เทพปีศาจหวนคืน 976-977

 บทที่ 976 ใบหน้าที่คุ้นเคย


แปลโดย iPAT 


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยามองฟางหยวนและไม่รู้ว่าควรกล่าวสิ่งใด


 


ทรัพยากรอมตะเหล่านี้เป็นของฟางหยวนจริงๆ เขาไม่สามารถโต้แย้ง


 


ฟางหยวนมองจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่าทัศนคติของจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาจะเป็นเช่นไร ตราบเท่าที่มีทรัพยากรอมตะเหล่านี้อยู่ในมือ มันก็เหมือนเขาถือจุดอ่อนของจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเอาไว้


 


ทันใดนั้นดวงตาของจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาพลันส่องประกายขึ้นด้วยความคิดบางอย่าง


 


เขาเย้ยหยัน “ฮืม…เด็กเลว คิดว่าข้าไม่รู้ทันเจ้างั้นหรือ? เจ้าต้องการเอาเปรียบข้า พูดมา เจ้าต้องการสิ่งใด?”


 


ฟางหยวนแสร้งแสดงออกอย่างไม่มีความสุขนัก “ท่านกล่าวผิดแล้ว ข้าไม่ได้มาเพื่อเอาเปรียบท่านแต่มาเพื่อทำธุรกรรมที่ยุติธรรม”


 


“ฮ่าฮ่า” จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเตรียมรับมือความไร้ยางอายของฟางหยวนไว้แล้ว “กล่าวมาตามตรง ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม”


 


ฟางหยวนก้มหน้ามองทรัพยากรอมตะในมือ “เมื่อท่านเป็นคนตรงไปตรงมา ข้าก็จะขอกล่าวตามตรง ข้าขอท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยได้หรือไม่?”


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาตะลึงก่อนจะถามกลับ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามี!?”


 


ฟางหยวนลอบมีความสุขอยู่ภายใน จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยามีมันอยู่จริงๆ


 


นี่เป็นเพียงเรื่องที่เขาคาดเดาเท่านั้น


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเคยใช้ท่าไม้ตายใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยล่อลวงฟางหยวนมาแล้ว


 


ย้อนกลับไปเมื่อฟางหยวนถามเกี่ยวกับท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยกับจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา คำตอบที่ได้คือ


 


“ใบหน้าที่คุ้นเคย? เจ้าช่างกล้าหาญนัก! นั่นเป็นท่าไม้ตายอมตะที่มีวิญญาณทัศนคติในตำนานเป็นแกนกลาง แม้ข้าจะมอบให้เจ้า เจ้าก็ไม่สามารถใช้งานมันได้ แต่ท่าไม้ตายใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยเหมาะสมกับเจ้ามาก กล่าวได้ว่ามันเป็นรุ่นก่อนหน้าของท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคย นี่คือท่าไม้ตายระดับมนุษย์ที่เจ้าสามารถใช้งานได้จริง!”


 


จิตวิญญาณแผ่นดินไม่สามารถโกหก


 


เขาไม่ได้กล่าวว่าไม่มีแต่บอกเพียงว่า แม้ข้าจะมอบให้เจ้า เจ้าก็ไม่สามารถใช้งานมันได้


 


แต่ตอนนี้ฟางหยวนมีวิญญาณทัศนคติอยู่กับตัว


 


เทพปีศาจปล้นสวรรค์สามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยเมื่อเขาอยู่ในระดับหก ดังนั้นฟางหยวนก็น่าจะทำได้เช่นกัน


 


“ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น เทพปีศาจปล้นสวรรค์ได้ออกตามหาร่างหลักของข้าเพื่อร้องขอให้เขาหลอมรวมวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งห้วงมิติ ร่างหลักของข้าสนใจและร่วมมือกับเทพปีศาจปล้นสวรรค์เป็นเวลายี่สิบเอ็ดปีตามเวลาของโลกภายนอก หากนับเวลาภายในถ้ำสวรรค์ มันถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมาก”


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยารำลึกถึงอดีต


 


เขาหยุดก่อนกล่าวต่อ “ตลอดยี่สิบเอ็ดปี ร่างหลักของข้ากับเทพปีศาจปล้นสวรรค์ร่วมมือกันหลายครั้งแต่ยังล้มเหลว ความมั่งคั่งทั้งหมดของเทพปีศาจปล้นสวรรค์ถูกใช้ไป กระทั่งคลังสมบัติของร่างหลักก็สูญสิ้น โดยธรรมชาติร่างหลักของข้าย่อมไม่ยอมรับการสูญเสีย เทพปีศาจปล้นสวรรค์ต้องนำบางสิ่งมาแลกเปลี่ยน สุดท้ายท่าไม้ตายใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คลุมเครือ และท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยจึงถูกส่งมอบ”


 


“เป็นเช่นนั้น” ฟางหยวนพยักหน้าและสลักข้อมูลนี้เอาไว้ในใจ


 


แดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยามีรากฐานที่ลึกซึ้ง


 


ความมั่งคั่งคือจุดเริ่มต้นของความพินาศ มันเป็นเหตุผลที่นิกายเงาบุกโจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา กระทั่งวังสวรรค์ยังต้องการยึดครอง


 


ฟางหยวนจับตามองคลังสมบัติแห่งนี้เช่นกัน แต่เขายังมีความแข็งแกร่งไม่เพียงพอที่จะบุกโจมตีและสร้างปัญหาให้กับตนเอง


 


“เด็กบ้า เจ้าต้องการท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยงั้นหรือ? ฮ่าฮ่า เจ้ามีประสบการณ์ที่ดีกับท่าไม้ตายใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยแล้วใช่หรือไม่? ทุกสิ่งที่มาจากข้าล้วนเป็นสมบัติระดับสูงสุดทั้งสิ้น แต่ท่าไม้ตายใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยเป็นเพียงท่าไม้ตายระดับมนุษย์ ดังนั้นมันจึงไม่เหมาะสมกับเจ้าในตอนนี้ถูกต้องหรือไม่?”


 


ฟางหยวนตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าต้องการใช้ทรัพยากรอมตะระดับแปดจำนวนหนึ่งชิ้นแลกเปลี่ยนกับท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคย”


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาหัวเราะแต่ในวินาทีต่อมาเสียงหัวเราะกลับถูกแทนที่ด้วยความโกรธ “เด็กเลว! เจ้าคิดว่าข้าโง่งั้นหรือ? เจ้าต้องการใช้ทรัพยากรอมตะระดับแปดเพียงหนึ่งชิ้นซื้อท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคย? ฝันไปหรือไม่!?”


 


ฟางหยวนไม่สนใจน้ำเสียงที่เย็นชาของฝ่ายตรงข้ามและถามด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น “แล้วท่านต้องการเท่าใด?”


 


“ทรัพยากรอมตะระดับแปดจำนวนสิบชิ้น!”


 


ครั้งนี้เป็นการแสดงออกของฟางหยวนที่เปลี่ยนแปลงไป “เป็นไปไม่ได้! ข้าจะมีทรัพยากรอมตะระดับแปดมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร? ท่านคิดว่าข้าเพียงหยิบมันขึ้นมาจากพื้นจริงๆงั้นหรือ?”


 


เขากรีดร้องออกมาด้วยความไร้ยางอาย


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาเผยรอยยิ้มเขินอายเล็กน้อยและกล่าว “แปดชิ้น?”


 


ดวงตาของฟางหยวนยังเบิกกว้าง เขาตะโกน “แปด? ท่านกำลังปล้นข้า! ย้อนกลับไปท่านบอกข้าด้วยตนเองว่าท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยต้องใช้วิญญาณทัศนคติเป็นแกนกลาง โดยปราศจากวิญญาณทัศนคติ ข้าจะไม่สามารถใช้งานมันได้ แต่ข้าเพียงต้องการมันเพื่อใช้อ้างอิงในการอนุมานท่าไม้ตายใหม่ที่เหมาะสมกับข้าเท่านั้น! ท่านคิดว่าข้าจะใช้ทรัพยากรอมตะระดับแปดถึงแปดชิ้นเพื่อแลกเปลี่ยนกับมันจริงๆงั้นหรือ?”


 


น้ำลายของฟางหยวนพุ่งออกมาจากปากและตกกระทบลงบนใบหน้าของจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาถอยหลังกลับสองสามก้าวด้วยการแสดงออกที่เขินอาย


 


เขาถูกฟางหยวนหลอกมาหลายครั้งและสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการต่อรอง แต่เห็นได้ชัดว่าประสบการณ์ของเขายังไม่มากพอและไม่สามารถตอบโต้ฟางหยวน


 


หลังจากทั้งหมดจิตวิญญาณแผ่นดินก็เป็นเพียงเจตจำนงที่เกิดจากพลังงานสวรรค์พิภพเท่านั้น พวกเขามีความคิดที่เรียบง่าย จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาสามารถบรรลุถึงจุดนี้ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว


 


ฟางหยวนยังกดราคาลงเรื่อยๆ เขาทำให้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยดูลดมูลค่าลงขณะที่เน้นย้ำความล้ำค่าของทรัพยากรอมตะระดับแปด


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาไม่สามารถแข่งขันกับฟางหยวนและต้องยอมรับความพ่ายแพ้ในที่สุด


 


ในชีวิตก่อนหน้าฟางหยวนเคยเป็นพ่อค้ามาหลายร้อยปี นอกจากนี้เขายังมีแนวความคิดของโลกมนุษย์ใบเดิม ดังนั้นตรรกะของเขาจึงแตกต่างจากผู้คนบนโลกใบนี้อย่างสิ้นเชิง


 


สุดท้ายฟางหยวนก็ลดเพดานราคาลงมาเหลือเพียงห้าชิ้น


 


นี่คือขีดจำกัด


 


หากเขาลดราคามากกว่านี้ จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาจะไม่ขายท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยให้เขา


 


แน่นอนว่าจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาไม่ยอมรับความสูญเสีย หลังจากคำนวณต้นทุนและกำไร เขารู้สึกว่าราคานี้เป็นราคากลางที่ดีที่สุดแล้ว


 


ฟางหยวนส่งมอบทรัพยากรอมตะระดับแปดจำนวนห้าชิ้นและได้รับท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยมาครอบครอง


 


สำเร็จ!


 


เขามีความสุขมาก


 


แม้เขาจะมีแสงแห่งปัญญา มันก็เป็นเรื่องยากที่เขาจะอนุมานท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคย เขาเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งปัญญา แต่ความสำเร็จบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงของเขาแทบจะไม่ถึงระดับผู้เชี่ยวชาญขณะที่ท่าไม้ตายชุดคุ้นเคยทั้งสามเป็นท่าไม้ตายบนเส้นแห่งการเปลี่ยนแปลง


 


‘กระทั่งข้าจะสามารถอนุมาน มันก็ไม่เหมือน แต่ตอนนี้ข้าได้รับท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยฉบับดั่งเดิมที่ปราศจากข้อบกพร่องมาจริงๆ!’


 


ฟางหยวนไม่มีอารมณ์อยู่ต่อและเร่งเดินทางกลับทันที


 


เขากลับแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูและเริ่มศึกษาท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคย


 


ท่าไม้ตายนี้ใช้วิญญาณทัศนคติเป็นแกนกลาง เป็นเรื่องยากที่จะใช้วิญญาณอมตะดวงอื่นทดแทนเพื่อแสดงพลังอำนาจของท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคย


 


นอกจากนี้ยังต้องใช้วิญญาณอมตะอีกสองดวง หนึ่งในสองคือวิญญาณอมตะเปลี่ยนรูปลักษณ์


 


ฟางหยวนล้มเหลวในการหลอมรวมวิญญาณอมตะเปลี่ยนรูปลักษณ์ขณะที่เขาไม่มีเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณอมตะอีกดวง


 


“ดูเหมือนว่าในช่วงเวลาที่เทพปีศาจปล้นสวรรค์อยู่ในระดับหก เขามีวิญญาณอมตะทั้งสองอยู่ในการครอบครอง”


 


ฟางหยวนเข้าไปในถ้ำใต้พิภพและใช้แสงแห่งปัญญาเพื่อดัดแปลงท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคย


 


หลายวันต่อมา เขาประสบความสำเร็จในที่สุด


 


วิญญาณอมตะทั้งสองดวงถูกนำออกไปและแทนที่ด้วยวิญญาณระดับมนุษย์อีกนับหมื่นดวงแต่ผลลัพธ์ของมันแทบจะไม่สามารถแทนที่วิญญาณอมตะทั้งสอง


 


ด้วยเหตุนี้การกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายของเขาจึงมีขั้นตอนที่ซับซ้อนกว่าเดิมถึงสิบเท่า


 


ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยใช้วิญญาณทั้งหมดไม่ถึงสามสิบดวงรวมวิญญาณทัศนคติ ดังนั้นมันจึงใช้เวลาในการกระตุ้นการทำงานน้อยมาก


 


หลังจากดัดแปลง ฟางหยวนเพิ่มวิญญาณเข้ามานับหมื่นดวง เป็นธรรมชาติที่การกระตุ้นใช้งานจะไม่สะดวกเหมือนต้นฉบับ


 


แต่เขาไม่มีวิธีอื่น


 


ฟางหยวนทดลองใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยฉบับแก้ไข


 


ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้เขาค่อนข้างพึงพอใจ


 


ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยฉบับปรับปรุงใหม่สามารถแสดงพลังอำนาจของท่าไม้ตายฉบับดั่งเดิมได้หกสิบส่วน ด้วยการพึ่งพาวิญญาณอมตะเพียงดวงเดียว นี่ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว


 


จุดอ่อนเดียวของมันเป็นเพียงเรื่องของเวลา เขาต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการกระตุ้นการทำงานของท่าไม้ตายนี้


 


แต่นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะมันไม่ใช่ท่าไม้ตายที่ใช้ในการต่อสู้


 


‘ในชีวิตก่อนหน้าข้าประสบความสำเร็จในการหลอมรวมวิญญาณอมตะเปลี่ยนรูปลักษณ์และสามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คลุมเครือ แต่ตอนนี้ข้าสามารถใช้ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยที่มีประสิทธิภาพสูงมากกว่าร้อยเท่า! ข้าสามารถหลอกผู้อมตะระดับเจ็ดได้อย่างสมบูรณ์ ข้าเพียงต้องระวังวิธีการตรวจสอบที่ทรงพลังของผู้อมตะระดับแปดเท่านั้น!’ ฟางหยวนคำนวณอยู่ภายใน


 


ท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคยยอดเยี่ยมเกินไป มันไม่ใช่การปลอมตัวอย่างผิวเผินแต่จะส่งผลกระทบต่อจิตใจและความรู้สึกของฝ่ายตรงข้ามโดยตรง


 


แม้รูปลักษณ์ของฟางหยวนจะเหมือนคนแปลกหน้าแต่ผลกระทบของท่าไม้ตายนี้จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกราวกับพบมิตรสหายที่ไม่ได้เจอกันมานานหรือเป็นบุคคลที่รู้สึกประทับใจเพียงแรกเห็น


 


หลังจากได้รับท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คุ้นเคย ฟางหยวนฝึกฝนมันทุกวัน


 


แม้วิญญาณทัศนคติจะอยู่ในระดับแปดแต่เงื่อนไขการใช้งานกลับต่ำมาก มันต้องการเพียงพลังจิตและไม่พึ่งพาพลังงานอมตะ


 


ดังนั้นการฝึกฝนของฟางหยวนจึงมีค่าใช้จ่ายน้อยมาก


 


เมื่อฟางหยวนคุ้นเคยกับท่าไม้ตายนี้ เวลาในการกระตุ้นใช้งานมันจึงลดลงครึ่งหนึ่ง


 


“ทุกสิ่งเตรียมพร้อมแล้ว ตอนนี้ข้าเพียงต้องรอภัยพิบัติของไท่เป่ยหยุนเฉิง”


 


ในช่วงเวลานี้ฟางหยวนอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หู บางครั้งเขาก็จะเดินทางไปทีทหมู่บ้านเล็กๆแห่งนั้นเพื่อตรวจสอบต้นไม้แห่งความฝัน


 


เขายังหลอมรวมวิญญาณระดับมนุษย์บนเส้นทางแห่งความฝันอย่างต่อเนื่องและใช้วิญญาณเหล่านี้เก็บเกี่ยวผลไม้แห่งความฝัน


 


เมื่อเวลาผ่านไปอาการบาดเจ็บของเขาก็ค่อยๆดีขึ้นและในที่สุดวันแห่งภัยพิบัติของไท่เป่ยหยุนเฉิงก็มาถึง



บทที่ 977 วิญญาณทาสอมตะ


แปลโดย iPAT 


 


ท้องฟ้าส่องประกายสีเขียวอ่อน สายลมพัดผ่านมาอย่างแผ่วเบา


 


เมืองขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ


 


นี่คือบ้านของเผ่ามนุษย์วิหค เมืองบนท้องฟ้าที่ถูกเรียกว่าเมืองขนนกศักดิ์สิทธิ์


 


ธงสีรุ้งถูกแขวนไว้ทั่วเมือง เสียงตะโกนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง


 


มนุษย์วิหครวมตัวกันอยู่ในสนามประลองแห่งหนึ่งและกำลังเฝ้าชมการแข่งขันที่สำคัญ


 


ราชามนุษย์วิหคคนก่อนหน้าเสียชีวิตไปแล้ว ตอนนี้จึงเป็นเวลาที่จะคัดเลือกราชาองค์ต่อไปผ่านการต่อสู้


 


แน่นอนว่าผู้เข้าแข่งขันต้องได้รับการยอมรับจากมนุษย์วิหคทั้งหมด


 


มนุษย์วิหคไม่ต้องการราชาที่โหดร้ายแต่ต้องการวีรบุรุษที่มีเมตตา


 


ดังนั้นผู้เข้าแข่งขันจึงต้องเป็นคนดีและเคยสร้างคุณประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ให้กับเมืองขนนกศักดิ์สิทธิ์


 


ในประวัติศาสตร์ มีราชามนุษย์วิหคที่โหดร้ายอยู่น้อยมาก อย่างไรก็ตามหากเกิดเหตุร้ายใดขึ้น เมืองขนนกศักดิ์สิทธิ์ยังมีผู้อมตะสามคนคอยดูแลอยู่


 


ผู้ชมหลายหมื่นคนกำลังเฝ้ามองเด็กหนุ่มสองคนต่อสู้กันอยู่บนลานประลอง


 


“หยูเฟย ยอมแพ้ซะ ข้าเป็นองค์ชายของเมืองขนนกศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะสืบทอดบัลลังก์และปกป้องเกียรติยศของตระกูลตัน!” มนุษย์วิหควัยเยาว์ที่มีปีกสีทองตะโกน


 


นี่เป็นการต่อสู้รอบสุดท้าย


 


ผู้ชนะจะได้เป็นราชาองค์ใหม่


 


จากสถานการณ์ปัจจุบัน องค์ชายรูปงามเป็นฝ่ายได้เปรียบ เขาเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับห้า ตอนนี้เขาบินอยู่บนท้องฟ้าและใช้การโจมตีระยะใกล้


 


คู่ต่อสู้ของเขาเป็นเด็กหนุ่มปีกสีดำ เขาวิ่งอยู่บนพื้นและพยายามหลบการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม


 


“ตันหยู! ตันหยู!” ผู้ชมส่งเสียงให้กำลังใจองค์ชายรูปงามดังขึ้นเรื่อยๆ


 


สถานการณ์ชัดเจนมาก


 


หยูเฟยอยู่ในสภาพที่น่าอนาถขณะที่องค์ชายตันหยูใช้ยุทธวิธีที่หลากหลายและทรงพลัง


 


“เจ้าต้องการให้ข้ายอมรับความพ่ายแพ้งั้นหรือ? นั่นเป็นไปไม่ได้ ข้าจะเป็นราชาคนใหม่!” หยูเฟยตะโกนก่อนจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับลูกศร


 


“อันใด? เจ้ายังมีพลังเหลืออยู่งั้นหรือ?” ตันหยูตกใจและเร่งล่าถอยออกไปแต่หยูเฟยกลับร่วงลงจากอากาศโดยไม่สามารถเข้าประชิดตัวคู่ต่อสู้


 


“หยูเฟย ปีกของเจ้าถูกข้าตัดออกไปแล้ว เจ้ายังคิดต่อต้านอีกงั้นหรือ?” ตันหยูเย้ยหยัน


 


หยูเฟยเงยหน้าขึ้นด้วยดวงตาส่องประกาย “มันยังไม่จบ ดูท่าไม้ตายของข้า บอลลอยฟ้า!”


 


หยูเฟยอ้าปากดูดอากาศจำนวนมากเข้าไปทำให้ร่างกายพองโตราวกับบอลลูนและเริ่มลอยขึ้น


 


ผู้ชมเงียบกริบก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา


 


ร่างบอลลูนของหยูเฟยน่าขันเกินไป


 


กระทั่งตันหยูก็ยังตกตะลึงก่อนจะรู้สึกผ่อนคลายลง “สมกับเป็นท่าไม้ตายของเจ้า แต่การเป็นตัวตลกไม่สามารถทำให้เจ้ากลายเป็นราชา รับท่าไม้ตายของข้า พายุดาบ!”


 


ตันหยูสะบัดมือทั้งสองข้างส่งดาบสายลมออกไปขณะที่หยูเฟยยังลอยขึ้นอย่างช้าๆ


 


ผู้ชมรู้สึกตกใจ พวกเขาเข้าใจพลังอำนาจของพายุดาบเป็นอย่างดี หากหยูเฟยถูกโจมตี เขาอาจได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือกระทั่งเสียชีวิต


 


แต่ในจังหวะนี้ดวงตาของหยูเฟยกลับส่องประกายขึ้น เขาพบโอกาสพลิกสถานการณ์ในที่สุด


 


หยูเฟยหันหลังแบะอ้าปากพ่นลำแสงสีเงินออกมาเพื่อผลักดันให้ร่างของเขาพุ่งเข้าหาตันหยูด้วยความเร็วสูง


 


“นี่…” ตันหยูตะลึง


 


ร่างกายของหยูเฟยหดเล็กลงและสามารถหลบดาบสายลมที่พุ่งเข้ามา


 


ตันหยูต้องการล่าถอยแต่มันสายเกินไปแล้ว


 


“เจ้ากำลังจะไปที่ใด หากเป็นลูกผู้ชายก็มาสู้กับข้าด้วยหมัดของเจ้า!” หยูเฟยตะโกนเสียงดังและพุ่งเข้าจับขาของตันหยูเอาไว้


 


ท่าไม้ตายโซ่เถาวัลย์!


 


ขาของหยูเฟยกลายเป็นอ่อนนิ่มราวกับเถาวัลย์รัดรอบเอวของตันหยู


 


ตันหยูไม่สามารถหลบหนี เขาทำได้เพียงป้องกันตัวเท่านั้น


 


ท่าไม้ตายคอกระเรียน!


 


ศีรษะของหยูเฟยเปลี่ยนเป็นศีรษะนกกระเรียน ลำคอนกกระเรียนพุ่งเข้ารัดพันลำคอของตันหยูเอาไว้อย่างแน่นหนา


 


จงอยปากนกระเรียนจิกไปที่ศีรษะของตันหยูและส่งเสียงดังราวกับเหล็กปะทะกัน


 


แม้ตันหยูจะไม่ได้รับบาดเจ็บแต่การปะทะครั้งนี้ยังทำให้รู้สึกมึนงง


 


ท่าไม้ตายกังหันลมหกเก้า!


 


ร่างทั้งสองเกี่ยวพันกันราวกับกังหันลมที่กำลังพุ่งลงสู่พื้น


 


ผู้ชมอุทานด้วยความตกใจ


 


ตันหยูรู้สึกวิงเวียนศีรษะและไม่สามารถตอบสนอง


 


ขณะที่พวกเขากำลังจะปะทะพื้น หยูเฟยกลับถอนตัวออกไปและเหลือเพียงตันหยูที่พุ่งกระแทกพื้นอย่างแรง


 


เสียงดังขึ้นพร้อมกับเศษหินเศษดินที่ระเบิดออกไปรอบๆ ตันหยูนอนหมดสติอยู่บนพื้น


 


เงียบกริบ!


 


ทุกคนตกใจกับผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดนี้จนไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมา


 


มีเพียงเสียงหอบหายใจของหยูเฟยเท่านั้นที่ดังขึ้น


 


หลังจากไม่นานผู้อาวุโสผู้ดูแลการแข่งขันจึงประกาศด้วยความอึดอัดใจ “ผู้ชนะคือหยูเฟย เขาคือราชาองค์ใหมของพวกเรา!”


 


“ในที่สุดข้าก็ทำได้!” หยูเฟยชูหมัดขึ้นกลางอากาศด้วยความตื่นเต้น


 


เสียงตะโกนเรียกชื่อหยูเฟยดังขึ้นทันที


 


“หยูเฟย หยูเฟย หยูเฟย…”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…” หยูเฟยหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุข


 


อีกด้านหนึ่งตันหยูถูกนำตัวออกจากสนามประลองเพื่อเข้ารับการรักษา


 


ในส่วนลึกของเมืองขนนกศักดิ์สิทธิ์ ผู้อมตะสามคนลอบสื่อสารกัน


 


“ราชาของยุคนี้ค่อนข้างพิเศษ เขาแตกต่างจากราชาคนอื่นๆ”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า เขาค่อนข้างน่าสนใจ”


 


“ดูเหมือนเขาจะมีความทะเยอทะยาน เขาต้องการขยายอาณาจักรของเรา แต่หลังจากเขากลายเป็นราชา เขาจะเติบโตขึ้น”


 


หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด หยูเฟยจะเป็นราชาของเมืองขนนกศักดิ์สิทธิ์ไปอีกหลายร้อยปี


 


แต่ในเวลาต่อมาอุบัติเหตุครั้งใหญ่กลับปะทุขึ้น


 


“บึม!”


 


เสียงระเบิดขึ้นในเมืองขนนกศักดิ์สิทธิ์อย่างกะทันหัน


 


“อา…” หยูเฟยเสียหลักล้มลงบนพื้น


 


“ดูนั่น นี่…นี่คือ…” บางคนพบสิ่งผิดปกติและชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


เมื่อทุกคนเงยศีรษะขึ้น พวกเขาจึงพบกับรอยแยกของห้วงมิติที่ปรากฎขึ้นกลางอากาศ


 


จากรอยแตก เงาร่างหลายสายบินออกมา


 


ผู้อมตะทั้งสามของเมืองขนนกศักดิ์สิทธิ์ตอบสนองโดยการบินมาเผชิญหน้ากับศัตรูทันที


 


“ศัตรูบุก!”


 


“ส่งเสียงเตือนภัย ปกป้องบ้านของพวกเรา!”


 


“ผู้ใช้วิญญาณไปรวมตัวกันที่ศูนย์กลางค่ายกลวิญญาณและเปิดใช้กำแพงป้องกันเมือง”


 


ทั้งเมืองตกสู่ความโกลาหล


 


เมืองขนนกศักดิ์สิทธิ์สงบสุขมานาน พวกเขาตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสมบูรณ์ นี่จึงทำให้การป้องกันของพวกเขาหละหลวม ขณะเดียวกันราชาองค์ใหม่ก็พึ่งถูกแต่งตั้ง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถสั่งการกองกำลังทหารและจัดการได้อย่างเหมาะสม


 


“เหตุใดพวกเจ้าจึงบุกมาที่นี่?”


 


“โปรดออกไปเดี๋ยวนี้!”


 


“พวกเรารักความสงบและไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกแต่พวกเรายังมีความแข็งแกร่ง”


 


ผู้อมตะทั้งสามแสดงออกอย่างเคร่งขรึม


 


กลุ่มผู้บุกรุกไม่สนใจพวกเขาแต่รอรับคำสั่งจากหัวหน้ากลุ่ม


 


หัวหน้ากลุ่มผู้บุกรุกเป็นผู้อมตะชราที่มีร่างกายซูบผอม เขาคาดศีรษะด้วยผ้าสีขาวและสวมชุดสีขาว


 


“โจมตี!” ผู้อมตะชราออกคำสั่ง


 


“รับทราบ ท่านจ้าวสมุทรขาว” ผู้อมตะคนอื่นๆ ตอบรับ


 


การต่อสู้ปะทุขึ้น


 


ผู้อมตะเผ่ามนุษย์วิหคสามคน สองคนเป็นผู้อมตะระดับเจ็ดและอีกหนึ่งเป็นผู้อมตะระดับหก แม้พวกเขาจะแข็งแกร่งแต่พวกเขาก็ไม่สามารถต่อต้านศัตรูจากภายนอก


 


กลุ่มของจ้าวสมุทรขาวโจมตีอย่างต่อเนื่องด้วยท่าไม้ตายทุกประเภท


 


ชัดเจนว่าพวกเขาเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี


 


มนุษย์วิหคอาศัยอยู่ที่นี่อย่างสงบสุขมาอย่างยาวนาน ตอนนี้เมื่อพวกเขาถูกบังคับให้เข้าสู่การต่อสู้ พวกเขาจึงไม่สามารถตอบสนองได้ทันเวลา ผู้อมตะทั้งสามก็เช่นกัน พวกเขาสูญเสียโอกาสหลบหนีที่ดีที่สุดไปแล้ว


 


สองวันต่อมา


 


“บึม!”


 


สายฟ้าฟาดลงมายังกำแพงเมืองขนนกศักดิ์สิทธิ์


 


กำแพงเมืองพังทลายลงทันที วิญญาณจำนวนมากบินกระจัดกระจายกันออกไป


 


ผู้ใช้วิญญาณที่ปกป้องกำแพงเมืองไม่สามารถต่อต้านและล้มลงเสียชีวิตอยู่บนพื้น


 


แสงสีเขียวพุ่งขึ้นมาจากกลุ่มฝุ่นควัน


 


“บัดซบ!” หลังจากการต่อสู้ดำเนินมาสองวันสองคืน ดวงตาของผู้อมตะมนุษย์วิหค จ้าวจง กลายเป็นแดงก่ำ


 


เห็นกำแพงเมืองถูกทำลาย เขาจึงรีบมาที่นี่เพื่อปกป้องมัน


 


คฤหาสน์วิญญาณอมตะถูกสร้างขึ้นจากวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน กำแพงเมืองที่พังทลายลงหมายถึงวิญญาณจำนวนมากถูกทำลายและทำให้คฤหาสน์วิญญาณอมตะเกิดรูช่วงโหว่


 


หากศัตรูโจมตีมาที่จุดอ่อนนี้ คฤหาสน์วิญญาณอมตะอาจพังทลายลงในที่สุด


 


แม้รูช่วงโหว่จะมีขนาดเล็กแต่มันก็ไม่สามารถถูกเพิกเฉย จ้าวจงเข้ามาปกป้องมันเพื่อซื้อเวลาให้คฤหาสน์วิญญาณอมตะซ่อมแซมตัวเอง


 


อย่างไรก็ตามเมื่อจ้าวจงมาถึง เขากลับได้ยินเสียงหัวเราะที่น่าขนลุก “ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าตกลงสู่หลุมพรางแล้ว”


 


ทันใดนั้นสองร่างพลันปรากฏขึ้นและยืนอยู่ในสองทิศทางโดยมีจ้าวจงอยู่ตรงกลาง


 


รูช่วงโหว่ทำให้ผู้อมตะสามารถแทรกซึมเข้ามาภายใน


 


“ไร้ยางอาย!” จ้าวจงคำรามด้วยความโกรธหลังจากถูกซุ่มโจมตีโดยผู้อมตะทั้งสองและได้รับบาดเจ็บสาหัส


 


“ผนึก!” เสียงของผู้อมตะบางคนดังมาจากนอกเมือง


 


หลังจากนั้นจ้าวจงรู้สึกราวกับถูกมัดเอาไว้ด้วยเชือกที่มองไม่เห็น


 


ผู้อมตะสองคนที่อยู่ด้านข้างหัวเราะและโจมตีจ้าวจงทันที


 


จ้าวจงพ่นเลือดคำโตออกมาขณะพุ่งถอยหลังไปราวกับลูกปืนใหญ่ เขากระแทบสิ่งปลูกสร้างมากมายก่อนจะล้มลงและนอนนิ่งอยู่บนซากปรักหักพัง


 


เขาพยายามดิ้นรนด้วยพลังทั้งหมด แต่ด้วยผลกระทบของท่าไม้ตายปิดผนึกของฝ่ายตรงข้าม เขาจึงไม่สามารถขยับเขยื้อน


 


จ้าวจงรู้สึกสูญสิ้นความหวังเมื่อศัตรูเคลื่อนที่ใกล้เข้ามา


 


“จ้าวจง อดทนไว้ ข้ามาแล้ว!” ในช่วงเวลาสำคัญ ร่างกำยำก็ปรากฏขึ้นด้านหน้าเขา


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเมืองขนนกศักดิ์สิทธิ์!


 


แม้ผู้บุกรุกทั้งสองจะร่วมมือกันแต่พวกเขาก็ไม่สามารถต่อสู้กับผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งผู้นี้


 


ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งของเมืองขนนกศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้อมตะบนจุดสูงสุดของระดับเจ็ด ตอนนี้เขาโจมตีด้วยความโกรธ พลังอำนาจของมันจึงน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง


 


ผู้บุกรุกทั้งสองได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกบังคับให้ล่าถอย


 


“เจิ้งหลิง ทำได้ดี!” ผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งตะโกน


 


ตอนนี้คฤหาสน์วิญญาณอมตะได้ซ่อมแซมตัวเองเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นผู้บุกรุกทั้งสองจึงติดอยู่ภายใน


 


แต่ในจังหวะที่ผู้บุกรุกทั้งสองกำลังจะถูกสังหารโดยผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง พวกเขากลับเผยรอยยิ้มราวกับแผนการของพวกเขาประสบความสำเร็จแล้ว


 


ในเวลาเดียวกันผู้บุกรุกอีกสี่คนก็ปรากฏตัวขึ้นล้อมกรอบผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งเอาไว้


 


“เป้าหมายที่แท้จริงของเราคือเจ้า! ตาย!” ผู้นำกลุ่มคนเหล่านี้ก็คือจ้าวสมุทรขาว


 


กลิ่นอายระดับแปดของเขาปะทุออกมา


 


ใบหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่งเผ่ามนุษย์วิหคกลายเป็นซีดเผือด เขาตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายโดยไม่คาดคิด


 


“บัดซบ!” ผู้อมตะเผ่ามนุษย์วิหคระดับเจ็ด เจิ้งหลิง ที่กำลังบังคับคฤหาสน์วิญญาณอมตะรู้สึกกังวลและปลดปล่อยพลังอำนาจของมันออกมาทันที


 


ทั้งสองฝ่ายเข้าสู่การต่อสู้ที่ร้อนแรง


 


เป็นเพียงเวลานี้ที่หยูเฟยเดินเข้าไปหาจ้าวจงที่นอนอยู่บนพื้นและตะโกน “ท่านบรรพชน ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”


 


“ราชาคนใหม่ที่พึ่งสวมมงกุฎ…” จ้าวจงถอนหายใจขณะมองไปที่หยูเฟย


 


เขาตะโกนต่อ “ถอยออกไป การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถเข้าร่วม!”


 


แต่หยูเฟยกลับไม่สนใจและยังมุ่งหน้าเข้าไปหาจ้าวจงพร้อมกับกระตุ้นใช้วิญญาณ “ท่านบรรพชน ให้ข้าช่วนท่าน!”


 


จ้าวจงรู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญของหยูเฟยและไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมาอีก


 


แต่บาดแผลบนร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังงานแห่งเต๋า แล้วพวกมันจะถูกรักษาโดยผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์ได้อย่างไร


 


“หือ?” จ้าวจงรู้สึกผิดปกติ


 


“เจ้าไม่ใช่หยูเฟย! เจ้า…” จ้าวจงต้องการขัดขืนแต่เขายังไม่สามารถขยับเขยื้อน


 


ก่อนที่เขาจะสามารถขอความช่วยเหลือ ฟางหยวนก็ปิดผนึกเสียงของเขาเรียบร้อยแล้ว


 


ฟางหยวนใช้วิญญาณท่องแดนอมตะลอบเข้ามาในเมืองขนนกศักดิ์สิทธิ์อย่างลับๆ


 


เนื่องจากพลังอำนาจของคฤหาสน์วิญญาณอมตะเมืองขนนกศักดิ์สิทธิ์ลดลงอย่างมาก มันจึงไม่สามารถตรวจจับการคงอยู่ของเขา


 


ฟางหยวนรอคอยโอกาสที่ดีที่สุดและปลอมตัวเป็นหยูเฟยเพื่อเข้าประชิดตัวจ้าวจง


 


ตอนนี้เขากำลังกระตุ้นใช้วิญญาณทาสอมตะอย่างเงียบๆ!


 


จ้าวจงพยายามต่อต้านแต่หลังจากไม่นานเขาก็กลายเป็นทาสของฟางหยวน


 


‘ข้าประสบความสำเร็จ!’ ฟางหยวนรู้สึกตื่นเต้นและเหนื่อยล้าในเวลาเดียวกัน


 


เขาออกคำสั่งแรกกับจ้าวจง “ไปควบคุมคฤหาสน์วิญญาณอมตะแทนเจิ้งหลิง”


 


“รับทราบ” จ้าวจงนำร่างที่ได้รับบาดเจ็บของตนค่อยๆบินเข้าสู่ใจกลางเมืองขนนกศักดิ์สิทธิ์


 


“ท่านเจิ้งหลิง โปรดไปช่วยผู้อาวุโสสูงสุด ข้าจะควบคุมคฤหาสน์วิญญาณอมตะเอง” จ้าวจงเรียกร้อง


 


เจิ้งหลิงรู้สึกมีความสุข เขาเห็นด้วยกับความคิดนี้ แม้เขาจะอยู่ที่นี่เพื่อควบคุมคฤหาสน์วิญญาณอมตะ แต่ศัตรูมากมายได้เข้ามาแล้ว ขณะที่คฤหาสน์วิญญาณอมตะไม่สามารถปลดปล่อยพลังอำนาจของมันได้อย่างเต็มที่


 


ดังนั้นแทนที่จะใช้คฤหาสน์วิญญาณอมตะ มันจะดีกว่าหากเขาเข้าสู่การต่อสู้และเป็นกำลังเสริมให้กับผู้อาวุโสสูงสุดลำดับที่หนึ่ง


 


“อาการบาดเจ็บของเจ้าดีขึ้นแล้วง้้นหรือ?” เจิ้งหลิงเริ่มเคลื่อนไหวแต่ยังลังเล


 


“ไปเร็ว! แม้ข้าจะตาย ข้าก็จะปกป้องคฤหาสน์วิญญาณอมตะจนถึงที่สุด!” จ้าวจงตะโกนด้วยร่างกายที่อาบย้อมไปด้วยเลือด


 


“เอาล่ะ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ อดทนไว้!” เจิ้งหลิงพยักหน้าก่อนจะทะยานร่างออกไปราวกับสายฟ้า

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)