อยู่แต่ในวังกินดีอยู่ดีก็คงเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ความเป็นจริงโลกภายนอก เอาแต่คิดเหลวไหลไปเรื่อยด้วยอาศัยความรู้บ้างไม่รู้บ้าง
จากเมืองหลวงไปด่านซานไห่กวน ตลอดทางหวังทงกับหวังซีเจวี๋ยก็ปรองดองกันดี เฉินจวี่จากสำนักส่วนพระองค์ก็เกรงใจกันดี ทุกคนรักษาท่าทีได้ดีผิดปกติ
เมื่อก่อนเฉินจวี่ทำงานอยู่หน่วยงานอื่นในวัง ได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่หวังทงมาบ้าง แต่ทว่าไม่ลึกซึ้งนัก ครั้งนี้ได้มีโอกาสมาทำหน้าที่ขันทีคุมกำลังก็ไม่แปลก เพราะสำนักส่วนพระองค์ออกปฏิบัติหน้าที่นอกวัง ก็ล้วนเป็นการไปเฝ้าประจำเมือง เช่นหนานจิงหรือเฟิ่งหยาง หรือไม่ก็ขันทีคุมกำลังประจำเมืองชายแดน เรื่องนี้ไม่ต่างจากประจำเมืองชายแดน เป็นงานในหน้าที่
แต่ครั้งนี้ทัพใหญ่ออกศึก ตามหลักควรเป็นคนจากสำนักอาชาหลวง แต่กลับให้เขาจากสำนักส่วนพระองค์ไป ทำให้งงยิ่งนัก
ก่อนออกเดินทาง อย่างไรก็ต้องถูกหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์เถียนอี้เรียกไปคุย กล่าวว่าการไปเมืองเหลียวโจวครั้งนี้ ก็เพื่อจับตาดูหวังทงให้ดี อย่าให้เขาทำอะไรที่ไม่ถูกต้องได้ และต้องดูให้ละเอียด ดูว่าหวังทงคิดการไม่ซื่อหรือไม่ รู้ไหมทำไมส่งเจ้าไป? เพราะคนสำนักอาชาหลวงล้วนไม่กล้าต่อหน้าหวังทง ต้องให้หน่วยงานหลักในวังอย่างเราออกไปทำหน้าที่แทนจึงจะได้
กล่าวถึงตรงนี้ทำเฉินจวี่อึ้งไป ในใจก็แอบคิดว่า พวกเจ้าสามคนไยไม่ใช่เหมาะกว่าหรือ ไยต้องให้ข้าไปเสี่ยงซวยคนเดียว
เถียนอี้กล่าวเรื่องอื่นต่อ ว่าเจ้าจับตาดูก็พอ ให้มีใจภักดี อย่าได้ลืมคุณธรรม ก็พอแล้ว เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ คนในวังเราออกไปทำงาน มักวางตนเหนือผู้อื่น อวดบารมี แต่ต่อหน้าหวังทง เจ้าอย่าได้คิดทำ อย่างไรก็ระวังหัวตนเองให้ดี
หัวหน้าสำนักกล่าวจบ ผู้ช่วยสำนักบูรพาโจวอี้ก็มาคุยด้วยต่อ วาจาโจวอี้อ่อนโยนกว่ามาก เมื่อก่อนเขาเคยอยู่สำนักอาชาหลวงมา จึงพอเข้าใจระบบงานอยู่ จึงได้เอ่ยเตือน จากนั้นก็กล่าวเรื่องอื่นต่อว่า สามารถได้ทำงานกับหวังทงได้ นับเป็นวาสนาเจ้า ต้องคว้าโอกาสให้ดี
เฉินจวี่อายุมากกว่าเถียนอี้และโจวอี้ ในวังอยู่มานานหลายปี แน่นอนเข้าใจว่าสองขันทีใหญ่อยู่คนละฝ่าย สองคนวาจาแสดงจุดยืนต่างกัน แต่จุดยืนต่างก็ส่วนจุดยืนต่าง วาจาความหมายชัดเจน ว่าอย่าล่วงเกินหวังทง แตะต้องหวังทงไม่ได้
ได้ข้อสรุปเช่นนี้ เฉินจวี่แน่นอนต้องระวังตัว ทัพใหญ่ออกเดินทางได้สองสามวัน เฉินจวี่ก็มองออก เขาครั้งนี้มาคุมกำลัง ก็เลือกคนจากในวังมาด้วยพันกว่านาย นี่เป็นธรรมเนียม กำลังในมือขันทีคุมกำลังหากไม่พอ เช่นนั้นผู้ใดจะฟังความ
พวกองครักษ์วังหลวงเดินบนถนนในเมืองหลวงอวดเบ่งยิ่ง ไม่ยอมลงให้ผู้ใด รู้สึกตนเองเป็นหนึ่งในใต้หล้านี้ ทะเลาะกับทหารเมืองหลวงประจำ บางครั้งออกไปปฏิบัติงานนอกพื้นที่ ขุนนางท้องที่ถูกรังแกไม่น้อย ครั้งนี้ทัพใหญ่ยกทัพปราบตะวันออก ล้วนรวมกำลังทหารจากหลายหน่วย คิดไม่ถึงว่าพอมาถึง ทหารในวังล้วนสงบเสงี่ยมดี ไม่ว่ากับผู้ใดล้วนนอบน้อมเกรงใจ
เฉินจวี่อยู่ในวังมานาน ทหารองครักษ์ในวังในท่าทีเช่นไรเขาเข้าใจดี ย่อมไม่ใช่ท่าทีเป็นมิตรเช่นนี้ เหตุใดจึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ เขาเองก็งง ตามตัวผู้หนึ่งมาถาม ผู้นั้นตอบตามตรงว่า นี่เป็นกองกำลังติ้งเป่ยโหว
หากเหลวไหล คงไร้หัว จะว่าไป ครอบครัวล้วนอยู่เมืองหลวง หากล่วงเกินติ้งเป่ยโหวเข้า องครักษ์เสื้อแพรตามมาเอาเรื่องก็รับไม่ไหว และกลับเข้าวัง โจวกงกง เจ้ากงกงก็จะเอาเรื่องอีก อย่างไรก็คงโชคร้ายแน่
ทหารในวังที่แต่ไรมาวางตัวใหญ่โต ถึงกับหวาดกลัวหวังทงเช่นนี้ได้ เฉินจวี่จึงได้รู้ว่าหวังทงระดับใด ยิ่งเข้าใจมากขึ้น จัดการเรื่องราวใดก็ล้วนระวังตัวมากขึ้น
กองกำลังหู่เวยมุ่งไปรวมตัวกับทหารเมืองจี้โจวที่เมืองหย่งผิง พวกหวังทงจากเมืองหลวงมา ทหารมีแค่จากเมืองเซวียนฝู่และต้าถง และคนของหวังซีเจวี๋ยกับเฉินจวี่
ไช่หนานครั้งนี้ก็ตามไปด้วย พอมาถึงก็เป็นผู้ช่วยขันทีคุมกำลัง สถานะเขาเห็นอยู่ ไช่หนานนอบน้อมเฉินจวี่ก็ส่วนนอบน้อม แต่เฉินจวี่ใช้งานเขาไม่ได้ ในกองทัพเรียกไช่หนานรองขันทีคุมกำลัง ความจริงนั้นไช่หนานมากองทัพ ก็กลายเป็นคนสนิทช่วยงานเบื้องหลังหวังทงทันที หากจะเรียกว่าที่ปรึกษาก็คงไม่เหมาะ แต่ทว่าคนทำงานเรื่องเอกสารเบื้องหลังก็คงได้ ไช่หนาน
วันที่ 23 เดือนสิบสอง ทัพใหญ่มารวมตัวกันที่เมืองหย่งผิง ที่นี่พักสามวัน รอทัพสองหน่วยจากเมืองกุยฮว่าเฉิงตามมาสมทบ จากนั้นทัพใหญ่ค่อยมุ่งหน้าไปยังเมืองเหลียวโจวต่อ
สถานะหวังทงไม่ต้องพูดถึง หวังซีเจวี๋ยเป็นรองอำมาตย์ เฉินจวี่เป็นขันทีสำนักส่วนพระองค์ ผู้ว่าเมืองหย่งผิงก็ย่อมต้อนรับอย่างระมัดระวัง ผู้บัญชาการเมืองจี้โจวลี่อวิ๋นไหลอย่างไรก็ต้องมาพบ มาพบกับบุตรชายตนที่เพิ่งได้เป็นหัวหน้าหน่วย และยังได้สานสัมพันธ์กับขุนนางใหญ่อีก
ตามความคิดหวังซีเจวี๋ย สถานการณ์เมืองเหลียวโจวเช่นนี้ ก็ไม่ควรวางตัวรื่นเริงผ่อนคลาย งานเลี้ยงก็ควรงด แต่ทว่าหวังทงกลับรับคำ และยังเข้าร่วมงาน ทำให้หวังซีเจวี๋ยงงมาก หากเป็นคนอื่น หวังซีเจวี๋ยคงได้หนวดกระดิกนานแล้ว คงได้ชี้หน้าด่าไปแล้ว แต่เขารู้ว่าหวังทงรบไม่เคยแพ้ ไม่ใช่คนเหลวไหลขาดการระวังตัว จึงไม่อาจกล่าวอันใดได้ ได้แต่ตามไป
พอลี่อวิ๋นไหลมา หยางจิ้นรองแม่ทัพเมืองจี้โจวก็นำทัพมา สองหน่วยเมืองกุยฮว่าเฉิงก็มาถึง ที่ทำให้หวังทงคิดไม่ถึงก็คือ ถานเจียงถึงกับมาด้วย
เทียบกับครั้งก่อนที่หวังทงเห็น ถานเจียงดูอ่อนแอลงมาก และดูซูบซีดมาก ผมขาวไปครึ่งหนึ่ง ตอนนี้ถานเจียงเรียกได้ว่าเป็นชายชราแท้จริงแล้ว
คนรอบข้างก็แล้วไป หวังทงกลับโมโหว่า
“สุขภาพเช่นนี้ ไปพักรักษาตัวที่เทียนจินให้ดี ไปพักที่เมืองกุยฮว่าเฉิงก็ได้ มาลำบากที่นี่ทำไมกัน ต้องดูแลสุขภาพตนเองให้ดี!!”
ถานเจียงกลับสีหน้านิ่งติดแววภูมิใจ แน่นอนภูมิใจที่บุตรชายสองคนตนได้เป็นรองหัวหน้าหน่วย นิ่งก็เพราะปล่อยวางได้ เขายิ้มกล่าวว่า
“นายท่านออกศึก ไปเมืองเหลียวโจวครั้งนี้ย่อมเป็นศึกที่ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินหมิง ข้าน้อยแม้ไม่ได้ร่วมรบ ก็อยากไปเห็นด้วยตาก็พอใจแล้ว”
หวังทงไม่กล่าวอันใดให้มากความ ได้แต่ถอนหายใจ ให้ถานเจียงเป็นเหมือนเมื่อก่อน ติดตามข้างกายตน ให้เป็นหัวหน้าของหัวหน้าทหารติดตาม แน่นอนงานหลักย่อมเป็นคนอื่นทำ ไม่จำเป็นต้องให้ถานเจียงมาทำ ถานเจียงเองอยากทำอะไรก็ทำไป
แต่ทว่าจัดการถานเจียงเสร็จ ถานเจียงอย่างไรก็ต้องพบกับถานต้าหู่และถานเอ้อร์หู่ พวกถานปิงก็ต้องพบ ก่อนเดินทางหนึ่งวัน กระโจมหวังทงรวมขุนพลทั้งหมด ไม่เพียงแต่หัวหน้าและรองหัวหน่วยกองกำลังหู่เวยสีหน้าตื่นเต้น แม้แต่พวกทหารต้าถงกับเมืองจี้โจวก็ตื่นเต้นยินดี ทุกคนอย่างไรก็ร่วมรบเคียงบ่ากันมาจากเมืองกุยฮว่าเฉิง และยังได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่ การได้มารวมตัวกันครานี้ แน่นอนยินดีปรีดายิ่ง คนจากเมืองเซวียนฝู่กลับรู้สึกงง ในใจคิดจะสานสัมพันธ์กับคนกลุ่มนี้เช่นไร ตนเองเหมือนเป็นคนนอก
การหารือการรบครั้งนี้ ไม่ว่าจัดการลำดับเดินทัพ หรือว่าเวรเฝ้าระวัง และการรวมกำลัง ทุกคนล้วนเข้ารับคำสั่ง รับการจัดการอย่างดี
ความจริงนั้นเรื่องเช่นนี้ ตามธรรมเนียมเป็นหวังซีเจวี๋ยจัดการ แต่ทว่าหวังซีเจวี๋ยปล่อยวางได้ นั่งมองอยู่ข้างหวังทง ยิ้มอย่างเดียว ดูหวังทงจัดการ พอเขาเห็นหวังทงจัดการบางอย่างเหมือนไม่น่ารับได้ แต่คนรับคำสั่งเบื้องหน้าหลายคนก็รับคำสั่ง ถึงกับมีสีหน้าตกใจ หากเฉินจวี่กลับรู้จักนั่งนิ่งอยู่ทางขวาไม่ออกความเห็น
สองท่านนี้มายังกระโจมแม่ทัพเป็นเรื่องสมควร หวังทงไม่ได้ใส่ใจนัก แต่ที่เขาสนใจก็คือ ขุนพลทหารตระกูลถานสองนายสีหน้าล้วนไม่ดีนัก มีเพียงถานเจียงที่ดูปกติ ถานต้าหู่กับถานเอ้อร์หู่สีหน้าเศร้าสลดยิ่ง ท่าทางปิดๆ บังๆ ก็ไม่รู้ว่าเหตุใด
แต่ทว่าพอออกไปกันแล้ว ถานเจี้ยนก็มาขอพบ เล่าสาเหตุ
“…พี่ใหญ่หลังกลับจากหม่านเท่าเอ๋อร์ สุขภาพก็ไม่ดี บางทียังแอบอาเจียนเป็นเลือด ครั้งนี้ผ่านต้าถง เชิญหมอมาดูอาการ บอกว่าเป็นเพราะสั่งสมความเหนื่อยล้ามาหลายปี ยังมีโรคเก่ากำเริบอีก เกรงว่าคงอีกไม่กี่เดือน….”
หวังทงได้ยินเช่นนี้ก็นั่งเงียบไปนานก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“เขาเองรู้หรือไม่?”
“พี่ใหญ่เองน่าจะเดาได้ ดังนั้นจึงจะตามมาให้ได้ เขาช่วงนี้ก็ไม่ว่างพักเลย ข้าน้อยเองก็เตือน แต่ไม่ยอมฟัง”
หวังทงไม่รู้จะพูดอะไร สุดท้ายได้แต่กล่าวว่า
“ทหารชราคิดอยากพลีชีพบนสนามรบ”
*****************
หวังซีเจวี๋ยกับเฉินจวี่เดิมคิดว่าเดินทัพลำบาก คิดไม่ถึงครั้งนี้ไม่ได้เดินผ่านชานเมือง หากเดินเส้นทางสบาย และยังมีเครื่องมือเดินทางพร้อม
เทียนจินเตรียมรถม้าใหญ่ให้หวังซีเจวี๋ยกับเฉินจวี่โดยเฉพาะสองคัน เดิมรถม้าระดับนี้เป็นของที่เตรียมเพื่อไช่หนาน ครั้งนี้ในเมื่อมีคนระดับนี้มา อย่างไรก็ต้องนำมาใช้
ในรถม้าอบอุ่นและยังตกแต่งหรูหราประณีต คนอยู่ด้านใน ก็สะดวกสบายมาก หน้าต่างในรถม้าใช้กระเบื้องฝัง ส่งแสงประกายสวยงามไม่เลว
หวังซีเจวี๋ยกับเฉินจวี่วันแรกที่ได้เห็น ถึงกับอุทานอย่างตกใจ ด้านในสบายและมีทุกอย่างพร้อม แม้ว่าอาหารจะธรรมดาแต่ก็เรียกได้ว่าพิถีพิถัน หวังซีเจวี๋ยกับเฉินจวี่เป็นผู้ที่ผ่านประสบการณ์มามาก รู้สึกเองได้ว่า ฝีมือการทำอาหารนี้ไม่ใช่อาหารทำหม้อใหญ่ๆ ในกองทัพ
การเดินทัพเช่นนี้ไม่เพียงแต่ไม่ใช่งานลำบาก หากกลับยังเหมือนออกเดินทางท่องเที่ยว แต่ทว่าหวังซีเจวี๋ยเองก็เข้าใจ อีกฝ่ายทำเช่นนี้ ก็เพื่อให้พวกเขาอยู่ดีๆ เงียบๆ อย่าหาเรื่อง
หวังซีเจวี๋ยยังสังเกตได้อีกเรื่องหนึ่ง แม้ว่าตนเองและขันทีคุมเสบียงจะอยู่สบาย แต่หวังทงกลับอยู่เหมือนกับทหารปกติ ตอนกินข้าว หวังทงยังเดินดูทั่วค่าย กินเหมือนกับทหารทุกคน ใกล้ถึงด่านซานไห่กวน หวังซีเจวี๋ยก็พึมพำเองบนรถม้าทอดถอนใจว่า
“…ร่วมทุกข์ร่วมสุข นี่คือแม่ทัพตัวจริง…”
ตอนที่ 980 ข่าวศัตรู ปราบโจร
โดย
Ink Stone_Fantasy
เดินทัพสู่เมืองหย่งผิงผ่านด่านซานไห่กวน ทัพใหญ่ก็เข้าสู่เมืองเหลียวโจว แม้ว่าเหลียวตงตะวันออกกับเหลียวเป่ยตอนเหนือสถานการณ์เครียด แต่เหลียวซีตะวันตกยังไม่เห็นอะไรผิดแผก
ป้อมแต่ละป้อมกับหน่วยกองพันทหารระหว่างทาง และกองกำลังต่างๆ ล้วนต้อนรับนอบน้อม คนเหล่านี้สีหน้าเคร่งเครียด บางทีอาจจะมองออกว่ากำลังอยู่ในภาวะสงคราม
องครักษ์เสื้อแพรกับเครือข่ายสามธาราภายใต้การกำกับหวังทง จัดการส่งสายไปประจำทั่วเมืองเหลียวโจวเพียงพอ ยามนี้ล้วนกำลังได้ใช้งานพอดี ข่าวจากแหล่งต่างๆ มาไม่ขาดสาย
“แต่ไรมาล้วนเป็นทหารเมืองเหลียวโจวเราไปช่วยผู้อื่น แต่ตอนนี้กลับกันแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน!”
วาจาเช่นนี้ย่อมมี ทุกคนฟังแล้วได้แต่ยิ้ม ไม่สนใจอันใด
หน่วยกองพันทหารมีทหารที่ออกศึกได้ร้อยกว่า หนึ่งกองกำลังก็มีราวพันกว่า เดิมทีตามการคาดเดาหวังซีเจวี๋ย หวังทงจากเหลียวซีเดินทางไปยังเสิ่นหยาง ตลอดทางหากรวมกำลังทหารมา เช่นนี้ก็มีกำลังทัพใหญ่พอจะต้านทัพประสานกำลังของเผ่าหนี่ว์เจินและมองโกลได้แล้ว
คิดไม่ถึงหวังทงไม่ทำเช่นนี้ แต่ทุกครั้งที่ไปถึงแต่ละที่ กลับส่งขุนพลทหารไปติดประกาศ ไปถึงที่คนมากตะโกนดัง เรียกรับสมัครทหารกล้า เงื่อนไขคือให้เตรียมม้าและอาวุธมาเอง เสบียงซื้อหาได้จากทัพใหญ่ ทัพใหญ่ไม่จัดหาให้เด็ดขาด จำเป็นต้องฟังคำสั่งทัพใหญ่ การรับสมัครเช่นนี้ย่อมต้องเสนอผลประโยชน์ให้ หวังทงให้ผลประโยชน์ง่ายมาก หลังชนะศึก รับประกันให้ผลประโยชน์หลายสิบเท่า
เงื่อนไขไม่ต้องพูดถึง หากเจ้ายอมตามทัพไปจริง ทัพใหญ่มีวิธีทดสอบ หากผ่านการทดสอบ ก็แสดงว่าเจ้ามีคุณสมบัติ หากไม่ผ่านก็ไม่ให้ไป
การรับปากเช่นนี้เหมือนไม่มีอันใดรับประกัน หากหลายคนย่อมเห็นว่าจริง พวกที่กล้าตามมาด้วยเงื่อนไขนี้ ก็ล้วนเป็นชายองอาจกล้าหาญ มณฑลทหารเช่นเมืองเหลียวโจวนี้ ยังคงมีกลิ่นอายความกล้าหาญ เห็นเงื่อนไขรับสมัครเช่นนี้ ก็ย่อมกันคนจำนวนมากไว้ได้ มีแต่คนกล้าตายและคิดว่าตนเองเก่งกล้ามาขอเข้าร่วมเท่านั้น
แต่ทว่าเดินทางมาถึงกองกำลังหนิงหย่วน คนเช่นดังกล่าวนี้ก็รับมาได้ราวห้าร้อย ตามข่าวที่หวังทงได้มา หากไม่ใช่หลี่ซานสือเมืองเซวียนฝู่แอบเคลื่อนไหว สามารถรับมาได้ 200 ก็ไม่เลวแล้ว หลี่ซานสืออย่างไรก็เป็นหัวหน้าทหารติดตามหลี่หรูซง เป็นขุนพลสายเครือญาติตระกูลหลี่ แน่นอนมีคนมาสมัครมาก เพราะเป็นหลักประกันได้
คนมากเป็นเรื่องดี แต่หวังทงกลับมีคำสั่งเด็ดขาด สอบคุณสมบัติให้หนัก วิธีนี้ทำให้ทุกคนพากันอึดอัด
ทุกคนมาเสี่ยงตายเพื่อเจ้า เจ้านอกจากแค่รับปากให้ไม่มากแล้ว ตอนนี้ยังรังเกียจว่าคนมาก ไม่ได้คุณสมบัติ ไม่รู้จริงว่าคิดอะไรอยู่
เดินทัพมาถึงกองกำลังหนิงหย่วน ก็วันที่ 8 เดือนหนึ่งแล้ว ทัพใหญ่เดินทัพนับว่าเร็ว ตลอดทางที่ได้สัมผัสกันมา สายสัมพันธ์หวังซีเจวี๋ยกับหวังทงใกล้ชิดไม่น้อย อย่างน้อยก็เรียกได้ว่าถึงขั้นสนทนาทั่วไปได้
หวังซีเจวี๋ยอายุใกล้ 50 เกิดในตระกูลสูง แต่เล็กก็ถูกเลี้ยงดูอย่างดี ออกนอกด่านในเดือนหนึ่งนี้หนาวที่สุด หวังซีเจวี๋ยกลับไม่กลัวลำบาก รถม้าที่เตรียมให้ ก็เข้าไปนอนแค่ตอนกลางคืน เวลาที่เหลือก็จะออกมาอยู่ท่ามกลางทหารติดตามตน ขี่ม้าวิ่งไปมาอยู่กับทัพใหญ่
อย่างไรก็เป็นยามสงคราม และยังอยู่ในกองทัพ ฐานะผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพวิ่งไปนั่นมานี่ จึงเป็นปัญหาเรื่องความปลอดภัย อย่างไรหวังทงก็ต้องจัดผู้คุ้มกัน แต่ผู้คุ้มกันได้รับคำสั่งว่า ผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพต้องการทำอะไรล้วนได้หมด พวกเจ้าเพียงแค่ดูอยู่ไกลๆ ก็พอ อย่าได้เข้าใกล้รบกวน จะได้ไม่เกิดเรื่องไม่สบายใจกัน
แต่หวังซีเจวี๋ยไม่ได้ไปหาเสียงในกองทัพ ไม่ได้ไปซื้อใจคน และไม่สนทนากับขุนพลทหารใดมากนัก ทุกวันล้วนแค่มอง ก่อนจะมีคำถาม เหมือนเด็กที่เห็นของแปลกใหม่
ทัพใหญ่ผ่านเขาซงซาน มาถึงป้อมต้าหลิงเหอ ก็รู้สึกถึงบรรยากาศเคร่งเครียด ป้อมและค่ายริมทางล้วนป้องกันแน่นหนา พอรู้เป็นทหารราชสำนัก ก็ออกมาต้อนรับอย่างเต็มที่ คนของแม่ทัพซุนโส่วเหลียนประจำเหลียวหนานก็มาถึง เพื่อแนะนำสถานการณ์ที่นี่
ตอนนี้เสิ่นหยางมีศัตรูสามหมื่น มองโกลหมื่นกว่า ที่เหลือล้วนเป็นเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีและพวกเผ่าอื่นที่ไม่ใช่เผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจว ตามข่าวที่ได้มา นู่เอ่อร์ฮาชื่อแพร่ข่าวว่า เงินทองในเมืองเสิ่นหยางกองท่วมภูเขา เสบียงอาหารล้วนไร้จำกัด สตรีของขุนพลทหารแผ่นดินหมิงไม่น้อยไม่อาจอยู่ต่อในเมือง
หากสามารถยึดเมืองได้ ทรัพย์สินและสตรีในเมือง เผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวไม่เอาสักอย่าง แบ่งให้ทุกคนไป ทรัพย์สินและสตรี สิ่งล่อใจเช่นนี้ทำให้ชาวมองโกลกับเผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีแต่ละกลุ่มล้วนบ้าคลั่ง แต่ละคนรวมกำลังกันมาบุกล้อมโจมตีเสิ่นหยาง
กองกำลังเสิ่นหยางเป็นเมืองใหญ่แห่งที่สองของเมืองเหลียวโจว ป้องกันแน่นหนา ในเมืองมีกำลังเพียงพอ เสบียงสะสมพอเพียง คิดจะยึดเมือง ไม่อาจทำได้ในพริบตา
ความยุ่งยากตอนนี้ก็คือ เผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลใช้ชาวฮั่นที่กวาดต้อนมาได้จากป้อมต่าง ๆ เป็นแนวหน้า ให้เชลยใช้รูปแบบการทหารเหลียวโจวมาบุกเมืองเหลียวโจว การบุกเช่นนี้ ทางฝั่งป้องกันก็ย่อมยากลำบาก การป้องกันในเมืองเป็นหน้าที่ของทหารรองแม่ทัพหม่าหลินเมืองเหลียวโจว
หลี่เฉิงเหลียงและบุตรชายเครือญาติถอยทัพกลับไปเหลียวหยางแล้ว หลี่หรูเจินบุตรชายหลี่เฉิงเหลียงรวมกำลังสามพันที่เหลียวหยางกลับเข้ามายังเสิ่นหยาง
เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าพวกที่ล้อมเมืองเสิ่นหยางไม่ได้แน่นหนานัก แต่ทว่าซุนโส่วเหลียนส่งคนเข้าไปหลายครั้ง กลับยากมาก ถึงกับมีคนตายอยู่นอกกำแพง เช่นนี้ดูแล้ว ระดับการล้อมและโจมตีกำแพงเมืองนั้นยังคงเรียกได้ว่าระดับสูง
พวกมองโกลประสานกำลังกันปักหลักอยู่เฝ้ากองกำลังเถี่ยหลิ่งกับอันเล่อโจวมีกำลังอยู่ราวสามหมื่น พวกบนทุ่งหญ้าเหลียวตงกับเหลียวเป่ยรวมเป็นหนึ่ง เก็บกวาดสิ่งเกะกะขวางระหว่างทางสิ้น กองกำลังเถี่ยหลิ่งกับอันเล่อโจวยังมีกำลังสามหมื่น ก็เพราะหลี่เฉิงเหลียงตอนยกทัพไปนั้น สองที่นี้เป็นเส้นทางกองหลังเส้นทางหลัก ดังนั้นจึงทิ้งทหารไว้ที่นี่ ครั้งนี้มองโกลตะวันออกประสานกำลังแม้ว่ามาก แต่คนในเสิ่นหยางก็มีฝีมือ เพียงแค่ยืนหยัดป้องเมืองไว้ ก็ยังต้านทานได้
สถานการณ์อาจกล่าวได้ว่ากองกำลังหมิงอ่อนแอ แต่ดูจากการเคลื่อนไหวของนู่เอ่อร์ฮาชื่อหัวหน้าเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจว คงไม่คิดเช่นนี้
ตอนนี้น้องชายนู่เอ่อร์ฮาชื่อ ซูเอ่อร์ฮาฉีนำกำลังเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวสี่พัน และเผ่าหนี่ว์เจินอื่นอีกสามพัน มากวาดล้างแถบตอนเหนือของด่านเหลียนซานกวนตะวันออกที่เสิ่นหยาง
กวาดล้างป้อมและค่ายหมิงเมืองเหลียวโจวไปทีละป้อมทีละค่าย ป้อมและค่ายเหล่านี้มีทหารไม่มาก รอบๆ ยังมีหมู่บ้าน ยึดได้ในเวลาไม่นาน ทำให้ได้เสบียงมาจำนวนมาก ความจริงนั้นถือเป็นเสริมกำลังฐานตนให้มั่น มีข่าวไม่ดีอย่างมากว่า ชาวบ้านที่เป็นใหญ่ในพื้นที่หลายกลุ่มเข้าเป็นพวกกับกองกำลังเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจว ข่าวที่ไม่ดียิ่งกว่าก็คือ ด่านเหลียนซานกวนนั้นถือเป็นทางใต้ของแม่น้ำไท่จื่อเหอ แนวป้องกันที่ซุนโส่วเหลียนตั้งไว้สองฝั่งแม่น้ำไท่จื่อเหอถูกตีแตกแล้ว ตอนนี้แต่ละป้อมสองฝั่งไม่ถูกทำลายก็โดดเดี่ยว
นู่เอ่อร์ฮาชื่ออยู่ที่เฮ่อถูอาลา ทางหนึ่งกำลังจัดทัพเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจว อีกทางหนึ่งก็นำของที่แย่งชิงหลังชัยชนะไปรับสมัครทหารจากเผ่าหนี่ว์เจินกลุ่มอื่น เผ่าหนี่ว์เจินแห่งไห่ซีกับมองโกลแต่ละเผ่ายังคงมุ่งผลประโยชน์ เสริมกำลังตนเองไม่หยุด
ข่าวนี้สำหรับหวังซีเจวี๋ยแล้วไม่ใช่ความลับ ได้ยินรายงานแล้ว ความอยากไปดูนั่นนี่ของหวังซีเจวี๋ยเพื่อดูเรื่องแปลกใหม่ก็หมดไปทันที่ เริ่มกังวลแล้ว หวังทงไม่ได้รู้สึกตกใจอันใดกับข่าวนี้ หากสนทนากับไช่หนานสองคนถึงนู่เอ่อร์ฮาชื่อ คนนี้อายุแม้ว่าจะไม่มาก แต่ความคิดไม่น้อย ค่อยๆ ก่อร้างสร้างมาทีละก้าว คิดว่าวางแผนไว้ไม่ใช่แค่ ‘ข่านปรีชา’
หวังซีเจวี๋ยเงียบไปหลายวัน ทัพใหญ่ก็มาถึงกองกำลังไห่โจว กองกำลังไห่โจวกับกองกำลังไก้โจวหนึ่งเหนือหนึ่งใต้ ตั้งเป็นระเบียงตะวันตกของเหลียวซี ผ่านกองกำลังไห่โจวไป ก็เข้าสู่ใจกลางเมืองเหลียวโจว
ตอนอยู่กองกำลังไห่โจว หลี่เฉิงเหลียงส่งบุตรชายตน หลี่หรูป๋อ มาต้อนรับ ความจริงนั้นด้วยสถานะหวังซีเจวี๋ย หวังทงกับเฉินจวี่ หลี่เฉิงเหลียงไม่มาด้วยตนเอง เรียกได้ว่าเสียมารยาทมาก
หวังทงอาจไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ แต่หวังซีเจวี๋ยกับเฉินจวี่ตอนเห็นหลี่หรูป๋อก็ล้วนไม่พอใจ แน่นอนหลี่หรูป๋อเข้าใจหลักการนี้ดี แจ้งเหตุผลแล้วก็มอบของขวัญชิ้นใหญ่ หลี่เฉิงเหลียงกลับถึงเหลียวหยางก็ล้มป่วย ขุนพลลือชื่อแห่งยุค ออกศึกเหนือมานานหลายปี ที่แท้ถูกพวกราวกับบ่าวรับใช้ตีพ่ายเช่นนี้เอง จิตวิญญาณและกำลังกายล้วนหมดสิ้นในพริบตา
พอเข้าสู่ศูนย์กลางเมืองเหลียวโจว ในที่สุดก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศแห่งสงครามแล้ว ศัตรูภายนอกแน่นอนเข้ามาไม่ได้ แต่เมืองเหลียวโจวถอยทัพทำให้มีทหารพ่ายศึกกระจัดกระจาย มีคนคิดรวบกำลังไว้เอง มีคนคิดไปเป็นโจร กระทำการเหิมเกริมในพื้นที่ พวกเขาคิดกันง่ายมาก หาความสุขก่อน ถึงตอนนั้นค่อยกลับไปเป็นทหารก็ได้ นอกจากคนพวกนี้ ยังมีอีกพวก ก็คือคนว่างงานในพื้นที่ พอเห็นสถานการณ์ไร้ระเบียบเช่นนี้ ไม่มีคนสนใจรักษาความสงบ พวกเขาก็ก่อเรื่องบ้าง วางเพลิงปล้นชิงไม่ว่า ยังถึงกับสมคบกับพวกทหาร สร้างภัยใหญ่ยิ่งกว่าที่คิด
ทัพใหญ่ผ่านมาได้ไม่ถึงวัน ก็เห็นหมู่บ้านป้อมต่างๆ รายทางพากันมาร้องไห้ร้องเรียน ล้วนกล่าวว่าโจรร้ายเหิมเกริม ขอทัพใหญ่ปราบ
ข้อเรียกร้องนี้ หากคิดเพื่อประชา ก็ควรปราบ แต่หากคิดเพื่อทัพใหญ่ ไม่ควรมาเสียเวลาที่นี่ หวังซีเจวี๋ยยังคิดว่าเลือกยาก แต่หวังทงกลับแก้ไขง่ายมาก
ตอนนี้ทหารม้าที่ตามทัพมา หวังทงเรียกว่า ‘ผู้กล้า’ ก็มีราวพันคน หวังทงให้คนเหล่านี้รวมตัวกัน ส่งคนไปบอกว่า
“หัวโจรหนึ่งคนแลกเงินสองตำลึง เงินทองติดตัวโจรให้คนสังหารเอาไปได้ สังหารคนดีมารับความชอบ มีโทษตัดหัวทิ้ง คนที่รายงานผู้ตัดหัวคนดีมาจะได้รับเงินของคนถูกรายงานไปทั้งหมด ทัพใหญ่ไม่รอพวกเจ้า จัดการเสร็จ ก็ตามมาแล้วกัน!”
วาจานี้ไม่ได้ติดเป็นประกาศ แต่ไปประกาศตามหมู่บ้านตามทาง หนึ่งหัวสองตำลึง นี่มันได้มากกว่าความชอบทางทหารเสียอีก จะว่าไป พวกผู้กล้าล้วนเป็นชายองอาจกล้าหาญ สังหารศัตรูคนพาลย่อมมั่นใจ อย่าว่าแต่พวกเขา แม้แต่ป้อมรายทางที่ได้ยินก็ล้วนออกมาเคลื่อนไหว
พวกที่นำหัวมาส่งแรกสุดเป็นหมู่บ้านที่ใกล้ทัพใหญ่ที่สุด ห้าหัว สิบตำลึงสดๆ มอบไป ทุกคนก็ฮึกเหิมกันยิ่งมากขึ้น โจรที่เหิมเกริมถูกเก็บกวาดอย่างรวดเร็ว หวังทงใช้เงินไปไม่ถึงสามพันตำลึง
เหลียวหยางเป็นศูนย์กลางเมืองเหลียวโจว ใกล้จะถึงแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น