ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 97-110
ตอนที่ 97 หากไม่อยากตาย ก็นอนลงให้ดีๆ
แต่เพราะเห็นนางที่ท่าทางจะเป็นจะตายอยู่รอมร่อ เขาก็ไม่อาจหักใจลงมืออำมหิตได้
คางของตู๋กูซิงหลันถูกเขาบีบจนเกือบจะเบี้ยวไปแล้ว นางจับมือของเขาเอามือไว้อุทรณ์เอาๆ ว่า “ขอแค่ฝ่าบาทไม่หล่นไปในสุสานอีก ก็ย่อมไม่มีครั้งหน้าแล้ว”
พอประโยคนี้เข้าพระกรรณของจีเฉวียน เขาก็รู้ว่าสตรีนางนี้คิดว่าเขากำลังอาลัยสมบัติในสุสานของเย่วฮูหยิน นางกลัวว่าเขาจะหวนกลับไปขุดสุสานอีก
ถึงแม้ว่าเขาจะคิดเสียดายอยู่บ้างก็จริง
เขาไม่ตรัสตอบ ทั้งยังไม่ปล่อยมือ กลับเอาแต่จดจ้องมองนางอยู่เช่นนั้น มองเสียจนตู๋กูซิงหลันคิดว่าใบหน้านางมีก้อนทองงอกเงยออกมาหรือไร
นางถอนใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง ก็เบือนหน้าหนีไป “ตอนนี้……เลยเวลาเย็นมามากแล้ว หม่อมฉันควรจะกลับไปตำหนักเฟิงหมิงได้แล้ว”
เพียงแค่นางขยับตัวเล็กน้อย หัตถ์อีกข้างของจีเฉวียนก็ยกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คว้าใบหูของนางเอาไว้ สองพระเนตรข่มขู่นางอย่างเต็มที่ “หากไม่อยากตาย ก็นอนลงให้ดีๆ “
ถึงขั้นกระอักเลือดออกมาเสียอย่างนั้นแล้ว ยังไม่รู้จักนอนพักผ่อนให้สงบเสงี่ยม ทำไม หรือยังจะคิดออกไปหาจีเย่ว์อีก?
ตู๋กูซิงหลันได้แต่จำยอมอย่างเงียบๆ ……นางเงยหน้าขึ้นมองจีเฉวียน ทำไมถึงได้รู้สึกว่าวันนี้เขาดูแปลกๆ ทั้งจับคางทั้งต้อนเข้ามุม คิดว่าตัวเองเป็นตัวเอกละครน้ำเน่าหรือยังไง?
ชาติก่อนของเจ๊เจอพระเอกละครน้ำเน่ามองยังเยอะกว่าที่เจ้าเคยกินเกลือมาชั่วชีวิตเสียอีก
ประโยคต่อไปคงไม่ใช่ว่า ‘สาวน้อย เจ้าล่อลวงความสนใจของข้าได้สำเร็จแล้ว’ หรอกนะ?
พอคิดได้ถึงตรงนี้ นางก็เห็นเขาริมฝีปากแดงฉ่ำของเขาเข้ามาใกล้
เขายังไม่ทันได้ตรัสออกไป ก็ได้ยินตู๋กูซิงหลันส่งเสียงดังอย่างจริงจังว่า “ฝ่าบาท หางตาท่านมีขี้ตาติดอยู่! “
จีเฉวียน “…….”
“หม่อมฉันพูดจริงๆ นะ! เป็นสีเหลืองๆ เลย ก้อนใหญ่มาก! ช่วงนี้พระองค์ทรงร้อนในใช่ไหม! ” ตู๋กูซิงหลันเกรงว่าเขาจะไม่เชื่อ ก็รีบยื่นมือออกไปจะปัดให้
จีเฉวียนทางหนึ่งปัดมือของนางออกไป เขารีบหันหลังให้นางจัดแจงลูบตาตนเอง
สลบไปสามวันเต็ม ตื่นมาก็ลืมล้างหน้าไปเสีย
ช่างสมควรตาย พอถูตาดูก็มีขี้ตาหลุดออกมาก้อนหนึ่งจริงๆ แถมยังแข็งมากด้วย สกปรกสุดๆ!
เขาเสด็จลงจากเบาะอ่อน ทั้งๆ ที่ยังหันหลังให้กับนาง “เจ้านอนอยู่นี่ให้เราแต่โดยดี หากว่าก้าววิ่งวุ่นวายแม้แต่ก้าวเดียว เราจะตัดขาเจ้าทิ้งเสีย! “
ตรัสแล้วก็เสด็จออกจากตำหนักไปราวกับสายลมหอบหนึ่ง ทิ้งตู๋กูซิงหลันที่มีแต่สีหน้างงงวยเอาไว้
จนกระทั่งดึกดื่นมากแล้ว ก็ยังไม่เห็นเขากลับมา
ในพระตำหนักเคว้งคว้างว่างเปล่า เทียนก็ดับไปเสียแล้ว แถมยังไม่มีใครมาคอยดูแล
ตู๋กูซิงหลันนอนพิงเบาะนุ่มอยู่เพียงลำพัง ในดวงตามีแววแจ่มใส
นางยื่นมือออกมา ใจกลางฝ่ามือมีหมอกดำกลุ่มหนึ่ง ใจกลางหมอกดำนี้คือหยกสรรพชีวิตนั่นเอง
ในภพก่อนหน้า หยกสรรพชีวิตนี้เป็นสิ่งที่มีสัญญาผูกพันกับนาง มันสามารถเข้าออกภายในร่างกายของนางได้อย่างอิสระ คิดไม่ถึงว่าในโลกนี้ สัญญานั้นก็ยังไม่เสื่อมลง
นางกำเศษหยกนั้นเอาไว้ ท่องคาถาออกมาหลายคำ หมอกดำที่กระจายอยู่ก็ดูดซึมกลับเข้าไปภายใน จากนั้นหมอกดำนั้นก็ก็ค่อยๆ ไหลออกมาจากร่างนางอีกครั้ง ก่อตัวเป็นจิตวิญญาณดวงหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันมองดูจิตวิญญาณที่เกือบจะโปร่งใสนั้น ดวงจิตนั้นก็จ้องมองมาที่นาง ในสายตานั้นมีแววประหลาดใจจนยากจะเชื่ออยู่ด้วย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นะเอง ” ผ่านไปครู่หนึ่ง ตู๋กูซิงหลันถึงได้เปิดปากกล่าวออกมา “เจ้าได้ทิ้งจิตใจส่วนสุดท้ายเอาไว้ในร่างกาย ทั้งหมดนั่นคือความคะนึงหาจีเย่ว์”
เมื่อได้ยินชื่อจีเย่ว์สองคำ ดวงจิตนั้นก็เกิดปฎิกิริยาขึ้นมา
นางจดจ้องมองตู๋กูซิงหลัน ด้วยความเจ็บช้ำ “ข้าวางเขาไม่ลง”
“หากว่าดวงจิตของเจ้ายังสามารถทนต่อร่างนี้ได้ ข้าก็จะคืนร่างนี้ให้ ” ตู๋กูซิงหลันบอกออกไป “สำนักหุบเขาภูติของข้าแต่ไหนแต่ไรไม่เคยกระทำเรื่องยึดร่างผู้คน มาเป็นของตนพวกนี้”
เรื่องที่ข้ามภพมาเข้าในร่างนี้ ถือว่าเป็นอุบัติเหตุ เดิมทีคิดว่าร่างนี้เพียงแต่ยังมีความอาวรณ์หลงเหลืออยู่เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะยังมีเศษเสี้ยวของดวงจิตหลงเหลืออยู่ด้วย
ตอนนี้ชิ้นส่วนของหยกสรรพชีวิตอยู่ ยิ่งได้รู้ถึงการคงอยู่ของนางแล้ว สิ่งที่เป็นของผู้อื่น ย่อมสมควรคืนไปให้เจ้าของ
นี่คือนิสัยที่แท้จริงของนาง
“ไม่….” ดวงจิตนั้นส่ายศีรษะ “หากว่าเจ้าไม่มาที่นี่ละก็ ร่างของข้าก็คงจะตายไปแล้ว ดวงจิตของข้าก็คงไม่อาจแฝงอยู่ได้จนถึงวันนี้ ยามนี้ เจ้าก็คือตู๋กูซิงหลัน”
“ต่อให้เจ้าคืนร่างกายให้ข้า แต่ว่าข้าก้ไม่อาจอยู่ต่อไปได้อีกแล้ว”
“ข้าเพียงแต่………อาวรณ์ไม่อาจพรากจาก เจ้ายังไม่เคยมีรักแท้ ย่อมไม่อาจเข้าใจ”
ตู๋กูซิงหลัน “??? ” ทำไมจะต้องมาลงที่คนโสดเช่นนางด้วย? คนไม่เคยกินเนื้อหมา ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นหมาวิ่งเสียหน่อย ใครว่าข้าไม่เข้าใจ!
” ข้ากับเขาเดิมทีสมควรเป็นเนื้อคู่สวรรค์สร้างของกันและกัน น่าเสียดายเพราะเหตุการณ์เปลี่ยนแผ่นดิน ข้ารู้ดี ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือการได้ครองบัลลังก์นั้น เขาขอร้องข้า ดังนั้นข้าจึงยินยอมอภิเษกกับอดีตฮ่องเต้ เพื่อสนับสนุนให้เขาได้สำเร็จกิจการใหญ่”
ตู๋กูซิงหลันจับประเด็นสำคัญได้ในทันที ‘จีเย่ว์เป็นคนเอ่ยปากขอร้องเจ้าของร่างเดิม’ เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าขอร่างเดิมก็ไม่ได้แต่งให้กับอดีตฮ่องเต้อย่างหุนหันพลันแล่น
ถูกจีเย่ว์ชักจูงหรือ?
“แต่ว่าทำไมเขา….ต้องใช้วิธีการส่งข้าไปขึ้นเตียงของฮ่องเต้องค์ใหม่เช่นนี้ด้วย? “
“เจ้าก็รู้ว่าใจของข้าไม่อาจสงบได้ ข้ารักเขามากมายขนาดไหน! “
ดวงจิตนี้ยิ่งกล่าววาจา ก็ยิ่งเกิดความอารมณ์ นางคุกเข่าลงตรงหน้าตู๋กูซิงหลัน “ข้าเพียงอยากรู้ ไยเขาต้องทำกับข้าเช่นนี้! ขอท่านได้โปรดช่วยข้าด้วย หากได้รู้ความจริงข้าก็จะไม่ต้องอาวรณ์อีก เมื่อสลายบ่วงกรรมนี้ได้ ต่อไปก็จะไม่รบกวนเจ้าอีกแล้ว”
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกปวดฟันมากจริงๆ วันๆ ต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้
เจ้าของร่างเดิมมีรักลึกล้ำยิ่งกว่าชีวิตให้กับจีเย่ว์ ส่วนนางที่เป็นส่วนเกินไม่ได้ทันดูตาม้าตาเรือก็มาเข้าร่างนี้เข้าพอดี
หากว่าจีเย่ว์เป็นบุรุษชั่วร้ายก็แล้วไป อย่างน้อยๆ ตัวนางเองจะได้ไม่ต้องมาปวดใจไปด้วย
แต่ว่าถ้าเกิดจีเย่ว์เองก็รักเจ้าของร่างเดิมด้วยความจริงใจเล่า……นี่ไม่เท่ากับว่าเป็นการจับแยกคู่รักนกกระเรียนทั้งเป็นหรอกหรือ?
เรื่องเลวๆ แบบนี้ทำไมจะต้องให้นางมาเป็นคนทำด้วยนะ?
เมื่อเห็นว่านางไม่ยอมรับปาก ดวงจิตก็เริ่มโขกศีรษะให้กับนาง “ข้ารู้ว่าท่านเป็นผู้ที่มีความสามารถยิ่งใหญ่ ขอร้องท่านเถอะ! “
ตู๋กูซิงหลันทอดถอนใจยาวเหยียด นางขยับมือเบาๆ ไอสีดำที่รายล้อมก้อนหยกกลุ่มนั้นก็ซึมกลับเข้าไปในร่างกายอีกครั้ง
นางอยากจะกลายเป็นปลาตายไปซะจริงๆ อะไรๆ ก็จะได้ไม่ต้องไปสนใจ
……………………………….
ไทเฮาน้อยที่พึ่งเสด็จกลับจากการไหว้บรรพชน พำนักในพระตำหนักตี้หัวคืนหนึ่ง
ข่าวนี้สร้างความตระหนกไปทั่วทั้งวังหลวง
เหล่าสนมทั้งหลายต่างกระทืบเทาร่ำร้องเป็นการใหญ่ มีแต่ฟ้าดินที่รู้ว่า เพื่อจะได้เป็นสตรีคนแรกที่ได้ค้างคืนในพระตำหนักตี้หัว พวกนางแต่ละคนต่างก็ต้องทึ้งหัวตัวเองไปแล้วกี่ครั้ง คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายกลับกลายเป็นหินรองเท้าให้กับไทเฮาไป?
ไม่รู้เพราะเหตุใด เต๋อเฟยกลับถูกส่งไปยังตำหนักเย็นแล้ว แม้แต่นางกำนัลคนสนิทของนางเองยังถูกขับไล่ไปแผนกทำความสะอาด
นี่ยังไม่จนไม่สิ้น ตอนเช้าตรู่พระตำหนักตี้หัวยังถ่ายทอดรับสั่ง ว่าเรื่องที่ไทเฮาเคยปีนเตียงมังกรนั้น เป้นเพราะถูกเต๋อเฟยวางแผนให้ร้าย บัดนี้ความจริงปรากฎ ฝ่าบาทมีพระเมตตา คืนความบริสุทธื์ให้กับไทเฮา ทั้งยังพระราชทานพระตำหนักเฟิ่งหมิงให้พำนักตลอดไป
พวกนางแต่ละคนช่างตาบอดนัก ถูกเต๋อเฟยลวงไม่อาจแยกแยะก็แล้วไป แต่กลับดูถูกเหยียดหยามตู๋กูซิงหลันไว้อย่างสาหัสนี่สิ
ใครจะไปคิดได้ว่า นางจะสามารถอาศัยมือเปล่าวาดลวดลายออกมาได้ กลายเป็นปลาตายพลิกตัวได้สำเร็จ
คราวนี้ เหล่าสนมนางกำนัลทั้งหลายต่างอิจฉาตาร้อนกันยกใหญ่
แต่ว่าตู๋กูซิงหลันกลับพำนักอยู่ในพระตำหนักตี้หัวถึงสามวัน ถึงได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ให้กลับตำหนักเฟิ่งหมิงได้
หลี่กงกงเป็นผู้พามาส่งด้วยตนเอง
ทันทีที่เข้ามาในตึกข้างของตำหนัก ก็ถูกสมบัติแก้วแหวนเงินทองมากมายทำเอาชะงักจนตาลาย
“นายหญิง หลายวันนี้ที่ท่านไม่อยู่ เหล่าพระสนมในตำหนักต่างๆ พากันแสดงความกตัญญูออกมา ส่งสิ่งของมามากมาย บ่าวไม่กล้าหยิบจับวุ่นวาย” เชียนเชียนที่แทบจะถูกข้าวของต่างๆ กองทับไว้ได้แต่โผล่หน้าออกมาพูดกับนาง
ตอนที่ 98 ไก่ติ๊งต๊อง ไม่จำเป็นต้องมี...
“กุ๊กๆ กรู้~” เจ้าไก่ขนดำตัวฟูตัวนั้นยืนอยู่บนมุมหนึ่งของกองของขวัญ พอมองเห็นตู๋กูซิงหลัน มันก็กระพือปีก ส่ายหางที่ก้น แล้วมุ่งตรงมาหานาง
ไม่พบหน้ากันหลายวันพี่สาวตัวน้อยยิ่งงดงามขึ้นไปอีก
ตู๋กูซิงหลันหลบฉากไปด้านข้างก้าวหนึ่ง มันจึงได้แต่สัมผัสกับความว่างเปล่า พอหันหัวกลับไปก็มองเห็นว่าพี่สาวตัวน้อยสายตาเป็นประกายวิบวับๆ
จากนั้นใช้ความเร็วที่เหนือล้ำกว่ามันพุ่งเข้าสู่ใจกลางของขวัญเหล่านั้น
“โอ้ว~นี้ข้านอนหลับไปไม่กี่วัน ก็กลายเป็นยายเฒ่าเศรษฐีนีไปแล้วหรือ? ” ตู๋กูซิงหลันโอบอุ้มหยกผักกาดขาวที่มีขนาดใหญ่กว่าศีรษะของนางเอาไว้ในอ้อมแขน นางซาบซึ้งจนน้ำตาเกือบจะไหลออกมา
“นายหญิง ท่านเอ่อ….” เห็นท่าทางของนางแล้วก็อยากจะร้องไห้ออกมา ทั่วทั้งวังหลวงใครบ้างจะไม่รู้ว่า นายหญิงค้างคืนอยู่ในตำหนักตี้หัวมาสามราตรี ….ของขวัญเหล่านี้เป็นเพราะนายหญิงถูกฮ่องเต้ ‘ข่มเหงรังแก’จึงได้มา
คนพวกนี้รู้จักแต่ยกย่อมสูงส่งเหยียบย่ำอ่อนแอ ยามที่นายหญิงตกระกำลำบากล้วนไม่เคยเห็นหน้า แต่พอยามนี้นายหญิงล้างมลทินได้สำเร็จ ทั้งยังถูกฮ่องเต้…..พวกนางก็พากันระริกระรี้เข้ามาถือรองเท้าให้
“เชียนเชียนที่แสนจะล้ำค่าของข้า อย่าลืมส่งของขวัญตอบแทนให้บรรดาลูกสะใภ้ที่ส่งของขวัญมาด้วยนะจ๊ะ ข้าไม่ค่อยจะมีเงินทอง เจ้าไปตัดดอกไฮ่ถางที่ด้านนอก ส่งไปยังแต่ละตำหนัก ตำหนักละนิดละหน่อยก็แล้วกัน ” ตู๋กูซิงหลันไถลตัวอยู่บนกองสมบัติ ดวงตาของนางในยามนี้หยาดเยิ้มปานพระจันทร์เสี้ยวไปแล้ว
นิสัยคลั่งไคล้ในเงินตรานั้น จากชาติก่อนยันชาตินี้ก็ไม่ได้จางหาย วิชาอาคมของสำนักหุบเขาภูติของพวกนาง สิ้นเปลืองเงินทองยิ่งนัก ทั้งกระดาษที่ใช้วาดยันต์ ครั่ง พู่กันชั้นดี เครื่องมือเครื่องใช้ ต่างก็เป็นของที่พิเศษโดยเฉพาะ
หากไม่มีเงินทอง แม้แต่จะวาดยันต์สักแผ่นยังทำไม่ได้จริงๆ
อย่าว่าแต่นางยังจะต้องเป็นยอดโฉมสะคราญผู้หนึ่ง เงินทองย่อมจะขาดไปไม่ได้
” เจ้าค่ะ” เชียนเชียนพยักหน้า พลางหันไปมองดูดอกไฮ่ถางที่ใกล้จะร่วงหล่นจนหมดแล้ว พวกนางจนจริงๆ ด้วย
นางพึ่งจะรับคำ ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวมาจากด้านนอกของตำหนักเฟิ่งหมิง
พอหันไปมองดู ก็เห็นเกี้ยวประจำพระองค์ของฮ่องเต้ พระองค์ทรงฉลองพระองค์มังกรสีทองประทับอยู่ตรงกลาง นั่นเป็นฉลองพระองค์มังกรที่ตัดขึ้นใหม่ แม้แต่ลวดลายมังกรสะบัดตัวก็ใช้ไหมทองคำและไหมล้ำค่าห้าสีปักลงไปทั้งหมด
พระองค์ทรงรัดเกล้าที่เป็นหยกประดับทองคำ พระเกศาที่ยาวสลวยไม่มีรุ่ยร่ายแม้แต่เส้นเดียว
บั้นพระองค์ทรงดาบฝังอัญมณี ดัชนีทรงแหวนล้ำค่า
บนพระศอที่ยิ่งโดดเด่นด้วยไข่มุกดำทั้งเส้น
ภายใต้การประคองของเหล่าบ่าวรับใช้ในวัง เกี้ยวประจำพระองค์ก็ถูกยกเข้ามาในพระตำหนักเฟิ่งหมิง
ตู๋กูซิงหลันเคยชินแต่กับฉลองพระองค์ที่เรียบง่ายของเขา แต่คราวนี้เจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่กลับทำเอานางตื่นตะลึ่งไปในทันที วันนี้ไอ้หนุ่มนี้ดูร่ำรวยอู้ฟู่จริงๆ!
ถึงแม้ว่านางจะพำนักอยู่ในพระตำหนักตี้หัวถึงสามคืนติดต่อกัน แต่ว่านอกจากวันที่กระอักเลือดวันนั้นแล้ว ก็ไม่ได้เห็นตัวคนอีกเลย
หลี่กงกงรีบเข้ามานำทาง โค้งเอวลงน้อมเชิญฮ่องเต้เสด็จเข้าไปในตึกข้างของตำหนักเฟิ่งหมิง
บรรดาพนังงานชาววังทั้งหลายที่ติดตามมาต่างก็น้อมรออยู่ในสวนของตำหนักเฟิ่งหมิง
นี่มันช่างแปลกประหลาดนัก ไยไทเฮาพึ่งจะเสด็จออกจากพระตำหนักตี้หัว ฝ่าบาทก็สาวพระบาทตามมาในทันที
พอจีเฉวียนเสด็จเข้ามาในด้านในก็ทอดพระเนตรเห็นสมบัติมากมายเต็มห้อง ยิ่งพอทอดพระเนตรเห็นสตรีที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่ท่ามกลางของขวัญเหล่านั้น สายพระเนตรหงส์ก็ยิ่งหรี่ลงในทันที ทรงตรัสอย่างทรนงคำหนึ่ง “ไม่ได้เรื่อง”
ตู๋กูซิงหลันกลับทำเสมือนไม่ได้ยินเสียอย่างงั้น นางลุกขึ้นยืน ดวงตากลมโตนั้นมองดูจีเฉวียนที่ท่าทางจะมีปัญหาอยู่บ้าง เขาจะต้องตั้งใจเช็ดหางตามาโดยเฉพาะ เขาอาบน้ำแต่งตัวเป็นพิเศษถึงได้มาที่นี่!
“ฝ่าบาท ดาบของท่านเล่มนี้ช่างงดงามอย่างยิ่งเลย~” ตู๋กูซิงหลันไม่ได้สนใจจะมองพระพักตร์ของเขาแม้แต่น้อย นางเดินไปถึงข้างตัวเขา สายตาจดจ้องอยู่ที่ข้างบั้นเอว
เจ้าฮ่องเต้สุนัขถึงแม้จะสูงใหญ่ แต่ว่ารูปร่างก็ดีเยี่ยม นี่มันปีศาจยั่วยวนตัวเป็นๆ โดยแท้ ส่วนดาบฝังอัญมณีพวกนี้ เมื่อได้แขวนอยู่บนเอวของเขา ก็ยิ่งดูล้ำค่าขึ้นไปอีก
จากนั้นก็จ้องมองดูปลายนิ้วที่เรียวยาวของเขา แหวนหยกของท่านก็สวยงามมาก! “
“จุ๊ๆๆ …….ชุดมังกรตัวนี้ก็วิจิตรงดงามเหลือเกิน เส้นไหมพวกนี้หลายตังค์น่าดูละสิ! “
“อุว้าว สายสร้อยไข่มุกนี่! ไร้เทียมทานๆ จริงๆ! “
จีเฉวียน “…….”
“วันนี้ใครเป็นคนสางผมให้ท่านกัน แม้แต่เส้นผมที่รุ่ยร่ายสักเส้นก็ยังไม่มี ช่างเหมาะสมกับรัดเกล้าของพระองค์นี้เหลือเกิน ………” ทำให้นางอดที่จะอยากเอาศีรษะตนเองมาขายให้เขาเสียให้ได้
“ฮึ ” จีเฉวียนส่งเสียงเย็นชาคำหนึ่ง คราวนี้สตรีผู้นี้ก็รู้จักที่จะสังเกตเห็นเขาบ้างแล้ว
เขาจดจ้องไปยังนาง จากนั้นก็หันไปมองดูของขวัญที่กองอยู่รอบห้อง
ตู๋กูซิงหลันพลันรู้สึกขึ้นมาว่าสายพระเนตรของเขาไม่ค่อยจะถูกต้อง ก็รีบเอาตัวเข้ามาบังสายตาของเขาเอาไว้
“ฝ่าบาทเพคะ ของขวัญเหล่านี้ เป็นพวกลูกสะใภ้ส่งมาแสดงความกตัญญูต่อข้า ขอพระองค์อย่าได้ทรงเกิดพระทัยเสียดาย”
ครั้งก่อนเจ้าหนุ่มนี่ยังยึดเอาสมบัติหมดบ้านของตาเฒ่าฟู่มาหมด นี่เป็นอุปนิสัยของเจ้าเจ้าไก่โต้งกระดูกเหล็กผู้นี้ ……มีหรือว่าจะไม่คิดจะเอาสมบัติของนางอีก”
“เราเป็นถึงผู้ครองแคว้นหนึ่ง มีหรือจะไปอยากได้ของของเจ้า? ” จีเฉวียนอยากจะจับนางมาตีสักรอบ ไม่เห็นหรือไงว่าทุกสิ่งที่อยู่บนร่างกายของเขาตอนนี้ เพียงฉวยขึ้นมาสักชิ้นหนึ่งก็สูงค่ามากกว่าของขวัญทั้งหมดกองนี้มากมายหลายเท่า?
อย่างเขาสิถึงจะเรียกว่าผู้มีเงินตัวจริง!
หลี่กงกงทนดูไม่ได้อีกต่อไป…ฝ่าบาทคงจะทรงลืมเรื่องของท่านรองมหาเสนาฯ ไปแล้วสินะ….
ตรัสแล้ว ฝ่าบาทก็หันไปทางหลี่กงกง “หลี่ต้าชิง ไปตรวจสอบดู เหล่าพระสนมทั้งหลายได้รับสิ่งของมีค่าเหล่านี้มาจากที่ใดกัน หากว่าเจอที่มาไม่ถูกไม่ควร ก็จัดการเก็บเข้าท้องพระคลังไปเสีย ไทเฮาทรงมีพระเกียรติสูงส่ง จะรับของขวัญใดก็พึงรับแต่ที่ถูกทำนองคลองธรรม ไม่เช่นนั้นหากทิ้งไว้อาจเกิดเภทภัย ได้ไม่คุ้มเสีย
หลี่กงกง “เอ่อ……..”
ตู๋กูซิงหลัน “!!! “
นางกอดหัวผักกาดขาวหยกนั้นเอาไว้แน่นไม่ยอมคลาย รู้อยู่ว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่ไม่มีทางมาดี นางได้แต่ขมวดคิ้วแน่น ยังไม่ทันได้กล่าวอะไร ก็เหลือบเห็นเจ้าไก่ขนดำตัวฟูตัวนั้นกระทืบเท้าโผเข้าใส่จีเฉวียนแล้ว
มันกระพือปีก ถลาบินมากลางอากาศ ปากที่แสนจะแหลมคมพุ่งลงมาจิกพระพักตร์ของเขา
ปฏิกิริยาของจีเฉวียนเองก็ถือว่าคล่องแคล่วว่องไว กระชากดาบล้ำค่าออกมาจากช่วงเอว สะบัดดาบออกไปทางหัวของเจ้าไก่ตัวนั้น
เจ้าไก่ขนดำตัวฟูถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ใช้จงอยปากต้านทานดาบนั้นเอาไว้ จนเกิดเสีนง ‘ติง’ ขึ้นครั้งหนึ่ง ถึงกับทำให้ดาบของฮ่องเต้เกิดริ้วรอยขึ้นในทันที
มันสะบัดศีรษะวุ่นวาย ใช้สายตาอาฆาตพยาบาทมองจีเฉวียน
จีเฉวียนขมงพระขนงคราหนึ่ง กำดาบล้ำค่าเล่มใหญนั้นไว้ในพระหัตถ์ หันไปตรัสกับตู๋กูซิงหลันว่า “เจ้าเก็บเอาไก่นี่ไว้ข้างตัวทำไม? “
เขาไม่มีทางลืมหรอกว่าตอนที่อยู่ในสุสานของเย่วฮูหยินนั้น เจ้าไก่ตัวนี้แอบดมก้นนางไปหลายครั้ง
ตู๋กูซิงหลันจ้องมองดูดาบล้ำค่าของฝ่าบาทที่ถูกจิกจนมีริ้วรอยขึ้นมารูหนึ่ง หัวใจก็ชะงักไปในทันที เจ้าไก่จากสุสานตัวนี้ ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย
แต่ว่าเจ้าไก่ตัวนี้กลับรีบซ่อนตัวอยู่ใกล้เท้า พอเขาคิดจะประลองกันในรอบสองอีก ตู๋กูซิงหลันกลับลงมืออย่างรวดเร็ว ใช้มือเดียวคว้าคอของมันไว้หิ้วกลับมา แล้วจึงหันกลับไปทูลกับจีเฉวียนว่า “ฝ่าบาท มันก็เป็นแค่ไก่ติ๊งต๊องตัวหนึ่ง เก็บเอาไว้เป็นอาหารเท่านั้น เผื่อว่าวันไหนท่านอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาอีกแล้วจับข้าส่งไปตำหนักเย็นขึ้นมาก็เท่านั้นเอง”
จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูนางตะครุบคอไก่ตัวนั้นไว้ในมือ แววพระเนตรบนพระพักตร์งดงามนั้นดูไปไม่ธรรมดา
“เจ้าตั้งชื่อให้มันด้วย? “
ตู๋กูซิงหลัน “หา? “
“ติ๊งต๊อง?! ไก่ตัวหนึ่งก็มีค่าพอให้เจ้าตั้งชื่อให้ด้วยรึ? เจ้าชอบมันมากมายเพียงไหนกันแน่”
ตู๋กูซิงหลัน “เอ่อ……….”
ฮ่องเต้ตรัส “หลี่ต้าชิง ส่งเจ้าไก่ตัวนี้ไปที่ห้องเครื่อง ไทเฮาพึ่งทรงบรรเทาจากอาการประชวรครั้งใหญ่ สมควรบำรุงให้มาก”
ตอนที่ 99 พิธีแต่งตั้งท่านหญิง
หลี่กงกงสองตาตั้ง สาวเท้าถอยหลังไปก้าวหนึ่งในทันที “ฝ่าบาท….บ่าวเฒ่าคงจะรบกับเจ้าไก่ตัวนี้ไม่ไหว”
ฮ่องเต้ทรงใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งถือดาบล้ำค่าชี้ไปทางเจ้าไก่ขนดำตัวฟู พระหัตถ์อีกข้างที่ยังบาดเจ็บไม่หายก็เท้าสะเอวไว้ “สู้ไม่ได้ก็ไปเรียกองครักษ์มา เจ้าไก่ตัวนี้อวบอ้วนดีนัก หากไทเฮาได้ทรงเสวยจะต้องฟื้นฟูกำลังเหมือนดังแต่ก่อนแน่”
หลี่กงกง “…..” เขาอยากจะร้องไห้ เหล่าองครักษ์มีหน้าที่พิทักษ์วังหลวง ครั้งก่อนถูกเรียกไปขุดหลุมเปิดอุโมงค์ก็นับว่ายอมเสียเกียรติพอแล้ว ครั้งนี้ยังจะให้เรียกมาจับไก่?
เขาเดาว่าหากตนเองนำกระแสรับสั่งนี้ไปถ่ายทอดละก็ พวกองครักษ์คงเฉือนเขาออกมาเป็นเนื้อแผ่นจิ้มซอสเปรี้ยวแน่
เจ้าไก่ขนดำตัวฟูเองก็ยกเท้าถีบไม่ยอมหยุด หากว่าพี่สาวตัวน้อยยอมปล่อยตัวมันลงละก็ มันสามารถไปต่อสู้กับเจ้าคนน่ารังเกียจนี่ได้สามร้อยกระบวนท่า!
แต่ว่าชื่อติ๊งต๊องนี่ก็ฟังเพราะดีนะ….มันจะต้องฝึกฝนบำเพ็ญเพียรให้มาก จะต้องมีความสำเร็จให้เหนือกว่ายอดอินทรีทองให้ได้ (พี่อินทรีในเรื่องเอี้ยก้วย)
พี่สาวตัวน้อยไม่เพียงรักเอ็นดูมันที่สุด ทั้งยังมีพรสวรรค์ในการตั้งชื่ออีกด้วย!
“เอาอย่างนี้นะเพคะ ฝ่าบาท ตอนนี้เจ้าไก่ตัวนี้ออกจะอ้วนไปแล้ว ไขมันเยอะเกินไป หม่อมฉันชอนทานแบบเนื้อๆ รอผ่านไปสักพักให้มันผอมลงแล้ว ค่อยกินก็แล้วกัน” ตู๋กูซิงหลันขวางอยู่เบื้องหน้าไก่อ้วนตัวนั้น จดจ้องจีเฉวียนที่มีแต่เครื่องประดับล้ำค่าเต็มตัว นางรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที “วันนี้ฝ่าบาทเสด็จมายังตำหนักเฟิ่งหมิง ไม่ทราบว่าทรงมีพระประสงค์ใดหรือเพคะ? “
จะอย่างไรนางก็เป็นคนที่มาจากโลกปัจจุบัน ห่างกับเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่หลายร้อยรุ่น อีกหน่อยคงต้องระมัดระวังคำพูดที่ทำให้คนเข้าใจผิดนี้ให้ดี
“หากไม่มีธุระอันใดเราจะมาไม่ได้หรือ? ” ดาบล้ำค่าในหัตถ์ของจีเฉวียนยังถูกกำไว้แน่น เขาหรี่เนตรมองดูนาง ยิ่งนางอยากจะปกป้องเจ้าไก่นั่นเท่าไหร่ เขายิ่งคิดจะจับมันมาตุ๋นให้ได้เท่านั่น!
” นั่นย่อมได้อยู่แล้ว! ” ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มอ่อนหวาน “ทั่วทั้งแคว้นล้วนเป็นของท่าน ท่านย่อมสามารถไปได้ทุกที่”
พอเห็นว่านางมีท่าทีที่อ่อนน้อมเชื่อฟัง ฮ่องเต้ก็ทรงพระอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
สตรีผู้นี้ช่างรู้จักสั่งอาหารตามใจผู้อื่น ยามอยู่ในสุสานเย่วฮูหยินคาดว่าคงจะต้องเคยคิดจะจับเขาฝังไว้ทั้งเป็นสิท่า?
พอยามนี้กลับใช้วิธีเชื่อฟังวาจา ประจบสอพลอได้คล่องนัก
พระองค์เสด็จมาถึงข้างตัวนาง สะบัดเท้าครั้งเดียวก็ส่งเจ้าไก่กุ๊กนั้นกระเด็นไปไกลหลายเมตร พระองค์ที่ร่างสูงใหญ่ค้อมลงมองนาง “อีกครึ่งเดือนให้หลัง เราจะจัดพิธีแต่งตั้งท่านหญิงให้กับซุ่นเอ๋อร์ เจ้าเป็นถึงไทเฮา ย่อมต้องไปร่วมงานด้วยตนเอง”
ซุ่นเอ๋อร์……..ชื่อนี้ตู๋กูซิงหลันย่อมเคยได้ยินมาบ้าง บุตรสาวที่แสนน่ารักขององค์หญิงใหญ่ ฉางซุนซุ่นเอ๋อร์
ในคืนนั้นที่มีงานเลี้ยง นางเองก็ได้พบแล้ว เพียงแต่ไม่ได้พูดคุยกับองค์หญิงใหญ่เท่านั้น แต่ว่าก็จดจำเด็กน้อยที่ดูร่าเริงสดใสนั้นได้อยู่บ้าง
ธิดาเพียงคนเดียวขององค์หญิงใหญ่ เพียงเกิดมาก็มีฐานะเป็นถึงท่านหญิง แต่ว่าทำไมต้องรอให้โตถึงเพียงนี้ถึงได้ค่อยจัดพิธีแต่งตั้งให้?
ตู๋กูซิงหลันก็ถามโพล่งออกไปด้วยความสงสัย
นานๆ ทีจีเฉวียนจะทรงมีน้ำพระทัยอธิบายให้นางฟังสักครั้ง “ซุ่นเอ๋อร์เป็นธิดาเพียงคนเดียวขององค์หญิงใหญ่ ย่อมมิใช่ท่านหญิงทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นบิดาของนางสิ้นไปเพื่อปกป้องชาติบ้านเมือง สละชีพอยู่ท่ามกลางสนามรบ พระราชวงค์ย่อมมีเมตตารักใคร่นางมากกว่าเดิม”
“ฐานะของนางสูงล้ำ สมควรที่โอรสสวรรค์จะประทานยศนี้ให้ด้วยพระองค์เอง มีบันทึกลงในพงศาวดารตามโบราณราชประเพณีของเชื้อพระวงศ์ ยามที่นางอายุครบหกปีจึงจะเข้ารับการแต่งตั้ง”
” อีกครึ่งเดือนนางก็จะอายุครบหกปีพอดี ยามนั้นไทเฮาก็ไปเยือนจวนขององค์หญิงใหญ่พร้อมกันกับเรา”
คราวนี้ตู๋กูซิงหลันถึงได้เข้าใจที่มาที่ไป
จีเฉวียนลากนางไปด้วยกัน ก็เพื่อเป็นการให้เกียรติท่านหญิงน้อยเพิ่มขึ้นอีกหน่อย
“ไทเฮาสูญเสียความทรงจำไม่อาจฟื้นฟู ครึ่งเดือนนี้จงร่ำเรียนมารยาทให้ดี อย่าได้ทำเสียกิริยาในงานพิธีแต่งตั้งท่านหญิงได้ พาลให้คนหัวเราะเยาะเอา”
ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าติดๆ กัน “ก็ได้ๆ “
“ครั้งนี้เจ้ากลับรู้จักเชื่อฟังนัก” จีเฉวียนทรงเก็บดาบล้ำค่าที่ถูกจิกเป็นรูนั้นกลับเข้าฝัก ทอดพระเนตรมองดูนาง มุมพระโอษฐ์ก็ยกยิ้มขึ้นอย่างไร้ที่มา
จากนั้นก็เห็นเขาถอดแหวนหยกวงใหญ่ในนิ้วแม่โป้งขวาออกมาประทานให้นางอย่างไม่มีสัญญาณบอกกล่าวล่วงหน้า “สิ่งนี่ให้เจ้าไว้ ของของเราจึงจะนับว่าดีที่สุด ของทั้งหมดในห้องนี้ไม่อาจเทียบได้
จากนั้นก็ฉวยโอกาสที่นางกำลังตกตะลึงไม่ทันได้มีปฎิกิริยา ยัดเยียดแหวนหยกที่มีไออุ่นจากหัตถ์ของตนเองนั้นใส่ในมือของตู๋กูซิงหลันไป
“ให้ข้าจริงๆ หรือ? ” ตู๋กูซิงหลันจ้องมองดูแหวนหยกในมือ ยังคงนึกว่าตนเองฝันไป
เจ้าฮ่องเต้สุนัขที่เป็นดั่งพ่อไก่ขนเหล็กผู้นี้ ทำดีต่อนางได้ด้วยหรือ?
มีเล่ห์กลใดหรือไม่?
หลี่กงกงตกตะลึงค้างไปเสียแล้ว หากว่าเขาจำได้ไม่ผิดละก็ แหวนหยกวงนั้นเป็นสิ่งที่ฝ่าบาททรงสวมติดพระดัชนีมาตั้งแต่ยามที่ทรงเป็นองค์ชายสี่
นี่…….บทจะให้ก็ให้เลย?
ก่อนหน้านี้ฝ่าบาททรงเสด็จไปยังท้องพระคลังตรวจดูสมบัติของตระกูลท่านรองมหาเสนาฯ แต่ว่าสุดท้ายกลับไม่ได้ทรงเลือกสิ่งใด แต่กลับประทานสิ่งของประจำพระองค์แก่ไทเฮา?
“หากว่าเจ้าไม่ต้องการ เราก็ไม่รังเกียจที่จะรับคืนมา” จีเฉวียนพระพัตร์เรียบเฉยดุจแผ่นเหล็ก ยื่นพระหัตถ์ออกมา
ตู๋กูซิงหลันรีบซุกมือเก็บไว้ “นี่เป็นของที่ทรงประทานให้ด้วยพระองค์เอง ย่อมไม่อาจเรียกคืนได้”
แหวนหยกวงนี้ดูก็รู้ว่าราคาแพงลิบลิ่ว เรื่องจะไม่เอานั้นไม่มีทาง
……………………………………………..
พระตำหนักเฟิ่งหมิงที่คึกคักพลุกพล่านอยู่หลายวันในที่สุดก็เงียบสงบลงแล้ว หลายวันมานี้ตู๋กูซิงหลันมักจะพาวิญญาณทมิฬไปยังทะเลสาบหยู่จือถาน อาศัยพลังไอทิพย์ของที่นั่นรักษาอาการบาดเจ็บให้มัน
อาการของมันไม่เบา ตู๋กูซิงหลันไม่มีหนทางอื่นได้แต่จำต้องใช้พลังของหยกสรรพชีวิต ถึงได้สามารถทำให้รากฐานในดวงจิตของมันมั่นคงขึ้นได้
ร่างกายของนางในตอนนี้ไม่อาจเทียบได้กับร่างเดิมของนางในโลกก่อนที่สามารถใช้หยกสรรพชีวิตได้ดังใจนึก หากว่าไม่ระวังละก็อาจก่อให้เกิดปัญหาได้
ไม่เพียงแต่วิญญาณทมิฬจะต้องเติบโตขึ้น นางเองก็จะต้องแข็งแกร่งขึ้นด้วย
เมื่อได้ดูดซับไอทิพย์หลายวันเข้า วิญญาณทมิฬก็ดีขึ้นมาก
ค่ำวันนี้เมื่อนางกลับไป ก็มองเห็นแต่ไกลว่าเสียนไท่เฟยและนางกำนัลประจำตัวของนางชิงผิงยืนรออยู่นอกตำหนักเฟิ่งหมิง
เสียนไท่เฟยสวมชุดเรียบง่าย ตลอดทั้งร่างยังคงมีกลิ่นอายเครื่องหอมถานเซียงเสมือนที่ผ่านมา
ภานใต้แสงสว่างยามค่ำคืน ดวงเนตรที่ลึกล้ำของนางจดจ้องตู๋กูซิงหลันโดยไม่กระพริบ เมื่อคำนับนางครั้งหนึ่งก็กล่าวว่า “ไทเฮาเพคะ หม่อมฉันมารบกวนแล้ว”
ตู๋กูซิงหลันเหลือบตามองดูนางครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้เชิญคนเข้าไปภายในตำหนัก นางยืนอยู่ต่อหน้าเสียนไท่เฟย สบตามองนางอย่างตรงไปตรงมา
“เสียนไท่เฟยมิต้องมารยาท”
เสียนไท่เฟยเงยหน้าขึ้น จดจ้องมองนางเนิ่นนาง ค่อยคลี่ยิ้มอ่อนโยน “ไทเฮาได้รับการชำระความบริสุทธิ์ อีกทั้งยังได้รับความสำคัญจากฝ่าบาท หม่อมฉันสมควรมาแสดงความยินดีแต่แรกๆ เพียงแต่ช่วงนี้ สถานที่ของท่านทุกวันต่างมีเรื่องคึกคัก หม่อมฉันไม่กล้ารบกวน ได้แต่รอจนเย็นค่ำจึงได้มา”
“ไท่เฟยมีคำพูดใดก็บอกกล่าวตามตรงเถอะ ด้วยความสัมพันธ์ของข้าและท่าน ไม่จำเป็นจะต้องกล่าวอ้อมค้อม” ตู๋กูซิงหลันพิงตัวกับลำต้นของไฮ่ถาง กอดอกมองนาง
“ยากนักที่ไทเฮาจะยังทรงจดจำความสัมพันธ์เดิมของพวกเราได้ ” สายตาของเสียนไท่เฟยมองดูอย่างอบอุ่น
พูดแล้ว นางก็คุกเข่าลงเสียงดังต่อหน้าตู๋กูซิงหลันในทันที “ชั่วชีวิตของข้าไม่เคยขอร้องผู้ใดมาก่อน แต่ครั้งนี้ ขอไทเฮาได้โปรดช่วยเหลือเย่เอ๋อร์”
“เขาถูกขังอยู่ในตำหนักเย็น ข้าสอบถามอยู่หลายรอบถึงได้ทราบความ ว่าเขาเป็นคนบงการให้เต๋อเฟยทำร้ายท่านจนเกิดเรื่องปีนเตียงมังกรของฮ่องเต้องค์ใหม่”
“ต่อให้ไทเฮาทรงสูญเสียความทรงจำไปแล้ว แต่คงไม่ได้ลืมเลือนว่าเขารักท่านลึกล้ำเพียงไหน เขามีหรือจะกระทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้? “
เสียนไท่เฟยพูดอย่างรวบรัดชัดเจน “พวกเจ้ามีความผูกพันกันแต่ไร้วาสนา ความรู้สึกที่มีให้เจ้าตั้งแต่แรกจนถึงบัดนี้ล้วนไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
ตู๋กูซิงหลันมองสตรีที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ในใจไม่มีความร้อนรนแม้แต่น้อย “ไม่ใช่เขา งั้นเป็นใครละ? “
——
焚香 (ถานเสียง) ไม้หอมที่ใช้ผสมในเครื่องหอม กำญาน หรือธูปหอม
ตอนที่ 100 ใช้ร่างกายมาเป็นสิ่งตอบแทน...
“เรื่องนั้น…..ข้าเองก็ไม่รู้ ” เสียนไท่เฟยตอบคำ “แต่ข้ารู้ว่า ผู้คนทั้งหลายในโลกนี้อาจทำร้ายท่านได้ แต่ว่าไม่ใช่เขา! “
พอได้ฟังประโยคนี้ ตู๋กูซิงหลันก็หัวเราะออกมาแล้ว “ไท่เฟยหมายความว่า ในบรรดาใครก็ได้นี้รวมถึงตัวท่านด้วยละสิ? “
เสียนไท่เฟยชะงักไปครู่หนึ่ง ใช้สายตาที่ไม่อาจอธิบายได้มองนาง
“ไท่เฟยเป็นคนฉลาด คิดว่าคงไม่ต้องให้ข้าพูดมากความแล้ว ” ตู๋กูซิงหลันยิ้มอย่างเสมือนไม่ได้ยิ้ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแสดงออกหรือว่าการควบคุมอารมณ์ เสียนไท่เฟยนับว่าเป็นยอดฝีมือในวังหลวงโดยแท้จริง
ลูกชายเกิดเรื่องแล้วตั้งหลายวันถึงได้พึ่งจะมาหานาง นับว่ามีความอดทนนัก
“หลันเอ๋อร์………เจ้าไปได้ยินข่าวลืออะไรมาใช่หรือไม่? อย่างข้าหรือจะมีใจคิดร้ายต่อเจ้าได้? ” เสียนไท่เฟยยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น “เจ้าสูญเสียบิดามารดาไปตั้งแต่เล็ก ข้าเอ็นดูเจ้าดั่งเป็นบุตรสาวแท้ๆ มาโดยตลอด อยากให้เจ้าได้เป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก มีหรือจะทำร้ายเจ้า? “
“ไท่เฟย มนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ซับซ้อนยิ่งนัก ข้าอายุยังน้อย เมื่ออยู่ในวังนานๆ เข้า ก็ไม่รู้หรอกว่า คนที่อยู่ข้างตนนั้นเป็นคนหรือเป็นผีกันแน่ คำพูดของท่าน ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเชื่อถือได้หรือไม่”
ตู๋กูซิงหลันไม่ได้ดึงนางขึ้นมา “ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องปองร้ายนี้เป็นอี้อ๋องออกปากยอมรับด้วยตนเอง ต่อให้ข้าคิดอยากช่วยเขาก็เพียงมีใจแต่ไร้กำลัง นอกเสียจากว่าเรื่องราวมีจุดเปลี่ยน เขาปิดบังแทนผู้ใด รับเอาไว้แทนใครกัน”
เสียนไท่เฟยเงียบงันอยู่นาน นางเงยหน้ามองดูสาวน้อยตรงหน้า ทั้งๆ ที่รูปโฉมก็เหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ว่าแววตากลับไม่ได้ดูโง่เขลาเหมือนดังแต่ก่อน
เพราะว่าอยู่ในวังนานๆ เข้า คนก็เลยเปลี่ยนเป็นฉลาดขึ้นมาบ้างหรือ?
แต่ว่าตู๋กูซิงหลันแต่ไหนแต่ไรก็เชื่อฟังวาจาของนางมาโดยตลอด ทั้งยังกตัญญูต่อนางอย่างที่สุด ราวกับบุตรสาวที่กตัญญูต่อมารดาบังเกิดเกล้าเสมอ
คนๆ หนึ่งจะสามารถเปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลาสั้นๆ ได้มากมายถึงเพียงนี้เลยหรือ?
“ดังนั้นท่านขอร้องผิดคนแล้ว” ตู๋กูซิงหลันกล่าวต่อไป “ผู้ที่ท่านสมควรไปขอร้องก็คือฝ่าบาทต่างหาก ขอให้เขามีพระมหากรุณาปล่อยตัวอี้อ๋อง อ๋อหรือไม่ก็ขอร้องอี้อ๋อง ดูสิว่าเขาถูกใส่ร้ายจริงหรือไม่ อย่างไรเขายังหนุ่มแน่น ช่วงเวลาที่ดีงามเช่นนี้หากต้องสูญเสียไปเพื่อผู้อื่นช่างไม่คุ้มค่าจริงๆ “
“แต่ว่า ที่จริงนับว่าฝ่าบาททรงมีพระเมตตาให้หน้าอี้อ๋องมากแล้ว ที่ไม่ได้ประกาศเรื่องนี้ออกไป ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงของเขา คงป่นปี้หมดแล้ว”
ตู๋กูซิงหลันมิใช่คนโง่ วันนั้นที่อี้อ๋องสารภาพเรื่องของนาง เห็นได้ชัดเจนว่ามีลับลมคมนัย
แต่ว่าเมื่อได้ฟังเจ้าของร่างเดิมบอกความจริงที่ว่าเขาเป็นคนขอร้องให้นางยอมแต่งให้กับอดีตฮ่องเต้เอง ก็ยิ่งทำให้นางงุนงงไปใหญ่
บุรุษผู้นี้ ช่างขัดแย้งยิ่งนัก
แล้วยังมีเรื่องที่ตู๋กูซิงหลันคิดไม่ถึงก็คือ จีเฉวียนที่ดูเผินๆ เหมือนจะจงเกลียดจงชังจีเย่ว์ กลับไม่ได้ฉวยโอกาสนี้จัดการเขาจนตาย ทั้งยังปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ เอาความผิดทั้งหมดโยนใส่เต๋อเฟยผู้เดียว
นั่นเพราะว่าเขายังคำนึงถึงความผูกพันฉันพี่น้องหรือ?
เสียนไท่เฟยชะงักไปอยู่นาน “หลันเอ๋อร์ ทุกวันนี้ใครๆ ต่างก็รู้ว่าฝ่าบาททรงพอพระทัยในตัวเจ้า ขอเพียงเจ้าพูดจากับฝ่าบาทดีๆ เขาย่อมตั้งเชื่อฟังเจ้าแน่ หรือว่าเจ้าจะทำใจได้จริงๆ ไม่สนใจเย่เอ๋อร์แม้แต่น้อยเลยหรือ? “
ตู๋กูซิงหลันหัวเราะแล้ว นางยื่นมืออกมาคว้าข้อมือเสียนไท่เฟยไว้ค่อยดึงตัวนางขึ้นมา “ไท่เฟย ในโลกนี้ไหนเลยจะมีผู้ที่มีใจรักลึกล้ำแล้วส่งคนรักของตนไปขึ้นเตียงผู้อื่น ท่านอย่าได้ทำให้ข้าต้องขำเลย”
“ยิ่งไปกว่านั้นฮ่องเต้ทรงรังเกียจข้าจะตาย เอาที่ไหนมาว่าชื่นชอบกัน ข้ายังคงขอพูดคำเดิม ท่านจงไปขอร้องฝ่าบาทด้วยตนเอง หรือไม่ก็ไปขอร้องอี้อ๋องเถอะ”
เสียนไท่เฟยลุกขึ้นยืน พลิกมือมากุมมือของนางไว้ สองเนตรนั้นจดจ้องไปยังดวงตาของนาง ชั่วขณะนั้นราวกับเกิดหมอกดำขึ้นมาในดวงตาของเสียนไท่เฟย ยามที่ตู๋กูซิงหลันสบตากับนางคล้ายกับจะถูกดูดกลืนเข้าไป
“หลันเอ๋อร์ เจ้าจะต้องช่วยเย่เอ๋อร์”
เสียนไท่เฟยคว้ามือของนางไว้ไม่ยอมปล่อย น้ำเสียงทั้งอบอุ่นทั้งน่าหลงใหล
“เจ้าเองก็รักใคร่เย่เอ๋อร์อย่างลึกล้ำ เพื่อเขาแล้ว เจ้ายินดีทำทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ว่าจะต้องตายก็ตาม”
นางพูดพลาง ใจกลางฝ่ามือก็กำจายความเย็นสุดขั้วชนิดหนึ่งออกมา
ตู๋กูซิงหลัน ‘เหม่อลอย’ อยู่กับที่ ในที่สุดไท่เฟยก็พอใจขึ้นมาแล้ว
“วันงานพิธีของท่านหญิงน้อย เจ้าจะประกาศออกไปต่อหน้าผู้คนว่า เย่เอ๋อร์นั้นถูกใส่ความ เป็นเจ้าที่ล่วงรู้ทันแผนการของเต๋อเฟย ถึงได้ผลักเรือตามน้ำยอมขึ้นเตียงมังกรของฮ่องเต้องค์ใหม่ ทั้งหมดล้วนเป็น…..”
คำพูดของไท่เฟยยังไม่ทันจบสิ้น ก็ได้ยินเสียงของเจ้าไก่ขนปุยดังมาไม่ไกลนัก “ก๊ากๆ กระต๊าก! ก๊ากๆ กระต๊าก! กระต๊าก! “
ต่อมาก็มีเงาสีชมพูสายหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ตู๋กูซิงหลันพลัน ‘ได้สติ’ คืนมา สะบัดมือออกจากการเกาะกุมของไท่เฟย หันหน้าไปตามเสียง
เสียนไท่เฟยหรี่ตาลงมอง หันไปอย่างไม่ยินดีเท่าไรนัก
ก็เห็นหยวนเฟยหิ้วคอของเจ้าไก่ขนดำตัวฟูนั้นไว้ สีหน้าไม่สบอารมณ์มุ่งตรงมาทางนี้
นางพุ่งตรงมาถึงหน้าตู๋กูซิงหลันโดยไม่สนใจใยดีเสียนไท่เฟย เหวี่ยงแขนเขวี้ยงเจ้าไก่ขนดำตัวฟูนั่นลงตรงหน้านาง “ไทเฮาทุกวันนี้ช่างมีความสามารถนัก กอบกู้ชื่อเสียงคืนมาได้ กระทั่งลูกน้องที่เป็นไก่ตัวหนึ่งก็กล้าวิ่งพล่านออกไปที่ต่างๆ แล้วหรือ? “
ตู๋กูซิงหลันมองนางด้วยความงุนงงอยู่บ้าง
ต่อมาก็ต้องประหลาดใจอยู่บ้าง เจ่าไก่ขนดำตัวฟูตัวนี้แม่แต่ดาบล้ำค่าของจีเฉวียนยังไม่เกรงกลัว แต่กลับถูกหยวนเฟยใช้มือเปล่าหิ้วคอมันกลับมา?
สาวงามน้อยต่างเผ่าผู้นี้ช่างมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ
“เจ้าไก่ตัวนี้ไม่อยู่ในตำหนักเฟิ่งหมิงของเจ้าให้ดีๆ กลับวิ่งมาจนถึงตำหนักฉางซินของข้า จับพวกตะขาบที่น่ารักของขากินจนหมด! ” พูดไปแล้ว หยวนเฟยก็หน้าแดงด้วยความโมโห “เจ้าบอกมา จะชดใช้ให้ข้าอย่างไร? “
นางพูดพลางก็ยื่นมือออกมา ทวงคืนการชดเชยจากตู๋กูซิงหลัน “ตะขาบพวกนั้นข้าเลี้ยงดูมันอย่างยากลำบาก ข้ายังเสียดายไม่กล้ากินเอง ไก่ของเจ้านี้ช่างดีนัก ไม่เหลือทิ้งไว้ซักตัวทำลายของๆ ข้าจนหมดสิ้น”
“เจ้าไก่ตัวนี้ยังรู้จักดีดดิ้นนัก ยังจะกล้ามาจิกมือข้าอยู่หลายครั้ง หากไม่ใช่เพราะว่าข้าสามารถกำราบมันได้ในครั้งเดียว เกรงว่าคงจิกมือของข้าจนกลายเป็นกระชอนไปแล้ว! “
ตู๋กูซิงหลันมองดูเจ้าไก่ที่ทำท่าจะเป็นจะตาย ดูท่าแล้ว หยวนเฟยน้อยคงจะต้องใช้ยาอะไรบางอย่าง
“เจ้าก็รู้ ว่าข้าน่ะจนขนาดไหน ” ตู๋กูซิงหลันมองดูฝ่ามือที่ยื่นออกมาของนาง พอมุมปากพึ่งขยับก็คว้ามือนั้นไว้แล้ว “งั้นเอาอย่างนี้ ข้าจะใช้ร่างกายมาเป็นสิ่งตอบแทนเจ้าเป็นไง? “
หยวนเฟย “!!! “
เสียนไท่เฟย “……..”
ตู๋กูซิงหลันไม่รักษาหน้าตาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ถึงกับกล้าเกี้ยวพาพระสนมของฝ่าบาท?
ข้ากำลังพูดเรื่องจริงจังกับเจ้า เจ้าอย่าได้เล่นลิ้นกับข้า! ” ใบหน้าของหยวนเฟยยิ่งทียิ่งแดงขึ้น “เจ้าอย่าได้คิดว่าตอนนี้ตนเองมีฝ่าบาทปกป้อง แล้วข้าจะต้องกลัวเจ้า! “
“วันนี้เจ้าจะต้องคืนตะขาบให้ข้า หรือไม่ก็จับไก่ตัวนั้นมาตุ๋นน้ำแกงให้ข้า”
“กะๆ กระต๊าก~” เจ้าไก่ขนดำตัวฟูเริ่มดิ้นรนวุ่นวาย พยายามกระพือปีกคิดจะลุกขึ้นมาสู้รบ
“หัวใจของข้าแทบจะถูกเจ้าทำพังทลายแล้ว ในใจของเจ้า ข้าเทียบไม่ได้แม้แต่ไก่ตัวหนึ่งเลยหรือ? ” ตู๋กูซิงหลันคว้ามือของนางไว้ไม่ยอมปล่อย “เจ้ารู้หรือไม่ว่า ข้าชอบลูกสะใภ้อย่างเจ้ามากที่สุด”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็แทบจะขนลุกไปทั้งตัว ในวังหลวงนี้ใครบ้างจะไม่รู้ว่า ไม่ว่าอย่างไรไม่อาจไปเป็นลูกสะใภ้คนโปรดของไทเฮาได้อย่างเด็ดขาด
ไม่เห็นหรือว่า เต๋อเฟย ลูกสะใภ้ที่นางแสนจะชื่นชอบ ต้องไปตกระกำลำบากอยู่ในตำหนักเย็นแล้ว?
“เจ้าอย่ามาแช่งข้า! ” หยวนเฟยหน้าเปลี่ยนสี ข้าไม่เคยร่วมหอร่วมห้องกับฝ่าบาท ไม่อาจนับเป็นลูกสะใภ้ของเจ้าได้! “
ตอนที่ 101 ดูแลไก่ของเจ้าให้ดี
ตู๋กูซิงหลันฟังแล้ว ในใจก็เกิดความเจ็บปวด นางรีบคว้ามือของหยวนเฟยเอาไว้ หยวนเฟยน้อยที่สวยงามน่ารักขนาดนี้เขายังไม่ยอมเข้าหอด้วย แสดงว่าไอ้นั่นของเขาจะต้องป่วยแน่ๆ?
หรือพูดได้อีกอย่าง เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นเป็นพวก……. ถึงได้มีปฎิกิริยาแต่เฉพาะกับท่านราชครู
แต่แบบนี้ก็ถือว่าชั่วร้ายมาก ในเมื่อทำเรื่องจ้ำจี้กับสตรีไม่ได้ แล้วยังแต่งเอาสาวงามมากมายเข้ามาอีก นี่ไม่เท่ากับว่าทำให้แต่ละคนต้องกลายเป็นม่ายทั้งเป็นหรือไง?
เพียงเพื่อจะได้ดึงขั้วอำนาจต่างๆ เข้ามา เสริมความมั่นคงของตำแหน่งฮ่องเต้ ช่างน่าสงสารสาวงามเหล่านี้จริงๆ
ตู๋กูซิงหลันเพียงแสนเสียดายที่ตนเองมิใช่บุรุษ ไม่เช่นนั้นละก็มีสาวงามมากมายขนาดนี้ นางจะต้องไม่พลาดไปโปรดปรานให้ครบเลยทีเดียว
พอคิดๆ ดูแล้ว นางก็พยักหน้าหงึกๆ ลูบไล้ปอยผมข้างหูของหยวนเฟย “หยวนเฟยน้อยที่น่ารักน่าสงสาร เจ้าวางใจเถอะ ถึงฮ่องเต้จะไม่เอ็นดูเจ้า แต่ข้าจะคอยรักแลเเอ็นดูเจ้าเอง”
สตรีแบบหยวนเฟยนี้ ถึงแม้จะไม่อาจทำเรื่องจ้ำจี้กันเช่นนั้นได้ แต่ว่าหากได้ชมดูใกล้ชิดบ่อยๆ จับไม้จับมือลูบไล้ใบหน้าเล็กๆ นี้ ก็ถือว่าดีเยี่ยมไปเลย
ทั้งคำพูด และการแสดงออก ทำให้หยวนเฟยถึงกับขนอ่อนลุกชันทั้งตัว
นางดิ้นรนสะบัดมือตู๋กูซิงหลันสุดชีวิต ใบหน้าอึมครึมดุจท้องฟ้ายามจะมีฝน สองใบหูก็ทั้งร้อนทั้งแดงก่ำ
รีบถอยออกไปให้ห่างจากนาง หัวคิ้วนั้นขมวดมุ่นจนติดกันแล้ว สตรีผู้นี้จะต้องตั้งใจเป็นแน่ เพราะไม่คิดจะชดเชยตะขาบของนาง ถึงได้งัดเอาไม้นี้ออกมาใช้ ทั้งหลอกลวง ทั้งล่อลวงนางด้วย!
หากว่าได้สมใจแล้ว จะต้องจัดการนางอย่างโหดร้ายเหมือนที่เต๋อเฟยโดนไปแล้วเป็นแน่!
“ตู๋กูซิงหลัน ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ! ฝ่าบาททรงมึนเมาไปแล้ว ถึงได้หลงไปกับมารยาของเจ้า ข้าเป็นสตรีจริงแท้แน่นอน จะชอบแต่บุรุษที่มีขนบนอกเท่านั้น! ” หยวนเฟยสองมือกอดอกเอาไว้ “ต่อให้เจ้าจะเป็นคนที่หน้าตาดีขนาดไหน ชั่วชีวิตนี้ข้าก็ไม่มีทางสนใจเจ้าหรอก! “
ไม่เพียงไม่สนใจ ทั้งยังรังเกียจอย่างมากด้วย!
ก็จะไม่ให้รังเกียจได้หรือ ท่านพ่อทุ่มเทเสียสละชีวิตช่วยเหลืออดีตฮ่องเต้กลับมา แต่สุดท้ายกลับสิ้นพระชนม์เพราะความงามของนาง!
ทุกครั้งที่คิดถึงข้อนี้ หยวนเฟยก็อดจะรู้สึกไม่ได้ว่าบิดาของตนตายเปล่า ในใจจึงยิ่งชิงชังตู๋กูซิงหลัน
เพียงแต่ว่ายามปกติสตรีผู้นี้ก็ไม่ได้มาจ้องหาเรื่องอะไรกับนาง นางเองก็ไม่คิดจะเป็นฝ่ายก่อเรื่องยุ่งยาก คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ ตู๋กูซิ่งหลันจะบังเกิดความคิดที่ไม่สมควรกับนาง
หยวนเฟยกำหมดในมือแน่น ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว และยังจ้องมองนางอย่างเคียดแค้น
ตู๋กุซิงหลันมึนตึ๊บไปแล้ว นางไม้รู้ว่าหยวนเฟยกำลังชม หรือว่ากำลังด่านางกันแน่
แต่ว่าหยวนเฟยน้อยจะชอบอะไรล้วนไม่เป็นปัญหา แต่กลับชอบบุรุษมีขนที่หน้าอก….. บุรุษที่มีขนหน้าอกยาวนะใช้ไม่ได้หรอก เป็นพวกอารมณ์รุนแรง ไม่รู้จักรักบุปผาถนอมหยก
ในสมองของตู๋กูซิงหลันปรากฎภาพของกอริล่า พาลให้นางรู้สึกปวดฟันขึ้นมาตะหงิดๆ
“ฮึ! ดูแลไก่ของเจ้าให้ดีๆ! ข้าเป็นคนใจกว้าง ครั้งนี้ถือว่าแล้วกันไป แต่หากครั้งหน้ามันยังกล้ามาที่ตำหนักฉางซินของข้าอีกละก็ ข้าก็จะไม่ไว้หน้าอีกต่อไป จะต้องจับมันมาทำไก่ย่างตัวใหญ่อย่างแน่นอน! “
ทันทีที่พูดจบ หยวนเฟยก็เสมือนกับกระต่ายตัวหนึ่ง ผลุบๆ โผล่อยู่ไม่กี่ครั้งก็ไม่เห็นเงาของคนอีก
นางวิ่งรวดเดียวกลับมาถึงตำหนักฉางซินของตนเอง ผลซิ่งบนต้นข้างประตูตำหนักถูกเด็ดหมดแล้ว นางพิงกับลำต้นอยู่ครู่ใหญ่ค่อยปรับลมหายใจให้เป็นปกติ
งูเขียวเลื้อยลงมาจากต้นซิ่ง พันตัวเองบนท่อนแขนของนางอีกครั้ง แลบลิ้นซี่ๆ ให้นาง
วันนี้ช่างเป็นวันที่โชคร้ายจริงๆ เกือบจะถูกเจ้าไก่ตัวนั้นบุกเข้ามาจับกินเสียแล้ว ยังดีที่มันวิ่งเร็ว ไม่เช่นนั้นคงจะต้องมีจุดจบเช่นเดียวกับตะขาบพวกนั้น
“ช่างเป็นสตรีที่สมควรตายนัก! ” เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ หยวนเฟยก็รู้สึกเหมือนกับว่าตนเองใบหน้าร้อนผะผ่าวขึ้นมา พาลเตะใส่ต้นซิ่งไปครั้งหนึ่ง
“หวังไฉ เจ้าว่าหากข้าถูกสตรีผู้หนึ่งหมายตาเข้าแล้ว สายเลือดตระกูลหยวนจื่อที่เป็นหัวหน้าเผ่าหนานเจียงจะขาดหายไปหรือไม่”
งูเขียว “??? “
“คนในราชวงค์แคว้นต้าโจวนี้ช่างน่าหัวเราะนัก ฮ่องเต้โปรดปรานบุรุษ ไทเฮาโปรดปรานสตรี ข้าดูๆ แล้วนะ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องล่มจมแน่ ” หยวนเฟยอารมณ์ไม่ดี ก็เตะใส่ต้นซิ่งอยู่หลายชุด เตะจนกระทั่งใบของต้นซิ่งล่วงหล่นลงมา
วิญญาณเจ้าผึ้งน้อยที่แอบจำศีลอยู่ใต้ดินก็สั่นสะท้าน นี่มันเผอิญได้ยินเรื่องที่ไม่สนควรเข้าแล้วหรือเปล่า?
………………………………
ณ ตำหนักเฟิ่งหมิง
ตู๋กูซิงหลันมองดูเงาหลังของหยวนเฟยที่กลืนหายไปกับความมืดของยามราตรี นางเลียริมฝีบากค่อยคลี่ยิ้มอย่างหยาดเยิ้ม ผ่านไปอีกพักใหญ่ถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าที่ข้างตัวยังมีเสียนไท่เฟยอยู่ด้วย จึงหันไปพูดกับนางว่า “ท่านว่าหยวนเฟยน้อยช่างน่ารักหรือไม่? “
เสียนไท่เฟย “…….” หากไม่ใช่ว่าหยวนเฟยผู้นี้ปรากฎตัวขึ้นอย่างกระทันหันวิชาสะกดจิตของนางก็คงจะไม่ถูกขัดเสียก่อนเช่นนี้
สตรีที่บุ่มบ่ามเช่นนั้น อยู่ในวังไปก็นับว่าเป็นตัวประหลาด ทั้งยังมีเรื่องการแต่งตัวเช่นนั้นทำให้ใครๆ ต่างก็รู้สึกไม่ดี ยังจะว่าน่ารักได้หรือ?
เสียนไท่เฟยไม่กล่าววาจา นางเอื้อมมือออกไปข้างหนึ่ง ให้ชิงผิงช่วยพยุงตัวนางไว้ เมื่อครู่ฝืนใช้วิชาสะกดจิตออกไป ร่างกายของนางตอนนี้ก็ถึงขีดจำกัดแล้ว
“จริงสิ เมื่อครู่เสียนไท่เฟยกำลังพูดเรื่องอะไรกับข้าอยู่หรือ? ” ตู๋กูซิงหลันทำเหมือนไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติของตนเองแม้แต่น้อย นางยิ้มๆ พลางถามออกไป
“ไม่มีเรื่องใดแล้ว” ใบหน้าของเสียนไท่เฟยซีดขาว “ข้ามาที่นี่ก็ตั้งนานแล้ว ไม่ขอรบกวนแล้ว”
นางกล่าวจบก็หันไปส่งสายตากับชิงผิง
ชิงผิงถวายคำนับให้ตู๋กูซิงหลันครั้งหนึ่ง ก็ประคองเสียนไท่เฟยจากไปโดยเร็ว
ตู๋กูซิงหลันเอนตัวพิงกับขอบประตูตำหนัก จดจ้องดูเงาหลังของเสียนไท่เฟย ดวงตาดอกท้อคู่นั้นหรี่ตามมองอย่างเพ่งพินิจ สายตาของนางทอประกายเย็นยะเยียบ
“สตรีผู้นี้ไม่ธรรมดา ” ครู่เดียวเจ้าวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในเงาของนางก็ออกมา กระโดดไม่กี่ครั้งก็ขึ้นไปเกาะอยู่บนบ่าของนาง “ไท่เฟยผู้หนึ่ง กลับรู้จักใช้วิชาสะกดจิต วิชาศาสตร์มืดลี้ลับเช่นนี้”
“นางย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ” ตู๋กูซิงหลันยกยิ้มมุมปาก นางยื่นมือออกมา ใจกลางฝ่ามือก็ปรากฎกลุ่มก้อนจิตวิญญาณธาตุหยินที่เข้มข้น ภายในยังรู้สึกได้ถึงแรงอาฆาตที่แฝงไว้อย่างรุนแรง
วิญญาณทมิฬมองดูใจกลางฝ่ามือของนาง ใบหน้าก็พลันเปลี่ยนไป “สตรีผู้นั้นที่แท้ก็คือ….”
ใช่แล้ว” ตู๋กูซิงหลันเก็บฝ่ามือขึ้นมา รอยยิ้มที่มุมปากยิ่งทียิ่งเข้มข้น “วังหลวงแห่งนี้ช่างเป็นที่ซ่อนพยัคย์ถ้ำมังกรจริงๆ “
“กุ๊กๆ กรู้ ~” เจ้าไก่ขนฟูส่งเสียงตอบ ราวกับว่ามันเองก็เห็นด้วย
วิญญาณทมิฬเหลือบตามองดูมันแวบหนึ่ง น้ำลายก็ไหลออกมา
…………………………………..
เหมันต์ฤดูของแคว้นตาโจวมาถึงอย่างรวดเร็ว เดือนสิบเอ็ด ในเมืองหลวงก็หนาวเสียจนทำให้คนแทบจะตัวแข็งแล้ว จากฤูดูใบไม้ร่วงมาฤดูหนาวอุณหภูมิแทบจะมิได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่
พิธีแต่งตั้งของท่านหญิงฉางซุนซุ่นเอ๋อร์ธิดาขององค์หญิงใหญ่ ใกล้จะมาถึงอยู่รอมร่อแล้ว
แม้แต่หิมะแรกของฤดูหนาวนี้เองก็ยังรีบร้อนมาร่วมชมความครึกครื้นด้วยเลย
ถนนทิศเหนือของเมืองหลวงถูกประดับประดางดงาม
จวนขององค์หญิงใหญ่ที่เคยเงียบสงบก็แขวนโคมแดง ผูกผ้าแดงโดยรอบ
นับตั้งแต่ท่านราชบุตรเขยจากโลกนี้ไปแล้ว ตลอดหกปีที่ผ่านมาในจวนแทบจะไม่เคยเห็นสีแดงมงคลเช่นนี้มาก่อน
หลายวันนี้บรรดาข้ารับใช้ในจวนต่างก็กำลังวุ่นวาย ทั่วทั้งจวนองค์หญิงคึกคักขึ้นมาทีเดียว
อีกเพียงสองวัน ก็จะถึงวันงานพิธีแต่งตั้งที่แสนสำคัญของท่านหญิงแล้ว
แต่ว่าพวกเขากลับไม่อาจรู้สึกยินดีขึ้นมาได้ เพราะตั้งแต่หลายวันก่อน ในเมืองหลวงก็เกิดเรื่องที่เด็กๆ พากันหายตัวไป เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันมีเด็กๆ หายตัวไปแล้วถึงสิบกว่าคน
ที่ยิ่งน่ากลัวก็คือ ยามที่ศพของเด็กเหล่านั้นถูกค้นพบนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวา ถูกควักหัวใจออกไป ดูดโลหิตจนหมดตัว เสียชีวิตอย่างน่าสยดสยอง
ทุกวันนี้ผู้คนในเมืองหลวงต่างใจคอไม่สู้ดี ไม่ว่าบ้านไหนต่างก็ไม่กล้าให้บุตรหลานออกมาข้างนอกเพียงลำพัง
และก็ไม่รู้ว่าใครกันที่เป็นคนปล่อยข่าว ว่าสิ่งที่ควักหัวใจ สูบโลหิตนั้น คืบคลานออกมาจากสุสานของเย่วฮูหยินนั่นเอง เรื่องนี้คงจะต้องมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับไทเฮาเป็นแน่
ตอนที่ 102 ท่านลุงประหลาด
ฟังไม่ผิดแล้ว เนื่องเพราะไทเฮาทรงประสงค์จะรักษาความงดงามไว้เพื่อล่อลวงฮ่องเต้ ถึงได้กระทำเรื่องน่าเกลียดน่ากลัวเช่นนั้นขึ้นมา
ไม่เช่นนั้น นางที่ก่อนหน้านี้เข้าไปอยู่ในตำหนักเย็นแล้ว แถมยังเป็นที่รังเกียจของฝ่าบาท ทำไมถึงได้สามารถกลับออกมาโดยไม่บุบสลายได้?
ต่อให้นางถูกเต๋อเฟยใส่ร้ายจริง การที่นางสามารถพลิกคดีนี้ได้ด้วยตนเองก็ถือว่ามิใช่เรื่องธรรมดา
อย่าได้ลืมไปเชียวว่า อดีตฮ่องเต้ทรงถูกความงามของนางล่อลวงจนหายพระทัยไม่ทันสิ้นพระชนม์ไป!
นี่มันชัดเจนเลยว่าสตรีผู้นี้คือนางมาร!
เล่าลือกันว่า พักก่อนนางมารผู้นี้ยังได้ไปค้างคืนอยู่ในพระตำหนักตี้หัวของฝ่าบาทอยู่หลายวัน หึๆๆ เรื่องที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรมเช่นนี้ สตรีที่แม้แต่ ‘ลูกชาย’ ของตนเองยังคิดจะยั่วยวนอีก มีหรือจะเป็นคนดีไปได้?
แคว้นต้าโจวกลับมีไทเฮาเช่นนี้ ชาติบ้านเมืองไหนเลยจะนับว่าโชคดีได้อีก!
ไม่รู้ว่าหากอดีตฮ่องเต้ในปรโลกทรงรับรู้ได้ละก็ จะทรงมีโทสะจนลุกขึ้นมาอีกครั้งหรือไม่!
……………………………
เมืองหลวง ถนนทิศเหนือ เซียวเซียงโหล
เมื่อได้ชื่อว่าเป็นหอเริงรมณ์ที่ใหญ่ที่สุดในในเมืองหลวง ที่นี่ย่อมเป็นสถานที่ที่รวบรวมหญิงงามเอาไว้มากมาย ลูกค้าก็มาจากทั่วทุกสารทิศ แน่นอนว่าแม้แต่พวกที่เชื่อถือผีสางก็มีอยู่ด้วย
วันนี้ตู๋กูซิงหลันก็ปะปนอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ นางเปลี่ยนเป็นชุดบุรุษ นั่งอยู่ในห้องแขกพิเศษของเซียวเซียงโหล ข้างกายมีสาวน้อยที่เผ็ดร้อนหลายคนอยู่เป็นเพื่อน
นางถือพัดเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือ มือซ้ายพัดโบกมือขวาโอบกอด ไหนเลยจะไม่มีความสุขได้อีก
“คุณชายน้อย ชิมองุ่นสิเจ้าคะ อ้าม~” สาวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนข้างซ้ายส่งองุ่นที่พึ่งปอกเปลือกออกเดี๋ยวนี้ถึงตรงหน้านาง
“อร่อย อร่อยมาก! ” ตู๋กูซิงหลันกลืนลงไปในคำเดียว ทั้งยังไม่ลืมจับมือของคนงามนั้นมาลูบไล้อย่างนุ่มนวลรอบหนึ่ง
“คุณชายเจ้าคะ เชิญมาดื่ม อื้ม~” คนงามด้านขวายกจอกบางใสขึ้นจรด ทรวงอกที่อวบอิ่มคู่นั้นบดเบียดแนบชิดกับท่อนแขนของนาง เพิ่มพูนความสนิทสนม
“รสดี รสดีมากๆ! ” ตู๋กูซิงหลันปล่อยตัวตามสบาย ยิ้มแย้มดุจดอกไม้บาน
อ้า นี่ช่างเป็นแดนสวรรค์ในโลกมนุษย์เสียจริงๆ! ดูสาวน้อยแต่ละคนในที่นี้สิ มีน้ำจิตน้ำใจยิ่งกว่าบรรดาลูกสะใภ้ในวังหลังมากนัก
ครั้งก่อนที่ออกมานอกวัง นางก็สังเกตเห็นหอเซียวเซียงโหลแห่งนี้แล้ว ใจมันระริกๆ อยากจะมาให้ได้
เมื่อมาถึงแล้ว ก็ไม่ทำให้นางผิดหวังจริงๆ หออันดับหนึ่งก็คือหออันดับหนึ่ง แม้แต่สาวงามในที่นี้ยังไม่ด้อยไปกว่าพระสนมในวังหลังเลย
ตู๋กูซิงหลันที่ท่าทีคล้ายกับเหล่าลูกหลานของผู้ดีมีเงินที่หลงใหลในรูป รส กลิ่น เสียง กำลังเมามายประดุจอยู่ในความฝัน
สาวน้อยกลุ่มหนึ่งกำลังบีบนวดทุบหลังให้กับนาง ช่างสุขสบายประหนึ่งเป็นฮ่องเต้
บุรุษประเภทต่างๆ พวกนางล้วนได้พบหน้ามาไม่น้อย แต่ว่าผู้ที่มีเสน่ห์ น่ารัก แบบคุณชายน้อยท่านนี้ นี่กลับเป็นครั้งแรก!
ครั้งนี้จะได้เงินมากหรือน้อยก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แล้ว เรื่องสำคัญคือสามารถได้ใกล้ชิดกับคุณชายน้อยที่รูปงามดุจเทพเซียนท่านนี้ต่างหาก
ไม่รู้ว่าค่ำคืนนี้ ผู้ใดจะได้ผ่านราตรีไปกับคุณชายน้อยกัน
จะทำอย่างไรดี ต่างคนก็ต่างคิดอยากจะมอบตัวมอบใจให้คุณชายน้อยเสียเดี๋ยวนี้!
วิญญาณตายโหงที่อยู่กับตู๋กูเหลียนก็สวมชุดบุรุษนั่งอยู่ตรงหน้าของตู๋กูซิงหลันด้วย สีหน้าของนางเองก็ตื่นเต้นกับสถานการณ์ตอนนี้อยู่ไม่น้อย
ในชาติก่อนนางมีโอกาสได้รับใช้เหล่าท่านอ๋องอยู่หลายท่าน แต่ว่าไม่มีบุรุษคนใดจะทำตัวเจ้าชู้กรุ่มกริ่มได้เท่ากับท่านเซียน!
คนเช่นนี้ทำไมถึงได้สามารถฝึกฝนจนสำเร็จวิชาเซียนได้กันนะ?
ยามนี้นางนึกเสียใจนัก
หากรู้แต่แรกว่าท่านเซียนเจ้าชู้ขนาดนี้ นางน่าจะใช้แผนสาวงามไปตั้งแต่แรก!
เพราะจะอย่างไรในชาติก่อนนางก็เป็นสาวงามในหมู่นางกำนัลผู้หนึ่ง หากว่าท่านเซียนเจ้าชู้ได้ถึงขนาดนี้ละก็ เพียงเปิดเผยเรียวขาก็คงสามารถล่อลวงนางให้หลงใหลไปได้เจ็ดแปดรอบแล้วมั้ง?
จุ๊ๆๆ ช่างน่าเสียงดายแทนสองขาที่เรียวยาวจริงๆ
เบื้องหน้ามองเห็นตู๋กูซิงหลันโอบกอดสาวน้อยทั้งหลายอย่างไม่สำรวมถึงเพียงนี้แล้ว นางก็ได้แต่ห่อปาก กล่าวเสียงเบาว่า “คุณชาย พวกเราออกมาหาของขวัญวันเกิดให้คุณหนูน้อยกัน ท่านอย่าได้ลืมเรื่องสำคัญไป”
ตู๋กูซิงหลันดื่มเหล้าไปใบหน้าก็มีสีแดงระเรื่อขึ้นมา ใช้พัดในมือโบกเบาๆ ตามสบาย “ไม่รีบๆ ข้าจะต้องหาแรงบันดาลใจก่อน คิดใคร่ครวญให้ดี ว่าสมควรส่งมอบสิ่งใดให้เด็กน้อยนั่น”
นางเอาแหวนหยกนิ้วโป้งของจีเฉวียนไปขายแล้ว รอบนี้ก็ได้เงินมาไม่น้อย! แถมนานๆ ทีจะได้หลบออกจากวังมา จะต้องสนุกสนานให้มากหน่อย
อีกสองวันข้างหน้าจะเป็นพิธีแต่งตั้งท่านหญิงน้อยแล้ว นางที่มีฐานะเป็น ‘ท่านย่า’ ของท่านหญิงน้อย ย่อมสมควรจะมีของขวัญใหญ่ให้สักชิ้น
การให้ของขวัญนั้นย่อมต้องตระเตรียมให้ดี ไม่อาจเรียบง่ายเกินไปได้ แต่ว่าเหล่าของขวัญที่บรรดาลูกสะใภ้ทั้งหลายเคยส่งมานั้น กลับถูกเจ้าฮ่องเต้สุนัขสั่งให้เก็บเข้าท้องพระคลังหลวงไปเสียแล้ว ตัวนางในตอนนี้มีแต่เงินที่ได้จากการขายแหวนหยกนั่นเท่านั้น
คงไม่อาจมอบทองก้อนหนึ่งให้ท่านหญิงได้หรอกมั้ง
วิญญาณตายโหง “แต่ว่าเรื่องที่สำคัญกว่าก็คือ…..”
เฮ่อ! นางไม่สมควรจะรีบร้อนเป็นห่วงผู้อื่นเลย!
พอได้ยินว่าในเมืองหลวงกำลังเล่าลือข่าวไม่ดีเกี่ยวกับตัวตู๋กูซิงหลัน นางไม่สมควรที่จะรีบร้อนมาบอกข่าวท่านเซียนในทันทีหรอกหรือ?
ออกมาหาของขวัญให้ท่านหญิงน้อยก็นับว่าเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่าก็คือจะต้องสืบคดีเรื่องเด็กน้อยที่หายตัวไป เพื่อคืนความบริสุทธ์ให้ท่านเซียน
แต่ว่าท่านเซียนกับดีนัก ทั้งที่นางถูกใส่ร้ายให้แบกหม้อก้นดำกลับไร้แรงกดดันแม้แต่น้อย
ก็ไม่รู้ว่าฆาตกรชั่วร้ายที่ลงมือคือผู้ใดที่ไหนกันแน่ แม้แต่เด็กน้อยยังไม่ยอมปล่อย จิตใจที่โหดเ**้ยมอำมหิตเช่นนี้แม้แต่ตัวนางที่เป็นวิญญาณพยาบาทยังไม่เ**้ยมเท่า
มันชัดเจนเลยว่าเรื่องเช่นนี้อาจมิใช่ผลงานของมนุษย์ผู้หนึ่ง
พวกขุนนางท้องที่ทั้งหลายแน่นอนว่าสืบสวนไม่ได้ความอันใดแม้แต่น้อย
ลองฟังดูสิ ในยามนี้ทั่วทั้งหอเซียวเซียงโหล กำลังถกเถียงเรื่องเด็กน้อยที่หายตัวไปและถูกทำร้าย ส่วนไทเฮาทรงถูกปีศาจเข้าสิงจนกลายเป็นนางมาร แต่ว่าตัวจริงกลับไม่รู้สึกรู้สาใดๆ
ตู๋กูซิงหลันมองดูวิญญาณตายโหงที่นั่งหน้าแดงอยู่ตรงนั้น แต่สายตายังคงมีแววจริงจังไม่คลาย
“เสี่ยวเหลียง ” (凉,เหลียง = เย็น, ชืด) คุณชายเช่นข้ามาด้วยตนเองแล้ว เจ้าอย่าได้ร้อนใจไป จงเชื่อมั่นในตัวข้าไว้เป็นพอ ” ตู๋กูซิงหลันพูดพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง
วิญญาณตายโหง “……..” เสี่ยวเหลียง ชื่อนี้ฟังดูไม่ค่อยเป็นมงคลเท่าไหร่ ขอข้าเปลี่ยนได้ไหมงะ?
คืนนี้เป็นข้างขึ้นหนึ่งค่ำ แต่กลับไร้ซึ่งแสงจันทร์ แผ่นฟ้ากว้างใหญ่ดูไปมืดมิด แม้แต่แสงดาวบนฟากฟ้ายังถูกหมู่เมฆบดบังไว้
หิมะตกหนักแล้ว ลมก็โหมแรง พาเอาหิมะทั้งหลายปลิดปลิวขึ้นไปบนท้องฟ้า
บนถนนที่ประดับประดาอย่างงดงามเช่นถนนทิศเหนือนี้มีผู้คนสัญจรมากนัก เพียงครู่เดียวก็ลดลงจนแทบจะไม่เห็นใคร
ทันใดนั้น บนถนนใหญ่ก็มีรถม้าของราชวงค์คันหนึ่งแล่นเข้าสู่สายตา
ภายในรถม้า องค์หญิงใหญ่ประทับนั่งอยู่ภายใน บุตรสาวของนางซุ่นเอ๋อร์แง้มผ้าม่านแอบลอดศีรษะออกดูด้านหลัง
“ท่านแม่ ท่านลุงประหลาดที่ถือดาบเล่มใหญ่ผู้นั้น ทำไมถึงยังติดตามพวกเรามาอีกเล่าเจ้าคะ? “
ซุ่นเอ๋อร์กลับเข้าไปซุกอยู่ในอ้อมอกองค์หญิงใหญ่ กระตุกชายเสื้อของนาง “เขาเป็นคนร้ายหรือเปล่า? ซุ่นเอ๋อร์กลัวเขาอยู่บ้าง”
องค์หญิงใหญ่ได้ยินแล้ว ก็กอดซุ่นเอ๋อร์แน่นเข้า สั่งให้สารถีหยุดรถม้าลง
เพียงครู่เดียวบุรุษร่างใหญ่ที่ถือดาบไว้ก็ไล่ตามมาทัน รักษาระยะห่างจากรถม้าเอาไว้ช่วงหนึ่ง
องค์หญิงใหญ่แง้มผ้าม่านออก ทอดพระเนตรดูบุรุษที่มีหิมะปลิวใส่ทั่วทั้งร่าง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างที่สุดว่า “ท่านแม่ทัพผู้พิชิต เจ้าติดตามพวกเรามาตลอดทาง ทำให้ธิดาของเราหวาดกลัวแล้ว”
ตู๋กูจุนขี่ม้าขาว มองดูนางที่ทำท่าเย็นชาทั้งยังแฝงเอาไว้ด้วยความรังเกียจบางส่วน ก็ไม่ได้ถอยม้าออกไป เขากระชับดาบไว้กล่าวว่า “ช่วงนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงไม่ค่อยสงบนัก ข้าแม่ทัพไม่อาจวางใจในความปลอดภัยของพวกเจ้าแม่ลูก ในเมื่อออกจากวังมาพร้อมๆ กัน ย่อมสมควรจะไปส่งสักรอบหนึ่ง”
“ใช่สิ ไม่ค่อยสงบ ท่านแม่ทัพไม่รู้หรือว่าความไม่สงบนี้มีที่มาจากที่ใด? ” สีพระพักตร์ขององค์หญิงใหญ่ราบเรียบ “เจ้ามาคอยติดตามเราเช่นนี้ ไม่สู้ไปสืบหาดูให้ดีว่า ผู้ร้ายที่คร่าชีวิตนั้นเป็นน้องสาวของเจ้าหรือไม่”
ตอนที่ 103 ท่านเซียนช่างไร้น้ำใจ
ตู๋กูจุนสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที เขาพลิกตัวลงจากหลังม้า ร่างกายที่สูงใหญ่ขวางอยู่ด้านหน้ารถ ดาบเล่มใหญ่สะบัดออกมาเบื้องหน้าชนิดที่ทำให้ม้าลากรถเกิดความตระหนกขึ้นมาทันที
มือข้างหนึ่งของเขารั้งสายบังเ**ยนไว้ ดวงตาที่คมกริบคู่นั้นจดจ้องผู้คนที่อยู่ในรถม้า “ข้าแม่ทัพรู้ว่า องค์หญิงยังทรงเกลียดชังข้าแม่ทัพเพราะเรื่องนั้น เรื่องที่ข้าได้กระทำผิด ข้าขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว องค์หญิงทรงชิงชังรังเกียจกระหม่อมได้อย่างเต็มที่ ไม่จำเป็นจะต้องพูดไปถึงน้องเล็กของกระหม่อมหรอก”
“น้องเล็กเป็นคนเช่นไร กระหม่อมรู้ชัดกว่าผู้ใด นางมีเมตตาไร้เดียงสา ไหนเลยจะกระทำเรื่องควักหัวใจดูดเลือดได้ เรื่องนี้ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้กรมอาญาลงมือสืบสวน ขอพระองค์อย่าได้ทรงคาดเดาวุ่นวายว่าเป็นผู้นั้นผู้นี้”
พอได้ฟังเช่นนี้องค์หญิงใหญ่ก็ทรงแย้มสรวลออกมา นางประทับอยู่ในรถม้า แย้มผ้าม่านออกมามองดูตู๋กูจุน “เราเพียงกล่าวถึงนางเพียงไม่กี่ประโยค เจ้าก็ทนไม่ได้เสียแล้ว หากว่าน้องสาวสุดที่รักของเจ้าสิ้นชีวิตไปต่อหน้า ท่านแม่ทัพคงจะสู้เอาชีวิตกับเราเลยใช่หรือไม่? “
ดวงตาของตู๋กูจุนปรากฎแววตาเหน็บหนาวขึ้นมาชั่วแวบ “พระองค์ทรงทราบชัดเจนดีว่าน้องเล็กคือดวงใจของกระหม่อม แล้วใยจะต้องทิ่มแทงกระหม่อมเช่นนี้? “
“ดวงใจรึ ฮ่าๆๆ ….” องค์หญิงใหญ่เปล่งเสียหัวเราะออกมา “ความรักความผูกพันในโลกนี้ มีแต่พวกเจ้าคนตระกูลตู๋กูที่มีเลือดเนื้อมีหัวจิตหัวใจ รู้จักความเจ็บปวด ผู้อื่นล้วนเป็นซากศพเดินได้ที่ไร้ความรู้สึกใช่ไหม? “
“ดวงใจของเจ้าผู้อื่นไม่อาจด่าว่าได้แม้สักครึ่งคำ เช่นนั้นดวงใจของเราล่ะ? เขานอนอยู่ในปรโลกอย่างเดียวดาย ทุกปีในเทศกาลชิงหมิง พวกเจ้าตระกูลตู๋กูเคยไปกราบไหว้ที่สุสานหรือไม่ เคยไปจุดธูปสักดอกหรือ? “
ตู๋กูจุนอ้าปากค้าง คำพูดทั้งหลายได้แต่กลืนลงท้องไป
องค์หญิงใหญ่ปิดพระเนตรลง ริมฝีปากบิดโค้ง ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ถึงได้ทรงระงับพระอารมณ์ให้สงบลงได้ “ต่อไปท่านแม่ทัพจงอย่าได้ปรากฎตัวต่อหน้าเราให้มากเป็นดี คราใดที่เราเห็นเจ้าเป็นต้องฉุกคิดถึงความเจ็บปวดนั้นขึ้นมาอีก จนอดไม่ได้ที่จะพลอยชิงชังคนในครอบครัวเจ้าไปด้วย หากพอพูดคุยกก็ยิ่งไม่มีอะไรน่าฟัง”
หิมะโปรยปรายอย่างหนัก ทยอยตกลงบนเสื้อเกราะที่เย็นเฉียบของตู๋กูจุน ทั้งบนศีรษะและไหล่บ่าของเขาล้วนมีหิมะบางๆ อยู่ชั้นหนึ่ง ท่านแม่ทัพผู้พิชิตที่มีโทสะรุนแรงเสมอได้แต่ยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางหิมะที่ร่วงหล่น ดวงตาของเขาปรากฎอารมณ์ซับซ้อนที่ยากจะเสาะหาได้
ผ่านไปอีกเนิ่นนาน เขาถึงได้กระชับหมัดคำนับองค์หญิงใหญ่ “เรื่องที่ข้าแม่ทัพเคยติดค้างพระองค์ หนี้นี้จะจะต้องใช้คืนแน่นอน”
องค์หญิงใหญ่กลับไม่ทรงทอดพระเนตรมองเขาแม้แต่น้อย นางปล่อยม่านลงก็หันไปสั่งสารถี “กลับจวนได้”
“ท่านแม่ทัพ โปรดคืนบังเ**ยนม้า……” คนขับรถยื่นมือออกไป กล่าวอย่างกระอึกกระอัก
สายตาของตู๋กูจุนทอประกายลึกล้ำ ในที่สุดก็คืนบังเ**ยนม้าให้คนขับไป ยกดาบใหญ่ขึ้นเปิดทาง
เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม ข้างกายมีเพียงม้าขาวตัวหนึ่ง หิมะยามดึกสร้างความหนาวเย็นแก่ผู้คน สายลมพัดโหมจนเส้นผมของเขาปลิวพันกันอย่างยุ่งเหยิง แต่พวกเขาหนึ่งคนหนึ่งม้าก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่นั่นเฝ้ามองรถม้าขององค์หญิงใหญ่ค่อยๆ ลับตาไป
ภายในรถม้า ซุ่นเอ๋อร์ดึงแขนเสื้อของจีฉุน เมื่อเงยหน้ามองดูมารดาก็เห็นว่าสองเนตรมีน้ำตาคลอ “ท่านแม่อย่าได้ร้องไห้ ซุ่นเอ๋อร์จะอยู่กับท่านเสมอ”
(纯 ฉุน, บริสุทธฺ์ , ปราศจากสิ่งเจือปน)
จีฉุนกระพริบตาไล่น้ำตากลับไป ยื่นมือออกไปคว้าตัวซุ่นเอ๋อร์เข้ามากอดไว้ ลูบไล้แผ่นหลังของนางอย่างแผ่วเบา “ซุ่นเอ๋อร์ของพวกเราช่างรู้จักเชื่อฟังนัก”
เด็กหญิงตัวน้อยกอดคอของนางไว้ ใช้ใบหน้ารูปไข่ที่อุ่นๆ ของตนเองแนบไปกับแก้มของนาง “ท่านแม่เกลียดชังท่านลุงประหลาดผู้นั้นมากหรือเจ้าคะ? “
จีฉุนเคร่งขรึมลง พลางลูบไล้ศีรษะเด็กน้อย “ก็แค่คนที่ไม่ถูกชะตากันเท่านั้น แม่ไม่มีแรงจะไปโกรธเกลียดเขาหรอก”
“แต่เขาบอกว่าติดค้างท่านแม่ คนที่ไม่ถูกชะตากันจะติดค้างกันได้ด้วยหรือเจ้าคะ? “
จีฉุนถูกนางถามเสียจนอ้ำอึ้งไป เนิ่นนานครู่ใหญ่ยังไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
“ซุ่นเอ๋อร์ดูออกนะเจ้าคะ ท่านแม่ไม่ชอบท่านลุงผู้นั้น อีกหน่อยหากว่าเขายังกล้ามาหาท่านแม่ ซุ่นเอ๋อร์จะเอาไม้กวาดไล่เขาไปไกลๆ ไม่ให้เขามาทำให้ท่านแม่เสียใจได้อีก”
เด็กหญิงตัวน้อยกอดคอนางอย่างปลอบประโลม
คราวนี้ หัวใจของจีฉุนเปี่ยมไปด้วยความปวดร้าวและสับสน นางได้แต่กอดบุตรสาวตัวน้อยที่รู้จักเข้าอกเข้าใจผู้คนเอาไว้อย่างแนบแน่น ตอนนี้นางก็เหลือแต่ซุ่นเอ๋อร์แล้วเท่านั้น นางขอสาบาน จะต้องอบรมเลี้ยงดูบุตรสาวให้เติบโตอย่างดี ไม่ว่าผู้ใดในโลกนี้ก็ไม่อาจมาทำร้ายบุตรสาวของนางได้แม้สักน้อยนิด
สำหรับกับคนผู้นั้น ของเพียงเขามิได้เป็นฝ่ายบุกรุกเข้าประตูมาก็พอ ตัวนางไร้กำลังจะวุ่นวายให้มากความแล้ว
………………………………………….
จวนตระกูลตู๋กู ห้องของตู๋กูซิงหลัน
ตู๋กูซิงหลันถูกตู๋กูจุนไล่ตามมากำชับให้อาบน้ำอุ่น เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าใหม่ที่สะอาดสะอ้าน สองพี่น้องถึงได้เริ่มพูดคุยกัน
ภายใต้แสงเทียน ใบหน้าที่องอาจของพี่ชายเปี่ยมไปด้วยความในใจ มองดูตู๋กูซิงหลันอย่างร้อนรนกระวนกระวาย
“พี่ใหญ่ ที่ผ่านมาท่านเป็นคนชัดเจนเปิดเผยผู้หนึ่ง หิมะตกท่วมฟ้ากลับเลือกที่จะคุ้มครองส่งองค์หญิงใหญ่แม่ลูกด้วยตนเอง นี่มันชัดเจนว่าท่านมีใจต่อผู้อื่น”
เมื่อคิดย้อนไปถึงภาพพี่ใหญ่ที่ยืนนิ่งเป็นแท่งน้ำแข็งอยู่ท่ามกลางกองหิมะ แม้แต่ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่า ที่แท้พี่ชายบ้านเราจะชอบแม่ม่ายสาวมีประสบการณ์
องค์หญิงใหญ่ปีนี้ยี่สิบหกชันษา มากกว่าพี่ใหญ่อยู่สามปี สูญเสียสามีไปตั้งแต่อายุยังน้อย เลี้ยงดูบุตรสาวจนเติบโตมาอย่างเพียงลำพัง เดิมทีนางเป็นผู้หญิงที่อบอุ่นอ่อนโยนผู้หนึ่ง แต่นับตั้งแต่ราชบุตรเขยจากไป อุปนิสัยก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา
ความตั้งใจทั้งหมดล้วนทุ่มเทไปให้กับบุตรสาว ยามปกติก็ไม่ค่อยจะพบปะกับผู้ใด
นี่มันช่างยากจะเชื่อ พี่ใหญ่ไปประทับใจองค์หญิงใหญ่ตอนไหน
“องค์หญิงใหญ่สิริโฉมงดงาม เพียงแต่อุปนิสัยออกจะเย็นชาไปอยู่บ้าง ท่านที่ขี่ม้าควงดาบเล่มโต หากคิดจะไล่ตามนางละก็ คงจะค่อนข้างลำบากอยู่บ้าง ” ตู๋กูซิงหลันประเมิณพี่ชายที่หนวดเครายาวเฟื้อยอย่างสนุกสนาน
ในโลกมิตินี้ บุรุษเช่นพี่ใหญ่หากยังไม่แต่งงามมีบุตรภรรยา ก็ถือว่าเกินวัยเข้าเกณท์ไปแล้ว นางที่เป็นเสมือนกับมารดาของบุตรชายวัยยี่สิบสามปี ย่อมต้องกังวลห่วงใยในตัวพี่ชาย
” ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเคยเห็นซุ่นเอ๋อร์ที่น่ารักไร้เดียงสามาแล้ว หากว่าท่านสามารถสู่ขอองค์หญิงใหญ่มาได้ ก็เท่ากับว่าตนเองได้บุตรสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูมาคนหนึ่ง นี่นับว่าเป็นเรื่องดี”
นางเป็นคนที่มาจากโลกปัจจุบัน ความคิดย่อมเปิดกว้าง ย่อมไม่สนใจว่าองค์หญิงใหญ่จะเคยแต่งกับผู้อื่นและมีลูกมาก่อน
หากว่าพี่ใหญ่ชอบองค์หญิงใหญ่จริงๆ และสามารถสู่ขอนางได้สำเร็จ เช่นนั้นนางก็พอใจและมีความสุขแล้ว
ตู๋กูจุนมองดูน้องเล็กที่กระดี๊กระด๊ากระโดดไปมา ก็อดที่ลูบศีรษะนางและยิ้มออกมาไม่ได้ “เจ้าอยู่ในวังนานไปแล้ว ดูทำตัวอย่างกับป้าแก่ๆ คนหนึ่ง”
ตอนที่ 104 เจ้า.........เป็น.?
ครู่หนึ่งเขาก็ตอบกลับว่า “ข้าไหนเลยจะมีความคิดไกลเกินอาจเอื้อมต่อองค์หญิงใหญ่ได้ ก็แค่คนที่เคยรู้จักกัน เพียงคิดจะดูแลพวกนางสองแม่ลูกบ้างเท่านั้นเอง”
“แค่คนที่เคยรู้จักกันหรือ? ” ตู๋กูซิงหลันจับคางตนเอง จดจ้องมองดูตู๋กูจุนที่คล้ายกับมีพิรุธอยู่บ้าง
เขายื่นนิ้วชี้ออกมาเคาะหน้าผากนางเบาๆ “พี่ใหญ่ก็แค่คนโง่เขลาหยาบกระด้าง ไม่รู้จักความสัมพันธ์ฉันชายหญิง ยิ่งไม่มีใจคิดจะปลูกเรือนแต่งภรรยา เจ้าก็อย่าได้วุ่นวายใจเพราะเรื่องพวกนี้อีก หากไม่มีเรื่องใดก็อยู่ห่างจากเจ้าฮ่องเต้สุนัขจีเฉวียนนั่นให้มากหน่อย พี่ใหญ่กลัวจริงๆ ว่าเขาจะเกิดความคิดที่ไม่สมควรขึ้นมา”
“ข้าได้ยินมาว่า เจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นบังคับให้เจ้าค้างคืนอยู่ในตำหนักตี้หัวถึงสามคืน เขาไม่ได้ทำอะไรเจ้าใช่ไหม? ” พูดแล้วตู๋กูจุนก็ทำท่าเหมือนจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะหลายวันนั้นเขามิได้อยู่ในเมืองหลวงละก็ เขาคงจะต้องควงดาบใหญ่เข้าไปฟันเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่นแล้ว
“ไม่มีเรื่องใดๆ ” ตู๋กูซิงหลันรีบส่ายศีรษะอย่างร้อนรน “เขาที่เป็นชายเหนือชายจะทำอะไรกับข้า……”
“นั่นก็ไม่แน่เสมอไป ข้าเคยเห็นสายตาของเขาที่มองดูเจ้า แทบจะอยากจับเจ้ากลืนลงไป” ตู๋กูจุนตอบ “ชายเหนือชายที่ไหนกัน เป็นเรื่องที่คนเขาเล่าลือไปเองต่างหาก”
ตู๋กูซิงหลันงงงัน อีกทั้งไม่ได้อยากจะถกปัญหาสืบสานไปจนถึงที่สุดกับพี่ชายเสียหน่อย นางล้วงเอาขวดยาใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าในตัวเสื้อส่งให้เขา “พี่ใหญ่เจ้าคะ จะอย่างไรท่านก็ถือเป็นยอดบุรุษงามสง่าของเมืองหลวงต้าโจว ยามปกติก็อย่าได้ปล่อยตัวเกินไปนัก ของสิ่งนี้ข้าได้ให้ท่านหมอหลวงซุนปรุงขึ้นเพื่อท่านโดยเฉพาะ ท่านต้องจดจำไว้ว่าจะต้องทาให้ตรงเวลาทุกวัน”
“นี่คืออะไร? ” ตู๋กูจุนเปิดขวดออกดู เพียงได้กินหอมของยาสมุนไพรและดอกไม้ ตัวยานั่นเป็นอะไรดำๆ ข้นๆ
“ยาบำรุงผิว” ตู๋กูซิงหลันทางหนึ่งกินแตงหวานทางหนึ่งตอบคำ “ใบหน้าของท่านยามนี้กระด้างดั่งกระดาษทราย ย่อมสมควรจะต้องบำรุงเสียบ้าง”
หากใช้ถ้อยคำของโลกปัจจุบัน เจ้าสิ่งนี้ก็คือโคลนพอกหน้า ผิวพรรณของพี่ชายนั้นหากไม่ได้บำรุงด้วยวิธีการต่างๆ เสียบ้าง ผิวหน้านั้นคงจะกู่ไม่กลับแล้ว
คนที่สุดแสนจะเจ้าชู้และรักชอบสิ่งสวยงามเช่นนาง ไหนเลยจะทนเห็นยอดบุรุษเช่นพี่ชายต้องกลายเป็นตาแก่ไปได้?
“มีแต่เหล่าพระสนมถึงได้ใช้ของแบบนี้ นายท่านเช่นข้าจะใช้ไปทำไม? ” ตู๋กูจุนทางหนึ่งรังเกียจทางหนึ่งก็รับมาเก็บเอาไว้ในอ้อมอก
จะไปสนใจไยว่าพระสนมใดใช้หรือไม่ ขอเพียงเป็นสิ่งที่น้องเล็กมอบให้ ต่อให้มันเป็นกระโปรงลายดอก หากว่าสามารถทำให้นางอารมณ์ดีได้ เขาก็พร้อมจะสวมมัน
อย่าว่าแต่เป็นยาบำรุงผิวเช่นนี้เลย
ตู๋กูซิงหลันมองดูเขาที่เก็บเอาไว้อย่างทะนุถนอม ในใจก็ยิ่งเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เดิมทีนางยังคิดจะไต่ถามที่มาที่ไปเรื่ององค์หญิงใหญ่ แต่เมื่อเห็นเขาไม่เต็มใจพูด ก็ไม่คิดจะถามอีก
ทั้งสองจากกันไม่กี่วัน แต่กลับมีเรื่องพูดคุยกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ให้นางไม่ต้องไปกังวลข่าวลือไร้สาระพวกนั้น ต่อให้มีเรื่องใดเกิดขึ้นขอเพียงมีพี่ใหญ่อยู่ แม้ฟ้าถล่มลงมาก็อย่าได้หวังว่าจะทำให้นางได้รับบาดเจ็บแม้สักน้อยนิด
กว่าจะพูดคุยกันจบก็ดึกดื่นมากแล้ว
เมื่อตู๋กูจุนเดินจากไป หิมะภายนอกก็ยิ่งตกหนักมากขึ้น ต้นไม้น้อยในสวนกลายเป็นสีเงินขาวประดับประดาไปทั่วทั้งบริเวณ
…………………………..
หิมะตกอยู่ทั้งวันทั้งคืน
คืนวันถัดมา ในจวนขององค์หญิงใหญ่ พรมสีแดงที่ถูกปูไว้ตั้งแต่เมื่อตอนกลางวัน กลับถูกหิมะสีขาวกลบทับจนมิด
พอตกค่ำเสียงผู้คนก็เบาลง มีเสียงขลุ่ยเบาๆ ดังออกมา แต่เสียงนั้นทั่วทั้งจวนขององค์หญิงใหญ่กลับไม่มีผู้ใดได้ยินเลย
เพียงครู่เดียว ก็ได้ยินเสียงเอียดอาดเปิดประตูห้องของท่านหญิงน้อย
ซุ่นเอ๋อร์สวมชุดเบาบาง ฝ่าเท้าที่ขาวนวลของเด็กน้อยไม่ได้สวมรองเท้าเสียด้วยซ้ำ นางลืมตาอยู่ ดวงตาที่ใสกระจ่าง เป็นประกายราวกับองุ่นดำ ยามนี้กลับคล้ายมีเส้นสีดำบางๆ ปรากฎขึ้น
นางเดินเหยียบย่ำลงไปบนหิมะที่หนานุ่ม ใบหน้าเล็กๆ แดงก่ำด้วยความเหน็บหนาว ร่างเล็กๆ ขยับไปข้างหน้าราวกับศพที่เคลื่อนที่ได้ ติดตามเสียงขลุ่ยนั้นออกไปทางด้านนอกจวนองค์หญิงใหญ่
แม่นมของท่านหญิงน้อยซุนหมัวหมัวที่ตื่นขึ้นมาถ่ายเบากลางดึกกำลังจะกลับไป ก็มองเห็นท่านหญิงน้อยของตนเองสวมชุดนอน เดินเท้าเปล่าออกไปที่ด้านนอก นางก็รีบตามไปหยุดไว้
แต่พอเดินถึงตัวท่านหญิง สตรีที่ใช้ผ้าดำปิดหน้าผู้หนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้น พุ่งเข้ามาอุ้มตัวท่านหญิงน้อยเอาไว้ในทันที
“เจ้าเป็นใครกัน? ” แม่นมทั้งตกใจทั้งโกรธ เดินก้าวเท้าติดตามไป วูบเดียวก็ฉกผ้าคลุมหน้าผืนนั้นออกมา
ทันใดนั้นนางก็ตาโตด้วยความตื่นตะลึง “เจ้า…….เป็น?! “
สตรีชุดดำใบหน้าเปลี่ยนสี ก็รีบยื่นมือดุจคมมีดออกมาหานาง ซุนหมัวมัวก็สลบไปทั้งแบบนั้น
………………………………..
จวนตระกูลตู๋กู หิมะตกหนักอย่างยิ่ง ประตูทุกบานต่างถูกบิดแน่น
แสงเทียนในห้องของตู๋กูซิงหลันดับไปแล้ว ทันใดนั้น ควันลึกลับสายหนึ่งก็ลอยเข้ามาจากทางหน้าต่าง นางยังคงนอนอยู่บนเตียง ดวงตาปิดสนิทเป็นเส้นตรง
บานหน้าต่างถูกแย้มเป็นช่องเล็กน้อย เงาดำของคนผู้หนึ่งยืนอยู่ภายนอก ใช้ดวงตาที่เยือกเย็นมองดูนางผ่านช่องเล็กๆ นั้น มองอยู่เป็นเนิ่นนาน
จนกระทั่งแน่ใจว่านางหลับสนิทแล้ว ริมฝีปากของคนผู้นั้นก็ค่อยๆ เผยอออก ปรากฎรอยยิ้มที่ร้ายกาจขึ้น
มือข้างหนึ่งอุ้มท่านหญิงน้อยไว้ เมื่อมืออีกข้างยกขี้นก็ปรากฎไอสีดำออกมา ยามที่มือนั้นขยับเล็บที่แหลมยาวนั้นก็กำลังจะเจาะเข้าไปยังตำแหน่งหัวใจของท่านหญิงน้อย
ทันทีที่มือนั้นเริ่มขยับ ภายในห้องพลันปรากฎเงาสีแดงขึ้น เงานั้นล้อมตัวนางไว้ทั้งยังเข้าควบคุบตัวนางทำให้นางไม่สามารถขยับตัวลงมือ
สตรีชุดดำเห็นวิญญาณตายโหงสวมชุดแดงที่มีใบหน้าเพียงครึ่งเดียวกำลังเกาะอยู่บนร่างของนางก็บังเกิดความตื่นตระหนกขึ้นมา
ทันทีที่มือของนางคลายออก ท่านหญิงน้อยในอ้อมแขนก็หล่นลงไปบนพื้น
ทันใดนั้นก็เห็นว่า เงาสีน้ำเงินดำสายหนึ่งพลิกตัวออกมาจากในห้อง ตะปบมือออกอย่างรวดเร็วคว้าตัวท่านหญิงน้อยไปไว้ในอ้อมแขน
เมื่อพบว่าเด็กหญิงน้อยในอ้อมอกตัวเย็นประดุจน้ำแข็ง หัวคิ้วของตู๋กูซิงหลันก็ขมวดแนบแน่นขึ้นมา ดวงตาของนางทอประกาย จับจ้องอยู่บนร่างของสตรีชุดดำผู้นั้น ดวงตาดอกท้อกำลังก่อไอพิฆาตที่เข้มข้นขึ้นมา
ยามที่สตรีชุดดำนั้นมองเห็นนางเข้า ก็อดที่จะตระหนกขึ้นไม่ได้ นางส่งเสียงแหลมขึ้นคราหนึ่ง ร่างกายขยับวูบไปด้านหลัง คิดจะฉีกกระฉากวิญญาณตายโหงชุดแดงที่เกาะกุมร่างตนเองไว้ออกไป เพียงแต่ว่ายิ่งนางดิ้นรนวุ่นวาย วิญญาณนั้นก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น พลังที่ลึกลับและเยือกเย็นสายหนึ่งแทรกซึมเข้าไปอยู่ในร่างของนาง
หลังจากที่ดิ้นรนอยู่หลายครั้ง ที่สุดนางก็ไม่อาจต่อต้านวิญญาณตายโหงชุดแดงนั้นได้ ถูกวิญญาณชุดแดงนั้นควบคุมทั่วทั้งร่าง ได้แต่ชะงักค้างอยู่ที่เดิม
ตู๋กูซิงหลันเดินมาจนถึงเบื้องหน้านาง มือข้างหนึ่งอุ้มซุ่นเอ๋อร์ไว้ มืออีกข้างหนึ่งแกะหน้ากากมนุษย์แผ่นนั้นออกมา
นางถือหน้ากากมนุษย์เอาไว้หมุนมันเล่นอยู่บนมือ “วิชาปลอมแปลงโฉมที่สูงส่งเช่นนี้ แม้แต่ข้าได้เห็นเข้ายังต้องตกตะลึง”
ครู่หนึ่งนางจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น หางตายังคงจับจ้องหญิงผู้นั้นไม่ได้คลาย ประกายตายิ่งทียิ่งเข้มข้นขึ้นมา “เพื่อจะใส่ร้ายข้า พวกเจ้าถึงกับฆ่าเด็กน้อยที่บริสุทธิ์ไปมากมาย ความผิดนี้ ไม่อาจให้อภัย”
ทันทีที่พูดจบนางก็ไม่เปิดโอกาสให้หญิงผู้นั้นร่ำร้องอันใด สั่งให้วิญญาณทมิฬควบคุมสติความทรงจำของหญิงผู้นั้นไว้ในทันที
จากนั้นจึงค่อยหันมามองวิญญาณผีตายโหงที่ควบคุมร่างของหญิงผู้นั้นไว้ “เจ้าสิงร่างนาง กลับไปอยู่ข้างกายเจ้านายของนาง ข้าอยากจะดูสิว่า พวกนางจะเล่นละครใดออกมา! “
ว่าแล้วนางก็สะกิดปลายนิ้วตนเองจนเป็นแผล และวาดสัญลักษณ์อย่างหนึ่งขึ้นบนกลางหน้าผากของวิญญาณผีตายโหง อาศัยพลังของหยกสรรพชีวิตผนึกวิญญาณผีตายโหงนั้นเข้าไปในร่างของหญิงสาว
ตอนที่ 105 ข้าก็จะหยิกกลับบ้าง!
ในยามปกติหากว่าวิญญาณผีตายโหงเช่นนางคิดจะสิงสู่อยู่ในร่างมนุษย์นั้น จะต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าของร่างเสียก่อน
แต่ว่าวิธีการของตู๋กูซิงหลันนั้น กลับใช้พลังของหยกสรรพชีวิต เข้าสะกดข่มให้วิญญาณผีตายโหงผนึกอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้นี้ แน่นอนว่า ช่วงเวลาที่จะสามารถยึดครองได้นี้ย่อมมีขีดจำกัด อย่างมากก็ไม่เกินสามวัน
เมื่อวิญญาณตายโหงสิงร่างได้ หยิงสาวชุดดำนี้ยังพยายามต่อสู้ดิ้นรนอยู่อีกพักใหญ่ ในที่สุดแววตาของนางถึงได้เปลี่ยนไป หันมาคำนับให้ตู๋กูซิงหลันครั้งหนึ่ง “น้อบรับบัญชา ท่านเซียน”
ว่าแล้ว เงาร่างของนางก็เลือนหายไปในหิมะอย่างรวดเร็ว
ครู่ต่อมา ตู๋กูซิงหลันถึงได้พาท่านหญิงน้อยกลับเข้ามาในห้อง เด็กน้อยตัวเย็นแข็งตลอดร่าง เพราะได้รับความเหน็บหนาวอย่างรุนแรง ฝ่ามือของนางดำคล้ำ คล้ายกับว่าได้รับพิษอย่างใดอย่างหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันสบัดเสื้อผ้าเปียกชื้นที่ฉาบด้วยหิมะของเด็กน้อยทิ้งไป ค่อยใช้น้ำอุ่นเช็ดตัวให้นาง สุดท้ายค่อยห่อตัวไว้ในผ้าห่ม
เจ้าวิญญาณทมิฬถวนจื่อคุดคู้อยู่ข้างๆ ตัวเด็กน้อย มันมองซ้ายทีขวาทีไม่หยุด “เจ้าตัวยุ่งน้อยนี้ช่างโชคดีที่ได้พบเจ้า ไม่เช่นนั้นละก็ป่านนี้คงถูกควักหัวใจดูดเลือดจนร่างแห้งไปแล้ว หึๆๆ ….พวกนางก็ช่างใจดำอำมหิตนัก แม้แต่เด็กน้อยที่เจ็บป่วยตั้งแต่ยามอยู่ในครรภ์มารดาก็ไม่ละเว้น “
ตู๋กูซิงหลันสีหน้าเยือกเย็น ไม่ต้องให้วิญญาณทมิฬบ่งบอกนางเองก็สามารถดูออกว่า ร่างกายของท่านหญิงน้อยมีปัญหาใหญ่อยู่แล้ว
นางปิดหน้าต่างให้สนิท นั่งลงที่ข้างเตียง จับมือของนางไว้ถ่ายทอดความอบอุ่นออกไป ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ เด็กหญิงน้อยถึงได้ลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ
ในห้องมีเพียงแสงเทียนดวงหนึ่ง สว่างอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
ตลอดทั้งร่างของตู๋กูซิงหลันปรากฎแสงสว่างจางๆ ชั้นหนึ่ง นางสยายผมยาวลงมา แม้ว่าปราศจากการประทิมโฉมแต่งเติมใด แต่ใบหน้านั้นกลับงดงามสมบูรณ์แบบอย่างไม่อาจปลอมแปลงได้
เด็กหญิงตัวน้อยมองนาง บังเกิดความประหลาดใจจนตะลึงค้างไปแล้ว
ใบหน้านี้นางรู้จักนี่น่า……นี่ไม่ใช่ท่านย่าน้อยในวังหลวงหรอกหรือ?
เมื่อรู้สึกถึงไออุ่นในฝ่ามือที่ถ่ายทอดมาถึง นางถึงได้ส่งเสียงออกมาเบา ถามตู๋กูซิงหลันว่า ” ท่านย่าน้อย ซุ่นเอ๋อร์ทำไม…ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้? “
คำเรียกท่านย่าน้อยนี้ ถึงกับทำให้ตู๋กูซิงหลันชะงักไปเช่นกัน ครู่ใหญ่ถึงได้ฉุดคิดได้ว่าตนเองเป็นไทเฮา ก็ย่อมเป็นมารดาในนามขององค์หญิงใหญ่ ธิดาขององค์หญิงใหญ่ก็ย่อมเป็นหลานสาวภายนอกของตนเอง
“อ๋อ เป็นเสียงขลุ่ย ซุ่นเอ๋อร์ได้ยินเสียงขลุ่ย ถึงได้เดินตามออกมา เดินไปเดินไปก็มาจนถึงที่นี่เลย” ฉางซุนซุ่นเอ๋อร์ถูกห่ออยู่ในผ้าห่ม พอหายมึนงงก็คล้ายกับคิดอะไรขึ้นมาได้ มองดูนางอย่างหวาดกลัวอยู่บ้าง “ท่ายย่าน้อย ท่านเป็นปีศาจกินคนหรือเปล่า…..ท่านจะกินซุ่นเอ๋อร์หรือไม่เจ้าคะ? “
“เอ่อ……ซุ่นเอ๋อร์ไม่มีเนื้อ กินไม่อร่อย ท่านย่าน้อยอย่ากินข้าเลยนะเจ้าคะ….”
ช่วงนี้คำล่ำลือในเมืองหลวงนางเองก็เคยได้ยินมาบ้าง ซุนหมัวหมัวก็กำชับกำชาอยู่ทุกวี่วันว่านางอย่าได้แอบออกไปไหน บอกอยู่ว่าในเมืองหลวงตอนนี้มีปีศาจกินหัวใจ ดื่มเลือดเด็ก
เหล่าข้ารับใช้ก็บอกว่าเรื่องปีศาจนี้เกี่ยวพันถึงไทเฮาด้วย ยิ่งได้ฟังนางก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ
ตอนนี้ตัวนางเองอยู่ดีๆ ก็วิ่งมาถึงที่นี่ ทั้งยังดึกดื่นถึงเพียงนี้แล้ว เด็กน้อยย่อมรู้สึกหวาดกลัว
ตู๋กูซิงหลันหัวเราะออกมาแล้ว นางคีบแก้มกลมๆ ของเด็กหญิงตัวน้อยเอาไว้ถามว่า “เจ้าว่าข้าเหมือนปีศาจไหมเล่า? “
เด็กหญิงมองดูนางอย่างละเอียด ตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ไม่ยอมเว้น ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ถึงได้ส่ายศีรษะ “ไม่เหมือนเลย ท่านเหมือนพี่สาวเซียนหญิง ท่านไม่ใช่ปีศาจ ท่านช่วยซุ่นเอ๋อร์เอาไว้ใช่ไหมเจ้าคะ? “
ตู๋กูซิงหลันอดใจไม่ไหวต้องลูบศีรษะนางเบาๆ “เด็กหญิงตัวน้อยเช่นเจ้า ความสามารถในการร้องขอชีวิตนั้นยอดเยี่ยมนัก ความสามารถในการประจบประแจงหรือก็เกือบจะเทียบข้าได้ทีเดียวเชียว”
เด็กหญิงตัวน้อยหน้างำ “ท่านแม่บอกว่า ซุ่นเอ๋อร์จะต้องเป็นเด็กที่ซื่อสัตย์ ห้ามพูดโกหก แน่นอนว่าประจบไม่เป็นหรอก! “
“ท่านย่าน้อยงดงามดุจเซียนหญิง เพียงแต่อารมณ์ไม่ค่อยดี นิสัยก็ไม่ดี! “
ครึ่งประโยคแรกเป็นนางพบเห็นด้วยตนเอง ส่วนอีกครึ่งประโยคหลังคือได้ยินพวกพระสนมในวังพูดมา”
เด็กหญิงตัวน้อยลุกขึ้นนั่ง ไม่เพียงไม่กลัวนาง ทั้งยังจดจ้องใบหน้าของนางอย่างไม่วางตา ก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาสได้มองดูท่านย่าน้อยใกล้ๆ ถึงเพียงนี้ ตอนนี้สามารถมองดูใกล้ได้ถึงเพียงนี้ ยิ่งมองดูยิ่งรู้สึกว่างดงามมาก
“ท่าเช่นนั้นเจ้าต้องรู้จักเชื่อฟังให้ดี ไม่เช่นนั้นหากว่าท่านย่าน้อยเช่นข้าอารมณ์ไม่ดี นิสัยก็แย่แล้วเกิดโมโหขึ้นมา มีหวังทำให้เจ้าต้องตกกระใจแน่! “
ตู๋กูซิงหลันพูดแล้ว ก็อดจะบีบแก้มนางแรงๆ สองที จนเด็กหญิงตัวน้อยโกรธขึ้นมา ผลักผ้าห่มออกจ้องดูนาง
ทันใดนั้นก็ไม่รอให้ตู๋กูซิงหลันทันมีปฎิกิริยาใดๆ เด็กหญิงตัวน้อยก็ยื่นมือออกมาจับใบหน้าของนาง บีบลงไปแรงๆ บนใบหน้ารูปไข่นั้นสองที
“ท่านแม่บอกว่า ใครตีข้า ข้าก็ต้องตีกลับ! ท่านย่าน้อยหยิกข้า ข้าก็จะหยิกกลับบ้าง! “
“อ้ายโย่ว ข้าว่านะ เจ้าตัวเล็กนี้ อีกหน่อยจะต้องไม่ธรรมดาแน่! ” วิญญาณทมิฬกระโดดอยู่ข้างๆ มันอยู่มาตั้งนานแล้ว พึ่งจะเคยเห็นตู๋กูซิงหลันถูกผู้อื่นหยิกแก้มเอาได้”
ตู๋กูซิงหลันชะงักไปชั่วครู่ก็หัวเราะออกมา ลูบไล้ศีรษะนางเบาๆ ชมว่า “ท่านแม่ของเจ้าสอนได้ดี ข้าจะถามเจ้า หากว่ามีคนทำร้ายเจ้า เจ้าควรทำอย่างไร? “
เด็กหญิงครุ่นคิดอย่างจริงจัง ค่อยตอบดังตะปูเหล็กกลับไปว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ร้ายกลับไป! “
…………………………………
เช้าวันถัดมา หิมะหยุดแล้ว ลมก็หยุดลงด้วย
พอท้องฟ้าสว่างไสว จวนขององค์หญิงใหญ่บนถนนทิศเหนือก็มีแขกผู้สูงศักดิ์กลุ่มหนึ่งมาเยือนแต่เช้า
เชื้อพระวงค์สูงส่ง ญาติสนิทและเหล่าขุนนางทั้งหลายที่ยืนอยู่แทบจะเต็มพื้นที่สวนของจวนองค์หญิงใหญ่ ทั้งยังมีชาวบ้านอีกไม่น้อยที่ฟ้ายังไม่ทันสางก็ตื่นมาเข้าแถวคอยดูพิธีในวันแต่งตั้งของท่านหญิงน้อย
นี่ย่อมต้องเข้าใจว่า องค์หญิงใหญ่ทรงเป็นราชธิดาองค์แรกในอดีตฮ่องเต้ พระมารดาแท้ๆ คือพระสนมหยุนกุ้ยเฟยผู้สูงศักดิ์ นับตั้งแต่ทรงพระเยาว์ก็เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของอดีตฮ่องเต้ ทันทีที่ประสูติมาก็ได้รับเฉลิมพระยศเป็นฉางผิง พระราชทานศักดินาเป็นพื้นที่เป่ยเหลียงทั้งหมด
ด้วยความสูงส่งเช่นนี้ สุดที่องค์หญิงอื่นๆ จะเปรียบเทียบได้
หากไม่ใช่เพียงเพราะว่าเมื่อหลายปีก่อนองค์หญิงใหญ่ทรงสูญเสียพระสวามี กลายเป็นเก็บตัวไม่ไต่ถามเรื่องราวภายนอก จวนองค์หญิงใหญ่ไหนเลยจะเงียบเหงาถึงเพียงนี้
แต่ว่ายามนี้ ฮ่องเต้พระองค์ใหม่เสด็จมาเป็นประธานในพิธีเฉลิมยศธิดาขององค์หญิงใหญ่ ก็เท่ากับเป็นการบอกกล่าวแก่ผู้คนภายนอกว่า พระราชวงค์ให้ความสำคัญต่อองค์หญิงใหญ่มาโดยตลอด ไม่อาจให้ผู้ใดมาหมิ่นหยามได้
ดังนั้นตั้งแต่เช้าจึงมีผู้คนมายืนออกันมากมาย ราวกับฝูงนกกระจอก
นับตั้งแต่แคว้นต้าโจวก่อตั้งขึ้นมา ฉางซุนซุ่นเอ๋อร์นับเป็นท่านหญิงคนแรกที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง พวกเขาย่อมจะต้องอยากจะชื่นชมดูบรรยากาศ บ้านใดที่มีบุตรชายดีงามก็พากับชมดูว่าใช่จะมีโอกาสนับญาติเป็นทองแผ่นเดียวกันกับองค์หญิงใหญ่ได้หรือไม่
ดูเอาเถอะอย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่เสียนไท่เฟยในวังหลวงก็ยังเสด็จมาด้วย
อีกทั้งยังมี ท่านรองมหาเสนาบดีที่ครั้งก่อนกระอักเลือดนอนป่วยลุกไม่ขึ้นมาตลอด วันนี้ก็มาด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าเป็นการให้เกียรติองค์หญิงใหญ่ถึงเพียงไหน
เหล่าผู้คนต่างก็คอยืดคอยาว รอคอยองค์หญิงใหญ่และท่านหญิงน้อย หลังจากที่รอคอยอยู่เนิ่นนานในที่สุดองค์หญิงใหญ่ก็เสด็จออกมา แต่กลับไม่เห็นเงาของท่านหญิงน้อยเลย
สีพระพักตร์ขององค์หญิงใหญ่ไม่ดีอย่างยิ่ง หลังจากกวาดพระเนตรดูฝูงชนรอบหนึ่ง ก็ไม่ตรัสคำใด เสด็จนำผู้รับใช้ในบ้านมุ่งหน้าไปทางถนนทิศตะวันออกทันที
ผู้คนทั้งหลายต่างมีสีหน้าประหลาดใจ พากันเกิดความกังวลขึ้นมา จวนองค์หญิงเกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้ว?
ท่านรองมหาเสนาฯ รั้งตัวข้ารับใช้เก่าแก่ขององค์หญิงเอาไว้ผู้หนึ่ง สอบถามว่า “องค์หญิงรีบร้อนเสด็จไปยังที่ใด? “
“ใต้เท้ารองมหาเสนาฯ ขอรับ ในจวนเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว ท่านหญิงน้อยหายไป! ” บ่าวเฒ่าตอบอย่างร้อนใจ “ซุนหมัวหมัวที่รับใช้อยู่ข้างกายท่านหญิงพึ่งจะรู้สึกตัวขึ้นมา บอกว่านางเห็นกับตาว่า เมื่อคืนนี้ไทเฮาเอาตัวท่านหญิงน้อยไป! “
ตอนที่ 106 ไทเฮาไม่กลับบ้าน
“อะไรนะ? ” ผู้คนทั้งหลายต่างพากันตื่นตระหนกขึ้นมา
“นี่เป็นเรื่องจริงหรือ? ” ท่านรองมหาเสนาฯ รีบก้าวออกมาไต่ถาม ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาในทันที
“องค์หญิงใหญ่นำผู้คนไปยังจวนตระกูลตู๋กูแล้ว นี่ไหนเลยจะเป็นเรื่องหลอกลวงได้อีกเล่าขอรับ” บ่าวเฒ่าตอบอย่างร้อนใจ ” หากท่านหญิงน้อยไม่เป็นอะไรก็แล้วไป แต่หากว่าเกิดอะไรกับนางขึ้นมา ฝ่าบาทของพวกเราจะทรงมีชีวิตอยู่ได้เช่นไร เฮ่อ! “
เขากล่าวจบ ก็รีบติดตามขบวนขององค์หญิงไป
ผู้คนทั้งหลายพอได้ฟังถึงตรงนี้ ต่างก็พอจะเข้าใจกันขึ้นมาบ้างแล้ว
มิน่าเล่าองค์หญิงใหญ่ถึงได้ไม่มีรับสั่งใดทิ้งไว้แม้สักคำ ก็เสด็จจากไปอย่างรีบร้อน
“หลายวันนี้ในเมืองหลวงมีตัวประหลาดควักหัวใจ ดูดเลือด เสียด้วย ขอฟ้าดินโปรดคุ้มครอง จะอย่างไรก็ขอให้ท่านหญิงน้อยปลอดภัยไร้อันตรายด้วยเถอะ! ท่าทางของท่านรองมหาเสนาฯ เต็มไปด้วยความวิตกกังวล
ว่าแล้ว เขาก็ไม่ลืมที่จะหันไปทูลเสียนไท่เฟยที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนว่า “ไท่เฟยพะยะค่ะ พวกเราก็สมควรจะติดตามไปดูกันดีกว่า”
เสียนไท่เฟยสวมชุดกระโปรงสีดำ สองมือสอดอยู่ในปลอกนวมปักลายดอกท้อ มีนางกำนัลประจำตัวของนางชิงผิงคอยช่วยกางร่มให้
ยามนี้คิ้วของนางขมวดเข้าหากัน ท่าทางเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วง
ที่ด้านหลังของเสียนไท่เฟย ยังมีเหล่าพระสนมอีกหลายคน หยวนเฟยเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
พวกนางต่างก็มาเพื่อร่วมงานพิธีของท่านหญิงน้อย
เหล่าพระสนมปรึกษากันวุ่นวาย ก็หันมาทูลเสียนไท่เฟยว่า “จริงด้วยเพคะไท่เฟย หากว่าท่านหญิงน้อยเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ พวกเราก็อาจจะพอช่วยเหลืออะไรได้บ้าง”
เด็กหญิงตัวน้อยฉางซุนซุ่นเอ๋อร์ที่ผอมบางมีแต่กระดูกถูกเอาตัวไปเช่นนี้ มีหรือจะไม่เกิดเรื่องขึ้น?
ลือกันว่า พวกเด็กๆ ที่ก่อนหน้านี้ถูกควักหัวใจ ดูดเลือด ก็มีอายุพอๆ กันกับนาง
คราวนี้ละดีแน่แท้ นังตู๋กูซิงหลันนั่นพึ่งจะเป็นปลาตายพลิกตัวได้ไม่นาน หากว่าก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น ทั้งยังถูกแม่นมประจำตัวของท่านหญิงน้อยพบเห็นเข้า! ก็เท่ากับว่านางชนกำแพงหินเข้าแล้ว ต่อให้คิดจะหลบหลีกอย่างไรก็หลบไม่พ้น
นังหญิงผู้นั้นจะต้องเป็นนังปีศาจจริงๆ แน่!
หากว่าไม่ใช่ นางไหนเลยจะสามารถทำให้ฝ่าบาทยอมพลิกคดีแทนนางได้กัน?
ในวังหลังที่มีนางอยู่ ถือว่าเป็นเรื่องอันตราย!
หากว่าวันนี้สามารถจำกัดนางทิ้งไปได้ก็เป็นดีที่สุด ถือเป็นการกันไม่ให้นางล่อลวงฝ่าบาทจนกลายเป็นหนูในถังข้าวสาร ทั้งยังทำให้เหล่าผู้คนในวังหลังต้องพากันอกสั่นขวัญหาย
ก็ไม่เห็นหรือ? ก่อนหน้านี้พวกนางพึ่งจะจัดของขวัญส่งไปให้นางยังไม่ทันไร หลี่กงกงก็รีบติดตามมาตรวจสอบที่มาของสิ่งของเหล่านั้น พอตรวจขึ้นมาก็งามหน้านัก เรื่องที่กลบเกลื่อนไว้ก็ถูกลากออกมาหมด!
ขนาดพวกนางส่งของขวัญให้ นังปีศาจนั่นยังต้องทำให้เป็นเรื่องขึ้นมา!
เดิมทีนางมีฝ่าบาทปกป้องอยู่ อีกทั้งยังมีเจ้าโคถึกตู๋กูจุนผู้นั้นเป็นเกราะหลัง พวกนางย่อมยากที่จะทำอะไรกับนางได้ แต่คราวนี้ต่างกันแล้ว นังปีศาจนี้หากเรื่องไปตายด้วยตัวเอง
เช่นนั้นวันนี้ พวกนางก็สมควรจะไปชมดูเสียหน่อยว่า นางจะต้องตายเช่นไร
สังหารสายเลือดเชื้อพระวงค์ โทษทัณฑ์ที่หนักหนาเช่นนี้ หากว่านางยังไม่ตาย พวกนางก็ขอยอมตัดหัวตนเองลงมาเป็นเก้าอี้ให้นางนั่งแล้ว!
คราวนี้เสียนไท่เฟยถึงได้ยอมพยักหน้า นำพากลุ่มพระสนม เชื้อพระวงค์ ขุนนางทั้งหลายติดตามไปทางจวนตระกูลตู๋กูอย่างครึกครื้น
………………………………..
จวนตระกูลตู๋กู ภายในสวนปกคลุมไปด้วยกองหิมะ นกเล็กๆ หลายตัวกำลังหาอาหารอยู่บนพื้น ส่งเสียงจิ๊บๆ จั๊บๆ
ในห้องส่วนตัวของตู๋กูซิงหลัน หน้าต่างของนางเปิดออก นำพาอากาศเย็นสดชื่นเข้ามา ทั้งยังแฝงกลิ่นหอมของดอกเหมยอยู่ในอากาศ
บรรดาสาวใช้ในห้องพึ่งจะหวีผม แต่งตัวให้นางเสร็จ ก็เห็นท่านพ่อบ้านวิ่งมาด้วยความรีบร้อน ไม่ทันได้รอให้เขากล่าวอะไรออกมา ก็เห็นจีเฉวียนในฉลองพระองค์มังกรทองตลอดร่างสาวพระบาทก้าวใหญ่เข้ามาถึง
ที่ข้างกายเขายังมีหลี่กงกง และเหล่าราชองครักษ์ที่ดูไม่สามัญอีกหลายคน
ท่านพ่อบ้านรีบคุกเข่าลงกับพื้น หันไปทางตู๋กูซิงหลันกราบทูลว่า “ไทเฮาพะยะค่ะ ฝ่าบาทเสด็จมาแล้ว”
พวกเขาพึ่งจะเปิดประตูใหญ่ ไหนเลยจะรู้ได้ว่า จะพบเห็นฝ่าบาทประทับยืนอยู่ท่ามกลางสายลม พระพักตร์นั้นดำคล้ำเสียยิ่งกว่าก้นหม้อเสียอีก เขาที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดได้แต่คิดว่าในบ้านคงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว ฝ่าบาทถึงได้เสด็จมาด้วยพระองค์เอง
ยามที่ตู๋กูซิงหลันได้เห็นเขา ก็ประหลาดใจค่อนข้างมาก เจ้าฮ่องเต้สุนัขวันนี้สวมฉลองพระองค์มังกร ทั้งยังมีฉลองพระองค์คลุมสีน้ำตาลดำปักลายมังกรทองทับอีกชั้น สาบเสื้อประดับด้วยขนมิงค์ ยิ่งขับให้ผิวพรรณของเขางามเสมือนเนื้อหยกโบราณ
บนพระเศียรสวมพระมาลาอย่างกษัตริย์ ลูกปัดที่ห้อยระย้าทั้งสิบสองสายทำจากไข่มุกดำสาดประกายแวววาวบาดตา
หากว่ากันตามธรรมเนียมของต้าโจวแล้ว มีแต่ยามที่มีพิธีการสำคัญ โอรสสวรรค์จึงจะทรงพระมาลาเช่นนี้ในพิธี ดูท่าแล้วเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่คงจะให้ความสำคัญกับท่านหญิงน้อยจริงๆ
ตู๋กูซิงหลันมองดูเขาอย่างเปิดเผย จากนั้นค่อยฉุดคิดปัญหาสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ทำหมวกเสียใบโตแต่ว่าคนกลับเล็กแค่นี้!
เจ้าฮ่องเต้สุนัขจีเฉวียนองค์นี้ดูๆ ไปก็เจริญตาดีไม่น้อย
จนกระทั่งเขาเสด็จเข้ามาจนเกือบจะถึงข้างหน้านางแล้ว ตู๋กูซิงหลันถึงค่อยมีสติกลับมา “วันนี้ฝ่าบาทงามสง่าจริงๆ ตลอดพระองค์ทั้งบนล่างดูขึงขังบึกบึนมีพลังมาก”
จีเฉวียนยืนอยู่ตรงหน้านาง พระพักตร์เย็นชาเสียยิ่งกว่าหิมะในสวนอีก
สตรีผู้นี้ ใช่ว่ากำลังหลอกด่าทางอ้อมว่าเขาปัญญาเบาหรือเปล่า?
ไม่พบกันมาสองวัน นางไม่รู้จักพูดอะไรที่น่าฟังหน่อยหรือไง?
พระเนตรหงส์คู่นั้นจับจ้องอยูที่นาง “เราปล่อยเจ้าออกมาจากตำหนักเย็น เจ้าก็ตีปีกเสียแล้ว คิดจะบินแล้วหรือไง? แอบออกจากวัง กระทั่งดึกดื่นยังไม่กลับบ้านอีก? “
“ดึกดื่นไม่กลับบ้าน? ” ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะไปมา หันไปมองดูโดยรอบครั้งหนึ่ง จนแน่ใจว่าที่นี่คือจวนตระกูลตู๋กู ถึงได้ตอบไปว่า “ข้าก็อยู่ที่บ้านของตัวเองไม่ใช่หรือ? “
“เจ้าเป็นไทเฮา ไม่รู้หรือว่าวังหลวงจึงจะเป็นบ้านของเจ้า? ” แรงกดดันจากร่างที่สูงกว่าของจีเฉวียน ทำเอานางแทบจะต้องถอยกลับเข้าไปในห้อง
ตู๋กูซิงหลัน “……..” สถานที่ดั่งถ้ำเสือวังมังกรเช่นวังหลวงนั้น หากจะให้นางถือเอาเป็นบ้าน ไม่รู้ว่าจะต้องใจใหญ่สักเท่าใดกัน?
พอเห็นนางทำท่าทางคล้ายดังไม่ค่อยเข้าใจ พระพักตร์ของจีเฉวียนก็ยิ่งเย็นชา เขาไม่เชื่อหรอกว่าสตรีผู้นี้จะไม่รู้ว่าพักนี้ในเมืองหลวงมีข่าวลืออันใดบ้าง
ในช่วงเวลาเช่นนี้นางสมควรจะทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอยู่แต่ในวังหลวง ถึงจะนับว่าปลอดภัย
เดิมทีตอนนี้ก็นับว่าเป็นฤดูหนาวอยู่แล้ว เมื่อเพิ่มตัวเขาที่เย็นชาดุจแท่งน้ำแข็งเข้าไปอีก ทำให้ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าทั่วทุกทิศทางมีแต่ความเหน็บหนาว ความเยือกเย็นนี้แทรกซึมจากลำคอเข้าสู่ภายใน ทำให้นางอดที่จะตัวสั่นเบาๆ ไม่ได้
“หนาวแล้วทำไมถึงได้สวมใส่น้อยเช่นนี้? หากว่าเกิดลมพัดแรงขึ้นมา มีหวังพัดเจ้าจนลอยขึ้นฟ้าไป! ” จีเฉวียนตรัสพลางก็ต้อนนางเสมือนต้อนไก่ตัวหนึ่งกลับเข้าห้องไป “
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นห้องส่วนตัวของนาง ในห้องมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทร์ ทำให้กลิ่นกุหลาบบนตัวนางจางลงไป
ห้องมิได้ใหญ่โตแต่กลับอบอุ่นสบาย เพราะในห้องมีกระถางไฟทำจากเงินแท้ตั้งอยู่ อากาศจึงอุ่นกว่าภายนอกมาก
เขาปล่อยตัวนางไป ตนเองเลือกที่นั่งลงบนเก้าอี้กุ้ยเฟยตัวหนึ่ง แต่สายตาไม่ได้ห่างจากตัวนางแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าพักนี้พระองค์เกิดปัญหาขึ้นบ่อยๆ ไม่รู้ว่าทำไมในสมองของพระองค์มักจะเกิดภาพเงาร่างของนางอยู่เสมอ ทุกๆ วันเอาแต่จะเสด็จมาที่ตำหนักเฟิ่งหมิง
เขาอดที่จะสงสัยไม่ได้ สตรีผู้นี้แอบกระทำสิ่งใดกับตัวเขาหรือไม่ อย่างเช่น หนอนคุณไสย
แต่เมื่อสั่งให้หมอหลวงซุนตรวจดูร่างกายอย่างละเอียดก็ไม่พบความผิดปกติใด
นี่กลับทำให้เขาว้าวุ่นใจกว่าเดิม
“ตู๋กูซิงหลัน เรามีคำถามจะถามเจ้า ” ดวงตาหงส์ของเขาจดจ้องนาง ฮ่องเต้ทรงยื่นพระหัตถ์ออกมา เพียงวูบเดียวก็ดึงตัวนางมายังข้างกาย
ตู๋กูซิงหลันแม้รู้สึกหนักใจอยู่บ้างหากแต่ไม่แสดงออก กระทั่งถูกเขาดึงตัวลงไปบนเก้าอี้กุ้ยเฟยด้วยกัน มือของนางตั้งใจจะคว้าอะไรเพื่อยันตัวเอาไว้ แต่เพราะไม่ทันระวังจึงไปคว้าเอาตรงนั้นของเขาเข้า
ราวกับว่าพลังทั้งหมดในร่างกดลงไปที่ตรงนั้น เดิมที่นางก็มีพละกำลังมากอยู่แล้ว ฝ่ามือนี้ของนาง เรียกว่าแม้แต่ทุเรียนยังถูกฉีกเปลือกออก
อย่าว่าแต่นี่คือ……….
สองหูของนางราวกับได้ยินเสียงอะไรลั่นดังกร๊อบ
สีพระพักตร์ของฝ่าบาทที่เดิมเย็นชา ยามนี้ถึงกับซีดขาว
ตู๋กูซิงหลันเองก็รู้สึกว่าหน้าหนาๆ ของนางก็จะแดงขึ้นมาแล้ว แถมเจ้าชีพจรหัวใจที่ไม่รู้จักเชื่อฟังก็เต้นกระหน่ำไปด้วย มุมปากของนางกระตุกอย่างไม่อาจควบคุมได้
นางต้องข่มใจอย่างแรงถึงได้กลั้นเสียงหัวเราะที่กำลังจะระเบิดออกมาลงไว้ได้ ถึงขนาดพาลให้น้ำตาไหลออกมาเลยทีเกียวเชียว
จากนั้นก็จ้องมองฝ่าบาทที่เจ็บปวดจนหน้าเขียวหน้าเหลือง ถามออกไปอย่างระมัดระวังที่สุดว่า “ฝ่าบาท…..ถ้าเจ็บมากก็ร้องไห้ออกมาเถอะนะ อ๊าง”
นี่ท่าคงจะหักเสียแล้วละมั้ง!
วิญญาณทมิฬเกาะอยู่บนบ่าของตู๋กูซิงหลัน ใช้มือป้อมสั้นของมันลูบคางกลมๆ มันครุ่นคิดอย่างจริงจังจนสรุปได้ข้อหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ตอนที่มันกัดเจ้าฮ่องเต้สุนัข เป็นการกัดผิดตำแหน่ง ช่างน่าเสียดายนัก ฟันร่วงไปอย่างเปล่าประโยชน์
จีเฉวียนอดทนสกัดกั้นความเจ็บปวดที่รุนแรงเสียยิ่งกว่าหมื่นดาบแล่เนื้อเถือหนังเอาไว้ เพียงส่งเสียงครางออกมาอย่างแผ่วเบา
พอเขาเงยพระพักตร์ขึ้นมาก็เห็นตู๋กูซิงหลันกำลังน้ำตาไหล กล่าวกับเขาว่า “ท่านอย่าได้ร้อนใจ หมอหลวงซุนมีวิชาแพทย์สูงส่ง จะต้องรักษาได้แน่”
เพลิงโทสะของจีเฉวียนถูกน้ำตาของนางดับจนมอดลง เห็นแก่ที่นางร้อนรนจนน้ำตาร่วง ก็นับว่านางยังมีน้ำใจรู้สำนึกอยู่บ้าง
ตู๋กูซิงหลันสาบานอยู่ในใจ นางไม่ได้ตั้งใจจริงๆ!
นี่เป็นเพราะเจ้าฮ่องเต้สุนัขคิดจะฉุกจะลากก็ไม่บอกกันก่อน ไม่ใช่ว่านางอยู่ๆ ก็คิดจะไปหักโดยที่ไม่ให้เขาทันได้ป้องกันเสียหน่อยใช่ไหม?
จีเฉวียนพยายามขยับพระองค์ แต่ความเจ็บปวดกลับทำให้เขาแทบจะสิ้นสติไป ได้แต่กัดพระทนต์และปัดมือของนางออกไป ” เจ้าคิดจะทำให้เราไร้ผู้สืบทอดหรือไง? “
“ฟ้าดินโปรดเมตตา ไม่ใช่แน่นอน! ” ตู๋กูซิงหลันรีบยกสองนิ้วขึ้นมาสาบานอย่างจริงจัง “ข้านะชอบเด็กๆ ที่สุดแล้ว แน่นอนว่าต้องอยากให้ฝ่าบาททรงมีหลานให้ข้าสักหลายๆ คน”
ตลอดไรผมของจีเฉวียนมีเหงื่อบางๆ อยู่ชั้นหนึ่ง เขาเอนตัวพิงกับเก้าอี้กุ้ยเฟยสูบลมหายใจลึกๆ
นางช่างมีพิษสงนัก! อยู่ร่วมกับนางแต่ละคราเป็นต้องมีเรื่องประหลาดแทบคร่าชีวิตของเขาไปด้วย!
เขาพยายามจะขยับเบาๆ แต่กลับรู้สึกเจ็บยิ่งกว่าเดิม พอคิดจะพูดอะไร ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังมาจากด้านนอก
หลี่กงกงยืนอยู่บนระเบียงยาว เห็นองค์หญิงใหญ่นำผู้คนในบ้านมากลุ่มใหญ่ด้วยท่าทีถมึงทึง ก็รู้ทันทีว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
เขารีบเดินเข้าไปสกัดคนเอาไว้ แต่ว่าคราวนี้องค์หญิงใหญ่ที่เคยนุ่มนวลอ่อนโยนกลับกลายร่างเป็นมารไปแล้ว ชักดาบออกมาก็ทำท่าจะฟันคน
เหล่าองครักษ์เกรงว่าจะทำให้นางบาดเจ็บ ต่างก็ไม่รู้ว่าสมควรปฎิบัติกับนางเช่นไร เพียงชั่วเวลาประเดี๋ยวองค์หญิงใหญ่ก็ทรงทะลวงเข้ามาจนถึงเรือนของตู๋กูซิงหลัน
ภาพแรกที่เข้าสู่สายตาของนางคือจีเฉวียนนอนหน้าซีดขาวอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย และตู๋กูซิงหลันที่ยืนหน้าแดงก่ำอยู่ข้างๆ
ภาพเช่นนี้ดูไปแล้ว คล้ายกับว่าฮ่องเต้ทรงถูกปีศาจสาวจัดการไปเสียแล้ว
พอคิดว่าซุ่นเอ๋อร์อาจจะตายไปแล้วด้วยฝีมือของนางมารผู้นี้ นางก็ทั้งหวาดกลัวทั้งมีโทสะ ตวัดดาบไปทางศีรษะตู๋กูซิงหลันในทันที
“จีฉุน เจ้าลองกล้าทำอะไรนางดูสิ! “
ทันใดนั้น จีเฉวียนทรงตรัสเสียงเย็นออกมา ทำให้ดาบของจีฉุนได้แต่ย้ายไปที่บ่าของตู๋กูซิงหลันแทน
นางหันเศียรไป ทอดเนตรดูจีเฉวียนอย่างไม่อาจยอมเชื่อสายตาตนเองว่า “ผู้คนทั้งหลายต่างกล่าวว่าเจ้าถูกนางมารนี้ล่อลวงจนมึนเมาไปแล้ว เดิมทีข้าไม่ยอมเชื่อ แต่ว่าตอนนี้ดูแล้ว คงจะไม่ใช่เรื่องเท็จอีกต่อไป”
จีเฉวียนได้แต่อดทนต่อความเจ็บปวด เขายังคงขยับตัวอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย สายพระเนตรเย็นเฉียบ “เราเห็นแก่ที่เจ้าเป็นพระธิดาองค์โตของเสด็จพ่อ ให้ความเคารพเจ้าสามส่วน ถือว่าให้หน้าเจ้าแล้ว ว่ากันตามธรรมเนียมแล้วเจ้าสมควรเรียกไทเฮาว่า เสด็จแม่สักคำ บุกรุกเข้ามาให้ห้องของไทเฮา ทั้งยังใช้ดาบใส่ไทเฮา เจ้าไม่คิดจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วหรือไง? “
“เสด็จแม่กับผีนะสิ! ข้ารู้แต่ว่า นังปีศาจตนนี้เอาตัวซุ่นเอ๋อร์ของข้าไป! หากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับซุ่นเอ๋อร์ละก็ ข้าจีฉุนจะต้องให้นางได้ชดใช้! ” จีฉุนพระเนตรแดงแล้ว หัตถ์กำดาบเอาไว้แนบแน่น หากไม่ใช่เพราะจีเฉวียนรั้งนางไว้ ดาบนี้ก็คงได้ดื่มเลือดไปแล้ว
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ด้านหนึ่ง เห็นนางเสียสติเช่นนี้ ก็กล่าวว่า ” ขอองค์หญิงใหญ่อย่าได้ผลีผลาม มีเรื่องอันใดค่อยๆ พูดกัน อย่าได้ปล่อยให้โทสะทำให้ตัดสินใจอย่างผิดพลาด
“เมื่อคืนนี้แม่นมซุนเห็นเจ้าเอาตัวซุ่นเอ๋อร์ไปด้วยตาของตนเอง หรือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเท็จ? ” องค์หญิงใหญ่ตรัสจบแล้วก็เรียกแม่นมหมัวมัวเข้ามาในห้อง
ทันทีที่ซุนหมัวมัวเห็นหน้าตู๋กูซิงหลัน ก็คุกเข่าลงตรงหน้านางในทันที ตะโกนร้องเสียงดังว่า “ไทเฮาเพคะ ท่านหญิงเป็นเพียงเด็กน้อย ขอท่านโปรดยกมือสูงศักดิ์ไว้ ปล่อยนางไปเถิดเจ้าค่ะ”
” เมื่อคืนบ่าวเห็นกับตาว่าท่านพาตัวท่านหญิงน้อยไป”
ซุนหมัวมัวกอดขาของนางไว้ น้ำตาไหลพรากเป็นสาย น้ำเสียงก็ค่อนข้างดัง พวกของเสียนไท่เฟยที่พึ่งจะติดตามมาถึงต่างก็ได้ยินชัดเจนแล้ว
ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้วขึ้นมาบ้าง “เมื่อคืนใช่ว่าเจ้ามองผิดไปหรือไม่”
ซุนหมัวมัวเช็ดน้ำมูกรอบหนึ่ง ตอบว่า “ทั่วทั้งแคว้นต้าโจวนั้น สตรีที่สวยงามเช่นท่าน ยังสามารถจะหาคนที่สองได้อีกหรือ? บ่าวจะดูผิดไปได้อย่างไร! “
ตอนที่ 107 พวกปีศาจโฉมงาม
“หึ นี่นางกำลังชมหรือว่ากำลังด่ากันแน่นะ ” เหล่าพระสนมที่ฟังอยู่ด้านนอกเรือนต่างไม่ค่อยสบายใจเท่าใด
เพียงแค่งดงามก็สามารถทำได้ทุกอย่างหรือ?
ทั้งๆ ที่สิ่งที่นางทำลงไปนั้นเป็นเรื่องที่ชั่วช้าเลวร้ายขนาดนั้น!
ตู๋กูซิงหลันลูบไล้ปอยปมที่ข้างหู นางมองดูซุนหมัวมัวทีหนึ่ง ก็หันไปดูองค์หญิงใหญ่อีกทีหนึ่ง
ดาบในมือขององค์หญิงใหญ่มิได้คลายลง ดวงเนตรของนางมีเพลิงโทสะลุกโหม นางพยายามระงับความหุนหันพลันแล่นของตนเองที่คิดจะพุ่งเข้าเข่นฆ่าผู้อื่นอย่างเต็มที่ นางตรัสกับตู๋กูซิงหลันว่า “เจ้ายังมีวาจาใดจะพูดอีกหรือไม่? “
“องค์หญิงใหญ่พะยะคะ เรื่องราวกระจ่างอยู่เบื้องหน้าแล้ว พระองค์ใยต้องทรงให้โอกาสนางปีศาจ หรือเจรจากับนางอีกพะยะคะ? “
ประตูห้องส่วนตัวของตู๋กูซิงหลันยังถูกเปิดค้างไว้ บรรยากาศภายในห้องด้านในเป็นเช่นไร เหล่าผู้ที่อยู่ภายนอกต่างก็สามารถเห็นได้เพียงเจ็กแปดส่วน
มุมที่เป็นปัญหาก็คือ พวกเราไม่ทันมองเห็นฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย
ท่านรองมหาเสนาฯ สมองแล่นขึ้นมาในทันที เขาหันไปถวายคำนับองค์หญิงใหญ่ “ท่านหญิงน้อยอยู่ภายใต้การดูแลของซุนหมัวมัวมาตั้งแต่เล็กๆ เรื่องสำคัญเช่นนี้นางไหนเลยจะมองผิดไปได้ ไหนเลยจะกล้ากล่าวเท็จ! เรื่องสำคัญคือควรรีบเสาะหาตัวท่านหญิงน้อยต่างหาก”
ทูลจบแล้ว ท่านรองมหาเสนาฯ ก็หันไปหาฝูงชนพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มจะเอ่อล้นออกมา “นางมารผู้นี้จิตใจชั่วช้าเลวทราม ฝีมือก็โหดเ**้ยมอำมหิต บุตรสาวที่จิตใจดีมีเมตตาของกระหม่อมจะต้องถูกนางใส่ร้ายเป็นแน่ จึงได้ถูกส่งไปยังตำหนักเย็น”
นับตั้งแต่หนิงเอ๋อร์เกิดเรื่องขึ้น เขาก็พยายามคิดหาหนทางจะเข้าไปทูลขอร้องฝ่าบาท แต่ว่าน่าเสียดายที่ฝ่าบาททรงไม่ยินยอมให้เขาเข้าเฝ้า แต่ว่าสถานการณ์ในวันนี้ ตู๋กูซิงหลันจำต้องแสดงความรับผิดชอบต่อหน้าผู้คน นี่ย่อมเป็นโอกาสอันดีที่จะพลิกคดีให้หนิงเอ๋อร์
ขอเพียงสามารถยืนยันได้ว่านางเป็นฆาตกรฆ่าคนดื่มโลหิต เป็นนางปีศาจที่ล่อลวงฮ่องเต้ เท่านี้หนิงเอ๋อร์ก็จะพ้นผิดได้แล้ว
“นี่ต้องเป็นเพราะนางริษยาที่หนิงเอ๋องของข้าได้รับความโปรดปรานมานาน ถึงได้พยายามสร้างละครตบตาขึ้นมา ทั้งยังโยนความผิดให้หนิงเอ๋อร์ของข้า โชคยังดีที่หนิงเอ๋อร์ถึงจะอยู่ในตำหนักเย็นก็ยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ว่าท่านหญิงน้อยที่น่าสงสาร ….หากว่า หากว่าเกิด….”
ท่านรองมหาเสนาฯ ยิ่งกล่าวก็ยิ่งอารมณ์พุ่งพล่านขึ้นมา เขาอายุมากถึงเพียงนี้แล้ว แต่น้ำตากลับรินไหลได้เป็นสายคล้ายไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่น้อย
หากเขามิได้กล่าวถึงท่านหญิงน้อยก็นับว่ายังดี แต่พอพูดถึงขึ้นมา สีพระพักตร์ขององค์หญิงใหญ่ก็ยิ่งซีดเผือกแล้ว ยามปกตินางเป็นผู้ที่ใจเย็นมีสติ แต่ว่าเมื่ออยู่ในฐานะมารดาแล้ว เมืที่ต้องเผชิญกับเรื่องของบุตรธิดาตนเอง ต่อให้เป็นผู้ที่เคยเยือกเย็นมีเหตุผลมากเพียงใดทั้งหมดก็สามารถการเป็นหมอกควันสายหนึ่งได้
สำหรับกับตัวตู๋กูซิงหลันแล้ว นางไม่นับว่าชื่นชม แต่ก็มิได้เกลียดชัง ที่ผ่านมาต่างฝ่ายต่างเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง แต่ว่าคราวนี้นางเล่นงานใครไม่เล่น กลับลงมือต่อธิดารักของนาง!
ตู๋กูซิงหลันมองดูจีฉุนที่อยากจะบุกเข้ามาฆ่าตนเองอยู่รอมร่อ ก็กล่าวว่า “ท่านหญิงน้อยผู้ที่ฟ้าดินคุ้มครอง คนดีย่อมมีผู้ช่วยเหลือ องค์หญิงอย่าได้กังวลใจไป”
ดาบขององค์หญิงใหญ่มิได้ยกขึ้นมาอีก แต่ดวงเนตรของนางยังคงจดจ้องตู๋กูซิงหลันอยู่ไม่คลาย “ข้าเชื่อว่าซุนหมัวมัวไม่มีทางให้ร้ายเจ้า มีพยานยืนยันหนักแน่นเช่นนี้เจ้ายังจะดิ้นหลุดได้อีกหรือ? เจ้าคืนตัวซุ่นเอ๋อร์มา ของเพียงนางไม่เป็นอะไร ที่ผ่านมาข้าจะไม่เอาเรื่อง! “
จีฉุนพึ่งตรัสจบ ก็ได้ยินเสียนไท่เฟยเอ่ยปากว่า ” องค์หญิง ข้ามีความเห็นว่า ไทเฮาไม่ทรงมีทางกระทำเรื่องชั่วช้าเลวร้ายเช่นนั้นได้ เรื่องนี้อาจจะมีความเข้าใจผิดอยู่บ้าง”
เสียนไท่เฟยยืนอยู่ที่ปากประตูด้วยท่าทีมีเมตตา
” ไท่เฟยพะยะคะ จนถึงขนาดนี้แล้ว ท่านยังจะปกป้องนังปีศาจตนนี้อยู่ได้อย่างไร! ” ท่านรองมหาเสนาฯ ระเบิดโทสะออกมา “เพราะนางมารผู้นี้ แม้แต่อี้อ๋องยังทรงถูกทำร้ายไปด้วย ก่อนที่นางจะเข้าวัง ท่านเคยดูแลนางมามากมายขนาดไหน ประหนึ่งเป็นมารดาแท้ๆ ก็ไม่ปาน แต่ว่านางละ? กลับตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น! นางปีศาจเช่นนี้ไม่สมควรที่ท่านจะต้องปกป้องคุ้มครองอีก!
คราวนี้แม้แต่พระสนมหลายคนต่างก็เห็นพ้องขึ้นมา “ใช่เพคะไท่เฟย เพื่อท่านหญิงน้อย เพื่อแคว้นต้าโจว จะอย่างไรก็สมควรประหารญาติเพื่อส่วนรวม “
เสียนไท่เฟยส่ายศีรษะ ถอดถอนใจเนิ่นนาน สองเนตรของนางเปี่ยมไปด้วยความผิดหวัง
“เรื่องนี้ยังไม่ได้สืบสวนให้แน่ชัดเลย พวกเจ้าจะรีบร้อนสรุปกันได้อย่างไร? ” หยวนเฟยเดินออกมาด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วย นางลูบไล้งูเขียวบนข้อมือ “พักก่อนยังพึ่งจะรีบร้อนส่งของขวัญไปให้ วันนี้กลับคิดจะเหยียบคนให้จมดิน ช่างทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตานัก”
ถึงแม้ตัวนางจะเกลียดชังตู๋กูซิงหลัน แต่ในใจก็ยังมีคุณธรรมอยู่ ย่อมไม่อาจทนเห็นพวกที่ลมเพลมพัดเช่นนี้ได้
เหล่าพระสนมต่างพากันสาดสายตาเย็นชาใส่นาง หยวนเฟยผู้นี้มีที่ถือดีอะไรนัดหนา?
ก็แค่สตรีจากแดนทุรกันดาร ที่ถือว่าบิดามีบุญคุณเคยช่วยชีวิตฝ่าบาทไว้ ก็กล้ามาสั่งสอนพวกนางหรือ?
ดูจากท่าทางที่นางรีบร้อนออกมาปกป้องตู๋กูซิงหลัน คาดว่าทั้งสองคงจะเคยร่วมมือกันมาก่อนละสิ
พวกนางปีศาจโฉมงาม ต่างก็ไม่ใช่ตัวดีหรอก!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปฎิกิริยาของผู้คนทั้งหลาย ตู๋กูซิงหลันเพียงยืนนิ่งอยู่ด้านข้างขององค์หญิงใหญ่ ท่าทางของนางนั้นราวกับถูกตอกหน้าเสียจนมีปากก็ไร้วาจาจะกล่าวเสียแล้ว ถึงแม้จะมีหยวนเฟยมากล่าวแทนนางอยู่บ้าง แต่ตัวนางเองกลับไม่กล้าเถียงอะไรออกไปสักคำ
จีเฉวียนอดทนต่อความเจ็บปวด กวาดเก็บภาพของนางเอาไว้ในสายตา
สตรีผู้นี้กลับสงบปากสงบคำ กัดลิ้นไว้ไม่โต้เถียง ท่าทางพยายามอดกลั้นเอาไว้อย่างที่สุด
ฝ่ามือใต้แขนเสื้อถูกกำไว้แน่น ราวกับว่าได้รับความอยุติธรรมอย่างยิ่งยวด
จีเฉวียนหรี่พระเนตรพิจารณาดู ก็ประทับบนเก้าอี้กุ้ยเฟยอย่างวางใจต่อไป
“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ยังเชื่อมั่นในไทเฮา ” ที่บริเวณด้านนอกประตู เสียนไท่เฟยยังคงยืนยันต่อไป “ข้าเห็นไทเฮามาตั้งแต่เล็ก ไม่มีทางที่จะกลายเป็นพวกควักหัวใจสูบโลหิตไปได้เด็ดขาด ที่นำตัวท่านหญิงน้อยไป คิดว่าเพียงเพราะแค่ถูกใจนางมากเกินไปเท่านั้น”
หากว่านางไม่กล่าวถึงเรื่องควักหัวใจนี้ก็แล้วไป พอพูดถึงขึ้นมาผู้คนก็พากันหน้าเปลี่ยนสี
เสียนไท่เฟยยังคงเน้นย้ำต่อไป ” จวนตระกูลตู๋กูรึก็ใหญ่เพียงแค่นี้ ไม่แน่ว่าท่านหญิงน้อยอาจจะวิ่งเล่นไปถึงไหนแล้ว ขอแค่ทุกคนช่วยกันตามหาดูให้ดีสักหน่อย เพียงอย่าให้กระทบถึงพิธีการแต่งตั้งของท่านหญิงน้อยก็พอแล้ว “
ว่าแล้ว นางก็ไม่ลืมหันไปกล่าวกับองค์หญิงใหญ่ว่า “องค์หญิงอย่าพึ่งทรงร้อนรนไป ซุ่นเอ๋อร์เป็นคนมีชีวิต ย่อมไม่มีทางหายไปอย่างไร้ร่อยรอยได้”
หัวใจขององค์หญิงใหญ่ราวกับถูกบีบแตกดังโพล๊ะ คนมีชีวิต……..ซุ่นเอ๋อร์ของนางจะยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?
ตู๋กูซิงหลันมองดูเสียนไท่เฟยอย่างละเอียดละออ ฝีมือของสตรีผู้นี้ยังสูงล้ำกว่าเต๋อเฟยหลายขั้น
ทางหนึ่งบอกว่าเชื่อมั่นในตัวนาง อีกทางก็ชี้ชัดว่านางเป็นคนที่หาตัวท่านหญิงน้อยไป
เปลือกนอกทำตัวดั่งเป็นคนดี ภายในกลับดำคล้ำยิ่งนัก
“ไท่เฟยทรงตรัสถูกแล้ว ” ท่านรองมหาเสนาฯ รีบสนับสนุน “ทุกคนรีบไปตามหา อย่าว่าแต่ต้องพลิกตลบจวนตระกูตู๋กูลงสักรอบหนึ่งก็ต้องหาท่านหญิงน้อยให้พบ! “
พวกเขามาถึงจวนนี้ตั้งนานแล้ว กลับไปพบเห็นตู๋กูจุน ก็คาดคะเนว่าเจ้าคนกล้ามโตนั้นคงจะไม่ได้อยู่ในจวน
ไม่อยู่ก็พอดีเลย อีกสักครู่เมื่อหาตัวท่านหญิงพบ ดูสิว่าจะยังมีใครสามารถปกป้องนางปีศาจตู๋กูซิงหลันนี้ได้อีก!
ตู๋กูซิงหลันได้ยินแล้ว ก็รีบวิ่งออกมา รูปร่างที่เล็กบางของนางขวางอยู่เบื้องหน้าผู้คนทั้งหลาย “วันนี้ผู้ใดกล้าแตะต้องจวนตระกูลตูกูของข้าแม้แต่ต้นไม้ใบหญ้า? “
“ทำไม ตอนนี้ละมีใจหวาดขึ้นมาแล้วรึ? ” ท่านรองมหาเสนาฯ จ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา กล่าวต่อไปว่า “ไทเฮาพะยะคะ ดูพระพักตร์ที่แดงสดใสของท่าน นี่คงไม่ใช่ว่าเป็นเพราะพึ่งจะกินหัวใจ ดื่มเลือดมาใช่หรือไม่? ก็ว่าอยู่ คนปกติทั่วไปมีหรือจะสามารถงดงามได้ขนาดท่านเช่นนี้”
ตู๋กูซิงหลันหัวเราะเสียงเย็น “เฒ่าฟู่เอ๋ย เจ้าอย่ามาทำเป็นชื่นชมเรา เราเป็นคนหน้าบาง ไม่กล้ารับไว้ “
พอได้ยินนางเรียกขานตัวเอง หัวใจท่านรองมหาเสนาฯ ก็ยิ่งเต้นแรงตึกตัก ราวกับว่ากำลังจะมีเรื่องไม่ดีบางอย่างเกิดขึ้น
เขาเป่าหนวดถลึงตาโต แอ่นเอวตั้งตรง ทั้งยังกวาดตามองไปในสวนของนางรอบหนึ่ง จากนั้นก็ได้ยินเขากล่าวว่า “ต้นเหมยต้นนี้ถูกกระทบมาก่อน! “
ตอนที่ 108 กุญแจอายุมั่นขวัญยืน
ในทันทีทันใด เหล่าผู้คนทั้งหลายต่างก็พากันหันไปมองดูต้นเหมยต้นนั้น
ใต้ต้นไม้มีหิมะกองทับอยู่ แต่กลับสกปรกเลอะเทอะ ราวกับว่าผืนดินถูกขุดคุ้ยและโปะทับไว้ชั้นหนึ่ง
อยู่ดีๆ จะขุดดินทำไมกัน?
ดอกเหมยหลายดอกหล่นอยู่บนพื้นหิมะ ดูไปประหนึ่งกองโลหิต
“รีบไปขุดขึ้นมา ใต้ต้นไม้นั่นจะต้องมีสิ่งของใดอยู่แน่ๆ! ” สายตาของท่านรองมหาเสนาฯ เป็นประกาย เขารู้ดีว่า เมื่อห้าวันก่อน กรมสืบสวนพึ่งขุดเจอศพเด็กน้อยศพหนึ่ง ซึ่งถูกฝังอยู่ใต้ต้นไม้เช่นกัน!
“เฒ่าฟู่ ต้นเหมยต้นนั้นเราพึ่งจะปลูกลงไปเมื่อวานนี้เอง มันมีที่มาไม่ธรรมดา คุณค่ามิอาจนับได้ เจ้าอย่าได้คิดขยับมัน” ตู๋กูซิงหลันรีบกล่าวออกมาอย่างเร่งร้อน
“ช่างน่าบังเอิญนักนะ ” ท่านรองมหาเสนาฯ ว่าเสียงเย็น
“หากแตะต้อง เจ้าชดใช้ไม่ได้แน่ ” ตู๋กูซิงหลันว่าต่อ “บ้านเจ้าตอนนี้ก็จนเสียขนาดไหนแล้ว ไยไม่ใช้ชีวิตให้สงบเสงี่ยมอีก วันๆ กลับทำตัวดั่งผีเสื้อราตรี “
ท่านรองมหาเสนาฯ “……..” นางปีศาจนี้พิษสงร้ายนัก ยกดาบขึ้นมาก็แทงเข้าแผลสำคัญเลยทีเดียว
ทรัพย์สมบัติในบ้าน เป็นเลือดเนื้อกว่าครึ่งชีวิตของเขา แค่เพียงค่ำคืนเดียวกับอันตรธานไปหมด!
บุตรสาวที่เป็นถึงพระสนม ก็ถูกนางให้ร้ายจนเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นเคือง!
“ไทเฮา ท่านรองมหาเสนาเพียงอยากจะคืนความบริสุทธิ์ให้กับเจ้า หากว่าไม่มีอะไรจริงๆ เช่นนั้นไยเจ้าต้องเป็นกังวลด้วย ” เสียนไท่เฟยก้าวออกมา มองนางด้วยสายตาล้ำลึก “ดอกเหมยต้นนี้หากว่ามีมูลค่าสูงส่งแล้วอย่างไร ข้าชดใช้ให้เจ้าก็แล้วกัน “
นางกล่าวแล้ว ก็หันไปส่งสายตาให้นางกำนัลชิงผิง “เจ้าไปดูสิว่าที่ต้นไม้นั้น ตกลงมีอะไรกันแน่ “
ชิงผิงรับบัญชา ส่งร่มให้กับเสียนไท่เฟย ค่อยเดินไปยังต้นเหมยต้นนั้น
ทุกคนต่างก็รู้ว่า ชิงผิงเป็นนางกำนัลที่เสียนไท่เฟยให้ความสำคัญที่สุด ถึงขนาดประทานตำแหน่งขุนนางหญิงในวังให้ ยามปกติเจ้านายในวังทั้งหลายพบเจอนางยังต้องให้ความเกรงอกเกรงใจ
ครั้งนี้ ชิงผิงลงมือเอง แน่นอนว่าผู้อื่นย่อมไม่กล้ากล่าวมากความ
แต่ตู๋กูซิงหลันกลับขมวดคิ้วแนบแน่น นางก้าวออกไปหลายก้าว คิดจะรั้งตัวชิงผิงเอาไว้
ทันใดนั้นกลับถูกรองมหาเสนาฯ ขวางเอาไว้ “ไทเฮาสมควรชมดูอย่างวางใจดีกว่า “
พอเขาพูดออกมา เหล่าพระสนมกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาขวางตู๋กูซิงหลันเอาไว้ ดูท่าทางที่นางปีศาจผู้นี้ร้อนรนขึ้นมา แสดงว่าจะต้องใต้นั้นจะต้องมีปัญหาอยู่แน่ๆ!
องค์หญิงใหญ่เองก็ออกมาเช่นกัน พระองค์ยังคงถือดาบไว้ มองดูต้นไม้ต้นนั้น หัวใจของพระองค์เต้นแรง ทางหนึ่งก็อยากจะให้รีบๆ ขุดต้นไม้นั้นขึ้นมา ทางหนึ่งหัวใจก็เริ่มสั่น เกรงว่าใต้นั้นจะมีอะไรอยู่จริงๆ
จิตใจของพระองค์ยามนี้เลื่อนลอยไปแล้ว แม้แต่สองเท้าก็อ่อนระทวย
ชิงผิงรับพลั่วเหล็กมา โกยหิมะออกไป ขุดดินขึ้นมา ต้นเหมยที่พึ่งปลูกใหม่ถูกนางสะเทือนเสียจนดอกไม้ทั้งหลายหลุนร่วง หล่นลงบนพื้นหิมะ สีแดงสดใสของดอกไม้เหล่านั้นแดงฉานดุจโลหิต
ตู๋กูซิงหลันยังคงกล่าวย้ำว่า “เจ้าระมัดระวังหน่อยสิ ต้นเหมยของข้าต้นนี้ล้ำค่ามากนะ! “
ไม่มีผู้ใดสนใจนาง เพียงคิดว่าที่นางแสดงออกว่าร้อนใจเป็นเพราะมีพิรุจ
กระทั่งองค์หญิงใหญ่ยังรู้สึกว่าหัวใจถูกบีบมาจนจะถึงลำคออยู่แล้ว!
พระองค์แทบจะเป็นลมล้มลงไปตรงหน้า ดีที่มีซุนหมัวมัวประคองนางไว้ นางถึงได้ยังคงประทับยืนอยู่ได้
เพราะนับตั้งแต่ที่ราชบุตรเขยสิ้นไป โลกของพระองค์ก็เหมือนกับพังทลายลงไปด้วย แต่เพราะยังมีห่วงกังวลอย่างธิดาน้อย ทำให้พระองค์อดทนมีชีวิตได้ในช่วงหลายปีนี้
ฟ้าดินไยจึงได้โหดร้ายถึงเพียงนี้ ซุ่นเอ๋อร์เกิดมาก็มีโรคประจำตัว พระองค์เพียงหวังให้เด็กคนนี้ได้เติบโตอย่างปลอดภัย ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ทำไมนะ ทำไมจึงจะต้องให้ธิดาของนางมาเผชิญกับเหตุการณ์ที่โหดร้ายเช่นนี้?
ในบางครั้ง รสชาติของการรอคอยนั้นเป็นสิ่งที่เคี่ยวกรำและพาให้ทุกข์ทนอย่างที่สุด
เพราะยิ่งคิดยิ่งเกิดความหวาดกลัว ทั้งที่ยังไม่ได้เห็นผลลัพธ์ แต่กลับทำให้ตนเองตระหนกเสียจนปางตายไปแล้ว
สถานการณ์ขององค์หญิงใหญ่นั้นเป็นเช่นนี้จริงๆ
ชิงผิงขุดไปสักพัก ผู้คนต่างก็เห็นว่าสีหน้าของนางผิดปกติไป พอนางส่งเสียงดังออกมาว่า “นี่คืออะไร? “
ผู้คนทั้งหลายต่างก็คอยืดคอยาวขึ้นมาเลยทีเดียว องค์หญิงใหญ่ถึงขนาดวิ่งสะโหลสะเหลออกไป ก็ทอดเนตรเห็นต้นเหมยต้นนั้นถูกขุดขึ้นมาจนรากขาด ใต้รากนั้นฝังเส้นผมกลุ่มหนึ่งไว้ เป็นเส้นผมที่ถักเป็นเงื่อนอายุยืน ที่ก้นหลุมยังมีสายสร้อยแม่กุญแจอายุมั่นขวัญยืนชุดหนึ่ง แม่กุญแจเปรอะเปื้อนด้วยเลือด
ทันทีที่องค์หญิงใหญ่ได้ทอดพระเนตรเห็นแม่กุญแจอายุมั่นขวัญยืนชุดนั้น คนก็ตระหนกจนสิ้นพระสติไปในทันที
ชิงผิงนำกุญแจอายุมั่นขวัญยืนชุดนั้นขึ้นมา ทูลถวายพระองค์ด้วยความนอบน้อม
อุณหภูมิที่เย็นยะเยือกของแม่กูญแจ แทบจะทำให้พระโลหิตในร่างขององค์หญิงใหญ่จับแข็งไปด้วย
สายสร้อยแม่กุญแจอายุมั่นขวัญยืนชุดนี้ ก่อนที่ซุ่นเอ๋อร์จะเกิดมานั้น ราชบุตรเขยได้ไปเสาะหาช่างสั่งทำขึ้นมาด้วยพระองค์เอง นี่เป็นความหวังที่จะให้บุตรของทั้งสองเกิดมาปลอดภัยแข็งแรง มีอายุยืนยาว ไร้ทุกข์ไร้โศก!
“ท่านหญิงน้อย……โอ้ท่านหญิงน้อย…….” พอซุนหมัวมัวได้เห็นสร้อยแม่กุญแจอายุมั่นขวัญชุดนั้น ก็คุกเข่าลงไปร่ำร้องด้วยความเจ็บปวดราวกับหัวใจแตกสลาย
องค์หญิงใหญ่ที่ทรงรับแม่กุญแจไปก็กลายเป็นหินไปทั้งร่าง น้ำพระเนตรไหลรินอย่างไม่อาจระงับ หยาดหยดลงบนหิมะจนจับเป็นน้ำแข็ง
โทสะทั้งหลายไม่อาจเทียบได้กับความเจ็บปวดโศกเศร้าที่ได้รับ ยามนี้ แม้แต่ดาบในหัตถ์ของนางยังร่วงหล่นลงบนพื้นหิมะ พระองค์ได้แต่ทอดพระเนตรมองกุญแจอายุมั่นขวัญยืนชุดนั้น
นางกระอักไอออกมา จนแทบจะเป็นเลือด
เมื่อต่างเห็นสภาพของเจ้านายและบ่าวรับใช้เป็นเช่นนี้ ในใจของผู้คนทั้งหลายก็เกิดความกระจ่างขึ้นมา ท่านหญิงน้อยสิ้นแล้ว นางตายด้วยน้ำมือของตู๋กูซิงหลัน
” นางปีศาจ เจ้าก็คือนางปีศาจที่ควักหัวใจ ดื่มเลือดนั่นจริงๆ ด้วย! ” ท่านรอมมหาเสนาฯ สบช่อง ก็ฟ้องร้องขึ้นมาทันที
เขาถอยหลังไปหลายก้าวในทันที แสดงท่าทีว่าหวาดกลัวนางปีศาจ
เสียนไท่เฟยเองก็มองดูตู๋กูซิงหลันด้วยพระพักตร์ซีดขาว ท่าทางไม่อาจเชื่อในสิ่งที่เห็นได้ “ไทเฮา นี่เป็นเจ้าจริงๆ ……”
คำพูดนี้แม้จะตรัสไม่จบ แต่ก็สามารถทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างเข้าใจความหมายได้
ก่อนหน้านี้เพียงแค่มีข่าวลือเท่านั้น แต่ว่าตอนนี้หลักฐานกลับถูกพวกเขาทั้งหลายค้นพบขึ้นมาแล้ว!
เล่าลือกันว่าในโลกนี้มีวิชาเล้นลับอยู่วิชาหนึ่ง ที่ใช้โลหิตจากหัวใจของเด็กน้อยเพื่อบำรุงรักษาความเยาว์วัยไม่ให้เสื่อมถอย ความงดงามเลอโฉมของตู๋กูซิงหลันก็คงจะเป็นเพราะอาศัยวิชาที่น่ารังเกียจมาเกื้อหนุน!
ยามนี้เมื่อผู้คนทั้งหลายมองไปยังดวงหน้าของนาง ต่างก็มีแต่ความหวาดกลัวและขยะแขยง!
ยิ่งเมื่อคิดย้อนกลับไปว่า นางอาศัยกำลังของตนเองเพียงลำพังแบกฮ่องเต้และอี้อ๋องออกมาจากในสุสาน เรื่องเช่นนี้เดิมทีก็นับว่าไม่ธรรมดาอยู่แล้ว พวกเขาไยจึงได้โง่เช่นนี้ ถึงไม่ได้ฉุกคิดได้แต่แรกว่านางเป็นปีศาจ!
” นางปีศาจสมควรต้องตาย มันสร้างความวุ่นวายในแคว้นต้าโจว จะต้องเอาไฟเผาให้ตาย! ไม่อาจปล่อยนางไว้ให้ทำร้ายผู้อื่นได้อีก! ” ท่านรองมหาเสนาฯ ตะโกนด้วยความชิงชัง
เมื่อถูกเขาชี้นำขึ้นมา ผู้คนทั้งหลายก็เกิดอารมณ์ร่วมด้วย
“เผานางปีศาจให้ตายเสีย! “
แม้แต่ท่านหญิงน้อยนางยังไม่ละเว้น เช่นนี้แล้วยังจะมีผู้อื่นอยู่ในสายตาอีกหรือ?
หากว่าปล่อยทิ้งไว้ แคว้นต้าโจวเกรงว่าจะต้องจบสิ้นกันแล้ว!
หลี่กงกงที่อยู่ด้านข้างตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เขาอยากจะไปดูว่ายามนี้ฝ่าบาททรงมีพระอามรณ์เช่นใด เขาไม่เชื่อหรอกว่าไทเฮาจะทรงเป็นนางปีศาจ! น่าเสียดายแม้ว่าเขาจะพยายามทำคอยืดคอยาวอย่างไร ก็ยังมองเข้าไปไม่เห็นฝ่าบาท หากว่าฝ่าบาทเองก็ไม่ทรงส่งเสียงใดออกมา หรือว่าจะทรงยอมปล่อยให้คนพวกนี้ทำร้ายไทเฮาน้อยหรือ?
“หนิงเอ๋อร์ของข้าถูกนางมารผู้นี้ให้ร้ายจริงๆ ด้วย! อี้อ๋องเองก็เป็นผู้บริสุทธ์! เผานางปีศาจที่ทำร้ายแคว้นต้าโจว! ” รองมหาเสนาฯ ร่ำร้องต้อไป
“เผา! เผา! เผา! สมควรทำเพื่อท่านหญิงน้อย!
ยามนั้น องค์หญิงใหญ่พลันเริ่มรู้สึกองค์ขึ้นมา พระองค์หันกลับไปจดจ้องตู๋กูซิงหลัน สานพระเนตรเปี่ยมไปด้วยแววอาฆาต ดาบบนพื้นถูกยกขึ้นมา ชี้ไปยังนาง “ตู๋กูซิงหลัน ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต อย่าได้คิดหลบหนี! “
ตู๋กูซิงหลันไม่ตอบคำ เพียงทอดถอนใจออกมา “น่าเสียดายต้นเหมยของข้าจริงๆ “
“ซุ่นเอ๋อร์ของข้าตายด้วยน้ำมือของเจ้า! เจ้ายังจะมาคิดเสียดายต้นไม้อีก? ” ในอกขององค์หญิงใหญ่มีแต่ความปวดร้าว อยากจะแทงนางให้ตายไปในดาบเดียว
พระองค์ยกดาบขึ้นมา สาวพระบาทเข้ามาตู๋กูซิงหลัน ขณะที่เกือบจะมาถึงด้านหน้าใช้ดาบแทงทะลุหัวใจของนางนั้น
ภายในห้อง สายพระเนตรของจีเฉวียนพลันทอประกายรุนแรงออกมา
ขณะเดียวกันต้นทางเดินของระเบียงยาวก็มีเสียงดังมาว่า……
ตอนที่ 109 ท่านพ่อถูกขุดทิ้ง!
” ท่านแม่ ซุ่นเอ่อร์กลัวมาก~” เสียงของเด็กหญิงตัวน้อยบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างหาใดเปรียบ ทั้งยังสั่นสะท้านอยู่บ้าง ความเย็นยะเยือกของฤดูหนาวทำให้เลือดไหลช้า แม้แต่ผิวหนังยังรู้สึกชา
ทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ บรรยากาศกลับรู้สึกเหมือนมีผีโพล่ออกมา
ผู้คนทั้งหลายเมื่อได้ยินเสียงต่างก็หันตามไป พวกเขาเห็นท่านหญิงน้อย!
นางสวมเสื้อคลุมสีแดงสด ในหน้าขาวซีด ใต้เสื้อคลุมเป็นชุดกระโปรงสีขาว ตรงอกเป็นสีแดงไปทั้งแถบราวกับว่าถูกย้อมด้วยเลือดสดๆ นางสวมรองเท้าปักลายคู่น้อย ดูไปยิ่งคล้ายกับเป็นผีเด็กหญิงตนหนึ่ง
นางกวาดตามองดูโดยรอบคราหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งเข้าไปในอ้อมอกขององค์หญิงใหญ่ ส่งเสียง ‘ฮือแง’ คำหนึ่งก็ร้องให้เสียงดังออกมา
“ท่านแม่ ท่านเกือบจะไม่ได้เจอซุ่นเอ๋อร์อีกแล้ว เกือบไปนิดเดียว ซุ่นเอ๋อร์ก็จะถูกปีศาจนั้นจับกินไปแล้ว ฮือๆๆๆ ” นางกอดขาขององค์หญิงใหญ่ไว้ ยิ่งร่ำร้องอย่างเสียใจ
ผู้คนทั้งหลายต่างทำหน้าเหรอหรา นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?
องค์หญิงใหญ่คุกเข่าลงมา กอดรัดท่านหญิงน้อยอย่างแนบแน่น เมื่อสูญเสียไปแล้วได้คืนมา ความยินดีย่อมพลุ่งพล่าน นางหอมแก้มธิดาน้อยแรงๆ อยู่หลายครั้ง
ท่านรองมหาเสนาฯ แทบจะเป็นคนแรกๆ ที่มีปฎิกิริยาขึ้นมา เขาขยับเอวเดินเข้ามาหาท่านหญิงน้อย “ท่านหญิงน้อย ท่านลองมองดูซิ ปีศาจที่คิดจะกินท่านอยู่ในหมู่พวกเราหรือไม่? “
ซุ่นเอ๋อร์ปาดน้ำตาเช็ดน้ำมูก เหลือบมองดูเขาแวบหนึ่งอย่างหวาดกลัว คล้ายกับว่านางไม่กล้าพูดอะไรออกไป
องค์หญิงใหญ่กอดนางไว้ มองไปทางผู้คน “ซุ่นเอ๋อร์ อย่าได้กลัว แม่จะไม่ปล่อยให้คนที่ทำร้ายเจ้าหนีรอดไปได้ เจ้าบอกมา ปีศาจตนนั้นอยู่แถวนี้หรือเปล่า? “
เมื่อได้รับการปลอบประโลมจากองค์หญิงใหญ่ ซุ่นเอ่อร์จึงค่อยๆ มีความกล้าขึ้นมา จากนั้นก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น “อื้ม อยู่เจ้าค่ะ! “
ผู้คนทั้งหลายพอได้ยิน สายตาก็หันไปจับจ้องที่ตัวของตู๋กูซิงหลันแล้ว
ตู๋กูซิงหลันถอยหลังไปก้าวหนึ่งทันทีคล้ายกับหวาดกลัวขึ้นมา ท่าทางคล้ายกับว่าไม่อยากจะเชื่อว่าท่านหญิงน้อยจะยังมีชีวิตอยู่
ผู้คนทั้งหลายต่างจับจ้อมองนางอยู่แล้ว ท่าทางที่หวาดกลัวของนางไหนเลยจะรอดพ้นสายตาของพวกเขาไปได้?
แต่ว่ากลับไม่มีผู้ใดสังเกตดูมือที่กำลังกุมด้ามร่มของเสียนไท่เฟย ที่แม้กระทั้งปลายนิ้วก็ยังปราศจากสีเลือดไปแล้ว
ท่านหญิงน้อยยังไม่ตาย…..ทำไมถึงยังไม่ตาย? ทั้งที่เมื่อคืนชิงผิงก็เอาหัวใจดวงหนึ่งและเลือดสดๆ กลับมาแล้วด้วยซ้ำ!
พอชิงผิงกลับมายืนอยู่ข้างกายนาง นางก็ปรายตาจ้องมองชิงผิงอยู่แวบหนึ่ง
ชิงผิงรับร่มมาจากหัตถ์ของเสียนไท่เฟย ช่วยนางบังแดดไว้ ดวงตาของนางก็ปรากฎแววตาประหลาดใจเช่นกัน “พระสนมเพคะ เมื่อคืนนี้บ่าวได้…..”
“หุบปาก! ” เสียนไท่เฟยสั่งให้นางปิดปากทันที”
ชิงผิงทั้งตระหนกทั้งสำนึกเสียใจ ได้แต่ยืนถือร่มอยู่ข้างๆ นางอย่างเงียบๆ
“ฟ้าดินคุ้มครอง ท่านหญิงน้อยผ่านเคราะห์มาได้ ถือเป็นโชคในคราวเคราะห์ ” เสียนไท่เฟยเก็บสีหน้าประหลาดใจกลับไป เพียงแสดงรอยยิ้มอบอุ่นออกมา
นางยอบตัวลง กวักมือเรียกท่านหญิงน้อย กล่าวอย่างสนิทสนมว่า “ซุ่นเอ๋อร์ เจ้าทำให้ผู้คนต่างเข้าใจไทเฮาผิดไปแล้ว เจ้ารีบบอกพวกเรามา ไทเฮาพาเจ้ามาทำอะไร จะได้คืนความบริสุทธิ์ให้กับไทเฮาดีไหม? “
ต่อให้ท่านหญิงน้อยแอบหนีออกมาได้ แต่ว่าเมื่อคืนนี้ย่อมต้องเป็นตู๋กูซิงหลันชิงตัวนางมาจากชิงผิง ของเพียงเด็กหญิงบอกว่าปีศาจนั่นคือตู๋กูซิงหลัน ต่อให้ตู๋กูซิงหลันมีความสามารถสูงส่งเทียมฟ้าเพียงไรก็ได้แต่ต้องตายสถานเดียว!
ซุ่นเอ๋อร์ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกขององค์หญิงใหญ่ ไม่กล้าเข้าใกล้นาง
ผู้คนทั้งหลายต่างคิดไปว่าเด็กหญิงตัวน้อยหวาดกลัวตู๋กูซิงหลัน เนื่องเพราะเผชิญเหตุการณ์เฉียดตายเช่นนั้น ต่อให้เปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่ ในใจยังต้องเหลือร่องรอยหวาดหวั่นอยู่บ้าง อย่าว่าแต่เป็นเด็กหญิงตัวน้อยเพียงนี้
“ไท่เฟยพะยะค่ะ จนป่านนี้แล้วท่านยังคงจะปกป้องนางปีศาจผู้นั้นอยู่อีก! ” ท่านรองมหาเสนาฯ ร้อนใจจนทนไม่ไหวแล้ว “ท่านหญิงน้อย วันนี้พวกเราอยู่กันมากมาย นางปีศาจนั่นย่อมไม่อาจแตะต้องท่านได้แม้สักขุมขนหนึ่ง ท่านเพียงแต่ชี้ตัวนางออกมา พวกเราจะจัดการนางให้ท่านเอง! “
รองมหาเสนาฯ กล่าวพลางก็จ้องมองตู๋กูซิงหลันไปด้วย เขาแทบจะอยากจับนางเผาเป็นขี้เถ้าไปเสียเดี๋ยวนี้
ผู้คนทั้งหลายต่างก็เห็นพ้องกัน “ใช่เลย ท่านหญิงน้อย พวกเราจะระบายแค้นให้ท่านเอง! “
ท่านหญิงน้อยกลับไม่สนใจพวกเขา นางมองไปรอบๆ สุดท้ายสายตากลับมองไปเห็นต้นเหมยที่ถูกขุดขึ้นมา ทันใดนั้นในดวงตาของนางก็ปรากฎน้ำตามากมายรินไหล
ขาสั้นๆ นั้นวิ่งออก โอบอุ้มต้นเหมยที่ถูกทำลายขึ้นมา “นี่ นี่เป็นฝีมือของใครกัน ฮือๆๆ แงๆๆๆ …..”
ฝูงชนต่างงุนงงไปแล้ว แม้แต่เสียนไท่เฟยเองก็ยังไม่เข้าใจนาง
” ซุ่นเอ๋อร์ เกิดอะไรหรือลูก? ” องค์หญิงใหญ่คุกเข่าลงที่ข้างตัวนาง เห็นนางร้องไห้อย่างโศกเศร้าเสียใจ นึกว่าเป็นเพราะเด็กน้อยคิดถึงเรื่องหวาดกลัวขึ้นมา
ท่านหญิงน้อยโอบอุ้มต้นเหมยที่ดอกหลุดร่วงอย่างระมัดระวังตอบว่า “ท่านแม่ ท่านมิใช่กล่าวว่า ท่านพ่อตายไปแล้ว จะกลายเป็นต้นเหมยคอยอยู่เคียงข้างพวกเราหรอกหรือเจ้าคะ? “
องค์หญิงใหญ่ชะงักไป ยามเมื่อท่านราชบุตรเขยจากไปนั้น เป็นช่วงฤดูหนาวที่หิมะมากมายปลิวไปทั่วท้องฟ้า
เขาเคยบอกไว้ว่า หากว่าเขาไม่ได้กลับมา ก็จะขอกลายเป็นต้นเหมยอยู่ปกป้องสองแม่ลูก ดังนั้นในจวนขององค์หญิงจึงปลูกสวนดอกเหมยเอาไว้
คำพูดนั้นนางยังจดจำได้ดี ทั้งยังกล่าวกับบุตรสาวมาตั้งแต่นางยังเล็กๆ ว่าบิดาของนางได้กลายเป็นต้นเหมยคอยอยู่เคียงข้างพวกนาง
“ฮือๆๆๆ ท่านย่าน้อยพึ่งจะยอมรับปากซุ่นเอ๋อร์ ช่วยซุ่นเอ๋อร์ปลูกท่านพ่อคืนมา ใครกันที่ขุดท่านพ่อขึ้นมา……แงๆๆๆๆ ….” เด็กหญิงน้อยร้องไห้จนไม่อาจกล่าววาจาได้ ท่าทางที่โศกเศร้านั่นยังเจ็บปวดยิ่งกว่านางโดนดาบทิ่มแทงเสียอีก
“พวกเจ้าคืนท่านพ่อมาให้ซุ่นเอ๋อร์ คืนท่านพ่อมา! “
ป.. ปลูกท่านพ่อ?
ผู้คนทั้งหลายต่างเหมือนโดนน้ำสาดใส่ศีรษะ เรื่องตลกเช่นนี้มีเอาไว้หลอกเด็กน้อยเท่านั้นแหละ!
แล้วยังคำว่าท่านย่าน้อยนั่นคืออะไร?
เห็นบุตรสาวเสียใจจนไม่อาจระงับได้ องค์หญิงใหญ่ก็งงงันไปหมดแล้ว นางกอดซุ่นเอ๋อร์ไว่ ถามเสียงเบาว่า ไม่ใช่ว่าไทเฮา…..พาตัวเจ้าไปหรอกหรือ? “
“เป็นท่านย่าน้อยพาข้าไปน่ะสิ! “ซุ่นเอ๋อร์รีบตอบกลับ
ไม่ทันรอให้คนบางคนได้กระหยิ่มยิ้มย่องใจ ก็ได้ยินนางกล่าวว่า “กลางดึกเมื่อคืนมีเสียงขลุ่ยที่น่ากลัวมากเลย ทั้งยังมีตัวประหลาดที่สวมใส่ชุดดำด้วย หากไม่ใช่เพราะท่านย่าน้อยไล่ตีมันจนวิ่งหนีไป ซุ่นเอ๋อร์คงตายไปแล้ว! “
ผู้คนทั้งหลาย “???!!! “
ตอนนี้พวกเขาเสียกระบวนรวนเรไปหมดแล้ว การพูดคุยกับเด็กน้อยช่างสิ้นเปลืองกำลังโดยแท้
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ด้านหนึ่ง ยกยิ้มมุมปากขึ้นมา นางกำลังจะได้เห็นงิ้วสุดสนุกละทีนี้!
เรื่องนี้หากว่านำไปทำเป็นหนังภาพยนต์ รับรองว่าจะต้องแปลกใหม่น่าสนใจเป็นแน่
เด็กน้อยร้องไห้ไป ก็ค่อยๆ คลายมือออกจากองค์หญิงใหญ่ วิ่งซอยขามาหากตู๋กูซิงหลันถึงเบื้องหน้า กอดขาของนางเอาไว้ร่ำร้องว่า “ท่านย่าน้อย ท่านเป็นเซียนหญิงบนสวรรค์ จะต้องมีหนทางปลูกท่านพ่อได้อีกครั้งใช่ไหมเจ้าคะ? “
ตู๋กูซิงหลันมองดูดวงตากลมโตที่ร้องไห้จบบวมเสียเป็นผลท้อ ก็ใจอ่อนลง
ถึงแม้ว่าเด็กน้อยนี้จะรู้จักแสดงได้ดี แต่ว่าความรักมีต่อบิดาที่ไม่เคยได้พบหน้านั้นก็ลึกซึ้งอย่างแท้จริง
เรื่องช่วยนางปลูกบิดาขึ้นมานั้น แน่นอนอยู่ว่าเป็นความคิดที่นางเสนอขึ้นมาเอง
อาศัยสิ่งของที่มีความผูกพันอย่างลึกซึ้งต่อญาติที่จากไป รวมกับโลหิตของนางที่แฝงพลังของหยกคืนวิญญาณเอาไว้ ใช้อาคมสร้างอักขระดึงดูดจิตขึ้นมา เมื่อนำไปฝังไว้กับสิ่งมีชีวิตที่ใช้เป็นสื่อผูกพัน และได้รับพลังงานจากธรรมชาตินานวันเข้าก็จะก่อกำเนิดเป็นดวงจิตน้อยๆ ขึ้นมา
ดวงจิตน้อยๆ นี้จะมีความผูกพันของผู้จากไปที่ไม่อาจลืมเลือนอยู่ด้วย และคอยอยู่เคียงข้างท่านหญิงน้อยตลอดไป
สร้อยกุญแจอายุมั่นขวัญยืนนั้นเป็นสิ่งที่ราชบุตรเขยเหลือไว้ให้ท่านหญิงน้อย เมื่อใช้เส้นผมของท่านหญิงน้อยผูกเป็นเงื่อนชีวิตอายุยืน เอาไว้ด้วยกัน ก็ยิ่งกลายเป็นสิ่งที่ดึงดูดความคิดคำนึงหาอย่างที่สุด
อีกทั้ง ‘เมื่อตายไปแล้วก็จะกลายเป็นต้นเหมย คอยอยู่เคียงข้างพวกนางตลอดไป’ ประโยคนี้ก็เป็นความปราถนาแต่เดิมของราชบุตรเขยอยู่แล้ว ต้นเหมยจึงเป็นสื่อแทนความผูกพันของเขา
นักพรตอู๋เจินที่ถูกตู๋กูจุนจับตัวมานั้น พอได้เห็นเหตุการณ์เข้า คนก็ตกตะลึงพรึงเพริดไปแล้ว
โอ้สวรรค์!
เดิมเขาคิดว่าไทเฮาน้อยเป็นปรมจารย์เขียนยันต์ผู้หนึ่ง คิดไม่ถึงว่านางสามารถใช้อาคมสร้างอักขระดึงดูดดวงจิตที่ต้องศึกษากันนานไม่รู้กี่ปีได้ด้วย!
ช่างน่านับถือเหลือเกิน! จะทำเช่นไรดี สมควรจะเชิญไปยังอารามกราบไหว้เป็นพระโพธิสัตว์ได้ไหม?
ตอนที่ 110 เขาอยากจะคุกเข่าลงไปบนพื้น...
ตู๋กูซิงหลันโอบอุ้มท่านหญิงน้อยเอาไว้ พอเงยหน้าขึ้นมาก็มองเห็นพี่ชายตนเองนำตัวอู๋เจินเข้ามา
วันนี้ท่านนักพรตอู๋เจินนับว่าแต่งตัวมาอย่างเรียบร้อย ชุดสีเขียวทำให้ทั่วทั้งร่างเปล่งประกายด้วยราศีของผู้วิเศษ กลางหน้าผากแต้มตราประทับสีดำ หนวดเคราถูกโกนจนเกลี้ยงเกลา ดูแล้วอ่อนเยาว์ลงไม่น้อย ใบหน้านั้นก็หล่อเหลาพอสมควรเลยทีเดียว
หากมิใช่เพราะว่าบนตาขวาของเขามีแผลเป็น ก็จะยิ่งดูมีราศีเทพเซียนเข้าจริงๆ
ฮิ ฮิ ฮิ ยังคงเป็นเหล่าบรรดานักพรตลูกศิษย์ที่หน้าตางดงามดุจดอกไม้หน้าดูมากกว่า แต่ละคนละอ่อนใสขนาดจะคั้นน้ำออกมาได้ รอยแต้มสีขาวรูปกลีบดอกไม้บนหน้าผากยิ่งส่งเสริมเหล่านักพรตน้อยให้มีราศีของเซียนวิเศษมากกว่าเดิม
ทุกครั้งที่พวกเขาก้าวเดิน บรรยากาศรอบๆ ตัวก็เปลี่ยนเป็นอ่อนหวานขึ้นมา
ตู๋กูจุนนำทางนักพรตอู๋เจินและเหล่าลูกศิษย์ของเขามาถึงใจกลางผู้คน จากนั้นก็ยกดาบใหญ่ของเขาขึ้นมาเฝ้าพิทักษ์อยู่เบื้องหน้าน้องสาวของตนเอง
เช้าวันนี้ น้องเล็กสั่งให้เขาไปเชิญตัวนักพรตอู๋เจินมา แต่เพราะเจ้านักพรตผู้นี้ดื้อดึงไปสักหน่อย ทำให้เขาต้องสิ้นเปลืองกำลังไปพอสมควรจึงจะสามารถนำตัวมาได้ ช่างเสียเวลาจริงๆ
ดูจากสภาพการณ์ตรงหน้า น้องเล็กคงจะกำลังถูกไอ้พวกจิตใจชั่วช้าวางแผนเล่นงานเข้าแล้ว
“โอ้ เง็กเซียนของข้า~” นักพรตอู๋เจินพยายามเก็ยอาการตื่นเต้นของตนเอง เขาเดินไปจนถึงเบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน ถวายคำนับนางครั้งหนึ่ง “ขอไทเฮาทรงพระเจริญ ข้านักพรตขอถวายพระพร”
ตู๋กูซิงหลันอุ้มซุ่นเอ๋อร์เอาไว้ ยิ้มให้เขาน้อยๆ “อู๋เจินน้อย ไม่ต้องมากมารยาท”
อู๋เจิน “……” ให้ดูอย่างไรเขาก็น่าจะแก่กว่าไทเฮาน้อยหลายปีอยู่มั้ง?
แต่ว่าพอคิดดูอีกที หากว่ากันตามพลังความสามารถละก็ ไทเฮาน้อยตรัสเรียกเขาเช่นนี้ ก็ไม่มีปัญหาใดเลยสักนิด
ตัวเขาเองก็ย่อมยินดีอยู่แล้ว
ผู้คนที่อยู่ด้านข้างต่างก็ตกตะลึงกันไปแล้ว ท่านนักพรตผู้นี้ก็คืออู๋เจินจริงๆ? ท่านนักพรตอาวุโสผู้สูงส่งแห่งอารามเทียนเก๋อกวน?
ไยเขาจึงให้ความเกรงอกเกรงใจกับตู๋กูซิงหลันถึงเพียงนี้?
ไม่รอให้ผู้คนทั้งหลายได้แสดงปฎิกริยาออกมา อู๋เจินก็มองไปยังซุ่นเออร์ที่อยู่ในอ้อมแขนของตู๋กูซิงหลัน “นี่คือท่านหญิงน้อยกระมั้ง ถึงแม้ว่าจะอ่อนแอแต่กำเนิด แต่ว่าบุญบารมีกลับสูงส่ง ได้รับความเมตตาจากไทเฮา ใช้พระโลหิตของพระองค์ช่วยนางหล่อเลี้ยงดวงจิตของคนในครอบครัว นับเป็นพระมหากรุณา ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่”
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์พากันตื่นตะลึงกว่าเดิม
ความหมายในคำพูดของท่านนักพรตอู๋เจินก็คือ ไทเฮามิได้ส่งเป็นนางปีศาจ แต่ยังดีต่อท่านหญิงน้อยอย่างยิ่ง
“นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน มิใช่ว่านางทำไปเพื่อปลอยเด็กเท่านั้นหรอกหรือ ก็แค่ปลูกต้นเหมยลงไปตรงไหนก็ได้สักต้น นับเป็นความยิ่งใหญ่ที่ใด?” รองมหาเสนาฯ ฟู่ขมวดหัวคิ้ว เขาไม่เคยได้พบกับอู๋เจินมาก่อน และไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็นตัวจริงหรือตัวปลอม หากว่าคนผู้นี้เกิดเป็นตัวปลอมที่ตู๋กูซิงหลันพามาย้อมแมวขายเพื่อช่วยเหลือตัวนางละ?
“ถึงขนาดใช้โลหิตจากหัวใจของตนเองเพื่อสร้างยันต์ เพื่อให้ความปรารถนาของท่านหญิงน้อยสำเร็จผล พระทัยที่เปี่ยมไปด้วยพระเมตตาอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ เกรงว่าใต้เท้าเองก็คงมิอาจเทียบได้” อู๋เจินประกบสิบนิ้วประนม กล่าวสรรเสริญเง็กเซียนอีกครั้งหนึ่ง
“เฮอะ เฮอะ นางมีความสามารถเช่นนี้ที่ไหนกัน ยังจะสามารถเรียกดวงจิตได้ด้วยหรือ?” ท่านรองฟู่ยิ้มอย่างเย็นชา “เห็นอยู่ชัดๆ ว่านักพรตอย่างเจ้าเอาแต่พูดจามั่วซั่ว คิดจะหลอกลวงพวกเราละสิ”
อู๋เจิน “…..” แม่งเอ้ย ข้านักพรตอยากจะระเบิดอารมณ์นัก!
ไม่เห็นหรือไงว่าข้าถูกตู๋กูจุนผู้นั้นคุมตัวมา?
ตาบอดหรือไงฟะ มองไม่เห็นดาบเล่มใหญ่นั่นบ้างหรือยังไง?
ท่านรองฯ ฟู่พึ่งจะกล่าวจบ ตู๋กูซิงหลันก็หัวเราะออกมาเบาๆ “ตาเฒ่าฟู่ เมื่อครู่เจ้ายังเรียกเราว่าเป็นนางมารอยู่เต็มปากแท้ๆ แล้วทำไมพอตอนนี้เราจะเขียนยันต์เป็นบ้างก็ไม่ได้? ในโลกนี้ไหนเลยจะมีนางมารที่อ่อนด้อยขนาดนั้นกัน?”
“เอาเถอะ เอาเถอะ เอาเถอะ เรื่องที่เจ้ามันไม่รู้อะไรเลยก็มิใช่ว่าพึ่งจะเป็นแค่วันสองวันนี้ เราจะไม่โทษว่าเจ้าแล้วกัน เพราะขนาดให้เลือกไข่มุกเจ้ายังไปเลือกเอามูลสัตว์ออกมาเลย ที่พูดจาโง่ๆ ออกมาก็คงเป็นเพราะคิดอยากจะลองพนันเอาชนะดูละสิ”
คำพูดของนางทำเอาใบหน้าของท่านรองฯ ฟู่แสบร้อนราวกับโดนไฟเผา เรื่องก็ผ่านมาตั้งนานมากแล้ว นังปีศาจนี่ยังจะจดจำอยู่อีก!
เมื่อผู้อื่นถูกนางกระตุ้นเตือน สายตาที่มองไปยังท่านรองฯ ฟู่ก็เปี่ยมไปด้วยความสงสัย
ยังคงเป็นเสียนไท่เฟยที่ออกมาช่วยแก้สถานการณ์ นางกระโดดออกมาลงมือด้วยตนเอง “ข้าเห็นไทเฮาเติบโตขึ้นมาโดยตลอด แต่ไม่รู้เลยว่าพระนางมีความสามารถในวิชาเซียนเช่นนี้มาก่อน ช่างหน้าประหลาดใจจริงๆ”
“แต่เสียนไท่เฟยก็ทรงทราบ ว่าเรานั้นเป็นคนเฉลียวฉลาด มิว่าสิ่งใดแค่เรียนก็สามารถทำได้หมด” ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้ม มองไปทางอู๋เจิน “หลังจากที่ได้ไปกราบไหว้สุสานของท่านย่ามา เขาก็กราบท่านนักพรตอู๋เจินผู้นี้เป็นอาจารย์ ด้วยคิดจะเรียนรู้วิชาปราบภูติผีปีศาจให้พอเป็นบ้าง จะได้มีโอกาสทำงานรับใช้บ้านเมือง”
“พวกเจ้าเองก็รู้ดี ว่าตระกูลตู๋กูของข้าจงรักภัคดีขนาดไหน แต่ละคนล้วนทำเพื่อฝ่าบาท ล้วนเป็นวีรษุรุษที่ถือดาบฟาดฟันเพื่อแคว้นต้าโจว ถึงแม้ว่าเราจะเป็นเพียงสตรี ไม่อาจร่วมออกรบได้ แต่ก็ยินดีจะเรียนรู้บางสิ่ง เพื่อต้าโจวแล้วแม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต!”
พอพูดถึงตรงนี้ ลมหายใจของนางก็สงบนิ่ง ผู้คนทั้งหลายที่มัวแต่ตกตะลึงต่างก็เริ่มจะเชื่อถือขึ้นมาแล้ว
ดูสิสายพระเนตรของไทเฮาเป็นประกายถึงขนาดนี้ ดูราวกับว่าเป็นแม่ทัพหญิงที่ฟาดฟันศัตรูเพื่อแผ่นดินก็มิปาน ไหนเลยจะมีลักษณ์ของนางมารได้กัน
ภายในเรือน จีเฉวียนที่ขยับพระองค์พอลุกขึ้นมาได้ก็พอจะนั่งได้อยู่บ้าง จากมุมของพระองค์สามารถมองเห็นเพียงแค่เงาหลังของตู๋กูซิงหลัน เท่านั้นเอง แต่ถึงจะเป็นเพียงเท่านี้ พระองค์ก็ยังทรงรู้สึกว่า ยามนี้เงาของสตรีผู้นี้ยังสูงสง่ากว่าผู้อื่นมากนัก
นาง…..คิดจะทำเช่นนั้นจริงๆ?
ตู๋กูเจี๋ยยืนอยู่ด้านข้าง รู็สึกอับอายอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ไม่นาน น้องเล็กพึ่งจะมาปรึกษาหารือเรื่องที่จะก่อกบฎกับเขา
นี่มัน….
“ไทเฮาทรงตรัสได้อย่างยอดเยี่ยม พวกเราทั้งบ้านล้วยเป็นผู้จงรักภัคดีแล้วกล้าหาญ ในเมืองหลวงมีปีศาจออกอาละวาด น้องเล็กเป็นถึงไทเฮา แต่ก็ยังยินดีขอร่ำเรียนวิชาพรตจากท่านนักพรตอู๋เจิน ความจริงใจเช่นนี้ ฟ้าดินย่อมรับรู้!” ตู๋กูจุนกระชับดาบ กวาดสายตาเย็นชาไปทางรองมหาเสนาฯ ฟู่ “หากว่ามีความสามารถพวกเจ้าก็ไปเสาะหาอาจารย์กราบเรียนวิชามาบ้างเป็นไง อย่าได้รู้จักแต่กระโดดโลดเต้นอยู่ตรงนี้!”
เขากล่าวแล้วก็หันไปมองอู๋เจินครั้งหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันเองก็หันไปยิ่งให้กับเขาเช่นกัน “ท่านอาจารย์ ท่านคิดว่าเรามีพรสวรรค์หรือไม่?”
อู๋เจินตอนนี้ถึงกับชาไปทั้งตัวแล้ว
ให้ฟ้าผ่าตายเถอะ เขามีคุณสมบัติใดจะป็นอาจารย์ของไทเฮาน้อยได้กัน?
หากว่าจะให้พูดออกมาให้ได้ละก็ อย่างดีเขาก็คงเป็นได้แค่เจ้าที่เจ้าทาง ที่ถูกท่านเซียนบนสวรรค์ชั้นเก้ากราบเป็นอาจารย์ นี่มันเท่ากับทอนอายุให้สั้นลงแท้ๆ เชียวนะ!
เง็กเซียนของข้าเอ๋ย เขาอยากจะคุกเข่าลงไปพบพื้นเรียกนางเป็นบรรพชนมากกว่า!
แต่พอเห็นไทเฮาน้อยมองมาด้วยรอยยิ้มที่มุ่งมั่น อู๋เจินก็พลันรู้สึกขนอ่อนลุกไปทั้งร่าง ได้แต่สวดลูกประคำในมืออยู่ในใจ ค่อยกล่าวออกมาว่า “องค์ไทเฮาทรงมีพรสวรรค์อันล้ำเลิศ ทั้งยังยอมฝึกฝนอย่างยากลำบาก เมื่อข้านักพรตถ่ายทอดวิชาทั้งหมดให้ พระนางก็เรียนรู้ไปจนถถึงขั้น…..”
ลำดับชั้นยังไม่ทันจะกล่าวออกมาจากปาก ก็เห็นสายพระเนตรของไทเฮาพลัยแปรเปลี่ยนไป สื่อความหมายตักเตือนอย่างชัดเจนออกมา
ไทเฮาน้อยซุกซ่อนพระองค์เอาไว้อย่างมิดชิด ย่อมต้องมีพระประสงค์มิให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าพระนางมีความสามารถสูงส่งเทียมฟ้าขนาดไหน
ทำเอาอู๋เจินตื่นตัวจนต้องรีบเปลี่ยนคำพูดไปในทันที “เรียนสำเร็จไปสองสามส่วน ในบรรดาศิษย์ที่ข้าสั่งสอนด้วยตนเอง นับว่ายอดเยี่ยมอย่างที่สุด!”
พออู๋เจินกล่าวออกมาเช่นนี้ ผู้คนทั้งหลายก็พากันตื่นตะลึงไป “อะไรนะ?”
อู๋เจินผู้นี้ จะอย่างไรก็เป็นถึงหนึ่งในสามผู้อาวุโสแห่งอารามเทียนเก๋อกวน ฟังมาว่าเขามีความสามารถถึงขนาดเรียกฟ้าเรียกฝนได้แล้ว ย่อมต้องเก่งอย่างแน่นอน
แต่ตู๋กูซิงหลันกลับสามารถเรียนรู้วิชาของเขาได้ถึงสามส่วนในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ?
นี่มันความสามารถระดับปีศาจอันใดแล้ว!
คราวนี้ สายตาที่ทุกผู้คนมองไปยังตู๋กูซิงหลันถึงกับเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ดูท่าพวกเขาจะมองไทเฮาน้อยผิดไปแล้วจริงๆ?
นางไม่เพียงแต่มิใช่นางปีศาจ แต่ยังเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หาได้อยากยิ่งในต้าโจว?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น