พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 975-980

 บทที่ 975 ต่อสู้กันในหมู่คณะ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เหมียวอี้ที่ตกลงกระแทกพื้นเดิมทีคิดจะลุกขึ้น สุดท้ายเมื่อเห็นวงล้อมโจมตีไม่ได้จำเป็นต้องมีเขา จึงนอนอยู่อย่างนั้นเสียเลย ไม่ยอมลุกขึ้นมา ทำตัวเหมือนบาดเจ็บสาหัส


ก่อนหน้านี้พวกเขาอยากจะให้เหมียวอี้เป็นแพะรับบาปเพื่อให้ตัวเองหนีได้สะดวก ตอนนี้ถึงคราวที่เหมียวอี้จะแสร้งบาดเจ็บสาหัสและมองดูพวกเขาสู้ตายบ้าง วันๆ เอาแต่กินแต่ดื่ม ไม่มีใครดีสักคน เหมียวอี้ในตอนนี้เหมือนเป็นคนละคนกับเหมียวอี้ในปีนั้น ที่เอะอะอะไรก็จะออกไปสู้ตายลูกเดียว หรืออาจจะพูดได้ว่า คนในยุทธภพยิ่งแก่ยิ่งเจ้าเล่ห์ ไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนในปีนั้นแล้ว


ส่วนบนฟ้าก็สู้กันอย่างมืดฟ้ามัวดิน นักพรตบงกชทองหลายคนสู้กันอย่างอุตลุตแบบนี้ อานุภาพที่หลงเหลือจากการต่อสู้ทำให้ภูเขาถล่มแผ่นดินทลาย ตรงกลางภูเขาไฟมีควันดำลอยตลบอบอวล ตรงก้นภูเขาไฟที่ระเบิดเป็นโพรง หินหลอมเหลวไหลทะลักออกมา ให้ความรู้สึกเหมือนฟ้าถล่มดินสลายจริงๆ


เหมียวอี้ที่แกล้งสลบอยู่บนพื้นโดนหินที่ไหลกลิ้งและชั้นดินที่พังทลายฝังกลบนับครั้งไม่ถ้วน เพียงแต่เขาปีนขึ้นมาทุกครั้งที่โดนฝัง โผล่หน้าสังเกตการต่อสู้ข้างนอกตลอดเวลา


เฮยหวังที่โดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานโจมตีติดต่อกันจนสาหัส ตอนนี้กำลังอ่อนแอลงเยอะมากจริงๆ พลังสูงกว่าทหารเลวทั้งหกที่กำลังสู้ศึกเดือดไม่เท่าไร ถ้าไม่ใช่เพราะในมือมีทวนวิเศษผลึกแดงที่ร้ายกาจ ทั้งยังมีธงดำที่ห่อหุ้มตัวจนกลายเป็นเหมือนหลุมดำ ทำให้หลังจากโดนโจมตีแล้วไม่บาดเจ็บถึงกายเนื้อ เขาอาจจะแพ้ให้กับการล้อมโจมตีของคนพวกนี้ไปแล้ว


และคนพวกนี้ก็มีประสบการณ์ในการรับมือกับเขามาแล้ว ไม่ใช้ท่าเก่าๆ ร่ายอิทธิฤทธิ์ม้วนโคลนขึ้นมาติดตามตัว พออีกฝ่ายปล่อยแสงสีดำมาโจมตี พวกเขาก็สร้างชั้นดินขึ้นมากั้นขวางทันที


พอเหตุการณ์เป็นแบบนี้ เห็นเฮยหวังไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้น พวกสวีถังหรานก็ฮึกเหิมมั่นใจมาก ย่อมไม่กลัวเฮยหวังอีก ในสายตาของพวกเขา เฮยหวังได้กลายเป็นทางลัดที่จะทำให้พวกเขาได้เลื่อนยศและร่ำรวย ทหารเลวทั้งหกตัดสินใจเด็ดเดี่ยว แต่ละคนหมายจะเล่นงานเฮยหวังให้ตาย


“สกัดเขาไว้! ใครถอย ประหาร!” หลัวว่านกวงตะโกนอย่างใจร้อนๆ


เฮยหวังที่กำลังเจ็บจนพูดไม่ออกคิดจะหลบหนี แต่กลับโดนทหารสวรรค์เกราะทองสามสิบกว่าคนพัวพันไม่ปล่อย เรียกได้ว่าล้อมโจมตีจากทุกทิศอย่างบ้าคลั่ง สู้ตายไม่ยอมถอย ถ้าราชันสวรรค์ได้มาเห็นภาพนี้ ดีไม่ดีอาจจะรู้สึกตื้นตันใจก็ได้


เฮยหวังในตอนนี้เรียกได้ว่าเคียดแค้นเหมียวอี้มาก เดิมทีคนพวกนี้หมดหวังเตรียมจะหนีไปแล้ว แต่กลับโดนเหมียวอี้ปั่นให้มาสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับเขา


เมื่อเห็นว่าตอนนี้ไม่มีทางหนีพ้น เฮยหวังก็ตัดสินใจแน่วแน่เสียเลย ตัดสินใจว่าจะยอมแลกทุกอย่างและสู้ตายกับพวกเขาสักยก


ขณะที่กำลังกวาดทวนโจมตีมั่วๆ บนธงดำที่ห่อหุ้มตัวก็ระเบิดแสงสีดำออกมานับไม่ถ้วน คอยให้ความร่วมมือกับการรุกโจมตีของเขา


พอกลุ่มทหารสวรรค์ใช้ชั้นดินป้องกัน แต่ใครจะคิดว่าเฮยหวังกลับฉวยโอกาสแทงทวนเข้ามา แทงทะลุเกราะตรงหน้าอกของส้าวเติงก่วง หัวทวนที่แหลมคมจมเข้าไปในหัวใจของเขาแล้ว


ชั้นดินที่ขวางกั้นสลายตกลงพื้น เผยดวงตาสองข้างที่กำลังฉายแววเหลือเชื่อของส้าวเติงก่วง


ตอนนี้ไม่มีใครสนใจความเป็นความตายของส้าวเติงก่วง อาวุธสี่ห้าชิ้นโจมตีเข้าไปที่ตัวของเฮยหวังพร้อมกัน แต่มีธงดำผืนนั้นป้องกันตัว ถ้าเป็นการป้องกันตัวของคนอื่นอาจจะทำให้ฟันแทงไม่เข้า แต่การป้องกันตัวของเฮยหวังกลับทำให้อาวุธจมมิดเข้าไปหมด ราวกับใช้หลุมดำมาทำเป็นของวิเศษป้องกันตัว


“อั้ก!” ส้าวเติงก่วงเงยหน้ากระอักเลือดสดพุ่งขึ้นฟ้า สะเทือนจนร่างกระเด็นออกไป


“ผู้บัญชาการ!” ลูกน้องทั้งสี่ของเขาร้องอุทาน


พวกสวีถังหรานไม่กล้าใช้ท่าเดิม เมื่อเห็นว่าโจมตีไม่ได้ผลก็รีบหยุดมือ ปู้เหลียนจงรีบตะโกนบอกว่า “โจมตีที่ดวงตาและมือเท้าของเขา!”


อวัยเหล่านั้นคือจุดที่ธงดำไม่ได้ห่อหุ้มไว้ ทุกคนที่ล้อมโจมตีเปลี่ยนตำแหน่งลงมือทันที


พอเฮยหวังกวาดทวนวนรอบๆ แสงสีดำบนตัวก็ระเบิดออกมาอีกครั้ง ขณะที่ทุกคนใช้ชั้นดินเป็นแนวกั้นอีกครั้ง สวี่เต๋อก็ตะโกนเสียงดังว่า “เชือกมัดเซียน!”


ไม่รอให้เฮยหวังโจมตีเข้ามาอีกครั้ง เชือกมัดเซียนยี่สิบสามสิบเส้นถูกยิงเข้ามา สีทองอร่ามราวกับงูศักดิ์สิทธิ์ นี่คือสิ่งที่ตำหนักสวรรค์แบ่งสรรให้ ตราบใดที่ได้ยศทหารก็จะได้คนละหนึ่งเส้น จะได้สะดวกในการจับคน


เฮยหวังรีบออกทวนปาดติดต่อกันอย่างรวดเร็ว หัวทวนแหลมคมปาดเชือกขาดไปหลายเส้น แต่จนใจที่มีจำนวนเยอะเกินไป ชั่วพริบตาเดียวก็โดนมัดจนแน่นหนา


“โจมตี!” พวกสวีถังหรานตะโกนเสียงดัง ทหารเลวทั้งห้าร่วมมือกัน ฉวยโอกาสออกอาวุธพร้อมกัน บางคนก็หั่นมือ บางคนก็หั่นเท้าบางคนก็จิ้มลูกตา


ใครจะไปคาดคิด ขณะที่กำลังวิตกกังวล เชือกมัดเซียนที่มัดอยู่บนตัวเฮยหวังก็ราวกับดินโคลนที่ไหลลงทะเล ไม่น่าเชื่อว่าจะจมลงในธงดำคุ้มกาย ชั่วพริบตาเดียวก็คลายมัดเฮยหวังแล้ว


อย่าว่าแต่คนล้อมโจมตีที่เห็นแล้วขวัญผวา ขนาดเหมียวอี้ที่ดูอยู่ข้างล่างยังสูดหายใจลึก แบบนี้ก็ได้เหรอ? ธงดำนี่มันเป็นของวิเศษอะไรกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะร้ายกาจขนาดนี้?


การพลาดครั้งนี้ทำให้เกิดปัญหาทันที พอเฮยหวังเบี่ยงตัว ทหารทั้งห้าที่โจมตีพร้อมกันก็คว้าน้ำเหลว แต่เฮยหวังกลับถือโอกาสกวาดทวนรอบวง หัวทวนที่แหลมคมฝ่าทะลุเกราะรอบวง ทำให้เลือดสดสาดพุ่งออกมาเป็นสาย


ทั้งห้าคนส่งเสียงคราง เกราะรบตรงส่วนท้องฉีกพัง โดนฟันจนเอวแทบขาดท่อน ตรงท้องน้อยก็โดนฟันจนเป็นแผล ถ้าไม่ใช่เพราะร่ายอิทธิฤทธิ์ป้องกันอยู่ เกรงว่าทุกคนคงจะพุงแตกไส้ทะลักแล้ว


“ลุย!” ห้าคนที่รีบถลันตัวถอยร้องบอก


พอห้าคนที่เป็นฝ่ายรุกโจมตีถอยไป กลุ่มกำลังเสริมที่อยู่ข้างหลังก็ล้อมเข้าไปโจมตีอย่างบ้าคลั่งทันที


แต่พวกเขาใช่คู่ต่อสู้ของเฮยหวังเสียที่ไหนกัน วรยุทธ์ยังไม่สูงพอ พอทหารเลวห้าคนถอยออก ก็ไม่มีใครคุมเหตุการณ์ได้แล้ว กอปรกับแสงสีดำที่ยิงออกจากตัวเฮยหวังเป็นระยะ ผ่านไปประเดี๋ยวเดียวก็โดนเฮยหวังปาดทวนสังหารล้มไปสิบกว่าคนแล้ว แต่ละคนตกลงพื้นพร้อมกับเสียงกรีดร้อง


พวกสวีถังหรานทั้งตกใจทั้งโมโห ถึงแม้ร่างกายจะบาดเจ็บสาหัส แต่ยังกัดฟันโจมตีเข้ามา ตอนนี้ถ้าไม่สู้ตายก็ไม่มีทางอื่นแล้ว พอโดนเหมียวอี้ป่วนแบบนี้ อยากจะกลับตัวก็ทำไม่ได้แล้ว ทำได้พียงแข็งใจสู้สุดกำลัง


ตรงนี้เพิ่งจะยืนอย่างมั่นคงได้ เสียงโครมครามก็ดังขึ้นอีก เหมียวอี้พุ่งออกจากกองดิน โจมตีเข้ามาแล้ว


เขาไม่มีทางเลือกแล้วเหมือนกัน ถ้าตอนนี้ยังไม่ออกแรงช่วยอีก อีกสักพักไม่ว่าใครก็อย่าคิดที่จะหนีเลย บวกกับเห็นสภาพของพวกสวีถังหราน เดาว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะทิ้งตนไว้แล้วหนีไป ก็เลยโจมตีเข้ามา


จากล่างขึ้นบน เหมียวอี้ปาดทวนต่อเนื่องกันขระที่พุ่งขึ้นฟ้า เขาดูการต่อสู้อยู่ข้างล่างนานขนาดนั้น จึงหาเจอแล้วว่าจุดอ่อนของเฮยหวังอยู่ตรงไหน ก็คือจุดที่ไม่ได้โดนธงดำครอบนั่นเอง


ชั่วพริบตาเดียวก็ออกทวนราวกับมังกร แสงสะท้อนคมทนยิงออกมาดอกแล้วดอกเล่า โจมตีไปที่เท้าสองข้างของเฮยหวัง


เฮยหวังที่โดนทหารห้าคนล้อมขยับเท้าเร็วมาก แต่กลับเร็วไม่เท่าการออกทวนของเหมียวอี้ ชั่วพริบตาเดียวก็โดนไปหลายทวนติดต่อกัน


ทีแรกเฮยหวังก็ไม่สนใจอะไร เพราะเท้าทั้งสองข้างไม่ใช่จุดสำคัญของเขา เพราะก่อนหน้านี้โดนโจมตีที่เท้าไปหลายทีแล้ว แต่ใครจะคิดว่าความรู้สึกเวลาโดนเหมียวอี้โจมตีนั้นต่างออกไป ทุกจุดบนเท้าเขาที่โดนทวนจะมีเสียง ‘ฉ่า’ และมีควันดำลอยขึ้นมา ขณะเดียวกันบางสิ่งที่ทำให้เขาวิญญาณสั่นสะท้านก็กรอกเข้ามาในร่างกาย หลังจากมีเวียง “ฉ่าๆ” ดังไม่กี่รั้ง เฮยหวังก็ตกใจแทบขวัญหนีดีฝ่อ


“อา…” เฮยหวังส่งเสียงคำรามอย่างโกรธแค้น แทบจะพุ่งขึ้นฟ้าโดยไม่สนใจอะไรแล้ว


“มัดเขาไว้!” เหมียวอี้ตะโกนสั่งอย่างเกรี้ยวกราด พลางไล่ตามโจมตีใต้เท้าของเฮยหวังขึ้นไปตลอดทาง


พวกสวีถังหรานย่อมรู้ว่าเหมียวอี้พบจุดอ่อนของเฮยหวังแล้ว พวกเขาดีใจมาก ขณะที่บาดเจ็บหนักก็ยังถืออาวุธโจมตี ตามเฮยหวังขึ้นไปบนฟ้าตลอดทาง รุกโจมตีอย่างบ้าคลั่ง


“ไปดักข้างบน!” สวีถังหรานตวาดสั่ง ไม่ใช่แค่เขา อีกสี่คนที่เหลือก็จะตะโกนสั่งเช่นกัน “ดักเขาไว้!”


ทหารสิบกว่าคนที่เหลือรวบรวมกำลังทั้งหมดพุ่งขึ้นฟ้า พุ่งไปล้อมดักทั้งข้างบนข้างล่าง


เฮยหวังรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวในร่างกายตัวเอง ในดวงตาฉายแววหวาดกลัวถึงขีดสุด เรียกได้ว่าตกใจจนมือไม้อ่อน แต่จนใจที่จะหนีก็หนีไม่พ้น


“อา!” เฮยหวังพลันส่งเสียงคำรามดุดัน ธงดำบนตัวพลันระเบิดเป็นแสงสีดำนับไม่ถ้วน กดดันให้ทุกคนต้องปกป้องตัวเอง ส่วนเขาก็โจมตีไปข้างล่างอย่างบ้าคลั่ง ให้ความรู้สึกเหมือนจะสู้ตายกับเหมียวอี้


เหมียวอี้จะไปสู้ตายกับเขาทำบ้าอะไรล่ะ รีบขยับตัวหนีจากตรงนั้น หนีเอาชีวิตรอดอย่างว่องไว


เฮยหวังยังไม่ทันตามมาถึง พวกสวีถังหรานก็เข้ามาล้อมเขาไว้อีก และสีหน้าของแต่ละคนก็ดูจะดีใจมาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ ว่าพลังของเฮยหวังกำลังลดลงเร็วมาก การโจมตีที่ใช้รับมือกับพวกเขายิ่งดูดันทุรังขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต่างอะไรกับการเสริมสร้างขวัญกำลังใจให้ทหาร การโจมตีของพวกเขายิ่งดุดันขึ้นเรื่อยๆ


สุดท้าย ภายใต้การกระทุ้งทวนอย่างดุเดือดของสวี่เต๋อ แกร๊ง! เฮยหวังก็กุมทวนยาวไว้ไม่อยู่แล้ว ทวนหลุดมือกระเด็นไป ขณะเดียวกันก็กระอักเลือดสดอย่างบ้าคลั่ง ร่างตกลงกระแทกพื้น


พรึ่บๆ! กลุ่มทหารพุ่งตามลงมา ออกดาบออกทวนพร้อมกัน ตัดมือและเท้าทั้งคู่ของเขาอย่างรวดเร็ว


สวีถังหรานลงมือเร็วมาก ใช้มือข้างหนึ่งดึงธงดำลงจากตัวเฮยหวัง ดึงมาไว้ในมือตัวเองแล้วพิจารณาดู


เชือกมัดเซียนเส้นหนึ่งถูกโยนออกมา แล้วมัดเฮยหวังไว้อย่างแน่นหนา อาวุธนับไม่ทวนจ่อไปบนตัวของเฮยหวัง และเฮยหวังเองก็สูญเสียความสามารถที่จะขัดขืนขืนโดยสิ้นเชิง นอนขดตัวสั่นเทิ้มอยู่บนพื้นไม่หยุด บนตัวมีควันสีเทาลอยขึ้นมา ทำสีหน้าเจ็บปวดทรมานเกินทน


ส่วนสวี่เต๋อก็หยิบทวนวิเศษผลึกแดงของเฮยหวังมาไว้ในมือแล้ว เขาเดินไปข้างกายเหมียวอี้ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ครั้งนี้น้องชายสร้างผลงานใหญ่เชียวนะ ถ้าไม่ใช่เพราะน้องชายลงมือ เจ้าเฮยหวังนี่ก็ยากที่จะโดนลงโทษได้ ไม่ทราบว่าน้องชายใช้วิธีการอันยอดเยี่ยมอะไรรับมือกับเขา?”


คำพูดนี้ทำให้พวกสวีถังหรานสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ถ้าจะพูดกันตามจริง การที่จับตัวเฮยหวังได้แบบนี้ เหมียวอี้มีส่วนสร้างผลงานชั้นยอดไว้จริงๆ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่รู้ว่าใครจะเป็นหรือใครจะตายกันแน่


เหมียวอี้ยิ้มจืดๆ พร้อมตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก แค่อาบยาพิษไว้บนทวนนิดหน่อยเท่านั้นเอง!” จากนั้นก็หันไปบอกสวีถังหราน “พี่สวี รีบดูผู้บัญชาการโค่วที่อยู่ในธงดำว่ายังสบายดีอยู่ไหม อย่า…” เสียงพูดพลันหยุดชะงัก เพราะจู่ๆ มีการเคลื่อนไหวผิดปกติอยู่ข้างหลัง เขาพลันโบกมือแต่ก็สายไปเสียแล้ว


คมทวนด้ามหนึ่งเสียบเข้ามาที่เอวด้านหลังของเขา เป็นทวนวิเศษผลึกแดงในมือสวี่เต๋อ เป็นด้ามที่เก็บได้จากมือเฮยหวัง อีกฝ่ายฉวยโอกาสตอนที่เหมียวอี้ไม่ป้องกันตัว โจมตีทะลุเกราะทองของเหมียวอี้ เสียบเข้ามาถึงเอวของเหมียวอี้แล้ว


ยังโชคดีที่เหมียวอี้ไหวตัวเร็ว ใช้มือคว้าไว้ได้ทันเวลา หัวทวนจึงแทงเข้ามาได้แค่ครึ่งเดียว แต่ก็เห็นเลือดสดไหลออกมาแล้ว


เหมียวอี้หันกลับไปถลึงตาใส่ พลางตวาดอย่างโมโหว่า “สวี่เต๋อ ทำไมเจ้ากล้าลอบทำร้ายข้า!”


กะทันหันเกินไปจริงๆ ทำไมเขาถึงนึกไม่ถึงว่าสวี่เต๋อจะลงมือ ลอบจู่โจมในระยะที่ใกล้กันขนาดนี้ ทั้งยังไม่ได้ป้องกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ถึงผลที่ตามมา ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไหวตัวเร็ว ก็คงจะโดนสวี่เต๋อสังหารตายภายในทวนเดียวแล้ว


สวี่เต๋อออกแรงทิ้มทวนในมือ แต่กลับโดนเหมียวอี้จับไว้ ถึงได้ทำให้เหมียวอี้ไถลไปทั้งตัว ฉากนี้ทำให้พวกสวีถังหรานแอบส่งสายตาให้กันอย่างรู้อยู่แก่ใจ


สวี่เต๋อที่ดันเหมียวอี้ไปข้างหน้ากล่าวด้วยสีหน้าดุร้ายว่า “หนิวโหย่วเต๋อ คนต่ำทรามอย่างเจ้า เพราะความโลภอยากได้ผลงาน ไม่น่าเชื่อว่าจะแกล้งนอนตาย ไม่สนใจความเป็นความตายของพี่น้องคนอื่น ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ส้าวเติงก่วงจะต่อสู้จนตัวตายเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะคนทรามอย่างเจ้า จะต้องเสียสละชีวิตพี่น้องไปเยอะขนาดนี้เหรอ คนต่ำทรามขนาดนี้ ทุกคนคิดว่าควรจะฆ่าทิ้งมั้ยล่ะ?”


สวีถังหรานแสยะยิ้ม “สมควรตายจริงๆ!” เขามองธงดำในมือแวบหนึ่ง กำลังสื่อว่าอย่าเพิ่งปล่อยโค่วเหวินหลานออกมา


“ถ้าไม่ฆ่าก็ไม่พอที่จะทำให้ทุกคนหายโกรธ!” ปู้เหลียนจงกล่าว


“พี่สวี่ลงมือได้เลย มีพยานเห็นเยอะขนาดนี้ ฆ่าคนจัญไรไปสักคนก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก” ข่งเฟยฝานสนับสนุน


“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!” ลูกน้องที่เหลือขานรับเสียงดังทันที


…………………………



บทที่ 976 ใช้ทวนถาม

โดย

Ink Stone_Fantasy

ความระเกะระกะหลังจากภูเขาถล่มแผ่นดินทลาย แสงสีแดงฉานของหินหลอมเหลวที่ไหลออกจากภูเขาไฟส่องสะท้อนใบหน้าของพวกเขา จู่ๆ ก็ทำให้เหมียวอี้รู้สึกว่าสีหน้าของคนพวกนี้โหดเหี้ยมเป็นพิเศษ! พวกที่ก่อนหน้านี้ยังเรียกตนว่าพี่ว่าน้อง แต่พอผ่านไปชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น นอกจากจะลอบจู่โจมตนแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าแต่ละคนยังคิดจะเล่นงานตนให้ถึงตายอีก


ไม่มีทางบรรยายความปวดร้าวเศร้าโศกในใจเหมียวอี้ได้เลย เขาทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน แต่ก็ดูดุดันเป็นพิเศษ ในดวงตาค่อยๆ พรั่งพรูความดุร้ายราวกับสัตว์ป่า


จู่ๆ สวี่เต๋อก็เร่งฝีเท้าดันเข้ามา ขณะที่ยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ดันจนสองเท้าของเหมียวอี้เหมือนกับเป็นคันไถ ไถลจนพื้นดินเป็นรอยลึกอย่างรวดเร็ว


เสียงโครมครามดังไม่หยุดตลอดทาง หินก้อนใหญ่ที่ไหลลงจากภูเขาก้อนแล้วก้อนเล่าถูกร่างกายของเหมียวอี้ชนจนแตกกระจาย แต่เหมียวอี้ราวกับไม่สะทกสะท้าน ใช้สายตาเย็นเยียบจ้องสวี่เต๋อที่ดันจนตัวเองถอยหลังอย่างรวดเร็วตลอดทาง ไม่ต้องดูก็รู้แล้ว สวี่เต๋อกำลังดันตนเข้าไปหาหินหนืดร้อนระอุที่ไหลออกมาจากกลางภูเขา อยากจะตอกตนลงในหินหนืด อยากจะเผาตนให้ตาย หรือไม่ก็ให้ศพหายไปอย่างไร้ร่องรอย


พลั่ก! หินหนืดที่ไหลร้อนถูกร่างกายของเหมียวอี้ชนจนประกายไฟที่สว่างพร่างพรายยิงออกมา ร่างกายครึ่งหนึ่งถูกดันเข้าในหินหนืดอุณหภูมิสูงสีแดงฉาน สิ่งที่เรียกว่าบุกน้ำลุยไฟก็เป็นอย่างนี้นี่เอง แต่สีหน้าดุดันของเหมียวอี้ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสงบนิ่งผิดปกติ แล้วกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “สวี่เต๋อ นี่เจ้ารนหาที่ตายเองนะ!”


“กำเริบเสิบสาน!” สวี่เต๋อแสยะยิ้ม ขณะทวนที่อยู่ในมืออีกข้างกำลังจะโบกแทงเข้าไปพร้อมกัน เหมียวอี้หันหน้ากลับมาพร้อมประกายไฟสวยตระการตา หินหลอมเหลวที่ไหลทะลักกระโจนไปทางเขาราวกับมังกรไฟ


พอสวี่เต๋อโบกทวนกวาด มังกรไฟหลายตัวก็โดนพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาโจมตีพังทันที แต่จู่ๆ ก็ต้องตกตะลึง เห็นเพียงบนข้อมือของเหมียวอี้ที่กำลังจับหัวทวนที่แทงคาอยู่บนหลังเอวมีเงาลึกลับสองสายกะพริบออกมา แล้วยิงเข้ามาทางเขาอย่างรวดเร็ว


ตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดอะไร สวี่เต๋ออยากจะดึงทวนหนีออกมา แต่ใครจะไปคิด มือที่เปื้อนเลือดของเหมียวอี้กลับจับทวนที่เสียบหลังเอวตัวเองไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ถ้าอยากจะเอาทวนไปด้วยก็ต้องเอาเหมียวอี้ไปด้วย แล้วก็เห็นเหมียวอี้ชูทวนแทงเข้ามาอีก


เมื่ออยู่ภายใต้ความวิตกกังวล ก็ย่อมต้องปล่อยมือก่อนอยู่แล้ว สวี่เต๋อรีบถลันตัวหลบสัตว์ประหลาดสองตัวที่โจมตีไขว้เข้ามา


สัตว์ประหลาดสองตัวบินวนอยู่กลางอากาศ ตอนนี้ทุกคนถึงได้เห็นชัดๆ ว่ามันคือตั๊กแตนยักษ์หน้าตาหน้าเกลียดน่ากลัว ทั้งตัวมันวาวเหมือนโลหะประหลาด


ฉึก! พอเหมียวอี้ใช้มือดึง หัวทวนที่เสียบอยู่บนหลังเอวตัวเองครึ่งหนึ่งก็ถูกดึงออกมา ทำให้หลังเอวมีเลือดสดไหลทะลักทันที แต่ก็ถูกพลังอิทธิฤทธิ์ผนึกไว้อย่างรวดเร็ว


ขณะมองดูหัวทวนที่เปื้อนเลือดสดของตัวเอง เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ในหินหนืดสีแดงฉานก็เก็บทวนสีทองในมือ แล้วยกมือขึ้นทำลายต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของเฮยหวังที่อยู่ในทวนวิเศษผลึกแดง จากนั้นกรอกต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเองเข้าไป พอร่ายอิทธิฤทธิ์เล็กน้อย ทวนวิเศษผลึกแดงในมือก็กะพริบแสงสีทองทันที มันคือทวนวิเศษผลึกแดงขั้นห้า!


เหมียวอี้หยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวมากัดคำหนึ่ง แล้วเงยหน้ามองสวี่เต่อที่กำลังทำสีหน้ามุ่งสังหาร ขณะเดียวกันก็เดินออกจากหินหลอมเหลวอย่างช้าๆ รองเท้ายาวสีทองที่เดินออกจากหินหลอมเหลวยังคงเปื้อนหินหลอมเหลวที่ร้อนผ่าว รอยเท้าสีแดงแต่ละก้าวทำให้เกิดควันบนพื้น พอปะทะกับความเย็น แสงสีแดงก็อับแสงลงอย่างรวดเร็ว


“ไม่ได้ใช้ทวนดีที่เหมาะมือมานานแล้ว ยังไม่ได้ฆ่าคนแบบถึงอกถึงใจเหมือนกัน ช่างน่าเสียดายนัก! ให้ข้าทดลองอานุภาพของทวนด้ามนี้หน่อยเป็นไง!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ แล้วจู่ๆ ก็สะบัดทวนสามที แทงไปทางซ้ายทางขวารวมทั้งปากภูเขาไฟที่อยู่ตรงหน้า


บึ้มๆๆ! พลังอิทธิฤทธิ์โหมซัดสาดออกมา แผ่นดินสะท้านภูเขาสะเทือน


การโจมตีประเภทนี้อาจจะไม่ได้ผลกับนักพรตระดับบงกชทอง แต่ยังได้ผลกับภูเขาหลายลูก ใต้ท้องภูเขาไฟสามลูกระเบิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น หินหลอมเหลวทะลักออกมาสามสาย ไหลลงมาในหุบเขาแห่งนี้พร้อมกับไอร้อนและควันดำ


เมื่อเห็นหินหลอมเหลวไหลเข้ามาปกคลุม สวี่เต๋อถึงได้สติกลับมา เมื่อครู่นี้ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าจะตกตะลึงกับสง่าราศี ‘เมื่อทวนอยู่ในมือ’ ของเหมียวอี้เข้าแล้ว พอได้สติกลับมาก็ลอยขึ้นทันที หลบหินหลอมเหลวที่ทะลักมาใต้เท้า


ถึงแม้หินหลอมเหลวร้อนผ่าวจะทำร้ายเขาไม่ได้ แต่เขาก็ไม่มีทางอยู่ตรงนี้ได้นาน


ตั๊กแตนสองตัวที่อยู่บนฟ้าพลันบินกลับมา กลับเข้ามาอยู่ในกำไลเก็บสมบัติบนข้อมือของเหมียวอี้ เมื่อมีอาวุธที่เหมาะมือแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้ตั๊กแตนช่วย แค่อยากจะแสดงอานุภาพของทวนที่อยู่ในมือตัวเองเท่านั้น!


ทุกคนได้แต่มองดูเข่าสองข้างของเหมียวอี้จมลงในหินหลอมเหลวร้อนผ่าวที่ไหลเข้ามาในหุบเขา เหมียวอี้ชูทวนชี้ไปยังกลุ่มทหาร “อยากจะฆ่าข้าเหรอ? หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่แล้ว ใครกล้าก็เข้ามา!”


“รับความตายซะเถอะ!” หนึ่งในนั้นถลันตัวลงมาจากฟ้า ใช้ดาบด้ามหนึ่งฟันลงมาอย่างบ้าคลั่ง เป็นลูกน้องของสวี่เต๋อนั่นเอง นี่คือเวลาที่ควรทุ่มเทความพยายามแสดงความสามารถ


ลูกน้องของสวี่เต๋อตายไปแล้วสามคน เหลือเขาแค่คนเดียว


เหมียวอี้ถือทวนในแนวขวาง ไม่สะทกสะท้านใดๆ จนกระทั่งดาบใหญ่อยู่ห่างจากศีรษะตัวเองประมาณสิบนิ้ว ก็เกิดภาพมายาบนทวน จู่ๆ เงานั้นก็ขยับพร้อมแสงสีทอง ยิงออกมาราวกับผีพุ่งใต้ เร็วมาก! การออกทวนครั้งนี้เร็วจนทำให้นักพรตบงกชทองที่อยู่ในเหตุการณ์เห็นแล้วตาลาย


แกร๊ง! เสียงดังฟังชัด หัวทวนที่แหลมคมแทงโดนด้ามของดาบใหญ่ที่ฟันลงมาได้อย่างแม่นยำ ฟันขาดอย่างง่ายดายราวกับหั่นเต้าตู้


“ระวัง!” สวี่เต๋อพลันตะโกนบอก


ผีพุ่งใต้สายนั้นยังไม่หยุดพุ่งไปข้างหน้า พอฟันด้ามดาบขาดแล้ว ก็ไถลเข้าไปในเกราะทองต่อ หัวทวนที่แหลมคมเสียบทะลุเกราะเข้าไปในหน้าอกของทหารคนนั้น


ทหารคนนั้นโดนเหมียวอี้ใช้ทวนตรึงไว้กลางอากาศ ขณะมองดูด้ามดาบในมือที่โดนฟันขาดไปครึ่งหนึ่ง ในดวงตาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความรู้สึกเหลือเชื่อ เลือดสดพุ่งออกจากหน้าอก ตรงนั้นคือตำแหน่งของหัวใจพอดี ทำให้เลือดลมปั่นป่วน รู้สึกเจ็บหน้าอกตอนหายใจ ที่มุมปากและรูจมูกมีเลือดสีแดงเข้มซึมออกมา


ในเวลานี้ ดาบยาวอีกครึ่งหนึ่งที่โดนฟันขาดกลิ้งลงไปถึงได้ส่งเสียง “ตู้ม” มันตกลงไปในหินหลอมเหลวสีแดงฉานที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้ จมลงไปแล้ว!


สังหารได้ภายในการโจมตีครั้งเดียว! ทั้งยังสังหารได้รวดเร็วราบรื่น ไม่อืดอาดยืดยาดเลยแม้แต่น้อย สังหารจนเกิดความงามทางศิลปะ!


ทุกคนสูดหายใจอย่างตกตะลึง วรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งเหมือนกันแท้ๆ แต่เมื่ออยู่ภายใต้น้ำมือหนิวโหย่วเต๋อกลับไม่มีแม้แต่กำลังโต้ตอบ ความสามารถแบบนี้ ต่อให้ทหารเลวคนอื่นๆ ก็ทำไม่ได้ เมื่อนักพรตบงกทองขั้นหนึ่งสู้กับพวกเขา อย่างน้อยก็สามารถทนรับได้หลายท่า


ร่างที่โดนตรึงอยู่กลางอากาศสั่นเทิ้ม เลือดสดไหลลงมาตามด้ามทวน


เหมียวอี้พลันเก็บทวน ทั้งคนทั้งทวนปักลงพื้นพร้อมกัน ทำให้ร่างของอีกฝ่ายกระทุ้งเข้าไปในหินหลอมเหลวที่ร้อนผ่าว เหมียวอี้ก้าวเท้าเหยียบตรงจุดที่ทวนแทงบนหน้าอกของอีกฝ่าย ทำให้อีกฝ่ายที่ยังตายไม่สนิทและกำลังดิ้นรนโดนเหยียบจมลงไปในหินหลอมเหลวสีแดงข้างล่างทั้งเป็นๆ


“อ้า…” คนที่โดนเหยียบลงในหินหลอมเหลวดิ้นรนเอาตัวรอดครั้งสุดท้าย ศีรษะและเท้าสองข้างกระดกขึ้นมา ส่งเสียงกรีดร้องอันน่าสังเวชใจ ท่ามกลางเสียงแผดเผาฉ่าๆ ควันดำที่เจือกลิ่นเหม็นไหม้ลอยขึ้นมาใต้เท้าเหมียวอี้


เหมียวอี้ขยับเท้า เหยียบไปบนหน้าของอีกฝ่าย แล้วเหยียบศีรษะของเขาให้จมลงในหินหลอมเหลวอีกครั้ง เสียงกรีดร้องเงียบลงทันที เท้าสองข้างที่กำลังสั่นระริกค่อยๆ อ่อนแรง จมหายไปในหินหลอมเหลวอย่างช้าๆ


เหมียวอี้ดันโยกศีรษะเล็กน้อย สูดกลิ่นเหม็นไหม้เฮือกใหญ่ ทำท่าเหมือนกำลังดื่มดำกับมันมาก เป็นเรื่องที่คนปกติทำกันเสียที่ไหน นี่มันยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก ทุกคนมองดูภาพนี้จนอยากอาเจียน แต่ละคนกลืนน้ำลาย รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ขนลุกเหงื่อไหล เรียกได้ว่าตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว มีบางคนถึงขั้นนสงสัยว่าการที่พวกเราทำแบบนี้ เป็นการท้าทายผิดคนหรือเปล่า?


เหมียวอี้สีหน้าเรียบเฉย เรียกได้ว่าสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ ดึงทวนออกมาอย่างช้าๆ แล้วชี้ไปที่สวี่เต๋อโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ ใช้ทวนถามแทน : กล้าสู้กับข้ามั้ย!


สวี่เต๋อมองไปที่ภูเขาด้านข้าง แล้วตะโกนอย่างโมโหว่า “ทุกคนมัวลังเลอะไรอยู่? ยังไม่รีบเข้าไปพร้อมกันอีก ยังไม่รีบร่วมมือกันกำจัดไอ้คนจัญไรที่มันวางกับดักทำร้ายพี่น้องตัวเองอีก!”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็เห็นได้ชัดว่าเขาขาดความมั่นใจ เริ่มจะกลัวขึ้นมาแล้ว ลักษณะพลังเหมียวอี้ทำให้เขาสั่นคลอน หรือพูดได้อีกอย่างก็คือเริ่มไม่ค่อยมั่นใจ ไม่อย่างนั้นคงไม่ร้องเรียกผู้ช่วยหรอก ก่อนหน้านี้เขาลงมือจู่โจมด้วยตัวเองคนเดียว แต่ตอนนี้กลับอยากหาผู้ช่วย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสภาพจิตใจเปลี่ยนไปขนาดไหน


“ไอ้ชั่วนี่มันพลังเสื่อมทรุดลงแล้ว แต่จงใจทำให้คนสับสน พวกเจ้าลุยเลย!” สวีถังหรานหันไปบอกกลุ่มลูกน้องที่อยู่ข้างหลัง


“พวกเจ้าลุยเข้าไปพร้อมกันเลย!” ปู้เหลียนจงหันหลังไปบอกพวกลูกน้องเหมือนกัน


สิบคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง เป็นลูกน้องของทหารเลวที่เหลืออยู่เพียงสิบคนเช่นกัน ในใจพวกเขาแค้นมาก อีกฝ่ายพลังเสื่อมทรุดเสียที่ไหนกัน พวกเจ้าอยากจะให้พวกเราเอาชีวิตไปเสี่ยงทดสอบระดับของอีกฝ่ายมากกว่า


แต่ก็ไม่มีทางเลือก ลูกน้องมีประโยชน์ที่สุดในเวลานี้นี่แหละ ถ้าเจ้าขัดคำสั่งตอนนี้ เกรงว่าดาบคงจะมาลงที่คอของเจ้าในทันที แต่ถ้าเจ้าเข้าไปสู้ ก็ยังพอมีโอกาสรอดชีวิตอยู่บ้าง


หลังจากทั้งสิบคนสบตากัน ก็กระโจนตัวขึ้นไปพร้อมกันทันที เข้าไปล้อมวงอยู่กลางอากาศ พวกเขามองหน้ากันไป มองหน้ากันมา ไม่มีใครกล้าลงมือก่อน คนที่โดนทวนสังหารก่อนหน้านี้ก็เป็นบทเรียนให้ดูแล้ว สุดท้ายทั้งสิบก็พยักหน้าพร้อมกัน แล้วพุ่งลงไปหาเหมียวอี้ที่อยู่ข้างล่างพร้อมกัน ร่วมมือกันโจมตี


เหมียวอี้พลันเงยหน้า แล้วพุ่งตัวขึ้นฟ้าเสียงดังพรึ่บ เหยียดทวนขึ้นฟ้า แสงสะท้อนคมทวนสายหนึ่งวับวาบออกมาก่อน ตามติดด้วยแสงสะท้อนคมทวนอีกหลายดอกที่พุ่งขึ้นฟ้าราวกับพายุฝน ราวกับฝนดาวตกที่พุ่งขึ้นท้องฟ้า


เสียงโช้งเช้งดังเป็นแถบ ดังก้องอยู่กลางอากาศ


อาวุธโดนตีจนแตกหักอย่างต่อเนื่อง ละอองเลือดพุ่งกระจายดอกแล้วดอกเล่า คนที่ไล่ตามอยู่ข้างหลังฝนดาวตกราวกับเสือกระโจนเข้าฝูงแกะ บุกรุกรวดเร็วจนไม่อาจต้านทานได้ การร่วมมือของทั้งสิบคนพังทลายลงในชั่วพริบตาเดียว


ทั้งสิบคนพบว่าใช้เวลาแค่ชั่วพบหน้ากันเท่านั้น ด้ามทวนและด้ามดาบที่อยู่ในมือหักกลายเป็นไม้กระบองคามือ เรียกได้ว่ามึนงงจริงๆ แล้วก็เห็นเงาทวนที่ยุ่งเหยิงหมุนวนด้วยความเร็วสูงขึ้นบนฟ้า ทำให้พวกเขาตกใจจนแทบขวัญหนีดีฝ่อ เมื่อเจอกับคู่ต่อสู้แบบนี้ ก็พบว่านี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องวรยุทธ์เลย พบว่าเมื่อตกอยู่ในมืออีกฝ่าย ตัวเองก็ไม่มีแม้แต่กำลังจะโต้ตอบ


เงาทวนดูยุ่งเหยิง แต่ความจริงไม่ได้ยุ่งเหยิง การออกทวนแต่ละครั้งแม่นยำดุดัน สิบคนที่พุ่งลงข้างล่างยังไม่ทันได้ควบคุมความปลอดภัยของตัวเอง คนข้างล่างกลับทำลายการล้อมโจมตีของพวกเขาเสียแล้ว เล่นงานจนอาวุธในมือของพวกเขาพัง แล้วบุกฝ่าเข้าไปกลางวงโดยตรง ใครจะไปต้านทานไหวล่ะ?


ตรงนี้ยังไม่ทันได้หนี คอหอยของบางคนก็กลายเป็นรูที่มีเลือดพุ่ง หัวใจเกิดเป็นโพรงที่พ่นเลือดสีแดงเข้มออกมา มีบางคนที่หน้าผากโดนแทงจนเละ…


“อา..” เสียงกรีดร้องดังขึ้นหลายครั้ง ใช้เวลาแค่ชั่วพบหน้ากัน ร่างสี่ร่างก็ตกลงในหินหลอมเหลวร้อนฉ่าบนพื้น ยังมีบางคนที่คิดจะหนี แต่โดนเหมียวอี้ใช้ทวนแทงย้อนใต้ซี่โครง แทงทะลุจากข้างหลัง หัวทวนทะลุจากข้างหลังไปที่หัวใจโดยตรง ถ้าก้มหน้ามองจะเห็นหัวทวนแหลมอาบเลือดโผล่ออกมาตรงหน้าอกตัวเอง


มีอีกห้าคนที่ตกใจหนีกระเจิงไปคนละทิศละทาง ไม่มีทางต่อสู้กันได้เลย อีกฝ่ายลงมือเร็วจนเจ้าไหวตัวไม่ทัน ช่างเป็นการนำร่างกายที่มีเลือดเนื้อไปป้อนให้ทวนของอีกฝ่ายกินแท้ๆ


ปั้ง! เหมียวอี้หมุนตัวตะแคงถีบ ยันคนที่ห้อยอยู่บนหัวทวนให้กระเด็นออกไป ร่างที่กรีดร้องอยู่กลางอากาศตะเกียกตะกายฟาดแขนสะบัดขา ก่อนจะจมลงในหินหลอมเหลวอุณหภูมิสูงจนประกายไฟสาดกระเด็นขึ้นมา


“นายท่าน พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา นายท่านต้องลงมือด้วยตัวเองขอรับ!” ลูกน้องห้าคนที่หนีกลับมาหาพวกสวีถังหรานกลับมารายงานอย่างขวัญผวา


ขณะที่พวกสวีถังหรานมองดูเหมียวอี้โบกทวนชี้เข้ามาอย่างเย็นเยียบ ในใจก็เกิดความตึงเครียด แบบนี้โหดเกินไปแล้ว ขนาดฉายเดี่ยวยังทำอาวุธคนพังไปแล้วสิบคน ทั้งยังถือโอกาสสังหารนักพรตระดับเดียวกันไปห้าคน แต่หารู้ไม่ว่าบนเส้นทางฝึกตนที่เหมียวอี้เดินมา ในบรรดาคนระดับเดียวกัน ยังไม่เคยมีใครทนเขาได้เกินสามทวน นี่คือสิ่งที่เหล่าไป๋ให้เขามา คือต้นทุนสำหรับการช่วงชิงชัยชนะในใต้หล้า


แต่พวกสวีถังหรานเองก็ดูออก ถึงแม้วิชาทวนของเหมียวอี้จะโหดร้ายทารุณ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะต้านทานไหวหากพวกเราห้าคนร่วมมือกัน ความต่างของวรยุทธ์บงกชทองก็เห็นๆ กันอยู่ แต่ประเด็นสำคัญคือในมือเจ้าหมอนี่ถือทวนวิเศษผลึกแดงขั้นห้า อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องใช้วิชาทวนสู้กับเจ้าตรงๆ เลย แค่ประมือกันก็ทำให้อาวุธของเจ้าพังแล้ว แบบนี้จะให้สู้กันอย่างไรอีก?


สวีถังหรานและทหารเลวอีกสามคนมองสวี่เต๋อแวบหนึ่ง ในใจกำลังด่าแม่ เพราะสวี่เต๋ออยู่ดีไม่ว่าดี ทำไมต้องนำทวนวิเศษผลึกแดงขั้นห้าส่งไปให้อีกฝ่ายด้วย นี่ไม่ใช่การแกว่งเท้าหาเสี้ยนหรอกเหรอ


…………………………



บทที่ 977 คนเก็บเกี่ยวผลประโยชน์มาแล้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

สวี่เต๋อเองก็กลุ้มใจเหมือนกัน! เขาเองก็ไม่อยากนำทวนวิเศษผลึกแดงขั้นห้าไปให้อีกฝ่ายหรอก แต่อีกฝ่ายอยากได้ทวนจนไม่คิดชีวิต จะให้เขาอยากได้ทวนจนไม่คิดชีวิตเหมือนกันไม่ได้หรอก!


แต่จะว่าไปแล้ว ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทวนวิเศษผลึกแดงขั้นห้าจะสำแดงอานุภาพมากขนาดนี้เมื่ออยู่ในมือเหมียวอี้ ถึงแม้เฮยหวังจะวรยุทธ์สูง แต่ก็สำแดงอานุภาพได้ด้อยกว่าเหมียวอี้เยอะมาก ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรก เขาคงไม่ให้เหมียวอี้แย่งทวนไปง่ายๆ


เหมียวอี้ใช้ทวนชี้ท้าสู้ทุกคน ทำให้พวกเขามองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ลังเลว่าจะสู้หรือไม่สู้ดี?


ถ้าสู้กัน โอกาสตายก็เยอะกว่า แต่ถ้าไม่สู้ อีกฝ่ายก็อาจจะไม่ยอมรามือง่ายๆ การหลบหนีเป็นวิธีที่ดี แต่ถ้ายังไม่ได้กำจัดคนที่รู้สถานการณ์อย่างหนิวโหย่วเต๋อ ถ้าปล่อยให้หนิวโหย่วเต๋อหนีกลับไปด้วยก็จะแก้ตัวไม่ได้ โค่วเหวินหลานไม่ได้หลอกง่ายขนาดนั้น จะให้ฆ่าโค่วเหวินหลานให้ตายไปด้วยเหรอ? แต่การจะทำแบบนี้ก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่ากำจัดหนิวโหย่วเต๋อไปก่อนแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางอุดปากหนิวโหย่วเต๋อได้


เรื่องบางเรื่องถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องอาศัยกำลังคุยกัน ถ้าไม่มีกำลังจะทำอะไรก็ห่วงหน้าพะวงหลัง สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้พวกเขาค่อนข้างปวดหัว


หลังจากสองฝ่ายคุมเชิงกันอยู่พักหนึ่ง สวีถังหรานก็กล่าวว่า “น้องหนิว ให้เรื่องมันจบลงตรงนี้เถอะ พวกข้ามีจุดที่ทำไม่ถูก แต่ที่เจ้าแกล้งตายก่อนหน้านี้ก็ฟังไม่ขึ้นเหมือนกัน ตอนนี้เจ้าก็ฆ่าคนไปไม่น้อย โมโหอะไรก็น่าจะระบายไปหมดแล้ว ถ้าสู้กันขึ้นมาจริงๆ ต่อให้พวกเราไม่โต้ตอบ แต่เจ้าก็ไล่ตามพวกเราไม่ทันอยู่ดี มีเรื่องน้อยดีกว่ามีเรื่องเยอะ พวกเราปล่อยให้เรื่องนี้จบลงตรงนี้ดีมั้ย? ผลงานใหญ่นับเป็นของเจ้า!”


เมื่อกล่าวนี้ออกมา พวกปู้เหลียนจงก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่ละคนพากันพยักหน้า ข่งเฟยฝานเอ่ยรับ “ใช่! ไม่สู้ให้ผ่านไปตอนนี้ดีกว่า แค่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น น้องหนิว เจ้าคิดว่าอย่างไร? ผลงานใหญ่เป็นของเจ้า!”


“ก็ได้! หนิวก็นี้ก็ไม่อยากทำเรื่องอะไรที่รังแกกันเกินไป!” เหมียวอี้พยักหน้า ทุกคนได้ยินแล้วถอนหายใจ แต่ใครจะคิดว่าจู่ๆ เหมียวอี้จะชี้ทวนไปที่สวี่เต๋อ พลางตวาดเสียงเข้มว่า “แต่จะปล่อยตัวการไปไม่ได้ ข้าเกือบจะตายด้วยน้ำมือเขาแล้ว จะปล่อยเลือดของข้าเสียไปเปล่าๆ ได้อย่างไร!”


“ไอ้แซ่หนิว อย่ากำเริบเสิบสานเกินไปนัก เจ้าคิดว่าพวกเรากลัวเจ้าหรือไง?” สวี่เต๋อกัดฟันถาม


เหมียวอี้ไม่แยแส กล่าวกดดันด้วยเสียงเสียงทุ้มต่ำต่อไป “ถ้าทุกคนอยากให้ข้าเชื่อว่ามีความจริงใจที่จะจบเรื่องนี้แต่โดยดี ก็ต้องแสดงความจริงใจออกมาให้ดูก่อน เพราะเรื่องที่มีคนใช้ทวนแทงข้างหลังมันสะเทือนขวัญจริงๆ ถ้าไม่กำจัดคนต่ำช้าอย่างสวี่เต๋อ ก็เป็นเรื่องยากที่ความแค้นในใจหนิวจะหายไป ถ้าทุกคนอยากให้เรื่องนี้จบแต่เพียงเท่านี้ ก็ร่วมมือกับข้ากำจัดคนต่ำช้าสวี่เต๋อ ไม่อย่างนั้นเรื่องที่ทุกคนไม่สนใจความเป็นความตายของผู้บัญชาการโค่ว พอจบเรื่องแล้วขังผู้บัญชาการโค่วไม่ยอมปล่อยออกมา… ก็อย่าหาว่าปากของข้าไม่ปรานี รายงานขึ้นไปตามความจริง!”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา สวี่เต๋อก็ตกใจมาก รีบมองไปที่คนอื่นๆ แล้วกล่าวเสียงดังว่า “ทุกคนอย่าตกหลุมพราง มันกำลังเสี้ยมเขาควายให้ชนกัน!”


พวกสวีถังหรานสบตากันแวบหนึ่ง ในใจลังเลมาก


ได้ยินเหมียวอี้บอกอีกว่า “สวี่เต๋อ คนต่ำทรามไง ถ้าไม่กำจัดคนต่ำทราม หนิวก็ไม่อาจร่วมทางกับทุกคนได้อย่างสงบใจหรอก หนิวไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ทำเรื่องแอบลอบทำร้ายอีก ทุกคนจะฆ่าเขาเพื่อแสดงความจริงใจ หรือจะสู้ตายกับเหมียวก็ตามใจแล้วกัน!”


พวกสวีถังหรานมองประเมินกันและกันอีกครั้ง แววตาแต่ละคนค่อนข้างวูบไหวไม่มั่นคง


สวี่เต๋อเข้าใจคนพวกนี้ดีเกินไป พอเห็นแววตาคนพวกนี้แปลกประหลาดมีเลศนัย ในใจก็รู้สึกหนาว แอบร้องในใจว่าซวยแล้ว ร่างกายค่อยๆ ลอยไปข้างหลังหมายจะหนีไปก่อน


ปรากฏว่าสวีถังหรานเด็ดขาดยิ่งกว่าเขา ถลันตัวมาขวางเขาเอาไว้ “พี่สวี่ เจ้าทำแบบนี้ไม่ถูกแล้ว ยังไม่ทันคุยกันชัดเจนแล้วจะไปได้อย่างไร!”


สวี่เต๋อหันขวับกลับมา ปู้เหลียนจง ข่งเฟยฝาน หลัวว่านกวงก็ถลันตัวเข้ามาเช่นกัน ล้อมเขาไว้ทั้งสี่ด้าน ส่วนลูกน้องที่เหลืออีกห้าคนก็ดักข้างบนกับข้างล่างไว้แล้ว ดักทางไม่ให้กระโดดหนี สวี่เต๋อถามด้วยสีหน้าดุร้าย “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”


หลัวว่านกวงถอนหายใจ “พี่สวี่ เรื่องนี้จะโทษพวกเราไม่ได้นะ ใจเมื่อเจ้าฆ่าน้องหนิวไม่ได้ น้องหนิวไม่เกรงเจ้าก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว ทำไมต้องโมโหด้วย?”


คำพูดนี้ทำให้สวี่เต๋อโมโหจนแทบกระอักเลือด ก่อนหน้านี้คนกลุ่มนี้ร้องเป็นเสียงเดียวกันว่าให้เขาฆ่าหนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้กลับกลายเป็นเขาที่ทำไม่ถูกเสียแล้ว จึงโบกทวนชี้ไปรอบวง “ไอ้พวกคนทราม กล้าลอบทำร้ายข้าเหรอ!”


ปู้เหลียนจงกล่าวเหยียดหยามว่า “ต่อให้ข้าต่ำทราม แต่ก็ไม่ทำเรื่องยกดาบแทงข้างหลังพี่น้องตัวเองหรอก พูดตามตรงแล้วกัน อยู่กับคนอย่างเจ้าพวกเราก็ผิดหวังเหมือนกัน ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งอาจจะโดนเจ้าแทงก็ได้ พี่สวี่ เห็นแก่ที่เป็นพี่น้องกันมาหลายปี เรื่องฆ่ากันเองพวกเราทำไม่ลงจริงๆ เจ้าทำให้ตัวเองไปสบายจะดีกว่า”


“ทำไมต้องเปลืองคำพูดกับคนทรามแบบนี้” สวีถังหรานพูดเหยียด พร้อมง้างมีดฟัน “รับความตายซะเถอะ!”


“ย้า!” สวี่เต๋อคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ออกทวนโจมตีกลับอย่างเดือดดาล


เมื่อเริ่มเคลื่อนไหว ทุกคนก็ล้อมวงเข้ามาทันที ท่ามกลางเสียงสะเทือนเลือนลั่น สวี่เต๋อฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก เข้าไม่ได้วรยุทธ์สูงเหมือนเฮยหวัง และไม่ได้รับมือกับการล้อมโจมตีเก่งเหมือนเหมียวอี้ โดนล้อมไว้จะหนีก็หนีไม่ได้ ขณะกำลังโจมตีโต้ตอบ ก็รู้แล้วว่าตัวเองมีโอกาสตายมากกว่ารอด ตะโกนด่าอย่างโศกเศร้าคับแค้น “ฝูงโจรสุนัข ต่อให้ข้าเป็นผีข้าก็จะไม่ปล่อยพวกเจ้าไป!”


จู่ๆ ก็โยนเชือกมัดเซียนออกมาเส้นเดียว มัดแขนข้างหนึ่งและร่างกายสวี่เต๋อไว้ครึ่งท่อน ทำให้การเคลื่อนไหวของเขาเชื่องช้าลง มืออีกข้างย่อมไม่สามารถใช้ทวนได้อย่างอิสระ


“บังอาจ!” สวี่เต๋อคำรามอย่างเศร้าโศก ใช้มือข้างเดียวโบกทวนอย่างบ้าคลั่ง ความคับแค้นสิ้นหวังในแววตายากที่จะอธิบายเป็นคำพูดได้ รู้ว่าหายนะมาถึงตัวแล้ว


แกร๊ง! ปู้เหลียนจงสู้กับเขาอย่างเด็ดเดี่ยว สวีถังหรานฉวยโอกาสโบกดาบจนเกิดแสงสะท้อนวิบวับ


ศีรษะใบใหญ่ขาดกระเด็น เลือดอุ่นพุ่งขึ้นฟ้า สวี่เต๋อที่ตัวกับหัวอยู่คนละที่ตกลงในหินหลอมเหลวเบื้องล่าง จุดเป็นเปลวเพลิงร้อนแรงสองกอง สุดท้ายก็ได้รับผลกรรมตามสนองแล้ว


ทุกคนสบตากันแวบหนึ่ง แล้วหันหน้าไปมองเหมียวอี้พร้อมกัน สวีถังหรานชูดาบที่มีรอยเลือดขึ้นมา พร้อมบอกว่า “น้องหนิว สมความปรารถนาของเจ้าแล้ว”


“ดีมาก!” เหมียวอี้ผงกศีรษะด้วยสีหน้าเย็นชา แล้วถ่ายทอดเสียงบอกอีกสี่คนว่า “ทุกคนไม่รู้สึกเหรอว่าเรื่องในวันนี้ ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี? ถ้าในภายหลังมีคนนำเรื่องนี้มาเป็นจุดอ่อน ก็จะไม่ใช่เรื่องดีอะไร!”


ทั้งสี่แอบสบตากันแวบหนึ่ง เหมียวอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วหันตัวไปข้างหลังอย่างช้าๆ ทำท่าเนียนๆ เหมือนไม่รู้ไม่ชี้ “อา!” บนฟ้าข้างหลังกลับมีเสียงกรีดร้องดังขึ้น ตามติดด้วยเสียงต่อสู้อย่างดุเดือด


เหมียวอี้ค่อยๆ หันหลังกลับไปมองแวบหนึ่ง สวีถังหรานและทหารเลวอีกสามคนเปิดฉากสังหารใหญ่แล้ว เป้าหมายที่สังหารก็คือพวกลูกน้องที่เมื่อครู่นี้เพิ่งช่วยเหลือพวกเขาต่อสู้


การลงมืออย่างกะทันหันทำให้ลูกน้องตายไปแล้วคนหนึ่ง อีกสี่คนที่เหลือมีหรือที่จะรอดพ้นเงื้อมมือของพวกสวีถังหรานไปได้ ว่าจะเป็นวรยุทธ์ ความสามารถหรือความเร็วก็ไม่เพียงพอให้หนีเอาชีวิตรอดได้ ไล่ตามแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ผลที่ได้ย่อมเป็นร่างสี่ร่างร่วงลงสู่พื้น


จากนั้นพวกสวีถังหรานก็ถลันตัวกลับมาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า แต่แววตาที่มองเหมียวอี้ดูระแวดระวังขึ้นหลายส่วน


เหมียวอี้บอกว่า “ดูนายท่านผู้บัญชาการว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับผู้บัญชาการ ต่อให้วันนี้จะทำผลงานได้ แต่ถ้าโดนอำนาจที่หนุนหลังผู้บัญชาการสืบสวนขึ้นมา เกรงว่าจะผลงานก็ไม่อาจลบล้างความผิดได้ ยากที่จะหนีพ้นโทษตาย โทษเป็นก็รอดยากเหมือนกัน!”


สวีถังหรานเรียกธงดำออกมามาตรจดูทันที เหมียวอี้กลับค่อยๆ กำทวนไว้ในมือให้กระชับแน่น ขณะกำลังจะฉวยโอกาสลอบจู่โจม เสียงหัวเราะเย็นเยียบก็ดังมาจากผู้เขาด้านข้าง “ช่างเป็นสุนัขที่ใจกล้าจริงๆ!”


ทั้งห้าหันไปมอง เห็นเพียงคนสองคนเหาะออกมาจากกลางภูเขา ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นรองผู้บัญชาการหงกับรองผู้บัญชาการซุนนั่นเอง


ทั้งห้าสีหน้าเปลี่ยนทันที ไอ้สองคนนี้มันเห็นท่าไม่ดีเลยหนีไปก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ?


เมื่อครู่นี้ในใจทั้งห้าค่อนข้างหวาดกลัว ทั้งสองจะต้องเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ชัดเจนแน่นอน รองผู้บัญชาการทั้งสองเจ้าเล่ห์ใช้ได้เลย รอให้ทางนี้สู้กันเองในหมู่คณะก่อน รอให้ทางนี้สิ้นเปลืองกำลังไปพอสมควรก่อน แล้วตัวเองค่อยโผล่หัวออกมา


“เมื่อจะทำแล้วต้องทำให้ถึงที่สุด!” เหมียวอี้รีบถ่ายทอดเสียงบอกทั้งสี่ทันที


“พวกเขาสองคนมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นสี่ พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา” สวีถังหรานกล่าว


เหมียวอี้ “หนิวคนนี้ก็ไม่ใช่ไก่อ่อน ขอแค่อีกสักครู่พวกเจ้าสี่คนฉวยโอกาสพัวพันพวกเขาสองคนไว้ พวกเขาจะต้องจบชีวิตภายใต้ทวนของหนิวแน่! อย่าลืมเชียวนะ ถ้าหากผู้บัญชาการโค่วได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ ตำแหน่งของเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เขตเมืองตะวันตกต้องว่างแน่นอน ข้าคนเดียวครองสองตำแหน่งไม่ไหวหรอก เจ้าสองคนนี้มาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แล้ว”


เขากลัวว่าทั้งสี่คนนี้จะทรยศ เพราะกลับไปจะยิ่งเข้าหาผู้อิทธิพลได้ง่าย จึงรีบโยนเนื้อออกมา จะได้ทำให้พวกเขารู้ว่าถ้าสองคนนี้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไป พวกเขาก็จะไม่มีส่วนได้ในผลประโยชน์นั้นแล้ว


ใช่แล้ว! พวกสวีถังหรานเกิดความคิดขึ้นในใจ ยังมีตำแหน่งของเซี่ยโห้วหลงเฉิงอีก…


เมื่อคนที่จับตาดูสถานการณ์มาถึง รองผู้บัญชาการหงก็ตะคอกใส่หน้าทันที “พวกเจ้าห้าคนช่างเป็นสุนัขใจกล้าจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะฆ่าพี่น้องตัวเองไปมากมายขนาดนี้”


“ใจกล้าคับฟ้า! ข้าจะคอยดูว่าพวกเจ้าจะแก้ตัวยังไง!” รองผู้บัญชาการซุนกล่าว


“ดีกว่าพวกเจ้าสองคนที่หนีเอาตัวรอดโดยไม่สนใจความเป็นความตายของผู้บัญชาการโค่วหรอกน่า?” เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ


“บังอาจ!” รองผู้บัญชาการหงโบกทวนชี้มา “ยังจะกล้าเถียงข้างๆ คูๆ!”


เหมียวอี้เถียงว่า “เจ้าเองก็ไม่ต้องมาขู่ข้าหรอก รองผู้บัญชาการทั้งสองเห็นข้าศึกเก่งแล้วหนีคือเรื่องจริง! แต่มาพูดเรื่องนี้ในตอนนี้ก็ไม่มีความหมาย พวกเราห้าคนรู้กำลังตัวเองดีว่าสู้รองผู้บัญชาการทั้งสองไม่ไหว ยินดีจะยกผลงานใหญ่ให้! กลับไปขอเพียงผู้บัญชาการโค่วได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ เซี่ยโห้วหลงเฉิงย่อมรักษาตำแหน่งตัวเองไว้ไม่ได้อยู่แล้ว ตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกและตะวันออกก็จะกลายเป็นของรองผู้บัญชาการทั้งสองพอดี ขอแค่ทั้งสองใจกว้างไม่ถือสาพวกเราสักครั้ง ถ้าสู้กันขึ้นมาจริงๆ ทวนในมือของหนิวก็ไม่ใช่เล่นๆ ถึงตอนนั้นต่อให้พวกเราห้าคนหนีรอดไปได้ไม่หมด แต่หนีไปได้สักคนสองคนก็ไม่ใช่ปัญหา ทุกคนก็อย่าคิดจะได้รีบผลดีอะไรเลย!”


คำพูดนี้ตรงกับเจตนาของทั้งสองพอดี แต่รองผู้บัญชาการซุนยังคงแสยะยิ้มถาม “ถ้าปล่อยพวกเจ้าไปตอนนี้ แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าต่อไปพวกเจ้าจะไม่พูดจาเหลวไหล?”


สวีถังหรานตอบว่า “ทุกคนไม่มีใครก้นสะอาด พวกเราพูดไปก็ไม่เกิดผลดีอะไรกับพวกเรา แต่จะว่าไปแล้ว หลังจากรองผู้บัญชาการทั้งสองได้ขึ้นนั่งตำแหน่งสูง พวกตำแหน่งดีๆ ใต้บังคับบัญชา หวังว่าจะพิจารณาพวกเราห้าคนก่อน”


รองผู้บัญชาการทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง รองผู้บัญชาการซุนถ่ายทอดเสียงตอบ “พี่หง การแลกเปลี่ยนนี้ควรจะทำ เดี๋ยวต่อไปตราบใดที่ห้าคนนี้มาอยู่ในมือพวกเรา ย่อมหาทางปิดปากได้อยู่แล้ว”


รองผู้บัญชาการหงได้ยินแล้วพยักหน้าเล็กน้อย กวาดสายตามองทั้งห้าแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “ก็ได้! ไหนๆ ทุกคนก็ออกมาทุ่มเททำงานสุดความสามารถ ฝนย่อมตกทั่วฟ้า ตกลงตามนี้แล้วกัน หลังจากจบเรื่องพวกเราไม่ทำให้พวกเจ้าเสียเปรียบแน่!” ยื่นมือสั่ง “เอาธงดำมา!”


เหมียวอี้หันกลับมาส่งสายตา แล้วยื่นมือออกมารับธงดำจากสวีถังหราน นำทั้งสี่เหาะไปหารองผู้บัญชาการทั้งสอง


ขณะกำลังเข้ามาใกล้ รองผู้บัญชาการซุนเหลือบมองทวนวิเศษผลึกแดงในมือเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนหยุด “หยุดก่อน! โยนเข้ามา!”


เหมียวอี้อึ้งนิดหน่อย แต่ก็ยังแบมือ ปล่อยให้ธงดำลอยเข้าไป


พวกสวีถังหรานที่อยู่ทางซ้ายและขวากลับอดไม่ได้ที่จะมองธงดำที่ลอยออกไป เพราะพบว่าภายใต้ธงดำผืนนั้นมีของเพิ่มเข้ามา ดูเป็นทรงกลม ไม่รู้ว่ามีลูกเล่นอะไร แต่ในใจทุกคนก็รู้ดี มีลับลมคมใน!


…………………………



บทที่ 978 เกือบโดนรมควันตาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อธงดำมาถึง รองผู้บัญชาการหงก็ยื่นมือเข้ามาจับ แต่ใครจะไปคาดคิดว่าในตอนนี้ ปั้ง! ธงดำพลันระเบิดหมอกหนาสีขาวออกมา


ทั้งสองตกใจทันที จิตใต้สำนึกบอกว่ามีกับดัก รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ออกมาเป็นฉากกำบัง ป้องกันร่างกายเอาไว้


แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน เหมียวอี้ก็ถ่ายทอดเสียงอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ลงมือ!”


เขาเองก็ถือทวนพุ่งเข้าไปเช่นกัน สองคนที่อยู่ทางซ้ายและขวารีบโอบล้อมเข้ามา ขณะที่ทั้งห้าพุ่งเข้ามาในหมอก รองผู้บัญชาการหงก็ถ่ายทอดเสียงมาอย่างเดือดดาล “บังอาจลอบกัด รนหาที่!”


เห็นเพียงหมอกขาวที่ตลบอบอวลโดนพลังอิทธิฤทธิ์ตีกวนจนหมุนขึ้นหมุนลง หมอกกินพื้นที่ในวงกว้าง พลังอิทธิฤทธิ์ไม่สามารถทำลายทิ้งได้ในเวลาสั้นๆ พอผลักไปข้างหน้า ข้างหลังก็มีมาอีก พื้นที่ว่างมีแค่ตรงนี้ ทำได้เพียงกวนให้หมอกเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปต่างๆ นาๆ ข้างนอกมองเห็นไม่ชัดว่าสภาพภายในเป็นอย่างไรกันแน่ ได้ยินเพียงเสียงต่อสู้ที่ดุเดือดสะเทือนเลือนลั่น


ภายใต้สถานการณ์ที่สายตามองไม่เห็น เป็นเวลาที่เหมียวอี้ถนัดที่สุด ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เหล่าไป๋พยายามฝึกสอนอย่างสุดความสามารถ เป็นหนึ่งในต้นทุนที่ทำให้เหมียวอี้ออกมาเผชิญโลกกว้างจนถึงทุกวันนี้!


เสียงกรีดร้องของรองผู้บัญชาการหงกับรองผู้บัญชาการซุนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตกลงจากหมอกหนาบนฟ้าตามๆ กัน โดนทวนแทงทะลุกบาลทั้งคู่ ตกลงในหินหลอมเหลวข้างล่าง ลุกไหม้เป็นเปลวเพลิงสองกอง


ทว่าสิ่งที่ทำให้สวีถังหรานตกใจก็คือ ทำไมมีเสียงกรีดร้องปู้เหลียนจงกับลั่วว่านก่วงด้วยล่ะ!


เสียงต่อสู้ยังคงดังต่อไป สวีถังหรานพบความไม่ชอบมาพากลทันที สังเกตได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาตกใจจนใจสั่น ความคิดแรกที่แวบเข้ามาคือรีบหนีให้เร็วที่สุด หนีออกจากทะเลหมอกอย่างบ้าคลั่ง หนีขึ้นไปบนฟ้าเหนือทะเลหมอก พอหลุดออกจากทะเลหมอกแล้ว เขาก็รักษาะยะห่างที่ปลอดภัย แล้วจ้องลงไปข้างล่างอย่างสงสัยปนตกใจ


“อา…” ขณะเดียวกัน เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นอีก


เมฆหมอกโดนกระตุ้นด้วยไอร้อนข้างล่าง ทำให้ระเหยอย่างรวดเร็ว สวีถังหรานที่อยู่บนฟ้าเห็นรางๆ ว่าหัวทวนของเหมียวอี้กำลังปาดร่างข่งเฟยฝาน หัวทวนแทงทะลุหัวใจของข่งเฟยฝาน เห็นนิ้วสั่นๆ ของข่งเฟยฝานกำลังชี้ไปที่เหมียวอี้ แต่กลับโดนเท้าของเหมียวอี้ถีบจนตกลงไปในหินหลอมเหลวที่แดงฉาน


ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้เงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้า พร้อมพึมพำในใจว่า ไอ้เวรนี่ไหวตัวเร็วจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยให้หนีไปด้วย ทั้งสองวรยุทธ์ต่างกันไม่เท่าไร อีกฝ่ายรักษาระยะห่างที่ปลอดภัย ถ้าอยากจะตามให้ทันคงเป็นไปไม่ได้ จึงตะโกนขึ้นฟ้าเสียงดังทันทีว่า “พี่สวี ทำไมไปอยู่ไกลขนาดนั้นล่ะ?”


รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว ยังจะถามหาแม่เจ้าเหรอ! สวีถังหรานชี้ลงมาข้าง พร้อมตะโกนอย่างเดือดดาล “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้ามันเลวนัก จะฆ่าให้หมดเลยล่ะสิ!”


เหมียวอี้ค่อยๆ ลอยขึ้นไปข้างบน “พี่สวีเข้าใจผิดแล้ว เขตเมืองตะวันออกกับตะวันตกมีแค่สองตำแหน่ง ข้าคิดเผื่อพี่สวีนะเนี่ย กำจัดภัยแฝงทิ้งไปก่อนสามคน ตอนนี้ก็ไม่มีใครมาแย่งตำแหน่งของเราแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครปล่อยข่าวด้วย มีแค่สวรรค์รู้ เจ้ารู้ ข้ารู้ แบบนี้ไม่งดงามหรอกเหรอ!”


งดงามบ้าอะไรเล่า! ถ้าไม่เพราะข้าหนีได้ไว ป่านนี้คงโดนเผากลายเป็นถ่านไปแล้ว! สวีถังหรานชี้ลงมา “หยุดนะ! อย่าเข้ามาใกล้!”


ทั้งสองต่างก็ไม่ใช่คนดีอะไร และไม่ใช่หนุ่มน้อยที่อ่อนต่อโลกด้วย คำพูดนี้หลอกลวงเขาไม่ได้หรอก


เขารีบลอยขึ้นฟ้า พยายามรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยเหมียวอี้เอาไว้ เมื่อเจอกับคนหนังเหนียวที่จิตใจโหดเหี้ยมทั้งยังมากแผนการแบบนี้ เขาก็เริ่มจะกลัวแล้ว เมื่อเห็นเหมียวอี้เข้าใกล้ก็ขนลุกทันที ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องยังไม่จบ เลยกลัวจะอธิบายลำบาก เขาคงจะหนีไปก่อนแล้ว


ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลังแล้ว ไปมีเรื่องกับคนประเภทนี้ ทำให้กังวลเรื่องความเป็นความตายได้ตลอดเวลา


เดิมทีคิดว่าคนที่มาใหม่อย่างเหมียวอี้จะรับมือได้ง่าย ยามปกติดูเหมือนเข้ากับคนง่ายมาก เหมือนไม่เข้าใจแม้กระทั่งกฎบางอย่างของตำหนักสวรรค์ ใครจะคิดว่าไม่ใช่พวกอ่อนหัดเลย บทจะเลวก็เลวได้ บทจะโหดก็โหดได้ คุ้นเคยกับการแย่งอำนาจชิงผลประโยชน์มาก ไม่เหมือนคนที่เพิ่งเข้าตำหนักสวรรค์ได้ไม่นาน ไอ้เวรนี่มันเป็นเสือที่คลุมหนังหมูมาตลอด!


“พี่สวีเข้าใจข้าผิดแล้วจริงๆ!” เหมียวอี้ถอนหายใจ เหมือนเห็นอีกฝ่ายมีจิตใจที่ระแวดระวัง ไม่มีทางเข้าใกล้ได้ ทำได้เพียงล้มเลิกแผนการที่จะปะทะตรงๆ เตรียมจะใช้อีกวิธีการทำให้อีกฝ่ายตาย


เพื่อที่จะทำให้อีกฝ่ายสงบใจ เพื่อให้สถานการณ์มั่นคงก่อน ไม่ให้อีกฝ่ายถึงขั้นตกใจหนีไป เหมียวอี้ถลันตัวลงไปที่ภูเขาด้านล่าง ลงไปอยู่ข้างกายเฮยหวังที่กำลังปล่อยควันดำและตัวสั่นเทิ้มอยู่ในความทรมาน


เฮยหวังที่ได้ได้ดูละครเด็ดๆ ไปกล่าวเสียงสั่นว่า “ช่วยข้า… ข้าจะสอนเจ้า… หลอมสร้าง ‘ธงเรียกวิญญาณ’!”


ธงเรียกวิญญาณ? เหมียวอี้ตะลึงงัน พลิกมือคว้าธงดำที่เก็บได้ออกมา ถามว่า “นี่คือธงเรียกวิญญาณเหรอ?”


“ใช่!” เฮยหวังพ่นออกมาคำเดียวอย่างยากลำบาก แล้วถามเสียงสั่นต่อไปว่า “ธงนี้คือความสำเร็จขั้นแรก…หลังจากสำเร็จครั้งแรก…สามารถกำหนดความเป็นความตายของคน… อย่างไม่รู้ตัว… วิชาที่ถ่ายทอดมาจาก ‘เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง’ … สำเร็จครั้งยิ่งใหญ่… อานุภาพไร้ขอบเขต… ช่วยข้า!”


เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง? เคล็ดวิชาที่ปราชญ์ผีซือถูเซี่ยวฝึก หนึ่งในหกเคล็ดวิชาพิเศษ? เหมียวอี้ตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าในหกเคล็ดวิชาพิเศษจะแฝงวิชาหลอมสร้างหลอมของวิเศษไว้ด้วย!


พอได้ยินแบบนี้ เขาก็อยากจะเก็บนักพรตผีตนนี้ไว้จริงๆ แต่พอเงยหน้ามองสวีถังหรานที่กำลังมองตนจากบนฟ้าไกลๆ ในใจก็เบื่อหน่าย ถ้ายังกำจัดเจ้าบ้านั่นไม่ได้ แล้วเขาจะปล่อยนักพรตผีตนนี้ไปได้อย่างไร


เขามองไปรอบๆ แล้วถามว่า “เจ้าทำผิดกฎสวรรค์ ไม่ไปซ่อนตัวในที่ที่ไร้คนเอง มีอย่างที่ไหนมาโอ้อวดตัวเองอยู่ที่นี่?”


“ควันแห่งไฟนรก… หลอมของวิเศษ!” เฮยหวังกล่าว


เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็มองไปรอบๆ อีกครั้ง มองดูธงดำในมือ แล้วมองควันดำที่ลอยออกมาจากภูเขาไฟที่อยู่รอบๆ ทำให้เขาเข้าใจในทันที สงสัยนักพรตผีตนนี้จะหลบอยู่ที่นี่เพื่อหลอมของวิเศษ มิน่าล่ะ!


“หนิวโหย่วเต๋อ! ยังไม่รีบปล่อยท่านผู้บัญชาการออกมาอีก!” สวีถังหรานที่อยู่บนฟ้าพลันตะโกนเสียงดัง


เหมียวอี้เงยหน้า พบว่าเจ้าชาติสุนัขนี่วางแผนเก่งจริงๆ ถ้าปล่อยโค่วเหวินหลานออกมา แบบนั้นเหมียวอี้ก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้ลงมือกับเขา


“น้องหนิว เจ้าบอกไม่ใช่เหรอว่าไม่ได้มีเจตนาร้ายกับข้า? ถ้าเจ้ามีความจริงใจ ก็รีบปล่อยท่านผู้บัญชาการออกมา!” สวีถังหรานตะโกนอีก


ฝันไปเถอะ! ก่อนหน้านี้ยังรวมหัวกันจะเล่นงานข้าให้ถึงตาย ตอนนี้ยังคิดว่าจะรอดอยู่อีกเหรอ! เหมียวอี้พึมพำในใจ แล้วเหลียวซ้ายแลขวาอีกครั้ง ครุ่นคิดว่ามีวิธีการอะไรที่พอจะกำจัดสวีถังหรานได้


ผ่านไปครู่เดียว ในใจก็เกิดความคิดบางอย่าง เขาหลบให้พ้นหูพ้นตาของสวีถังหรานก่อน แอบปล่อยตั๊กแตนออกมาโอบล้อม ตัดทางหนีทีไล่ สกัดเขาไว้ครู่เดียว ก็จะสามารถฆ่าได้!


เหมียวอี้เพิ่งจะตัดสินใจที่จะทำเรื่องนี้ ตอนที่กำลังจะทำตามแผน ใครจะคิดว่าธงดำบนมือจะร้อนผ่าวขึ้นมากะทันหัน


มันเรื่องอะไรกัน? เหมียวอี้ตกใจไปชั่วขณะ ยังไม่ทันรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ธงดำก็เกิดเสียงวูบ จู่ๆ ก็มีไฟลุกออกจาฝ่ามือเขา ชั่วพริบตาเดียวก็มีแสงสีขาวจ้าตายิงออกมาจากแสงไฟ


สวีถังหรานที่อยู่บนฟ้าจ้องลงมาด้านล่างอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าคืออะไร


บึ้ม! ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังขึ้น สะเทือนจนเหมียวอี้แขนชา ธงดำหายไปในชั่วพริบตาเดียว ระเบิดออกเป็นควันดำไม่รู้จักจบสิ้น แล้วลอยขึ้นด้านบน


เหมียวอี้ที่โบกแขนบังตาเงยหน้าขึ้นไปอีกครั้ง เห็นแสงสีขาวที่แสบตาสี่สายกำลังยิงไปทั่วทุกทิศ โดยมีร่างคนคนหนึ่งเป็นจุดศูนย์กลาง


มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวเหมียวอี้ โค่วเหวินหลานพังของวิเศษออกมาแล้ว!


“แค่กๆ!” เสียงไออย่างหนักหน่วงของคนสองคนดังมา ไอเหมือนปอดจะฉีก


เหมียวอี้รีบร่ายอิทธิฤทธิ์โบกควันดำตรงหน้าออก เห็นเพียงเซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานกลายสภาพเป็นครึ่งผีครึ่งคนแล้ว ถูกรมควันจนดำไปทั้งตัว เซไปเซมาและไออย่างรุนแรง ราวกับปีนออกมาจากปล่องไฟ


เหมียวอี้มองดูตัวเอง พบว่าตัวเองก็โดนควันระเบิดรมจนตัวดำเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าควันผีนี่จะฝ่าทะลุเกราะพลังอิทธิฤทธิ์มาได้ ขนาดร่ายอิทธิฤทธิ์ป้องกันก็ยังเอาไม่อยู่


เมื่อเห็นเหมียวอี้ที่อยู่ข้างๆ โค่วเหวินหลานก็โล่งใจ รัศมีสีขาวสี่สายบนตัวหายไปอย่างรวดเร็ว กระแทกก้นนั่งบนพื้น ไอพลางหอบหายใจเฮือกใหญ่


เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็นั่งลงเช่นกัน ขณะที่ไอก็บ่นว่า “บรรพบุรุษเอ๊ย ในที่สุดก็ได้ออกมาแล้ว แค่กๆ นี่มันของผีอะไร เกือบจะโดนรมควันเป็นเนื้อแห้งแล้ว! ไอ้ตุ้งติ้ง โชคดีนะที่เจ้าก็เข้าไปเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นข้าต้องตายอยู่ข้างในแน่ๆ แค่กๆ…”


โค่วเหวินหลานโบกมือ อยากจะพูดอะไรแต่หอบหายใจไม่ทัน คว้าผ้าเช็ดหน้าออกมา ปิดปากปิดจมูกไออยู่พักหนึ่ง สักประเดี๋ยวพอเห็นว่าผ้าเช็ดหน้าสกปรกแล้ว เขาก็โยนมันทิ้งไป


ควันดำลอยขึ้นฟ้าไม่จบไม่สิ้น สวีถังหรานปรากฎตัวในเวลาที่เหมาะสม ถลันตัวไปตรงหน้าโค่วเหวินหลาน แล้วกุมหมัดคารวะอย่างตื้นตันใจ “ท่านผู้บัญชาการ ในที่สุดท่านก็ออกมาแล้ว ข้าน้อยสองคนกำลังพยายามหาทางช่วยเหลือ นึกไม่ถึงว่าท่านผู้บัญชาการจะหลุดออกมาได้เอง!”


เหมียวอี้เหล่ตาจ้องเขา อยากจะฉวยโอกาสแทงเขาให้ตายจริงๆ!


“เจ้าก็อยู่เหรอ!” โค่วเหวินหลานพยักหน้า หอบหายใจเฮือกใหญ่ แล้วบอกว่า “คนอื่นล่ะ?”


สวีถังหรานตอบด้วยสีหน้าเศร้าโศก “ตอบผู้บัญชาการ เพื่อที่จะช่วยผู้บัญชาการ พวกเขาหลั่งเลือดสู้รบไม่ยอมถอย ตายหมดแล้วขอรับ!”


เหมียวอี้ยืนมองเขาแสดงละครอยู่ข้างๆ


“ตายหมดแล้วเหรอ!” โค่วเหวินหลานตะลึงงัน แล้วก็เริ่มไออีก ถามอีกว่า “เฮยหวังหนีไปไหนแล้ว?”


สวีถังหรานตอบว่า “ไม่ได้หนีขอรับ หลังจากทุกคนร่วมมือกันโจมตีจนเขาสาหัส ข้าน้อยทั้งสองก็เสี่ยงชีวิตไปจับไว้ นายท่านเชิญหันกลับไปมอง!” ขณะที่พูดก็ชี้ไปข้างหลังโค่วเหวินหลาน


โค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงพลันหันกลับไปมอง เห็นเฮยหวังโดนมัดจริงๆ ด้วย


“เป็นข้าที่จับได้!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถลึงตาโพลง กระโจนเข้าไป เจ้าบ้านี่หน้าด้านหน้าทนสุดๆ


แต่จนใจที่อ่อนล้าหมดกำลัง ตอนที่โค่วเหวินหลานตะโกนว่า “ขวางเขาไว้” แล้วไออีกครั้ง สวีถังหรานก็ถลันตัวเข้าไปแล้ว แย่งตัวเฮยหวังมาไว้ในมือ


เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ตัวดำเกรียมนอนอยู่บนพื้นชี้เข้ามา “กล้าแย่งของของปู่เหรอ เจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ รีบส่งมาเดี๋ยวนี้ แล้วปู่จะไว้ชีวิตเจ้า!”


ปรากฏว่าสวีถังหรานถือดาบในแนวนอน ฟันเฮยหวังจนกรีดร้องออกมา ก่อนจะกลายเป็นควันดำสลายหายไป


ยาเจี๋ยตันขั้นสี่หนึ่งเม็ดกับกับเชือกมัดเซียนตกอยู่ในมือสวีถังหรานแล้ว


โค่วเหวินหลานใช้ฝ่ามือตบต้นขา ถลึงตามองสวีถังหรานอย่างเสียดาย “เจ้าฆ่าเขาทำไม ถ้าจับกลับไปสอบสวนอาจจะได้เรื่องอะไรบ้างก็ได้ ท่านแม่ทัพยังอยากจะถามที่อยู่ของปีศาจจิ้งจอกพันหน้าจากปากเขา เฮ้อ!”


“ข้าน้อยบุ่มบ่าม!” สวีถังหรานรีบกุมหมัดคารวะ ทำสีหน้าหวาดกลัวกังวล แต่ดวงตากลับเหลือบมองเหมียวอี้เงียบๆ


เหมียวอี้รู้ดีอยู่แก่ใจ ที่จริงต่อให้สวีถังหรานไม่ลงมือ เขาก็จะลงมือเหมือนกัน เฮยหวังได้เห็นเรื่องที่ไม่ควรเห็นเยอะเกินไป ถ้าปล่อยให้รอดไปจะเป็นการสร้างปัญหาให้ตน


“ช่างเถอะ! มีเม็ดยาหยินนี่ก็นำกลับไปรายงานผลงานได้แล้ว!” โค่วเหวินหลานยื่นมือหยิบมา แล้วเก็บเข้าในกำไลเก็บสมบัติโดยตรง


“ไอ้ตุ้งติ้ง เจ้ากล้าแย่งของของข้าเหรอ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงตะคอกอย่างโมโห แล้วกระโจนเข้ามาหมายจะแย่ง


โค่วเหวินหลานเบี่ยงตัวหลบ แล้วถือโอกาสคว้าแขนสวีถังหราน อาศัยให้สวีถังหรานช่วยพยุง พอโซซัดโซเซยืนขึ้นมาได้ ก็หันกลับไปเตะเซี่ยโห้วหลงเฉิงหนึ่งที จากนั้นชี้ที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงซ้ำๆ


คำว่า ‘ซ้อมมันให้ข้า’ ยังไม่ทันเอ่ยออกจากปาก เหมียวอี้ก็แววตาวูบไหว รีบเหาะออกไปทันที


“หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าจะไปไหน?” โค่วเหวินหลานตะคอกถาม


“ข้าน้อยจะไปเก็บของที่พวกเพื่อนร่วมงานทิ้งไว้ ถึงอย่างไรพวกเขาก็สู้จนตัวตายเพื่อท่านผู้บัญชาการ!” เหมียวอี้ตอบด้วยสีหน้าเจ็บปวด


พูดจาเหมือนแบกภาระหนักอึ้ง ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าการเก็บสมบัติของคนตายเกี่ยวอะไรกับการที่พวกเขาสู้รบจนตายเพื่อตน สรุปก็คือคิดว่าเป็นสิ่งที่สมควรจริงๆ! โค่วเหวินหลานโบกมือ อนุญาตให้เขาไปได้ แล้วหันกลับมาสั่งสวีถังหราน “ซ้อม! ซ้อมให้ข้าดู! ซ้อมไอ้หมีควายหน้าด้านนี่ให้หนักๆ!”


สวีถังหรานทำสีหน้าขื่นขม แทบจะร้องไห้ออกมา ล้อเล่นอะไรกัน ถ้าตัวเองซ้อมขึ้นมาจริงๆ ก็แปลว่าจะได้ผูกความแค้นอันใหญ่หลวง เดี๋ยวต่อไปเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะไม่คิดหาทางเล่นงานตนจนถึงตายหรอกเหรอ


พอหันกลับไปมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ก็เห็นเหมียวอี้กำลังก้มหน้าค้นหาในหินหลอมเหลวข้างล่าง โยนพวกเกราะรบ กำไลเก็บสมบัติขึ้นมาเป็นระยะ ราวกับใอเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เลย สวีถังหรานด่าในใจ หนีไหวจริงๆ นะ!


“ไอ้ตุ้งติ้ง! เจ้ากล้าเหรอ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงตะคอก แล้วต้องการจะลุกขึ้นมา


โค่วเหวินหลานเตะเขาล้มคว่ำอีกครั้ง แล้วหันมาตะคอก “แม้แต่คำพูดของข้า เจ้าก็ไม่เชื่อฟังแล้วเหรอ?”


…………………………



บทที่ 979 ร่ำรวยใหญ่แล้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

เป็นเพราะร่างกายอ่อนแอเกินไป ตอนอยู่ในธงดำแทบจะสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ไปหมด ตบตีกับใครไม่ไหวแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะลงมือจัดการด้วยตัวเอง ไม่ต้องสั่งให้คนอื่นทำแทนหรอก


เพียงแต่สวีถังหรานที่โดนกดดันเกิดความคิดอยากจะตายแล้ว นึกเสียเสียใจทีหลังว่าตัวเองจะรีบวิ่งออกมาเร็วขนาดนี้ทำไม ดูสิว่าหนิวโหย่วเต๋อเจ้าเล่ห์ขนาดไหน แค่ทิศทางลมผิดปกตินิดหน่อยก็เผ่นแล้ว


เขาเองก็อยากจะหนี แต่โค่วเหวินหลานยังโซซัดโซเซยืนได้ไม่ตรง คงไม่ดีที่เขาจะทิ้งโค่วเหวินหลานแล้วหนีไป ทำได้เพียง… ทำได้เพียงยื่นปลายเท้าไปสะกิดบนตัวเซี่ยโห้วหลงเฉิงเบาๆ


เซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานถลึงตาจ้องเขาพร้อมกัน ทั้งคู่ทำสีหน้าเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ!


“ไอ้ชาติหมา เจ้ากล้าทำร้ายข้าเหรอ?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงตะคอกถาม


สวีถังหรานอยากจะถามเขามาก เจ้ามันโง่เหมือนหมู่! เจ้าดูไม่ออกเหรอ? แบบนี้เรียกว่าทำร้ายรึไง?


“สวีถังหราน ผู้บัญชาการคนนี้สั่งให้เจ้าซ้อมมัน ไม่ได้ให้เจ้าเกาให้มันคัน!” โค่วเหวินหลานตวาด


ทำตัวไม่ถูกแล้ว! สวีถังหรานอยากจะร้องไห้จริงๆ ในใจรู้สึกอึดอัดมาก ตุ้บ! เตะออกไปแรงๆ หนึ่งที


“อา…” เซี่ยโห้วหลงเฉิงร้องโอดโอย โดนเตะจนกระเด็นตกกระแทกพื้น


“หึหึ!” โค่วเหวินหลานหัวเราะเยาะ ใช้มือข้างหนึ่งผลักสวีถังหรานออกไป ส่วนตัวเองก็นั่งลงบนพื้น แล้วชี้ไปที่เซี่ยโห้วหลงเฉิง “ซ้อมต่อไป! ข้าจะรับผิดชอบให้เจ้าทุกเรื่อง เจ้าไม่ต้องกลัว ซ้อมให้หนักๆ!” เขาทำท่าชื่นชมมาก


จะตีครั้งเดียวหรือจะตีหลายครั้งก็เป็นการล่วงเกินเหมือนกัน ตอนนี้ทำได้เพียงกอดขาโค่วเหวินหลานไว้แน่นๆ สวีถังหรานตัดสินใจแน่วแน่ พอเดินเข้าไปก็เรียกได้ว่าซ้อมอย่างบ้าคลั่ง ซ้อมจนเซี่ยโห้วหลงเฉิงร้องโอดโอย โวยวายว่าจะเล่นงานสวีถังหรานให้ถึงตาย


ว่ากันตามจริง ในเมื่อซ้อมไปแล้ว สวีถังหรานก็อยากจะซ้อมให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงตายไปเสียเลย แต่โค่วเหวินหลานไม่ได้ออกคำสั่ง เขาเองก็ไม่กล้าซ้อมจนเซี่ยโห้วหลงเฉิงตาย ถึงอย่างไรหากเกิดเรื่องก็ยังต้องให้โค่วเหวินหลานออกหน้ารับผิดชอบให้ ถ้าโค่วเหวินหลานไม่รับผิดชอบให้ หากเขาซ้อมจนเซี่ยโห้วหลงเฉิงตายจริงๆ แบบนั้นเขาก็ต้องตายสถานเดียว อำนาจที่หนุนหลังเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ใช่สิ่งที่เขาจะต้านทานไหว


เหมียวอี้ที่ค้นหาสมบัติของเพื่อนร่วมงานอยู่ข้างหลังเอบเงยหน้ามองขึ้นมาข้างบน ในใจรู้สึกขำมาก ที่จริงเขาก็อยากจะไปซ้อมเซี่ยโห้วหลงเฉิงสักยก ถึงอย่างไรเขาก็ล่วงเกินเซี่ยโห้วหลงเฉิงไปรุนแรงมากแล้ว ไม่ถือสาที่จะล่วงเกินเพิ่มอีกสักครั้ง


แต่จะว่าไปแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ชัดเจนมาก โค่วเหวินหลานเองก็ไม่กล้าทำเซี่ยโห้วหลงเฉิงเหมือนกัน ในเมื่อทำให้ตายไม่ได้ ถ้าให้เขาเอาแต่ล่วงเกินเซี่ยโห้วหลงเฉิงอยู่คนเดียว จะไม่เป็นการกดดันให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงยอมแลกทุกอย่างมาสู้ตายกับเขาเหรอ ให้สวีถังหรานช่วยแบ่งเบาความแค้นไปสักหน่อยจะดีกว่า การที่สวีถังหรานซ้อมครั้งนี้ กอปรกับสร้างผลงานกำจัดเฮยหวังให้โค่วเหวินหลาน เมื่อกลับไปแล้ว คาดว่าคนแรกที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงคิดถึงคงจะเป็นคือสวีถังหราน บางทีอาจไม่ต้องให้เหมียวอี้มาปิดปาก เซี่ยโห้วหลงเฉิงอาจจะช่วยจัดการให้แทน


พื้นที่เล็กนิดเดียวแค่นี้ ไม่เกินความสามารถในการค้นหาด้วยพลังอิทธิฤทธิ์ ไม่นานก็เก็บเสร็จแล้ว แต่เขาก็ยังก้มหน้าหาต่อไป ข้างบนยังซ้อมไม่เสร็จ เขาก็จะแกล้งเก็บไม่เสร็จเหมือนกัน


สวีถังหรานเทียบกับเหมียวอี้ไม่ติด เหมียวอี้ยังมีทางหนีทีไล่ อย่างมากก็แค่ไปหลบที่พิภพเล็ก แต่สวีถังหรานไม่มีทางหนีทีไล่อะไร ตอนนี้ล่วงเกินเซี่ยโห้วหลงเฉิงเต็มที่แล้ว เขาทำได้เพียงกอดขาโค่วเหวินหลานเอาไว้ให้แน่น เพื่อที่จะทำให้โค่วเหวินหลานเบิกบานใจ เขาเริ่มลงมือรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ!


เมื่อเห็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงโดนซ้อมจนกระอักเลือดแล้ว โค่วเหวินหลานก็เอามือลูบจมูก แล้วบอกว่า “พอแล้ว! หยุดเถอะ!” เขาเองก็กังวลว่าจะซ้อมเซี่ยโห้วหลงเฉิงจนตาย


สวีถังหรานเชื่อฟังมาก หยุดมือทันที เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เลือดไหลออกมุมปาก หอบหายใจชี้ไปที่เขา พร้อมตะคอกด้วยสีหน้าดุร้าย “ไอ้ชาติหมา เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!”


สวีถังหรานได้ยินแล้วกลุ้มใจมาก  รีบไปวิ่งไปหาโค่วเหวินหลานแล้วประคองให้ลุกขึ้น ตั้งใจกอดขาประจบประแจง


โค่วเหวินหลานหันมองด้านล่าง “หนิวโหย่วเต๋อ เก็บเสร็จรึยัง?”


เหมียวอี้ถลันตัวกลับมาทันที ตอบว่า “ตอนแรกยังหาได้ไม่ครบขอรับ”


“ที่นี่ไม่เหมาะจะอยู่นาน หาไม่ครบก็ไม่ต้องหาแล้ว” โค่วเหวินหลานทนไม่ไหว ต่อสู้เข่นฆ่ากันแล้วมีคนตายถือเป็นเรื่องปกติมาก แสดงน้ำใจนิดหน่อยก็พอแล้ว เขาหันกลับไปแสยะยิ้มใส่เซี่ยโห้วหลงเฉิง “ไอ้หมีควายเน่า เจอกันที่ตลาดสวรรค์นะ!” กวักมือบอกใบ้ว่าจะไปแล้ว


“เฮยหวังเป็นของข้า!” ขณะที่มองดูสวีถังหรานประคองโค่วเหวินหลานเหาะออกไป เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ร้องโวยวาย รู้สึกไม่ยอมสุดๆ


เหมียวอี้ที่เหาะตามขึ้นมาทีหลังฉวยโอกาสตอนที่โค่วเหวินหลานกับสวีถังหรานไม่ได้สนใจ จู่ๆ ก็สะบัดมือโยนของสิ่งหนึ่งให้เซี่ยโห้วหลงเฉิง จากนั้นก็รีบเหาะตามขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว


เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ใช้แขนยันพื้นอึ้งไปชั่วขณะ ค่อยๆ ก้มหน้ามองใต้แขนตัวเอง เป็นสมุนไพรเซียนซิงหัวหนึ่งต้น!


เหมียวอี้แอบโยนสมุนไพรเซียนซิงหัวให้เขาลับหลังโค่วเหวินหลานเหรอ? เซี่ยโห้วหลงเฉิงคิดตามไม่ทันไปชั่วขณะ คิดไปคิดมาก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้เหมียวอี้ไม่ได้ซ้อมเขา…


เหมียวอี้ที่อยู่บนฟ้าก้มหน้ามองแวบหนึ่ง มองไปรอบๆ ภูเขาไฟด้านล่างที่ยังมีควันดำลอยออกมา ในใจรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ธงดำนั่นคือสมบัติล้ำค่านะ น่าเสียดายที่โดนโค่วเหวินหลานทำลายไปแล้ว


เมื่อเหาะมาถึงอวกาศ สวีถังหรานประคองโค่วเหวินหลานเหาะ ส่วนเหมียวอี้ก็ไล่ตามมาเหาะเบิกทางอยู่ข้างหน้า จงใจเผยแผลตรงเอวให้โค่วเหวินหลานเห็นอย่างแนบเนียน


ตั้งใจขนาดนี้ โค่วเหวินหลานย่อมเห็นบาดแผลที่เปื้อนเลือดสดตรงเกราะรบหลังเอวของเขาแล้ว


“แค่กๆ!” หลังจากสวีถังหรานเหลือบไปเห็น ก็ไอดังๆ ทีหนึ่ง พร้อมใช้มือกุมที่หน้าท้อง ดึงดูดความสนใจให้โค่วเหวินหลานหันกลับมามอง เห็นท้องตรงเกราะรบที่มีรอยแยกมีบาดแผลจนแทบจะมีไส้ไหลออกมา


โค่วเหวินหลานย่อมดูออกว่านี่คือบาดแผลที่เกือบทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต จะเห็นได้ว่าตอนหลังต่อสู้กันดุเดือดขนาดไหน ทุ่มเทกำลังสู้สุดชีวิตจริงๆ


เขารู้สึกทอดถอนใจอยู่บ้าง พาคนมาด้วยเยอะขนาดนี้ แต่เหลืออยู่แค่สองคน แถมทั้งคู่ยังบาดเจ็บด้วย นับว่าได้สัมผัส นับว่าได้ประสบการณ์ความยากลำบากของทหารสวรรค์ที่เฝ้ารักษาการณ์พื้นที่ต่างๆ แล้ว จึงถามทั้งสองว่า “หลังจากข้าโดนขัง ข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


ทั้งสองย่อมไม่บอกเรื่องที่ฆ่ากันเอง บอกเพียงว่าทุกคนร่วมแรงร่วมใจปะทะเดือดกับเฮยหวัง ถึงได้สยบเฮยหวังได้ ไม่ได้ช่วยพูดอะไรดีๆ ให้คนที่ตายไปแล้วสักเท่าไร ถึงอย่างไรคนที่ตายไปแล้วก็ไม่มีส่วนแบ่งในผลงาน


ตอนที่กลับถึงตลาดสวรรค์ที่ดาวเทียนหยวน ร่างกายของโค่วเหวินหลานก็ฟื้นตัวกลับมาแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้โค่วเหวินหลานสะอิดสะเอียนก็คือ ล้างสีดำที่ติดอยู่บนตัวไม่ออก ต่อให้ร่ายอิทธิฤทธิ์ก็กำจัดไม่ได้ เขาเป็นคนรักสะอาด จึงต้องคลุมหน้าเข้าเมือง


เหมียวอี้ยังดีหน่อย ล้างสีดำบนตัวสะอาดได้อย่างง่ายดาย เขาเดาว่าสาเหตุที่โค่วเหวินหลานดำจนดูไม่ได้แบบนี้ เกี่ยวข้องกับการที่โดนขังอยู่ในธงดำ เขาพบว่าคำว่า ‘เฮยหวัง[1]’ ช่างเป็นจริงตามชื่อ ดำจนโค่วเหวินหลานทนไม่ไหว


เมื่อกลับถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก โค่วเหวินหลานก็ไปรายงานผลงานที่ตำหนักคุ้มเมืองทันที เตรียมจะตักตวงผลงานให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน


ส่วนทางด้านนี้ โค่วเหวินหลานเพิ่งจะออกไป เหมียวอี้ก็เอ่ยเรียกทันที “พี่สวี!”


สวีถังหรานกลัวเขานิดหน่อย กังวลตลอดว่าเจ้าบ้านี่จะฆ่าปิดปากเขา เมื่อเห็นเหมียวอี้ค่อยๆ เข้ามาประชิด เขาก็ถอยหลังอย่างช้าๆ พร้อมบอกว่า “น้องหนิว ไม่ต้องห่วง เรื่องที่ไม่ควรพูดข้าจะไม่พูดสักคำ ถ้าพูดออกไปก็ไม่เกิดผลดีอะไรกับข้า”


เหมียวอี้เองก็ไม่อ้อมค้อม พูดตรงๆ เลยว่า “ข้าค่อนข้างสนใจเขตเมืองตะวันออก เจ้าไปที่เขตเมืองตะวันตกก็แล้วกัน” เขาต้องอยากหาทางคุ้มครองฝั่งอวิ๋นจือชิวอยู่แล้ว


ที่แท้ก็เรื่องนี้ สวีถังหรานโล่งใจ พยักหน้าบอกว่า “น้องหนิวทำผลงานได้เยอะ ย่อมต้องให้น้องหนิวเลือกก่อน”


เหมียวอี้เอามือไขว้หลังเดินออกมานอกโถง มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาอารมณ์ดีไม่เบา ถึงแม้การเดินทางครั้งนี้จำประสบอันตราย แต่หลังจากสู้รบกลับได้วางรากฐานที่มั่นคงให้ตัวเองที่ตลาดสวรรค์แล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด อีกไม่นานตนก็จะมีอำนาจตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในเขตพื้นที่นี้ พื้นที่หนึ่งในสี่ของตลาดสวรรค์อยู่ในมือตนแล้ว!


สวีถังหรานเดินมาข้างกายเขาแล้วยิ้มสู้ “น้องหนิว เมื่อครู่นี้เจ้าก็ได้ยินที่ผู้บัญชาการโค่วบอกแล้ว ความหมายของผู้บัญชาการโค่วก็คือ จะพิจารณาผลงานของเจ้ากับข้า สมบัติของพี่น้องที่สู้รบจนตาย ให้พวกเราสองคนแบ่งกัน เจ้าว่าพวกเรามาแบ่งกันตอนนี้เลยดีมั้ย?”


เหมียวอี้พยักหน้า “ก็ได้!” พลิกมือนำแหวนเก็บสมบัติออกมาวงหนึ่ง แล้วโยนดีดไปให้เขา


สวีถังหรานกระปรี้กระเปร่าทันที นับของที่อยู่ในแหวนอย่างเฝ้าคอย หลังจากนับเสร็จแล้ว ก็ถามอย่างหน้าดำคร่ำเครียดว่า “น้องหนิว เกรงว่าของของไม่ได้มีเท่านี้หรอกมั้ง?”


เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วตอบว่า “พี่สวี ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้นะ ผู้บัญชาการโค่วรีบกลับมารับผลงาน ข้าเลยหาได้ไม่ครบ ตอนนี้ก็หาได้เท่านี้แหละ ถ้าพี่สวีรังเกียจที่มันน้อยไป ก็กลับไปหาที่เขาโอนเอนอีกรอบก็ได้นะ แต่ข้าจะขอแนะนำพี่สวีสักคำว่า รักษาชีวิตไว้ได้ก็ไม่เลวแล้ว เกิดเป็นคนอย่าโลภเกินไปนัก!” ความหมายที่แฝงในคำพูดก็คือ ข้าไม่ฆ่าเจ้าทิ้งก็นับว่าเจ้าดวงชะตาแข็งแล้ว ยังคิดจะมาขอแบ่งจากข้าอีกเหรอ?


มารดาเจ้าเถอะ! สวีถังหรานแทบจะพ่นน้ำลายใส่หน้าเขา ข้างในมีอาวุธสิบกว่าชิ้นและเกราะรบสิบกว่าชิ้น ของอย่างอื่นน่าจะไม่มีแล้ว  มีมูลค่าเพียงไม่เท่าไร แถมเป็นเครื่องมือของตำหนักสวรรค์ นำออกมาขายก็ไม่สะดวก ต่อให้เจ้ายินดีขาย คนอื่นก็ไม่กล้ารับไว้!


ขนาดเขายังนับได้ว่าเหมียวอี้เก็บของไปเท่าไร ปกติในมือของทุกคนก็ไม่ได้มีสมบัติอะไรสักเท่าไร แต่ที่สำคัญคือเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ฉวยโอกาสปล้นมาจากร้านค้าที่อยู่ใกล้เคียง ทหารเลวทั้งเจ็ดได้ส่วนแบ่งไปคนละประมาณสามแสนล้านผลึกแดง รวมๆ แล้วก็สองล้านล้านกว่า ส่วนที่รองผู้บัญชาการทั้งสองได้ไปก็เท่ากับทั้งหมดที่ทหารเลวทั้งเจ็ดได้ไป ก็คือสองล้านล้านกว่า ทั้งยังมีของลูกน้องวรยุทธ์บงกชทองอีกยี่สิบกว่าคน ได้ส่วนแบ่งไปประมาณหนึ่งล้านล้าน


แค่นับของพวกนี้ก็ได้เกือบหกล้านล้านแล้ว นี่ยังไม่ได้นับรวมสมบัติเดิมของแต่ละคนเข้าไป สมบัติของลูกน้องเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะต้องตกอยู่ในมือเจ้าบ้านั่นเหมือนกัน ทั้งยังมีสมบัติของลูกสมุนเฮยหวังอีก ทวนผลึกแดงก็โดนเจ้าบ้านั่นฮุบไปแล้ว ดังนั้นแล้ว สมบัติที่เจ้าบ้านั่นได้ไปก็มีมูลค่าอย่างน้อยหกล้านล้านผลึกแดง แต่กลับแบ่งให้ตัวเองนิดหน่อย ทำเกินไปจริงๆ!


แต่กับเรื่องแบบนี้ เจ้าก็ไม่มีหลักฐาน ถ้าอีกฝ่ายซ่อนเอาไว้ แล้วยืนกรานว่าเก็บของได้ไม่เยอะ เจ้าจะกัดอีกฝ่ายไม่ปล่อยได้เหรอ? อีกฝ่ายบอกว่าเท่าไรก็ต้องเท่านั้นสิ ทั้งสองดันก้นไม่สะอาดด้วยกันทั้งคู่ เขาเองก็ไม่กล้าไปฟ้องขอความยุติธรรมจากโค่วเหวินหลาน ถ้าสู้กันขึ้นมาอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย


สมบัติที่มีมูลค่าหกล้านล้านผลึกแดงผลึกแดงเชียวนะ! สวีถังหรานรู้สึกเหมือนมีเลือดออกในใจ แต่ก็ทำอะไรเหมียวอี้ ไม่ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายยืนกรานว่าไม่มี แล้วเจ้าจะทำอะไรได้]jt? ต้องโทษที่ตอนนั้นตัวเองโง่เง่า นอกจากจะไม่ไปเก็บสมบัติแล้ว ยังจะไปล่วงเกินเซี่ยโห้วหลงเฉิงแบบเต็มที่อีก


สวีถังหรานโมโหจนอยากกระอักเลือด  เกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้ตาย กัดฟันมองดูเหมียวอี้เดินเอามือไขว้หลังลงบันไดไปอย่างช้าๆ!


เหมียวอี้เริงร่าราวกับมีดอกไม้เบ่งบานในใจ ครั้งนี้ร่ำรวยมหาศาลแล้วจริงๆ ส่วนของร้านขายของชำซื่อตรงที่เสียไป นับว่าตักตวงกลับมาได้แล้ว!


เดิมทีคิดจะไปหาอวิ๋นจือชิว แต่คิดไปคิดมาก็ช่างเถอะ กลัวว่าสวีถังหรานจะเล่นไม่ซื่อลับหลัง เขาต้องรอให้โค่วเหวินหลานกลับมาและทำเรื่องนี้ให้เป็นทำให้เป็นรูปธรรมก่อน


เขาจึงหลบคนและนำระฆังดารามาติดต่อกับอวิ๋นจือชิว บอกว่าตัวเองกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว แต่ตอนนี้ยังติดธุระกลับจึงไปไม่ได้


ระหว่างทางตอนที่บอกให้อวิ๋นจือชิวรู้ข่าว นางก็กำชับให้เขาระวังตัว ตอนนี้กลับมาแล้วบอกให้นางรู้ ก็นับว่าทำให้นางหายห่วงแล้ว


…………………………


[1] เฮยหวัง 黑王 หมายถึงราชาแห่งสีดำ



บทที่ 980 หมีควายอาละวาด

โดย

Ink Stone_Fantasy

วันต่อมา เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ตัวดำเมี่ยมก็กลับมาถึงแล้วเช่นกัน บุกตรงมาฟ้องร้องที่ตำหนักคุ้มเมือง!


ผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกและตะวันออกที่ตัวดำขลับสองคนกำลังเถียงกันอยู่ในตำหนักคุ้มเมือง


“เขายุยงให้สวีถังหรานลูกน้องตัวเองมาลามปามทำร้ายร่างกายข้าน้อย!”


“ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว อย่าพูดจาเหลวไหลแบบตาไม่กะพริบสิ ต่อให้สวีถังหรานใจกล้ากว่านี้ร้อยเท่าก็ไม่กล้าแตะต้องเจ้า คำใส่ร้ายป้ายสีใครๆ ก็พูดได้ หลักฐาน! เจ้าต้องเอาหลักฐานออกมา!”


ผู้ชายสองคนที่ดำไปทั้งตัวจนเห็นแค่ฟันกับลูกตา ขณะที่มองดูพวกเขากำลังเถียงกันไม่หยุด ปี้เยว่ฮูหยินที่งดงามเย้ายวนกลั้นขำนิดหน่อย ฝืนกลั้นไว้ไม่ให้หัวเราะออกมา พอนางได้ยินแบบนั้น ก็ถามเซี่ยโห้วหลงเฉิงว่า “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว เจ้าบอกว่าผู้บัญชาการโค่วแย่งผลงานเจ้า ทั้งยังยุยงให้คนซ้อมเจ้าด้วยเหรอ มีหลักฐานมั้ย?”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงตอบอย่างคับแค้นใจว่า “ลูกน้องของข้าน้อยตายหมดแล้ว ไม่มีใครมาเป็นพยานให้ เพียงหวังว่าท่านแม่ทัพภาคจะตัดสินอย่างยุติธรรม!”


มีอะไรให้ตัดสินอย่างยุติธรรมอีกล่ะ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำร้ายร่างกาย ปี้เยว่ฮูหยินแสยะยิ้มถามว่า “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว ขนาดเจ้ายังบอกเลยว่าตัวเองเพิ่งต่อสู้เป็นครั้งแรก ลูกน้องตัวเองตายหมดแล้ว ทั้งยังโดนเฮยหวังจับขังก่อนอีก เจ้ายังกล้าบอกอีกเหรอว่าตัวเองเป็นคนจับเฮยหวัง คิดว่าฮูหยินเป็นคนโง่หรือไง?”


“…” เซี่ยโห้วหลงเฉิงอึกอัก ทำสีหน้าไม่ถูก


โค่วเหวินหลานส่ายหน้าอยู่ข้างๆ กุมหมัดกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ฮูหยินช่างมีสายตาเฉียบคมดุจกระจกใส!”


ปี้เยว่ฮูหยินเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง พบว่าบนตัวโค่วเหวินหลานมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย เขาเคารพเกรงใจนางขึ้นเยอะมาก ทำตัวสมกับอยู่ในตำแหน่งใต้บังคับบัญชา ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงมีการเปลี่ยนแปลง แต่อย่างน้อยก็ทำให้นางสบายใจ ในใจนางตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว!


ปรากฏว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงบ่นอีกว่า “ฮูหยิน แต่เรื่องที่เขายุยงลูกน้องคือเรื่องจริงนะ!”


“พอแล้ว! รอให้เจ้าหาหลักฐานเรื่องนี้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ!” ปี้เยว่ฮูหยินยืนขึ้นอย่างช้าๆ สายตาจ้องไปที่โค่วเหวินหลาน “โค่วเหวินหลาน! การลงโทษเฮยหวังครั้งนี้ เจ้าได้สร้างผลงานไว้ใหญ่หลวง! ฮูหยินคนนี้พูดคำไหนคำนั้น ข้าให้เวลาเจ้าสามวัน ส่งต่องานที่เขตเมืองตะวันออกให้ชัดเจน หลังจากนี้สามวันไปรับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ รักษาการณ์ตลาดสวรรค์!”


โค่วเหวินหลานโค้งกายทันที กุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยน้อมรับบัญชา!”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงยืนเอ๋ออยู่กับที่ เมื่อเห็นว่าปี้เยว่ฮูหยินหันตัวจะเดินออกไป ตัวเองยังอยากก้าวขึ้นไปพูดอะไรอีก แต่กลับถูกผู้การสองขวางไว้ ทำให้อกสั่นขวัญแขวนทันที ในหัวคิดอยู่อย่างเดียวว่า ไอ้ตุ้งติ้งกลายเป็นผู้บังคับบัญชาของข้าแล้ว!


ปกติผู้บัญชาการใหญ่คุมพวกเขาสองคนไม่ได้เลย ดังนั้นเวลาทั้งสองมีเรื่องอะไรก็จะมาหาปี้เยว่ฮูหยินโดยตรง ตอนนี้จบเห่แล้ว โค่วเหวินหลานเป็นผู้บัญชาการใหญ่แล้ว อีกฝ่ายต้องไม่เกรงใจเขาแน่นอน!


จู่ๆ โค่วเหวินหลานก็พบว่าตัวดำนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ในตอนนี้ เขาเหลือบมองเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่กำลังยืนเอ๋อแวบหนึ่ง แล้วเอามือไขว้หลังหันตัวเดินออกไป สีหน้าเยาะเย้ยยากที่จะปิดบังไว้ได้


เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เดินออกจากตำหนักยังคงอกสั่นขวัญแขวน เดินมาถึงประตูร้านค้าร้านหนึ่งแล้วเงยหน้า ถึงได้พบว่าตัวเองเดินมาถึงร้านค้าสมาคมวีรชนโดยไม่รู้ตัว


“ไปรายงานจวินโหรวหน่อย”


“ใคร?”


“ขนาดข้าเป็นใครเจ้ายังไม่รู้จักเลยเหรอ ข้าเซี่ยโห้วหลงเฉิง!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงแยกเขี้ยวยิงฟันตะคอกใส่คนงานร้านค้าสมาคมวีรชน


คนงานตกใจ ตอนนี้ถึงได้สังเกตเห็นว่าผีดำตัวนี้คือเซี่ยโห้วหลงเฉิงจริงๆ ทำไมกลายสภาพเป็นผีไปแล้วล่ะ? คนงานรีบไปรายงาน ผ่านไปครู่เดียวก็เชิญเขาเข้าไป


พอเห็นเซี่ยโห้วหลงเฉิง หวงฝู่จวินโหรวก็ตกใจเหมือนกัน “เซี่ยโห้ว ได้ยินว่าโค่วเหวินหลานก็ดำแล้วเหมือนกัน พวกเจ้าเป็นอะไรไป?”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงเหมือนจะค่อนข้างฮึกเหิม ใช้มือข้างหนึ่งคว้ามือหวงฝู่จวินโหรว “จวินโหรว ไปกับข้าเถอะ ออกไปจากที่นี่กับข้าเถอะ!”


“เซี่ยโห้วหลงเฉิง โปรดสำรวมด้วย!” หวงฝู่จวินโหรวออกแรงสะบัดมือออก ก้าวถอยหลังไปอยู่หลังโต๊ะหินอีกด้านหนึ่งแล้วขมวดคิ้ว สีหน้าหงุดหงิด


เซี่ยโห้วหลงเฉิงยิ้มเผยฟันขาวสดใส ยิ้มอย่างน่าเวทนาพร้อมบอกว่า “ข้าแพ้แล้ว จวินโหรว ข้าแพ้ไอ้ตุ้งติ้งแล้ว ไอ้ตุ้งติ้งกำลังจะกลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ มันต้องไม่ปล่อยข้าไปแน่นอน ต้องทำให้ข้าอับอายเป็นร้อยๆ อย่างแน่ ข้าอยู่ที่ดาวเทียนหยวนต่อไปไม่ได้แล้ว ข้าต้องออกไป! จวินโหรว ไปกับข้า แต่งงานกับข้าเถอะ!” เดินอ้อมโต๊ะตามเข้าไป


หวงฝู่จวินโหรวรีบอ้อมหนี อาศัยให้โต๊ะกั้นเขาไว้ตลอด พลางคิดในใจว่า ถ้าข้าสามารถติดตามเจ้าไปได้ตามอำเภอใจ ถ้าสามารถแต่งงานได้ตามอำเภอใจ โอกาสก็คงไม่วนไปถึงเจ้าอยู่ดี!


เมื่อไม่ได้คำตอบที่ตัวเองต้องการ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ผิดหวังมาก และโมโหมากเช่นกัน เดินออกจากร้านค้าสมาคมวีรชนพร้อมสีหน้าเศร้าโศกคับแค้น…


ในห้องด้านหลังของตำหนักพ่อบ้าน สวีถังหรานกำลังเอนกายนอนหลับตางีบอยู่บนเก้าอี้ บนใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มบางๆ เรื่องราวถูกกำหนดแล้ว โค่วเหวินหลานกำลังจะได้คุมทั้งตลาดสวรรค์ เจ้าตัวบอกเขาและเหมียวอี้ไว้ชัดเจนแล้ว เป็นอย่างที่ทั้งสองปรารถนา คนหนึ่งคุมเขตเมืองตะวันตก คนหนึ่งคุมเขตเมืองตะวันออก


เบื้องบนมีคนจ้องอย่างได้ตำแหน่งของสองเขตนี้แล้ว ต้องทราบไว้ว่าสำหรับตลาดสวรรค์สาขาต่างๆ ที่อยู่ในเก้าโลก นอกจากตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดี สถานที่ที่ราชันสวรรค์และประมุขพุทธะคุมย่อมเทียบไม่ติดอยู่แล้ว ในจำนวนนั้นนับว่าตลาดสวรรค์ร่ำรวยที่สุด เศรษฐีแทบทุกคนของแดนฝึกตนล้วนมารวมตัวกันที่ตลาดสวรรค์ ตลาดสวรรค์คือสถานที่ของมหาเศรษฐีอย่างแท้จริง ผู้บัญชาการเขตของตลาดสวรรค์คือตำแหน่งที่ร่ำรวยแน่นอน เป็นตำแหน่งที่คนมากมายอยากจะวางแผนช่วงชิง ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็ไม่มีทางทนแรงกดดันนี้ไหวเลย มีแค่เจ้านายที่มีอำนาจหนุนหลังแข็งแกร่งอย่างโค่วเหวินหลานเท่านั้น ถึงจะทนแรงกดดันแบบนี้ได้ ไม่อย่างนั้นเขากับหนิวโหย่วเต๋อคงไม่มีส่วนกับสองตำแหน่งนี้หรอก


ในใจสวีถังหรานชื่นมื่นมาก! ขนาดนอนหลับฝันก็ยังยิ้มออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องนี้ขึ้น คนที่ไม่มีทั้งเส้นสายและไม่มีทั้งภูมิหลังอย่างตน ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าวันไหนจะได้ขึ้นนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการเขตของตลาดสวรรค์ ต่อให้ไต่เต้ามาได้จนถึงระดับนี้ แต่ก็ไม่มีทางที่จะได้ขึ้นตำแหน่งที่สามารถตักตวงผลประโยชน์ได้เยอะแบบนี้!


ขอเพียงต่อไปนี้ตามติดโค่วเหวินหลานไว้ หากโค่วเหวินหลานได้เลื่อนตำแหน่งสูงกว่านี้อีก ก็อาจจะมีวันที่ตนได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ก็ได้ เพียงแต่หนิวโหย่วเต๋อเป็นคู่แข่งที่ร้ายกาจมาก!


พอนึกถึงเหมียวอี้ สวีถังหรานก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยทั้งๆ ที่กำลังยิ้มอยู่ ตอนนี้ผู้บัญชาการโค่วคงจะกำลังส่งต่องานให้หนิวโหย่วเต๋อกระมัง?


เมื่อนึกถึงเหมียวอี้ ก็นึกถึงสมบัติที่เหมียวอี้ตักตวงมามากมายแต่ไม่แบ่งให้ตนแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ในใจรู้สึกเอือมมาก


แต่ไม่นานก็ปลอบใจตัวเองได้ แค่นี้ก็นับว่าเป็นความโชคดีที่อยู่ในความโชคร้ายแล้ว เพราะคนพวกนั้นที่ตายไปก็ไม่ได้อะไรเลย ตัวเองเหยียบศพคนพวกนั้นเพื่อขึ้นสู่ตำแหน่ง ขอเพียงได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก ขอเพียงได้มีอำนาจ ของที่ควรจะมีก็จะได้มี ลำพังแค่สินบนที่พวกร้านค้านำมาให้ในแต่ละปี แค่คิดก็ทำให้เขาน้ำลายไหลแล้ว


“นายท่าน! ข้างนอกมีคนมาหาท่าน!” ทหารสวรรค์เกราะเงินคนหนึ่งเดินมารายงานข้างกายเขา


ก็ช่วยไม่ได้ นักพรตบงกชทองของเขตเมืองตะวันตกและตะวันออกตายหมดแล้ว คนที่วิ่งเต้นทำงานในตอนนี้ล้วนเป็นทหารสวรรค์เกราะเงินทั้งหมด


“ใครมาหา?” สวีถังหรานลืมตาถาม


ทหารสวรรค์คนนั้นส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ เขาบอกเพียงว่าเป็นสหายเก่าของท่าน ไม่ยอมเปิดเผยที่มาที่ไป”


“สหายเก่า?” สวีถังหรานลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก กำลังครุ่นคิดว่าเป็นใคร


เมื่อมาถึงประตูใหญ่ของผู้บัญชาการ เขาก็มองไปรอบๆ แวบหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นเงาใคร อดไม่ได้ที่จะถามทหารยาม “คนล่ะ?”


“ไปแล้วขอรับ!” ทหารยามตอบ


“ไปแล้ว?” สวีถังหรานงุนงง ขณะกำลังยืนเหลียวซ้ายแลขวา จู่ๆ ก็เงยหน้าและเบิกตากว้าง เห็นคนคนหนึ่งพุ่งลงมาจากฟ้า ควงดาบฟันเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราด “ไอ้โจรสุนัข รับความตายซะเถอะ!”


ผู้ที่ลอบโจมตีตัวดำเมี่ยม นอกจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้วจะมีใครอีก!


สวีถังหรานตกใจแทบแย่ ต่อให้หลับฝันก็นึกไม่ถึงว่าหมาบ้าจะกล้าเข้ามาลงมือที่นี่โดยตรง เข้าถลันตัวอยากจะหลบ แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงเตรียมการมาอย่างดี ฉวยโอกาสโจมตีตอนเขาไม่ทันตั้งตัว ด้วยความเร็วอย่างเขา ถ้าอยากจะหลบเซี่ยโห้วหลงเฉิงให้พ้นก็ต้องเคี่ยวเข็ญพอสมควร


ขณะที่ลุกลี้ลุกลนหลบหลีก เขาก็โบกดาบต้านไว้ พร้อมตะโกนร้องว่า “ผู้บัญชาการช่วยข้าด้วย!”


ตอนนี้นักพรตบงกชทองของที่นี่ตายเกือบหมดแล้ว ยังหาคนมาเติมไม่ครบ นอกจากโค่วเหวินหลานก็ไม่มีใครแล้วที่ช่วยเขาได้ และเขาก็ไม่ได้หวังว่าเหมียวอี้จะมาช่วยเขาด้วย


ทหารยามที่อยู่สองฝั่งพุ่งเข้ามาช่วยเหลือ แต่กลับโดนพลังอิทธิฤทธิ์ของเซี่ยโห้วหลงเฉิงจนสะเทือนออกไป นักพรตบงกชม่วงจะต้านทานเขาไหวได้อย่างไร


ในมือของเซี่ยโห้วหลงเฉิงคือดาบผลึกแดงขั้นห้า อาวุธในมือสวีถังหรานจะต้านทานไหวได้อย่างไร


เสียงดังเพล่ง อาวุธโดนฟันจนขาดเป็นสองท่อน สวีถังหรานก็เกือบโดนฟันร่างจนขาดสองท่อนเหมือนกัน โชคดีที่เบี่ยงตัวหลบทันที


“อา!” แต่ก็ยังโดนฟันจนกรีดร้องออกมา แขนข้างหนึ่งรวมทั้งบ่าครึ่งหนึ่งโดนฟันกระเด็นแล้ว เลือดสดสาดพุ่งออกมา คมดาบแทบจะเฉียดผ่านศีรษะของเขาไป


สวีถังหรานตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ กลิ้งหลายตลบและลุกขึ้นหนีเอาชีวิตรอดอย่างบ้าคลั่ง เซี่ยโห้วหลงเฉิงพุ่งเข้าไปในจวนผู้บัญชาการแล้ว ไล่สังหารต่อไป!


โชคดีที่โค่วเหวินหลานได้ข่าวและออกมาดู แทงทวนสกัดเซี่ยโห้วหลงเฉิงอย่างเกรี้ยวกราด ดาบและทวนของทั้งสองกำลังยันกัน โค่วเหวินหลานตะคอกอย่างเดือดดาล “ไอ้หมีควาย เจ้ามันใจกล้านักนะ!”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงโผล่ซ้ายแฉลบขวา โค่วเหวินหลานดึงแขนเขาไว้ข้างหนึ่งไม่ยอมปล่อย พัวพันเขาเอาไว้


เหมียวอี้ที่กำลังรับงานต่อจากโค่วเหวินหลานวิ่งตามออกมาด้วย เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ตกใจมากเช่นกัน


สวีถังหรานรีบหนีมาหลบข้างหลังเขา “น้องหนิวช่วยข้าด้วย!”


ช่วยบ้าอะไรล่ะ! หมีควายตัวนี้เป็นบ้าไปแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีความแค้นต้องชำระ ขนาดข้ายังไม่เลยว่าจะไปหลบที่ไหน! เหมียวอี้เผยทวนออกมาเตรียมป้องกัน


กลางวันแสกๆ ทหารยามของตลาดสวรรค์ก็ไม่ใช่เล่นๆ รู้ว่าฝ่ายตัวเองขาดคนชั่วคราว บนฟ้ามีคนเหาะมากลุ่มหนึ่ง มาพร้อมกับเชือกมัดเซียนหลายเส้น แล้วมัดเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่โดนโค่วเหวินหลานพัวพันอยู่โดยตรง


เซี่ยโห้วหลงเฉิงโดนทหารสวรรค์หลายคนควบคุมและยังคงดิ้นรน เขาถลึงตาจ้องสวีถังหรานพร้อมตะโกนอย่างเดือดดาล “ชาติสุนัข! บังอาจมาซ้อมข้า นับว่าวันนี้เจ้าดวงชะตาแข็ง เจ้าคอยดูเถอะ!”


เขาถูกลากออกไปพร้อมเสียงคำรามที่ดังก้อง


ขณะที่มองเซี่ยโห้วหลงเฉิงถูกลากออกไป โค่วเหวินหลานก็รู้สึกจนใจเหมือนกัน สั่งสอนเซี่ยโห้วหลงเฉิงยังพอทำได้ แต่ถ้าจะให้ฆ่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจริงๆ เขาเองก็ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรเหมือนกัน เช่นเดียวกัน เซี่ยโห้วหลงเฉิงเองก็ไม่กล้าฆ่าเขา


ตามกฎแล้ว พฤติกรรมแบบเซี่ยโห้วหลงเฉิงต้องโดนประหารคาที่ แต่โค่วเหวินหลานยังไม่ได้รับตำแหน่งคุมตลาดสวรรค์ ไม่มีอำนาจลงโทษผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก จึงผลักให้ตำหนักคุ้มเมืองไปลงโทษ


โค่วเหวินหลานหันกลับมา เห็นเหมียวอี้เข้าไปประคองสวีถังหรานแล้ว กำลังถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง


โดนฟันแขนไปข้างหนึ่ง ถึงแม้จะไม่ตาย แต่ก็ทำให้สวีถังหรานสูญเสียพลังปราณไปมาก ย่อมถูกประคองไปพักฟื้นทันที


เรื่องนี้โค่วเหวินหลานก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน เพราะพูดต่อหน้าทุกคนไปแล้ว แขนข้างที่สวีถังหรานเสียไป เขาจะเป็นคนชดเชยให้ จะทำให้งอกออกมาให้เร็วที่สุด


จากนั้นเหมียวอี้ก็ตามโค่วเหวินหลานออกมา หลังจากเรียกลูกน้องมาถามสถานการณ์จนรู้ชัดแล้ว ในใจเหมียวอี้ก็รู้สึกหนาวนิดหน่อย โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ได้พุ่งเป้ามาหาเขา โชคดีที่เขาไม่ได้ลงมือตอนอยู่ที่เขาโอนเอน ไม่อย่างนั้นทั้งแค้นใหม่แค้นเก่ารวมกันคงแย่แน่!


พอนึกขึ้นได้ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงล่อสวีถังหรานออกไป ไม่ได้มาหาเหมียวอี้ ในใจเหมียวอี้ก็แอบขำ ความแค้นส่วนใหญ่ย้ายไปที่ตัวสวีถังหรานแล้วจริงๆ ด้วย


เรื่องนี้ชัดเจนมาก เซี่ยโห้วหลงเฉิงรู้ว่าตัวเองเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกต่อไปไม่ได้แล้ว จะซ้ายหรือขวาก็เป็นไม่ได้ ในภายหลังจะไปหาเรื่องอีกฝ่ายไม่ได้อีก ไม่สู้ตอนนี้เป็นฝ่ายรุกเสียเองดีกว่า ถือโอกาสล้างแค้นไปเสียเลย!


“หมีควายตัวนี้มันเจ้าคิดเจ้าแค้น ต่อไปเจ้าก็ระวังตัวหน่อย!” โค่วเหวินหลานหันกลับมาสั่ง


“ขอรับ!” เหมียวอี้กุมหมัดรับคำสั่ง ย่อมไม่พูดเรื่องที่ตัวเองแอบโยนสมุนไพรเซียนซิงหัวให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงอยู่แล้ว


ถึงแม้สมุนไพรเซียนซิงหัวต้นเดียวจะไม่ได้มีค่าอะไรกับเซี่ยโห้วหลงเฉิง แต่ประเด็นสำคัญคือให้ได้ถูกจังหวะเวลา ถ้าไปเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย[1]ก็ไม่มีประโยชน์ ส่งถ่านให้กลางหิมะ[2]ต่างหากถึงจะเป็นเวลาที่ยอดเยี่ยม ถึงจะทำให้คนจดจำได้อย่างลึกซึ้ง ดูจากวันนี้แล้วก็พอจะได้ผลอยู่บ้างนิดหน่อย


…………………………


[1] เพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย 锦上添花  หมายถึงการประดับตกแต่งสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก เปรียบเปรยถึงการกระทำที่ไม่จำเป็น


[2] ส่งถ่านให้กลางหิมะ 雪中送炭 หมายถึงให้ความช่วยเหลือในยามคับขัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)