ลำนำบุปผาพิษ 975-978
บทที่ 975 ไม่ได้การแล้ว! เธอต้องไปดูสักหน่อย!
นัยน์ตาของเยี่ยนเฉินมีแววเยียบเย็นวาบผ่านแวบหนึ่ง ยิ้มหยันพลางกล่าวว่า “คำว่าเซียนเป็นเพียงสิ่งที่นางเรียกขานเอาเองเท่านั้น เพียงแต่นางเป็นคนที่ดินแดนเบื้องบนส่งมาจริงๆ กระทำการไร้น้ำใจนัก ไม่เห็นชาวมนุษย์อย่างเรามีค่าเลย!”
กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองเงาคนที่ต่อสู้อยู่ไกลๆ แวบหนึ่ง กระตุกยิ้มแวบหนึ่งพลางเอ่ย “นางไม่เห็นพวกเรามีค่า พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติต่อนางเยี่ยงมนุษย์ สัตว์ร้ายสองตัวนี้เป็นนางปลดปล่อยออกมา บัดนี้ไล่กัดนางก็นับว่าสมเหตุสมผลแล้ว พวกเราก็รอชมฝีมือที่แท้จริงของนางเซียนผู้นี้อยู่ตรงนี้แล้วกัน แต่หวังว่านางจะไม่ทำให้คำขนานนามว่า ‘เซียน’ ของนางต้องเสื่อมเสียนะ พวกเราก็ชมเรื่องครื้นเครงอยู่ที่นี่เถิด”
ทุกคนนั่งล้อมวงกัน ดื่มกินพลางชมเรื่องครื้นเครงอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นดรุณีขี่เจียวนางนั้นถูกสัตว์ร้ายทั้งสองไล่ล่าจนอยู่ในสภาพจนตรอกก็รู้สึกเพียงว่าสาแก่ใจอย่างยิ่ง แทบจะปรบมือด้วยความยินดี
ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือ ย่อมมองจุดด้อยจุดแข็งออก
“วรยุทธ์ของสตรีนางนี้ไม่เลวเลยจริงๆ ข้าคิดว่าพลังวิญญาณของนางน่าจะสูงกว่าพวกเจ้าสำนักหลงเสียอีก คงบรรลุขั้นสิบในตำนานแล้ว แต่น่าจะเทียบกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไม่ได้” เล่อชิงซิ่งวิจารณ์ตามที่เห็น
“กระบวนท่าของนางก็ไม่เหมือนชาวมนุษย์อย่างพวกเราจริงๆ ดูวรยุทธ์ของไอ้ยักษ์โง่ข้างกายนางสิ บรรลุพลังวิญญาณขั้นเก้าแล้วกระมัง?! กระบวนท่าที่ง้าวจันทร์เสี้ยวเล่มนั้นของเขาสำแดงออกมาล้วนสามารถฟันจระเข้ตีนเป็ดตัวนั้นให้หลั่งเลือดได้” เชียนหลิงอวี่ก็เอ่ยขึ้นเช่นกัน
“ฟันจนได้แผลแล้วอย่างไรเล่า? สัตว์ร้ายสองตัวนั้นไม่มีทางเป็นอะไรแน่นอน! ข้ารู้สึกว่าต่อให้พวกนางสู้ทั้งวันทั้งคืนก็ยังไม่แน่ว่าจะจัดการสัตว์ร้ายสองตัวนี้ได้!” จางฉูฉู่ยิ้มเยาะ
“หวา เรือนผมของนางคลายแล้ว ร่างกายก็ดูเหมือนจะบาดเจ็บแล้ว ดูไม่คล้ายนางเซียนแล้ว เหมือนนางเพิ้งต่างหาก” เล่อจื่อซิ่งยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น
“ซีจิ่ว สัตว์ร้ายสองตัวนี้ร้ายกาจเกินไป เกรงว่าพวกเราล้วนยับยั้งมันไว้ไม่ได้ทั้งสิ้น หากนางเซียนผู้นี้ก็ยับยั้งพวกมันไม่ได้ เกรงว่าพวกมันจะก่อหายนะขึ้น…”
“อย่ากังวลไปเลย เดี๋ยวข้าจะลองใช้วิธีอื่นดู” กู้ซีจิ่วตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน ถึงอย่างไรร่างของสัตว์ร้ายสองตัวนี้ก็มีเลือดเนื้อ เกรงว่าจะหวั่นเกรงการโดนเผาเช่นกัน เดี๋ยวเธอค่อยล่อพวกมันไปที่หล่มน้ำมันแห่งนั้น…
เมื่อนึกถึงหล่มน้ำมัน สีหน้าของกู้ซีจิ่วก็แปรเปลี่ยนทันที ลุกพรวดขึ้นมา
อิงเหยียนนั่ว! อิงเหยียนนั่วยังล่อพวกผีดิบอยู่ที่หล่มน้ำมันแห่งนั้น!
เธอออกจากหล่มน้ำมันแห่งนั้นเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว อิงเหยีนนั่วน่าจะล่อผีดิบเหล่านั้นลงไปในหล่มหมดแล้วกระมัง?! เธอเคยบอกว่าจะใช้ไฟเผาผีดิบพวกนั้นอีกครั้ง…
ไม่ได้การแล้ว! เธอต้องไปดูสักหน่อย!
เธอบอกกล่าวแก่ทุกคนคราหนึ่ง ขณะที่กำลังจะใช้วิชาเคลื่อนย้าย ทันใดนั้นพลันมีเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ เสียงนั้นดังกึกก้องกัมปนาท พสุธาทั้งผืนสั่นสะเทือนเลือนลั่น!
กู้ซีจิ่วโซซัดโซเซ มองไปตามเสียง หนาเปลี่ยนสีในทันใด!
เสียงระเบิดนั้นแว่วมาจากหล่มน้ำมันแห่งนั้น ที่นั่นควันไฟดำโขมง เปลวไฟแดงฉานพวยพุ่งขึ้นครึ่งฟ้า!
‘ตูม!’ ‘ตูม!’ ราวกับสถานที่แห่งนั้นจุดระเบิดอานุภาพสูงขึ้นนับไม่ถ้วน เสียงระเบิดค่อยดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนเปลวไฟก็พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ย้อมนภาให้เป็นสีแดง
ทว่าใบหน้าของกู้ซีจิ่วกลับซีดเผือดลงทันที
เธอทำผิดพลาดอย่างมหันต์!
ในอากาศเหนือหล่มแห่งนั้นน่าจะมีสิ่งที่มีคุณสมบัติไวไฟประเภทแก๊สมีเทนอยู่ เมื่อสัมผัสไฟก็ระเบิดขึ้นอย่างง่ายดาย!
ก่อนหน้านี้เธอรีบร้อนจากมา เลยไม่ได้นึกถึงข้อนี้ไปชั่วขณะ ไม่ได้กำชับอิงเหยียนนั่วให้ออกห่างจากหล่มแห่งนั้นหลังจากจุดไฟ
หากว่าหลังจากเขาล่อผีดิบพวกนั้นลงไปในหล่ม แล้วยืนอยู่ริมหล่มเพื่อจุดไฟ ต่อให้วรยุทธ์ของอิงเหยียนนั่วสูงส่งกว่านี้อีกเท่าหนึ่ง ก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถหนีออกมาได้!
ภาพอิงเหยียนนั่วถูกระเบิดจนเลือดเนื้อแหลกเหลวคล้ายจะแวบขึ้นมาเบื้องหน้า มือเท้ากู้ซีจิ่วเย็นเฉียบไปหมด
ไม่พูดพร่ำอันใด เคลื่อนย้ายไปทันที!
————————————————————————————-
บทที่ 976 เสมือนถูกฟ้าผ่า!
เพลิงลุกโชติช่วง เสียงระเบิดดังขึ้นเป็นระลอก ลูกไฟมหึมาพุ่งขึ้นฟ้าเป็นบางครั้ง ราวกับโลกจะถึงกาลอวสานแล้ว
มีเสียงคำรามดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดแว่วออกมาจากกองเพลิง
ภายในระยะสิบลี้ของหล่มแห่งนั้นถูกเปลวเพลิงครอบคลุมหมดแล้ว อย่าว่าแต่หล่มนั้นเลย แม้แต่ภูเขาที่ห่างจากหล่มเจ็ดแปดลี้ก็เข้าใกล้ไม่ได้แล้ว
ในอากาศมีกลิ่นเนื้อไหม้ สู่นภาแผดเผาแม้กระทั่งอากาศให้ลุกไหม้
กู้ซีจิ่วใช้วิชาเคลื่อนย้ายกลับมา กู้ซีจิ่วลาดตระเวนไปรอบๆ พื้นที่เกิดเพลิงไหม้อย่างรวดเร็ว
ตะโกนเรียก ใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงติดต่อ…
วิธีติดต่อทั้งหมดเธอล้วนใช้จนสิ้นแล้ว ทว่าไม่ได้รับการตอบกลับจากอีกฝ่ายเลย
หัวใจของกู้ซีจิ่วร้อนรนขึ้นเรื่อยๆ เม้มริมฝีปากจนแทบซีดขาวแล้ว
อิงเหยียนนั่ว เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เธอเพิ่งคบหาได้เพียงครึ่งปี ชอบทำตัวแอ๊บแบ้วใส่เธอ แสดงตัวตนการมีอยู่ต่อหน้าเธอทุกวัน ไม่ว่าเธอจะเดินไปไหนก็มองเห็นเงาร่างของเขาได้เสมอ ดูเหมือนจะอ่อนแอทว่ามีความสามารถยอดเยี่ยมพิสดาร ในช่วงคับขันมักจะปาดมาอยู่เบื้องหน้าเธอ ป้องลมคุ้มฝนให้เธอ แก้ไขปัญหาให้เธอ
ถึงแม้บางครั้งเขาจะมีสองบุคลิก บางครั้งก็จู้จี้จุกจิกบ้าง แต่กลับเป็นสหายที่ยอดเยี่ยมที่สุด เป็นสหายที่พึ่งพาได้ที่สุดในช่วงเวลาคับขัน
ปฏิสัมพันธ์ของเธอกับเขาในระยะเวลาครึ่งปีมานี้ยังมากกว่าพวกจิ้งจอกน้อยเสียอีก เพียงแต่เขาเข็มแข็งยิ่งมาตลอด ความสามารถในการป้องกันตัวก็กล้าแกร่งมาก ครึ่งปีมานี้คอยติดตามอยู่ข้างกายเธอประหนึ่งเงา
ดังนั้นเธอจึงติดนิสัยไม่มองหาเขาในสนามรบ ยามที่พบพานอันตราย สิ่งที่เธอจะใคร่ครวญถึงคือความปลอดภัยของสหายตัวน้อยที่เหลือ
ลึกๆ ในใจของเธอ รู้สึกอยู่เสมอว่าไม่ว่าเขาจะพบเจอเรื่องทุกข์ยากอันใดล้วนสามารถควบคุมตนเองได้ ถึงขั้นที่สามารถฉวยโอกาสสร้างความลำบากแก่ศัตรูได้ประเภทนั้น
แต่ในยามนี้ เป็นเพราะความเลินเล่อของเธอ ทำให้เขาตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง ยามนี้จะเป็นหรือตายก็ไม่อาจรู้ได้…
หากเขาประสบเหตุจนถึงแก่ชีวิตจริงๆ เกรงว่าเธอคงรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต!
“อิงเหยียนนั่ว!”
“อิงเหยียนนั่ว!”
ไม่มีเสียงตอบรับเลย…
เธอวนเวียนอยู่รอบพื้นที่เกิดเพลิงโคจรกำลังภายในตะโกนเรียกชื่อเขา ตะโกนจนเสียงตนสั่นพร่าแล้ว
….
เมื่ออิงเหยียนนั่วล่อผีดิบมหาศาลลงไปในหล่มนั้นได้จนสิ้น ตัวคนก็แทบจะยืนไม่อยู่แล้ว หากไม่มีเกราะป้องกันสุดท้าย เขาคงไม่เอาชีวิตมาทุ่มไว้ที่นี่หรอก ดังนั้นสุดท้ายแล้วเขายังคงเหลือทางถอยไว้ให้ตนอยู่ ยามที่พลังวิญญาณกำลังจะหมดเกลี้ยง เขาก็เริ่มเหาะกลับไป…
อย่างไรก็ตามพละกำลังได้เสื่อมถอยจนกลายเป็นม้าตีนปลายแล้ว เขาจึงเหาะกลับฝั่งอย่างยากลำบาก ทว่าเนื่องจากไม่อาจควบคุมกำลังได้ไปชั่วขณะ เกือบจะชนเข้ากับต้นไม้แล้ว เคราะห์ดีที่ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาว่องไวยิ่ง คว้ากิ่งไม้กิ่งหนึ่งได้ทันกาล แล้วพลิกร่างขึ้นไปนั่ง
เลือดลมในทรวงอกปั่นป่วนยิ่งนัก ทำให้เบื้องหน้าเขามืดมัวไปพักหนึ่ง เขาหรี่ตามองผีดิบในหล่ม ผีดิบกว่าสามพันตัวยัดลงไปหล่มจนล้นขึ้นมาครึ่งหนึ่ง ส่วนใหญ่พบภัยพิบัติไปหมดแล้ว ยังมีส่วนน้อยที่เหยียบหัวพวกเดียวกันดิ้นรนอยู่บนผิวหน้าของหล่ม หากมิใช่เพราะหล่มแห่งนี้มีแรงดึงดูดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เกรงว่าผีดิบที่อยู่ด้านบนสุดคงสามารถปีนขึ้นมาได้อีกครั้ง
และเห็นได้ชัดว่าผีดิบที่จมลงไปแล้วยังไม่ตาย ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งอยู่ด้านล่าง เกลือกกลิ้งเถลือกไถลก่อกวนจนหล่มโคลนประหนึ่งหม้อน้ำเดือด…
หากไม่ใช้วิธีอื่นด้วย ไม่ช้าก็เร็วผีดิบเหล่านี้จะปีนขึ้นมาก่อหายนะ
ขณะที่อิงเหยียนนั่วยกมือขึ้นหมายจะทำบางสิ่ง ทันใดนั้นพลันมีแสงสีรุ้งจางๆ ผุดออกมาจากร่าง!
เขามุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เนื่องจากจิตใจยุ่งเหยิงสับสนจึงถูกธาตุไฟเข้าแทรก ยามที่ฟื้นขึ้นมาร่างกายก็มีแสงสีรุ้งผุดออกมา หลังจากแสงสีรุ้งหายไป รูปลักษณ์ของเขาก็กลายเป็นช่วงอายุสิบสี่สิบห้า
ความรู้สึกของเขาในยามนั้นเสมือนถูกฟ้าผ่าเข้าอย่างจัง!
————————————————————————————-
บทที่ 977 มิขบขันไปชั่วชีวิตหรือ?!
ถึงแม้เขาจะชอบแสดงบทบาทสารพัด แต่โฉมหน้าที่แท้จริงไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย เขาใช้พลังวิญญาณปรับเปลี่ยนเอาทั้งนั้น การหดเล็กลงเช่นนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์! ทำให้เขาหมดคำพูดยิ่งนัก
ผู้อื่นเจ็บป่วยสามารถไปหาเซียนแพทย์ได้ แต่ตัวเขาที่จู่ๆ ก็มีสภาพเช่นนี้กลับไปหาผู้ใดไม่ได้ ถึงขั้นที่ว่านอกจากสี่ทูตข้างกายเขาแล้ว เขาไม่อาจบอกผู้ใดได้
ฐานะของเขาแขวนอยู่จุดนั้น หากปล่อยให้ผู้อื่นทราบว่าพลังวิญญาณของเขาสูญหายไปมหาศาล เกรงว่าจะดึงดูดให้เกิดความวุ่นวายใหญ่หลวงขึ้นบนโลกนี้ในทันใด! ผู้บงการอยู่เบื้องหลังรายนั้นต้องรีบก่อสงครามนองเลือดขึ้นเป็นแน่ แผนการทั้งหมดของเขาก็จะพังพินาศด้วย…
เรื่องราวพัวพันใหญ่โต เขาไม่อาจเสี่ยงได้ ดังนั้นแผนของเขาคือรักษาตัวเองให้หาย บนโลกนี้ยังจะมีหมอคนใดที่เลิศล้ำไปกว่าเขาอีกเล่า? ดังนั้นเขาเลยไม่มีความจำเป็นที่ต้องเปิดเผยสาเหตุที่ตนป็นเช่นนี้
เดิมทีเขานึกว่าสภาพเช่นนี้จะไม่คงอยู่นานนัก มากสุดเดือนสองเดือนเขาก็กลับไปเป็นปกติแล้ว กลับนึกไม่ถึงว่าผ่านไปครึ่งปีแล้วเขายังคงเป็นเช่นนั้นอยู่ เขาใช้ทุกวิถีทางแล้วกลับไม่เติบโตขึ้นเลยสักนิด!
ยามนี้จู่ๆ แสงสีรุ้งก็ผุดออกมาจากร่าง หมายความว่าเขากำลังฟื้นฟูสู่สภาพเดิมใช่หรือไม่?!
หัวใจเขาเต้นกระหน่ำ ขณะนี้รู้สึกเพียงว่าเลือดลมในจุดตันเถียนเสมือนเดือดพล่าน อาการตรงข้ามกับยามที่ถูกธาตุไฟเข้าแทรกหนก่อน เขามั่นใจยิ่งขึ้นว่าตนกำลังจะกลับสู่สภาพเดิม ด้วยเหตุนี้เขาจึงนั่งสมาธิทันที…
หลังจากแสงสีรุ้งหมุนวนรอบกายเขาประมาณสองรอบ ในที่สุดก็หยุดนิ่งแล้วสลายหายไป
เขาลืมตาขึ้นมา แต่พอมองเห็นมือตนชัดๆ ร่างกายก็สั่นสะท้านทันที สั่นจนแทบหล่นจากต้นไม้!
มือของเขา…หดเล็กลงไปอีก!
เขาตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง ล้วงกระจกออกมาจากร่างแล้วส่องดู จากนั้นก็ได้รับความสะเทือนใจจนสั่นสะท้านอีกครา!
เขารู้สึกว่าคราวก่อนที่เขาถูกธาตุไฟเข้าแทรกร่างกายหดเล็กจนอยู่ในวัยสิบห้าปีคือความบัดซบถึงขีดสุดแล้ว คาดไม่ถึงว่ายังมีที่บัดซบยิ่งกว่าอีก! ยามนี้รูปลักษณ์ของเขาเหมือนเด็กน้อยอายุแปดเก้าขวบ!
เขาค่อยๆ เก็บกระจกกลับไปสะบัดเสื้อคลุมตัวน้อยบนร่าง เคราะห์ดีที่เสื้อคลุมตัวนี้สามารถยืดหดได้ตามรูปร่างของผู้ใส่ มิเช่นนั้นเสื้อคลุมตัวนี้น่าจะพันขาจนสะดุดล้มได้!
เขานั่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าน้อยๆ ฉายแววซับซ้อนอยู่บ้าง
แผนเดิมของเขาคือหลังจากจัดการเรื่องราวที่นี่เสร็จเรียบร้อย ก็จะไปสมทบกับกู้ซีจิ่ว ยามนี้เมื่อเขาเห็นสภาพเด็กชายตัวน้อยน่าเอ็นดูของตน ก็ไม่อยากไปแล้ว!
ตอนที่ใช้สภาพของอิงเหยียนนั่วไปพบนาง เขาก็รู้สึกอึดอัดคับข้องอยู่บ้าง ปลุกปลอบตัวเองอยู่หลายครั้ง ถึงทำหน้าหนาเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ได้ จากนั้นก็ติดหนึบอยู่ข้างกายนางปานแผ่นยาหนังสุนัข ยังพอกล่าวปลอบใจตนอยู่ในใจได้ เมื่อก่อนค่อนข้างริษยาสหายร่วมเรียนของนาง สามารถอยู่กับนางทั้งวันทั้งคืนได้โดยไม่ต้องหาข้ออ้างมากมายปานนั้น ยามนี้ในที่สุดก็สามารถฝึกวรยุทธ์ร่วมกับนางอย่างเปิดเผยชอบธรรมได้ และนับเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่สวรรค์จอมบัดซบชดเชยให้เขา
แต่ยามนี้กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว เขาจะใช้ฐานะใดไปอยู่ข้างกายนางได้อีก?
น้องชายของนางหรือ?!
หากนางทราบตัวตนที่แท้จริงของเขา มิขบขันไปชั่วชีวิตหรือ?!
เมื่ออิงเหยียนนั่วจินตนาการถึงฉากนั้นก็รู้สึกว่าในใจเกิดเงามืดขึ้น!
ถึงแม้หนังหน้าเขาจะหนาพอแต่จะให้เขาไปพบนางด้วยสภาพปัจจุบันนี้ยังคงเป็นการท้าทายสามมุมมองของเขาอยู่บ้าง เขาต้องค่อยเป็นค่อยไป คิดว่าจะทำอย่างไรดูอีกที
ลมหนาวพัดพาเสื้อคลุมตัวน้อยของเขาให้ปลิวไสว และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่สัมผัสถึงความหนาวเหน็บของฤดูหนาวได้
เขานั่งใคร่ครวญอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง เหลือบมองสนับข้อมือบนข้อมือตนคราหนึ่ง สนับข้อมือนี้ดูธรรมดายิ่งนัก แท้จริงแล้วคือกำไลคู่บุพเพที่เขาใช้พลังวิญญาณอำพรางรูปลักษณ์เดิมไว้ คนอื่นจะเห็นเป็นสนับข้อมือหนังสัตว์ ทว่าตัวเขาเองเห็นเป็นกำไลคู่บุพเพ
————————————————————————————-
บทที่ 978 ระยะนี้นายท่านเป็นอะไรไป?
เขาสามารถสัมผัสผ่านทางกำไลคู่บุพเพวงนี้ได้ว่ายามนี้นางปกติดี ไม่มีอันตรายใด
บนท้องนภาที่อยู่ห่างออกไปไกลมีเสียงต่อสู้ดุเดือดแว่วมาเขายกมือป้องตามองอยู่ครู่หนึ่ง เห็นกู้ซีจิ่วล่อสัตว์ร้ายสองตัวนั้นให้ไปโจมตีโฉมงามขี่เจียวนางนั้นเข้าพอดี…
นางมีวิชาเคลื่อนย้ายติดตัว ไม่ได้พบพานอันตรายถึงชีวิตจริงๆ และไร้ความจำเป็นที่เขาต้องทุ่มเทเรี่ยวแรงไปช่วยเหลืออีก
เขาถอนหายใจเบาๆ รู้สึกว่าตนเหมือนเอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ[1] ของกู้ซีจิ่วอยู่บ้าง
ไม่ว่าเขาจะเข้าใกล้นางด้วยตัวตนใด ล้วนคล้ายว่านางไม่ได้วางเขาไว้เป็นอันดับหนึ่งทั้งสิ้น เขารู้สึกว่าในสายตาของนางแล้วความสำคัญจิ้งจอกน้อยตัวนั้นยังมากกว่าตนเสียอีก
หากว่าอิงเหยียนนั่วหายไปเช่นนี้ นางอาจไม่เก็บมาใส่ใจสักเท่าไหร่ เช่นนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปพบนางอีก
ตนคงต้องหาทางกลับวังนภาเลือกไปกักตนบำเพ็ญอย่างจริงจังแล้ว สภาพเช่นนี้ไม่อาจพบน้าผู้คนได้จริงๆ!
จะว่าไปก็แปลก เมื่อครู่เขาสิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปมากมายยิ่ง ยามที่เพิ่งกระโดดขึ้นมาบนต้นไม้แม้แต่มือเท้าก็อ่อนแรงไปหมด ยามนี้ร่างกายหดเล็กลงอีก แต่พลังวิญญาณในร่างกลับกระปรี้กระเปร่ากว่าเมื่อครู่ไม่น้อย ร่างกายก็มีเรี่ยวแรงบ้างแล้ว ไม่อ่อนระโหยโรยแรงถึงเพียงนั้นอีก
เขาขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นคล้ายจะสัมผัสถึงบางอย่างได้ กวาดสายตามองไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลแวบหนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างเฉื่อยชา “มู่อวิ๋น ไสหัวออกมา!”
กิ่งก้านของไม้ใหญ่ต้นนั้นโยกไหวคราหนึ่ง ทูตมู่อวิ๋นผู้หล่อเหลาองอาจที่สุดในบรรดาสี่ทูตที่สุดก็ปรากฏตัวขึ้น ยามนี้นัยน์ตาเรียวรีมีเสน่ห์ของเขาเบิกกว้างยิ่งกว่าลูกตาวัว วาจาก็เอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ “นะ…นายท่าน?”
อิงเหยียนนั่วในยามนี้แน่นอนว่าเป็นตี้ฝูอี เขายกมือหนึ่งขึ้นเทาคาง เหลือบมองมู่อวิ๋นด้วยร้อยยิ้ม “มู่อวิ๋น เจ้ามาช้านะ! ช้าไปหนึ่งเค่อ”
บัดนี้เสียงวาจาที่เขาเปล่งออกมาก็เป็นเสียงเด็กผู้ชาย สุ้มเสียงจึงนุ่มนวลยิ่ง ทว่ามู่อวิ๋นกลับหนาวสะท้าน กระโดดลงมาจากต้นไม้เสียงดังตุ้บ โขกศีรษะอยู่ใต้ต้นไม้ของตี้ฝูอี “นายท่าน ข้าน้อยมาสาย! สมควรตายเป็นหมื่นครั้ง!”
โอ้สวรรค์ นายท่านกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง? ต้องบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่! เป็นความผิดของเขา เขาควรจะมาให้เร็วกว่านี้…
ในใจของมู่อวิ๋นรู้สึกผิดอย่างยิ่ง คุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
“คนอื่นล่ะ?” อิงเหยียนนั่วถามอย่าเอื่อยเฉื่อย
“เรียนนายท่าน มู่เตี่ยนสะกดรอยตามผู้อาวุโหลงไปน่าจะส่งข่าวมาในเร็วๆ นี้ มู่เฟิงอยู่ระหว่างเดินทางมา ได้รับสมุนไพรมาแล้ว มู่เหล่ยไปแจ้งให้พวกอาจารย์ใหญ่กู่ทราบ น่าจะใกล้ถึงแล้วเช่นกันขอรับ…” มู่อวิ๋นรายงานอย่างเป็นการเป็นงาน
ตี้ฝูอีพยักหน้านิดๆ “พาหนะของข้าล่ะ?”
มู่อวิ๋นรีบตอบว่า “ข้าน้อยจะเรียกมันมาเดี๋ยวนี้ขอรับ!” เขาลุกขึ้นแล้วผิวปาก ผ่านไปครู่หนึ่ง
รถม้าสีขาวปานก้อนเมฆคันหนึ่งวิ่งห้อลงมาจากฟากฟ้า สัตว์ที่ลากรถคืออาชาเวหา
“นายท่าน ข้าน้อยจะพยุงท่านขึ้นไปนะขอรับ” มู่อวิ๋นก้าวเข้ามา เขามองตี้ฝูอีแวบหนึ่งอย่างอดไม่ได้
ในใจทั้งรู้สึกผิดและเห็นอกเห็นใจ ระยะนี้นายท่านเป็นอะไรไป? หดเล็กลงอยู่บ่อยๆ…
ตี้ฝูอีนั่งอยู่บนต้นไม้ ขาข้างหนึ่งรองแขนอยู่ ขาอีกข้างแกว่งอยู่ใต้กิ่งไม้ และเขากำลังมองเขาอยู่ ทั้งสองตาสบกัน มู่อวิ๋นมองเห็นว่านัยน์ตาดำสนิทของอีกฝ่ายเจือรอยยิ้มไว้…
มู่อวิ๋นหนาวสะท้าน รีบก้มศีรษะลง
เวลาที่เจ้านายของบ้านเขาเผยรอยยิ้มเช่นนี้ออกมานั่นหมายความว่ามีคนกำลังจะดวงซวย…
ถึงแม้ร่างกายของเจ้านายเขาจะหดเล็กลง แต่สติปัญญาไม่ได้ลดลง เล่นงานผู้อื่นถึงตายโดยไม่ต้องชดใช้ได้! ซ้ำยังจัดการเรื่องราวอย่างคำไหนคำนั้น หากเขาสั่งให้คนมายามกะสาม แล้วเจ้ามาสายไปสักนิดก็ต้องได้รับโทษหนัก นับประสาอะไรกับเขาที่หนนี้มาสายไปหนึ่งเค่อ!
————————————————————————————-
[1] เอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ หมายถึง การเสนอตัวเข้าช่วยเหลือหรือเจ้ากี้เจ้าการเรื่องคนอื่นโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องการเลย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น