องครักษ์เสื้อแพร 970-973
ตอนที่ 970 เถียนอี้จัดการ ถามแนวทางจากหวังทง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมืองซงเจียงมีตำแหน่งขุนนางบัณฑิตก็ไร้ประโยชน์ เพราะไม่งดเว้นภาษี
ใกล้กลางฤดูใบไม้ร่วง ข่าวแรกที่แน่นอนของราชสำนักก็ออกมา เพื่อเพิ่มภาษีให้เข้าคลังมากขึ้นจึงให้เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า แน่นอนสินค้าเข้าออกเมืองซงเจียง ยังต้องให้ร้านค้าที่เปิดในเมืองซงเจียงจ่ายภาษี แต่ไรมาพวกเรียนหนังสือสอบได้ตำแหน่งหรือขุนนางบัณฑิตใดก็ล้วนได้รับการยกเว้นภาษี เป็นกฎมาแต่เดิม แต่ที่เมืองซงเจียง หากยังคงสิทธิแบบเดิม ราชสำนักทำเช่นนี้ ก็เหมือนตัดชุดแต่งานให้ผู้อื่นใส่ ลำบากไปทำไมกัน
เทียนจินไม่มีผู้ใดไม่ต้องจ่ายภาษี เมืองซงเจียงก็ควรทำเช่นกัน ตามข่าวมาว่าแตะต้องผลประโยชน์ขุนนางบุ๋นเข้าอาจทำให้เกิดความวุ่นวายใหญ่ได้ แต่ไม่ว่าราชสำนักหรือท้องที่ ล้วนเหนือความคาดหมาย ไม่มีผู้ใดสร้างคลื่นใต้น้ำหรือมีปฏิกิริยาใด มีแต่พวกหัวเก่าที่ออกมาค้านเท่านั้น
อย่างไรเมืองซงเจียงก็แค่เมืองหนึ่ง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์คนส่วนใหญ่ ไยต้องการมาค้านให้ลำบาก และมีเรื่องสำคัญที่สุดอีกประการหนึ่ง ก็คือข่าวนี้เป็นการรับรองแล้วว่าจะเปิดท่าการค้า
ข่าวจากเมืองหลวงแพร่ไปทั่วหล้าถึงกับช้ากว่าข่าวทั่วไปมาก เพราะในวังและนอกวัง หลายคนไม่อยากให้ข่าวนี้แพร่ออกไป คนรู้ยิ่งน้อย ก็ยิ่งมีโอกาสยิ่งมาก
ตอนนี้พวกขุนนางใหญ่ที่นิ่งที่สุดได้ส่งคนของตนไปกันแล้ว กระถางเงินทองใกล้เปิดแล้ว ผู้ใดเข้าใกล้ได้เร็วกว่า ผู้นั้นก็จะได้ผลประโยชน์ไปยิ่งมากกว่า
แน่นอนราชสำนักจัดการเมืองซงเจียงเช่นนี้ก็ย่อมมีเรื่องให้ต้องคิดไว้ก่อน แต่ละเมืองทางใต้ ผู้มีอำนาจวาสนามีมาก เดินไปตามถนนทั่วไป ดีไม่ดีก็อาจเป็นญาติขุนนางระดับสูงชั้นสองหรือสามในราชสำนักก็เป็นได้ คิดจะงดเว้นสิทธิพิเศษที่เคยมีมา เช่นนี้ย่อมต้องมีเรื่องโต้แย้งกันสักหน่อย
แต่เมืองซงเจียงกลับแปลก หลายปีก่อนตระกูลสวีเมืองซงเจียงครองผู้เดียว ที่เหลือล้วนไม่มีที่ยืนในเมืองซงเจียงสักเท่าใด ทั้งเมืองล้วนอยู่ใต้อำนาจคนตระกูลเดียว แต่พอตระกูลสวีถูกโจรสลัดเข้าปล้น คืนเดียวสิ้นตระกูล จากนั้นราชสำนักก็กวาดล้างทุกคนในเมืองซงเจียงด้วยเหตุเพราะตระกูลสวีสมคบโจรสลัด ตอนนั้นหากเป็นคนมีอำนาจวาสนาและสถานะใหญ่โต ผู้ใดบ้างไม่มีสายสัมพันธ์ตระกูลสวี จึงถูกกวาดล้างไปในคราวเดียวกันนี้หมดสิ้น
จากเรื่องนี้ เมืองซงเจียงตอนนี้ว่างเปล่า ไม่มีกลุ่มอำนาจผลประโยชน์ใด ล้วนเป็นกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่ง คิดจะวาดใหม่ก็ง่ายสะดวกมาก
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงคิดเข้าใจเรื่องนี้แล้วก็ทอดถอนพระทัย หวังทงทำงานไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย เลือกเมืองซงเจียง เมืองซงเจียงก็มีความเหมาะสมหลายประการ
ในวังและราชสำนัก ข่าวแต่ละด้านส่งมายังหวังทงไม่หยุด หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ขันทีคนใหม่เถียนอี้ไม่ชอบใจหวังทงจริง แต่ยังไม่ได้แสดงความเป็นศัตรูชัดเจน
ตามที่เถียนอี้ได้คุยส่วนตัวมากับคำวิจารณ์จากแหล่งต่างๆ เกี่ยวกับหวังทง ล้วนกล่าวว่าหวังทงไร้คุณธรรม เป็นขุนนางชั่ว คิดว่าการกระทำหวังทงเป็นการผิดต่อหลักการคุณธรรมชั้นสูง ทำให้โอรสสวรรค์ทรงลุ่มหลงในเงินทอง ย่อมเป็นการทำลายความดีงาม ทำให้ผู้คนจิตใจแปรเปลี่ยนจากความดี
แต่ทว่าความสามารถหวังทง เถียนอี้เองไม่อาจปฏิเสธ ขุนนางชั่วหากไร้สามารถก็ย่อมอาจเรียกขุนนางชั่วได้ นี่เป็นข้อสรุปเถียนอี้ หวังทงเป็นขุนนางบู๊ หากไร้สามารถทำเงินทำศึก จะเป็นขุนนางที่ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงโปรดปรานได้อย่างไร
ข่าวลือเหล่านี้ของหวังทงมาเข้าหู หวังทงก็ได้แต่แค่นยิ้มรับมือ การคุยเหตุผลกับพวกหนอนหนังสือนั้นไร้ประโยชน์ ได้แต่ทำเป็นไม่ได้ยิน ระวังป้องกันไว้ก็พอ
แน่นอน หวังทงเองก็พอเดาสาเหตุในเชิงลึกได้ เถียนอี้มาสู่ตำแหน่งหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ได้ แต่อำนาจในมือยังห่างไกลสองสามคนที่ดำรงตำแหน่งนี้ก่อนหน้านี้มาก สถานการณ์ซับซ้อนมาก
เฝิงเป่ายังมีคนเก่าแก่ทำงานในหลายหน่วยในวัง แต่คนจางเฉิงเองก็กุมอำนาจสำคัญไว้ โจวอี้เป็นผู้ช่วยหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์และผู้ช่วยหัวหน้าสำนักบูรพา แม้เป็นอันดับรองในวังแต่ก็มีอำนาจแท้จริงเช่นนี้ ต่างกับเถียนอี้ในฐานะหัวหน้าฝ่ายใน แต่ทุกแห่งล้วนเจอคนกุมอำนาจไว้ คิดอย่างไรก็ย่อมไม่พอใจ
แต่เขาจัดการโจวอี้ไม่ได้ ไม่พูดถึงโจวอี้สนิทกับฮ่องเต้ว่านลี่มากกว่าเขา ยังมีเจ้าจินเลี่ยงเป็นพันธมิตรอีก ตอนนี้เจ้าจินเลี่ยงได้ตำแหน่งหัวหน้ากองงานหกหน่วยงาน อำนาจกลับมากกว่าขันทีทั่วไป ไม่ธรรมดายิ่ง
ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ โจวอี้กับเจ้าจินเลี่ยงล้วนมีสายสัมพันธ์กับหวังทง แม้กล่าวเช่นนี้กับแผ่นดินหมิงแล้วดูแปลก หวังทงเป็นขุนนางส่วนนอก แต่ก็เป็นที่พึ่งของโจวอี้กับเจ้าจินเลี่ยงสองตำแหน่งส่วนในได้จริง
เถียนอี้คิดขยายอำนาจตนเอง ก็ย่อมต้องจัดการโจวอี้ การจะจัดการโจวอี้ลง ก็ต้องให้หวังทงไม่เป็นที่โปรดปราน แต่ตอนนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
วันนี้ในการประชุมขุนนาง เถียนอี้แค่ออกมาพูดกระทบไม่กี่คำ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ใช้สายพระเนตรเตือนเขาทันที เถียนอี้จึงได้แต่ยอมนิ่ง
ความจริงนั้นที่หวังทงทำและพูดมานั้น รวมทั้งเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าเรื่องนี้ ล้วนเป็นแค่บันทึกเพิ่มความชอบเล็กน้อยให้กับความดีความชอบที่มากมายของตนเท่านั้น คนอื่นยิ่งทำยิ่งมาก ยิ่งพูดยิ่งมาก ก็ยิ่งผิดยิ่งมาก แต่หวังทงเห็นชัดกว่ากลับกัน เถียนอี้หาช่องโอกาสใดไม่ได้เลย เขาได้แต่ไม่รู้จะทำเช่นไร
ที่ยิ่งเก้กังก็คือ หลังจากกระทบขัดคอแล้ว เถียนอี้ยังต้องขอมาพบหวังทงเพื่อหารือให้ช่วยเรื่องเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า
….
อย่าว่าแต่เถียนอี้ แม้แต่ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ไม่ทรงอยากให้หวังทงเข้ายุ่งกับเรื่องเมืองซงเจียง แต่หลังจากยืนยันว่าเมืองซงเจียงเป็นตัวเลือกในการเปิดท่าการค้าแล้ว ก็ต้องดำเนินการจึงพบว่าหาไม่มีหวังทงไม่อาจทำได้
เมืองใหญ่เช่นนี้ วันหน้าร้านค้าหลายพันหลายหมื่นร้าน เมืองท่าล้วนมีแต่เรือทะเล เส้นทางแม่น้ำและคลองส่งน้ำล้วนมีเรือและรถม้ามากันมาก จะจัดการอย่างไร จะเก็บภาษีอย่างไร
ภาษีเก็บหนักไป ก็ย่อมดังการฆ่าไก่เอาไข่ ไม่นานก็ย่อมพังทลาย เก็บน้อยไป ก็ย่อมผิดเจตนารมณ์เดิมของราชสำนัก
คนมากมาย สินค้ามากมาย มารวมกันที่เมืองซงเจียง จะจัดการอย่างไร ร้านค้าจะวางระเบียบเช่นไร โกดังกับพื้นที่ค้าควรตั้งไว้ที่ใด เถ้าแก่และคนงานร้านค้าจะมาจากที่ใด อยู่ๆ มีพื้นที่กว้างใหญ่เช่นนี้ พวกเขากินอยู่กันจะแก้ไขอย่างไร ระบบการจัดการของเสียอีก จะจัดการอย่างไร คำถามมากมาย ถาโถมเข้ามา
เดิมทีคิดหาวิธีจัดการไว้มากมาย แต่มาคิดให้ละเอียดก็พบว่า วิธีการจัดการเมืองใหญ่แผ่นดินหมิงพวกนั้นมาใช้กับการเปิดท่าการค้าเช่นนี้ไม่เหมาะสม ถึงตอนนั้นไม่มีวิธีจัดการยังไม่เท่าไร แต่อาจเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นได้
ในเมื่อเป็นเรื่องเปิดท่าการค้าที่ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงให้ความสนพระทัย คิดจะรับมือเองก็ไม่ไหว คิดจะไม่รู้แกล้งรู้ก็ไม่ได้ หาถึงเวลาเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมา ถามหาความรับผิดชอบขึ้นมาก็คงโชคร้ายยิ่ง
คิดไปคิดมา ก็ไม่อาจสนใจอันใดมากนัก ได้แต่หาคนผ่านประสบการณ์มาถาม ใต้หล้านี้มีเพียงผู้เดียว ก็คือติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรหวังทง
เมืองหลวงปิดบังเรื่องราวไม่มิด เถียนอี้ไม่เป็นมิตรกับหวังทง คนเมืองหลวงส่วนใหญ่ล้วนรู้ มีคนรู้สาเหตุทั้งหมด มีคนเดาได้ก็ล้วนเดากันไป
ล้วนรู้ว่าขัดตา แต่เมื่อต้องมาพบเพื่อขอร้องถึงที่ ก็ย่อมรู้สึกไม่ดีนัก แต่บุญคุณความแค้นก็อีกเรื่อง ฮ่องเต้ว่านลี่ให้ความสนพระทัยเป็นเรื่องใหญ่กว่า ในเมื่อเถียนอี้ถูกเลือกให้มาทำงานนี้ ก็ย่อมได้แต่หน้าหน้ายิ้มไปเยือนถึงจวน
“คนไปมาสินค้าไปมา มารวมอยู่ด้วยกันมากมาย เรื่องแรกก็ต้องสร้างระบบ พื้นที่พักอาศัยกับพื้นที่การค้าต้องแยกจากกัน พื้นที่พักอาศัยและที่การค้าต้องมีพื้นที่กว้างพอ เตรียมไว้ขยายพื้นที่ต่อในวันหน้า และต้องเตรียมให้ความช่วยเหลือในเวลาเร่งด่วนได้ด้วย เส้นทางน้ำก็ต้องซ่อมแซม ทางน้ำสะอาดและน้ำเสียก็ต้องมี ต้องมีคนเก็บกวาดขยะ ไม่เช่นนั้น ทางใต้ที่คนมารวมกันมาก ก็ง่ายต่อการเกิดโรงระบาด”
“เรื่องพวกนี้ต้องพร้อมใช้เงิน ให้พวกที่อาศัยอยู่บริเวณเมืองท่าเป็นคนออกค่าใช้จ่าย ต้องจัดการให้เข้มงวด เงินเล็กน้อยพวกนี้หากถูกคนนำไปเป็นแหล่งเงินทองตนเอง อนามัยไม่มีคนจัดการไม่ได้ ต้องเตรียมหมอไว้ให้มาก อย่างไรก็เส้นทางไปมาเหนือใต้ ง่ายแก่การเกิดโรค ถึงตอนนั้นจะได้มีหมอเพียงพอ ร้านยากับร้านค้ายาต้องให้สิทธิพิเศษงดภาษี”
“เจ้าว่าชื่ออะไรดี? ซ่างไห่ชื่อนี้ดีไหม อ้อ มีอำเภอซ่างไห่แล้วนี่นะ”
เถียนอี้ออกจากจวนหวังทงไป สีหน้าก็แปลกๆ ความจริงเขานั้นยังงงอยู่บ้าง หวังทงอายุไม่มาก แต่มีความรู้มาก และยังบริหารอำนาจได้เด็ดขาด การมาสอบถามครั้งนี้เดิมทีเขาก็เตรียมมาโดนเล่นงานแล้ว และยังคิดเตรียมใจไว้ล่วงหน้า กลัวว่าหวังทงจะบอกทางที่ทำให้เกิดความผิดพลาด
เขาคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ หวังทงรู้อะไรก็บอกหมด เริ่มแรกเถียนอี้ยังคิดป้องกัน แต่เขาเป็นคนฉลาดมาก สามารถฟังเข้าใจว่าที่หวังทงว่ามาล้วนเป็นวิธีการที่ดีทั้งสิ้น จากนั้นเวลาส่วนใหญ่ก็ล้วนอยู่ในช่วงใช้ความคิด กลัวว่าจะหลงลืมอันใดไป เถียนอี้ความจำแม่น เรื่องนี้ไม่ยาก
“คนสามารถขอจากเทียนจินไปได้ ข้าไม่ไปเลือกให้ เถียนกงกงไปจัดการเองก็แล้วกัน”
หวังทงยังเสนอให้เช่นนี้อีก หากเป็นหวังทงช่วยเลือกคน ก็อาจมีทางแทรกตัวเข้ามาได้ แต่วาจานี้กล่าวออกไป ท่าทีไม่น่าสงสัยแต่อย่างใด ทำได้เหมาะสมมาก
แต่ทว่าเถียนอี้ก็เข้าใจ แม้หวังทงไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเลือกคน แต่เทียนจินอยู่ภายใต้การจัดการราวกับถังเหล็กกล้าของหวังทง คนที่ตนเลือกไปอย่างไรก็ต้องมีเงาหวังทง
หวังทงมีท่าทีเช่นนี้เกรงว่าจะกระตือรือร้นไปสักหน่อยกระมัง เถียนอี้ถึงกับยังคิดว่า หรือว่าหวังทงจริงใจเพื่อแผ่นดิน ไม่คิดอะไรกับท่าทีที่ตนได้แสดงออกไป แต่ทว่าเถียนอี้รีบปฏิเสธการวิเคราะห์นี้ทิ้งทันที
….
“ก็ไม่อาจกล่าวว่าตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่นสวมใส่ กองเรือเราตอนนี้ถือว่าใหญ่โตแล้ว ทุนเครือข่ายสามธารานับวันยิ่งมาก หากมีที่ใหม่อย่างเมืองซงเจียงมา ก็ย่อมเป็นประโยชน์กับเรามาก นับประสาอันใดกับเราหลังจัดการตระกูลสวีไปได้ ก็จัดการเมืองซงเจียงไว้เรียบร้อยระดับหนึ่งแล้ว ครั้งนี้เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าขึ้นมาได้ ผลประโยชน์แต่ละฝ่ายเข้าไปเกี่ยวพัน ก็ไม่อาจหยุดความเจริญได้ ตอนนี้มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ ครั้งนี้เปิดท่าการค้า พวกเราได้ผลประโยชน์มากที่สุด”
หวังทงกล่าวกับหยางซือเฉินเช่นนี้ เดือนแปดเมืองหลวงไม่มีงานอะไร องครักษ์เสื้อแพรที่เหอหนานจับเถ้าแก่สองคนของร้านสามธาราได้ พวกเขาเดิมทีถูกส่งไปทำงานที่หนิงเซี่ย แต่แอบขโมยเงินหลบหนี เตรียมไปใช้ชีวิตสุขสบายชั่วชีวิต แต่ทว่าถูกองครักษ์เสื้อแพรตามจับกลับมาได้ในทันที
หัวหน้าในเครือข่ายสามธาราเห็นว่าทั้งสองเป็นผู้มีความสามารถ หรือว่าให้เอาเงินคืนมา แล้วให้ทำงานชดใช้ความผิด แต่ทว่าหวังทงออกคำสั่งง่ายดายมากว่า
“ริบทรัพย์ตัดหัว!”
ตอนที่ 971 เข้มงวด
โดย
Ink Stone_Fantasy
หากหวังทงยามนี้อยู่เมืองเหลียวโจว ก็จะพบว่านอกด่านหนาวกว่าที่คาดไว้มาก เพิ่งแค่ต้นเดือนเก้า ถึงกับมีหิมะตกระลอกหนึ่ง
โรงบ้านในและนอกกำแพงล้วนเก็บเกี่ยวเข้าโกดัง พวกชายฉกรรจ์ก็เริ่มซ่อมบ้านเรือน บ้างก็เตรียมจากบ้านออกไปหาปลาล่าสัตว์หรือไม่ก็ขึ้นเขาไปเก็บยาสมุนไพร หน้าหนาวอันยาวนานกำลังจะเริ่มต้นขึ้น มักต้องหางานอะไรมาทำเพื่อหาเป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน
เมืองเฮ่อถูอาลาไม่ใหญ่ เทียบไม่ได้แม้กระทั่งอำเภอระดับล่างในเขตปกครองเหนือ เต็มที่ก็ระดับหมู่บ้านใหญ่ หากนอกกำแพงเมืองพื้นที่เผ่าหนี่ว์เจินนี้เรียกว่าเมืองใหญ่แล้ว นอกเมืองมีหมู่บ้านหลายสิบหมู่บ้านล้อมรอบ ก็เหมือนกับแผ่นดินหมิง อย่างไรก็อาศัยกันอยู่ในป้อม รับประกันความปลอดภัยได้ ยังสะดวกกับการทำการค้า
ทุกปีในช่วงเวลานี้ เฮ่อถูอาลาล้วนคึกคักมาก ในฐานะศูนย์กลางเจี้ยนโจว ชาวฮั่น ชาวเผ่าหนี่ว์เจินและชาวเกาหลีล้วนมาทำการค้าที่นี่
ปีนี้ไม่เหมือนเดิม ในเมืองนอกเมืองอาจเห็นเงาของชาวเกาหลีสองสามคน แต่ชาวฮั่นจากต่างถิ่นไม่เห็นแม้แต่คนเดียว ชาวฮั่นในพื้นที่ก็พากันระวังตัว
แผ่นดินหมิงจะรบกับเผ่าหนี่ว์เจินแล้ว แต่ละคนล้วนรู้เรื่องนี้ ขุนพลเมืองเหลียวโจวหลี่ผิงหูกับฉินเต๋ออี่ออกมานอกกำแพง ที่ใกล้ที่สุดตอนนี้ห่างจากเฮ่อถูอาลาไม่ถึง 80 ลี้ ในเมืองหลายคนก็อพยพไปทางตะวันออก ที่นั่นเป็นเขาลึกป่ามาก ไล่ล่าตามยาก
แต่ทว่าผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าเจี้ยนโจวถึงกับตอบรับสงคราม นำกำลังไปรบยึดเสบียงและอาวุธได้ไม่ว่า ยังมีเชลยอีกเกินพัน นู่เอ่อร์ฮาชื่อไม่ธรรมดาจริง
หลังการสู้รบครั้งนี้ คนเฒ่าคนแก่ในเจี้ยนโจวล้วนเป็นห่วงอย่างมาก แผ่นดินหมิงยิ่งใหญ่ ทหารหลายพันที่สูญไปไม่กระไรนัก ครั้งนี้แพ้ไป ก็คงได้แต่มีทหารมาโจมตียิ่งมากขึ้น
แต่คนน้อยมากที่จะมองได้ไกลเช่นนี้ คนส่วนใหญ่ก็ล้วนรู้สึกว่าเจี้ยนโจวนับว่าสามารถยืนหนึ่งได้แล้ว ยามนี้ถือเป็นโอกาสในการมาร่วมต่อสู้
อย่าว่าแต่เผ่าหนี่ว์เจิน ทางตะวันออกกับตอนเหนือ แม้แต่ชาวเกาหลีก็ล้วนส่งคนมาแสดงสร้างมิตรภาพ แม้ว่าไม่เท่าไรนัก แต่ชาวเกาหลีเป็นพวกไม้เลื้อย ผู้ใดเข้มแข็ง พวกเขาก็ย่อมไม่ล่วงเกิน
เห็นสถานการณ์ร้อนแรงเช่นนี้ ทุกคนล้วนรู้สึกได้ถึงบรรยากาศเคร่งเครียด ชายฉกรรจ์เริ่มถูกเรียกระดมพล ในเมืองมักมีชาวฮั่นถูกจับตัดหัว เส้นทางไปเมืองเหลียวโจวใหญ่น้อยมีด่านและทหารม้าลาดตระเวน ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว ตอนนี้แต่ละแห่งล้วนสวมชุดหนังและเครื่องสวมศีรษะแบบชาวเผ่าหนี่ว์เจินแล้ว
ออกจากเฮ่อถูอาลา ผ่านเขาเจ้าทูซาน เส้นทางนี้ไปตามแม่น้ำซูจื่อเหอ เดินไปวันหนึ่งก็จะถึงป้อมหม่าเอ๋อร์ตุน คนเดินทางไปมาไม่มาก มีชายเผ่าหนี่ว์เจินสองคนเดินทางอยู่ น่าจะเป็นพวกออกไปล่าสัตว์หรือสืบข่าว พวกเขาเดินเร็วมาก และเดินไปหยุดไป มองซ้ายมองขวาตลอดเวลา
“วันกันว่าหนึ่งเดือนก่อน หัวหน้าเผ่านู่ไปตอนเหนือ น่าเสียดายเหล่าอู๋ที่ถูกพวกนอกด่านตัดหัวไปแล้ว หรือว่ายังมีข่าวอะไรมากกว่านี้”
“พวกเขารู้สถานะเหล่าอู๋”
“รู้บ้าอะไร พวกมันแค่จ้องฮุบสมบัติเหล่าอู๋ต่างหาก ชาวฮั่นเท่าไรถูกพวกเดรัจฉานสังหารทิ้ง ลากตัวผู้หญิงไปครอง ทางข้ายังดี พวกเขาล้วนคิดว่าข้ามาจากเขตป่าเก่า”
“สตรีเผ่าหนี่ว์เจินทางนี้ไม่ต้องไปสนใจแล้ว ตอนนี้ที่นี่อันตรายมาก ไม่รู้ผู้ใดเสนอความเห็นให้หัวหน้านู่ ตอนนี้ออกนอกเมืองก็ห้ามขี่ม้า ใช่แล้ว เจ้ารู้ไหมว่า หัวหน้านู่หนึ่งเดือนก่อนเคยส่งคนไปซื้อหาม้าและวัว ยังบอกว่าจะเอาพวกม้าขาว วัวดำอะไรพวกนั้นด้วย”
“ขนสีนี้หายากนี่ ไม่ใช่สิ ม้าขาว วัวดำ หรือว่าเป็น…”
สองคนวิพากษ์วิจารณ์กันไป ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าตามมาด้านหลัง พากันหันไปมองอย่างตกใจ ก็เห็นทหารม้าสิบกว่านายกำลังไล่ตามมา
ตอนแรกยังคิดทำท่านิ่งไว้ก่อน แต่เส้นทางป่าเขาเช่นนี้มีแต่เขาสองคน สองคนอยู่ๆ พลันนึกได้ เริ่มวิ่งหนีทันที คนจะวิ่งสู้ม้าได้อย่างไร คนหนึ่งเอื้อมมือไปดึงเพื่อนไว้ เพื่อนก็ตะกุยตะกายหนีไปทางป่า ตอนผลักทิ้งไป คนด้านหลังก็ขี่มาไล่ตามมาถึง เห็นดาบใหญ่คนบนหลังม้าแล้ว หัวหนึ่งก็หลุดกระเด็น
ขณะเดียวกัน ก็มีคนโดดจากหลังม้า ดึงธนูยิงเข้าไปในป่า ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดดังมาจากในป่า ไม่นาน คนที่วิ่งเข้าไปก็ตัดหัวออกมา
“หากไม่ใช่มีคนมาแจ้งข่าว ยังไม่รู้จริงว่าเป็นสายสุนัขฮั่น!”
คนหนึ่งสบถด่าหยาบ อีกคนหัวเราะร่ากล่าวว่า
“หิ้วหัวกลับไป กวาดสมบัติและผู้หญิงพวกมันมาแบ่งกัน เราทุกคนสบาย!”
ทุกคนล้วนพากันหัวเราะ ควบม้าจากไป เหลือไว้เพียงร่างไร้หัวอยู่ตรงนั้น
เมื่อก่อนเมืองเหลียวโจวล้วนเป็นสวรรค์เผ่าหนี่ว์เจิน สายสืบเมืองเหลียวโจวในเผ่าหนี่ว์เจิน ทำงานเปิดเผยก็มีไม่น้อย ยังมีคนอาศัยสถานะนี้หาความสะดวกให้ตนเอง แต่พอสงครามเกิด หนีเร็วได้เท่าไรต้องรีบหนี หนีไม่เร็วก็ถูกสังหารยกครัว
เมืองเหลียวโจวใหญ่เพียงนี้ อย่างไรก็ต้องมีสายสืบซ่อนตัวอยู่ หลังโจมตีกองกำลังเมืองเหลียวโจว เส้นทางคมนาคมก็ถูกปิดหมด พวกพลทหารเล็กๆ หนีมายังเมืองเหลียวโจว พลทหารเหล่านี้ไม่ใช่ว่าล้วนเป็นชาวฮั่น หากยังมีชาวเผ่าหนี่ว์เจิน พวกเขาอยู่เมืองเหลียวโจวมานาน คบหาชาวฮั่นมากมาย อย่างไรก็พอรู้การทำงานและการใช้ชีวิตของชาวฮั่น คนไม่น้อยก็เผยสถานะตนไม่ปิดบัง
เทียบกับเผ่าหนี่ว์เจินที่จัดการเข้มงวดแล้ว เผ่าหนี่ว์เจินส่วนใหญ่ไม่ก็หนี ไม่ก็ขอสวามิภักดิ์ พากันมายังเมืองเหลียวโจว เมืองเหลียวโจวเดิมก็มีชาวเผ่าหนี่ว์เจินอาศัยอยู่มาก ทหารติดตามขุนพลทหารแต่ละค่ายก็ล้วนมี เพราะชาวเผ่าหนี่ว์เจินเก่งการรบ ไม่กลัวตาย และมีจำนวนพอสมควร
ถึงกับยังมีตระกูลใหญ่ชาวฮั่นในเมืองเหลียวโจวมากมาย พวกเขาร่ำรวยก็เพราะการค้าติดต่อกับเผ่าหนี่ว์เจิน พอเกิดสงคราม การค้าถูกตัดขาด แต่หากยังแอบทำการค้าได้ก็ย่อมกำไรถล่มทะลาย คนเหล่านี้แต่ไรจึงไม่เคยตัดสัมพันธ์กับเผ่าหนี่ว์เจิน
สถานการณ์ตอนนี้ เผ่าหนี่ว์เจินปิดข่าวตนเองได้ดี แต่เมืองเหลียวโจวเหมือนเปิดเผยทุกอย่างให้เผ่าหนี่ว์เจินหมด ไม่มีปิดบังแม้แต่น้อย
ผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงกับบรรดาบุตรชาย ยังมีขุนพลทหารคนสนิท พวกเขาล้วนปักหลักในเมืองเหลียวโจวมานาน เป็นคนในพื้นที่ สถานการณ์ตอนนี้ ล้วนกระจ่างมาก ถึงกับมีสองสามคนยังทำการค้ากับชาวหนี่ว์เจิน ใช้เกลือกับผ้ามาแลกสินค้าป่าจากเผ่าหนี่ว์เจิน เพราะตอนนี้สินค้านอกกำแพงเมืองราคาสูงลิบ มีโอกาสทำกำไรมหาศาล
พวกเขาไม่เป็นกังวล ก็เป็นเพราะมั่นใจในกองกำลังเมืองเหลียวโจวมาก เมืองเหลียวโจวตอนนี้ระดมกำลังทุกหน่วย เตรียมรบ หลังเปิดศึก มีแค่ผลักกำลังที่ยิ่งใหญ่ราวเขาไท่ซานไปปะทะ เผ่าหนี่ว์เจินไหนเลยจะต้านทานได้ แรงต้านทานทั้งหมดล้วนย่อมถูกตีแตกสลาย ข่าวลับตอนนี้ปิดบังหมดจะเท่าไรกัน ทัพใหญ่ออกศึก ลูกไม้อะไรก็ไม่อาจเล่นได้อีก
**************
“พวกเชื่อในลัทธิทั้งหลาย ไม่ว่าคนอ่อนแอหรือคนแก่ ให้พวกเขาเลือกสองทาง หากไม่ไปไปเมืองกุยฮว่าเฉิง ก็ไปอยู่โรงนาหม่านเท่าเอ๋อร์”
ณ ห้องทำงานหวังทงในสำนักองครักษ์เสื้อแพร หวังทงอ่านเอกสารไปพลางกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบไป ไปเมืองกุยฮว่าเฉิง ไปหม่านเท่าเอ๋อร์ สองทางเลือกนี้ความจริงนั้นก็เท่ากับเนรเทศ สำหรับคนในด่านแล้ว ไปที่หนาวเหน็บยากลำบากทำไมกัน คิดจะปรับตัวก็ยาก
นายกองพันกองเอกสารโหวเจินยืนอย่างนอบน้อมอยู่ข้างๆ ได้ยินหวังทงก็เงยหน้าขึ้น กล่าวอย่างระมัดระวัง
“อันหย่วนป๋อก็มีคนเกี่ยวข้องด้วย วันนี้พวกเขาส่งคนมาขอร้อง ว่าจะใช้เงินไถ่ความผิดได้หรือไม่”
“เป็นฝั่งสายรองของอันหย่วนป๋อแห่งตระกูลกัวหรือ?”
หวังทงขมวดคิ้ว โหวเจินยิ่งระวังวาจากล่าวว่า
“เป็นหลานคนหนึ่งของอันหย่วนป๋อ มารดาเขาเชื่อลัทธิเซียง เขาก็เชื่อตาม!”
“บอกว่าข้าบอกว่า หลานเขาขึ้นเหนือ ลำบากก็ไม่ถึงชีวิต ครอบครัวเขาไม่โดนไปด้วย เรื่องอื่นๆ ไม่ต้องเอ่ยถึงอีก”
โหวเจินคิดจะเอ่ยปากอีก แต่คิดแล้วไม่กล้าพูด เห็นสีหน้าเขา หวังทงกล่าวเยียบเย็นว่า
“ลัทธิไตรสุริยันก่อเรื่องได้ไม่ถึงห้าปี หรือว่าเจ้าลืมบทเรียนไปแล้ว ลัทธิมารพวกนี้ เริ่มแรกก็ล้วนไร้พิษภัย แต่พอบ่มนานวันก็เป็นภัยใหญ่ ชีวิตเจ้าไม่พอจะชดใช้ ครอบครัวเขาให้เจ้ามาเท่าไรคืนให้หมด เงินจากร้านค้าที่อยู่ประจำก็ใช้ไม่หมดแล้วไม่ใช่หรือ?”
ถูกหวังทงตำหนิ โหวเจินเข่าอ่อนแทบทรุด สีหน้าซีดเผือดกล่าวว่า
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!”
หวังทงโบกมือกล่าวว่า
“ออกไปได้ ให้คนร้านสามธาราเข้ามา”
โหวเจินถอยออกไปอย่างระมัดระวังแล้ว หยางซือเฉินที่จดบันทึกอยู่ข้างๆ ก็เงยหน้าขึ้นมองหวังทง หวังทงกล่าวเรียบๆ ว่า
“คนเก่าแก่ในสำนักองครักษ์เสื้อแพรพวกนี้ ล้วนคิดว่าปิดบังนายได้ มีบางเรื่องข้าก็ปิดตาข้างหนึ่ง แต่เรื่องนี้ไม่ได้ เจ้าไปจับตาดู เรื่องเกี่ยวกับลัทธิเซียง จับได้หนึ่งก็ลงโทษหนึ่ง องครักษ์เสื้อแพรผู้ใดคิดช่วยเหลือ ความผิดสามชั้น ตัดสินโทษเด็ดขาด”
หยางซือเฉินรีบลุกขึ้นรับคำ ขณะพูดอยู่นั้น ด้านนอกก็มีเถ้าแก่สองคนรีบเดินเข้ามา เจ้าของเครือข่ายสามธารามีจางฉุนเต๋อและกู่จื้อปินเป็นเจ้าของในนาม แต่มีเถ้าแก่สิบกว่าคนแต่เริ่มต้นที่ติดตามหวังทงมา พวกนี้ไม่เป็นสายก็เป็นคนงานหวังทง เพราะฉลาดหัวไวถึงได้ส่งไปยังเครือข่ายสามธารา หลายปีนี้ค่อยๆ เติบโตมา สามารถมารายงานต่อหน้าหวังทงได้ นับว่ามีหน้ามีตามาก
หวังทงสีหน้าไม่ดีอยู่ก่อน สองคนเข้ามาก็ยิ่งเยียบเย็น เถ้าแก่สองคนเข้ามาแล้วก็คุกเข่าโขกศีรษะ ไม่ทันรอให้พูดอะไร หวังทงก็ตัดบทพวกเขาขึ้นก่อน
“พวกเจ้ามาขอร้องให้สองคนนั้นหรือ? ไม่ต้องขอแล้ว พวกเขาย่อมต้องหัวหลุดจากบ่า ความผิดครั้งนี้ไม่ถึงครอบครัว ก็ถือว่าข้าเมตตามากแล้ว”
อย่างไรก็ติดตามหวังทงมานาน สองคนนี้ก็กล้าพูด คนหนึ่งโขกศีรษะกล่าวว่า
“เจ้าสองคนนั้นมันหมูบังตาจึงได้กล้าทำเรื่องบัดซบ คิดละโมบเงินทองนายท่าน ข้าน้อยอยากจะขอควักเงินตนเองชดใช้แทน ขอท่านโหวเห็นแก่เขาสองคนที่ทำงานมานาน เมตตาสักครั้ง”
หวังทงส่ายหน้า น้ำเสียงเคร่งเครียดกล่าวว่า
“พวกเจ้าไม่ขาดแคลนเงิน ข้าก็ไม่ขาด การค้ายิ่งใหญ่ ร้านค้านับวันยิ่งมาก คนงานและเงินทองยิ่งมาก มีคนคิดและลงมือไปแล้ว ก็ต้องสังหารทิ้งและยังต้องให้คนถือหัวเดินไปรอบร้านแต่ละร้านนค้า ให้ทุกคนได้ระวังใจตัวเองให้ดี!!”
ตอนที่ 972 ใช่ว่าเหนือความคาดหมาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
วันที่ 20 เดือนเก้าปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 ทัพใหญ่เมืองเหลียวโจวรวมกำลังที่เสิ่นหยางเรียบร้อย เข้าไปตามทางตะวันออกของแม่น้ำหุนเหอ ไปพักที่กองพันฝู่ซุ่น จากนั้นก็ออกจากด่านฝู่ซุ่นกวนไป เข้าสู่เจี้ยนโจว
ผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวครั้งนี้รวมทัพใหญ่แปดหมื่น ในนี้มีทหารม้าหมื่นสองพันกว่า ส่วนใหญ่เป็นทหารในสังกัดขุนพลทหาร จำนวนนี้นับว่าเทียบได้กับขนาดทัพที่ยกไปปราบตัวหลุนทางตะวันตกเมื่อปีก่อนของทัพใหญ่เมืองเหลียวโจว
การต่อสู้ครั้งนี้ หลี่ผิงหูกับฉินเต๋ออี่ล้วนนำทัพหน้า นำทหารอยู่ด้านหน้าสุด เป็นงานที่อันตรายและยากลำบากที่สุด ไม่มีทางเลือก หลังแพ้มา ได้แต่ทำความชอบชดใช้ความผิด หลี่เฉิงเหลียงเองนำทัพใหญ่ กองหลังเป็นรองแม่ทัพซุนโส่วเหลียน เมืองเหลียวโจว
กองหลังมีหน้าที่ส่งเสบียงและคอยอารักขาด้านหลังทัพใหญ่ และคอยรักษาทหารบาดเจ็บ พูดให้ถูกก็คือทำงานจิปาถะในกองทัพ เจี้ยนโจวติดเมืองเหลียวโจว ความจริงนั้นไม่มีสิ่งที่เรียกว่าเส้นทางขนเสบียงอันใด สำหรับเรื่องทหารบาดเจ็บ กองหนุนแทบจะตั้งอยู่ส่วนในของเมืองเหลียวโจว ย่อมมีขุนพลทหารประจำดูแล
ซุนโส่วเหลียนไม่รู้จะทำเช่นไร เขาก็พอเข้าใจความต้องการของหลี่เฉิงเหลียง หลี่ผิงหูกับฉินเต๋ออี่แม้ว่าพ่ายแพ้มา แต่ครั้งนี้เมืองเหลียวโจวทุ่มกำลังลงไปมาก ชัยชนะก็เหมือนกับอยู่ตรงหน้าแน่นอนแล้ว มีชัยชนะ แน่นอนก็ย่อมมีความชอบ ซุนโส่วเหลียนตอนนี้มีพื้นที่ของตนเอง รักษาภาคตนเอง ไม่ใช่คนกันเองของเมืองเหลียวโจว ไยต้องแบ่งความชอบให้เขาด้วย
ดีที่ซุนโส่วเหลียนคิดตก ได้รับตำแหน่งรองแม่ทัพประจำภาค ตอนนี้ยังร่วมมือกับเทียนจินร่ำรวยใหญ่ ทำอะไรก็ได้ตามต้องการ จึงไม่คิดมาก
ออกเดินทางจากเสิ่นหยางไปถึงด่านฝู่ซุ่นกวน ก็ต้องใช้เวลาสองสามวัน วันที่ 25 เดือนเก้า ทัพใหญ่ก็เข้าใกล้ซาเอ๋อร์หู่
เผ่าหนี่ว์เจินที่เดิมเหมือนเห็นไม่ชัดเจน ตอนนี้ฟ้ากลับเปิด มองเห็นกระจ่างชัด มีคนกล่าวว่านี่เป็นบารมีแม่ทัพใหญ่ พวกนอกด่านแตกตื่นตกใจ ไม่อาจสนใจอันใด พากันหลบ
นี่เป็นคำเยินยอ ความจริงนั้นทุกคนล้วนรู้ตอนนี้พวกนอกด่านไม่จำเป็นต้องปิดบังแอบซ่อนอีก เพราะทหารพวกเขาไปรวมตัวกันที่ป้อมเจี้ยฝานไจ้แล้ว ตอนนี้มีทหารหมื่นกว่า ดูแล้วน่าใกล้เปิดศึกใหญ่แล้ว
สถานการณ์ตอนนี้เป็นพวกนอกด่านเผ่าหนี่ว์เจินกำลังเคลื่อนกำลังรบเผด็จศึก เมืองเหลียวโจวนำทัพใหญ่มาเกือบแสน เผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวนี้สามารถเคลื่อนกำลังหมื่นกว่า ก็แทบจะหมดหน้าตักแล้ว นี่ยังเป็นช่วงอิทธิพลเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวที่ขยายกำลังออกมาไม่น้อยแล้ว พวกเขานำกำลังออกมาได้แปดพันนับว่ามากแล้ว หากครานี้ได้ตั้งหมื่นกว่า
แสนกว่าต่อหมื่นกว่า ขุนพลเมืองเหลียวโจวล้วนยิ้ม พวกป่าเถื่อนพวกนี้ได้ชัยไปหลายครั้ง จึงได้ลืมตัว คิดจะเอาไข่มากระทบหิน ตนเองรนหาที่ตายก็ย่อมไม่มีผู้ใดคิดจะสงสาร ผลงานเมืองเหลียวโจวคาดว่าอยู่ไม่ไกลแล้ว
“ปากทางเขาซาเอ๋อร์หู่ ที่นี่ผ่านออกไปได้ครั้งละไม่มาก เป็นพื้นที่เหมาะแก่การตั้งค่าย หลี่หรูป๋อนำทหารรักษาการจุดนี้ ห้ามผิดพลาดเด็ดขาด”
“ท่านพ่อ ข้าเข้าบุกได้ มาหยุดที่ซาเอ๋อร์หู่ทำไมกัน ให้…”
“นี่เป็นคำสั่ง!!”
ขณะกำลังหารือเรื่องการเดินทัพ หลี่เฉิงเหลียงตำหนิหลี่หรูป๋ออย่างไม่ไว้หน้า เขาอย่างไรก็เป็นแม่ทัพใหญ่มานาน ปราบมาทั่วสี่ทิศ แต่ในกระโจมนี้ นอกจากรองแม่ทัพหม่าหลิน คนที่เหลือล้วนเป็นเครือญาติลูกหลานหรือไม่ก็บุตรบุญธรรม หลี่หรูป๋อจึงไม่ได้รักษาธรรมเนียม
ถูกหลี่เฉิงเหลียงตำหนิรุนแรงเช่นนี้ หลี่หรูป๋อรีบรับคำสั่ง
“ป้อมเจี้ยฝานไจ้เป็นบริเวณสบแม่น้ำหุนเหอกับแม่น้ำซูจื่อเหอ แม้ว่าป้อมเจี้ยฝานไจ้อยู่ที่สูง แต่ป้อมเจี้ยฝานไจ้พื้นที่แคบ ไม่อาจมีพื้นที่พอสำหรับทหารจำนวนมาก พื้นที่ด้านล่างป้อมเจี้ยฝานไจ้เป็นที่ราบ พวกเขาย่อมตั้งค่ายพักที่นี่ เปิดศึกสู้กันก็ย่อมเป็นที่นี่”
ทุกคนล้วนเป็นพยักหน้า ขุนพลทหารในกระโจมล้วนคุ้นเคยพื้นที่ เมื่อก่อนพวกเขาต้องรับมือเผ่าไท่หนิงกับตั่วเหยียน นำกำลังออกรบนอกด่าน จึงพอรู้เรื่องทางนี้พอสมควร
“แม่ทัพใหญ่ ในเมื่อพวกนอกด่านทางตะวันออกบุกออกมา ข้าน้อยนำกำลังไปตัดเส้นทางเสบียงของพวกขาสองแห่งที่หม่าเอ่อร์ตุ้นกับที่กู่เล่อดีไหม?”
เห็นการจัดการของหลี่เฉิงเหลียง รองแม่ทัพหม่าหลินก็ออกมาคำนับขอออกศึก เขาก้าวออกมาคำนับ บรรดาขุนพลตระกูลหลี่ในกระโจมก็สบตากัน ล้วนไม่พอใจ หม่าหลินเป็นทหาร แต่ทั้งวันเอาแต่แต่งกายแบบบัณฑิตถือพัดจีบ เอาแต่คุยบทกลอนบทกวี เลียนแบบพวกมีความรู้ลัทธิขงจื่อ ขุนพลเมืองเหลียวโจวแต่ไรมาก็ดูแคลน
“ไม่ต้อง ศึกนี้จะต้องชนะเท่านั้น ทัพเราไม่อาจรับผลผิดพลาดใดๆ ได้ ตอนรับศึกต้องทุ่มกำลังทั้งหมดลงไป จัดการปราบพวกนอกด่านทางตะวันออกให้สิ้นซาก หากเป็นแบ่งกำลังออกไปตัดกำลังศัตรู กลับเป็นการง่ายที่จะทำให้ศัตรูหนีกระจัดกระจาย ทัพเราตามไม่ทัน ถึงตอนนั้นกลับต่อยหมัดใส่อากาศ เสียความตั้งใจเดิมในการนำทัพออกศึกครานี้”
“ข้าน้อยบุ่มบ่าม แม่ทัพใหญ่อย่าได้ตำหนิ”
หม่าหลินเป็นคนเข้าใจเรื่องราวในวงการขุนนางมาก รีบคำนับรับคำ หลี่เฉิงเหลียงพยักหน้า หากหม่าหลินไม่ใช่รองแม่ทัพ เขาเองคงไม่พูดมากเช่นนี้ หลี่เฉิงเหลียงไม่กะให้ซุนโส่วเหลียนได้รับความชอบครั้งนี้ เช่นกันกับหม่าหลิน
รองแม่ทัพซุนโส่วเหลียนประจำเหลียวหนานจึงไม่เข้าร่วมการหารือเรื่องการศึกเสียเลย เอาแต่อยู่กองหนุนยุ่งกับงานเสริมประสิทธิภาพกองทัพ เบื้องบนแม้ว่าไม่เห็นเขา แต่คนตรงหน้าใช่ว่าไม่รู้ดีชั่ว ผู้ใดไม่รู้ว่ารองแม่ทัพซุนทำการค้าเก่งกาจ ทุกคนย่อมคิดจะร่ำรวย ก็ต้องอาศัยโอกาสนี้ช่วยงานรองแม่ทัพซุนให้มาก
ซุนโส่วเหลียนเองมีงานที่ต้องทำทุกวัน ทุกวันต้องมีม้าเร็วจากเขาออกไป ม้าวิ่งเข้าด่านไม่หยุดเพื่อนำข่าวไปส่งหวังทง
เรื่องนี้ไม่ได้ปิดบังผู้ใด และก็ไม่ใช่การส่งข่าวให้ศัตรู ข่าวในสนามรบรายงานขุนนางใหญ่ราชสำนัก เหมือนว่าเป็นเรื่องที่ควรกระทำ และทุกคนในกองหนุนก็ล้วนนับถือหน้าตานี้ของรองแม่ทัพซุน จากเสิ่นหยางไปเมืองหลวง เส้นทางต้องมีที่พักระหว่างทางจึงจะสามารถรับประกันความเร็วและราบรื่นของการข่าว ไม่มีม้าร้อยกว่าตัว คนร้อยคนช่วยเหลือ ไม่อาจทำเรื่องเช่นนี้ได้
*************
“ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามระเบียบแบบแผน กลับทำให้ข้ารู้สึกไม่วางใจ!”
ข่าวส่งมาถึงมือหวังทงไม่ขาด กลับทำให้หวังทงวิเคราะห์เช่นนี้ออกมา
“นู่เอ่อร์ฮาชื่อกรำศึกมานานหลายปี ยังเคยประจำอยู่สนามฝึกทหารเมืองเหลียวโจว เรื่องการรบจะไม่รู้ได้อย่างไร รวมกำลังทหารที่ราบเช่นนี้เท่ากับสู้ตาย แม้ว่าเป็นทหารกล้าเผ่าหนี่ว์เจิน แต่จำนวนเหมือนว่าต่างกันมากเกินไป นู่เอ่อร์ฮาชื่อย่อมไม่รนหาที่ตายเช่นนี้แน่นอน”
ยามตนอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ ย่อมมีหลายเรื่องไม่อาจวิเคราะห์กระจ่าง หลี่เฉิงเหลียงอยู่ท่ามกลางสนามรบ ก็ใช่ว่าจะไม่เป็น คนที่สามารถอยู่เมืองหลวงฟังหวังทงวิเคราะห์การทหารไม่มากนัก หม่าซานเปียวกับเฉินต้าเหอล้วนไม่ชำนาญการวางกลศึก คนที่เหลือก็อยู่เมืองกุยฮว่าเฉิงไม่ก็เมืองเทียนจิน
หวังทงกล่าวขึ้น หม่าซานเปียวกล่าวว่า
“ข่าวที่ส่งมาข้าได้อ่านแล้ว พวกทหารนอกด่านทางตะวันออกองอาจกล้าหาญกว่าทหารแผ่นดินหมิงทั่วไป กล้าบุก ไม่กลัวตาย แต่อย่างไรก็คงไม่อาจสู้กันแบบหนึ่งต่อสิบ นับประสาอันใดกับทหารเมืองเหลียวโจวนับแสนครั้งนี้ที่ล้วนเป็นทหารในสังกัด ไม่ว่าคิดอย่างไร พวกนอกด่านทางตะวันออกมีแต่ตายกับตายเท่านั้น”
เผ่าหนี่ว์เจินแต่ละเผ่ามีสายสัมพันธ์นายบ่าว แต่อย่างไรก็มีชีวิตแบบสังคมโบราณ ขูดรีดกันไม่มาก มีชีวิตที่ดีกว่าชาวนาแผ่นดินหมิงอยู่บ้าง คนทางเหนือยังมีรูปร่างสูงใหญ่ รูปแบบสังคมโบราณกับการล่าสัตว์หาปลาทำให้พวกเขามีความสามารถทางการรบและองอาจกว่าทหารทั่วไปมาก
เหล่านี้ล้วนเป็นข้อได้เปรียบพวกเขา ทหารราบแผ่นดินหมิงมักเป็นชาวนาถืออาวุธออกรบ เบี้ยหวัดและเสบียงถูกหัก ปกติถูกด่าทอกดขี่ราวกับทาส ขวัญทหารไม่ต้องกล่าวถึง เทียบกันเช่นนี้ แน่นอนแพ้ชนะชัดเจน ทัพใหญ่เมืองเหลียวโจวเกือบแสน มีทหารเจ็ดส่วนที่เป็นเช่นนี้
แต่เมืองเหลียวโจวมีชื่อเสียงทั่วหล้าด้วยเหตุใด ก็เพราะว่ามีทหารในสังกัดนับหมื่น อาวุธยุทโธปกรณ์ดี มีทหารอาชีพที่กล้าบุกสู้ตาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแกนกลางเมืองเหลียวโจว ต่อหน้ากองกำลังขุนนางบู๊อันดับหนึ่งแผ่นดินหมิง เผ่าหนี่ว์เจินนับหมื่นจะกระไรนัก
เพราะแผนอันตรายเช่นนี้ ดังนั้นในใจหวังทงจึงรู้สึกไม่มั่นใจ การต่อสู้เป็นตายเป็นเรื่องใหญ่ จะให้รับมืออย่างไม่รอบคอบได้อย่างไร ทำเช่นนี้ ย่อมมีแต่เสียเปรียบ
“หลี่เฉิงเหลียงทำเช่นนี้ก็ทำตามระเบียบแบบแผน ทัพใหญ่รวมพลต่อยหมัดออกไป พวกนอกด่านแม้มีแม่ทัพโดดเด่นขึ้นมาสักคน คิดจะโจมตีพิสดาร แต่ต่อหน้าทัพใหญ่เช่นนี้ พวกเขาก็คงไม่อาจทำอันใดได้ ทัพใหญ่ลงมือ แม่ทัพเก่งกล้าทั้งหลายล้วนต้องย่อยยับ นี่คือวิธีการที่ดีรอบด้านที่สุด!”
วาจาเฉินต้าเหอนั้น หวังทงรู้ว่ามาจากที่ใด ตนเองนำทัพปราบเมืองกุยฮว่าเฉิงเคยกล่าวไว้ ลานฝึกหู่เวยเองก็เคยสอนมา
วิพากษ์วิจารณ์ถึงช่วงท้าย หวังทงก็ได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ กล่าวว่า
“พวกเราอยู่ที่นี่ก็ได้แค่คุยกันกระดาษเปล่า ทำอะไรได้ รอดูแล้วกัน!”
ข่าวส่งมา เร็วสุดก็ต้องสิบวัน ข่าวที่หวังทงได้รับล้วนเป็นข่าวเมื่อสิบวันก่อนของเมืองเหลียวโจว ที่รายงานล้วนเป็นเรื่องปกติทั่วไป ล้วนเป็นกระบวนการรบตามปกติ
ขณะที่หวังทงให้ความสนใจกับเจี้ยนโจว ก็มีข่าวจากเมืองจี้โจวมาถึง ว่าตอนนี้ตัวหลุนถูกเผ่าฉาฮาเอ่อร์ครอบครองไปแล้ว แม้ว่าเผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นยังทิ้งคนเฝ้าไว้ แต่เหมือนว่าไม่อาจต้านทานได้
ข่าวนี้ได้รับการรับรองกับกลุ่มพ่อค้าติดอาวุธแล้ว กลุ่มพ่อค้าติดอาวุธเข้าสู่ตัวหลุนชุดแรก พบว่าถูกทหารม้าและชาวเลี้ยงสัตว์จากเผ่าฉาฮาเอ่อร์ไล่ล่า เผ่าเคอเอ่อร์ชิ่นน้อยมาก มีบ้างบางตา พบว่าส่วนใหญ่เป็นพวกเด็กและคนแก่อ่อนแอในชนเผ่า หลายคนอพยพไปทางตะวันออก
วันที่ 2 เดือนสิบปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 ใกล้เปิดศึกใหญ่ที่เจี้ยนโจว ข่าวที่มาเมืองหลวงยังคงเป็นคืนก่อนการรบ ก็พวกเรื่องขุนพลทหารเตรียมออกรบเรียบร้อย พรุ่งนี้ขอให้สวรรค์คุ้มครอง อย่างไรก็ต้องได้รับชัยชนะ เป็นต้น หวังทงได้ข่าวมาก็เหมือนกัน ทุกอย่างปกติ
**************
วันที่ 3 เดือนสิบ ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 ทหารเฝ้าประตูทักษิณของเมืองหลวงกำลังพิงกำแพงตากอาทิตย์อัสดง อากาศเริ่มเย็น อาทิตย์ยามบ่ายสาดกระทบตัว ทำให้รู้สึกอุ่นสบาย เป็นความสุขที่ยากจะได้รับในวันๆ หนึ่ง
ยามกำลังหลับตาพริ้มรับแสงตะวัน ก็ได้ยินเสียงวุ่นวายเอะอะ พอลืมตามอง ก็เห็นคนและรถม้าหน้าประตูเมืองพากันหลบ มีคนขี่ม้ามุ่งทะยานมาอย่างเร็ว
ทหารหน้าประตูเมืองล้วนมีประสบการณ์มาก มีคนคิดเข้าไปกระชากม้ามา นายกองพันผู้หนึ่งตะโกนดังให้กั้นไว้ บีบให้คนบนหลังม้าต้องหยุด ตะโกนด่าเสียงดัง
“เมืองหลวงที่ประทับ เข้าเมืองต้องตรวจสอบ พวกเจ้าดูแล้วก็เหมือนเป็นขุนนาง ไม่รู้ธรรมเนียมหรือ!?”
“รีบปล่อยข้าเข้าเมือง เมืองเหลียวโจวมีรายงานด่วน เมืองเหลียวโจวมีรายงานด่วน!!”
ตอนที่ 973 ยินดีกับฝ่าบาท
โดย
Ink Stone_Fantasy
กองทัพเมืองเหลียวโจวพ่ายศึกที่ป้อมเจี้ยฝานไจ้ ทหารที่มาแจ้งข่าวลนลานรายงานข่าวด่วนเช่นนี้
ตามเวลาที่คำนวณได้ ข่าวนี้มาเร็วกว่าปกติสองวัน เพราะซุนโส่วเหลียนรายงานข่าวมายังหวังทงเป็นปกติอยู่ ตามปกติที่ตกลงกัน แต่รายงานข่าวการรบครั้งนี้เหมือนว่ามาอย่างไม่กลัวว่าม้าจะตาย ตลอดทางวิ่งไม่หยุด ม้าวิ่งตายไปหลายตัว
ความจริงนั้นที่หน้าประตูเมือง ม้าก็หมดแรงล้มพับกับพื้นตรงนั้นแล้ว ปากก็พ่นฟองออกมาก่อนจะกระตุกสิ้นใจ แต่คนนำข่าวก็ไม่อาจสนใจม้า
กาประชุมราชสำนักเพิ่งจะเลิก ข่าวด่วนก็มาถึงในวัง ขันทีพากันรีบวิ่งมาเรียกให้ขุนนางใหญ่ทุกคนกลับไป หวังทงก็เช่นกัน
ไม่รู้ว่าเรื่องใด ได้ยินแล้วหวังทงที่ใจเต้นก็เริ่มผ่อนลง แต่ทว่าสังเกตเห็นว่า บรรดาขุนนางราชสำนักมองเขาไม่เป็นมิตรนัก เมืองเหลียวโจวยกทัพปราบเผ่าหนี่ว์เจิน เป็นหวังทงผลักดันเบื้องหลัง แม้ว่าในกระบวนการนั้น ไม่อาจเอาผิดไปถึงหวังทงได้ แต่ทุกคนล้วนเข้าใจ
เพิ่งจะมีรายงานการรบมา เป็นรายงานนอกกำแพงเมืองชายแดนเมืองเหลียวโจวห่างออกไปพันลี้ ความเศร้าสลดแผ่ไปทั่ว แต่ทุกคนไม่ได้มีท่าทีแตกตื่น เพียงแค่หารือว่าควรทำเช่นไร
ตอนนี้ทุกอย่างล้วนไม่แน่ชัด ก็ไม่อาจทำการวิเคราะห์อะไรได้กระจ่างนัก ได้แต่สั่งการไปตามระเบียบ ให้เมืองจี้โจวและเมืองเซวียนฝู่ รวมทั้งกองกำลังเมืองหลวงออกรับศึก เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด มีราชโองการให้ผู้ว่าการเขตจี้เหลียวเข้าบัญชาการที่เมืองเหลียวโจว ตรวจสอบความจริงให้กระจ่าง คุมสถานการณ์ให้นิ่ง ส่งสำนักบูรพา สำนักองครักษ์เสื้อแพรและขุนนางกรมทหารไปยังเมืองเหลียวโจวเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์
วิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้จบลง สำนักส่วนพระองค์กับคณะเสนาบดีใหญ่ล้วนจัดการงานในกระบวนการของตนเสร็จอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ส่งให้คนนำขึ้นทูลเกล้าอย่างเร่งด่วน
ขุนนางทั้งหลายออกไป หวังทงถูกเรียกเข้าเฝ้าส่วนพระองค์ เห็นสภาพการณ์เช่นนี้ บรรดาขุนนางใหญ่ราชสำนักล้วนเข้าใจสถานการณ์แล้ว หวังทงอย่างน้อยในตอนนี้ก็ไม่ได้กระทบอันใดจากการพ่ายศึกของเมืองเหลียวโจว อย่างน้อยฮ่องเต้ว่านลี่ก็มิได้ทรงกริ้วหรือเอาผิด ยังรั้งตัวไว้หารือต่อ ยังคงเป็นขุนนางคนสนิทดังเดิม
“หวังทง เจ้าว่าอย่างไร?”
ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์เรียบเฉย แต่แสดงให้เห็นชัดว่าทรงกำลังร้อนพระทัยอย่างยิ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่หลังได้รับการฝึกจากลานฝึกหู่เวยมา ทำให้ทรงรู้สึกรับไม่ได้กับการพ่ายศึก เมืองเหลียวโจวออกปราบเผ่าหนี่ว์เจิน ฮ่องเต้ว่านลี่เดิมทีก็รอคอย กลับคิดไม่ถึงว่าผลเป็นเช่นนี้ จะให้ไม่ทรงกริ้วก็ยาก
“ฝ่าบาท ตอนนี้เราได้ฟังความจากแค่ทหารส่งข่าวคนเดียว ยังไม่อาจเชื่อถือได้ อีกสามวันหรือสี่วัน รอการข่าวที่แน่นอนมาก่อน ถึงตอนนั้นค่อยหาทางก็ยังไม่สายพะยะค่ะ”
หวังทงตอบเรียบๆ เถียนอี้ยืนข้างหลังฮ่องเต้ว่านลี่คิดกล่าว แต่ก็อดไว้ ไม่ได้เอ่ยขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงคว้าพู่กันมาด้ามหนึ่งมากดลงบนโต๊ะ ตรัสว่า
“ชนะย่อมไม่จำเป็นต้องกล่าวอันใด แต่สถานการณ์ตอนนี้ดูแล้ว เมืองเหลียวโจวคงพ่ายแล้ว หากพ่ายจริง เจ้าเห็นอย่างไร?”
หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง คิดอยู่นานอย่างไตร่ตรองหนักก่อนจะทูลว่า
“หากแพ้จริง กระหม่อมยินดีกับฝ่าบาท ยินดีกับฝ่าบาทพะยะค่ะ!”
“หวังทง ต่อหน้าพระพักตร์ เจ้ากล้ากล่าววาจาเหิมเกริมเช่นนี้ได้อย่างไร เมืองชายแดนแผ่นดินหมิงพ่ายศึก มีอันใดน่ายินดี!?”
เถียนอี้ด้านหลังฮ่องเต้ว่านลี่ในที่สุดก็อดไม่ได้ ส่งเสียงตำหนิ ฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์ เถียนอี้รีบหยุด ฮ่องเต้ว่านลี่จ้องมองสีหน้าหวังทง ตรัสว่า
“เรารู้ว่าเจ้าไม่ได้ล้อเล่น และก็ไม่กล่าวอันใดล้อเล่นในสถานการณ์เช่นตอนนี้ ว่ามา ไยต้องยินดี?”
หวังทงถวายบังคมก่อนกราบทูลว่า
“ฝ่าบาท หากเมืองเหลียวโจวพ่าย แม้กำลังจะสูญเสีย แต่เขาก็จะไม่ได้มีกำลังเหมือนเดิม ราชสำนักคิดปฏิรูปเมืองชายแดน ในระบบเมืองชายแดน เมืองที่ได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือเมืองเหลียวโจว กำลังแท้จริงที่เข้มแข็งที่สุดก็คือเมืองเหลียวโจว เขากุมกำลังทหารมาก ยังอยู่ใกล้เมืองหลวง หากเขาค้าน ปฏิรูปเมืองชายแดนก็ย่อมประสบความยากลำบาก ตอนนี้อุปสรรคหมดไปแล้ว ฝ่าบาทสามารถลงมือปฏิรูปได้แล้ว นี่คือประเด็นแรก ยังมีอีกประเด็น เมืองเหลียวโจวครองพื้นที่กว้างขวาง เทียบกับมณฑลในด่านแล้วไม่ได้ด้อยไปกว่า เมืองเหลียวโจวแม้ว่าอากาศหนาวเย็น แต่ดินอุดมสมบูรณ์ ผลผลิตมากมาย เดิมควรทูลเกล้าถวายพื้นที่นี้แด่ฝ่าบาท แต่เพราะเป็นระบบมณฑลทหาร ทุกอย่างล้วนเป็นของตนเองไป ราชสำนักยังต้องจ่ายเงินให้ทุกปีอีก ตอนนี้ราชสำนักสามารถจัดการให้เมืองเหลียวโจวเป็นมณฑลเหลียว ส่งขุนนางบุ๋นไปเก็บภาษีได้ จากมณฑลทหารให้กลายเป็นมณฑลทั่วไป ก็เท่ากับฝ่าบาทขยายดินแดนออกไป หรือว่านี่มิใช่เรื่องน่ายินดีหรือพะยะค่ะ?”
ชายแดนทั้งเก้าแน่นอนย่อมเป็นแผ่นดินหมิงครอบครอง แต่ทว่าเมืองเหลียวโจว เงินทองทั้งหมดตกอยู่กับตระกูลทหาร ทหารตระกูลหลี่จัดการหมด แม้ว่าฟังคำสั่งราชสำนัก แต่พื้นที่เช่นนี้บอกว่าเป็นของตระกูลหลี่ย่อมไม่อาจยอมได้ หากสามารถส่งขุนนางไปปกครองได้ เก็บภาษีได้ แน่นอนย่อมไม่เหมือนเดิม ต้องรู้ว่าเมืองเหลียวโจวมีประชากรมาก ที่นาขนาดใหญ่ ยังมีผลประโยชน์หลายทาง นี่เรียกได้ว่าเป็นผลประโยชน์ก้อนโตก้อนหนึ่ง
แต่หวังทงกล่าวเช่นนี้ ท่าทีฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยังคงเดิม พระหัตถ์กดพู่กันแน่น ตรัสถามขึ้น
“เมืองเหลียวโจวพ่ายแพ้ใหญ่ พวกนอกด่านบุกมา เรื่องนี้ไม่แก้ไข จะคุยเรื่องปฏิรูปเมืองชายแดนอันใด พูดเรื่องตั้งเป็นมณฑลอันใดกัน!”
“ฝ่าบาท พวกนอกด่านทางตะวันออกเป็นเรื่องเล็ก ช้าเร็วก็ย่อมทำลายทิ้งได้!”
หวังทงตอบง่ายแต่มั่นใจ ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป เถียนอี้เองก็อึ้งไป ตามมาด้วยเถียนอี้คิดตำหนิ แต่สองคนล้วนไม่กล่าวอันใด ‘ช้าเร็วก็ย่อมทำลายทิ้งได้’ วาจานี้พูดง่าย แต่เรียกว่าเหิมเกริมยิ่ง แต่พอมาคิดดูคนพูดคือหวังทง กลับทำให้ไม่อาจโต้กลับได้ คิดถึงชัยชนะที่ผ่านมาของหวังทงแล้ว ก็ยังคงทำให้หลายคนไม่อาจกล่าวอันใดได้
ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตรัสขึ้นว่า
“เจ้าออกไปก่อน รอข่าวละเอียดมา ค่อยมาหารือกันใหม่”
**************
จากนั้นสี่วัน ข่าวละเอียดก็มาถึงเมืองหลวง เป็นคนสนิทหลี่เฉิงเหลียงเขียนมา ยังมีรายงานข่าวละเอียดจากซุนโส่วเหลียน
หลี่เฉิงเหลียงยังรายงานการข่าวมาได้อย่างสงบนิ่ง แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายมาก แน่นอน สามารถปิดบังได้ก็จะปิดบัง เรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก นี่เป็นธรรมเนียมฎีการายงานการศึก
แม้เป็นเช่นนี้ แต่ก็ยังต้องยอมรับว่าทัพเมืองเหลียวโจวบาดเจ็บล้มตายนับหมื่น ทัพแตกกระจัดกระจายไป ศัตรูเข้าประชิดฝู่ซุ่น ขอราชสำนักส่งทหารไปช่วย ขุนนางยังคงมีท่าทีเช่นนี้ ความจริงคิดก็ออกว่าเป็นอย่างไร ข่าวจากซุนโส่วเหลียนข่าวกับหลี่เฉิงเหลียงไม่แตกต่างกันมาก ทำให้หวังทงแปลกใจ
แต่ทว่าแค่ทหารเผ่าหนี่ว์เจินทางตะวันออกไม่น่าจะได้ชัยเช่นนี้ หลี่เฉิงเหลียงว่าพวกทหารเผ่าหนี่ว์เจินทางตะวันออกเข้าร่วมการรบนี้สองหมื่นได้ ซุนโส่วเหลียนได้ตัวเลขที่น่าเชื่อกว่า ก็คือหมื่นห้ากว่า แต่ทำให้เมืองเหลียวโจวพ่ายศึกกลับไม่ใช่เผ่าหนี่ว์เจิน
***************
เผ่าหนี่ว์เจินตะวันออกอย่างไรก็เป็นแค่ชาวบ้านตั้งที่อยู่เป็นหลักแหล่ง รู้จักการสร้างเมืองสร้างบ้าน ก็หมายความว่า พวกเขายังคงมีความสามารถในการก่อสร้างที่พักอาศัย โดยเฉพาะเผ่าเจี้ยนโจวหลายคนเคยมาเป็นทหารที่เมืองเหลียวโจว ค่อนข้างมีความเข้าใจเรื่องพวกนี้มาก ถึงกับรู้จักใช้ความสามารถเหล่านี้
สนามรบห่างจากป้อมเจี้ยฝานไจ้ไม่ไกลนัก เป็นที่ราบ ที่นั่นเป็นสบแม่น้ำหุนเหอกับแม่น้ำซูจื่อเหอ เผ่าหนี่ว์เจินทางตะวันออกรวมกำลังตั้งหลักสองที่ หนึ่งก็คือที่ป้อมเจี้ยฝานไจ้ อีกหนึ่งก็คือสบแม่น้ำ
นอกป้อมเจี้ยฝานไจ้ก่อกำแพงไม้ล้อมรอบ ที่สบแม่น้ำ ก็ใช้ความได้เปรียบพื้นที่สร้างคูน้ำ ใช้ไม้และอิฐก่อสร้างกำแพงเตี้ยๆ ในฤดูนี้ สองแม่น้ำไม่อาจเรียกว่าเป็นที่กั้นทางธรรมชาติได้ เพราะน้ำแห้ง น้ำไม่ลึกนัก และยังมีน้ำแข็งให้เดินได้
เผ่าหนี่ว์เจินตัดสินใจสู้ที่นี่ ยุทธวิธีรบก็ทำให้หลี่เฉิงเหลียงแปลกใจ อย่างไรก็สองฝ่ายก็สามารถเลือกออกรบกลางสนามได้ รบกันอย่างไรอย่างน้อยก็หนีได้ แต่หากสู้กันที่ป้อม แม้จะปลอดภัย แต่เหมือนปิดล้อมตนเองอยู่ในนั้น ถึงตอนนั้นก็ไม่อาจหนีได้
แต่การจัดการเช่นนี้ก็เป็นไปตามที่หลี่เฉิงเหลียงคิด เดิมทีครั้งนี้จะต้องได้ชัยเด็ดขาด รบอย่างไรก็ไม่ต้องห่วงว่าอีกฝ่ายจะแตกกระจัดกระจายสู่ทุ่งหญ้า สองที่นี้ทำให้กองกำลังหมิงได้แต่บุกอย่างเดียว ไม่อาจใช้ยุทธวิธีใดได้อีก
ป้อมเจี้ยฝานไจ้สร้างเครื่องป้องกันหลากหลาย เช่นว่า มีท่อนไม้หลายท่อนตัดขวางไว้ กระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ เส้นทางล้วนมีแต่บ่อมีแต่คู เช่นนี้ทำให้ทหารเดินผ่านได้ แต่ปืนใหญ่กองกำลังหมิงหนักมาก ไม่อาจขึ้นเขาได้ หรือหากคิดจะขึ้นเขาจริงก็ต้องใช้กำลังคนและเวลามาก
ทิศทางโจมตีแน่นอนเป็นพื้นที่สบแม่น้ำ หลี่เฉิงเหลียงนำทัพ ส่วนเรื่องโจมตีป้อมเจี้ยฝานไจ้เป็นหน้าที่หลี่หรูป๋อ
หลี่หรูป๋อขี้เกียจลากปืนใหญ่ขึ้นไปตีป้อมที่ตั้งในที่สูง ป้อมเจี้ยฝานไจ้มีแค่สี่พันนายรักษาการ เขานำทหารบุกโจมตีเอาเลยก็แล้วกัน
การต่อสู้เป็นไปอย่างยากลำบาก ไม่ได้ประโยชน์จากพื้นที่ อีกฝ่ายอยู่สูงกว่า ยิงธนูลงมาเป็นส่วนใหญ่ ธนูเผ่าหนี่ว์เจินยิงไม่ไกล แต่หัวธนูหนักมาก ถูกยิงโดนก็เรียกว่าแผลใหญ่ เสียกำลังการต่อสู้ทันที ธนูกองกำลังหมิงยิงมุมหงาย อีกฝ่ายป้องกันได้ดี ไม่อาจทำอันตรายศัตรูได้
การต่อสู้แบบเนื้อปะทะเนื้อ ทหารเผ่าหนี่ว์เจินได้เปรียบเรื่องชัยภูมิ และไม่กลัวตาย บุกเข้าไปหลายคราล้วนถูกตีกลับมา ไปมาหลายรอบ กำลังโจมตีป้อมเจี้ยฝานไจ้ก็หมดแรง หลี่หรูป๋อไม่รู้ทำเช่นไร ได้แต่ถอนกำลัง เริ่มจัดการรบใหม่
ในเมื่อใช้คนตีไม่เข้า ก็ต้องเก็บกวาดสิ่งกีดขวางเสียก่อน ลากปืนใหญ่ขึ้นไปยิง แต่จะทำเช่นไร ทหารเผ่าหนี่ว์เจินป้อมเจี้ยฝานไจ้ออกมาสู้แล้ว สังหารไประลอกหนึ่งก็กลับเข้าป้อมไป ทำให้ทุกอย่างยิ่งช้าลง ยิ่งต้องส่งกำลังไปป้องกันให้มากขึ้น
ในระหว่างการต่อสู้ก็เป็นไปอย่างปกติ เริ่มแรกหลี่เฉิงเหลียงใช้ปืนใหญ่ ปืนใหญ่โรงช่างสามธาราแพงเกินไป ตระกูลหลี่ยังคงใช้ปืนใหญ่โบราณกองกำลังหมิง นี่ก็เป็นปัญหา คนยิงปืนใหญ่เป็นไม่มาก พวกที่เตรียมปืนใหญ่เป็นยิ่งน้อย คนพวกนี้ต้องมีคนมาเสริมกำลังให้พอ
ระดมยิงไประลอกหนึ่ง ปืนใหญ่ก็ร้อนมาก ความยุ่งยากก็เกิดขึ้น และยังทิ้งกระสุนปืนไว้กองหลังอีก ผลการยิงไม่ค่อยดีนัก เช่นนั้นก็คงได้แต่ใช้ทหารบุกเข้าไปแทน แต่ความจริงนั้นก็ประสบภาวะเช่นเดียวกับการโจมตีป้อมเจี้ยฝานไจ้ แต่ละหน่วยไม่อาจตัดใจส่งทหารสังกัดเข้าไปสูญเสีย แต่ทหารธรรมดาก็ไม่อาจสู้ทหารเผ่าหนี่ว์เจินได้จริงๆ ทหารองอาจกล้าหาญไม่เท่ากัน และยังเป็นพื้นที่รบกว้าง มีแม่น้ำสองสายเป็นเขตแดน ความจริงนั้นคือจำนวนคนเมืองเหลียวโจวไม่เป็นที่ได้เปรียบอีกแล้ว และไม่อาจกดดันอีกฝ่ายได้สักเท่าไร
การต่อสู้ดำเนินไปได้สองชั่วยาม ทางใต้ทัพใหญ่ฝั่งขวา ก็มีทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินสองพันกว่า แต่การโจมตีครั้งนี้เป็นไปตามความคาดหมายของหลี่เฉิงเหลียง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น