ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 97-108

 บทที่ 97 เคยคิดบ้างไหม

โดย

Ink Stone_Fantasy

เพียงพาเด็กสี่คนนี้เดินเข้าบ้าน ฉินสือโอวก็พอจะมองนิสัยของทั้งสี่คนออก


เด็กผิวสีดำที่อายุมากที่สุดเป็นคนที่สุขุมที่สุด เด็กผมทองชอบแสดงเป็นคนตัวเล็กใจใหญ่ เด็กผู้หญิงผมทองค่อนข้างเงียบแต่ฉลาด พูดน้อย แต่สามารถเข้าใจความหมายที่ฉินสือโอวจะสื่อได้ เด็กคนสุดท้ายค่อนข้างขี้อายและเก็บตัว มักก้มหัวแล้วเดินตามอยู่ข้างหลัง


“พวกเธอมาจากที่ไหน?”


พอฉินสือโอวถาม เด็กผมทองก็รีบแย่งตอบว่า “เมืองน้ำตกเล็ก…..”


อเมริกามีเมืองน้ำตกใหญ่อยู่เมืองหนึ่ง ตั้งอยู่ตรงกลางของรัฐมอนทานา เมืองน้ำตกเล็กไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเมืองนี้ มีทำเลที่ตั้งอยู่ที่ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐนิวบรันสวิกในแคนาดา แต่อยู่ติดกับอเมริกามาก


เมืองน้ำตกเล็กมีชื่อว่าเอ็ดมันด์สตัน ตั้งอยู่ที่จุดบรรจบของแม่น้ำเซนต์จอห์นและแม่น้ำมาดาวาสกา เป็นเมืองเล็กที่มีจำนวนประชากร 12,000 คน ขึ้นชื่อเรื่องโรงงานผลิตเยื่อกระดาษ และยังผลิตของใช้เช่นชุดชั้นใน รองเท้า ถุงมือเป็นต้น เศรษฐกิจเติบโตค่อนข้างช้า


เด็กผิวสีดำกระแอมขึ้นมา เด็กผมทองยิ้มแห้งๆ รู้ว่าพี่ใหญ่กำลังเตือนให้เขาอย่าพูดมาก จึงปิดปากเงียบ


ฉินสือโอวรู้ว่าพวกเขากังวลอะไร จึงหัวเราะแล้วพูดว่า “วางใจได้ ฉันไม่บอกตำรวจท้องที่ของพวกเธอหรอก ไม่มีคนมาพาพวกเธอกลับไปหรอก แต่ว่า พวกเธอไม่อยากกลับไปเหรอ? สามารถไปอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าได้นะ”


เด็กผมทองชอบที่จะแสดงตัวมาก จนลืมคำเตือนของเด็กผิวสีดำไปซะสนิท ก็ตอบกลับไปอีกว่า “ใครจะอยากไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ากัน? พวกเราก็หนีออกมาจากที่นั่น….”


เด็กผิวสีดำเริ่มโกรธขึ้นมา จึงกระแอมเสียงดังขึ้นอีก


เด็กหญิงผมทองยิ้มหวาน พร้อมอธิบายกับฉินสือโอวว่า “คุณคะ พวกเราไม่อยากกลับไปที่นั่น ตอนนี้อย่างน้อยก็ได้กินอิ่ม สามารถกินของที่ตัวเองชอบกินได้ ตอนอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ถึงแม้พวกเราไม่ต้องทำงาน แต่ก็กินไม่อิ่ม และไม่ได้กินของที่ตัวเองอยากกินด้วย”


“นอกเหนือจากนั้น ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า นอกจากพวกเราต้องสวดมนต์ต่อพระเจ้าฟังคุณครูอ่าน’คัมภีร์’ให้ฟังทุกวันแล้ว ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำอีกเลย”


ฉินสือโอวให้พวกเขานั่งอยู่ตรงโต๊ะกลมหน้าบ้านพัก กางร่มบังแดดให้ แล้วหยิบเครื่องดื่มให้พวกเขาดื่ม


เด็กสี่คนนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม เครื่องดื่มวางไว้บนโต๊ะ แต่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง


ฉินสือโอวหัวเราะ หยิบเครื่องดื่มให้คนละขวด ตอนยื่นให้กับเด็กผมทองขี้อาย เขายกหน้าขึ้นมาพูดเสียงเบาว่า “ขอบคุณครับ”


ตอนนี้ฉินสือโอวเพิ่งได้รู้ว่า ที่แท้เด็กคนนี้เกิดมาพร้อมกับนัยน์ตาสองสี หรือเรียกอีกชื่อว่าตาหยินหยาง ดวงตาข้างหนึ่งมีสีฟ้าอมเขียว อีกข้างเป็นสีน้ำตาลเข้ม


ไม่ว่าจะเป็นตาสีฟ้าอมเขียวหรือสีน้ำตาลเข้ม ก็สวยมากทั้งคู่ แต่ว่าหากตาของคนหนึ่งคนมีทั้งสองสีพร้อมกัน คงไม่ค่อยสวยเท่าไร ในฝั่งตะวันตกของแคนาดามีเรื่องเล่า ว่าตาแบบนี้เรียกว่า’ดวงตาปีศาจ’ เพราะมีเรื่องเล่าว่าตาของซานตาก็มีสีแบบนี้เหมือนกัน


เมื่อเห็นฉินสือโอวจ้องสังเกตสีตาของเขา เด็กน้อยก็รีบก้มหัวลง สองมือกำเครื่องดื่มไว้แน่น


 “โอ้ ขอโทษด้วย เด็กน้อย” ฉินสือโอวตบไหล่เด็กชาย พูดว่า “ตาของเธอสวยมาก เชื่อฉันสิ มันมีเสน่ห์มาก ต่อไปเธอต้องรู้สึกภูมิใจกับมันอย่างแน่นอน”


เด็กชายที่เก็บตัวรีบเงยหน้ามองฉินสือโอวแวบหนึ่ง จากนั้นก็เผยให้เห็นรอยยิ้มแห้งๆ แม้จะไม่ใช่ยิ้มที่สดใส แต่ก็ดีกว่าไม่ยิ้มเลย


ฉินสือโอวไปห้องครัวนำราสเบอร์รี บลูเบอร์รี แบล็กเบอร์รี แอปเปิล แอปเปิลแดงและแก้วมังกรมาทำสลัดผลไม้ เขาเปิดตู้เย็นดู เห็นว่ามีน้ำมันหมูอยู่นิดหน่อย พอดีว่าข้าวที่หุงเมื่อคืนก็ยังเหลืออยู่ไม่น้อย จึงใช้น้ำมันหมูผัดข้าวผัดไข่


ฝีมือการทำอาหารของเขาในตอนนี้พัฒนาไปมาก เพียงแค่อาหารง่ายๆอย่างข้าวผัดไข่ เขาก็ผัดได้ถึงระดับที่ว่าข้าวขาวไข่เหลือง ใส่ต้นหอมและใบผักชี มีทั้งสีเหลืองขาวเขียวตัดกัน แค่มองก็ทำให้คนอยากอาหารขึ้นมาทันที


ส่วนเรื่องรสชาติ นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ความหอมของมันหมูจากหมูป่านั้น ทำให้หู่จือเป้าจือเดินป้วนเปี้ยน แลบลิ้นและร้องโฮ่งโฮ่งอยู่ข้างๆแล้ว


 “ไง เด็กดี ฉันรู้ว่าตอนนี้ร่างกายพวกแกกำลังเติบโต แต่ว่าพวกแกต้องรู้จักควบคุมอาหาร? เข้าใจไหม ควบคุมอาหาร!” ฉินสือโอวนั่งลงลูบไปที่หัวของเจ้าพวกนั้น หู่จือกับเป้าจือแลบลิ้นออกมาเลียไปที่มือของเขา ฉินสือโอวหัวเราะขึ้นมา “โอเค ถ้าหากพวกแกหิว ก็ไปกินขนมสุนัขรูปกระดูกก่อนแล้วกัน”


เขาทอดไส้กรอกเพิ่ม แล้วก็นำอาหารทั้งหมดออกไปให้กับเด็กทั้งสี่คน


ซีมอนสเตอร์ถามว่า “บอส ทำไมคุณถึงลงมือทำอาหารให้พวกเขาเองครับ? ถ้าหากสงสารพวกเขา ไปซื้อพิซซ่าจากในเมืองให้พวกเขากินก็พอไม่ใช่เหรอ?”


นี่ก็คืออุปนิสัยของคนแคนาดา คนในหมู่บ้านนั้นทุกคนใจดีแต่ก็เย็นชา พวกเขาปฏิบัติต่อเพื่อนบ้านหรือคนรู้จักอย่างอบอุ่น แต่กับคนนอกนั้น กลับกั้นกำแพงขึ้นปิดกั้นตัวเองทันที


ฉินสือโอวทำเพราะรู้สึกเห็นใจ เด็กเหล่านี้อายุน้อยสุดคือเจ็ดถึงแปดขวบ โตสุดก็เพียงแค่สิบขวบ เล็กแค่นี้ก็ออกมาเร่ร่อนข้างนอกแล้ว ทำให้เขานึกถึงเขาในวัยเด็ก ตอนนั้นที่บ้านเขาฐานะไม่ดี เสื้อที่ใส่ดูไม่ได้ ของที่กินก็ไม่ใช่ของดี


แต่ว่า สิ่งที่ฉินสือโอวรู้สึกขาดในตอนนั้นกลับไม่ใช่เสื้อผ้าที่ดูดีหรืออาหารที่อร่อย แต่คือศักดิ์ศรีต่างหาก


ความรู้สึกของเด็กนั้นล้วนอ่อนไหวและเต็มไปด้วยคำถาม และยิ่งอายุขนาดนี้คือช่วงที่เด็กจะสร้างศักดิ์ศรีให้ตัวเองได้ดีที่สุด สิ่งที่เขาจะให้ไม่เพียงแค่อาหารหนึ่งมื้อเท่านั้น แต่รวมถึงศักดิ์ศรีด้วย


ฉินสือโอวแจกจ่ายช้อนส้อมให้พวกเขา แล้วบอกว่า “นี่คืออาหารที่ฉันทำ รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว พวกเธออยากกินเท่าไรก็ได้”


เขากังวลว่าเด็กพวกนี้จะรู้สึกเกร็งเวลาอยู่ต่อหน้าเขา หลังจากวางอาหารลงแล้วจึงพาหู่จือและเป้าจือที่น้ำลายไหลอยู่นั้นเดินออกไป


ฉงต้าแอบหลบอยู่หน้าประตูจ้องไปทางเด็กทั้งสี่คนอย่างไม่เป็นมิตร เมื่อเห็นฉินสือโอวเดินจากไป ดวงตาของมันเลิ่กลั่กไปมา แล้วคลานออกไปอย่างเงียบๆหวังจะขู่เด็กสี่คนนั้น


ฉินสือโอวทั้งรู้สึกโกรธและรู้สึกขำ โพล่งออกมาว่า “ฉงต้า รีบย้ายตูดมานี่ ไม่อย่างนั้นจะจับแกโยนลงทะเลไป!”


ฉงต้ามองไปที่เด็กๆที่เมื่อมองเห็นมันก็ตกใจกลัวจนตัวสั่นอย่างเสียดาย แล้วสะบัดตูดคลานไปหาฉินสือโอว


ฉินสือโอวนั่งคิดแผนการพัฒนาฟาร์มปลาของเขาอยู่ในห้องรับแขก ผ่านไปสักพักเขามองออกไปข้างนอก เห็นเด็กสี่คนหยิบจานแล้วนั่งลงกินข้าวกันบนพื้นหญ้าแทนที่จะนั่งกินกันบนโต๊ะ


ทุกคนคงหิวโซมาก แต่ละคนถือจานข้าวไว้แล้วกินกันอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างก็ง้างกรามกว้างๆ กินข้าวผัดทีละคำโตๆ บางทีก็ติดคอจนตาแทบถลน หลังจากดื่มน้ำให้ข้าวกลืนลงไปแล้ว ก็เริ่มกินต่ออย่างบ้าคลั่ง


หู่จือและเป้าจือวิ่งเล่นกันอยู่ในห้องรับแขกสักพักพอรู้สึกเบื่อก็วิ่งออกไปข้างนอก ทั้งสองตัวคาบขนมสุนัขรูปกระดูกกันไปตัวละแท่ง สงสัยความหิวของเด็กๆคงจะส่งผลกับพวกมันสองตัวด้วยแน่ พวกมันนั่งลงข้างๆและเริ่มแทะกระดูกกันอย่างเมามัน แต่น่าเสียดายในเวลาอันสั้นเท่านี้ทำให้ไม่ว่าพวกมันยังไงแทะขนมยังไงก็แทะไม่ขาดสักที


เออร์บักขับรถบีเอ็ม750มาถึงฟาร์มปลา เมื่อเห็นสีเงางามของรถคันนี้ เด็กสี่คนที่กำลังกินข้าวอยู่นั้นก็รีบวางจานลงแล้วจ้องไปที่รถกันตาเขม็ง


เออร์บักลงจากรถ ปรายตามองไปที่เด็กสี่คนอย่างแปลกใจครู่หนึ่ง จากนั้นก็ผิวปากเรียกหู่จือกับเป้าจือ เจ้าสองตัวนี้พอเห็นคนคุ้นเคยก็กระดิกหางเดินไปหา หลังวิ่งออกไปแล้วก็พลันนึกได้ว่าลืมขนมของตัวเอง จึงย้อนกลับไปคาบมาไว้ในปากแล้วค่อยวิ่งไปต้อนรับเออร์บัก


ฉงต้านอนอาบแดดอยู่หน้าประตูอย่างขี้เกียจ เมื่อเห็นเออร์บักมันเพียงอ้าปากพะงาบๆไปมา ไม่ขยับตัวสักนิด ขี้เกียจขั้นสุด


เออร์บักหัวเราะร่า ยื่นมือไปลูบหน้าท้องที่นุ่มนิ่มของฉงต้า ฉงต้าที่โดนลูบท้องแล้วรู้สึกสบาย จึงอ้าปากส่งเสียงครางไม่หยุด


ฉินสือโอวเดินออกมาถามว่า “มีอะไรเหรอ?”


เออร์บัก “ไม่มีอะไร ก็แค่อยากจะมาบอกว่า เซนต์จอห์นส่งรายงานพยากรณ์อากาศมา จะมีลมร้อนพัดเข้ามาที่ฟาร์มปลานิวฟันแลนด์ ไม่ช้าจะมีคลื่นลมแรง นายอย่าออกทะเลเชียวนะ”


 “เด็กพวกนี้คือใคร?”


 “อ้อ เด็กเร่ร่อนน่ะ น่าสงสารมาก หนีออกมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจากเมืองน้ำตกเล็ก ไม่รู้ว่าไปมายังไงถึงมาถึงเกาะแฟร์เวลนี้ได้ เมื่อกี้พอฉงต้าเห็นพวกเขาก็เริ่มขู่ใหญ่เลย ผมเลยทำกับข้าวปลอบใจพวกเด็กๆน่ะ”


เออร์บักทำท่าครุ่นคิด เขามองไปที่เด็กเหล่านี้แล้วพูดด้วยเสียงทอดถอนใจว่า “ความช่วยเหลือของรัฐบาลที่มีต่อเด็กกำพร้าและคนแก่นั้นถูกผู้คนตำหนิมาตลอดว่าไม่เพียงพออะนะ ใช่แล้ว นายเคยคิดไหมว่าจะรับเลี้ยงเด็กพวกนี้? สามารถเลี่ยงภาษีให้กับฟาร์มปลาได้นะ”


ฉินสือโอวหัวเราะส่ายหัวแล้วพูดว่า “งั้นก็ช่างเถอะ ผมให้ค่าเดินทางกับพวกเขาได้ แต่รับเลี้ยงพวกเขาเหรอ?”


เขาส่ายหัวอีก เขายังไม่ได้เตรียมตัวที่จะเป็นพ่อคน หรือทำหน้าที่พ่อที่ดีเลย ส่วนเรื่องเลี่ยงภาษี? เงินแค่นั้นเขาก็ไม่ได้ขัดสนอะไรอยู่แล้ว


………………………………………………………


บทที่ 98 สมาชิกใหม่

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากฉินสือโอวปฏิเสธ เออร์บักก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่มีท่าทีเงียบไป ฉินสือโอวแสร้งทำทีว่าไม่เห็น เขายังไม่ได้เตรียมใจที่จะใช้ชีวิตกับเด็กๆ จริงๆ!


ข้างนอกบ้านพัก หลังรอเออร์บักเดินเข้าไปในบ้านแล้วเด็กทั้งสี่คนก็เริ่มสวาปามอาหารกันต่อ กินจนข้าวในจานหมด ไส้กรอกและไข่ดาวก็หมด ถึงแม้จะยังไม่หายอยาก แต่เมื่ออิ่มแล้วก็ต้องยอมหยุด


เด็กผู้หญิงเก็บจานและช้อนส้อม ยืนกล้าๆ กลัวๆ อยู่หน้าประตูแล้วถามว่า “สวัสดีค่ะคุณ ห้องครัวอยู่ไหนคะ? หนูจะล้างจานให้ค่ะ”


ฉินสือโอวหัวเราะพูดว่า “ไม่ต้องหรอก ฉันมีเครื่องล้างจาน เธอวางไว้ที่โต๊ะแล้วกัน”


เด็กผู้หญิงก้มลงมองรองเท้าและถุงเท้าที่สกปรกของเธอ แล้วนำจานชามไปวางไว้ตรงโต๊ะในห้องรับแขกอย่างเงียบๆ


ฉินสือโอวรู้ว่าคำพูดตัวเองคงจะทำให้เด็กผู้หญิงเข้าใจผิดเป็นแน่ จึงลุกขึ้นมาพาเธอไปที่ห้องครัว พูดว่า “แน่นอน ถ้าหากเธอยืนยันที่จะล้างก็ย่อมได้ อย่างไรเสียเครื่องล้างจานก็ล้างได้ไม่สะอาดเท่าไร”


เมื่อได้ยินคำนี้ เด็กผู้หญิงก็ยิ้มออกมา พูดด้วยเสียงชัดแจ๋วว่า “หนูจะล้างให้สะอาดหมดจดแน่นอนค่ะ”


เมื่อเก็บกวาดทุกอย่างแล้ว เด็กผู้หญิงก็เดินออกจากบ้านพัก เด็กทั้งสี่คนพักผ่อนสักพักก็ออกจากฟาร์มปลาไป


เออร์บักเดินไปที่หน้าประตูมองตามหลังพวกเขา แล้วถามว่า “ฉิน นายไม่อยากดูแลพวกเขาจริงเหรอ?”


ฉินสือโอวโบกปัดมือ ยิ้มตอบอย่างขมขื่นว่า “โถ คุณลุง ตัวผมเองผมยังดูแลได้ไม่ดีเลย แล้วนี่คุณดู ผมยังมีหู่จือ เป้าจือกับฉงต้า ผมยังต้องดูแลพวกมันอีกนะ”


นี่เป็นคำแก้ตัวขอไปทีทั้งนั้น ดีที่ฉงต้าเจ้าตัวก่อปัญหาช่วยไว้ ไม่รู้ว่าทะเลาะอะไรกับหู่จือและเป้าจือ อยู่ๆก็ส่งเสียงร้องหงิงหงิงแล้วนอนดิ้นอยู่กับพื้น ฉินสือโอวจีงรีบวิ่งไปปลอบมัน


คำเตือนของเออร์บักนั้นมาได้ทันเวลา ตอนเช้าอากาศยังดีอยู่แท้ๆ แต่พอผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ท้องฟ้าของทะเลฝั่งตอนใต้ของฟาร์มปลาก็เริ่มครึ้มขึ้นมา ก้อนเมฆสีดำเกาะกันเป็นกลุ่มก้อน แลดูเหมือนแผ่นตะกั่วกำลังทับอยู่บนผืนน้ำทะเล


เมฆดำเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว สีของท้องฟ้าด้านบนฟาร์มปลาก็เริ่มครึ้มตาม ความรู้สึกที่เมฆดำกำลังปกคลุมทั่วเมืองยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ


 “ดูเหมือนจะมีฝนตกหนักเสียแล้ว” วิลเดินเข้ามาพูดว่า “งานคงต้องพักไปก่อนนะฉิน หวังว่าคุณคงเข้าใจ”


ฉินสือโอวตอบรับอย่างทันทีว่า “ไม่เป็นไร พวกคุณกลับไปก่อนเถอะ รอสภาพอากาศดีแล้วค่อยมาทำต่อก็ได้ ผมไม่รีบใช้ท่าเรือ”


หลังวิลเดินจากไป เออร์บักก็พูดว่า “ฉันก็ต้องไปแล้วเหมือนกัน”


ตอนนี้ ข้างนอกเริ่มมีลมพัดแล้ว ลมทะเลเปลี่ยนจากสายลมที่อบอุ่นสบายใจ กลายเป็นสายลมแรงพัดโชกมา พัดจนใบไม้ต้นไม้ต่างก็ส่งเสียง’ฟิ้วฟิ้ว’


จากนั้นไม่กี่นาที เม็ดฝนก็ลงมา ใช้เวลาไม่นาน เม็ดฝนก็กลายเป็นห่าฝน


 “ผมว่าคุณอย่าเพิ่งกลับเลย” ฉินสือโอวพูดรั้ง “อยู่ทานมื้อกลางวันที่นี่กัน”


เขารู้สึกว่าคุณลุงมาหาเขาในครั้งนี้ไม่น่าจะเพียงแค่มาบอกถึงสภาพอากาศให้เขารู้เท่านั้น ขอเถอะ ชาร์คกับซีมอนสเตอร์ต่างก็เป็นชาวประมงมานาน เรื่องแบบนี้ถึงแม้รัฐบาลไม่ประกาศ มีหรือที่เขาจะไม่รู้?


แต่ว่า ในเมื่อคุณลุงเขาไม่พูด เขาก็เดาไม่ออกว่าที่จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น


 “ไม่ล่ะ ฉันยังไม่ได้ปิดหน้าต่างที่บ้านเลย” เออร์บักปฏิเสธ “ฉันต้องรีบกลับไป”


ฉินสือโอวกางร่มออก พูดว่า “งั้นคุณอย่าขับบีเอ็มเลย ผมไปส่งเอง รถเอสยูวีปลอดภัยกว่า”


ถนนจากฟาร์มปลาไปยังเขตเมืองเป็นถนนดิน พอฝนตกก็เป็นโคลนไปหมด รถบีเอ็มตัวรถต่ำเกินไป บางที่ที่มีหลุมบ่อขับไปอันตรายมาก อีกอย่างถนนแบบนี้ก็สามารถลื่นได้ง่ายอีกด้วย


ตัวรถใหญ่ของคาลดิลแลควันวิ่งฝ่าห่าฝนไป ด้านนอกทั้งฝนสาดทั้งลมพัด แต่ด้านในรถกลับอบอุ่นและปลอดภัย


ในขณะที่ขับรถออกจากฟาร์มปลา เออร์บักพูดขึ้นอย่างกะทันหันว่า “เฮ้ย ฉิน หยุดรถ!”


ฉินสือโอวรีบเหยียบเบรกทันที มองตามสายตาของเออร์บัก ใต้ต้นเมเปิลข้างนอกฟาร์มปลา พวกของเด็กผิวสีดำทั้งสี่คนยืนกลัวหลบฝนกันอยู่ ดูอย่างกับฝูงนกกระทาที่น่าสงสาร


ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีฟ้าแลบหรือฟ้าผ่า แต่หลบฝนใต้ต้นไม้แบบนี้ก็ยังคงอันตรายอยู่ดี ฉินสือโอวหยิบร่มขึ้นมาพูดว่า “ผมลงไปพาพวกเขาออกมา…”


เออร์บักดึงแขนเขาไว้ แล้วพูดว่า “พอนายพาพวกเขาออกมา จะส่งพวกเขาไปไหน?”


ฉินสือโอวพูดไม่ออก เออร์บักนิ่งไปสี่ห้าวินาทีแล้วพูดว่า “ฉิน ฉันจะรับเลี้ยงพวกเขา”


พอพูดจบ เขาก็ซึมลงอีก แล้วพูดว่า “ฉันแก่แล้ว คงดูแลพวกเขาได้ไม่นาน อีกอย่างเด็กสี่คน ฉันก็คงไม่สามารถดูแลพวกเขาได้ดีครบทุกด้าน”


ฉินสือโอวอึ้งกับคำพูดของเออร์บัก กลืนน้ำลายอย่างลำบาก พูดว่า “นี่คุณไม่ได้พูดจริงใช่ไหม? คุณลุง นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ!”


เออร์บักส่ายหัว ดึงร่มมาแล้วเดินลงรถ ท่ามกลางลมพัดฝนกระหน่ำ แต่แผ่นหลังของคุณลุงกลับผงาดดั่งหินผา และมั่นคงดั่งภูเขา


ฉินสือโอวตบมือไปที่พวงมาลัยรถอย่างเหลืออด ถ้าหากไม่มีพายุฝนที่มาอย่างกะทันหันนี้ เรื่องนี้ก็คงล่องลอยหายไปเหมือนเมฆแล้วแท้ๆ แต่พายุฝนนี้ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป


 “ดูท่าแล้ว เทพตาแก่บนสวรรค์ก็อยากให้เขารับเลี้ยงเด็กพวกนี้เหมือนกัน” ฉินสือโอวถอนหายใจ เขาจะให้คนแก่สูงอายุอย่างนั้นไปดูแลเด็กสี่คนที่อายุเพียงสิบกว่าขวบได้อย่างไร?


ฉินสือโอวขับรถเข้าไป เปิดประตูรถพูดว่า “ขึ้นรถ รีบขึ้นรถ!”


เด็กสี่คนล้อมตัวเออร์บักไว้ จ้องดูความหรูสง่างามของรถคาลดิลแลควันอย่างกล้าๆกลัวๆ ไม่มีใครกล้าขึ้นรถ


เออร์บักสะบัดมือให้ฉินสือโอว พยายามก้มตัวให้ต่ำแล้วพาเด็กสี่คนเดินไปทางฟาร์มปลา


 “ให้ตายเถอะช่างหัวรั้นเสียจริง” ฉินสือโอวพูด ได้แต่ขับรถกลับไปโดยเร็ว จากนั้นก็หาร่มมาอีกสองคันวิ่งออกไปรับพวกเขา


เมื่อถึงบ้านพัก ทั้งหกคนต่างก็เปียกโชกไปทั้งตัว พายุลมฝนข้างนอกยิ่งตกยิ่งหนักหน่วง นับแต่ฉินสือโอวมาถึงเกาะแฟร์เวลยังไม่เคยเจอสภาพอากาศที่เลวร้ายขนาดนี้มาก่อนเลย


ฉินสือโอวหาผ้ามาเช็ดตัว เด็กทั้งสี่คนเมื่อได้เห็นผ้าเช็ดตัวสีขาวสะอาด ต่างก็พากันเอามือไพล่หลังไว้ไม่กล้าแตะ หลังจากเปียกฝนแล้ว ทำให้กลิ่นตัวพวกเขายิ่งฉุนขึ้นไปอีก


 “พาพวกเขาไปอาบน้ำก่อน” เออร์บักพูดพลางเช็ดตัวไปด้วย


บ้านพักมีห้องน้ำสองห้อง ปกติฉินสือโอวจะใช้แต่ห้องน้ำบนชั้นสอง แต่ห้องน้ำชั้นหนึ่งจะใหญ่กว่า เขาจัดการปรับอุณหภูมิน้ำ ให้เด็กผู้หญิงไปชั้นสอง เด็กชายสามคนอยู่ชั้นหนึ่ง


ฉินสือโอวกลับมา เห็นเออร์บักยืนอยู่ข้างหน้าต่าง สายตามองไปยังพายุฝนที่บ้าคลั่งข้างนอกอย่างใจลอย เสมือนกำลังตกอยู่ท่ามกลางห้วงความทรงจำ


พอฉินสือโอวเช็ดน้ำบนตัวจนแห้งแล้ว เออร์บักเรียกเขาไปหา พูดเสียงเบาว่า “ฉันยังไม่เคยเล่าเรื่องของตัวเองให้นายฟัง ฉิน นายอยากฟังไหม?”


ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวเคยลองสืบมาบ้างแล้ว แต่ซีมอนสเตอร์และชาร์คต่างก็ไม่สนิทสนมกับเออร์บัก บอกฉินสือโอวเพียงว่า เออร์บักเข้าเรียนโดยได้รับความช่วยเหลือของฉินหงเต๋อเท่านั้น


ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น เออร์บักพูดกับเขาว่า “ความจริง นายจะเรียกฉันว่าลุงก็ได้นะ เพราะฉันเป็นเด็กกำพร้าที่คุณปู่นายรับมาเลี้ยง พ่อแม่และครอบครัวของฉันคงจะเสียชีวิตไปในสงครามโลกครั้งที่สองโดยน้ำมือของทหารเยอรมันแล้ว เอาเป็นว่าตั้งแต่จำความได้ ฉันก็คือเด็กที่ไม่มีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องแล้ว”


 “ตอนคุณปู่ฉินรับเลี้ยงฉัน เป็นช่วงที่มีสถานการณ์คับขัน เพราะการคุกคามของนาซีเยอรมัน ตอนนั้นชาวยิวทุกคนถูกมองว่าเป็นโรคระบาด มีหลายคนที่เห็นใจพวกเรา แต่ไม่มีใครกล้ามีปฏิสัมพันธ์กับพวกเรา”


แต่ภายใต้สถานการณ์กดดันอย่างนั้น ฉินหงเต๋อกลับรับอุปการะและเลี้ยงดูเออร์บักน้อย ซ้ำยังปกปิดข้อมูลตัวเขา ต่อมาเพื่อที่จะให้เขาได้ฝึกการช่วยเหลือตัวเอง จึงส่งเขาเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำ


ดังนั้นเริ่มแรกคนบนเกาะแฟร์เวลจึงไม่ค่อยรู้จักเขามากนัก แต่พอขึ้นมหาวิทยาลัย เนื่องจากมีเวลาว่างเยอะ จำนวนครั้งที่เขากลับมาเกาะแฟร์เวลจึงมากขึ้น คนบนเกาะจึงเริ่มสนิทสนมกับเขา


ต่อมาก่อนที่ฉินหงเต๋อจะเสียชีวิต ก็ได้นำข้อมูลทั้งหมดของฉินสือโอวให้กับเขา ให้เขาคอยช่วยเหลือหลานแปลกหน้าที่ไม่เคยเจอกันคนนี้ และนี่ก็คือเหตุผลที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เออร์บักคอยช่วยเหลือเขาตลอดโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ


ชั่วชีวิตเออร์บักไม่เคยแต่งงาน ทำให้ไม่มีลูกหลาน แน่นอน ตอนนี้เมื่อเห็นเด็กเร่ร่อนสี่คนนี้ คงไปสะกิดต่อมความรักจากพ่อของเขา ทำให้เขาเกิดความคิดที่จะอยากรับเลี้ยงเด็กพวกนี้ขึ้นมา


ฉินสือโอวรู้สึกจนปัญหา ตาแก่คนนี้อยากจะรับเลี้ยงเด็กตอนไหนก็ได้ ทำไมต้องมามีความคิดนี้เอาวันนี้ หลายปีที่ผ่านมา เขาก็สามารถรับเลี้ยงเด็กได้ แต่ทำไมดันมาใจดีเอาวันนี้?


สิ่งที่เขามองไม่เห็นคือ มือที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของเออร์บัก ที่กำลังกำผลวินิจฉัยจากโรงพยาบาลเซนต์จอห์นฝูยินแน่นจนเส้นเลือดปูดเขียวขึ้นมา!


 “ฉันอยากรับเลี้ยงพวกเขา ฉิน” เออร์บักพูด


 “แต่จากอายุของคุณ คงไม่เหมาะดูแลเด็กแล้วนะ” ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะพูดเตือนเขา ถึงแม้เออร์บักจะดูร่างกายกำยำ แข็งแรง แต่ยังไงเขาก็คือคนที่อายุเกินหกสิบปีแล้ว สำหรับเขาแล้วการดูแลเด็กนั้นคงยากลำบาก


เออร์บักพูดอย่างดึงดันว่า “พวกเขาไม่ใช่เด็กเล็กแล้ว ฉันเชื่อว่าคงไม่ได้เสียแรงอะไรมากมาย”


ฉินสือโอวเห็นความดึงดันของเออร์บัก ก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง พูดว่า “ช่างเถอะ ให้พวกเขาพักที่ฟาร์มปลานี้แหละ บ้านพักมีห้องว่างมากมาย ผมคิดว่าให้ผมดูแลพวกเขาน่าจะสะดวกกว่า”


เออร์บักพยักหน้า ขนคิ้วสีขาวโพลนนั้นผ่อนคลายลง เหมือนว่าปมในใจอะไรสักอย่างได้คลายออกแล้ว


…………………………………………


บทที่ 99 ลมหยุดฝนซา

โดย

Ink Stone_Fantasy

จากนั้น เมื่อเด็กสี่คนอาบน้ำเสร็จแล้วก็ทยอยกันเดินออกมา พวกเขาไม่เพียงอาบน้ำแม้แต่เสื้อก็ซักเรียบร้อย แล้วก็ใส่ทั้งเสื้อเปียกๆอย่างนั้นออกมาด้วย


ฉินสือโอวรีบให้พวกเขาเข้าห้องน้ำไปถอดเสื้อออก แล้วโยนลงเครื่องซักผ้าซักและปั่นแห้ง จากนั้นก็ใช้เครื่องอบผ้าอบให้แห้ง ค่อยให้พวกเขาใส่


 “ดูสิ ผมนี่ดูแลเด็กไม่เป็นจริงๆ” ฉินสือโอวพูดอย่างจนปัญญา


เมื่อสวมเสื้อที่สะอาดแล้ว พวกเด็กๆก็เดินเข้ามานั่งลงบนพื้นอย่างมีระเบียบ ฉินสือโอวให้พวกเขานั่งบนโซฟา แต่พวกเขาก็ดึงดันปฏิเสธ


 “ฉันมีเรื่องจะพูดกับพวกเธอ”


 “คือแบบนี้ ฉันชื่อฉิน เป็นเจ้าของฟาร์มปลาแห่งนี้ คุณลุงคนนี้คือทนายความของฉัน คุณเออร์บัก พวกเธอก็คงเห็นแล้ว ว่าฟาร์มปลาของฉันใหญ่มาก สถานะทางการเงินของฉันก็ถือว่าดี…”


ฉินสือโอวพูดช้าๆ


เด็กชายที่ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่ฟังถึงตรงนี้ก็ดีใจจนหยุดไม่อยู่ ถามว่า “คุณจะบอกว่า ฟาร์มปลาของคุณพนักงานไม่พอ จะให้พวกเรามาทำงานเหรอครับ? รับรองว่าไม่เป็นคดีความแน่นอนครับ”


ฉินสือโอวโบกปัดมือ แล้วพูดว่า “ไม่….”


ใบหน้าเด็กสี่คนแสดงออกถึงความผิดหวัง


ฉินสือโอวพูดต่อว่า “ฉันอยากให้พวกเธออยู่ต่อ แต่ไม่ใช่รับเลี้ยงพวกเธอนะ พวกเธออยู่ที่ฟาร์มปลา ไม่ต้องออกไปเร่ร่อนอีก ฉันจะอุปการะให้พวกเธอได้เรียนหนังสือและโตเป็นผู้ใหญ่เอง”


ฟังจบ ปฏิกิริยาของเด็กทั้งสี่คนไม่เหมือนกัน เด็กที่เก็บตัวใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่น่าเชื่อ เด็กหญิงมีความลังเล เด็กที่ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่นั้นดีใจสุดขีด ส่วนเด็กชายผิวสีดำนั้นออกจะตื่นกลัว ดวงตาเลิ่กลั่กไม่หยุด เหมือนกับกำลังมองหาอะไร


ฉินสือโอวพอเดาความคิดของเด็กพวกนี้ออก เด็กผิวสีดำมีความคิดเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขารู้ว่าในโลกนี้ไม่มีของฟรีอยู่ ตัวเขาทั้งเลี้ยงข้าวทั้งจะขออุปการะพวกเขา อาจจะมีแผนชั่วอะไรอยู่ก็ได้


เด็กหญิงก็คงมีความคิดคล้ายๆกัน แต่คงจะเชื่อว่าทุกคนมีความคิดที่จะทำความดี จึงไม่อยากจะสงสัยในตัวฉินสือโอวมากเกินไป


เด็กอีกสองคนนั้นคงไม่ต้องพูด ไร้เดียงสาขนาดนี้คงไม่ได้คิดอะไรนอกจากดีใจเท่านั้น


เออร์บักยิ้มอย่างใจดี นั่งลงบนพื้นมองไปที่เด็กทุกคน พูดว่า “พวกเธอเรียกฉันว่าคุณปู่เออร์ก็ได้ ความจริงคือฉันเองที่อยากรับเลี้ยงพวกเธอ เพราะฉันก็เคยเป็นเด็กกำพร้าอย่างพวกเธอมาก่อน จากนั้นก็ถูกรับเลี้ยงโดยคนดีคนหนึ่ง ถึงมีวันนี้ได้ แต่ว่าพวกเธอก็เห็นแล้ว ว่าอายุฉันไม่เหมาะสม ดังนั้น จึงต้องให้ฉินมาคอยช่วยดูแลพวกเธอชั่วคราว”


ฉินสือโอวภายนอกยิ้มแต่ในใจกลับถอนหายใจไม่หยุด นี่มันเรื่องอะไรกัน ตัวเองยังไม่ทันแต่งงานก็ต้องเป็นพ่อคนแล้วเหรอ? แต่ว่าก็มีดีอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือเขาเพียงแค่รับผิดชอบดูแลพวกเขา ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีความสัมพันธ์กันในด้านกฎหมาย ไม่อย่างนั้นหากลองคิดในด้านลบ หากวันหนึ่งเขามีลูกของตัวเองขึ้นมา จะแบ่งสมบัติกันอย่างไร?


ในขณะที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา เขาคิดได้ถึงปัญหาน่ากลัวอีกปัญหาหนึ่ง คุณปู่ของตนนั้น ได้ข่าวว่าตอนหนุ่มๆถือได้ว่าเป็นคาสโนว่าคนหนึ่ง ทำไมถึงไม่มีลูกหลานเลยสักคน? ถึงกับต้องยกทรัพย์สมบัติให้กับเขาเลยเหรอ?


เป็นไปได้ไหมว่า ราคาของการได้รับพลังโพไซดอน ก็คือสูญเสียคุณสมบัติในการให้กำเนิด?


พอคิดถึงตรงนี้ ฉินสือโอวรู้สึกเย็นวาบไปทันที ลองคิดให้ลึกกว่านี้ ไม่ว่าเออร์บักจะทำอะไรก็จะคิดเผื่อเขาก่อนเสมอ ครั้งนี้ที่เขาออกแรงยุยงเขา ถึงขั้นบังคับให้เขารับเลี้ยงเด็กพวกนี้เพราะอะไรกัน? ไม่รู้ว่าจะมีตื้นลึกหนาบางอะไรแอบซ่อนอยู่หรือเปล่า?


 “คุณทำงานอะไรนะครับ?” เด็กชายผิวสีดำถามเชิงสอบสวน


เออร์บักหยิบใบอนุญาตว่าความทนายของเขาออกมา ยิ้มบางๆว่า “ฉันเป็นทนายความ ก่อนจะเกษียณเคยทำงานที่สถานทูตและเป็นประธานศาลสูงสุดของศาลทั้งสี่รัฐ”


เมื่อได้เห็นบัตรประจำตัวทนายความสีน้ำตาล เด็กชายผิวดำกับเด็กผู้หญิงดูโล่งใจไปมาก จากนั้นพวกเขาก็เริ่มถามคำถามสัพเพเหระที่เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ


 “พระเจ้า พวกคุณจะรับเลี้ยงพวกเราจริงเหรอครับ? ต่อไปพวกเราสามารถอยู่ที่ฟาร์มปลาได้จริงเหรอครับ?”


 “พวกเราจะได้กินอิ่มทุกมื้อใช่ไหมครับ? กินข้าวผัดที่แสนอร่อยเหมือนเมื่อกี้อีกได้ไหมครับ?”


 “ต่อไปจะไม่มีคนมารังแกพวกเราแล้วใช่ไหม?”


 “แบบนี้พวกเราก็ไปโรงเรียนได้แล้วใช่ไหม?”


ฉินสือโอวสลัดความคิดมากของเขาออกไปชั่วคราว เขาฝืนยิ้มโบกปัดมือแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ต่อไปพวกเธอจะอยู่ที่นี่ ทุกคนจะมีห้องเป็นของตัวเอง จะได้กินอิ่มทุกมื้อ และไม่มีคนมารังแกพวกเธอได้อีก แน่นอนว่าพวกเธอต้องไปโรงเรียนด้วย ตามนี้แหละ”


 “ทุกคนจะมีห้องเป็นของตัวเอง? พระเจ้า นี่คือเรื่องจริงใช่ไหม? ห้องของตัวเอง? ห้องที่สามารถตกแต่งห้องอย่างไรก็ได้?” เด็กผู้หญิงเบิกตาสีฟ้าเขียวโตแล้วถามอย่างดีใจ เด็กอีกสามคนก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน


ฉินสือโอวไม่มีวันเข้าใจ ความรู้สึกของเด็กกำพร้าในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ห้องหนึ่งมีเด็กยัดรวมกันถึงเจ็ดถึงสิบคน การได้มีที่ส่วนตัวที่เป็นของตัวเองนั้น เป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันแค่ไหน!


ในทุกปีทั้งอเมริกาและแคนาดาต่างก็มีเด็กกำพร้าหนีออกมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เหตุผลหลักๆก็คือการอยากไปแสวงหาอิสรภาพ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั้น เด็กพวกนี้ก็เหมือนสัตว์ที่อยู่ในสวนสัตว์


สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เราได้เห็นในหนังหรือภาพยนตร์ล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง คนที่สามารถมอบทั้งความรักความยุติธรรมให้กับงานการกุศลจะมีสักกี่คนเชียว?


สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและศูนย์ดูแลคนชรา แต่ไหนแต่ไรก็เป็นสถานที่ที่ดำมืดที่สุดในอเมริกาและแคนาดา พูดอย่างนี้ก็ไม่ถือว่าเกินไป ยิ่งในเมืองเล็กๆแบบนี้แล้ว ที่นั่นก็เหมือนเป็นคุกเวอร์ชั่นที่รุนแรงน้อยลงเท่านั้นเอง


เมื่อได้เห็นเด็กๆถามนู่นถามนี่ เออร์บักก็ยิ้มแล้วลุกขึ้นมา เป็นครั้งแรกของวันนี้ที่เขาหัวเราะร่าอย่างนี้


จากนั้น เออร์บักก็ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลของเด็กทั้งสี่คน เด็กชายผิวสีดำชื่อบอริส เด็กชายที่ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญ่ชื่อกอร์ดอน เด็กเก็บตัวชื่อมิเชลล์ เด็กผู้หญิงชื่อเชอร์ลี่ย์ ทุกคนล้วนมีแต่ชื่อไม่มีนามสกุล


หรือก็คือ พวกเขาต่างก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่พวกเขาคือใคร


เรื่องต่อจากนี้เออร์บักได้จัดการให้เสร็จสรรพ เด็กถูกรับเลี้ยงภายใต้การดูแลของเขา กฎหมายแคนาดากำหนดไว้ว่า ผู้ชายโสดที่อายุต่ำกว่าสามสิบสี่ไม่สามารถรับเลี้ยงเด็กได้ ทำให้ฉินสือโอวไม่มีคุณสมบัติพอ แต่ว่าก็ยังต้องพึ่งเขาในการดูแล


ข้างนอกฝนยังไม่หยุดตก ฉินสือโอวออกไปไม่ได้ จึงได้แต่นั่งเล่นอินเทอร์เน็ตอยู่ในห้องรับแขก ส่วนเด็กๆนั่งดูทีวีกัน


 “พวกเราไปดูห้องได้ไหมคะ?” เชอร์ลี่ย์ถามด้วยท่าทีตื่นเต้นและคาดหวัง


ฉินสือโอวลูบเบาๆไปที่เส้นผมของเธอแล้วพูดพร้อมหัวเราะว่า “ตอนนี้ในห้องยังไม่มีเตียงเลย ดูทีวีไปก่อนแล้วกันนะ จากนั้นเราค่อยไปซื้อของในเมืองกัน”


เมื่อได้ยินว่าจะได้ไปซื้อของ พวกเด็กๆก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาอีก เมื่อก่อน คำว่าซื้อของกับพวกเขานั้นเหมือนอยู่กันคนละโลก


หู่จือและเป้าจือนั่งข้างกันแล้วมองไปที่เด็กสี่คนอย่างสงสัย ฉงต้ากระพริบตาใบหน้าเต็มไปด้วยความฉงน มันเหมือนเห็นลางร้าย ต่อไปคงจะไม่สามารถขู่เด็กสี่คนนี้ได้อีกแล้ว


ฝนที่ตกจากลมร้อนนั้น มักจะรีบมารีบไป


หลังจากฝนเทลงมาสักประมาณครึ่งชั่วโมงก็เริ่มซาลง ฉินสือโอวถือโอกาสนี้รีบไปซื้อของในเมือง พาเด็กสี่คนไปซื้อเสื้อผ้า แล้วก็ซื้อเตียงซื้อผ้าห่ม กลางวันเพิ่งจะมีฝนตกหนักไป คิดว่าถึงกลางคืนก็อากาศก็คงยังไม่อบอุ่นเท่าไร


เขาขับรถคาดิลแลควันมา ใบหน้าเด็กสี่คนเต็มไปด้วยความฉงนและเฝ้ารอ ต่างยืนล้อมอยู่ข้างรถ แต่กลับไม่กล้าขึ้นรถ


 “ขึ้นมาสิ” ฉินสือโอวเลื่อนกระจกลงแล้วพูดพร้อมหัวเราะ


บอริสพูดอึกอัก “เสื้อผ้าของพวกเราสกปรกมาก”


ฉินสือโอวพูด “มาเถอะ ไม่เป็นไร นี่คือรถที่พวกเราใช้ทำธุระ ถ้าสกปรกขึ้นมา พวกเธอมาทำความสะอาดก็พอนี่”


 “รับรองจะทำให้สะอาดหมดจดเลยครับ” เด็กสี่คนพยักหน้าพร้อมกันรัวๆ จากนั้นก็ขึ้นรถอย่างระมัดระวัง


ขึ้นรถแล้ว บอริสที่มีภาพลักษณ์เงียบขรึมมาตลอดนั้นก็โลดโผนขึ้นมาทันที ตาเขาเบิกกว้าง และถามไม่หยุด


 “รถคันนี้ใช้เครื่องยนต์v8สูบใช่ไหมครับ? แรงบิดสูงสุดคือเท่าไร? ระบบเกียร์อัตโนมัติมีกี่จังหวะครับ? สี่จังหวะหรือหกจังหวะครับ?”


 “เอ๋ รถมีระบบ ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวไหม? ผมเห็นมีป้ายอยู่ ว้าว ยอดมากเลยครับ เห็นว่านี่คือรถที่มีระบบควบคุมการลื่นไถล ระบบขับเคลื่อนเครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนล้อที่ดีที่สุดในโลก…”


 “หรูสุดๆเลย แถมยังมี DVD และ Carputer ในรถด้วยใช่ไหมครับ? ตรงเบาะหลังคือหน้าจอแอลซีดีด้วยใช่ไหมครับ? ภาพชัดมาก ยอดเยี่ยมไปเลย! ว้าว เบาะเป็นแบบ360องศาด้วย แล้วก็มีเครื่องนวดในตัวอีก นี่คืออะไร? ตู้เย็นมินิเหรอ? อย่างกับวังของพระราชาเลย!”


ฉินสือโอวมองบอริสที่มองไปรอบด้านอย่างน่าสนใจ และตอบคำถามของเขาในเวลาเดียวกัน บอริสในตอนนี้กลับมาเหมือนกับเด็กคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขาดูโตเกินตัว โตเกินจนผิดปกติ


แต่ว่า บางทีอาจเพราะโลกนี้ที่บีบบังคับให้เขาเป็นคนแบบนั้น เด็กสี่คนที่อายุไม่ถึงสิบขวบ สามารถเร่ร่อนมาเรื่อยๆจนถึงเกาะแฟร์เวลนี้ได้ก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์


รอจนบอริสไม่ถามอะไรแล้ว ฉินสือโอวถามคำถามหนึ่งด้วยความสงสัย “ดูเหมือนเธอจะรู้เรื่องเยอะนะ? เธออายุเท่าไร? ทำไมถึงรู้อะไรเยอะแยะจัง?”


นายคนเล็กใจใหญ่กอร์ดอนแย่งพูดขึ้นมาว่า “พวกเราเคยทำงานพาร์ทไทม์ที่โรงซ่อมรถมาก่อนครับ บอริสอยากมีรถเป็นของตัวเองมาตลอด แบบนี้ไม่ว่าเราอยากไปไหน ก็ไม่ต้องลำบากเดินแล้ว อ้อจริงสิ นายอยากได้รถอะไรนะ? คนนำทางลิงคอล์น?”


 “เขาเรียกว่าระบบนำทางลินคอน!” เชอร์ลี่ย์เม้มปากยิ้ม


รถระบบนำทางลินคอนเป็นรถบ้านที่โด่งดังมาก ถือว่าบอริสตาถึง ราคาของรถคันนั้นถูกกว่ารถคาดิลแลควันนิดเดียวเท่านั้น


หลังจากโดนกอร์ดอนแฉความลับ บอริสที่เคร่งขรึมก็อับอายจนโกรธขึ้นมา ตะโกนขึ้นว่า “กอร์ดอน ไม่ต้องพูดแล้ว นายมันไอ้ปากสว่าง!”


กอร์ดอนกำลังจะโต้กลับ แต่ฉินสือโอวทำมือส่งสัญญาณให้’หยุด’ จากนั้นก็พูดกับบอริสต่อว่า “เธอชอบรถมากขนาดนี้ แล้วเธอขับรถเป็นไหม? อยากจะมาลองขับดูไหมล่ะ?”


พูดเสร็จ เขาเปิดประตูรถออกจากที่นั่งคนขับ เสียงของบอริสดีใจจนสั่น พูดว่า “ไม่ๆๆ ผมขับรถไม่เป็นครับ ยิ่งไปกว่านั้นผมไม่มีใบขับขี่ด้วย…..”


 “มาลองดูหน่อยก็ได้ มาสิ ความจริงฉันเองก็ไม่มีใบขับขี่หรอก” ฉินสือโอวพูดพร้อมหัวเราะ เขาไม่มีใบขับขี่ของแคนาดาจริง แต่ในเมืองเล็กๆแห่งนี้ไม่มีคนตรวจอยู่แล้ว อีกอย่าง ใบขับขี่ของจีนก็สามารถใช้ในแคนาดาได้ประมาณสามเดือน


บอริสอยากปฏิเสธ แต่ไม่อาจทนแรงดึงดูดจากที่นั่งคนขับได้ เขาแลบลิ้นเลียไปที่ริมฝีปากอวบหนาของเขาแล้วนั่งลง มือที่สั่นสะท้านกำลังจับไปที่ที่นั่งคนขับ หายใจเข้าออกแรงๆ ดวงตาแดงก่ำ พูดด้วยเสียงสะอื้นว่า “พระเจ้า ฉันได้จับพวงมาลัยแล้ว ฉันได้จับพวงมาลัยของรถคาดิลแลค!”


 “บอริสต้องได้เป็นนักแข่งรถมืออาชีพในอนาคตแน่นอน ฉันกล้าพนันเลย” ฉินสือโอวพูดพร้อมหัวเราะ “เพราะเขามีความรักและความเคารพในตัวรถมาก นี่แหละคือคุณสมบัติที่นักแข่งรถมืออาชีพต้องมี!”


……………………………………


บทที่ 100 ครอบครัวเดียวกัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

 “เสื้อตัวนี้ไม่เลวเลย เชอร์ลี่ย์ เหมาะกับเธอมาก เอาตัวนี้”


 “กระโปรงตัวนี้ก็สวยมากเลย เชอร์ลี่ย์ เธอชอบไหม? ซื้อเลยแล้วกัน”


 “กอร์ดอน มาลองรองเท้าปีนเขาคู่นี้ ใส่สบายไหม? ซื้อเลยแล้วกัน”


 “มิเชลล์ มาลองเสื้อเชิ้ตตัวนี้ให้ฉันดูหน่อย โอเค ไม่เลว ซื้อเลยแล้วกัน”


 “บอริส นายเหมาะกับเสื้อยีนตัวนั้นมากเลย มา ลองใส่ดู ดูสิ หล่อมากเลย ซื้อเลยแล้วกัน!”


“……”


ความจริงฉินสือโอวนั้นไม่ชอบการเดินซื้อของเป็นที่สุด แม้แต่มาเดินกับวินนี่เขาก็รู้สึกว่าการเดินซื้อของนั้นน่าเบื่อ เมื่อก่อนตอนที่ไม่มีเงิน เขาชอบเดินดูของไปทั่ว แต่ตอนนี้พอมีเงินเหลือใช้แล้ว กลับกลายเป็นไม่ชอบไปเสียงั้น


คงเพราะยังไงก็มีเงินพอซื้อของพวกนี้ พอมาเดินแล้วจึงทำให้กิเลสในการอยากได้ของเขานั้นน้อยลงไป


เด็กสี่คนเดินตามฉินสือโอวจนตาลายไปหมด พวกเขาเข้าไปเพียงไม่กี่ร้าน เสื้อผ้าที่ดูก็ไม่เยอะ ก็เป็นเมืองเล็กนี่นา แถมยังเป็นเมืองเล็กที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดีอีกต่างหาก


แต่ว่า ของที่ซื้อได้กลับมากโขเชียว ขอแค่ฉินสือโอวรู้สึกว่าเหมาะกับสี่คนนี้ ก็คือซื้อ รูดบัตร’ปรื้ดปรื้ด’เป็นว่าเล่น ทำให้เด็กสี่คนตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก


 “ฉิน พวกเขาเป็นใคร? เป็นลูกของคุณเหรอ?” คนที่รู้จักฉินสือโอวต่างก็เข้ามาถามคำถามกันไม่หยุด


ฉินสือโอวตอบไปว่า “ไม่ใช่ แน่นอนว่าไม่ใช่ลูกฉัน พวกเขาเป็นเพื่อนตัวเล็กของฉัน ต่อไปจะมาอยู่ที่ฟาร์มปลากับฉัน”


เมื่อซื้อเสื้อเสร็จ ฉินสือโอวพาเด็กๆไปที่ร้านขายเครื่องใช้ในบ้าน ข้างในเต็มไปด้วยสินค้าประเภทโซฟา เก้าอี้ โต๊ะ


 “ชอบเตียงแบบไหนกัน? ไปเลือกเลย” ฉินสือโอวพูดพร้อมหัวเราะ เขาดึงตัวเจเร็ดเถ้าแก่ร้านออกมาเงียบๆ กำชับเสียงเบาว่า “เพื่อนฝูง เดี๋ยวแกะป้ายราคาออกให้ก่อนนะ อย่าให้พวกเด็กๆเห็น”


เมื่อไม่มีป้ายราคา ก็ต้องให้คนเป็นคนบอกราคาเอง เจเร็ดทำตามที่ฉินสือโอวบอก คือบอกราคาถูกมั่วๆไป เมื่อเด็กทั้งสี่คนไม่รู้สึกกดดันแล้ว จึงเลือกซื้อเตียงในแบบที่ตัวเองชอบ


เชอร์ลี่ย์ซื้อเตียงที่ทาสีชมพูทั่วเตียง กอร์ดอนซื้อเตียงพับได้ที่ใช้ในทางทหาร เตียงที่มิเชลล์ซื้อมีตู้และชั้นวางหนังสืออยู่บนหัวเตียง ส่วนบอริสซื้อเตียงสองชั้น


แต่ว่า พวกเขาล้วนซื้อแต่เตียงเดี่ยว เพราะคงคิดว่าเตียงเดี่ยวราคาต้องถูกกว่าเตียงคู่อยู่แล้ว


ขณะที่ฉินสือโอวกำลังจ่ายเงินอยู่เห็นบอริสที่จ้องไปที่เตียงเหล็กสองชั้นแบบเดียวกับที่เขาเคยใช้สมัยเรียนมหาวิทยาลัยอย่างตกตะลึง จึงถามว่า “เพื่อนฝูง นี่คืออย่างไรกัน?”


บอริสเกาหัว ยิ้มแหยๆแล้วพูดว่า “ถ้าเผื่อใครไม่ชินกับที่นอนใหม่ ผมสามารถให้เขามานอนห้องผมได้ครับ”


เจเร็ดเมื่อรับเงินแล้วก็ให้พนักงานนำไปไว้ที่รถ เขารับผิดชอบจัดส่งไปให้ถึงที่ฟาร์มปลาเอง


การเลือกผ้าห่ม หมอน ปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนนั้นค่อนข้างลำบาก ตอนเลือกผ้าห่มนั้น ฉินสือโอวพาพวกเด็กๆไปเลือกแต่ผ้าห่มไนลอน เชอร์ลี่ย์อุ้มผ้าห่มขึ้นมา พูดด้วยเสียงตกใจว่า “ผ้าห่มนี่ทำไมเบาแบบนี้ล่ะ?”


ฉินสือโอวดีดเบาๆไปที่หัวของเธอ พูดว่า “หากหนักเกินไปพวกเธอจะฝันร้ายได้นะ”


 “พวกเธอชอบคอมพิวเตอร์ยี่ห้ออะไรกัน? ในเมืองก็คงไม่มียี่ห้อให้เลือกมากมาย ไปเถอะ กลับบ้านไปซื้อในเว็บอะเมซอนกัน” ฉินสือโอวอุ้มผ้าห่มไปเก็บไว้หลังรถ แล้วถาม


เด็กทั้งสี่คนมองหน้ากันครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างเขินอาย “พวกเราต่างก็ไม่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์เลย คงไม่ต้องซื้อแล้ว อีกอย่างวันนี้ก็ใช้เงินไปเยอะแล้ว”


ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “เรื่องนี้พวกเธอไม่ต้องเป็นห่วง ในเมื่อก่อนหน้านี้พวกเธอไม่เคยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์มาก่อน ก็แสดงว่าไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ชอบล่ะสิ? ไม่รู้จะซื้อคอมพิวเตอร์รุ่นไหน งั้นก็ซื้อแม็คแล้วกัน”


นี่คือคำพูดแคมเปญโฆษณาของแอปเปิลในแคนาดา หากคุณไม่รู้ว่าจะซื้อคอมพิวเตอร์รุ่นอะไร งั้นเชิญเลือกแอปเปิล


 “แอปเปิล? แอปเปิลไม่ใช่เอามากินเหรอ?” กอร์ดอนถาม


มิเชล์กลอกตาแล้วพูดว่า  “นายนี่ช่างไม่รู้อะไร กอร์ดอน แอปเปิลคือยี่ห้อของเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ของบริษัทนี้น่ะมีสัดส่วนในตลาดมากกว่าคู่แข่งถึงยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์เลย!”


สุดท้าย ฉินสือโอวพาพวกเขาไปร้านสะดวกซื้อของฮิวจ์เพื่อซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันเช่นยาสีฟันแปรงสีฟัน แชมพูสระผม ครีมอาบน้ำ พอตอนจะกลับ ฉินสือโอวเลือกแว่นดำให้บอริสใส่ พยักหน้าแล้วพูดว่า “อื้ม ใส่แล้วทำให้มีออร่านักแข่งรถมืออาชีพขึ้นมาเลย”


บอริสเกาหัวหัวเราะเบาๆ เขาไปยืนอยู่หน้ากระจกมองดูอย่างชื่นชม จากนั้นก็ถอดออกมาเก็บไว้อย่างระมัดระวัง แล้วตบกระเป๋ากางเกงเบาๆพูดว่า “ผมต้องใส่มันแล้วคว้าแชมป์F1มาให้ได้เลยครับ”


ตกดึก ฉินสือโอวตั้งใจพาเออร์บัก ชาร์ค ซีมอนสเตอร์ นีลเซ็นและเด็กทั้งสี่คนไปกินข้าวกันที่ร้านของคุณลุงฮิคสัน ให้พวกเขาได้ทำความคุ้นเคยกัน


เด็กทั้งสี่คนเพิ่งได้เข้าไปร้านอาหารในฐานะลูกค้าเป็นครั้งแรก ระหว่างทางกอร์ดอนถามว่า “ฉิน พวกเราสั่งอาหารเองได้ไหมครับ? ที่นั่นมีแฮมเบอร์เกอร์ไหม? ถ้าหากว่าเราอยากดื่มเครื่องดื่ม ต้องไปซื้อเองหรือว่าให้พนักงานซื้อมาให้ครับ?”


ฉินสือโอวคิดมาตลอดว่าเด็กๆในประเทศที่เจริญแล้วอย่างอเมริกากับแคนาดา คงเป็นเด็กที่เห็นอะไรมาเยอะ อย่างเคเอฟซีหรือแมคโดนัลก็คงกินจนเบื่อ ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า สังคมของประเทศที่เจริญแล้วก็มีจุดบกพร่องเหมือนกัน อย่างเช่นเด็กกำพร้าหรือเด็กที่อาศัยอยู่ในเขตยากจน สิ่งที่พวกเขาเคยสัมผัส ยังเทียบไม่ได้กับเด็กฐานะยากจนในจีนเลย ครอบครัวของพวกเขาคือยากจนแร้นแค้นจริงๆ


นี่ทำให้เขานึกถึงบทความหนึ่งที่เคยอ่านสมัยเรียนมัธยมปลาย ตอนนั้นเป็นช่วงที่เจอร์เมน โอนีล(ผู้เล่นเซ็นเตอร์ในทีมเพซเซอร์)โด่งดังมากในNBA นิตยสาร’สแลมดังก์’ได้ไปสัมภาษณ์เขา


ผู้เล่นที่มีค่าตัวสูงกว่าร้อยล้านในตอนนั้นรำลึกถึงความหลังว่า เขาเข้าภัตตาคารครั้งแรกตอนอายุ15ปี โค้ชบาสเกตบอลสมัยมัธยมปลายพาเขาไปกินเลี้ยงที่นั่น เขาได้ใส่รองเท้าบาสเกตบอลคู่ใหม่ก็ตอนอายุ 15เช่นกัน ตอนนั้นเขานำทีมสมัยมัธยมปลายเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในระดับลีกบาสเกตบอล โรงเรียนจึงมอบรางวัลให้เขาเป็นรองเท้าจอร์แดนคู่หนึ่ง


‘ในบทความที่เขียนเป็นเรื่องจริง เด็กๆชาวอเมริกันเหนือนั้นทั้งยากจนและแร้นแค้น’


ปลาเทราต์ที่ทอดจนเป็นสีเหลืองทอง แผ่นปลาค็อดราดด้วยซอสมะเขือเทศ โดนัทช็อกโกแลตที่เพิ่งออกจากเตา หมูหันที่ย่างจนเป็นสีแดง โยเกิร์ตสีขาวหิมะที่ราดด้วยน้ำเชื่อมเมเปิล ยังมีสเต๊กชิ้นเล็กที่เพิ่งย่างเสร็จ ปลายอดม่วงเนื้อนุ่ม ปูและล็อบสเตอร์สีแดงสดราดซอสขิง อาหารรสเลิศชุดใหญ่ถูกเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว


ทานอาหารจานเด็ดของคุณลุงฮิคสัน ดื่มน้ำผลไม้ที่เพิ่งคั้นสดๆ เด็กสี่คนละเลงกินอาหารกันจนดูไม่ได้เลย


เพื่อหลีกเลี่ยงบรรยากาศที่อึมครึม ฉินสือโอวเริ่มพูดว่า “เฮ้ เด็กๆทั้งหลาย พวกเธอเล่าเรื่องของบรรยากาศและผู้คนเมืองแคนาดาให้ฉันฟังที พวกเธอต้องเคยไปมาหลายที่แล้วใช่ไหม? ฉันน่าสงสารมากเลย ตั้งแต่มาถึงแคนาดาแล้วก็อุดอู้อยู่แต่ที่นี่ ยังไม่เคยออกไปไหนเลย”


เมื่อได้ยินคำนี้ เด็กทั้งสี่คนก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที กอร์ดอนรีบแย่งพูดเหมือนอย่างเคย “งั้นพวกผมเริ่มเล่าจากเมืองน้ำตกเล็กแล้วกันครับ….”


ฉินสือโอวใช้ประวัติการเดินทางของพวกเขาเป็นหัวข้อสนทนาแบบนี้ ก็เพื่อให้พวกเขาเป็นตัวหลักในการสนทนา พวกเด็กๆจะได้ไม่รู้สึกถึงการถูกเบียดเบียนหรือเหยียดหยาม พวกเขาได้แชร์ประสบการณ์ที่ลำบากตรากตรำแต่ตอนนี้เมื่อหวนย้อนกลับไปกลับกลายเป็นประสบการณ์การเดินทางที่เต็มไปด้วยความสุข ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกลับมาคึกคักอีกครั้ง


เออร์บักขยิบตาให้ฉินสือโอว ฉินสือโอวยักไหล่เป็นการบอกว่าเรื่องเล็กน้อย


หลังทานมื้อค่ำแล้ว ฉินสือโอวพาพวกเขากลับบ้านพัก บ้านพักมีทั้งหมดแปดห้องนอน ชั้นหนึ่งมีห้องที่กว้างมากๆอยู่สองห้อง พื้นที่ห้องเกินแปดสิบตารางเมตร ส่วนชั้นสองมีหกห้องนอน ฉินสือโอวพักไปหนึ่งห้อง อีกห้องเป็นห้องนอนแขกที่วินนี่เคยพัก ก็เท่ากับเหลือห้องสี่ห้องพอดี


ตอนกลางวันได้มีการเก็บกวาดห้องนอนไว้ก่อนแล้ว เพียงแต่ข้างในมีเฟอร์นิเจอร์อยู่ไม่เยอะ มีเพียงเตียง เก้าอี้ และโซฟาเท่านั้น


ฉินสือโอวพูดว่า “เดี๋ยวพวกเราค่อยไปสั่งของจากเซนต์จอห์นกัน พวกเธอชอบดูทีวี งั้นก็ตั้งทีวีไว้ในห้องเลยแล้วกัน ถ้าชอบร้องเพลง ก็ติดตั้งคาราโอเกะสำหรับห้องนอน ถ้าชอบอ่านหนังสือ ฉันจะทำห้องสมุดเล็กๆให้พวกเธอ ดีไหม?”


เด็กสี่คนจ้องกันตาเป็นประกาย ต่างก็รัวถามกันว่า ‘จริงเหรอครับ’’ทำได้เหรอครับ’’ได้จริงเหรอครับ’ไม่หยุด


หู่จือและเป้าจือกระดิกหางเดินตามหลังพวกเขา ฉงต้ายังไม่ยอมแพ้ ยังคิดอยากจะขู่พวกเขาอีก ฉินสือโอวจับมันมาแล้วตบไปที่ก้นมันสองสามที มันถึงจะยอมหยุด ตั้งตาตั้งตาแทะขนมรูปกระดูกที่อยู่ในมือ


 “นี่เป็นของของเสียวหู่และเสี่ยวเป้าไม่ใช่เหรอคะ?” เชอร์ลี่ย์ถามด้วยความแปลกใจ เนื่องจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมของประเทศฝั่งตะวันออกและตะวันตก หลังเด็กสี่คนได้รู้ถึงความหมายที่แท้จริงของหู่จือและเป้าจือแล้ว จึงเรียกพวกมันว่าเสียวหู่และเสี่ยวเป้า


หู่จือและเป้าจือมองฉงต้าอย่างไม่พอใจ แต่ฉงต้าไม่สนใจ กินแพล็บแพล็บต่ออย่างสบายใจ สำหรับเจ้าตะกละตัวนี้แล้ว ไม่มีคำว่าอร่อยหรือไม่อร่อย มีแต่คำว่ากินได้กับกินไม่ได้เท่านั้น


 “โอเค ฝันดี หนุ่มสาวทั้งหลาย เจอกันพรุ่งนี้” ฉินสือโอวส่งพวกเขาเข้าห้องนอนไป


หลังจากปิดประตูห้องกอร์ดอนเป็นห้องสุดท้ายแล้ว ประตูห้องของเชอร์ลี่ย์ก็เปิดออก เด็กหญิงตัวน้อยมองฉินสือโอวด้วยสายตากังวล แล้วถามว่า “ฉิน เป็นไปได้ไหมว่านี่เป็นเพียงความฝัน? พอพรุ่งนี้ตื่นจากฝันแล้ว พวกเราก็พบว่าตัวเองยังอยู่ข้างถนนหรือไม่ก็ในกองหญ้าหรือเปล่า?”


ฉินสือโอวกอดเธอไว้ พูดด้วยเสียงนุ่มทุ้มว่า “ถึงจะเป็นฝันจริงๆ ฉันก็จะให้พวกเธอฝันไปเรื่อยๆจนถึงวันที่พวกเธอไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกแล้วนั่นแหละ ไปนอนเถอะ ต่อไปทุกอย่างจะดีขึ้นกว่านี้อย่างแน่นอน”


……………………………………………………..


บทที่ 101 ช่วยชีวิตปลานกแก้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตื่นขึ้นมาในรุ่งเช้า ฉินสือโอวได้เดินไปดูห้องของเด็กทั้งสี่คนนั้นทีละห้อง พวกเขาต่างกำลังหลับสนิทกันอยู่


กอร์ดอนถีบผ้าห่มจนแทบจะตกลงบนพื้น มิเชลล์ห่อตัวเองไว้จนเหมือนกับรังไหมไม่มีผิด เวลานอนเชอร์ลี่ย์มักจะหดตัวไว้และหมอนก็ไม่ได้อยู่ที่ใต้หัวแต่กลับกอดไว้ที่อก พาวลิสแค่ได้ยินเสียงเปิดประตูเบาๆก็รีบลืมตาขึ้นมาอย่างเร็ว


“สวัสดีตอนเช้า นักแข่งรถ” ฉินสือโอวยิ้มและพูดขึ้น “ยังเช้าอยู่เลย หลับต่ออีกสักพักเถอะ”


พาวลิสลูบหน้าและรีบสวมเสื้อยีนของตัวเอง จากนั้นก็พูดอย่างเกรงใจขึ้นว่า “เมื่อคืนผมนอนดึกมาก พระเจ้า ช่างเหลือเชื่อจริงๆ นอนอยู่บนเตียงจนดึกมากถึงจะหลับไป”


ฉินสือโอวให้เขานอนต่อแต่เขากลับตื่นขึ้นมาแล้ว ฉินสือโอวออกไปวิ่ง กลับมาก็เห็นพาวลิสกำลังถูพื้นอยู่อย่างคล่องแคล่ว ทำให้พื้นห้องรับแขกที่สกปรกมากกลายเป็นสะอาดหมดจดขึ้นมาทันที  สะอาดจนปรากฏให้เห็นลวดลายของพื้นไม้เมเปิล


“ฮายเพื่อน ทุกอาทิตย์บริษัทรับทำความสะอาดจะส่งคนมาเก็บกวาด นายไม่ต้องทำหรอก” ฉินสือโอวโอบไหล่เขาไว้และเอ่ยขึ้น


พาวลิสยิ้มจนเห็นฟันขาวและพูดออกมาด้วยเสียงเบาๆ “อย่าเลยฉิน สุขอนามัยของคนในบ้านก็ต้องให้คนในบ้านเป็นคนทำความสะอาด การเก็บกวาดบ้านเป็นการฝึกฝนที่ดีเยี่ยมอย่างหนึ่ง”


ฉินสือโอวเอาไม่ถูพื้นวางไว้อย่างดี ตบไปที่ไหล่เขาและพูดขึ้น “เตรียมตัวกินข้าวเช้ากัน”


ในขณะที่เขาเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก็พบว่าMSNที่อยู่บนคอมพิวเตอร์มีข้อความทิ้งไว้ พอเปิดดูก็เป็นวินนี่ที่ส่งคลิปวิดิโอมาให้ เขาจึงทักกลับไปใหม่สุดท้ายวินนี่ก็ได้รีบตอบรับอย่างทันที


“ฉิน กลับมาจากวิ่งแล้วเหรอ? ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?”


“ดีมากเลยวินนี่ ช่วงนี้เกิดเรื่องที่น่าสนใจขึ้นเล็กน้อย ครั้งหน้าถ้าคุณมาที่ฟาร์มปลาจะต้องตกตะลึงแน่ คุณอยู่ไหน? ทำไมถึงดูเหมือนเหนื่อยล้ามาก”


“ฉันอยู่ที่ไมอามี พระเจ้า ฉันพึ่งปรับเที่ยวบิน ต่อไปต้องบินที่ไมอามีแล้ว ที่นี่อากาศดีมากแต่ผู้ชายอเมริกาน่ารังเกียจมาก มิน่าล่ะสายการบินแอร์แคนาดาที่บินมาอเมริกาถึงใช้พนักงานต้อนรับที่เป็นป้าๆ”


ฉินสือโอวยิ้มเล็กน้อยขณะที่ฟังวินนี่บ่น ทันใดนั้นประตูห้องนอนก็มีเสียงเคาะดังขึ้น ฉินสือโอวหันหลังไปกำลังจะพูดขึ้นว่า ‘COME-IN’ สุดท้ายหู่จือก็ได้ลุกขึ้นและวิ่งพุ่งออกไป แค่มันใช้ปากก็สามารถเปิดประตูได้แล้ว


ใบหน้าอันเรียวเล็กของเชอร์ลี่ย์ก็ได้ปรากฏขึ้นมา เธอหลบอยู่ที่นอกประตูพร้อมกับเอ่ยถามอย่างเอียงอาย “คุณ คุณช่วยสอนหนูหน่อยได้ไหมว่าอุปกรณ์เครื่องครัวพวกนั้นใช้ยังไง?”


ฉินสือโอวกวักมือเรียกให้เธอเข้ามา และมายืนอยู่ที่หน้ากล้องเพื่อพูดคุยกับวินนี่ “ดูสิ ฟาร์มปลาของผมมีสมาชิกใหม่”


เชอร์ลี่ย์จ้องมองที่หน้าจออย่างแปลกประหลาดใจ เมื่อเห็นวินนี่ที่แต่งหน้าอย่างละเอียดอ่อน ใบหน้าสวยสดงดงาม บุคลิกเรียบร้อยและมีระดับ บนใบหน้าอันเรียวเล็กของเธอก็ปรากฏให้เห็นความตกตะลึงและใฝ่หา


“ว้าว สาวน้อยสวยจัง นี่คือใครเหรอ?” วินนี่ยิ้มทักทาย


“หลานสาวของคุณเออร์บัก และยังมีหลานที่เหลืออีกสามคน พึ่งมีเมื่อวานนี่เอง ตอนนี้พักอยู่กับพวกเราที่นี่ พวกเขาเห็นว่าฉันเหงาเลยมาอยู่เป็นเพื่อนฉัน” ฉินสือโอวโอบเชอร์ลี่ย์ไว้และพูดอธิบาย


“เชอร์ลี่ย์ ทักทายสิ นี่คือพี่วินนี่”


“ว้าว พระเจ้า เธอสวยมากเลย! พี่วินนี่เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่หนูเคยเห็น!” เชอร์ลี่ย์จ้องมองอย่างตาโต


วินนี่ทำมือส่งจูบให้เธอและพูดหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข “รอให้เธอโตขึ้น เธอก็จะสวยกว่าพี่วินนี่อีก”


ฉินสือโอวเรียกเด็กๆทั้งสามคนขึ้นมาเจอกับวินนี่ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดแจ้ง แต่วินนี่ที่รู้ว่าเออร์บักไม่มีลูกสืบตระกูล ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเด็กทั้งสี่คนนี้คือคนที่ฉินสือโอวเก็บมาเลี้ยง ดังนั้นจึงเลี่ยงที่จะพูดเรื่องหนักหน่วงและเปลี่ยนมาชื่นชมพวกเขา โดยไม่พูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัว


“โอเค ถ้าอย่างนั้นคุณพักผ่อนเถอะ ดูเหนื่อยล้ามากเลย พึ่งลงจากเครื่องใช่ไหม? ผมจะไปทำอาหารเช้าแล้ว” ฉินสือโอวบอกลาวินนี่จากนั้นก็ปิดคอมพิวเตอร์


“พวกเธอจะกินอะไร? ดื่มอะไร? แค่บอกฉันก็พอแล้ว” ฉินสือโอวเอ่ยถามขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาค่อนข้างที่จะกลัดกลุ้มในใจ เพราะว่าเขาเป็นคนที่ขี้เกียจคนหนึ่ง แม้แต่อาหารเช้าของตัวเองเขายังขี้เกียจทำ ตอนนี้เพิ่มเด็กมาอีกสี่คน ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย


แต่ว่าเขาจำเป็นต้องเรียนรู้การแบกรับภาระและความรับผิดชอบ


เด็กทั้งสี่คนส่ายหน้าพร้อมกัน พวกเขาเลือกเองไม่ได้ ฉินสือโอวจึงใช้โทรศัพท์ค้นหาตำราอาหารของเด็ก พบว่าเด็กควรกินขนมปังธัญพืช นมวัวและน้ำผลไม้คั้นสด ในตอนเช้าไม่ควรกินไส้กรอกและเบคอน ต้องกินไข่ทอดเพิ่มโปรตีน แต่ว่าการทำไข่ทอดก็ต้องพิถีพิถันหน่อยไม่พลิก เป็นการทอดด้านเดียวให้มีความสุกประมาณห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ไข่ทอดแบบน้ำเชื่อมเป็นการทอดสองด้านให้มีความสุกประมาณยี่สิบเปอร์เซ็นต์ และถ้าทอดสุกจะเป็นไข่ทอดชีส…


ฉินสือโอวเริ่มปวดหัวแล้ว คนแคนาดาค่อนข้างพิถีพิถันกับอาหารเช้ามาก พยายามเสริมไขมันเพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย และพยายามเสริมพวกโปรตีนและวิตามิน พยายามเลี่ยงกินอาหารและเครื่องดื่มที่มีสารปรุงแต่งมากเกินไป…


ฉินสือโอวยุ่งอยู่กับการทำอาหารอยู่ประมาณสี่สิบกว่านาที เขาคั้นน้ำส้ม น้ำแอปเปิลและน้ำแอปเปิลแดงสายพันธุ์เรดเดลิเชียส จัดคู่เข้ากับนมวัวสดที่มาส่งในตอนเช้า อีกทั้งยังมีไข่ทอดและแผ่นปลาทอดอีกหนึ่งจานใหญ่ สลัดผลไม้และผักอีกหนึ่งจาน และสุดท้ายคือแผ่นขนมปัง


“ชูชู่ สุดท้ายก็เสร็จสักที” ฉินสือโอวถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขายกอาหารไปไว้บนโต๊ะและเรียกให้เด็กๆมากิน


ในขณะที่กำลังกินอาหาร หลังจากที่เด็กทั้งสี่คนตักอาหารเช้าใส่จานบ้างเล็กน้อยแล้ว พวกเขาก็ได้ลงไปนั่งยองๆที่พื้น โดยไม่นั่งที่โต๊ะอาหาร


สุดท้ายฉินสือโอวก็ตระหนักได้ว่า ชีวิตในอดีตของเด็กเหล่านี้ทำให้พวกเขามีอุปนิสัยที่รู้สึกต่ำต้อยมากเกินไป เป็นเช่นนี้ไม่ได้ เขาต้องหาวิธีสร้างอุปนิสัยที่มั่นใจในตัวเองและการมองโลกในแง่ดีให้กับพวกเขาขึ้นมาใหม่


“เลี้ยงเด็กนี่เหนื่อยมากเลยนะ” ฉินสือโอวรู้สึกเศร้าโศกในใจ


 พูดจนปากเปื่อยปากแฉะ จนอีกนิดเดียวฉินสือโอวก็จะลงไปนั่งยองๆกินข้าวกับพวกเด็กๆแล้ว แต่พวกเด็กๆก็ยังไม่ยอมที่จะขึ้นมานั่งที่โต๊ะ


กระรอกเสี่ยวหมิงวิ่งซวนเซเข้ามา เมื่อสักครู่ฉินสือโอวกำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหารเช้าอยู่ในครัวเลยไม่ได้ให้อาหารมัน จึงทำได้เพียงแค่มากินด้วยกัน


เมื่อเห็นขนอ่อนนุ่มสีน้ำตาลแดงทั้งตัวของเสี่ยวหมิง บนใบหน้าของเชอร์ลี่ย์ก็ปรากฏให้เห็นรอยยิ้มของหัวใจที่กำลังเต้น ฉินสือโอวลากเธอมานั่งที่โต๊ะ และให้เสี่ยวหมิงรออยู่ที่ข้างจานอาหารของเธอ จากนั้นจึงพูดขึ้น “มา เชอร์ลี่ย์ เธอป้อนอาหารให้เสี่ยวหมิง”


“เสี่ยวหมิงเหรอ?”


“ใช่แล้ว นี่เป็นชื่อของมัน ต่อไปเวลากินข้าวเธอต้องป้อนข้าวมัน พวกเธอกินข้าวด้วยกันนะ”


เชอร์ลี่ย์ออกแรงพยักหน้า ด้วยเหตุนี้เธอจึงนั่งอยู่ที่โต๊ะและสร้างความแตกต่าง ปัญหาของเด็กคนอื่นๆจึงสามารถแก้ไขได้ สุดท้ายทุกคนก็นั่งลงที่โต๊ะอาหารและกินอาหารมื้อเช้าจนเสร็จ


ในตอนเช้าต้องไปสำรวจฟาร์มปลา ฉินสือโอวจึงพากอร์ดอนและมิเชลล์ขับเรือหัวกว้างสไตล์ไครเมียออกสู่ทะเล


จิตสำนึกโพไซดอนดำดิ่งลงไปในทะเล ฉินสือโอวได้ลอยไปลอยมาอยู่ที่บริเวณใกล้ๆกับหินปะการัง สุดท้ายเขาก็เห็นปลานกแก้วสามสี่ตัวทะลุออกมาจาก’ชุดนอน(เมือกห่อหุ้มร่างกายเพื่อป้องกันตัวเองในเวลานอน)’ ของตัวเอง


ปลานกแก้วสามารถถักทอ ‘ชุดนอน’ ได้ โลกใต้ท้องทะเลนั้นค่อนข้างมหัศจรรย์ วิธีการถักทอ’ชุดนอน’ ของพวกมันเหมือนกับตัวไหมพ่นเส้นใยเพื่อทำรังไหมไม่มีผิด พวกมันจะพ่นเมือกสีขาวใสออกมาทางปาก โดยใช้ครีบท้องและครีบหางเป็นตัวช่วย ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงก็สามารถถักทอเป็นรังห่อหุ้มทั้งตัวได้


ด้วยเหตุนี้ปลานกแก้วก็สามารถหลบซ่อนอยู่ใน ‘ชุดนอน’ ของมันได้แล้ว พวกมันสามารถนอนหลับได้สนิท ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลว่าจะถูกนักล่าจับกินเป็นอาหาร


แต่ทว่าในบางครั้งที่มันถักทอชุดนอนได้แข็งเกินไป หลังจากที่ตื่นนอนในตอนเช้า หากปากของมันกัดออกมาไม่ได้ก็จะทำให้มันถูกกักอยู่ในนั้นจนตาย เช่นนั้นก็ช่างน่าเวทนาเสียจริง


หากจะหวังให้กลุ่มเพื่อนด้วยกันมาช่วยนั้นก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าพวกเพื่อนๆจะคิดว่าพวกมันกำลังพักผ่อนอยู่จึงไม่อยากรบกวน


ปลานกแก้วชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มซึ่งเป็นปลาประเภทที่มีความสามัคคีมาก รังไหมที่มีขนาดใหญ่หรือเล็กสิบกว่ารังได้ซุกอยู่ตามซอกแนวปะการังอย่างยุ่งเหยิง


ในจำนวนมากได้ถูกกัดจนแตกออกแล้ว แต่ก็มีสามสี่อันที่ยังไม่ได้ถูกเปิดออก ฉินสือโอวจึงสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของความวิตกกังวลออกมาจากรังไหมรังหนึ่ง


ฉินสือโอวเดาว่าต้องมีปลานกแก้วที่กำลังถูกกักขังไว้ เขาจึงใช้พลังโพไซดอนควบคุมโดยการหนีบรังไหมและใช้ความแหลมคมของหินปะการังกรีดให้เป็นช่องเปิดอ้า จากนั้นปากของปลาตัวหนึ่งก็ได้ยื่นออกมา มันค่อยๆกัดรังไหมให้แตกและว่ายหนีออกมา


ช่างน่าสนใจมาก ฉินสือโอวรับรู้ได้ว่าเมื่อปลาตัวนี้หนีออกมาได้ มันได้หายใจอย่างโล่งอก


ไม่ไกลมาก มีหอยนมสาวทะเลยักษ์ที่เป็นสิ่งล้ำค่ามากกำลังก้าวขยับอย่างนุ่มนวลเพื่อไปหาอาหารในทุกซอกทุกมุม บอลหิมะเหมือนกับค่อนข้างสนใจในตัวมัน มันจึงว่ายน้ำลงไปและจ้องมองหอยขนาดใหญ่นี้ด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและความรู้สึกที่อยากลอง จากนั้นจึงอ้าปากราวกับอยากที่กลืนกินมันเข้าไป


ฉินสือโอวตกใจจนฉี่แทบราด เขารีบไปปลอบโยนเจ้าบอลหิมะไว้ ถ้าหากมันกลืนกินสิ่งนี้ลงไปในปาก เขาอาจจะต้องสูญเสียเงินไปกว่าหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ


หอยนมสาวทะเลยักษ์ไม่รู้ว่าตัวเองพึ่งจะเดินอยู่บนเส้นของความตาย เมื่อมันหาสาหร่ายหางม้าได้ มันจึงยื่นตัวออกมาและกินสาหร่ายเหล่านั้นเข้าไป


เมื่อสำรวจดูฟาร์มปลาอย่างรวดเร็วหนึ่งรอบ แล้วพบว่าไม่มีปัญหาอะไร ฉินสือโอวจึงเอาจิตสำนึกโพไซดอนกลับมา


เด็กทั้งสี่คนไม่มีอะไรทำ คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะทำความสะอาดวิลล่าอีกครั้ง ฉินสือโอวจึงจนปัญญาแล้ว เขาจะต้องเข้าไปในเมืองเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับเงื่อนไขการส่งพวกเขาเข้าเรียนในโรงเรียนให้ได้


จากนั้นชาร์คและซีมอนสเตอร์ก็ได้มาหาเขา พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น “ฮาย บอสรู้ไหมว่าใกล้จะมีพายุคลื่นมาแล้ว?”


ฉินสือโอวมองค้อนใส่และพูดขึ้น “รู้แน่นอน พวกนายจะตื่นเต้นกันไปทำไม? อยากจะพักผ่อนเหรอ?”


ซีมอนสเตอร์ยกมือขึ้นปฏิเสธและเอ่ยออกมา “ไม่ใช่บอส ตอนนี้เป็นโอกาสดีอย่างหนึ่ง โอกาสดีที่จะจับเพรียงตีนเต่า!”


“เพรียงตีนเต่าเหรอ?” ฉินสือโอวเกาหัว เขารีบไปที่หน้าคอมพิวเตอร์และค้นหาข้อมูลของสิ่งสิ่งนี้ ช่างน่าอายมากที่ในความเป็นจริงแล้วเจ้าของฟาร์มปลาอย่างเขามีความรู้เกี่ยวกับท้องทะเลอันกว้างนี้น้อยมาก


…………………………………………………


บทที่ 102 ล่าเพรียงทะเลท่ามกลางคลื่นที่โหมซัด

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อพูดถึงเพรียงตีนเต่า ฉินสือโอวจึงไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เมื่อค้นหาชื่อเรียกทั่วไปของเจ้าสิ่งนี้ในอินเทอร์เน็ต เขาถึงรู้แล้วว่ามันคืออะไร ที่แท้ก็คือหอยอุ้งเท้าหมา!


ตอนที่เขาทำงานอยู่ที่บริษัทปิโตรเลียมของจีน มีครั้งหนึ่งได้ไปงานเลี้ยงส่วนตัวกับผู้บริหารและเคยเห็นของสิ่งนี้ ดูจากลักษณะภายนอกแล้วอัปลักษณ์มาก ซึ่งจะเป็นเปลือกหอยสามสี่อันรวมอยู่ด้วยกัน คล้ายกับอุ้งเท้าของสัตว์ประหลาดไม่มีผิด


แต่ทว่าราคาของของสิ่งนี้ค่อนข้างแพงและมันไม่ได้หาได้ที่เมืองไหเต่า กล่าวกันว่าต้องขนส่งทางอากาศมาจากสเปน อาหารจานหนึ่งเอาหอยสามสี่อันมาต้มเพียงเล็กน้อยก็มีราคาสูงถึงสองพันหยวน มันทำให้ฉินสือโอวรู้สึกประหลาดใจมาก นอกจากนี้ ในตอนนั้นที่โต๊ะอาหารมีบุคคลคนสำคัญอยู่เยอะมากเกินไปจึงมีไม่เพียงพอที่จะให้เขากิน เขาจึงเพียงแค่ได้ยินคนอื่นๆพูดว่าสดใหม่และอร่อยมาก ถึงแม้ว่าเขาอยากจะกินมันมากแต่ก็ไม่สามารถลิ้มลองได้


“ทะเลในเกาะของพวกเรามีหอยอุ้งเท้าหมาด้วยเหรอ? ก็คือเพรียงตีนเต่าน่ะ” ฉินสือโอวเอ่ยถามอย่างงงงัน


ชาร์คยักไหล่และหัวเราะ “แน่นอน มีอยู่ทางตะวันตกของเกาะ ขึ้นบนหินโสโครกเยอะมากเลย พวกเราต่างเรียกมันว่าฟันม้า เพราะว่าเจ้าสิ่งนั้นคล้ายกับฟันของม้าไม่มีผิด”


ฉินสือโอวจึงค้นหาข้อมูลอีกครั้งเพื่อนำมาอ่าน จึงรู้ว่าเพรียงนั้นกระจายอยู่กว้างขวาง ทุกเขตน้ำขึ้น


น้ำลงไปจนถึงเขตน้ำตื้นของทุกน่านน้ำทะเลต่างก็สามารถพบเห็นร่องรอยของมันได้ จำนวนของพวกมันนั้นเยอะมากและมักจะรวมตัวกันอย่างหนาแน่น


แต่ว่าเพรียงประเภทนี้ปกติแล้วไม่สามารถนำมาทำเป็นอาหารได้ เพรียงตีนเต่านั้นพบเห็นได้ค่อนข้างน้อย นอกจากแนวชายฝั่งของแคว้นกาลิเซียในสเปนแล้ว ที่อื่นก็ไม่พบร่องรอยการเจริญเติบโตเป็นวงกว้างของพวกมันเลย


ดูแล้วฮวงจุ้ยของเกาะแฟร์เวลนั้นไม่เลวเลย คิดไม่ถึงว่าในบรรดาเพรียงที่พบเห็นได้น้อยอย่างเพรียงตีนเต่าจะสามารถเจริญเติบโตได้ดีในที่แห่งนี้


 ราคาของเพรียงชนิดนี้นั้นสูงมาก ในยุโรปสามารถเทียบได้กับอาหารรสเลิศอย่างไข่ปลาคาเวียร์ ตับห่านฟัวกราส์และทูน่าครีบน้ำเงินเหนือ หนึ่งกิโลกรัมราคาประมาณสองสามร้อยยูโร หากคิดเป็นเงินจีน ปริมาณห้าร้อยกรัมราคาจะอยู่ที่หนึ่งพันหยวน


 เมื่อนึกถึงคำชื่นชมของพวกแขกวีไอพีในงานเลี้ยงส่วนตัววันนั้น ฉินสือโอวก็ตบที่ต้นขาและเอ่ยออกมา “รีบไปสิ ก่อนหน้านี้ทำไมพวกนายไม่บอกฉันว่าเกาะของเรามีอาหารรสเลิศแบบนี้ด้วย?”


 ชาร์คพูดอธิบาย “ฟันม้าเติบโตบนหินโสโครก ส่วนมากจะอยู่ที่น้ำตื้น ต้องดำน้ำลงไปจับ บนตัวของพวกมันมีสสารเหนียวจึงเกาะติดไปบนหินโสโครกและยากที่จะแคะ แต่ถ้ามีพายุคลื่นเช่นนี้ หินโสโครกเหล่านั้นก็จะปรากฏขึ้น แบบนี้พวกเราถึงจะสามารถงมมันขึ้นมาได้”


 “นอกจากนั้น ที่ที่ฟันม้าเจริญเติบโตก็คือในน่านน้ำทะเลบริเวณหลังโรงงานสารเคมีสองแห่งนั้นพอดี ก่อนหน้านี้ไอ้พวกลูกหมาที่โรงงานสารเคมีไม่ยอมให้พวกเราเข้าไปใกล้ ครั้งนี้โรงงานสารเคมีไสหัวออกไปแล้ว พวกเราเลยมีโอกาสเข้าไปจับ” ซีมอนสเตอร์พูดขึ้นอย่างมีความสุข


 การออกไปของโรงงานสารเคมีสองแห่งนี้ได้ทำให้ประชาชนในเมืองแฟร์เวลมีความสุขกันมาก จนถึงวันนี้ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว เมื่อพูดถึงการปิดของโรงงานสารเคมี เหล่าประชาชนในเมืองก็ยังคงยกแก้วส่งเสียงโห่ร้องแสดงความดีใจกัน


 ตอนกลางวันมีอาหารกินแล้ว ฉินสือโอวรีบขึ้นรถเพื่อเตรียมตัวไปเก็บเพรียงตีนเต่า เด็กทั้งสี่คนยืนเข้าใกล้หน้าประตูและมองเขาอย่างรู้สึกโดดเดี่ยว เขาจึงโบกมือและส่งเสียงเรียก “รีบมาสิ เพื่อนทั้งหลาย ตอนเที่ยงมีอาหารทะเลสดๆกิน!”


  รถพิกอัพคันใหญ่ของชาร์คได้นำทางอยู่ข้างหน้าและรถคาดิลแลควันขับตามอยู่ด้านหลัง ไม่นานก็มาถึงทางตะวันตกของเกาะเล็กๆ


 โรงงานสารเคมีสตีฟและโรงงานสารเคมีสปริงไม่เป็นที่รุ่งเรืองอีกต่อไปแล้ว เขตโรงงานที่มีขนาดใหญ่อย่างนี้ด้านในไม่มีเงาคนแม้แต่เงาเดียว ภาพของรถและเรือที่วิ่งกันขวักไขว่ในอดีตได้สูญหายไปแล้ว ประตูทางเข้าปิดตาย ร่องรอยการอยู่อาศัยของคนนั้นเบาบาง มีเพียงชายแก่สามสี่คนที่คอยเฝ้าประตูอยู่ที่นี่


 ชาร์คจอดรถที่หน้าประตูโรงงานอย่างสบายอารมณ์ เมื่อคนเฝ้าประตูจูงสุนัขออกมา นีลเซ็นจึงถือมีดวาฬอันเงาวับไว้ในมือและจ้องมองไปที่คนนั้นด้วยสีหน้าที่อึมครึม  คนนั้นตกใจกลัวจนตัวสั่นและรีบวิ่งกลับเข้าไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง


 สุนัขเยอรมัน เชพเพิร์ดที่คล่องแคล่วและดุร้ายอย่างมากในวันที่มีการประท้วงครั้งที่แล้วก็ได้เปลี่ยนมาทำตัวดีไร้เดียงสา เจ้าสุนัขพวกนี้ก็แค่อาศัยบารมีของเจ้านายมาอวดเบ่ง ดังนั้น เมื่อเหมือนกับจะรู้แล้วว่าตอนนี้เจ้านายได้หมดอำนาจไปแล้ว ถึงแม้ว่าพวกมันจะถูกจูงมาที่หน้าประตูแต่พวกมันกลับไม่เห่าหอนออกมา


 “มีดนี่ไม่เลวเลยจริงๆ” หลังจากที่ฉินสือโอวลงมาจากรถ เขาก็ได้ผิวปาก


 มีดทหารที่อยู่ในมือของนีลเซ็นมีความยาวประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกเซนติเมตร ด้ามจับและตัวมีดมีความยาวเกือบเท่ากัน ตัวมีดเปล่งประกายเงาวับ ลักษณะภายนอกโหดเหี้ยม แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นอาวุธที่ใช้ทำร้าย


 เมื่อได้ยินคำชื่นชมจากฉินสือโอว นีลเซ็นจึงเอ่ยออกมาว่า “มีดวาฬทหารนี้ทรงพลังมาก เป็นมีดที่ดีเล่มหนึ่งเลย ตัวมีดใช้เหล็กกล้า 420J2 ความแข็ง 57Hrc เป็นมีดทหารแบบมาตรฐานที่ผมใช้ในกองกำลังพิเศษฉุกเฉินเมื่อก่อนนี้ และเอามาใช้กับการเก็บฟันม้าได้เป็นอย่างดี”


 แม้ว่ารสชาติของเพรียงตีนเต่านั้นจะอร่อย และไม่สามารถที่จะเคลื่อนที่ไปไหนได้ แต่พวกมันก็มีการดำรงชีวิตเป็นของตัวเอง นั่นก็คือการอาศัยหินโสโครกในการเจริญเติบโตท่ามกลางลมคลื่นแรงที่ซัดสาด พวกมันสามารถแปะติดกับหินโสโครกได้อย่างแนบแน่น ดังนั้นปลาธรรมดาจึงไม่สามารถจับพวกมันได้


 แต่ทว่าเพรียงตีนเต่าก็ยังคงมีศัตรูของมัน นั่นก็คือนกนางนวล นกชนิดนี้สามารถบินข้ามคลื่นลมในทะเลได้


 ด้านหลังของโรงงานสารเคมีจะเป็นชายฝั่งทะเลที่สูงชัน มีความลึกจากพื้นดินลงไปประมาณหกถึงเจ็ดเมตร ด้านล่างมีหินโสโครกที่เป็นตะปุ่มตะป่ำวางทอดยาวเหยียดเป็นเส้นจนสุดลูกหูลูกตา ดูแล้วเหมือนกับมีความอันตรายเป็นอย่างมาก


 ลมที่พัดแรงได้ทำให้คลื่นทะเลซัดเข้ามาทางชายฝั่ง ทำให้เกิดเสียง เพี๊ยะ เพี๊ยะ ดังขึ้น บางครั้งเมื่อชะโงกลงไปข้างล่างก็สามารถรับรู้ได้ถึงความหนาวเย็นของน้ำทะเลที่สาดลงมาบนใบหน้า


 เพรียงตีนเต่าได้อาศัยอยู่บนหินโสโครกที่อยู่ข้างล่างนี้ นอกจากนี้บนชายฝั่งก็ยังมีอาศัยอยู่บ้างเล็กน้อย เป้าหมายของชาร์คและซีมอนสเตอร์ในวันนี้ก็คือเพรียงตีนเต่าที่เจริญเติบโตอยู่บนหินโสโครก


 ชาร์คหาต้นเมเปิลหนึ่งต้นแล้วเอาเชือกผูกไว้ จากนั้นจึงพูดขึ้น “พวกนายเห็นของพวกนั้นที่เหมือนฟันของม้ารึยัง? สีเทาขาวดูแล้วอัปลักษณ์มาก ของอร่อยปกติก็ไม่ค่อยสวยงามเท่าไร อย่าได้ไปดูถูกมันเชียวนะ”


 นกนางนวลสามสี่ตัวกำลังอาศัยช่วงเวลาที่คลื่นหมุนขึ้นลงไปมาหาโอกาสเข้าไปเกาะและจิกกินเพรียงตีนเต่าที่อยู่บนหินโสโครก ถึงแม้ว่าเพรียงจะมีเปลือกหอยที่แข็งคอยป้องกันอยู่ แต่ว่ามันก็มีลักษณะนิสัยของการดำรงชีวิตอย่างหนึ่งที่ทำให้ถึงแก่ความตาย นั่นก็คือ เมื่อน้ำไหลผ่านพวกมัน เปลือกที่ห่อหุ้มมันอยู่จะเปิดออก โดยหนวดที่อยู่ข้างในจะยื่นออกมาเพื่อที่จะใช้กรองกินอาหารอย่างแพลงก์ตอน


 ด้วยเหตุนี้ คลื่นทะเลที่ม้วนจึงทำให้พวกมันเกิดความเข้าใจผิด พวกมันคิดว่าฟองคลื่นที่ซัดเข้ามานั้นเป็นเวลาที่น้ำขึ้นแล้ว มันจึงรีบเปิดเปลือกหอยเพื่อตักกินอาหาร แต่ว่าเพียงแป๊บเดียวคลื่นน้ำก็ลดลงไปแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกมันจึงไม่ทันที่จะปิดเปลือกหอย นกนางนวลจึงสามารถฉกเฉยโอกาสนี้ลงมาจิกกิน


 แม้ว่าอัตราความสำเร็จของนกนางนวลนั้นไม่สูง แต่ความอร่อยของเพรียงก็ทำให้พวกมันยอมที่จะทุ่มเทความยากลำบากเช่นนี้ ขอเพียงแค่จับเพรียงกินเป็นอาหารสักสองตัว พวกมันก็สามารถกินอิ่มไปได้หนึ่งมื้อ


 นกนางนวลสีขาวกรีดร้องเสียง จุ๊กจุ๊ก ออกมา บินข้ามผ่านฟองคลื่นของน้ำทะเลมาอย่างองอาจห้าวหาญ ดิ่งลงจิกกินครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งกินอิ่มถึงจะจากไป


 และแน่นอน ถ้าหากจิกกินไม่ได้ในหลายครั้งติดต่อกัน ในกรณีนั้นพวกมันก็จะบินจากไปเช่นกัน


 นกนางนวลเป็นสัตว์ที่ฉลาดมาก พวกมันรู้ว่าตัวเองมีความอดทนไม่เพียงพอ มันจึงไม่อยากสิ้นเปลืองพละกำลังในการจับอาหารเพียงแค่ชนิดเดียวกิน หนทางนี้ไปไม่รอดถ้าเช่นนั้นก็เปลี่ยนหนทางเดินใหม่ สิ่งนี้คือกลยุทธ์ในการล่าอาหารของพวกมัน


 นีลเซ็นได้หาต้นไม้หนึ่งต้นเพื่อที่จะผูกเชือกไว้เช่นเดียวกันกับชาร์ค ขณะเดียวกันก็อธิบายออกมา “ก่อนหน้านี้ไอ้พวกเถ้าแก่เลวของโรงงานสารเคมี ได้กำหนดให้น่านน้ำบริเวณนี้เป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลของพวกเขาเอง คิดไม่ถึงว่าไอ้ลูกหมาพวกนี้จะไม่อนุญาตให้พวกเราจับฟันม้า หลายปีแล้วที่ฉันไม่ได้ลิ้มลองรสชาติอาหารที่อร่อยแบบนี้”


 ในขณะที่พวกเขากำลังยุ่งอยู่นั้นก็มีรถคันหนึ่งวิ่งเข้ามา ซึ่งก็เป็นรถยี่ห้อบิวอิคก์ของฮิวจ์ เมื่อลงจากรถฮิวจ์ได้หัวเราะและพูดขึ้น “พวกนายมาได้ทันเวลาพอดีจริงๆ ฝนพึ่งหยุดก็มากันแล้ว?”


 ฉินสือโอวพูดทักทายฮิวจ์ จากนั้นเขาก็ยืนอยู่ที่บนชายฝั่งและมองลงไปข้างล่าง หินโสโครกที่อยู่ข้างล่างมีเพรียงตีนเต่าแกะติดไว้เป็นชั้นๆ เห็นได้ชัดว่าของสิ่งนี้ดูแล้วเหมือนอุ้งเท้าของสัตว์ประหลาด ไม่รู้ว่าทำไมคนในเมืองแฟร์เวลถึงคิดว่าพวกมันเหมือนฟันของม้า


 ความสามารถในการสืบพันธุ์ของเพรียงตีนเต่านั้นยอดเยี่ยมมาก บนหินโสโครกมีพวกมันเป็นจำนวนมากและหนาแน่น ดูแล้วเหมือนกับมีจำนวนหลายร้อยหรือหลายพันตัวขึ้นไป  ถ้าหากให้คนที่มีอาการของโรคกลัวรูมาเห็น คงจะสะอิดสะเอียนจนอ้วกออกมาอย่างแน่นอน


 เมื่อผูกเชือกไว้ดีแล้ว ชาร์คและนีลเซ็นก็ค่อยๆขยับตัวเคลื่อนที่ลงไปที่หินโสโครกอย่างช้าๆ ซีมอนสเตอร์จับเชือกของชาร์คไว้และบอกกับฉินสือโอวขึ้นว่า “บอส ดึงเชือกของนีลเซ็นไว้ คอยดูตำแหน่งเขาไว้ให้ดี ถ้าหากมีคลื่นทะเลซัดเข้ามาก็ออกแรงดึงเชือกแรงๆ อย่าให้พวกเขาถูกคลื่นทะเลซัดเอา!”


 เด็กๆทั้งสี่คนก็แบ่งกันเป็นสองกลุ่มอย่างเป็นที่รู้กัน พาวลิสกับเชอร์ลี่ย์อยู่ช่วยฉินสือโอว และกอร์ดอนกับมิเชลก็ไปช่วยซีมอนสเตอร์


 หู่จือและเป้าจือก็ตามมาด้วยเช่นกัน พวกมันวิ่งไปที่บนชายฝั่งและกัดเชือกไว้ หนีบหางเก็บไว้ที่ก้นและกัดฟันลากเชือกอย่างมุมานะ


 อากาศที่กลับมาอุ่นขึ้นได้เป็นตัวขับเคลื่อนคลื่นลมในทะเล พื้นผิวน้ำทะเลที่สงบในเมื่อก่อนได้กลายมาเป็นคลื่นน้ำที่ซัดสาดด้วยความแรงเป็นพิเศษ น้ำทะเลถูกคลื่นลมพัดขึ้นและพัดถอยกลับอย่างต่อเนื่อง  ระดับน้ำทะเลสูงน้อยกว่าเมื่อก่อนอย่างน้อยประมาณสองเมตร ทำให้เพรียงตีนเต่าที่ปกติหลบซ่อนอยู่ในน้ำทะเลโผล่ขึ้นมา


 ฉินสือโอวได้ทำสัญญาณมือว่า ‘โอเค’ ให้กับชาร์ค เขาใส่ถุงมือและปลอกป้องกันแขน จากนั้นจึงออกแรงดึงเชือกไว้


 นีลเซ็นกระโดดร่อนลงไปใต้ชายฝั่งทะเลเหมือนกับมนุษย์กบไม่มีผิด เขาใช้ฟันกัดมีดวาฬไว้และมองหาโอกาสเหมาะ เมื่อคลื่นใหญ่ลดถอยลงไป เขาก็รีบกระโดดไปยังบริเวณใกล้เคียงที่มีเพรียงตีนเต่าเจริญเติบโตอยู่ ยื่นมีดวาฬออกมาแล้วสอดแทงเข้าไประหว่างหินโสโครกกับเพรียง


 “หลุดออกมาสิ!” นีลเซ็นตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด เขาแคะเพรียงตีนเต่าที่มีความยาวสิบสี่สิบห้าเซนติเมตรออกมาและรีบยัดใส่ลงไปในกระเป๋าย่ามทันที จากนั้นจึงเล็งเป้าอันต่อไปและใช้มีดเข้าไปแคะมันออกมา


…………………………………………..


บทที่ 103 ปีศาจอาหารทะเล

โดย

Ink Stone_Fantasy

เสียงลมทะเลพัดดังคำราม คลื่นทะเลกำลังกระหน่ำซัดขึ้นมาอีกลูกหนึ่ง คลื่นลูกนี้มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ มีความสูงประมาณห้าถึงหกเมตร โหมซัดเข้ามาอย่างรุนแรง กำลังซัดสาดเช่นนี้ ทำให้มองดูแล้วน่ากลัว


สิ่งนี้คือพลังของธรรมชาติ! ในที่สุดฉินสือโอวก็เข้าใจแล้วว่าชีวิตของเหล่าชาวประมงไม่เพียงแค่มีความสุขเมื่อจับปลาได้และมีความกล้าหาญที่จะออกไปทั่วทุกสารทิศในทะเล แต่พวกเขายังกล้าที่จะเผชิญกับวิกฤตการณ์ของความเป็นความตายในชีวิต


ในเวลานี้ไม่สามารถที่จะอธิบายอย่างเห็นภาพได้ ฉินสือโอวยึดตามที่ได้ตกลงไว้และตะโกนขึ้นมา “เอาขึ้น!”


นีลเซ็นได้ยินเสียงตะโกนจึงรู้ว่ากำลังมีคลื่นลูกใหญ่เคลื่อนที่มา เขาจึงใช้สองเท้าถีบไปที่หินโสโครกและใช้แรงดึงของเชือกปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ได้พยายามหดตัวเพื่อลดพื้นที่ที่จะโดนคลื่นซัดใส่ตัว


พลังจิตของฉินสือโอวสามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ในตอนนี้ได้ ขณะที่เขาพยายามออกแรงดึงเชือก นีลเซ็นรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังขึ้นลิฟต์ เขาถูกดึงขึ้นอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เขาควรจะทำคือการก้าวไปข้างหน้าให้เร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงการชนเข้ากับหินโสโครก


คลื่นทะเลกระทบขึ้นมาบนชายฝั่ง ละอองน้ำทะเลสาดกระเด็นขึ้นสูง ปรากฏเสียงดังครั่นครืนออกมา


“โอ้ว ไอ้ขี้หมา คลื่นลูกใหญ่จริงๆ!” นีลเซ็นเช็ดน้ำทะเลบนหน้าและหันไปหัวเราะอย่างชอบใจ


ทางด้านชาร์คนั้นไม่ได้โชคดีเหมือนกับเขา ชาร์คถูกละอองทะเลซัดสาดไปหนึ่งที หลังจากที่ซีมอนสเตอร์ดึงเขาขึ้นมา เขาก็ฟุบลงบนพื้นและไอออกมา


“เปลี่ยนคนเพื่อน” ฉินสือโอวถอดเสื้อท่อนบนออกทำให้ปรากฏให้เห็นร่างกายที่แข็งแรงของเรา ซึ่งมองเห็นเพียงแค่กล้ามเนื้อหน้าอกสองส่วนที่คล้ายกับแผ่นเหล็กที่ถูกฝังไว้บนหน้าอก ซิกแพกที่มีขนาดเท่าๆกันมีมุมขอบที่ชัดเจน ราวกับก้อนหินใหญ่ถูกขัดอย่างพิถีพิถันจนเป็นเงา ประกอบกับถูกแสงอาทิตย์สาดส่องทำให้ผิวกลายเป็นสีบรอนซ์ จึงไม่อาจจะหักห้ามความมีเสน่ห์ในแบบของผู้ชายได้!


สองพี่น้องฮิวจ์จึงผิวปากออกมาหนึ่งที ฮิวจ์ผู้น้องจึงส่งเสียงพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ฉิน รูปร่างไม่เลวเลย วันนี้ไปเล่นบอลกับฉัน ถึงเวลานั้นนายก็ถอดเสื้อ ฉันกล้าพนันได้เลยว่าต้องมีสาวสวยอย่างน้อยสักหนึ่งโหลติดนายกลับมาด้วย”


“แค่ฉินขับรถคาดิลแลควันก็มีสาวสวยมาติดเป็นโหลแล้ว” ฮิวจ์ผู้พี่หัวเราะชอบใจ


ฉินสือโอวถือโอกาสที่คลื่นลมสงบชั่วคราวเปลี่ยนตัวกับนีลเซ็น เมื่อเขามัดเข็มขัดที่เอวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ลงไปใต้ชายฝั่งทะเล


เมื่อสักครู่นีลเซ็นอยู่ด้านล่างพึ่งจะทำไปได้แค่ห้าหกนาที เก็บเพรียงตีนเต่ามาได้เพียงแค่สิบตัว เจ้าสิ่งนี้ติดแน่นมากเกินไป นอกจากนี้หินก็มีการเจริญเติบโตเช่นเดียวกัน เพรียงทะเลบางส่วนจึงฝังเข้าไปในหิน แบบนี้จึงยากที่จะงัดออกมา


ในตอนนี้ฉินสือโอวก็รู้สึกเซ็งเล็กน้อย จิตสำนึกโพไซดอนจำเป็นต้องมีน้ำเป็นสื่อกลางในการเชื่อมถึงกัน ไม่เช่นนั้นจะไม่มีผลต่อร่างกายของสิ่งมีชีวิต และทุกครั้งที่คลื่นทะเลซัดสาดขึ้นมา เขาจะต้องวิ่งหนีขึ้นไป ไม่เช่นนั้นถ้าหากพวกที่อยู่บนฝั่งเห็นคลื่นซัดเข้ามาที่ตัวเขาแล้วเขากลับไม่เป็นอะไรเลย เช่นนั้นพวกเขาจะไม่รู้สึกประหลาดใจกันเหรอ?


ด้วยเหตุนี้ จิตจำนึกโพไซดอนจึงนำมาใช้ประโยชน์ไม่ได้ ทั้งหมดจึงสามารถทำได้เพียงแค่พึ่งพาฝีมือของเขาเท่านั้น


แต่เขาก็โชคร้ายเช่นกัน ขณะที่เขาพึ่งจะลงไปได้ครู่เดียวก็มีคลื่นทะเลหมุนขึ้นมาอีกครั้ง ปกติแล้วการปรากฏขึ้นของคลื่นทะเลจะมีกฎเกณฑ์ หลังจากที่มีคลื่นใหญ่เคลื่อนที่มากระทบฝั่งแล้วจะต้องผ่านไปอีกหลายนาทีถึงจะมีคลื่นใหญ่มาอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้เป็นข้อยกเว้น


 ฉินสือโอวจำเป็นต้องรีบเรียกนีลเซ็นให้ดึงเขาวิ่งขึ้นไป เมื่อรอให้ละอองคลื่นลดแล้วถึงจะกลับลงไปที่บนผิวน้ำและใช้มีดทหารงัดเพรียงออกมาอีกครั้ง


 เปลือกหอยที่หุ้มเพรียงเกิดจากการรวมตัวของหินปูนที่ซับซ้อน ดูคล้ายกับภูเขาไฟที่ย่อส่วน ภายนอกเป็นสีเทาดำและขาว ในความเป็นจริงแล้วช่างดูน่าเกลียดเหลือเกิน


ท่านหลู่ซวิ่น[1]เคยกล่าวไว้ว่า คนที่กินปูคนแรกคือคนที่กล้าหาญ ฉินสือโอวคิดว่า คนที่กินเพรียงตีนเต่าคนแรกคือคนที่กล้าหาญในหมู่ผู้กล้าหาญ!


 ฉินสือโอวทอดถอนหายใจหนึ่งที จากนั้นก็เริ่มทำงานต่อ เขาหาที่ที่ร่างกายยืนได้มั่นคงและใช้มีดวาฬแทงเข้าไปที่ยอดของเพรียงขนาดใหญ่อย่างแรง ออกแรงกดคมมีดเข้าไปโดยเพิ่มแรงที่ข้อมือ ‘แช้บๆ’ เพียงเวลาสั้นๆฉินสือโอวก็แคะเพรียงขนาดใหญ่นี้ออกมาได้


 “โอ้ว้าว สวยงาม!” ซีมอนสเตอร์ที่อยู่ตรงนั้นสังเกตเห็นท่าทางที่สบายๆของฉินสือโอวจึงร้องตะโกนออกมา


 หู่จือได้คอยจ้องมองฉินสือโอด้วยดวงตาเล็กๆอยู่บนฝั่ง เมื่อเห็นเขายกเพรียงขึ้นมันจึงเห่าออกมาและส่ายหางอย่างเบิกบานใจ “โฮ่งโฮ่ง!”


 เมื่อเห่าเสร็จก็นึกหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบของตัวเองได้ พวกมันจึงใช้ปากกัดไปที่เชือกอีกครั้ง


 พลังของคนมักมีขีดจำกัดอยู่เสมอ โดยเฉพาะการใช้พลังขั้นสูงสุดบวกกับการรักษาการทรงตัวของร่างกาย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง ยิ่งถอยหลังไปก็ยิ่งแคะเพรียงได้ยาก


 เมื่อสักครู่ที่นีลเซ็นแคะเพรียงออกมาตัวแรกก็ยังรู้สึกสบายๆมาก แต่ว่าเมื่อแคะอันสุดท้าย ก็ได้ใช้เวลาไปเต็มๆสี่สิบวินาที


 แรงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและพละพลังของฉินสือโอวนั้นแข็งแกร่งมาก ซึ่งนีลเซ็นไม่สามารถเทียบได้อย่างแน่นอน หลังจากที่แคะอันต่อไปแล้ว เขาจึงพบช่องว่างอยู่ช่องหนึ่ง เขาได้ใช้มีดวาฬทิ่มแทงลงไประหว่างเพรียงและหิน ออกแรงที่ข้อมือแคะเพรียงขึ้นมาได้อีกหนึ่งตัว


 ทางด้านซีมอนสเตอร์พึ่งจะแคะออกมาได้แค่สองตัว แต่ทางด้านฉินสือโอวได้แคะออกมาแล้วสี่ห้าตัว ซีมอนสเตอร์อยากที่จะถอนหายใจให้ผ่อนคลายสักครู่ สุดท้ายแค่เห็นฉินสือโอวแคะ ‘แก๊กแก๊ก’ ก็สามารถเอาออกมาได้แล้วอีกหนึ่งตัว


 ในขณะที่ฉินสือโอวกำลังแคะเพรียงอย่างมีความสุข ด้านหลังก็มีคลื่นทะเลลูกหนึ่งโหมซัดเข้ามาอีกครั้ง ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย จิตสำนึกโพไซดอนจึงแผ่ปกคลุมไปรอบๆน่านน้ำทะเล ในใจของเขาโมโหมาก อยากที่จะทำให้น้ำทะเลสงบลง


 ขณะนั้นเองคลื่นขนาดใหญ่ที่มีพลังรุดหน้ามาอย่างไม่กลัวเกรงก็ได้ร่วงลงอย่างทันทีทันใด และน้ำทะเลก็ลดลงไปภายในชั่วพริบตาเดียว พื้นผิวทะเลที่ถูกจิตสำนึกของโพไซดอนแผ่ปกคลุมก็เปลี่ยนเป็นสงบลงทันที


 น้ำทะเลที่อยู่ด้านหลังยังคงหมุนขึ้นลงอยู่ตลอด แต่ว่าน่านน้ำทะเลที่จิตสำนึกโพไซดอนได้ควบคุมไว้กลับมีคลื่นลมที่สงบ ช่างเป็นเหมือนกับคลื่นหลังกระทบกับคลื่นหน้าของทะเล คลื่นหน้า… เดิมทีไม่มีคลื่นหน้า!


 คนที่อยู่บนฝั่งสี่ห้าคนจึงจ้องมองอย่างทันที แม้แต่ชาร์คที่มีประสบการณ์และความรู้ที่กว้างขวางยังต้องตกตะลึงจนตาค้างและพูดพึมพำออกมา “นี่ นี่เกิดอะไรขึ้น? ทะเลนี่แปลกมากจริงๆ!”


 ฉินสือโอวเอาจิตสำนึกโพไซดอนกลับมา พื้นผิวทะเลที่สงบจึงกลับมาเป็นคลื่นทะเลที่ม้วนขึ้นลงอีกครั้ง ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าจิตสำนึกโพไซดอนสามารถควบคุมสภาวะของน้ำได้


 ฉินสือโอวถือโอกาสในขณะที่คลื่นทะเลยังไม่ม้วนตัวขึ้นแคะเพรียงตีนเต่าออกมาหกเจ็ดตัวด้วยความเร็วอีกครั้ง เมื่อละอองน้ำทะเลเริ่มส่งเสียงซัดสาดเขาจึงร้องตะโกนออกมา จากนั้นนีลเซ็นก็จะออกแรงดึงเขาขึ้นไป


 เมื่อขึ้นไปบนฝั่ง ฉินสือโอวได้เอากระเป๋าย่ามที่ตุงแน่นทิ้งลงไปที่พื้น พาวลิสเทกระเป๋าเอาเพรียงตีนเต่าออกมานับ คิดไม่ถึงว่าจะมีอยู่สามสิบสองตัว ทางด้านซีมอนสเตอร์จึงรู้สึกเก้อเขิน เพราะเขาพึ่งจะแคะขึ้นมาได้แค่ยี่สิบตัว


 การสลับคนทำสองครั้งเช่นนี้ พวกเขาจึงสามารถแคะเพรียงตีนเต่าออกมาได้ถึงเจ็ดสิบตัว ทางด้านสองพี่น้องฮิวจ์อยากที่จะได้บ้าง จึงเริ่มผูกเชือกแล้วลงไปที่ทะเล


 เพรียงตีนเต่าเจ็ดสิบตัว ส่วนใหญ่มีความยาวประมาณยี่สิบกว่าเซนติเมตร หนึ่งตัวมีน้ำหนักห้าร้อยกว่ากรัม หากคิดเป็นมูลค่าคงจะมีราคาเกือบสี่พันยูโร ซึ่งเป็นความมั่งคั่งที่ไม่น้อยเลย!


 ฉินสือโอวคิดคำนวนดูแล้ว คนมีทั้งหมดแปดคน เด็กสี่คนก็คงจะกินได้ไม่เยอะ เพรียงที่ได้มาพวกนี้จึงเพียงพอแล้ว อย่างไรก็ไม่สามารถเก็บให้หมดทีเดียวได้


 ฉินสือโอวโบกมือ สวมเสื้อผ้าและเอ่ยขึ้นว่า “ ทำงานเสร็จแล้ว คนก็รีบไสหัวไปเถอะ”


 ”ว้อท?” ชาร์คและคนอื่นๆมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่เข้าใจว่าที่เขาพูดหมายถึงอะไร


 ฉินสือโอวจึงจำเป็นต้องแปลให้ “ทำงานเสร็จแล้ว คนก็รีบไสหัวไปเถอะ!”


 “โอเค!” คนเหล่านั้นจึงเข้าใจกันแล้ว


 เมื่อกลับมาที่ฟาร์มปลา ฉินสือโอวจึงต่อสายโทรศัพท์หาเออร์บักเพื่อให้เขากลับมากินข้าว จากนั้นก็เข้าไปในครัวเพื่อจัดการกับเพรียงเหล่านี้


 เพรียงตีนเต่าไม่สามารถเอาลงหม้อทำอาหารได้เลย เพราะด้านบนตัวมันเต็มไปด้วยพวกดินทราย หินและสาหร่ายทะเลซึ่งสกปรกเป็นอย่างมาก


 เด็กทั้งสี่คนก็ได้กรูกันเข้ามา ยกถือจานของแต่คนเพื่อแบ่งเพรียง จากนั้นเชอร์ลี่ย์จึงเอ่ยออกมาด้วยเสียงเบาๆ “ฉิน คุณไปทำกับข้าวเถอะ เพรียงพวกนี้เดี๋ยวพวกเราจัดการเอง”


 “ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ” ฉินสือโอวจึงยิ้มขึ้นมา เขาเปิดตู้เย็นและเอาเห็ดหอมป่าแห้งที่เหลือจากครั้งที่แล้วออกมาอย่างไม่มีพิธีรีตอง จากนั้นก็นำไปแช่น้ำ เมื่อใช้ได้แล้วก็เทน้ำมันและเริ่มผัดอาหารที่เป็นของหายากจากภูเขาเมนูนี้


 นอกจากนี้เขายังไปที่ใต้ท่าเรือและคลำหาปูราชินีมาห้าตัว ทุกตัวมีขนาดใหญ่และอ้วนเป็นพิเศษ


 ชาร์คกำลังติดตั้งเตาอบอยู่ที่ลานบ้าน ฉินสือโอวซื้อสเต๊กเนื้อแกะและเนื้อวัวมาจึงให้เขาเป็นคนรับผิดชอบในการอบ


 ชั่วครู่หนึ่งเออร์บักก็กลับมาถึง ฉินสือโอวทักทายเขาและไปทำงานต่อ เชอร์ลี่ย์เป็นคนที่ใส่ใจคนมาก เมื่อเธอเห็นคุณปู่สีหน้าไม่ค่อยดี จึงเอ่ยถามด้วยเสียงเบาๆ “คุณปู่เออร์ เมื่อคืนคุณพักผ่อนไม่เพียงพอเหรอ? คุณไปนอนพักที่ห้องหนูก่อนสักแป๊บนึงก็ได้นะคะ ถ้าถึงเวลากินข้าวแล้วหนูจะไปเรียก”


 เออร์บักหัวเราะออกมา เขาลูบไปที่เส้นผมสวยงามและอ่อนนุ่มของเชอร์ลี่ย์ และพูดออกมาด้วยความเอ็นดู “เด็กดี ฉันไม่เป็นอะไร ช่วงนี้ดูทีวีตอนกลางคืนนานไปหน่อย อย่ากังวลเลย”


 เมื่อผัดเห็ดหอมป่าเสร็จแล้ว เขาก็ได้ทำปลาเก๋าราดซอสและปลาดุกหม้อไฟเพิ่มอีก จากนั้นก็เริ่มทำเมนูหลักในวันนี้ นั่นก็คือเพรียงตีนเต่าที่เขาอยากกินมานานแล้ว


 ของหายากจากทะเลกับของหายากจากภูเขานั้นต่างกัน แต่โดยปกติแล้วทั้งคู่ต่างก็ไม่ต้องการขั้นตอนในการทำที่ซับซ้อนอะไร เพียงแค่ตุ๋นและต้มง่ายๆก็ได้แล้ว ถึงอย่างไรสิ่งที่ต้องการกินก็คือความสดใหม่ของมัน


 โดยเฉพาะวิธีทำอาหารของเพรียงตีนเต่านั้นง่ายมาก ฉินสือโอวโทรศัพท์ไปถามคุณลุงฮิคสันแล้ว คุณลุงบอกกับเขาว่า เจ้าสิ่งนี้ใช้น้ำสะอาดทำเป็นน้ำซุปและกินสดๆก็ได้แล้ว


 ฉินสือโอวใส่ขิงอ่อนลงไปในหม้อเล็กน้อยและใส่เกลือเล็กน้อย หลังจากที่น้ำเดือดแล้ว ก็เอาเพรียงลงไปต้มประมาณสี่ถึงห้านาที


 เจ้าสิ่งนี้มีความสดอร่อยมากในตัวของมันอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องใส่เครื่องปรุงรสใดๆอีก เมื่อรอให้น้ำเดือด กลิ่นรสชาติความสดก็จะลอยมาบนใบหน้า จมูกของฉินสือโอวดมกลิ่นจนรู้สึกเคลิ้ม ขั้นตอนสุดท้ายจึงโรยต้นหอมลงไปเล็กน้อย เมื่อได้กลิ่นหอมเช่นนี้แล้วก็เอาอาหารออกมาจากเตา


 หลังจากที่ฝนตกอากาศของเกาะแฟร์เวลก็สดชื่นมาก ตอนนี้แม้แต่โรงงานสารเคมีก็ไม่มีแล้ว สภาพแวดล้อมของที่นี่ช่างเป็นธรรมชาติและบริสุทธิ์จริงๆเลย


 ลมทะเลพัดผ่านมากระทบบนใบหน้า ความรู้สึกของไอน้ำที่อบอวลไปทั่วทุกสารทิศนั้นช่างยอดเยี่ยม ชาร์คจัดวางเก้าอี้ที่ลานบ้านเรียบร้อยแล้ว บนโต๊ะอาหารที่กลมและใหญ่มีปลาเก๋าราดซอส ปลาดุกหม้อไฟ ผัดเห็ดหอมป่าและเนื้อย่างจานใหญ่วางไว้ และที่สำคัญที่สุดก็คือเพรียงตีนเต่าจานใหญ่ที่วางอยู่ตรงกลางโต๊ะ เมื่อมีอาหารทะเลที่หรูหรางานเลี้ยงใหญ่ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว


 “เริ่มกินได้ สหายทั้งหลาย” ฉินสือโอวพูดด้วยรอยยิ้ม เขาคีบเพรียงตีนเต่าให้กับเด็กทั้งสี่คนนั้นคนละชิ้น และครีบให้กับตัวเองหนึ่งชิ้น จากนั้นก็ดูวิธีการกินจากชาร์คไปพร้อมกับพวกเด็กๆ


 ชาร์คพูดแนะนำออกมาว่า “ดูนะ ส่วนหลังของฟันม้ามีจุดหนึ่งที่เรียกว่า รูเปิด ตรงนี้จะประกอบไปด้วยเปลือกแผ่นหลังสี่แผ่นและแผ่นป้องกันที่สามารถโยกได้ เพียงแค่ออกแรงดึงมันออก เนื้อสดที่มีรสชาติแสนอร่อยก็อยู่ข้างในรอให้พวกเธอไปลิ้มรสแล้ว”


 ดูจากภายนอกแล้วเพรียงตีนเต่านั้นน่าเกลียดและแปลกประหลาดมาก แต่ว่าเนื้อของมันขาวเนียนและอ่อนนุ่ม คล้ายกับไอศกรีมนมแท่งเล็กน้อย แต่ว่ามันนิ่มและอุ่นมาก ฉินสือโอวใช้มีดสำหรับกินอาหารปาดมันออกมาและใส่เข้าไปในปาก เพียงแค่ขบเคี้ยวความอ่อนนุ่มของมัน รสชาติความอร่อยของเนื้อหอยก็แตกละลายในปาก


 …………………………………………………………


[1] หลู่ซวิ่น นักเขียนชาวจีนที่สำคัญคนหนึ่งของคริศต์ศตวรรษที่ 20 โดยมากจะเป็นผู้เขียนวรรณคดีจีนสมัยใหม่รวมทั้งวรรณคดีคลาสสิคจีน


บทที่ 104 ใต้ท้องทะเลอันรุ่งเรือง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะที่ขบเคี้ยวเนื้อของเพรียงอยู่นั้น น้ำที่อยู่ในเนื้ออันสดอร่อยก็แตกกระจายออกมาข้างในปาก ถึงแม้ฉินสือโอวจะคุ้นเคยกับการกินอาหารทะเลเป็นอย่างดี แต่ก็ยังคงคิดว่ารสชาตินี้ยอดเยี่ยมมาก มากจนกระทั่งตัดใจกลืนลงไปไม่ลง


มิน่าล่ะของน่าเกลียดขนาดนี้ยังสามารถขายได้กิโลกรัมละหนึ่งร้อยยูโร คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายจริงๆ


ในความรู้สึก คิดว่าเพรียงตีนเต่าเป็นอาหารทะเลที่มีราคาแพงที่สุด แต่เมื่อมองให้ดีแล้วกิโลกรัมละหนึ่งร้อยยูโรก็ไม่แพงเท่าไร เพราะปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือ หอยเป๋าฮื้อ ปลาจวดและหอยงวงช้าง ต่างก็มีราคาที่สูงกว่าเพรียงตีนเต่ามาก


แต่คุณจะต้องรู้ว่าเปลือกด้านนอกของเพรียงตีนเต่านั้นทั้งหนาและหนัก ในความเป็นจริงแล้วเพรียงตีนเต่าหนึ่งกิโลกรัมสามารถมีเนื้อสดๆออกมาได้หนึ่งร้อยกรัมก็ถือว่าไม่เลวแล้ว!


ฉินสือโอวกินเนื้อเพรียงไปแล้วสองคำ ทันใดนั้นก็หันมาเห็นว่าหลังจากที่เชอร์ลี่ย์แกะเพรียงของตัวเองแล้วก็ได้เอาเนื้อแบ่งให้กับหู่จือและเป้าจือ


เจ้าสองตัวนั้นจะรู้จักการลิ้มรสได้ที่ไหนกัน? สุนัขที่หิวอย่างพวกมันเมื่อกินเข้าไปในปากก็กลืนเข้าไปทั้งอันแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็สามารถชิมความอร่อยของเจ้าสิ่งนี้ได้ หลังจากนั้นพวกมันก็ใช้ลิ้นเลียปากและมองไปที่เชอร์ลี่ย์อย่างเฝ้ารอ


 “สายน้อย ของนี่ไม่มีพิษ ไม่จำเป็นต้องให้สุนัขมาชิม” ซีมอนสเตอร์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามพูดหยอกล้อ


สีหน้าของเชอร์ลี่ย์จึงเขินอายขึ้นมาทันทีทันใด เธอพูดอธิบายด้วยเสียงเบาๆ “วันนี้พวกสุนัขก็ไปช่วยด้วย พวกมันทำงานแล้ว ก็ควรจะได้เสพสุขกับผลลัพธ์จากงานที่ทำ ไม่ใช่เหรอคะ?”


เออร์บักมองเธออย่างชื่นชม เขายิ้มและพูดออกมา “เธอพูดถูก ลูกเอ้ย สิ่งที่เธอทำก็ถูกต้องมาก”


พาวลิสและเด็กคนอื่นๆก็เอาเนื้อเพรียงที่อยู่ในมือแบ่งให้กับสุนัขเช่นกัน หู่จือและเป้าจือจึงดีใจ หมุนซ้ายทีขวาที กินจนลุ่มหลงและเพลิดเพลินในความสุข


เมื่อถึงเวลากินข้าวจะขาดฉงต้าไปไม่ได้เลย เจ้าหมีที่ไม่รู้ว่าตอนเช้าไปหลบอยู่ที่ไหนก็ได้วิ่งมาอย่างรวดเร็วด้วยสี่ขาที่สั้นและเล็ก ส่งเสียงร้อง “โฮก โฮก และกอดไปที่ขาของฉินสือโอวแกว่งไกวไปมา


ฉินสือโอวแคะเนื้อเพรียงออกมาหนึ่งชิ้นและวางไว้ตรงหน้าของฉงต้า ดวงตาที่เล็กของฉงต้าได้จ้องมองจนตาจะกลมเป็นลูกบอลอยู่แล้ว มันอ้าปากอันใหญ่และอยากที่จะกลืนกิน


แต่สุดท้าย ขณะที่มันกำลังจะกัดถึงเนื้อเพรียง ฉินสือโอวก็ได้รีบเก็บกลับมา และค่อยๆวางเข้าไปในปากของตัวเอง เขามองไปที่ฉงต้า หัวเราะและพูดขึ้นว่า “ตอนเช้าแกไม่ได้ทำงาน ดังนั้นจึงไม่เกี่ยวกับแก แกกินสเต๊กเนื้อวัวน่าจะดีกว่า”


ฉงต้ากะพริบตาปริบๆอย่างซื่อบื้อและกลิ้งไปมาอยู่ที่พื้นเพื่ออ้อนวอนขออาหารอย่างไม่ลังเลใจ


มิเชลล์จึงเอาเนื้อเพรียงในส่วนของตัวเองแบ่งให้กับฉงต้า ฉงต้าก็ยังรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย ดูเหมือนมันก็รู้ว่าพฤติกรรมก่อนหน้านี้ที่ได้ทำให้เด็กเหล่านี้ตกใจกลัวนั้นน่าอายมาก มันจึงเข้าไปอย่างช้าๆและคาบเนื้อเพรียงกินลงไป ซึ่งไม่เหมือนกับเวลาที่มันเผชิญหน้ากับฉินสือโอวที่สามารถสู้หน้าได้เต็มที่


แต่ว่าความอร่อยของเพรียงนั้นเอาชนะมันได้อย่างราบคาบ ตุ่มรับรสของหมีสีน้ำตาลเป็นสิ่งที่พัฒนาที่สุดอย่างหนึ่งในบรรดาสัตว์ มันสามารถจำแนกความแตกต่างของรสชาติเลือดระหว่างปลาแซลมอนตัวผู้และปลาแซลมอนตัวเมียได้


ความสดอร่อยของเพรียงได้โจมตีกับตุ่มรับรสของมัน ฉงต้าจึงบ้าไปแล้วจริงๆ มันกรีดร้องและจ้องมองเนื้อเพรียงที่อยู่ในมือของคนสี่ห้าคนจนลานตาไปหมด


ความอยากอาหารของหมีสีน้ำตาลนั้นมีเยอะมากอย่างแน่นอน หากจะให้มันกินอิ่ม เอาเพรียงเหล่านี้ให้มันกินหมดก็คงจะไม่พอ ฉินสือโอวมีวิธีมากพอ เขาเอาเพรียงอันหนึ่งโยนให้มัน ฉงต้าตะครุบเพรียงไว้แล้วยื่นลิ้นออกมาเลีย คิดหาทุกวิถีทางที่จะได้กินเนื้อที่อยู่ข้างใน แต่ทว่ามันแกะออกมาไม่ได้ จะทำอย่างไรก็ไม่สามารถกินได้


พาวลิสกินเพรียงไปแล้วสองตัว และยังคีบเห็ดหอมป่าผัดน้ำมันอีกเล็กน้อย หลังจากที่กินเข้าไปแล้วเขาก็รู้สึกว่าอร่อยยิ่งขึ้น จึงพูดกับพวกเพื่อนๆขึ้นว่า “หึ อันนี้อร่อย หอมมาก หอมกว่าสเต๊กไก่เยอะมาก!”


ในขณะที่พวกเขาเป็นเด็กเร่ร่อนอยู่นั้นก็ได้ตกปลาจับหอยทะเลกิน ดังนั้นจึงไม่ค่อยรู้สึกสนใจกับอาหารทะเลมากนัก แต่เห็ดหอมป่าแบบนี้พวกเขาไม่เคยกินมาก่อน รสชาติจะอร่อยขนาดไหน พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะจินตนาการได้


เมื่อกินดื่มกันจนอิ่มแล้ว เด็กทั้งสี่คนก็ได้ตระหนักที่จะทำความสะอาดด้วยตัวของพวกเขาเอง ฉินสือโอวยกมือปฏิเสธ “พวกเธอไม่ต้องทำงานพวกนี้ เพื่อนทั้งหลาย พวกเธอเป็นเจ้าของของที่นี่ ไม่ใช้คนรับใช้”


“ถ้าไม่มีคนรับใช้ เรื่องต้อนรับแขกไม่ได้เป็นสิ่งที่เจ้าของบ้านต้องทำเหรอ?” กอร์ดอนตอบกลับอย่างเฉลียวฉลาด


เออร์บักตบโต๊ะและเอ่ยออกมา “ทำความสะอาดสิ่งของของตัวเอง เอาแบบนี้แหละ!”


อากาศในช่วงบ่ายยังคงมืดครึ้ม ฉินสือโอวจึงไม่สามารถที่จะออกไปที่ทะเลได้ ถ้าอย่างนั้นก็อยู่บ้านดูทีวีหรือเล่นอินเทอร์เน็ต พวกนีลเซ็นสามคนนั้นรวมตัวเล่นไพ่กัน ส่วนฉินสือโอวก็แชทเล่นในอินเทอร์เน็ต


หนึ่งวันผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ฉินสือโอวขี้เกียจที่จะทำอาหารเย็นจึงให้นีลเซ็นเข้าเมืองไปซื้อพิซซ่าและแซนด์วิชมากิน กินเพื่อประทังชีวิตสักหน่อยก็พอแล้ว


ในช่วงเวลากลางคืนได้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก มีทั้งฟ้าร้องและฟ้าแลบออกมา ฉินสือโอวกังวลว่าเด็กทั้งสี่คนจะหวาดกลัวจึงเรียกพวกเขาเข้ามาในห้องของตัวเองและสอนให้พวกเขาเล่นเกม call of duty (เกมแนวต่อสู้และยิงกัน) จากนั้นก็ได้ผลัดกันเล่น


มิเชลล์ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดใจ ดูผิวเผินเหมือนจะเป็นคนที่ขี้อายและขาดความมั่นใจแต่กลับให้ความสนใจกับของสิ่งนี้มากที่สุด เขาลงมือจัดการได้อย่างรวดเร็วมากซึ่งมีความเลือดเย็นและไร้ความรู้สึกเล็กน้อย เป้าหมายในการเล่นเกม call of duty ของเขาไม่ใช่คือการผ่านด่านแต่เป็นการลงมือไล่ฆ่า ซึ่งเขาจำเป็นต้องไล่ฆ่าทุกคนที่เห็นปรากฏตัวขึ้น จากนั้นถึงจะยอมที่จะผ่านด่านนั้นไป


ฉินสือโอวคิดว่าสภาพจิตใจของมิเชลล์อาจจะมีปัญหา ดังนั้นในเวลาที่เขาไม่ได้เล่นเกมแล้วจึงเข้าไปโอบกอดเขาไว้และเล่นกับฉงต้า หู่จือและเป้าจือ เพื่อพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพจิตใจของเขา


ก่อนเข้านอนจิตสำนึกโพไซดอนของเขาก็ได้ออกไปเดินเล่นในฟาร์มปลา ลมพายุที่มาในครั้งนี้ได้ส่งผลดีต่อฟาร์มปลา น้ำทะเลที่โหมซัดได้พัดพาสาหร่ายทะเลและแพลงก์ตอนลอยมามากขึ้น ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการเพิ่มอาหารปลาให้กับฟาร์มปลา


เขตน่านน้ำของฟาร์มปลาของเขาตั้งอยู่ในกระแสน้ำอุ่นของอ่าวเม็กซิโก กระแสน้ำอุ่นจึงได้ไหลมาอย่างรวดเร็วตามแรงลมพายุของทะเลและพัดพาปลาต่างๆที่เป็นอาหารของปลามาที่ฟาร์มปลาของเขาอีกด้วย


ในตอนนี้ใต้ท้องทะเลน่าจะครึกครื้นมาก สาหร่ายสีน้ำตาล[1]ที่กำลังลอยอยู่ในน้ำจำนวนมากราวกับเป็นป่าไม้ในทะเลได้กลายมาเป็นกำลังหลักในการให้ออกซิเจนกับฟาร์มปลา ให้ที่อยู่อาศัยของแพลงก์ตอนและให้สภาพแวดล้อมที่พึ่งพาได้กับหอยทะเลหลากหลายชนิด


ถึงแม้ว่าสาหร่ายสีน้ำตาลจะดูโอ่อ่าและสวยงาม แต่สิ่งที่สำคัญโดยแท้จริงก็คือมันเป็นสาหร่ายในสกุลSagassum ซึ่งมีหลากหลายสายพันธุ์มีทั้งสีฟ้า สีเขียวและสีน้ำตาล  พวกมันเป็นอาหารของปลาแฮร์ริ่ง เต่า ปลาหมึกกล้วยและปลาหมึกกระดอง ขอเพียงแค่เป็นปลาที่กินพืชเป็นอาหารหรือปลาที่กินอาหารทุกชนิดต่างก็กินพวกมันเป็นอาหาร


เหล่าปูก้ามดาบและปูเสฉวนกำลังปีนไต่อยู่ที่ใต้ท้องทะเล พวกมันจำเป็นต้องขึ้นฝั่งเป็นครั้งคราวเพื่อหายใจ บนชายฝั่งและชายทะเลทุกที่ต่างก็เต็มไปด้วยร่างเงาของพวกมัน


ปลาหมึกกล้วยและปลาหมึกกระดองต่างกระจัดกระจายกันออกไป พวกมันดูเพลิดเพลินไปกับกระแสน้ำในทะเลที่กำลังโหมซัดอยู่เป็นอย่างมาก เพราะว่ากระแสน้ำอุ่นได้พัดพาอาหารมาให้พวกมันมากขึ้นและเป็นโอกาสดีที่พวกมันจะเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่อื่น


เหล่าปลาแฮร์ริ่งและปลาแมกเคอเรลได้ลอยไปลอยมาอยู่ในน้ำอย่างรวดเร็ว พวกมันมีจำนวนเยอะที่สุด ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มและมักจะปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันเป็นกลุ่มปลาหลายพันหลายหมื่นตัว


ปลาค็อดกำลังไล่ล่าฝูงปลาแฮร์ริ่งและปลาแมกเคอเรล พวกมันคือกำลังหลักของฟาร์มปลา ปลาที่กินเนื้อเป็นอาหารอย่างพวกมันเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอยู่ภายใต้การควบคุมให้ดีขึ้นของพลังโพไซดอน การเจริญเติบโตจึงเป็นไปอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษและเป็นธรรมชาติ ซึ่งความต้องการล่าเหยื่อเป็นอาหารก็มากขึ้นเช่นกัน


ฉินสือโอวกำลังมองดูเหล่าปลาค็อดที่โตจนตัวยาวประมาณยี่สิบเซนติเมตรกำลังไล่จับปลาแฮร์ริ่งและปลาแมกเคอเรลเป็นอาหาร หากจะต้องซื้อพวกปลาแฮร์ริ่งอีก จำเป็นต้องให้แน่ใจว่าปลาชนิดนี้มีจำนวนที่มากพอ คงมีเพียงวิธีนี้ที่พวกมันอาจจะสามารถเติบโตได้ ไม่เช่นนั้นในช่วงเวลาที่เป็นลูกปลาก็จะถูกปลาค็อดจับกินไปจนหมด


เมื่อเอาพลังงานโพไซดอนทั้งหมดถ่ายทอดไปที่ในน้ำทะเลของฟาร์มปลาแล้ว ฉินสือโอวก็รู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงและนอนหลับไป


น้ำฝนหยดติ๋งๆ ตลอดทั้งคืน ลมทะเลพัดแรงเป็นอย่างมากในช่วงหลังเที่ยงคืน ฉินสือโอวได้ยินเสียง ’ครืนๆ’ ดังขึ้นอยู่หลายครั้ง ในตอนนั้นไม่ได้สนใจจึงนอนหลับต่อไป เมื่อฟ้าสว่างแล้วจึงได้เดินออกไปดู พบว่าหลังคาของโรงเก็บของห้องหนึ่งถูกลมทะเลพลิกเปิดลอยออกไปแล้ว……


เมื่อฝนตกลมแรงได้ผ่านไปแล้วหนึ่งคืน ในวันนี้อากาศจึงดีขึ้นมาก แต่ทว่าความแรงของลมก็ยังคงสูงมาก คลื่นทะเลที่อยู่ไม่ไกลมากเคลื่อนที่เป็นลูกเข้ามาโหมซัดหาดทรายและซัดเข้ามากระทบกำแพงริมฝั่งจนสะอาด ทำให้เกิดความรู้สึกที่ผวา


ฉินสือโอวไม่ได้สนใจโรงเก็บของและออกไปวิ่งตามปกติ กลับมาก็พบว่าฉงต้าที่ก่อนหน้านี้เล่นสนุกอยู่ที่ห้องรับแขกได้หายไปแล้ว แต่กลับมีกลิ่นหอมโชยออกมาจากในห้องครัว เมื่อเขาเดินเข้าไปดูก็เห็นเชอร์ลี่ย์กำลังทอดไข่และไส้กรอกด้วยท่าทางที่งุ่มง่าม ฉงต้านอนฟุบน้ำลายไหลอยู่ที่ประตู


เห็นได้ชัดว่าเมื่อวานขณะที่เขาทำอาหารอยู่ เชอร์ลี่ย์ได้อยู่ข้างๆและแอบจดจำการใช้เครื่องครัวเหล่านี้อย่างเงียบๆ เธอไม่เพียงแค่ดูวิธีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ยังเรียนรู้วิธีการทอดไข่อีกด้วย


“ฮาย เชอร์ลี่ย์ ของพวกนี้ให้ฉันทำก็ได้ เธอไม่ต้องตื่นเช้าขนาดนี้หรอก” ฉินสือโอวเห็นบนจมูกของเชอร์ลี่ย์เต็มไปด้วยเหงื่อจึงลากเธอออกมาด้วยความสงสาร เขารู้ว่าเธอไม่ได้เหนื่อยแต่เธอรู้สึกตื่นเต้น เพราะว่าสาวน้อยพึ่งใช้เครื่องครัวแบบนี้เป็นครั้งแรกในการทำอาหารเช้า


เขาถือโอกาสฉีกกระดาษทิชชูสามสี่แผ่นเช็ดปากที่เต็มไปด้วยน้ำลายให้กับฉงต้าไปด้วย


เชอร์ลี่ย์ยิ้มเล็กน้อยและพูดขึ้นว่า “เมื่อคืนนอนหลับสนิทมาก เตียงนอนสบายมาก ผ้าห่มก็นุ่มนวลมาก หมอนก็นิ่ม เพราะแบบนี้เลยทำให้ตื่นเช้า ทุกวันนอนแค่แปดชั่วโมงก็เยอะมากแล้ว”


ในตอนเช้าเธอน่าจะตื่นนอนเวลาไล่เลี่ยกันกับฉินสือโอว หลังจากที่ฉินสือโอวออกไปวิ่ง เธอก็ไปที่ห้องครัวเตรียมอาหารเช้า ในตอนนี้แผ่นขนมปังร้อนได้ที่แล้ว สลัดผลไม้ก็คลุกเคล้าเสร็จแล้ว ไข่ทอดและไส้กรอกก็ได้ทำไว้แล้วหนึ่งจาน โดยพื้นฐานก็ถือว่าทำเสร็จหมดแล้ว


“คือหนูทำกับข้าวไม่ค่อยเป็น ไข่ทอดก็เลยไหม้ไปหมดแล้ว” เชอร์ลี่ย์พูดด้วยความเศร้าอีกครั้ง


ฉินสือโอวล้างมือและหยิบไข่ทอดเข้าปากหนึ่งชิ้น และแสร้งพูดอย่างแปลกประหลาดใจขึ้นว่า “ไม่นะ ไม่ไหม้เลย รสชาติอร่อยมาก ทั้งหอมและนุ่ม เธอมีพรสวรรค์ในการทำอาหารมาก”


“ใช่เหรอคะ” เชอร์ลี่ย์ยิ้มออกมาอย่างหวานชื่น


จากนั้นคนอื่นๆก็ทยอยกันตื่น ในขณะที่กินข้าวเช้า ฉินสือโอวก็ได้พูดออกมา “อาหารเช้ามื้อนี้เชอร์ลี่ย์เป็นคนเตรียมให้กับพวกเธอ ดังนั้น พ่อหนุ่มทั้งหลาย ก่อนกินอยากจะพูดอะไรหน่อยไหม?”


พาวลิสกอดเชอร์ลี่ย์หนึ่งทีและเอ่ยขึ้น “ขอบคุณนะน้องสาว”


กอร์ดอนทำหน้าตาตลกๆและเอ่ยออกมาว่า ”อร่อยมากเลย ฉันชอบมาก ขอบคุณเชอร์ลี่ย์มากๆ”


มิเชลล์เป็นคนที่มีจิตใจดีที่สุด เขายิ้มอย่างเหนียมอายและเอ่ยขึ้นว่า “พี่เชอร์ลี่ย์ พรุ่งนี้ผมจะทำอาหารเป็นเพื่อนพี่”


ฉินสือโอวจึงรีบยกมือและเอ่ยขึ้นมาว่า “ไม่ต้องไม่ต้อง อาหารเช้าฉันเป็นคนเตรียมก็ได้ พวกเธอนอนหลับให้สบายก็พอแล้ว”


………………………………………….


[1] สาหร่ายสีน้ำตาล (Macrocystis pyrifera) สาหร่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก


บทที่ 105 อากาศไม่ดีเหรอ? อากาศดี

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากที่ชาร์คและซีมอนสเตอร์มาถึงและเห็นโรงเก็บของที่ถูกลมพลิกเปิดลอยออกไปจึงเกาศีรษะ  จากนั้นก็ไปหาฉินสือโอวเพื่อปรึกษาว่าจะซ่อมแซมอย่างไร


ในความหมายฉินสือโอวคือให้หาคนมาซ่อมแซมก็ได้แล้ว ชาร์คจึงเอ่ยออกมาว่า “ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็สามารถทำเองได้ อีกสักพักผมจะเข้าไปในเมือง ไปหาไม้กระดานและเครื่องมือ พวกเราสี่คนทำแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว”


สุดท้ายในขณะที่ชาร์คเข้าไปในเมืองเพื่อไปซื้อไม้กระดานและเครื่องมือมาซ่อมแซม ฉินสือโอวก็เห็นเรือเล็กลำหนึ่งปรากฏขึ้นอยู่กลางทะเลที่ไม่ไกลนัก มีคนสามสี่คนกำลังเหยียบกระดานสกีตะโกนเสียงเล็กเสียงใหญ่เล่นสกีน้ำกันอยู่


ฉินสือโอวรู้สึกแปลกใจจึงเอ่ยถามขึ้น “อากาศแบบนี้เล่นสกีน้ำได้ด้วยเหรอ? อันตรายมากไหม?”


นีลเซ็นหัวเราะและเอ่ยขึ้นว่า “ไม่มีปัญหาบอส อากาศแบบนี้เหมาะกับการเล่นสกีน้ำที่สุด ในความเป็นจริง คุณดูสิ ตอนนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงก็อาทิตย์ก็อบอุ่นมาก และลมทะเลก็ไม่แรงมาก สามารถพัดกำแพงน้ำขึ้นไปได้สี่ห้าเมตรพอดิบพอดี ไม่มีพวกคลื่นหมาบ้าอะไรพวกนั้น เป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการเล่นสกีน้ำเลย”


ฉินสือโอวยังไม่เคยเล่นสกีน้ำมาก่อนเลย เคยเห็นแต่ในหนังที่แก๊งหนุ่มหล่อเล่นของสิ่งนี้ด้วยความเท่ ตอนนี้อากาศมาอยู่ตรงหน้าแล้ว พวกเขาจะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร? เขาจึงโบกมือและเอ่ยถามขึ้น “นีลเซ็น นายเล่นสกีเป็นไหม? พวกเราก็ไปเล่นด้วยสิ”


“คุณมีกระดานสกีไหม? หรือมีกระดานโต้คลื่นไหม?” นีลเซ็นมองมาที่ฉินสือโอวแล้วหัวเราะ ในบางครั้งเขาก็คิดว่าเจ้านายคนนี้เหมือนกับเด็กน้อยไม่มีผิด คิดจะออกไปก็ต้องออก


ฉินสือโอวควักกระเป๋าสตางค์ออกมาแกว่งและเอ่ยขึ้นว่า “ฉันไม่มีกระดานสกีและก็ไม่มีกระดานโต้คลื่น แต่ว่าฉันมีบัตรเครดิต!”


ในเมืองมีอุปกรณ์สำหรับเล่นสกีเหล่านี้ขาย ฉินสือโอวกับนิวเซ็นจึงขับรถเข้าไป แค่เจ้าของร้านเห็นพวกเขาเดินเข้ามาก็เอ่ยออกมาว่า “ถ้าจะซื้อกระดานสกี ทางร้านผมจะมีอยู่ห้าแบบ มีแบบเป็นกระดานสกีจั๊มปิ้ง กระดานสกีสลาเล็ม กระดานสกีทริก กระดานสกีเวก และกระดานสกีนีล วัสดุทำมาจากแผ่นกระดานไม้ แผ่นกระดานไฟเบอร์กลาส แผ่นโฟมพลาสติกโพลีสไตรีนและโลหะเบา ฉิน คุณจะเลือกแบบไหน?”


“ถ้าหากอยากจะซื้อกระดานโต้คลื่น (surfboards) ร้านผมจะมีแบบ บอร์ดยาว (long board) บอร์ดสั้น (short board) บอร์ดแบบกัน (gun board) ซอฟต์บอร์ด (soft board) และบอร์ดแพ (floating raft) แต่ว่าวัสดุจะมีแค่แบบแผ่นโฟมพลาสติกโพลีสไตรีน คุณลองดูนะว่าอยากซื้อแบบไหน”


ฉินสือโอวหัวเราะและพูดออกมา “คุณตอบสนองเร็วมากจริงๆ ผมอาจจะเข้ามาถามทางก็ได้นะ? คุณแน่ใจเหรอว่าพวกเราจะมาซื้อกระดานสกีและกระดานโต้คลื่น?”


เจ้าของร้านหัวเราะชอบใจ “อากาศแบบน้ำเป็นช่วงอากาศทองที่จะเล่นสกีน้ำ คุณไม่พลาดโอกาสนี้ไปหรอก ใช่ไหม? สำหรับการถามทางนะเหรอ? อย่ามาล้อเล่นกับผมเลยเพื่อน เมืองแฟร์เวลเล็กเท่าเม็ดงาขนาดนี้ คุณยังจะมาถามทางกับผมอีกเหรอ?”


ฉินสือโอวดูแล้ว กระดานสกีคือกระดานที่เอาไว้สำหรับเล่นสกีในน้ำ ปกติแล้วมีห้าแบบตามที่เจ้าของร้านได้บอกมา แต่ละแบบก็มีประสิทธิภาพเป็นของตัวเอง มีความยาวสั้นกว้างหนาไม่เหมือนกัน


ปกติกระดานมาตรฐานคือกระดานที่ทำจากวัสดุไม้ย้อนยุคหรือวัสดุไฟเบอร์กลาส ความยาวอยู่ระหว่างร้อยเจ็ดสิบถึงร้อยแปดสิบเมตร ส่วนความกว้างจะอยู่ที่สิบห้าถึงสิบแปดเซนติเมตร


เมื่อก่อนดูในโทรทัศน์หรือในภาพยนตร์ ฉินสือโอวคิดว่ากระดานสกีน้ำมีสองกระดาน เมื่อมาดูใกล้ๆถึงได้รู้ว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ด้านบนของของสิ่งนี้จะมีส่วนที่เป็นคล้ายๆกับรองเท้าหนังติดไว้แน่น ด้านหน้ากระดกงอนขึ้นเล็กน้อย ส่วนฐานทั้งหมดมีโครงรับน้ำหนัก สามารถเพิ่มความมั่นคงในการไถลไปข้างหน้า


ฉินสือโอวให้เจ้าของร้านช่วยแนะนำบ้างเล็กน้อย เจ้าของร้านจึงเริ่มพูดเสนอสินค้าออกมา


“สำหรับกระดานสกีผมแนะนำให้คุณซื้อเป็นแบบวัสดุไฟเบอร์กลาส เพราะว่าเป็นวัสดุที่แข็งแรงที่สุด ไม่ต้องกลัวว่าน้ำจะทะลุเข้าไป ราคาสมเหตุสมผล ถ้าจะเลือกยี่ห้อ ที่นี่จะมียี่ห้อนกดำและยี่ห้อวัวน้ำ นี่เป็นสองยี่ห้อที่มีชื่อเสียงที่สุดในแคนาดา คุณภาพแข็งแรงมากแน่นอน ราคาอยู่ระหว่าง 400 ถึง 1000 ดอลลาร์แคนาดา”


“และแน่นอนถ้าคุณชอบแบบสไตล์ย้อนยุค ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องเลือกกระดานวัสดุไม้ ในนี้ผมจะแนะนำ ยี่ห้อมิสเตอร์คาร์สัน ผมคิดว่าคุณเดาถูกแล้ว ฮ่าฮ่า กระดานไม้พวกนี้ผมเป็นคนประดิษฐ์ขึ้นเอง คุณภาพไม่มีปัญหา ทั้งหมดต่างเป็นไม่เมเปิ้ลเกรดดี ด้านนอกทาสีและแว็กซ์ซ้ำแล้ว ราคาถูก ส่วนใหญ่ราคาไม่ถึง 200 ดอลลาร์”


กระดานสกีจั๊มปิ้ง กระดานสกีสลาเล็ม กระดานสกีทริก กระดานสกีเวก และกระดานสกีนีล กระดานสกีน้ำทั้งห้าแบบนี้ แต่ละแบบก็มีประสิทธิภาพของตัวมันเอง ฉินสือโอวไม่ได้ขาดเงิน จึงเลือกกระดานสกีน้ำยี่ห้อวัวน้ำมาหนึ่งกระดาน  กระดานแบบนี้มีคุณภาพที่น่าเชื่อถือที่สุด เป็นทางเลือกพิเศษสำหรับนักเล่นสกีน้ำที่มีประสบการณ์สูง


“ร้านของคุณมีแบบไซส์เล็กไหม?” หลังจากที่ซื้อเสร็จฉินสือโอวได้เอ่ยถามขึ้น “ที่บ้านผมยังมีเด็กเล็กอีกสี่คน ผมต้องซื้อให้พวกเขาสักชุดหนึ่ง”


ถ้าหากจะบอกว่าลูกค้าคือพระเจ้า เช่นนั้นในสายตาของคาร์สัน ฉินสือโอวคือพระเจ้าที่รักเขามากที่สุด กระดานสกียี่ห้อวัวน้ำราคาไม่ใช่ถูกๆ


กระดานสกีที่ฉินสือโอวเลือกก็คือ กระดานสกีจั๊มปิ้ง โดยผลิตจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ในร้านของคาร์สันมีเพียงกระดานเดียว ซึ่งมีราคา 3400 ดอลลาร์แคนาดา กระดานสกีสี่กระดานที่เหลือที่ทำมาจากวัสดุไฟเบอร์กลาส ราคาได้ลดลงมาเยอะมาก โดยกระดานสกีสลาเล็มราคา 900 ดอลลาร์แคนาดา กระดานสกีทริกราคา 700 ดอลลาร์แคนาดากระดานสกีเวกและกระดานสกีนีลราคา 600 ดอลลาร์แคนาดา


กระดานสกีจั๊มปิ้ง เป็นกระดานสกีที่แพงที่สุดในบรรดากระดานสกีด้วยกัน การออกแบบของมันจะสะดวกต่อการเร่งความเร็วของนักเล่นสกีน้ำและความมั่นคงบนพื้นผิวน้ำและอากาศ เหมาะสำหรับให้ผู้เริ่มฝึกเล่นสกีน้ำใช้ ผู้เริ่มต้นฝึกสามารถสไลด์เล่นสกีในน้ำได้อย่างง่าย การใช้วัสดุคาร์บอนที่หายากเช่นนี้ กระดานสกีจึงแข็งแรง ทนทานและไม่ทำให้ผู้เล่นได้รับบาดเจ็บ


เมื่อได้ยินคำพูดของฉินสือโอว คาร์สันจึงเกาศีรษะและเอ่ยขึ้นว่า “ขนาดเล็กก็มี แต่มีแค่วัสดุไม้ที่ผมทำเอง หนึ่งชุดขายเพียง 850 ดอลลาร์แคนาดา ถ้าขายให้คุณจะลดเศษให้เหลือแค่ 800 ดอลลาร์แคนาดา”


ปัจจุบันเศรษฐกิจตกต่ำ การค้าขายไม่ค่อยดีนัก เกาะแฟร์เวลก็ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว ร้านเล็กๆของคาร์สันจึงค้าขายไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เตรียมกระดานสกีที่มียี่ห้อสำหรับให้เด็กใช้มาขาย  เพราะว่าชาวประมงเก่าทุกคนสามารถทำกระดานสกีน้ำได้หมด จึงไม่เป็นต้องซื้อ


ฉินสือโอวพยักหน้า “ได้ เอามาให้ผมสี่ชุด”


คาร์สันเกือบจะสำลักน้ำลาย เขานี่ช่างรวยจริง จะดีขนาดไหนถ้าเจอลูกค้าแบบนี้ทุกวัน? แต่คาร์สันไม่ใช่คนที่ขาดจิตสำนึกในการค้าขายจึงพูดอธิบายออกมาว่า “คุณซื้อชุดเดียวก็ได้แล้ว ให้พวกเด็กๆผลัดกันเล่น ไม่ต้องซื้อสี่ชุดหรอก”


ฉินสือโอวคิดแล้วคิดอีก ก็จริงอย่างที่เขาว่า ถ้าเช่นนั้นก็ซื้อแค่หนึ่งชุดและก็ไม่รู้ว่าพาวลิสเด็กทั้งสี่คนนั้นจะชอบไหม


เขาจึงซื้อกระดานสกีน้ำที่เป็นแบบกระดานโต้คลื่น เริ่มแรกสามารถใช้กระดานโต้คลื่นที่มีความยาวได้ถึงห้าเมตร น้ำหนักประมาณห้าหกสิบกิโลกรัม วัสดุทำจากไม้โดยเฉพาะ และปกติจะเป็นไม้เนื้อแข็ง อาทิเช่น ไม้เนื้อแดงและไม้ฮอร์นบีม


หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้พัฒนาขึ้นจึงมีแผ่นโฟมพลาสติกโพลีสไตรีนปรากฏออกมา กระดานแบบนี้จะมีมวลน้ำหนักเบากว่ากระดานไม้ ลอยบนน้ำได้ดี แข็งแรงทนทานยิ่งขึ้นและมีความเป็นรูปร่างมากขึ้น ดังนั้นจึงนำมาใช้แทนกระดานไม้และเป็นที่นิยมในตลาดมากกว่า


ปัจจุบันรูปทรงของกระดานโต้คลื่นก็มีการแก้ไขเช่นกัน มีการลดขนาดความยาวลง ปกติแล้วจะยาวไม่เกินสามเมตร


ฉินสือโอวก็ได้ซื้อหนึ่งชุดซึ่งมีห้ากระดาน ทุกกระดานล้วนเป็นยี่ห้อวัวน้ำเหมือนกันหมด ซึ่งบริษัทนี้เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ทางทะเลที่มีชื่อเสียงในอเมริกาเหนือบริษัทหนึ่ง


สิ่งของที่ทำออกมาจะแสดงถึงความเป็นมนุษย์ได้เป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าราคาจะสูงเล็กน้อย หนึ่งชุดราคาเกือบสี่พันดอลลาร์แคนาดา แต่ทว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปแน่นอน


กระดานโต้คลื่นยี่ห้อวัวน้ำทั้งเบาและแบน มีการออกแบบในสไตล์ที่แหวกแนว ด้านหน้าและด้านหลังแคบและเล็กเล็กน้อย ข้างใต้ของด้านหลังจะมีครีบที่สามารถใช้ประโยชน์ในการให้ความมั่นคงได้ นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มแรงเสียดทาน ทางโรงงานยังได้เคลือบแวกซ์และอนุภาคคาร์บอนหุ้มพื้นผิวด้านนอกไว้ สิ่งนี้คือกระดานฝีมือมนุษย์ที่ไม่มีใครเทียบเทียมได้


กระดานสกีนี้หนึ่งชุดราคา 5600 ดอลลาร์แคนาดา อีกหนึ่งชุดราคา 800 ดอลลาร์แคนาดา กระดานโต้คลื่นราคา 3800 ดอลลาร์แคนาดา ด้วยเหตุนี้ราคาทั้งหมดจึงเป็น 10200 ดอลลาร์แคนาดา และเศษด้านหลัง 200 ดอลลาร์แคนาดาก็ได้ตัดทิ้งไป คาร์สันจึงได้กดเครื่องรูดบัตรในจำนวน 10000 ดอลลาร์แคนาดา และยังแถมกางเกงขาสั้นสองตัวกับชุดว่ายน้ำเด็กสี่ตัวให้กับฉินสือโอว


เมื่อกลับมาถึงฟาร์มปลา ฉินสือโอวก็เริ่มเตรียมตัว เด็กทั้งสี่คนดูโทรทัศน์อยู่ที่ห้องรับแขกอย่างเป็นเด็กดี ฉินสือโอวจึงเรียกให้พวกเขาออกมาและเอากระดานสกีน้ำยัดให้แต่ละคน ส่วนกระดานโต้คลื่นใช้ด้วยกัน เมื่อวางอุปกรณ์ทั้งหมดไว้ที่หาดทรายฉินสือโอวจึงเอ่ยถามขึ้นมา “พวกเธอเล่นสกีน้ำเป็นไหม?”


เด็กทั้งสี่คนส่ายหัวอย่างเศร้าใจ ฉินสือโอวจึงหัวเราะอย่างชอบใจ “ฉันก็เล่นไม่เป็น ถ้างั้นพวกเรามาเรียนด้วยกันเถอะ”


หลังจากที่ชาร์คกับซีมอนสเตอร์กลับมา ฉินสือโอวก็ไม่ให้พวกเขาซ่อมแซมหลังคาเช่นกัน คิดว่าหลังจากที่เล่นสกีน้ำแล้วค่อยว่ากันอีกที เพราะพวกเขาต่างก็เป็นนักเล่นสกีน้ำฝีมือดี


ในตอนที่นีลเซ็นอยู่ในกองกำลังพิเศษฉุกเฉินก็ได้รับการฝึกเฉพาะทางมา เพราะว่าทหารกองกำลังพิเศษมักจะยกพลขึ้นบกบริเวณชายหาดและซุ่มดูฝ่ายศัตรู  มักจะต้องใช้พวกกระดานสกีน้ำ ดังนั้นฝีมือของเขาคงจะยอดเยี่ยมมากแน่นอน


ตามปกติแล้ว การเล่นกีฬาโต้คลื่นต้องให้นักกีฬานอนคว่ำหรือคุกเข่าบนกระดานโต้คลื่นก่อน และพายไปยังที่ที่มีคลื่นทะเลพอเหมาะจากนั้นก็ยืนขึ้นเพื่อเริ่มเล่น


แต่ว่าการทำเช่นนี้ทำให้เสียเวลามาก นีลเซ็นเพียงแค่ต้องการแสดงให้ดูกีฬาโลดโผนชนิดนี้ ดังนั้นเขาจึงให้ชาร์คขับเจ็ตสกีเข้าไปในทะเลไกลประมาณสามสี่ร้อยเมตร และเมื่อเห็นสันคลื่นที่เหมาะ เขาจึงขึ้นเหยียบบนกระดานสกีแบบกันและลงไปในน้ำ โดยไม่ใช้พละกำลังของเจ็ตสกีเข้าช่วย แต่ใช้กระแสของน้ำที่ไหลเพื่อเริ่มลื่นไถลไปข้างหน้า


ซีมอนสเตอร์จึงอธิบายให้พวกเขาฟังว่า “ปกติแล้วกระดานสกีน้ำแบบกันจะมีความบางและแคบ ใช้เฉพาะเวลาที่มีลมคลื่นแรงและสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเหมาะสมกับการใช้ที่ฮาวาย ที่โตฟิโนของรัฐบริติชโคลัมเบีย เอนซินีทัสในรัฐแคลิฟอเนียร์และที่โมรอคโค แต่ว่าถ้าไม่ใช่มืออาชีพ ไม่ว่าจะที่ไหนก็อย่าใช้กระดานสกีน้ำแบบนี้เล่น”


นีลเซ็นได้สาธิตวิธีการเล่นโต้คลื่นที่สวยงามให้กับฉินสือโอวและคนอื่นๆได้ดู เพียงแค่เห็นความคล่องแคล่วแข็งแรงของร่างกายเขาขยับไปมาท่ามกลางคลื่นทะเลราวกับมังกร สองเท้าของเขาเหยียบลงบนกระดานโต้คลื่นไว้แน่น สองขางอเล็กน้อย ร่างกายเป็นศูนย์กลางของแรงถ่วงในการขึ้นสูงหรือลงต่ำ เช่นนี้กระดานโต้คลื่นก็เหมือนกับมีชีวิต นำพาเขาเลื้อยตามคลื่นไปตลอดทางอย่างราบรื่น


ฮิวจ์ผู้น้องและคนอื่นๆที่อยู่ไกลออกไปก็เห็นความเป็นมืออาชีพของนีลเซ็น จึงพากันขึ้นเรือและขับเข้ามา ปรบมือและส่งเสียงโห่ร้องอย่างชอบใจออกมา


ถึงแม้ว่าคลื่นทะเลจะมีทั้งเล็กและใหญ่ แต่ทั้งหมดต่างก็จำยอมให้กับนีลเซ็น เขาเหมือนกับขี่พญามังกรในเจ็ดสมุทรที่สามารถเลื้อยอยู่บนคลื่นได้ตลอด และเคลื่อนตัวมาตามคลื่นทะเลที่หมุนขึ้นลงอยู่ในอากาศค่อยๆเข้ามาใกล้ชายหาดอย่างช้าๆ


คลื่นลูกใหญ่ลูกสุดท้ายได้โหมซัดขึ้นมา เขาจึงตีลังกากลับหลังหนึ่งครั้ง!


และแน่นอนบนคลื่นทะเลที่ทรงพลังเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนตีลังกากลับหลังและยังสามารถยืนอยู่บนกระดานโต้คลื่นได้อย่างมั่นคง นั่นไม่ใช่คนแต่เป็นปีศาจ การที่นีลเซ็นได้ลงไปโต้คลื่นในน้ำ จำเป็นที่จะต้องบอกว่า ท่วงท่านี้ช่างเท่ระเบิดมากเลยจริงๆ!


 ………………………………………………………


บทที่ 106 ควบคุมคลื่นทะเล

โดย

Ink Stone_Fantasy

สุดท้ายนีลเซ็นก็หนีบกระดานโต้คลื่นเดินยิ้มแป้นขึ้นมาบนฝั่งจากไกลๆ และได้ตะเบ๊ะให้กับฉินสือโอวหนึ่งที


ฉินสือโอวจึงตะเบ๊ะกลับอย่างน่าเกรงขามหนึ่งทีและเอ่ยออกมาว่า “ทหาร! พัก รีบไสหัวมา และสอนฉันโต้คลื่นให้ดี!”


ท่าทางที่นีลเซ็นบังคับคลื่นนั้นช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ฉินสือโอวคิดว่าถ้าหากตัวเองมีความสามารถแบบนั้นเหมือนกัน ถ้าเช่นนั้นคงเอาชนะหัวใจวินนี่ได้อย่างง่ายดาย


เมื่อวิ่งขึ้นมาแล้วนีลเซ็นจึงยิ้มแป้นและเอ่ยขึ้นว่า “แบบนั้นคงไม่ได้หรอกบอส คุณเรียนการเล่นสกีน้ำก่อนจะดีกว่า จากนั้นค่อยว่ากัน ถ้าเล่นโต้คลื่นเลย จะไม่เหมาะสมกับมือใหม่อย่างคุณ”


“ทัศนคติการบริการของนายแย่มาก โบนัสอาทิตย์นี้ของนายไม่มีแล้ว” ฉินสือโอวทำท่าทางเอือมระอาใส่เขา


นีลเซ็นจึงแบมือออกอย่างจนปัญญาและเอ่ยออกมาว่า “ไม่ บอส คุณไม่เห็นคุณค่าความหวังดีของผม ข้าวยังต้องกินทีละคำเลย แม้ว่าบอสจะมีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดและต้องเรียนรู้การโต้คลื่นได้อย่างเร็วแน่นอน แต่ว่า……”


เขามองไปรอบๆ และเห็นสีหน้าที่อิจฉาของเด็กทั้งสี่คนจึงมีเหตุผลที่จะสวนกลับทันที “แต่ว่าพวกเด็กๆทำไม่ได้นะ คุณจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับพวกเขา ทุกอย่างเริ่มมาจากพื้นฐาน ตึกสูงระฟ้าไม่มีฐานตึกก็ไม่ได้นะ”


ฉินสือโอวหัวเราะออกมาอย่างชอบใจและเอ่ยขึ้นว่า “พูดได้ดี ประจบสอพลอเก่ง ถือว่านายตอบสนองได้เร็ว ยังให้โบนัสนายแล้วกัน”


การเล่นสกีน้ำนั้นง่ายขึ้นมาบ้างเล็กน้อยซึ่งตรงข้ามกับการโต้คลื่น หากพูดอย่างตรงไปตรงมา กีฬาสกีน้ำคือกีฬาที่คนอาศัยกำลังลากบนผิวน้ำในการแล่นทวนน้ำ แต่ถ้าหากเป็นการโต้คลื่น จะต้องสามารถบังคับคลื่นทะเลด้วยตนเองได้ ไม่อาศัยแรงจากภายนอก!


นีลเซ็นให้ฉินสือโอวเปลี่ยนมาใช้กระดานสกีจั๊มปิ้งที่ซื้อมาในราคาสูงกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันหยวน จากนั้นเขาจึงอธิบายวิธีการใช้เล็กน้อย “แม้ว่าสกีน้ำจะมีท่วงท่าที่พลิกแพลงไปได้มากมาย แต่อย่ารีบที่จะใช้มัน ต้องควบคุมจุดรับน้ำหนักของคุณก่อน โค้งตัวไปข้างหน้า ยกก้นขึ้น เข่างอเหมือนแบบที่ผมทำ……”


“สิ่งที่สำคัญที่สุดของกีฬานี้คือการอาศัยแรง เพราะว่าคุณพึ่งพาเจ็ทสกีในการลากไปข้างหน้า คุณเอาพลังทั้งหมดมาทรงตัวให้มั่นคงก็พอแล้ว การเคลื่อนที่ไปข้างหน้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ็ทสกี……”


“คลื่นทะเลมีทั้งเล็กและใหญ่ ดังนั้นร่างกายจะมีแรงสะบัดทั้งมากและน้อย และจุดนี้สำคัญมาก ถ้าเคยขี่ม้าก็จะรู้ เวลาขี่ม้าอย่าทำร่างกายแข็งทื่ออยู่บนม้าเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นกระดูกอาจจะหักได้! คุณจะต้องปรับจุดศูนย์ถ่วงและท่วงท่าให้สูงกว่าปกติ ให้ตัวเองและม้าวิ่งไปด้วยกัน การเล่นสกีน้ำก็เช่นกัน ต้องเขย่าตัวไปตามคลื่นทะเล……”


“มาเลย มาเริ่มฝึกกันก่อน ยึดตามที่ผมนับนะ……”


ด้วยเหตุนี้ ฉินสือโอวและเด็กทั้งสี่คนจึงได้ยืนอยู่บนกระดานสกีที่บริเวณหาดหาย นีลเซ็นที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็ทำจังหวะแกว่งร่างกายไปพลางและนับเลขไปพลาง


“หนึ่งขึ้นสองลง หนึ่งขึ้นสองลง หนึ่งขึ้นเร็วสองลงให้หนัก หนึ่งขึ้นช้าสองลงให้เบา หนึ่งขึ้นสองก็ขึ้นติดต่อกัน หนึ่งลงสองก็ลงอีกครั้ง……”


ฉินสือโอวตั้งใจเรียนรู้ท่าทางของนิวเซ็นมาก แต่ว่าเขาคิดว่ามันแปลกๆ กิริยาท่าทางเช่นนี้เหมือนกับเป็ดกำลังส่ายก้นมากเลย


ทางด้านชาร์คและซีมอนสเตอร์ก็หัวเราะจนท้องแข็ง ในมือของทั้งสองคนได้ถือโทรศัพท์มือถือและถ่ายท่าทางทั้งหมดของฉินสือโอวไว้


“เชี่ย ไอ้เวรอย่างพวกนายกล้าเล่นฉันเหรอ?” ฉินสือโอวพาลโกรธ อับอายต่อหน้าคนของตัวเองไม่เท่าไร แต่ไอ้ฮิวจ์ผู้น้องได้หัวเราะจนคุกเข่าลงไปบนพื้นเรือแล้ว


นีลเซ็นหัวเราะและขึ้นไปบนเทพเจ้าสายฟ้ามืด เขาโยนเชือกลากสายยาวที่มีที่จับสามเหลี่ยมให้กับฉินสือโอวและเอ่ยขึ้นว่า “หลังจากที่ลงเรือแล้ว ผมจะควบคุมความเร็วในการวางเชือก ถ้าคุณยังปรับตัวไม่ได้ ต้องรีบบอกนะ จำไว้”


“นายจะได้ยินกับผีอะไร!” ฉินสือโอวพูดอย่างอารมณ์เสีย เพราะไม่เพียงเสียงของคลื่นทะเลที่คำรามเสียงดัง ยังมีเสียงของเจ็ทสกีที่ดังสั่นสะเทือน เขาคงต้องใช้เครื่องกระจายเสียงในการตะโกน


เมื่อขับเจ็ทสกีออกมาถึงบริเวณกลางทะเล นีลเซ็นก็ได้หยุดลงและให้ฉินสือโอวลงไปจับที่ท้ายเจ็ทสกีไว้ หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆเพิ่มความเร็ว สองเท้าของฉินสือโอวเหยียบลงไปบนพื้นน้ำ และเคลื่อนที่ไปข้างหน้าพร้อมกับเจ็ทสกี


คำเตือนที่นีลเซ็นพึ่งจะพูดนั้นถูกต้องมาก คนที่เล่นสกีน้ำครั้งแรก เมื่อลงไปในน้ำจะรู้สึกตื่นเต้นง่าย แม้ว่าฉินสือโอวจะนึกถึงจิตสำนึกโพไซดอน แต่ก็ยังปล่อยวางไม่ได้ เขายังคงเกร็งตัวยืนอยู่บนพื้นน้ำเหมือนกับตาชั่งน้ำหนักแบบจีน


แม้ว่าเจ็ทสกีจะแล่นไปข้างหน้า แต่ว่าเขาก็ยังคงยืนได้ไม่มั่นคงและจมลงไปในน้ำทันที


“เชี่ย! เชี่ย! เชี่ยๆ” ฉินสือโอวดำน้ำขึ้นมาและพูดด่าออกมาอย่างกลัดกลุ้มใจ


นีลเซ็นดึงเขาขึ้นมาบนเจ็ทสกีและเอ่ยขึ้นว่า “บอส คุณต้องผ่อนคลาย จะตื่นเต้นแบบนี้ไม่ได้……”


ฉินสือโอวส่ายหัว เจ็ทสกีได้แกว่งไปตามคลื่นของน้ำทะเล เขาหลับตาสูดลมหายใจและสัมผัสถึงจังหวะของคลื่นทะเล


ภายใต้การช่วยเหลือของพลังงานโพไซดอน เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้ผสานไปในคลื่นทะเล คลื่นทะเลคือจังหวะการเต้นของหัวใจทะเล ซึ่งดูเหมือนกับไม่มีกฎเกณฑ์เลยแม้แต่น้อย แต่ในความเป็นจริงแล้วขอบเขตเนื้อหายังเหมือนเดิม ก็คือเปลี่ยนแปลงการขึ้นลงของน้ำทะเล


ขณะที่นั่งอยู่บนเจ็ทสกี ทั้งตัวของฉินสือโอวก็ได้ผ่อนคลายลงอย่างเป็นธรรมชาติ เขาแสวงหาความรู้สึกเช่นนี้ เขาขี่เจ็ทสกีอยู่ในน้ำสองนาที จากนั้นก็พูดอย่างหนักแน่นขึ้นว่า “นีลเซ็น วางเชือกเลย ฉันอยากจะลงทะเล”


“ลองฝึกเหวี่ยงเจ็ทสกีสักหน่อยก่อนไหม?” นีลเซ็นพูดแนะนำ


“ไม่มีปัญหา” ฉินสือโอวพูดอย่างเต็มไปด้วยความมั่นใจ


ทันทีหลังจากนั้น เขาก็ได้คว้าที่จับสามเหลี่ยมไว้และลงไปในน้ำ นีลเซ็นรีบเร่งความเร็วของเจ็ทสกี ในขณะเดียวกันก็กดปุ่มควบคุมให้ส่วนท้ายของเจ็ทสกีหมุน และค่อยเริ่มวางเชือกลงไป


และไม่ได้เสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์เลยจริงๆ เจ็ทสกีเทพเจ้าสายฟ้ามืดได้เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว มันมีประสิทธิภาพในการนำเล่นสกีน้ำและการโต้คลื่น ส่วนท้ายจะมีลูกรอกอันหนึ่งที่พันเชือกไว้ข้างบน ด้วยเหตุนี้ เพียงแค่คนขับกดปุ่มควบคุมลูกรอกให้หมุนก็สามารถควบคุมความเร็วของการวางเชือกได้


ฉินสือโอวมีกฎเกณฑ์ในการหายใจไว้ ร่างกายผ่อนคลายลง ด้านหน้าของกระดานสกีกระดกขึ้นเล็กน้อย ร่างกายกวัดแกว่งไปตามคลื่นทะเลและขึ้นลงไปมาไม่แน่นอน ราวกับขี่ม้าเร็วตัวหนึ่งที่สามารถรู้ความลับในการควบคุมมันไว้ได้


“เพิ่มความเร็ว!” ฉินสือโอวตะโกนขึ้น เมื่อนิลเซ็นได้ยินแล้วจึงเริ่มกดคันเร่งให้สูงขึ้น ความเร็วของเจ็ทสกีจึงเร็วมากยิ่งขึ้น จาก 10ไมล์เพิ่มเป็น 15 ไมล์ แล้วไปจนถึง 20 ไมล์ 30 ไมล์ 50ไมล์……


ฉินสือโอวจับที่จับสามเหลี่ยมไว้ คล้ายกับจับเชือกบังเหียนของม้าไว้ และเจ็ทสกีก็คือม้าเร็วที่อยู่ใต้หว่างขาของเขา ความเร็วของการขยับขึ้นลงในอากาศของร่างกายเพิ่มมากยิ่งขึ้น ละอองคลื่นโถมปะทะเข้ามาที่ใบหน้า และมีเสียงลมทะเลดังหวีดหวิว ทำให้จิตใจของเขาเปิดกว้าง ราวกับเขาเป็นผู้บังคับคลื่นทะเลให้วิ่งไปในทะเลอย่างรวดเร็วไม่มีผิด!


นี่คือเสน่ห์ของการเล่นสกีน้ำ มนุษย์แค่อาศัยความเป็นไปไม่ได้ที่ตนเองจะเอาชนะทะเล แต่ว่าการเล่นสกีน้ำสามารถให้ความรู้สึกที่เหมือนกันแก่มนุษย์


เจ็ทสกีได้แล่นอยู่กลางทะเลแล้วประมาณครึ่งชั่วโมง จนสุดท้ายความเร็วได้เพิ่มสูงขึ้นถึงหนึ่งร้อยไมล์ แต่ทว่าฉินสือก็ยังคงไม่ตกลงไปในน้ำ


ฮิวจ์ผู้น้องจ้องมองดูเขาอย่างตกตะลึงแม้แต่แว่นกันแดดยังทำร่วงลงไป พวกเขาตกตะลึงจนตาค้าง พรสวรรค์ในการเล่นสกีน้ำของฉินสือโอวค่อนข้างจะพลิกฟ้า เมื่อสักครู่ยังดูเหมือนกับเป็นมือใหม่ที่ถูกหยอกล้อเรื่องการกระดกก้น หากดูเพียงแค่ความเร็วและความคงที่ของการทรงตัว อาจจะดีกว่าฮิวจ์ผู้น้องที่เป็นผู้หลงรักในการเล่นสกีน้ำมากเสียอีก


หยุดการเล่นสกีน้ำ ลำดับต่อไปก็คือการโต้คลื่นแล้ว


นีลเซ็นตบที่ไหล่ของฉินสือโอวและเอ่ยขึ้นว่า “บอส คุณมีพรสวรรค์ที่ดีมาก สุขภาพร่างกายก็ดี! สามารถเรียนรู้ทักษะการเล่นสกีน้ำได้เร็วขนาดนี้ หลังจากนี้ก็ฝึกอีกนิดหน่อย เพราะการฝึกจะทำให้เกิดความชำนาญมากยิ่งขึ้น ถึงเวลานั้นคุณก็จะเล่นท่าอื่นๆได้แล้ว”


“ตอนนี้ผมจะสอนคุณโต้คลื่น ซึ่งกีฬานี้มีความแตกต่างจากการเล่นสกีน้ำที่มีแรงฉุดลากจากภายนอก เหตุผลที่การโต้คลื่นถูกเรียกว่าเป็นกีฬาผาดโผนก็เพราะว่ากีฬานี้สามารถพึ่งพาได้แค่ตัวเอง เมื่อเผชิญกับคลื่นที่โหมซัดเข้ามาเมื่ออยู่กลางทะเล คุณจะพึ่งพาได้แค่ตัวเอง!” นีลเซ็นเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง


“ดังนั้นพวกเด็กๆทั้งหลาย พวกเธอต้องเข้าใจให้ชัดเจน ถ้าพลังที่พวกเธอสามารถพึ่งพาได้เมื่ออยู่ในทะเลนั้นไม่มากก็อย่าประลองกำลังกับตัวเองเป็นอันขาด เมื่อมีคลื่นใหญ่โถมเข้ามาหรือเธอกำลังหมดแรง เช่นนั้นก็ให้รีบประนีประนอมกับสภาพความเป็นจริง โดยการกระโดดลงในน้ำและหลีกเลี่ยงคลื่นที่ใหญ่หรือนั่งลงบนกระดานโต้คลื่นเพื่อพักผ่อนสักครู่ อย่าโอ้อวดฝีมือ! นี่คือกฎเกณฑ์แรกในการเรียนกีฬาโต้คลื่น ไม่ว่าเวลาไหนก็อย่าโอ้อวดฝีมือ!”


“ตามปกติแล้ว กีฬาชนิดนี้ต้องเริ่มจากที่พวกเธอนอนคว่ำหรือคุกเข่าลงบนกระดานโต้คลื่นก่อนและก็หายอดคลื่นที่เหมาะสม จากนั้นก็ค่อยๆลุกขึ้น พึ่งพาพลังสองขาของตัวเองและอาศัยพละกำลังของคลื่นทะเล ผลักดันให้กระดานโต้คลื่นเคลื่อนที่และทำให้เกิดการเพิ่มความเร็วได้อย่างสำเร็จ”


 “เมื่อคลื่นทะเลผลักดันให้กระดานโต้คลื่นไถลไป ต้องพยายามทำให้กระดานโต้คลื่นอยู่ด้านหน้าของยอดคลื่นทะเลตลอด ขาสองข้างกางออกไปข้างหน้าและข้างหลัง ขาที่อยู่ข้างหน้าเอาไว้ควบคุมการทรงตัวส่วนขาที่อยู่ข้างหลังเอาไว้ควบคุมทิศทาง อย่าโง่ใช้ขาที่อยู่ข้างหน้าควบคุมทิศทาง ยกเว้นว่าอยากจะตกลงไปในน้ำและดื่มน้ำทะเล……”


“โอเคนะ นี่คือข้อบังคับขั้นพื้นฐานที่สุดของการโต้คลื่น ที่เหลือคือจุดที่ต้องให้ความใส่ใจและเทคนิคการเล่น ฉันต้องสอนตอนที่พวกเธอยืนอยู่บนคลื่นทะเล ความรู้มาจากการปฏิบัติจริง บอส คุณลองเล่นก่อน”


หลังจากนั้นนีลเซ็นก็ตบที่ไหล่ของฉินสือโอวอย่างแรง


ในตอนนี้ฉินสือโอวยังคงตกอยู่ในความคิดที่เชื่อมั่นในตัวเองจากการเรียนรู้การเล่นสกีน้ำ เขายิ้มอย่างทะนงตัวและเอ่ยออกมาว่า “พวกนายคอยดูนะ ฉันจะทำให้พวกนายเห็นว่าคนที่มีพรสวรรค์ เขาเล่นโต้คลื่นกันยังไง?”


ชาร์คกับซีมอนสเตอร์จึงมองหน้ากันและยกมือถือที่อยู่ในมือขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ พวกเขาเชื่อว่าทะเลจะให้บทเรียนชีวิตที่มีชีวิตชีวากับฉินสือโอว


นีลเซ็นได้ขี่เจ็ทสกีเข้าไปในทะเล เพื่อคอยสังเกตท่าทางการโต้คลื่นของฉินสือโอว จากนั้นก็ให้คำชี้แนะเขา และแน่นอนเขายังคอยเตรียมตัวให้การช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา


……………………………………………………………….


บทที่ 107 ยินดีต้อนรับบอลหิมะ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ความมั่นใจในการโต้คลื่นทะเลกำลังค่อยๆหายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับน้ำแข็งหิมะที่อยู่ใต้แสงอาทิตย์ไม่มีผิด


นีลเซ็นไม่ได้พูดเกินความจริงเลยแม้แต่น้อย ความยากของกีฬาโต้คลื่นนั้นแตกต่างกับการเล่นเจ็ทสกีน้ำราวฟ้ากับดิน แค่ฉินสือโอวพายกระดานโต้คลื่นไปหายอดคลื่นทะเลก็เสียเวลาไปแล้วครึ่งชั่วโมง กระดานโต้คลื่นได้ถูกน้ำทะเลที่ขึ้นลงซัดจนพลิกคว่ำตลอดเวลาและตัวเขาก็ถูกซัดจนลอยขึ้นอย่างเบาหวิว


สุดท้ายก็พายมาถึงบริเวณรอบๆยอดคลื่น ฉินสือโอวเพิ่งจะปีนขึ้นไปบนกระดานโต้คลื่น ผลคือเขาไม่สามารถที่จะออกแรงปีนขึ้นไปได้และถูกซัดจนพลิกคว่ำลงไปในน้ำอีกครั้ง


หลังจากที่เล่นอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง ฉินสือโอวก็ได้เผยให้เห็นปฏิกิริยาต่างๆที่น่าตลกของนักโต้คลื่นมือใหม่ สุดท้ายเมื่อหมดปัญญา เขาจึงใช้การเรียกจิตสำนึกโพไซดอนออกมา


จิตสำนึกโพไซดอนสามารถรับรู้ถึงจังหวะของคลื่นทะเล ทำให้เขาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงของน้ำทะเลได้ก่อน นอกจากนั้นยังสามารถทำได้แม้กระทั่งทำให้น้ำทะเลขึ้นลงตามความคิดของเขา ขณะที่เขาขึ้นไปบนกระดานโต้คลื่นลมในทะเลก็ได้สงบลง ทำให้ในระยะแรกที่ยืนก็ได้ถูกคลื่นเล็กๆผลักเคลื่อนไหว แต่หลังจากที่ยืนได้อย่างคงที่แล้วนั้นคลื่นทะเลลูกใหญ่ก็ได้เคลื่อนที่ขึ้นลงเข้ามา…


นี่คือการกระทำที่ทุจริตและเมื่อมีคนอยู่มากๆจะไม่สามารถใช้มันได้ เมื่อถูกคนอื่นพบว่าคลื่นที่อยู่รอบข้างเขามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างแปลกประหลาดก็จะทำให้เกิดความยุ่งยาก


ที่สำคัญที่สุดก็คือ!


หลังจากที่จิตสำนึกโพไซดอนปรากฏขึ้น บอลหิมะ ปลาทูน่าครีบเหลืองและปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือก็ได้พุ่งเข้ามาอย่างเร็ว


ปลาทูน่าครีบเหลืองและปลาทูน่าครีบน้ำเงินเหนือยังพอที่จะปรากฏตัวออกมาได้เพราะพวกมันซ่อนตัวอยู่ในน้ำทะเล แต่บอลหิมะนั้นซุกซนมาก มันโผล่หัวขึ้นมาและร้อง ‘อู้อู้’ ว่ายล้อมรอบฉินสือโอวไว้อย่างต่อเนื่อง มันใช้ปากพ่นน้ำทะเลขึ้นไปและพ่นลงมาที่ใบหน้าของฉินสือโอว ฉินสือโอวถูกมันพ่นน้ำใส่จนเกือบจะตกลงไปในน้ำ เขาจึงรีบนั่งลงบนกระดานโต้คลื่น บอลหิมะเห็นเขานั่งลงไปจึงนึกว่าเขาอยากที่จะเล่นสนุกกับตัวเอง มันจึงเอาปลาคาร์ฟพุ่งขึ้นมาจากน้ำและใช้หน้าผากถูไปที่ตัวของฉินสือโอว ชนให้เขาตกลงไปในน้ำ


“อู้อู้ อู้อู้” บอลหิมะมีความสุขที่ได้ชำระล้างอยู่ในน้ำทะเลกับฉินสือโอว ในแววตาของมันปรากฏให้เห็นถึงความเปล่งประกายด้วยความสุขและล้อมไปมาที่ตัวเขาอย่างต่อเนื่อง มันมักจะใช้หน้าผากชนเขาหรือใช้หางตีเขา


ฉินสือโอวอยู่ในน้ำและปลอบบอลโยนหิมะไว้ นานแล้วที่เจ้านี่ไม่เจอกับเขาจึงรู้สึกมีความสุขเป็นพิเศษ ทำให้เขาใจไม่แข็งพอที่จะใช้จิตสำนึกโพไซดอนขับไล่มันออกไป


เด็กทั้งสี่คนที่อยู่บนฝั่งได้เห็นวาฬเบลูกาน้อยเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เห็นบอลหิมะที่เจริญเติบโตภายใต้การปรับแก้อย่างเป็นพิเศษจากจิตสำนึกโพไซดอน


ผิวของมันมันวาวเกลี้ยงเกลา ผิวขาวราวหิมะเมื่อปรากฏบนพื้นผิวน้ำ แค่ถูกแสงของดวงอาทิตย์ส่องก็เกิดความแวววาวระยิบระยับ ราวกับสวมชุดอัญมณีเพชรไม่มีผิด ดูแล้วน่ารักอย่างสุดขีด


“ว้าว สวยมากจริงๆ นี่คือโลมาเผือกเหรอ?” กอร์ดอนจ้องมองอย่างตาโตและตะโกนออกมา


มิเชลล์จ้องมองที่ความน่ารักเจ้าตัวขาวอย่างไม่กะพริบตาและเอ่ยขึ้นว่า “ไอ้โง่ โลมาเผือกจะใหญ่ขนาดนี้เหรอ? นี่คือวาฬเบลูกาน้อย!”


โดยปกติเมื่อซีมอนสเตอร์ ชาร์คและคนอื่นๆได้ออกเรือไปในทะเลก็สามารถพบเห็นวาฬเบลูกาน้อยได้บ่อยๆ ดังนั้นเขาจึงเห็นจนชินตา และพวกเขายังรู้อีกว่ามันชื่อ ‘บอลหิมะ’ บอลหิมะปฏิบัติต่อคนอย่างเป็นมิตร เมื่อเจอกันพวกมันจะกระโดดออกมาและร้อง ‘อู้อู้’ เพื่อเป็นการทักทาย


โดยทั่วไปเมื่อออกทะเล พวกเขาจะบรรทุกกุ้งแม่น้ำเอาไว้บนเรือบ้างเล็กน้อย บอลหิมะชอบกินสิ่งนี้มาก ซีมอนสเตอร์และชาร์คป้อนให้มันกินสามสี่ครั้งจนได้รับมิตรภาพที่ดีจากมัน มันจะเป็นฝ่ายเข้ามาใกล้เรือเองและเล่นกับพวกเขา


เมื่อเห็นพวกเด็กๆชอบ ชาร์คเลยพูดแนะนำเล็กน้อยและสุดท้ายก็เอ่ยออกมาว่า “ฉันจะพาพวกเธอเข้าไปดูใกล้ๆ บอลหิมะเป็นมิตรมากนะ”


“มันจะชอบพวกเราไหม?” เชอร์ลี่ย์เอ่ยถามอย่างกังวล


ถึงอย่างไรชาร์คก็เป็นพ่อคนแล้วจึงยังคงมีความรักแบบพ่อ เขานั่งยองๆลง สางผมให้กับเชอร์ลี่ย์และเอ่ยขึ้นว่า “พวกเรายังชอบเธอเลย บอลหิมะก็ต้องชอบพวกเธอเหมือนกัน”


เจ็ทสกีนั้นลำใหญ่และกว้าง หลังจากที่ชาร์คติดเครื่องแล้วก็เอาเด็กสองคนนั่งอยู่ข้างหน้าตัวและอีกสองคนนั่งอยู่ข้างหลัง จากนั้นก็ขับเข้าไปในทะเล


นีลเซ็นก็ได้ขับเจ็ทสกีเข้าไปใกล้บอลหิมะเช่นกัน และโบกมือเอ่ยทักทายขึ้นว่า “ฮาย บอลหิมะ มาอาบน้ำให้ฉันหน่อย!”


บอลหิมะจึงดำลงไปในน้ำและปรากฏตัวขึ้นมาที่ข้างๆนีลเซ็น มันเปิดปากพ่นน้ำทะเลขึ้นไป นีลเซ็นจึงหัวเราะชอบใจออกมา


เมื่อชาร์คได้ขี่เจ็ทสกีเข้ามาใกล้ ฉินสือโอวจึงว่ายเข้าไปอุ้มเชอร์ลี่ย์ลงมา พวกเด็กๆต่างก็ว่ายน้ำได้หมด แต่ถึงอย่างไรกำลังในร่างกายของเด็กก็ยังน้อย เด็กผู้ชายทั้งสามคนก็ได้กระโดดลงมาจากเจ็ทสกี


บอลหิมะชะโงกมองและว่ายน้ำเข้ามา ฉินสือโอวให้เชอร์ลี่ย์ขี่หลังเขาไว้และตะโกนออกมาว่า “บอลหิมะ ว่ายช้าๆลงหน่อย นี่คือเชอร์ลี่ แกจะต้องจำเธอไว้!”


ผิวของวาฬเบลูกาจะมีน้ำเมือกเคลือบอยู่หนึ่งชั้น ข้อแรกก็เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการปกป้องพวกมัน ให้พวกมันได้ขึ้นมาบนผิวน้ำและรับแสงจากดวงอาทิตย์ อีกข้อหนึ่งคือเพื่อลดค่าประสิทธิ์แรงเสียดทานจากน้ำทะเลซึ่งจะทำให้พวกมันว่ายน้ำได้อย่างสบายตัว


แต่ด้วยเหตุนี้ คนจึงไม่สามารถนั่งอยู่บนตัวของมันได้อย่างมั่นคง ฉินสือโอวทำได้แค่จับเชอร์ลี่ย์ไว้ เมื่อบอลหิมะลอยขึ้นมาบนผิวน้ำถึงจะให้เธอนั่งได้อย่างคงที่


พาวลิสและเด็กอีกสองคนจึงได้ว่ายน้ำเข้ามา เมื่ออยู่ตรงหน้าของบอลหิมะพวกเขาจึงมีจิตใจที่ไร้เดียงสาแบบเด็กๆ พวกเขาคลูบคลำบอลหิมะอย่างใกล้ชิด บอลหิมะจึงว่ายน้ำส่ายไปมาซ้ายขวากับพวกเขา มีทั้งเสียงหัวเราะ ‘ฮิฮิ’ และ และเสียงร้อง ‘อู้อู้’ อย่างเบิกบานใจ


เมื่อเล่นได้สักครู่ ฉินสือโอวจึงอุ้มเชอร์ลี่ย์ลงมา ตีไปที่หัวของบอลหิมะและเอ่ยขึ้นว่า “โอเค เจ้าเพื่อนยาก ไปพักผ่อนเถอะ วันหลังค่อยเล่นกันใหม่!”


ในตอนนี้ได้เกิดลมแรงและมีคลื่นสูง ในทะเลจึงมีความอันตรายมากและเมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้รู้สึกเหนื่อยมากเวลาว่ายน้ำ บอลหิมะยังอยากที่จะเล่นสนุกกับเด็กทั้งสี่คนอยู่จึงทำให้เหนื่อยล้ามากยิ่งขึ้น


เด็กทั้งสี่คนก็เหนื่อยจนหายใจหอบกันหมดแล้ว จนต้องกลับไปพักที่เจ็ทสกีอยู่หลายครั้ง เมื่อได้ยินฉินสือโอวบอกว่าเลิกเล่นแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอาลัยอาวรณ์แต่ก็ได้เชื่อฟังเป็นอย่างดี พวกเขาจึงโบกมือให้กับบอลหิมะแล้วตะโกนพร้อมกันขึ้นว่า “ลาก่อน เจ้าบอลหิมะ เจอกันครั้งหน้าพวกเราจะเอาของอร่อยมาให้แกกิน”


จากนั้นฉินสือโอวก็พาเด็กๆขึ้นไปบนฝั่ง นีลเซ็นอยู่บนเจ็ทสกีและเอ่ยถามขึ้นว่า “บอสยังอยากจะโต้คลื่นอีกไหม?”


ลมได้พัดแรงมากยิ่งขึ้น ทำให้คลื่นทะเลสูงห้าหกเมตรได้ก่อตัวขึ้นแล้ว คลื่นทะเลเช่นนี้ทำให้ดูแล้วน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง หากซัดเข้ามาที่ตัวคนสามารถทำให้คนหมดสติได้ ดังนั้นเขาจึงส่ายหัวและเอ่ยออกมาว่า “ช่างมัน กลับไปกันเถอะ ถึงเวลากินข้าวเที่ยงแล้ว”


การเล่นอยู่แบบนี้ ทำให้เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ราวกับอาหารเช้ายังเลือนรางอยู่ตรงหน้าแต่ก็มาถึงช่วงเวลากลางวันเสียแล้ว


พฤติกรรมการบริโภคอาหารของแคนาดาเหมือนกับอเมริกาไม่มีผิด พวกเขาให้ความสำคัญกับโภชนาการของอาหารเช้าโดยหลักๆจะบริโภคอาหารที่มีโปรตีนและให้พลังงาน แต่ในตอนกลางวันนั้นค่อนข้างจะง่ายๆเพียงแค่กินให้อิ่มก็ใช้ได้แล้ว และเพราะว่าต้องทำงานและใช้ชีวิตมาทั้งวัน มื้อเย็นจึงเป็นอาหารมื้อหลักที่กินอย่างจริงจังที่สุด


ฉินสือโอวก็ไม่ได้สนใจอาหารกลางวันสักเท่าไรและพวกผู้ชายก็เลือกที่จะดื่มเบียร์กันทุกคน ส่วนพวกเด็กๆกินน้ำผลไม้หรือนมวัว ส่วนอาหารที่พวกเขากินคือพิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์หรือบะหมี่น้ำเกรวี่ของแคนาดา นอกจากนั้นก็ยังทำสลัดผลไม้อีกด้วย


เชอร์ลี่ย์กับมิเชลล์ไปเก็บผลไม้ พาวลิสและกอร์ดอนไปซื้อแฮมเบอร์เกอร์และพิซซ่า ที่ฉินสือโอวให้พวกเขาไปทำงานแบบนี้ ไม่ใช่เพราะว่าตัวเองขี้เกียจ แต่เป็นเพราะเขาได้พบว่าเด็กทั้งสี่คนขาดความมั่นใจในตัวเอง ค่อนข้างรู้สึกต้อยต่ำ จึงจำเป็นที่จะต้องปลูกฝังให้พวกเขามีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น


การติดต่อสื่อสารและการลงมือทำงานจึงเป็นวิธีการปลูกฝังเรื่องความมั่นใจในตัวเองได้อย่างดี


เมื่อถือลูกเบอร์รีกลับมาหนึ่งตะกร้า มิเชลล์ลังเลที่จะพูด แต่สุดท้ายก็เขินอายและก้มหน้าลงโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เชอร์ลี่ย์จึงพูดขึ้นมาว่า “ฉิน เหมือนกับต้นกล้าผักของพวกเราจะถูกตัวอะไรขโมยกินแล้ว ใบผักหลายใบได้แหว่งไปจนเกือบหมด”


“อะไรนะ?” ฉินสือโอวถามอย่างสงสัย และพาชาร์คไปดูที่สวนผัก


หลังจากที่ใช้พลังโพไซดอนปรับแก้แล้ว ผักเหล่านี้ก็เจริญงอกงามอย่างน่าพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นดินของฟาร์มปลานั้นมีความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังเต็มอิ่มไปด้วยน้ำฝน ต้นกล้าของผักเหล่านี้จึงเหมือนได้ใส่ปุ๋ยและเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง แผ่นใบอ่อนช้อยเขียวขจี ดูแล้วเหมือนมีพลังที่น่าดึงดูด


ก่อนหน้านี้ในแปลงผักมีตั๊กแตนอยู่เยอะมาก หลังจากที่เขาได้เลี้ยงลูกไก่เพื่อเอาไว้จับพวกมันอยู่หลายวัน ตั๊กแตนก็ได้หายสาบสูญไปหมดแล้ว จึงไม่น่าจะยังมีอะไรมากินผัก


เมื่อพวกเขาไปเห็นที่สวนผัก ใบของต้นกล้าผักก็ฉีกขาดจนเละเทะไปบ้างแล้วจริงๆ ต้นกล้าของแตงกว่า ขึ้นฉ่าย ถั่วแขกและต้นกล้าของมะเขือเทศก็ถูกก่อกวนแล้วเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ร้ายแรง แต่เมื่อฉินสือโอวมองดูก็รู้สึกเจ็บปวดใจอย่างต่อเนื่อง


“แบบนี้นี่ตัวอะไรทำ?” ฉินสือโอวเอ่ยถามอย่างกลัดกลุ้มใจ


ชาร์คนั่งยองๆบนพื้นและมองดูอย่างละเอียด จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อวานฝนเพิ่งตก พื้นดินชื้นขนาดนี้ น่าจะยังมีรอยเท้าทิ้งไว้ เดี๋ยวผมลองหาดู ได้แล้ว อยู่ตรงนี้ หาเจอแล้ว!”


ฉินสือโอวจึงตามเข้าไปดู รอยเท้าเล็กๆหลายรอยปรากฏอยู่ที่ในสวน น่าจะเป็นรอยที่ตัวการสำคัญได้ทิ้งไว้


 …………………………………………………………..


บทที่ 108 การกลับมาเยือนของเหล่าเม่น

โดย

Ink Stone_Fantasy

                ฉินสือโอวเกาศีรษะตัวเองเมื่อมองเห็นรอยเท้าเล็ก ๆ ซึ่งดูไปดูมาก็เหมือนของลูกแมว พลางคิดว่าพื้นที่ป่าในเมืองแฟร์เวลก็นับว่าไม่น้อย ถ้าเป็นแมวจริง ๆ มันไม่น่าจะมาคุ้ยต้นกล้าผักเล่น ๆ แบบนี้


                และแล้วผู้ทรงความรู้อย่างชาร์คมองด้วยความพินิจพิเคราะห์แล้วกล่าวอย่างมั่นใจว่า “บอส นี่มันรอยเท้าของเจ้าเม่น ช่วงกลางคืนพวกมันคงจะมาแอบขโมยผักอีกแล้วล่ะ”


                “พวกเม่นมันไม่ได้จับหนูกินหรอกหรือ” ฉินสือโอวพูดในสิ่งที่ตัวเองเคยพบเจอมาอีกว่า “ที่บ้านเกิดฉัน ไม่เคยเห็นพวกเม่นขโมยผักนะ”


                ชาร์คส่ายหน้าพร้อมกับเอ่ยเสริมว่า “พวกเม่นจัดว่าเป็นสัตว์ที่หาอะไรกินได้ก็กินอย่างนั้น สัตว์เล็กสัตว์น้อยอย่างลูกหนูถ้ามันจับได้มันก็กิน แต่ถ้าบริเวณนั้นมีแต่พืชผัก ก็จะละเลงสวนนั้นจนผักผลไม้กระจายหมด”


                “เอาเถอะ ส้มพันธุ์หนึ่งไปเกิดอีกที่หนึ่งก็เป็นส้มอีกพันธุ์หนึ่งแล้ว” ฉินสือโอวทอดถอนใจ กล่าวต่อว่า “เอาเป็นว่าที่บ้านเกิดฉัน เจ้าเม่นพวกนี้เป็นสัตว์ที่มีประโยชน์และคุณค่ามากทีเดียวล่ะ”


                “อะไรนะ?” ชาร์คเอ่ยถาม


                ที่ฉินสือโอวพูดเปรียบเปรยเจ้าเม่นกับส้มนั้น เขาใช้ภาษาจีนพูด เพราะตั้งใจให้ชาร์คฟังไม่รู้เรื่อง


                “ไม่มีอะไรหรอก พวกเรามาหาวิธีกำจัดไอ้พวกนี้กันดีกว่า” ฉินสือโอวพูดอย่างเหนื่อยหน่าย


                ชาร์คเอ่ยเสนอแนวทางว่า “เราจะลองโรยสารเคมีชนิดหนึ่งซึ่งจะมีกลิ่นฉุนเล็กน้อย เมื่อพวกมันได้กลิ่น พวกมันก็จะหนีไป”


                ฉินสือโอวคิดว่าจะลองใช้ที่ดักจับหนู แต่มันออกจะทรมานเกินไป เขาลูบไปยังเคราของตัวเองครู่หนึ่ง ตาเหลือบไปเห็นสุนัขขี้เล่นทั้งสองที่ตามมาด้านหลัง จึงหัวเราะขึ้นมา แล้วกล่าวว่า “ไม่เอาแล้ว พวกเรามีสุนัขแลบราดอร์อยู่นี่ ให้พวกมันเฝ้าที่นี่คืนนี้ คอยไล่พวกเม่นออกไปก็พอแล้ว”


                “ให้เจ้าสุนัขคอยไล่นะเหรอ? ก็เป็นความคิดที่ดีนะ” ชาร์คพยักหน้าเห็นด้วย


                และแล้วก็หาทางออกของปัญหานี้ได้ พวกเขาจึงกลับไปทานอาหารเที่ยงกัน ชาร์คคิดถึงฟาร์มเพาะเลี้ยงที่อยู่ข้างแนวริมป่า จึงกล่าวว่า “เหตุการณ์นี้ทำให้เราต้องกลับมาตระหนักถึงความปลอดภัย เพราะเพียงแค่พวกเม่นจะมาขโมยพืชผักไปจริง ๆ มันก็ไม่เท่าไร แต่ถ้าหากเป็นพวกสัตว์ร้ายจากป่าออกมาขโมยสัตว์ที่ฟาร์มล่ะก็เรื่องใหญ่น่าดูเชียวล่ะ”


                ไม่ว่าจะเป็นหมาป่าหรือหมูป่า ถ้าเข้ามาที่ฟาร์มได้ พวกมันได้กินอิ่มจนพุงกางแน่ และพวกสัตว์ในฟาร์มรับรองว่าหายเกลี้ยง


                ครั้งนี้ฉินสือโอวเงียบคิดหนทางไม่ออก แต่ชาร์คกลับสมองโลดแล่น พร้อมเสนอแนวทางว่า “ให้ฉงต้าทำกลิ่นสร้างอาณาเขตจากอึกับฉี่ไว้รอบ ๆ ฟาร์ม เพียงแค่นี้หมาป่าและหมูป่าก็จะไม่กล้าเข้ามา แต่กลิ่นของฉงต้าก็จะสร้างปัญหาให้กับสัตว์ที่อยู่ในฟาร์มไม่ใช่น้อยเช่นกัน”


                หลังจากทางอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อย เรื่องนี้ก็ได้ถูกเสนอขึ้นที่ประชุม แล้วฉินสือโอวได้ให้ผลไม้กองใหญ่กับฉงต้า แต่มันแสดงความต้องการที่จะกินเนื้อ ฉินสือโอวไม่มีให้ จึงได้ให้เพียงผลไม้ผสมน้ำเชื่อมกับมันแทน


                เมื่อนำผลไม้คลุกกับน้ำเชื่อมเมเปิลแล้วรสชาติถูกปากต้าฉงเป็นอย่างมาก เนื้อจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป


                พอถึงช่วงบ่าย ระหว่างที่ฉงต้าเล่นอยู่กับหู่จือและเป้าจืออยู่นั้น ก็เริ่มมีอาการท้องไส้ปั่นป่วน ตัวสั่นริก ๆ ด้วยความทนไม่ไหว จึงรีบวิ่งไปยังพื้นหญ้า


                ฉินสือโอวที่คอยจับตามองฉงต้า เห็นอาการมันแบบนั้นแล้ว ก็รีบรุดไปหามันทันที โดยใช้รถกระบะของชาร์คขนย้ายมันไปที่ฟาร์ม


                สงสารก็แต่ฉงต้าที่ต้องให้มันอดทนอั้นเอาไว้อย่างทรมานอยู่บนหลังรถกระบะ เมื่อฉงต้าถูกผลักขึ้นรถกระบะอย่างกะทันหัน มันจึงปัสสาวะ ณ ตรงนั้นทันทีด้วยความหวาดกลัว


                เมื่อฉินสือโอวมาถึง เขารีบมาดูฉงต้า แต่ปรากฏสิ่งที่เห็นคือปัสสาวะที่อยู่กระบะหลังรถ เมื่อมองไปที่สหายตัวนี้กลับได้รับการตอบรับมาเพียงสายตาที่ไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องรู้ราว ราวกับอยากจะถามว่าคุณพาฉันขึ้นรถมาที่นี่เพื่อสิ่งใด?


                ฉินสือโอวโมโหซะจนอยากจะปัสสาวะแทนซะเลย เขาดึงไปที่หูกลม ๆ ทั้งสองข้างของมัน แล้วทอดถอนใจว่า “เจ้านี่นี่ไม่อดทนสักหน่อยเลย ที่ให้กินไปตั้งเยอะนี่สูญเปล่าจริง ๆ ”


                แต่ก็ยังดีนะที่ให้มันกินไปเยอะ ผ่านไปชั่วครู่ฉงต้าเริ่มมีอาการ มันเดินหาพงหญ้าเพื่อจะปลดทุกข์ ฉินสือโอวรีบพามันไปที่ประตูของฟาร์มเพาะเลี้ยง แล้วทำสัญลักษณ์ให้มันรู้จุดของมัน


                ฉงต้ากะพริบตาไปมา เพราะไม่รู้ข้อความที่ฉินสือโอวต้องการจะสื่อ มันนึกว่าจะให้มันเฝ้าประตูไว้ มันจึงนั่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อย ๆ กระเถิบก้นตัวเองไปยังพงหญ้าเพื่อจะปัสสาวะ


                ฉินสือโอวไม่มีทางเลือก เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีคนแล้ว เขาจึงตัดสินใจข่มใจตัวเองถอดกางเกงออกแล้วทำท่าปัสสาวะให้ฉงต้าดู


                ดีที่จิตสำนึกโพไซดอนได้ทำให้สมองของสัตว์พวกนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง ฉงต้าแม้จะไม่สามารถคิดอะไรได้ด้วยตัวเอง แต่ความสามารถในการลอกเลียนแบบของมันดีเยี่ยม เมื่อมันมองเห็นฉินสือโอวทำท่าปัสสาวะรดกำแพงเช่นนั้นแล้ว มันก็ยกขาขึ้นทำตามบ้าง มันหลับตาพริ้ม ปากของมันแสดงออกมาอย่างได้อรรถรส มันครางเบา ๆ ราวกับว่ามันมีความสุขมากทีเดียว


                ตลอดบ่าย ฉินสือโอวเล่นเกมมือถืออยู่ในฟาร์มเพาะเลี้ยง เขาเป็นคนคอยไปเอาผลไม้มาให้ฉงต้า ให้มันได้กินทั้งวัน และแน่นอนตอนนี้รอบ ๆ ฟาร์มเพาะเลี้ยงก็มีแต่กลิ่นของฉงต้าตลบอบอวลเต็มไปหมด


                ตกเย็นระหว่างทางกลับ ได้พบรถขนสินค้าคันเล็กขับมายังฟาร์มปลา บนรถมีสัญลักษณ์โลโก้ของ UPS ปรากฏอยู่ มันเป็นรถส่งพัสดุนี่เอง


                UPS เป็นชื่อย่อของบริษัทขนส่งพัสดุ บริษัทแห่งนี้เป็นบริษัทขนส่งพัสดุที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อตั้งขึ้นในปี 1907 ที่สหรัฐอเมริกา และไปสร้างที่แคนาดาเมื่อปี 1946 บริษัทแห่งนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว และสามารถครอบครองตลาดที่อผู้คนวางใจในบริการเป็นอันดับแรก


                ก่อนหน้านี้ เวลาฉินสือโอวซื้อของ เขามักซื้อผ่านเว็บไซต์อเมซอนด้วยสาเหตุเรื่องความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้า เพราะเพียงแค่วันเดียวสินค้าก็มาส่งถึงหน้าบ้าน


                “ชุดคอมพิวเตอร์ไอแม็คของแอปเปิลสี่เครื่อง โทรศัพท์มือถือแอปเปิลหก สี่เครื่อง และยังมีหมอนหนุนและบาสเกตบอล ด้วยครับ คุณผู้ชายครับ รบกวนกดรับสินค้าด้วยครับ ถ้าหากไม่มีปัญหาใดๆแล้ว กรุณาเซ็นชื่อรับสินค้าให้ด้วยนะครับ” พนักงานส่งพัสดุให้บริการด้วยรอยยิ้ม


                ฉินสือโอวซื้อคอมพิวเตอร์ให้กับเด็กๆทุกคน คนละเครื่อง ด้วยวัยเพียงแค่ห้าถึงหกขวบ พวกเขาก็เริ่มใช้มือถือ คอมพิวเตอร์แล้ว อีกหน่อยสิบขวบคงจะใช้ได้อย่างชำนาญเชียวล่ะ และอีกอย่างเด็กๆชอบเปรียบเทียบ ฉินสือโอวรับไม่ได้ถ้าหากว่าในอนาคตตอนที่เข้าโรงเรียนแล้วพวกเขาใช้ไม่เป็น จะโดนคนอื่นดูถูกได้


                “มา ๆ ได้เวลาแจกของขวัญแล้ว” ฉินสือโอวเดินเข้ามาในวิลล่า ตะโกนเรียกเด็ก ๆ ซึ่งกำลังนั่งดูทีวีกันอยู่ ขณะที่ในมือก็แบกกล่องทั้งหมดไว้


                เด็ก ๆ ได้ยินดังนั้นก็รีบรุดมาทันที ฉินสือโอวยื่นกล่องคอมพิวเตอร์และกล่องโทรศัพท์มือถือให้เด็กแต่ละคน พร้อมกับพูดว่า “เดี๋ยวฉันจะประกอบคอมพิวเตอร์ แล้วเชื่อมอินเทอร์เน็ตให้ เราจะได้เล่นเกมด้วยกัน ดีไหม? ส่วนซิมการ์ดมือถือพรุ่งนี้ค่อยไปจัดการ ต่อจากนี้ไปถ้าใครมีปัญหาอะไรก็โทรหาฉันได้เลยนะ”


                และแล้วกล่องคอมพิวเตอร์และมือถือได้ถูกเปิดออก ความสวยงามของมันได้สะดุดตาเด็ก ๆเป็นอย่างมาก ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและประหลาดใจกับของขวัญตรงหน้าเป็นอย่างมาก และมิเชลก็เดินเข้าไปสัมผัสคอมพิวเตอร์ และรู้สึกว่ามันช่างเรียบลื่นและสวยงามเป็นอย่างมาก จนอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาดัง ๆ อย่างตื่นเต้นว่า “มันยอดเยี่ยมมากเลยล่ะ สวยงามมาก ๆ ด้วย”


                 เด็ก ๆ ได้หยิบคอมพิวเตอร์เพื่อจะขึ้นไปยังชั้นบน ฉินสือโอวตะโกนเรียกเชอร์ลี่ย์ไว้ แล้วมอบหมอนหนุนอันแสนนิ่มให้กับเธอพร้อมกับพูดว่า “ต่อจากนี้ก็ให้หมอนนี้นอนเป็นเพื่อนเธอนะ เมื่อไหร่ที่ฝันก็จะได้ไม่รู้สึกอ้างว้างอีกต่อไป”


                เชอร์ลี่พยักหน้ารับอย่างซาบซึ้ง ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา


                เมื่อใดที่ฉินสือโอวเดินผ่าน ก็จะเห็นเชอร์ลี่ย์กอดหมอนใบนั้นไว้ในอ้อมแขนของเธออย่างแนบแน่น แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกที่เชอร์ลี่ย์ต้องการได้รับการปกป้อง นี่แหละฉินสือโอวถึงตัดสินใจซื้อหมอนใบนี้ให้กับเธอ เพราะคิดว่าสิ่งนี้จะทำให้เธอนอนหลับได้ดีมากยิ่งขึ้น


                อาหารค่ำคืนนี้คือซุปปลาหิมะรสเลิศที่ฉินสือโอวจับมาบริเวณแนวปะการัง ปลาหิมะนี้ถูกตุ๋นมาตั้งแต่บ่าย กลิ่นมันช่างเย้ายวนชวนน้ำลายสอเสียจริง เมื่อเปิดออกมาดูก็ราวกับว่าเนื้อปลานั้นละลายอยู่ในน้ำแกงอันแสนวิเศษทีเดียว


                แค่เพียงผักชีที่โรยอยู่บนน้ำแกงก็ทำให้น้ำแกงนี้อร่อยจนไม่รู้ลืมแล้ว เครื่องปรุงรสใดๆนับได้ว่าไม่มีความหมายเลย ทันทีที่ซุปปลาหิมะยกเสิร์ฟไว้บนโต๊ะ ควันร้อนหอมตลบอบอวล เด็ก ๆ แต่ละคนต่างก็ยกช้อนขึ้นซดกันอย่างเอร็ดอร่อย


                เพรียงตีนเต่าที่เหลือจากเมื่อวาน ฉินสือโอวย้ายเอาไปไว้ที่ตอม่อท่าเรือ พวกมันสามารถอยู่ตรงนั้นเพื่อรอจนเต็มวัย ไว้สำหรับทำอาหารในมื้อเย็นวันต่อมา


                หลังจากกินกันเรียบร้อยแล้วก็ไปสะสางงานต่อ ฉินสือโอวเอารถคาลดิลแลควันไปจอดไว้ที่ข้างสวนผักและนำสุนัขทั้งสองไปเฝ้ายามและเตรียมรับมือกับเหล่าเม่นที่จะมาในคืนนี้ตามความคาดหมายของผู้ช่วยชาร์ค


                เมื่อฉงต้าเห็นฉินสือโอวพาสุนัขทั้งสองไปขึ้นรถ มันก็รีบตามมาประชิดและมาถู ๆ พร้อมกับใบหน้าอันดื้อดึง ฉินสือโอวจึงจำต้องให้อาหารเม็ดสำหรับสุนัขกับมันไป ไม่คิดเลยว่าเจ้าหมีจะชอบรสชาติอาหารสุนัขขนาดนี้


                คาลดิลแลควันคู่ควรกับการเป็นรถยนต์หรูหราที่มีราคามูลค่ามากกว่าสองล้านในประเทศจีน เบาะหลังที่ยาวติดกันไม่มีแม้รอยต่อราวกับห้องสวีทขนาดเล็ก ฉินสือโอวเปิดทีวีแอลซีดีดูละครโทรทัศน์อย่างมีอรรถรสผ่านหูฟังของเขา ในช่วงระหว่างที่รอการมาเยือนของเหล่าเม่น


                หู่จือและเป้าจือต่างก็ทราบดีว่าคืนนี้มีภาระอันยิ่งใหญ่รอพวกมันอยู่ เจ้าสองตัวนั้นแลบลิ้นออกมาและดวงตาอันสดใสของพวกมันก็เคลื่อนย้ายไปยังหน้าต่างเพื่อมองดูสถานการณ์ด้านนอกอย่างตั้งอกตั้งใจ


                ฉงต้าอยู่ในมุมของตัวเองจริงจังกับการเคี้ยวอาหารสุนัขอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งสองมือก็ถือจานซึ่งดูใหญ่พิลึก ดูแล้วมันคงจะกินลำบากพอดู


                นี่ก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว ยังไม่มีทีท่าของพวกเม่นเลย เจ้าสุนัขทั้งสองดูเหมือนกันหมดความอดทน ส่วนเจ้าฉงต้านั้นหลังจากกินจนอิ่มก็นิ่งเงียบสู่ห้วงนิทรา ในขณะที่ปากยังมีอาหารสุนัขคาไว้อยู่


                ฉินสือโอวเองเริ่มรู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง จึงนำจิตสำนึกโพไซดอนลงไปในกลางทะเล


                …………………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)