พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 969-972
บทที่ 969 ผู้หญิงที่มีสามีแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
แค่มองการแต่งกายและคุณสมบัติเฉพาะตัวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดา อยู่เป็นคนงานที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุหลายปีขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะมีตาแต่ไร้แวว คนงานรีบเข้ามารับแขกทันที ต้อนรับอย่างอบอุ่น
หวงฝู่จวินโหรวที่เดินเข้าประตูมายิ้มให้พนักงาน แล้วพยักหน้าเบาๆ กวาดสายตามองในร้านค้า พอสบตากับเหมียวอี้ นางก็รีบหลบตา ทำเหมือนไม่เห็นท่านขุนนางเหมียวอยู่ในสายตา สิ่งนี้ทำให้ท่านขุนนางเหมียวโล่งใจมาก ถ้าไม่สนใจเขาได้จะดีที่สุด
ดันเป็นเวลานี้ สวีถังหรานบอกกับอวิ๋นจือชิวว่า “น้ำจิตน้ำใจที่สหายเหมียวมีต่อเถ้าแก่เนี้ย คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก็รู้กันหมด เถ้าแก่เนี้ยลองพิจารณาดูให้ดีนะ”
อวิ๋นจือชิวทำได้เพียงอมยิ้ม แต่ไม่แสดงท่าทีอะไร
หารู้ไม่ว่าคำพูดนี้กลับทำให้เหมียวอี้กินปูนร้อนท้อง เขารีบเหลือบมองหวงฝู่จวินโหรว
เป็นอย่างที่คาดไว้ หวงฝู่จวินโหรวที่กำลังก้มหน้าดูเครื่องประดับในตู้แสดงสินค้า พอได้ยินแล้วเอียงหน้ามองมา สายตาไปหยุดอยู่ที่อวิ๋นจือชิว จากนั้นก็ถามพนักงานที่อยู่ข้างกายเพื่อยืนยันว่า “คนไหนคือเถ้าแก่เนี้ยของพวกเจ้า?”
พนักงานย่อมชี้ไปยังอวิ๋นจือชิวที่กำลังอยู่กับลูกค้าที่มาจากจวนผู้บัญชาการ “ท่านนั้นคือเถ้าแก่เนี้ยของพวกเราขอรับ”
หวงฝู่จวินโหรวขมวดคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นก็หันตัวเดินเข้าไป แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พวกขุนพลช่างมีอารมณ์สุนทรีย์จริงๆ นะ!”
“ผู้จัดการร้านหวงฝู่มาแล้ว!” พวกทหารเลวพากันพยักหน้าทักทาย
หวงฝู่จวินโหรวมองไปที่อวิ๋นจือชิวอีก “ท่านนี้คือเถ้าแก่เนี้ยของ ‘ร้านโฉมเมฆา’ เหรอ ไม่ทราบว่าเถ้าแก่เนี้ยยังจำได้หรือเปล่า พวกเราเคยเจอกันมาก่อน”
อวิ๋นจือชิวเพียงเคยได้ยินเหมียวอี้พูดถึง ว่าผู้หญิงคนนี้เกือบทำให้เหมียวอี้ตาย ในใจย่อมไม่ปลื้มนางอยู่แล้ว แต่บนใบหน้ายังยิ้มทักทายอย่างสดใส “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ช่างความจำดีจริงๆ! ข้าจะลืมได้อย่างไร ตอนแรกยังไปรบกวนที่ร้านค้าสมาคมวีรชนอยู่เลย อวิ๋นจือชิวคำนับผู้จัดการร้านหวงฝู่!” อวิ๋นจือชิวคำนับทักทาย
หวงฝู่จวินโหรวคำนับกลับ แล้วกวาดสายตามองในร้าน ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ที่แท้เครื่องประดับที่ร้านขายของชำซื่อตรงขายก็มาจากเถ้าแก่เนี้ยนี่เอง ยามเห็นเมฆาคนึงหาอาภรณ์ ยามเห็นบุปผาคนึงหาโฉมงาม ร้านโฉมเมฆา ช่างเป็นชื่อร้านที่ดีจริงๆ เถ้าแก่เนี้ยคงไม่รู้ว่าทำให้ผู้หญิงมากมายเท่าไรอิจฉาแทบตาย!”
“ธุรกิจเล็กๆ ของร้านนี้เทียบร้านค้าสมาคมวีรชนไม่ติดหรอก” อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างเกรงใจ จากนั้นก็กล่าวขออภัยพวกสวีถังหราน “ขุนพลทุกท่านเชิญตามสะดวก” จากนั้นหันตัวมายื่นมือเชิญหวงฝู่จวินโหรว พาหวงฝู่จวินโหรวเดินดูสินค้าด้วยตัวเอง แนะนำเครื่องประดับที่วางแสดงด้วยตัวเอง
ฉากนี้ทำให้เหมียวอี้รู้สึกเหงื่อแตก
“พี่หนิว ทำไมสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวล่ะ?” สวี่เต๋อหรานมาโผล่ข้างกายเหมียวอี้และตบบ่าเขา
ข่งเฟยฝานเข้ามาเดาะลิ้นแล้วบอกว่า “พี่หนิวมองจนตาค้างหมดแล้ว แต่จะว่าไปแล้ว ก็อาจจะสวยสู้ผู้จัดการร้านหวงฝู่ไม่ได้ แต่เสน่ห์แบบนั้นพบได้น้อยมากจริงๆ เถ้าแก่เนี้ยแซ่อวิ๋นช่างเป็นผู้หญิงที่สวยโดดเด่น เห็นแล้วมีแรง ไม่แปลกใจที่พี่หนิวจีบไม่เลิกแบบนี้”
เหมียวอี้ได้สติกลับมา แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “แต่อีกฝ่ายเหมือนจะไม่สนใจอะไรข้าเลยนะ! แถมยัง… ไม่ปิดบังก็ได้ เถ้าแก่เนี้ยคนนี้เป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว”
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอก ต้องทำให้ดูเหมือนทั้งสองมีระยะห่างกัน ไม่อย่างนั้นถ้างานของเขามีอะไรผิดพลาด ก็เป็นไปได้สูงว่าจะทำให้ร้านโฉมเมฆาลำบากไปด้วย เรื่องนี้เขาปรึกษากับอวิ๋นจือชิวไว้เรียบร้อยแล้ว
ผู้หญิงที่มีสามีแล้ว? คนที่ล้อมเข้ามาอึ้งทันที หลังจากมองหน้ากันเลิกลั่ก ก็มองไปทางเหมียวอี้ด้วยสายตาแปลกๆ พึมพำในใจว่า เจ้าชอบผู้หญิงที่มีสามีก็ว่าแย่แล้ว แต่การจีบอย่างสง่าผ่าเผยแบบนี้มันเกินไปหน่อยมั้ง
หลัวว่านกวงไอแห้งๆ ทีหนึ่ง แล้วถามเสียงต่ำว่า “พี่หนิว เจ้าคิดจะเล่นๆ หรือจะเอาจริง? ถ้าคิดจะเล่นๆ งั้นก็สงบเสงี่ยมไว้หน่อยเถอะ ไม่อย่างนั้นเจ้าทำแบบนี้จะโจ่งแจ้งเกินไป ดีไม่ดีจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียง ต่อให้ผู้ชายจะเจ้าชู้ แต่ก็ต้องได้มาด้วยวิธีที่ถูกต้อง ภายนอกต้องรักษาภาพพจน์มั่งสิ ถ้ามากเกินไป เกรงว่าพวกเราจะช่วยเจ้าไม่ได้!”
คนที่เหลือพยักหน้าเห็นด้วย ในใจรู้สึกเบื่อหน่ายมาก เจ้าจะจีบผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นขุนพล กลุ่มขุนพลมาช่วยเจ้าจีบผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปจะไม่แย่เหรอ? ถึงอย่างไรทุกคนก็ทำงานให้ตำหนักสวรรค์ อย่างน้อยก็ต้องรักษาหน้าตาบ้าง ถ้าตอนได้โยกย้ายเลื่อนขั้นมีคนนำเรื่องนี้มาโจมตีจุดอ่อน อนาคตก็ถูกทำลายหมดแล้ว
เหมียวอี้กลับกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ย่อมต้องอยากคิดจะแต่งงานกับนางอยู่แล้ว”
ทุกคนงงมาก ปู้เหลียนจงกล่าวเสียงต่ำว่า “พี่หนิว เรื่องแบบนี้ต้องรอบคอบไว้นะ ในใต้หล้ามีดอกไม้หอมอยู่ทั่วทุกที่ เหตุใดต้องรักข้างเดียวกับดอกไม้ก้านเดียว แค่เล่นๆ ก็พอแล้ว ถ้าเจ้าเคยแต่งงานมาแล้วก็ว่าไปอย่าง ทั้งคู่สมน้ำสมเนื้อกันก็ไม่เป็นไร แต่คนบริสุทธิ์อย่างเจ้า มันใช่เรื่องเหรอที่จะแต่งงานกับผู้หญิงที่มีสามีแล้ว? ผู้หญิงที่แต่งงานครั้งที่สอง ไม่มีสิทธิ์จะได้เป็นภรรยาเอกด้วยซ้ำ ถ้าแต่งงานกลับมาจริงๆ เกรงว่าแม้แต่บรรพบุรุษก็ยังเสียหน้า ต้องโมโหจนคลานออกมาจากหลุมศพแน่ รอบคอบหน่อย คิดดูอีกทีเถอะ!”
เหมียวอี้แสดงท่าทีแน่วแน่มาก กล่าวอย่างมุ่งมั่นเด็ดขาดว่า “หนิวคนนี้ไม่ได้มั่ว ทำเรื่องเล่นๆ แบบนั้นไม่ได้หรอก!”
ทุกคนได้ยินแล้วพูดไม่ออก ไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี สุดท้ายสวีถังหรานก็หัวเราะแห้งๆ แล้วแอบกระซิบถามเบาๆ “ในเมื่อพี่หนิวมีรสนิยมแบบนี้ งั้นก็ง่ายเหมือนกัน เจ้าตัวอยู่ในอาณาเขตของพวกเรา แสดงว่าเป็นเป็ดในหม้อต้ม บินหนีไปไหนไม่ได้แล้ว เจ้ารู้หรือเปล่าว่าสามีของนางเป็นใคร ขอเพียงทำให้นางเป็นแม่หม้าย เรื่องนี้ก็จัดการได้สะดวกแล้ว”
เมียเจ้าสิที่จะกลายเป็นแม่หม้าย! เหมียวอี้สบถในใจ แต่ภายนอกส่ายหน้าตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่เคยเจอผู้ชายของนาง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำงานอะไร”
ทุกคนพูดไม่ออกอีกครั้ง เจ้าอย่าให้พวกเราหลงหลุมไปด้วยเลย
สวีถังหรานทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน เปลี่ยนคำพูดทันที “งั้นก็ต้องระวังตัวจริงๆ แล้ว ผู้หญิงคนนี้ดูมีสง่าราศีไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าเคยถูกกล่อมเกลามาก่อน ถ้าผู้ชายของนางเป็นประเภทที่พวกเราไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว คงเป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยนจริงๆ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้หญิงคนนี้มาทำลายอนาคตนะพี่หนิว!”
คนที่เหลือพยักหน้า ส้าวเติงก่วงบอกว่า “เอ่อคือ พี่หนิว ข้ายังมีธุระนิดหน่อย อยู่นานไม่ได้ ขอตัวกลับก่อนนะ”
“ข้าไปด้วยสิ!” ปู้เหลียนจงพูดตามทันที
กลุ่มทหารสวรรค์ตีกลองถอยทัพแล้ว พวกเขาไม่อยากแส่หาเรื่อง ต้องการจะหนีกันหมด แต่เหมียวอี้กลับดึงพวกเขาไว้ “ในเมื่อพี่ใหญ่ทุกท่านมาแล้ว ก็อยู่เป็นหน้าเป็นตาให้น้องชายสักหน่อยสิ? อีกฝ่ายเพิ่งจะเปิดร้าน พวกพี่ๆ ช่วยซื้อเครื่องประดับติดมือกลับไปบ้างสิ” นี่เป็นการหาเงินให้ตัวเอง จะไม่กระตือรือร้นได้อย่างไร
“ไม่ใช่มั้ง?” สวีถังหรานหดหัว แล้วกล่าวเสียงอ่อนปวกเปียก “พี่หนิว สินค้าที่นี่ ราคาถูกสุดก็หนึ่งล้านผลึกแดงแล้ว มีแต่ของที่ผู้หญิงชอบ ไม่มีประโยชน์อะไรกับการฝึกตนเลย ไม่มีความหมายในสายตาผู้ชาย พวกเราจะซื้อไปทำไม?”
“ครั้งก่อนพวกพี่ๆ ก็หาเงินมาได้ก้อนหนึ่งแล้ว ช่วยกันหน่อยเถอะ!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะต่อทุกคน
เพื่อนร่วมงานทั้งหกคนปวดประสาทนิดหน่อย ถ้ารู้แต่แรก ต่อให้ตีให้ตายก็ไม่มาประสมโรงด้วยหรอก หนึ่งล้านผลึกแดงสามารถแลกยาแก่นเซียนได้สิบเม็ดเชียวนะ มีแต่คนที่กินข้าวอิ่มแล้วไม่มีงานทำเท่านั้น ถึงจะโยนยาแก่นเซียนสิบเม็ดทิ้งเพราะเครื่องประดับบ้าๆ นี่ชิ้นเดียว
“เครื่องประดับของร้านขายของชำซื่อตรงในปีนั้นมีผู้หญิงชอบเยอะขนาดไหน พี่ใหญ่ทุกคนคงเคยได้ยินมาแล้ว ตัวเองไม่ใช้ แต่ซื้อไปง้อผู้หญิงได้นะ…”
ในขณะที่เหมียวอี้ ‘เป็นคนกลางแนะนำให้’ อย่างหน้าด้านกระตือรือร้น ทหารเลวทั้งหกก็กัดฟันซื้อไปคนละชิ้น พวกเขาไม่ได้กำลังไว้หน้าเหมียวอี้ แต่กำลังไว้หน้าโค่วเหวินหลานเพราะไม่แน่ใจว่าเจ้าเจ้าบ้านี่กับโค่วเหวินหลานมีความสัมพันธ์กันอย่างไร คงไม่ดีถ้าจะไม่ไว้หน้า
อวิ๋นจือชิวที่กำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานกับหวงฝู่จวินโหรว พอเห็นเหมียวอี้ช่วยเรียกลูกค้า ในใจก็แอบขำ แน่นอนว่าดูออกว่าลูกค้าพวกนั้นไม่ค่อยเต็มใจ
หวงฝู่จวินโหรวแอบเหลือบมองหลายครั้ง ขณะกำลังส่องกระจกเทียบปิ่นปักผมบนศีรษะตัวเอง นางก็ถือโอกาสกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ดูออกเลยว่าขุนพลหนิวใส่ใจธุรกิจของถ้าแก่เนี้ยมาก! สงสัยขุนพลหนิวกับเถ้าแก่เนี้ยจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดานะ!”
อวิ๋นจือชิวกลับเกิดความระมัดระวังในใจ นางรู้เพียงว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ถูกกับเหมียวอี้ กังวลว่าตัวเองจะกลายเป็นจุดอ่อนให้นางบีบ แน่นอนว่าต้องปฏิเสธเรื่องความสัมพันธ์ เพียงตอบพร้อมรอยยิ้มจืดๆ “เป็นแค่สหายธรรมดาเท่านั้น”
หวงฝู่จวินโหรวเอียงหน้ายิ้มอย่างสนิทสนม “แต่ไม่เหมือนสหายธรรมดาเลยนะ ข้าได้ยินว่าขุนพลหนิวท่านนี้กำลังตามจีบเถ้าแก่เนี้ย”
หลังจากนางได้ยินข่าวลือนี้ ในใจก็เกิดความแค้น อยากจะมาดูว่าเถ้าแก่เนี้ยหน้าตางดงามอย่างไรกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เหมียวอี้หลงใหลจนใจลอย นี่ก็คือสาเหตุที่นางมาที่ ‘ร้านโฉมเมฆา’ ในวันเปิดร้าน เมื่อเห็นว่าเถ้าแก่เนี้ยคือผู้หญิงที่นางเคยพบมาก่อน ในใจก็จำต้องยอมรับ ว่าถึงแม้อีกฝ่ายอาจจะไม่สวยเท่าตน แต่เสน่ห์ความเย้ายวนที่แฝงอยู่ในความสง่างามแบบนั้น เป็นสิ่งที่ตนเทียบไม่ติด
สิ่งนี้ทำให้นางแค้นจนกัดฟันกรอด ที่แท้เหมียวอี้ก็ชอบผู้หญิงแบบนี้นี่เอง! นางย่อมรู้ชัดอยู่แล้ว ว่าตอนแรกที่เหมียวอี้มาอยู่กับนาง ล้วนเป็นเพราะความผิดพลาดทั้งนั้น เหมียวอี้ไม่นับว่าชอบนางเท่าไรเลย สิ่งนี้ทำให้หวงฝู่จวินโหรวไม่พอใจมาก เพราะนางชอบเหมียวอี้
ตอนแรกนางยังไม่เข้าใจว่าตัวเองชอบเหมียวอี้ แต่หลังจากมีความสัมพันธ์กัน แล้วนึกขึ้นได้ว่าตัวเองหยิบปิ่นแมลงปอสีแดงออกมาทุกครั้งที่นั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง นางถึงได้เข้าใจ ว่าแท้จริงแล้วนางชอบเหมียวอี้ตั้งแต่ตอนที่เขาปักปิ่นให้นางครั้งแรก สิ่งนี้ฝังลึกอยู่ในใจของนาง ยากที่จะลบเลือนไปได้!
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้ายิ้ม “ข้าเป็นผู้หญิงที่มีสามีแล้ว ข้ากับเขาไม่มีทางเป็นไปได้”
หวงฝู่จวินโหรวงุนงงกับสิ่งนี้ โดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานจะไม่นำเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น แต่ผ่านไปชั่วพริบตาเดียว ในใจนางก็คับแค้นหนักกว่าเดิม ได้แต่ฝืนยิ้มพร้อมบอกว่า “แต่ขุนพลหนิวดูเหมือนจะไม่ถือสาเรื่องนี้เท่าไรนะ แน่วแน่กับเถ้าแก่เนี้ยมาก ไม่อย่างนั้นจะลากเพื่อนร่วมงานมาเป็นหน้าเป็นตาให้เถ้าแก่เนี้ยได้อย่างไร?”
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้าตอบ “ถึงอย่างไร สำหรับข้าก็เป็นไปไม่ได้”
หวงฝู่จวินโหรวจ้องนางผ่านทางกระจกแวบหนึ่ง บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร นางถอดปิ่นลงมาพร้อมบอกว่า “เอาด้ามนี้แล้วกัน!”
อวิ๋นจือชิวไปที่โต๊ะชำระเงินกับนางทันที แล้วบอกบัณฑิตว่า “ให้ราคาที่พิเศษที่สุดกับผู้จัดการร้านหวงฝู่!”
“ขอรับ!” บัณฑิตเอ่ยรับด้วยความยินดี
ต่อให้เป็นราคาพิเศษ แต่ปิ่นปักผมด้ามนี้ก็ทำให้หวงฝู่จวินโหรวต้องจ่ายยี่สิบกว่าล้านผลึกแดง
และตรงประตู หลังจากพวกสวีถังหรานออกจากร้านค้ามาแล้ว ทั้งหกก็พากันทอดถอนใจ แบบนี้เรียกว่ามาให้เชือดถึงที่!
“พี่ชายทุกท่านกลับดีๆ นะ ครั้งหน้าค่อยมาใหม่!” เหมียวอี้ยืนโบกมือส่งแขกตรงหน้าประตู
พวกเขาหันกลับมาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มฝืนๆ พอหันตัวไป สวีถังหรานก็พึมพำว่า “ครั้งหน้าต่อให้ตีให้ตาย ข้าก็จะไม่มาที่นี่อีก”
เหมียวอี้แอบยิ้มในใจ ข้าจะคอยดูว่าพวกเจ้าจะกล้ามาประสมโรงที่นี่อีกหรือเปล่า แต่พอหันหน้ากลับมา เขาก็ยิ้มไม่ออกทันที อวิ๋นจือชิวออกมาส่งหวงฝู่จวินโหรวด้วยตัวเอง พวกนางคุยกันประมาณว่าวันหลังจะไปมาหาสู่กันบ่อยๆ เหมียวอี้ได้ยินแล้วแอบตื่นตระหนกในใจ พวกเจ้าจะไปมาหาสู่กันบ่อยๆ เหรอ?
ทั้งสามเจอกันตรงประตูพอดี หวงฝู่จวินโหรวยิ้มอย่างสนิทสนมพร้อมบอกว่า “ขุนพลหนิวใส่ใจธุรกิจของพี่อวิ๋นดีเชียวนะ”
“ก็ช่วยๆ กัน!” เหมียวอี้ตอบหัวเราะแห้งๆ ขายผ้าเอาหน้ารอด
ใครจะไปคิดล่ะ หวงฝู่จวินโหรวกลับถ่ายทอดเสียงหาเขาต่อหน้าอวิ๋นจือชิว “เจ้าแซ่หนิว ยังมียางอายอยู่มั้ย? ข้าเคยเจอคนไร้ยางอายมาก่อน แต่ไม่เคยเจอใครไร้ยางอายเท่าเจ้าเลย แม้แต่ผู้หญิงที่มีสามีแล้ว เจ้าก็ไม่เว้นเหรอ?”
…………………………
บทที่ 970 ชัยภูมิถ้ำสวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหมียวอี้ไม่โมโหกับคำด่านี้ ทั้งยังอธิบายกับอีกฝ่ายไม่ได้ด้วย นี่ก็คือสาเหตุที่เขาไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวมาที่พิภพใหญ่ พอจินตนาการว่าผู้หญิงคนนี้จะได้เจอกันทุกๆ สามวันห้าวัน เขาก็อกสั่นขวัญแขวนแล้ว ทางหวงฝู่จวินโหรวยังไม่เท่าไร กลัวก็แต่อวิ๋นจือชิวจะสู้ตายกับเขาหลังจากที่รู้ ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเมียตัวเองนิสัยเป็นอย่างไร เวลาจะหยาบคายไร้เหตุผลขึ้นมา ก็เหมือนแม่ค้าปากตลาดอย่างแท้จริงๆ ดีไม่ดีอาจจะฉวยโอกาสตอนของเขาตอนเขาหลับก็ได้
สิ่งที่ทำให้เขาขนหัวลุกที่สุดก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าหวงฝู่จวินโหรวจะถ่ายทอดเสียงคุยกับเขาต่อหน้าอวิ๋นจือชิว เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นจือชิวรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ นางมองทั้งสองด้วยความสงสัย
เหมียวอี้ทำได้เพียงถ่ายทอดเสียงตอบ “เกี่ยวอะไรกับเจ้าล่ะ?”
ไม่เกี่ยวอะไรหรอก ตนถึงขั้นช่วยคนอื่นฆ่าเขาด้วยซ้ำ! แต่หวงฝู่จวินโหรวได้ยินแล้วอยากจะเตะเขาให้ตาย แสยะยิ้มตอบว่า “ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าหรอก แต่ข้ารับรองว่าเจ้าจีบนางไม่ติดแน่นอน!” พูดจบก็หันหน้าเดินจากไป
เจ้ารับรองเลยเหรอ? เจ้าเอาอะไรมารับรอง? เหมียวอี้ได้ยินแล้วแทบจะเงยหน้าหัวเราะลั่น อยากจะบอกหวงฝู่จวินโหรวมากว่า นางเป็นผู้หญิงของข้าตั้งนานแล้ว ถ้าข้าเต็มใจ นางก็มีโอกาสคลอดลูกชายให้ข้ามากกว่าเจ้าอีก!
“ผู้จัดการร้านหวงฝู่กลับดีๆ!” อวิ๋นจือชิวยังโบกมือส่ง แล้วก็หันหน้ามาถามเหมียวอี้ด้วยเสียงต่ำเบาว่า “พวกเจ้าถ่ายทอดเสียงคุยอะไรกันต่อหน้าข้า? คงไม่ได้แอบทำเรื่องผิดอะไรลับหลังข้าหรอกนะ?”
เมื่อก่อนถ้าได้ยินคำนี้ เขาคงจะอกสั่นขวัญแขวน แต่ตอนนี้เหมียวอี้เริ่มค่อยๆ มีภูมิคุ้มกันเวลานางโพล่งถามเหมือนสงสัยเขา รู้ว่านางปากไม่ตรงกับใจ จึงตอบเบาๆ ว่า “พูดเหลวไหล ข้ากับนางก็แค่ขู่กันเฉยๆ เท่านั้น”
ที่จริงอวิ๋นจือชิวไม่ได้คิดเลยว่าทั้งสองจะทำเรื่องน่าอับอายกันจริงๆ ถึงอย่างไรทั้งสองก็เป็นศัตรูคู่แค้นที่หมายจะเล่นงานกันถึงตาย ถ้าสงสัยเหมียวอี้กับคนอื่นยังพอเป็นไปได้ แต่ไม่มีทางสงสัยหวงฝู่จวินโหรว คำพูดประเภทนี้ของนาง เป็นเพียงคำด่าหยอกระหว่างคู่รักที่นางใช้ระบายอารมณ์กับเหมียวอี้จนชินแล้ว
สองสามีภรรยากลับเข้ามาในร้าน เหมียวอี้ถือโอกาสมองไปยังของในตู้แสดงสินค้าแวบหนึ่ง แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “ข้าว่าราคาของในตู้สูงจนไร้เหตุผลไปหน่อยรึเปล่า ต่างหูคู่เดียวก็หนึ่งล้านผลึกแดงแล้ว สร้อยคอเส้นเดียวเจ้ากล้าขายหนึ่งร้อยล้านผลึกแดงเลยเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวตอบว่า “เจ้าหรือข้าที่เข้าใจผู้หญิงมากกว่ากัน? ของแบบนี้ยิ่งเจ้าเน้นปริมาณขายเยอะ ก็จะได้กำไรไม่เท่าไร ของที่ยิ่งทำให้ผู้หญิงปรารถนาอยากได้ ก็ยิ่งทำเงินจากผู้หญิงได้ ต้องทำให้คนส่วนใหญ่ซื้อไม่ไหวสิ ถึงจะมีคนอยากซื้อมากขึ้น ช่างเถอะ หัวใจที่รักสวยรักงามของของผู้หญิง พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง ปลายปีคอยดูว่าฮูหยินของเจ้าขายได้กำไรเท่าไร เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง!”
เหมียวอี้หัวเราะจนตัวโยน หวังว่าสิ่งที่นางพูดจะเป็นความจริง แต่จะสนใจอะไรนางล่ะ มีร้านนี้ไว้ฆ่าเวลาให้นางเท่านั้น ขอแค่นางเล่นอย่างมีความสุขก็พอแล้ว
“มานี่สิ ข้าจะให้เจ้าดูอะไรบางอย่าง!” อวิ๋นจือชิวถ่ายทอดเสียงบอก
ทั้งสองเดินขึ้นชั้นบน พอเดินมาถึงห้องที่เยารั่วเซียนอยู่ อวิ๋นจือชิวก็เคาะประตู ข้างในไม่มีเสียงตอบ จึงผลักเข้าไปโดยตรง พบว่าในห้องไม่มีใครอยู่เลยสักคน
“ตาแก่เยาไปไหนแล้ว?” เหมียวอี้แปลกใจ
อวิ๋นจือชิวชี้ไปยังศาลเจ้าหลังหนึ่งที่วางอยู่บนชั้นติดกำแพง แล้วตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “วางค่ายกลไว้แล้ว ถ้าไม่ได้เดินออกประตูใหญ่ ก็ไม่มีเหตุผลที่ข้าจะไม่สังเกตเห็น นี่คือ ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ ที่ข้าซื้อให้เขา เขาคงเข้าไปหลบอยู่ในนั้น จึงตะโกนใส่ศาลเจ้าว่า “ท่านจื่อหยาง!”
พอสิ้นเสียง ในศาลเจ้าก็มีแสงยิงออกมาสายหนึ่ง ปรากฏเป็นเงามายาตรงหน้าศาลเจ้า อวิ๋นจือชิวก้าวเข้าไปช้าๆ แล้วเงาคนก็หายไปในเงามายานั้น ตอนหลังเหมียวอี้เดินตามเข้าไป พอก้าวเข้าไปในเงามายา ภาพตรงหน้าก็กลายเป็นฟ้าดินอีกแห่งทันที
ในลานบ้านเล็กๆ มีเสียงหายใจดังเป็นพักๆ เฮยทั่นกำลังนอนงีบอยู่ในศาลา มันกินยาเจี๋ยตันขั้นห้าไป ไม่รู้ว่าจะตื่นเมื่อไร
ในลานบ้านยังมีเตาหลอมของเยารั่วเซียนวางอยู่ด้วย บนบันไดนอกห้องโถงเล็กๆ เยารั่วเซียนกำลังนั่งขัดสมาธิ เพียงเงยหน้ามองทั้งสองแวบหนึ่ง แล้วก็เล่นของวิเศษในมือตัวเองต่อไป พอตกอยู่ในสภาพนี้ ก็ไม่เห็นเหมียวอี้กับภรรยาอยู่ในสายตาแล้ว
อวิ๋นจือชิวชี้ไปที่ลานบ้านพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อมี ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ นี้แล้ว เขาก็สามารถศึกษาวิธีหลอมของวิเศษในร้านค้าได้อย่างสงบได้ ตอนนี้เขาสนใจของวิเศษที่พิภพใหญ่มาก”
เหมียวอี้มองไปรอบๆ พบว่าภาพในห้องด้านนอกลานบ้านชัดเจนมาก แต่เหมือนสิ่งของจะเปลี่ยนเป็นใหญ่ขึ้นแล้ว ตอนอยู่ในลานบ้านแล้วมองไปในห้องข้างนอก ก็รู้ว่าว่าตัวเองเหมือนเป็นตุ๊กตาตัวเล็ก เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมากจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาในชัยภูมิถ้ำสวรรค์
พอหันกลับมองมองสิ่งของที่เยารั่วเซียนกำลังถือเล่นอยู่ในมือ ก็ขมวดคิ้วถามว่า “ปีศาจเฒ่า เกราะรบชุดนั้นของข้า เมื่อไรท่านจะเริ่มหลอมสร้างให้?”
เยารั่วเซียนไม่สนใจเขาเลย อวิ๋นจือชิวจึงยิ้มบางๆ และตอบแทนว่า “ท่านจื่อหยาง สถานการณ์ที่พิภพใหญ่ไม่ค่อยดีสำหรับพวกเรา เกราะรบชุดนั้นมีประโยชน์ต่อหนิวเอ้อร์มาก หวังว่าท่านจะใช้ความคิดกับมันสักหน่อย ช่วยทำให้เขาเร็วๆ”
เยารั่วเซียนได้ยินแล้วเงยหน้า พยักหน้าตอบว่า “ฮูหยินไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้ข้าจะเริ่มหลอมสร้างแล้ว”
เหมียวอี้กลอกตามองบนทันที เจ้าปีศาจเฒ่าเห็นคำพูดของเขาเป็นเหมือนลมตด!
ที่จริงเยารั่วเซียนหวาดกลัวอวิ๋นจือชิวมาก สามารถปีนเกลียวเหมียวอี้ได้ แต่กลับไม่กล้าทำกำเริบเสิบสานต่อหน้าอวิ๋นจือชิว ประการแรกเป็นเพราะชื่อเสียงของหลานสาวปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนสามารถกดดันเขาได้หลายส่วน ประการต่อมาเป็นเพราะเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ล้วนอยู่ในการควบคุมดูแลของอวิ๋นจือชิว
“งั้นก็ดี พวกเราสองสามีภรรยาไม่รบกวนแล้ว” อวิ๋นจือชิวตอบพร้อมยิ้มบางๆ ก่อนจะหันตัวไปพยักหน้าให้เหมียวอี้ แล้วมุดออกจากประตูใหญ่ของเงามายาพร้อมกัน กลับมาอยู่ในห้องด้านนอกศาลเจ้าแล้ว
เหมียวอี้หันกลับไปมองแวบหนึ่ง เงามายานั้นพลันหายไปแล้ว พอเดินออกจากประตู เหมียวอี้ก็ถามว่า “เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์พักที่ไหน?”
“พวกนางพักอยู่กับข้า!” อวิ๋นจือชิวพาเขาขึ้นไปชั้นบนสุด ไปที่ห้องนอนของนาง
ศาลเจ้าที่วางอยู่ในห้องสะดุดตามาก พออวิ๋นจือชิวร่ายอิทธิฤทธิ์ชี้ เงามายาแบบเดียวกันก็ยิงกระจายออกมานอกศาลเจ้า แล้วทั้งสองก็เข้าไปพร้อมกัน
ลานบ้านที่อยู่ตรงหน้าใหญ่กว่าลานบ้านของเยารั่วเซียนเยอะ ตั๊กแตนฝูงหนึ่งกำลังกัดกินผลึกแดงเสียงดังกรอบแกรบ
อวิ๋นจือชิวพาเขาเดินเล่นรอบหนึ่ง มีโถงหลัก มีลานบ้านด้านหลัง ในลานบ้านด้านหลังมีห้องนอนหลัก ฝั่งซ้ายและขวามีห้องรอง อวิ๋นจือชิวชี้ไปยังห้องทางซ้ายและขวา “สองฝั่งนี้เป็นที่พักของเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ตรงกลางเป็นห้องของพวกเรา”
เหมียวอี้เผยรอบยิ้มมีลับลมคมใน วางมือข้างหนึ่งที่เอวอ่อนของนาง แล้วลูบไล้บนบั้นท้าย “เอ่อคือ ฮูหยิน เหมือนพวกเราจะไม่เคยจู๋จี๋กันใน ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ เลยนะ ปกติข้าไม่สะดวกจะมาที่นี่บ่อยด้วย ในเมื่อมีโอกาสเหมาะ ก็ปล่อยตามธรรมชาติ…”
“ออกไป!” อวิ๋นจือชิวทำเสียงหงุดหงิด บิดตัวหลบมือมารของเขา แล้วกลอกตาอย่างหยาดเยิ้ม “วันเปิดร้านแท้ๆ ถ้าไม่เห็นเงาเถ้าแก่เนี้ยเลยคงไม่เข้าท่าแล้ว วันนี้ไม่ได้!” พูดจบก็จับเขาหันตัวไป “อย่าพูดจาเหลวไหล เจ้าเองก็อยู่กับข้านานเกินไปไม่ได้เหมือนกัน ออกไปๆ!”
พอออกจากชัยภูมิถ้ำสวรรค์ เหมียวอี้ก็กล่าวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เจ้าไม่อยู่กับข้า งั้นข้าไปหาเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์นะ?”
“สันดานคน!” อวิ๋นจือชิวพูดดูถูก แล้วออกจากห้องนั้นมาคนเดียว ไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้าน
เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ ผ่านไปครู่เดียวก็ไปหาเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่กำลังงานยุ่งอยู่ที่ลานบ้านด้านหลังของร้านค้า แล้วก็จูงมือสองสาวที่กำลังเขินอายเข้าไปในชัยภูมิถ้ำสวรรค์…
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ตอนที่เหมียวอี้มาที่ร้านค้าอีกครั้ง ก็พบว่าอวิ๋นจือชิวเริ่มคบค้ากับพวกสตรีสูงศักดิ์ของตำหนักสวรรค์แล้ว ผู้หญิงหลายคนกำลังนั่งพูดคุยหัวเราะคิกคักอยู่ในห้องที่หรูหรา
“เสวี่ยเอ๋อร์ ไปหาผู้จัดการร้าน นำเครื่องประดับราคาแพงที่ไม่ได้ตั้งแสดงมาให้ฮูหยินทั้งหลายดูหน่อยสิ”
อวิ๋นจือชิวที่อยู่ด้านในเพิ่งจะพูดจบ เสวี่ยเอ๋อร์ที่แหวกม่านไข่มุกออกมาก็พบว่าเหมียวอี้แอบฟังอยู่ข้างนอก ก็แลบลิ้นให้เหมียวอี้เงียบๆ แล้วรีบออกไป
ผ่านไปครู่เดียว นางก็หอบกล่องเครื่องประดับที่งดงามประณีตกลับมาหลายใบ ทำให้ด้านในมีเสียงเดาะลิ้นชื่นชมของผู้หญิงดังขึ้นเร็วมาก
ท่ามกลางเสียงเจื้อยแจ้วของกลุ่มผู้หญิง ก็ได้ยินเสียงอวิ๋นจือชิวแซมออกมา “หันฮูหยิน ชิ้นที่แพงที่สุดอาจจะไม่ได้เหมาะกับท่านเสมอไป ท่านลองดูชิ้นนี้สิคะ ชิ้นนี้เหมาะกับราศีบนใบหน้าท่านที่สุด ท่านลองสิ”
คำพูดนี้ให้ความรู้สึกเหมือนนางอยากจะหาเพื่อนมากกว่าขายของ เหมียวอี้แอบฟังจนปวดประสาท ส่ายหน้ายิ้มเจื่อนๆ แล้วหันตัวเดินจากไป พบว่าเมียตัวเองถนัดเรื่องเข้าสังคมจริงๆ ด้วย ดูท่าทางแล้ว คงเป็นเรื่องยากที่ร้านค้าร้านนี้จะไม่ทำเงิน
หนึ่งเดือนจากนั้น วันหนึ่งตอนที่เหมียวอี้มาอีกครั้ง ก็พบว่ามีเกี้ยวสีดำหลังหนึ่งจอดอยู่นอกร้านค้า ประตูร้านปิดครึ่งหนึ่ง บันฑิตและพวกพ่อครัวเฝ้าอยู่ที่ประตู
เหมียวอี้ที่กำลังประหลาดใจอยากจะเข้าไปดูสักหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ปรากฏว่าโดนบัณฑิตกับพ่อครัวยื่นมือขวางไว้ “ขออภัย ร้านปิดชั่วคราว”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เหมียวอี้ฉงนใจ
บัณฑิตถ่ายทอดเสียงตอบทันที “ปี้เหยว่ฮูหยินมาแล้ว กันคนออกชั่วคราว ผู้ชายถูกกันออกหมด เถ้าแก่เนี้ยกำลังอยู่เป็นเพื่อนนางด้วยตัวเอง เจ้ากลับไปก่อนแล้วค่อยมา”
“…” เหมียวอี้กลัดกลุ้ม นึกไม่ถึงว่า ‘ร้านโฉมเมฆา’ จะดึงดูดปี้เหยว่ฮูหยินให้มาด้วยเหมือนกัน สงสัยเครื่องประดับจะมีแรงดึงดูดต่อผู้หญิงมากจริงๆ
เมื่อมาอีกครั้งในวันต่อไป ร้านค้าก็ไม่ได้ปิด เขาเดินผ่านโต๊ะคิดเงิน แล้วถามอย่างขอไปทีว่า “เถ้าแก่เนี้ยล่ะ?”
“ผู้จัดการร้านหวงฝู่มาแล้ว กำลังคุยกับเถ้าแก่เนี้ยอยู่ที่ลานบ้านด้านหลัง” บัณฑิตตอบ
เหมียวอี้ชะงักฝีเท้า ตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว รีบหันตัวกลับทันที ถอนทัพ!
หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งเดือน เมื่อไม่เจออวิ๋นจือชิว เหมียวอี้จึงถามหา พ่อครัวตอบว่า “ปี้เหยว่ฮูหยินเชิญเถ้าแก่เนี้ยไปชมดอกไม้ที่ตำหนักคุ้มเมือง เถ้าแก่เนี้ยพาเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ไปด้วย!”
นี่ตีสนิทกับปี้เหยว่ฮูหยินได้แล้วเหรอ! เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน พบว่าฮูหยินของตัวเองช่างมีความสามารถ เรียบร้อยแล้ว สามารถสร้างเส้นสายกับปี้เหยว่ฮูหยินได้ ต่อไปถ้าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นที่ตลาดสวรรค์ ตนก็ไม่ต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของอวิ๋นจือชิวแล้ว เป็นเหมือนที่นางบอก เหมียวอี้ไม่ต้องกังวลเรื่องทางร้านค้า
หลังจากกลับมาที่จวนผู้บัญชาการ เหมียวอี้ก็พอจะรู้แล้วว่าทำไมปี้เหยว่ฮูหยินถึงมีอารมณ์ไปชมดอกไม้ เป็นเพราะเจ้าสองคนที่ตลาดสวรรค์ที่ทำให้นางปวดหัวกำลังจะได้ออกไปแล้ว
ตำหนักคุ้มเมืองส่งคนมาคุมเขตเมืองตะวันออกแล้ว โค่วเหวินหลานเพียงพูดอย่างรวบรัด ว่าให้นักพรตบงกชทองใต้บังคับบัญชาของเขาสามสิบคนมารวมตัวกัน และไม่ได้กล่าวอะไรอีก รีบประกาศว่า “ตำหนักสวรรค์ส่งข่าวมาแล้ว มีคนพบเฮยหวังปรากฏตัวที่เขาภูตพเนจรของแดนอเวจี ท่านแม่ทัพสั่งให้พวกเรารีบไปค้นหาและจับตัวมาลงโทษ ทุกคนติดตามข้าออกเดินทางเดี๋ยวนี้ ต้องนำอยู่ข้างหน้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงเท่านั้น!”
“รับทราบ!” ทุกคนทำได้เพียงเอ่ยรับคำสั่ง
พอโค่วเหวินหลานโบกมือ ก็เหาะขึ้นฟ้านำไปทันที นักพรตบงกชทองสามสิบกว่าคนตามไปข้างหลัง ใช้วิธีเหาะออกจากประตูเมืองของเขตเมืองตะวันออกโดยตรง
ขณะเดียวกัน กำลังพลกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกจากประตูเมืองตะวันตก เมื่อเห็นพวกโค่วเหวินหลานเหาะขึ้นฟ้าไปไกล เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ตะเบ็งเสียงอย่างเดือดดาล “เร็วๆ หน่อยสิโว้ย!”
บทที่ 971 เขาภูตพเนจร
โดย
Ink Stone_Fantasy
กำลังพลสองกลุ่มพุ่งออกจากชั้นบรรยากาศตามหลังกันไป มุ่งสู่ทิศทางเดียวกันแบบเจ้าไล่ตามข้า ส่วนข้ามุ่งหน้าสู่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
เซี่ยโห้วหลงเฉิงเหมือนจะไม่อยากตามหลังโค่วเหวินหลาน เมื่อเห็นพวกลูกน้องวรยุทธ์ไม่สูงเท่าตน ความเร็วในการเหาะทำให้ไล่ตามตนไม่ทัน ก็ออกคำสั่งว่า “เข้ามาในกระเป๋าสัตว์ของข้าให้หมด”
ลูกน้องทุกคนพูดไม่ออกสุดๆ ต่างก็อยากจะปฏิเสธ ถ้าไม่ใช่คนที่เชื่อใจกันมาก ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของคนอื่น ถ้าอีกฝ่ายมีเจตนาไม่ดีขึ้นมา ลงดาบฟันบนกระเป๋าสัตว์สักหนึ่งที ร่างกายที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์จะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย ต้องรู้ไว้ว่ากระเป๋าสัตว์ไม่มีความสามารถในการป้องกันใดๆ เลย เรื่องที่มอบชีวิตให้แบบนี้ ยามเจอกับผู้บัญชาการที่ไม่น่าเชื่อถือ ใครบ้างจะไม่หวาดกลัว?
แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะเจ้าบ้านี่ไม่พูดจากันด้วยเหตุผลเลย ได้แต่ถูกเขาเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์ไปคนแล้วคนเล่าแต่โดยดี
เมื่อไม่มีลูกน้องที่วรยุทธ์ต่ำเป็นตัวถ่วง เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ปลดปล่อยความเร็วเต็มที่ทันที ไม่นานก็ตามทันพวกโค่วเหวินหลาน แล้วแฉลบผ่านนำไปพร้อมเสียงหัวลั่นลำพองใจ ทั้งยังส่ายก้นอวดโค่วเหวินหลานด้วย
โค่วเหวินหลานหน้าเครียดลงสามส่วน เปิดเกราะรบที่ห้อยอยู่ตรงเอว เผยกระเป๋าสัตว์ที่อยู่ตรงเอวออกมา แล้วตะโกนบอกพวกลูกน้อง “พวกเจ้าก็เข้ามาเหมือนกัน!”
“นายท่าน คนเยอะขนาดนี้…”
สวีถังหรานยังไม่ทันพูดจบ โค่วเหวินหลานก็ตะคอกถามแล้วว่า “เจ้าคิดจะขัดคำสั่งเหรอ?”
พวกลูกน้องพูดไม่ออก ทำได้เพียงถูกเขาเก็บเข้าในกระเป๋าสัตว์แต่โดยดี แต่ละคนที่เข้าไปแอบด่าแม่ในใจ
ในกระเป๋าสัตว์เบียดกันมาก แต่จะบอกว่าพื้นที่น้อยก็ไม่ได้ เพราะของสิ่งนี้จะขยายและหดตามของที่อยู่ข้างใน คาดว่าเก็บเข้าไปอีกร้อยคนก็ไม่มีปัญหา แต่ก็ยังเบียดกันอยู่ดี รู้สึกเบียดเหมือนจับคนฝังรวมเข้าไปในกองผ้าฝ้าย คนสามสิบกว่าคนเบียดรวมกันเป็นก้อนอยู่ข้างในอย่างไร้ระเบียบ ประกอบกับความมืดที่ทำให้มองไม่เห็นอะไร สถานที่ที่ไร้แสงสว่าง ต่อให้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ก็ไม่มีประโยชน์
เหมียวอี้ไม่รู้ว่าหน้าตัวเองไปเบียดอยู่บนตัวของใคร จึงออกแรงผลักออก ทำให้คนที่โดนผลักบิดตัวหนีทันที ตามด้วยเสียงร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกน “แม่งเอ๊ย ใครมันลูบไล้ก้นข้า!”
เหมียวอี้อับอายนิดหน่อย หัวเราะแห้งๆ แล้วบอกว่า “พี่ใหญ่สวี่ ขออภัย ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
สวีถังหรานที่ศีรษะแนบอยู่ในอ้อมอกเหมียวอี้พูดกลั้วหัวเราะทันที “น้องหนิว ข้าก็นึกว่าเจ้าชอบผู้หญิงที่มีสามีแล้ว นึกไม่ถึงว่าเจ้าก็สนใจก้นผู้ชายเหมือนกัน”
“มารดาเจ้าสิ ข้าไม่ได้ขายตูดโว้ย!” สวี่เต๋องอเท้าเหยียบหน้าสวีถังหราน
สวีถังหรานร้องทันที “สวี่เต๋อ เจ้ากล้าเหยียบหน้าข้าเหรอ!” ขณะที่พูดก็ชกออกไปหนึ่งหมัด
“โอ๊ยๆ!” ข่งเฟยฝานร้องอุทาน “ใครชกข้า? สวีถังหรานใช่เจ้ารึเปล่า?”
คนสามสิบกว่าคนที่พัวพันกันเหมือนก้อนเชือก ขณะที่พวกเขากำลังต่างคนต่างเถียงกันไม่หยุด จู่ๆ ก็รู้สึกพร้อมกันว่าร่างของตัวเองทะลักขึ้นไปข้างบน ราวกับมีสิ่งของขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมา
“ใครวะ?” เหมียวอี้หงุดหงิดมาก “แค่นี้ก็เบียดกันแล้ว อย่าขยับมั่วๆ สิ ไม่อย่างนั้น…”
จู่ๆ ในกระเป๋าสัตว์ก็สว่างวาบขึ้นมาเล็กน้อย แสงสีเขียวน่าตกใจมาก ลูกตาใหญ่สีเขียวมันวาวพลันเบิกโพลง กลอกกวาดมองทุกคนที่อยู่ตรงหน้า
เมื่อมีลำแสงสายหนึ่งคอยช่วย ดวงตาอิทธิฤทธิ์ของทุกคนก็ได้ใช้ประโยชน์ทันที เหมียวอี้เหมือนโดนอุดปาก มองภาพตรงหน้าอย่างหวาดผวา
ศีรษะขนาดใหญ่ที่มีเขาแหลมอัปลักษณ์ เขี้ยวที่ยื่นออกมานอกปากสูงเท่าคนหนึ่งคน ศีรษะคล้ายมังกร ลูกตากลมโตสีเขียวมันวาวกำลังกลอกกลิ้งมองกลุ่มคนอย่างช้าๆ แววตาที่หยุดนิ่งสั่นสะท้านใจคนมาก ลมหายใจที่เข้าออกรุนแรงราวกับทรายดูด แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นสัตว์ที่ร้ายกาจ
หนึ่งคนเงียบ สองคนเงียบ สุดท้ายกลุ่มคนที่อาศัยแสงจากตามันเพื่อหมุนตัวไปยืนเบียดกันในท่าปกติก็เงียบกริบ แต่ละคนอ้าปากค้างเบิกตากว้างมองดูศีรษะใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยเกล็ดแข็งและกระดูกปูดน่าเกลียดน่ากลัว ทุกคนตะลึงงัน ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าทุกคนกำลังเบียดอยู่กับสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวตัวหนึ่ง
มีบางคนเริ่มด่าบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรของโค่วเหวินหลานในใจ ในกระเป๋าสัตว์มีสัตว์ประหลาดแบบนี้อยู่ แต่ก็ยังจะเก็บพวกเราเข้ามา
พอสัตว์ปะหลาดอ้าปาก ทุกคนก็อกสั่นขวัญแขวน ลิ้นสีแดงสดเลียกวาดออกมา เลียกวาดบนตัวทุกคนพร้อมกลิ่นเหม็นคาว
ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ทหารเลวเกราะทองแต่ละคนก็ตัวเหนียวหนืด มีบางคนอยากจะฆ่าสัตว์ประหลาดตัวนี้ทิ้งมาก แต่นี่เป็นสมบัติของโค่วเหวินหลาน จึงไม่มีใครกล้าแตะต้อง พวกเขาจึงได้แต่เบียดกันอยู่ตรงนั้นอย่างว่านอนสอนง่าย ปล่อยให้ลิ้นใหญ่ของสัตว์ปะหลาดเลียกวาดบนร่างกายและใบหน้า
สุดท้ายสัตว์ปะหลาดตัวนั่นก็หลับตาลง ศีรษะจมลงใต้ฝ่าเท้าของทุกคน พื้นที่ว่างที่เคยขยายออกหดลงทันที มัดกลุ่มคนไว้รวมกันอีกครั้ง
กระเป๋าสัตว์ตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง ทุกคนมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ได้แต่ค่อยๆ ดื่มด่ำกับกลิ่นเหม็นคาวที่สัตว์ปะหลาดทิ้งไว้
เมื่อรู้ว่าตัวเองยืนอยู่บนตัวของสัตว์ประหลาดที่น่ากลัว ทุกคนก็ไม่กล้ายั่วโมโหมัน ที่สำคัญคือต่อให้ยั่วให้โมโหแล้ว ก็ไม่กล้าลงมือฆ่าสัตว์ประหลาดของโค่วเหวินหลานอยู่ดี ดังนั้นจึงทำได้เพียงนิ่งเงียบ พยายามไม่ยั่วโมโหสัตว์ประหลาดที่อยู่ใต้เท้า
“เมื่อกี้มันตัวอะไร?” เหมียวอี้เอียงหน้าถ่ายทอดเสียงถามคนที่อยู่ข้างๆ
“เห็นแต่หัวไม่ได้เห็นทั้งตัว ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร ไม่เคยเห็นผู้บัญชาการโค่วเรียกออกมาใช้ด้วย” สวีถังหรานตอบ
สรุปว่าไม่มีการเถียงกันเหมือนก่อนหน้านี้อีก ทุกคนอยู่อย่างว่านอนสอนง่ายแล้ว
แดนอเวจี เขาภูตพเนจร เป็นดวงดาวที่ไร้เจ้าของ จึงไม่ได้นำชื่อของใครมาตั้งชื่อดวงดาว เนื่องจากมีภูตผีจำนวนมากมารวมตัวร่อนเร่กันกันอยู่ที่นี่ ทั้งยังเต็มไปด้วยเขาหลายลูกที่เชื่อมต่อกัน จึงถูกตั้งชื่อว่าเขาภูตพเนจร
เขาภูตพเนจรเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่มากจนทำให้คนรู้สึกเหลือเชื่อ เป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในเก้าโลก จินตนาการได้เลยว่าใหญ่ขนาดไหน รอบข้างที่กว้างโล่งไม่มีดาวดวงอื่นอยู่ด้วยกัน อาจเป็นเพราะหวาดกลัวที่มันใหญ่จนเหลือเชื่อ มีเพียงดวงอาทิตย์ไม่กี่ดวงที่โคจรรอบมัน แต่ระยะห่างอยู่ไกลเกินไป เห็นเพียงแสงกระพริบริบหรี่อยู่ในท้องฟ้าไกลๆ ทำให้ดาวเคราะห์ดวงนี้มีแสงอ่อนจางมาก ทำให้ดาวทั้งดวงอยู่ในสภาวะมืดครื้มตลอดเวลา ขมุกขมัวตลอดเวลา เหมือนจะแจ่มชัดแต่ก็ไม่แจ่มชัด
กลุ่มภูตผีกำลังรวมตัวกันล่องลอยอย่างช้าๆ ร่างกายเลือนรางไม่ชัดเจน อยู่ในสภาพกึ่งโปร่งแสง จัดเป็นนักพรตผีที่เพิ่งก้าวเข้าสู่แดนฝึกตน แต่กลับไม่สามารถก่อตัวเป็นร่างจริงได้ เหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
ขณะที่กลุ่มภูตผีร่างโปร่งแสงกำลังลอยเร่ร่อน จู่ๆ พวกมันก็เงยหน้าขึ้น เห็นเพียงเทพเกราะทองแฉลบลงมาจากฟ้า หลังจากเหยียบลงพื้นก็กลายเป็นร่างกำยำล่ำสัน ดวงตาสองข้างที่โตเหมือนระฆังทองแดงกวาดมองไปรอบๆ
ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน คือเซี่ยโห้วหลงเฉิงนั่นเอง
พอเซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกมือ ลูกน้องหลายสิบคนที่กำลังโซเซสับสนทิศทางก็ปรากฏตัว พอเห็นเขา ก็จัดตำแหน่งทิศทางใหม่อีกครั้ง
กลุ่มภูตผีเดินเข้ามาหาเขาทันที ยื่นสองมือเข้ามาทำท่าทางขอทาน มีบางคนส่งเสียงเล็กๆ เหมือนละเมอว่า “ทำบุญหน่อย ทำบุญหน่อยเถอะ!”
เสียงขอทานดังซ้อนกันหลายชั้น เหมือนมีวิญญาณโผล่ออกจากใต้ดินมากขึ้นในชั่วพริบตาเดียว มีทั้งหญิงทั้งชาย มีทั้งเด็กทั้งคนแก่ รูปร่างแตกต่างกันไป
สิ่งที่ขอก็คือสิ่งของที่จะช่วยให้ตัวเองฝึกตนได้ วรยุทธ์ของพวกเขาอ่อนแอเกินไปจริงๆ ไร้ความสามารถที่จะไปค้นหาทรัพยากรฝึกตนจากทั่วทุกที่ จึงมาร่อนเร่พเนจรอยู่ที่นี่ เมื่อมองเห็นความหวังจึงไม่อยากพลาดไป
เมื่อเห็นภูตผีล้อมเข้ามาอย่างหนาแน่น เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ตะคอกเสียงดัง “ไสหัวไป!”
ภูตผีพวกนั้นกลับไม่ฟังเลย ยังคงยื่นมือทำท่าขอทานและรวมตัวกันเข้ามา สิ่งที่เรียกว่าภูตผีไม่จากไปไหนก็เป็นแบบนี้นี่เอง เข้ามาแกะแกะไม่ยอมปล่อยไป
“บังอาจ! บังอาจมาดูหมิ่นอำนาจสวรรค์!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงพลันตะโกนอย่างเดือดดาล พอโบกมือหนึ่งที พลังอิทธิฤทธิ์ไร้รูปร่างก็ทะลักออกมาราวกับระลอกคลื่น
“อา…” เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นเป็นแถบ ภูตผีนับร้อยนับพันกระเส็นกระสายหายไปในชั่วพริบตาเดียว โดนพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งบดจนขวัญหนีดีฝ่อ
ภูตผีที่เหลือลุกลี้ลุกลนมาก หันหน้าเลี้ยวหนีทันที บ้างก็มุดลงดิน บ้างก็สลายหายไปจนหมดเกลี้ยง คืนความชัดเจนให้ที่แห่งนี้
ในขณะนี้เอง มีเสียงฝ่าลมดังพรึ่บ โค่วเหวินหลานเหาะลงมาจากฟ้า พอโบกมือ พวกเหมียวอี้ก็ปรากฏตัวทันที
เรื่องแรกที่พวกเหมียวอี้ทำเมื่อปรากฏตัวออกมา ก็คือร่ายอิทธิฤทธิ์กำจัดคราบน้ำลายเหนียวบนตัวที่ตอนนี้แห้งกรังหมดแล้ว
เซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานสบตากัน วุ่นวายอยู่ตั้งนานแต่ก็ยังมาถึงแทบจะพร้อมกัน ไม่มีใครทิ้งห่างใครได้ ต่างคนต่างทำเสียงฮึดฮัดใส่กัน
จากนั้นทั้งสองก็นำแผ่นหยกออกมาดูแทบจะพร้อมกัน แล้วมองไปรอบๆ อีกครั้ง ไม่รู้ว่ากำลังมองอะไร แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงพลันกระทืบเท้าอย่างแรง ทำให้พื้นดินสะเทือนเล็กน้อย แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดัง “เทพแห่งผืนดินของที่นี่อยู่มั้ย?”
โค่วเหวินหลานตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดทันที “ไอ้หมีควาย เจ้ากลัวว่าจะเคลื่อนไหวเบาเกินไปเหรอ กลัวว่าเป้าหมายจะไม่รู้เหรอว่าพวกเราจะมาจับตัว?”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงอึ้งเล็กน้อย เหมือนจะสังเกตเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่เหมาะสม แต่ภายนอกก็ยังมองเหยียดโค่วเหวินหลาน
ผ่านไปไม่นาน ชายหนุ่มที่สวมชุดสีขาวทั้งตัวก็รีบลอยมาจากที่ไกลๆ มาเหยียบลงตรงหน้าพวกเขา แล้วกุมหมัดคารวะ “กู้โส่วเทพแห่งผืนดินคำนับท่านขุนนางทุกท่าน!”
เหมียวอี้เห็นบนตัวเทพแห่งผืนดินมีปราณหยินเข้มข้นมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นนักพรตผี
เห็นเพียงเทพแห่งผืนดินคนนั้นถอดแผ่นหยกตรงเอวลลงมาให้ทั้งสองตรวจสอบ แต่พอมองดูทั้งสองฝั่ง เขาก็ไม่รู้ว่าจะให้ท่านไหนดี สุดท้ายก็ก้มหน้ายื่นให้มั่วๆ ใครมาก่อนก็ได้ก่อน
เซี่ยโห้วหลงเฉิงกับโค่วเหวินหลานยื่นมือพร้อมกัน หลังจากแผ่นหยกลอยออกจากมือของเทพแห่งผืนดิน ก็ลอยไปลอยมาอยู่กลางอากาศราวกับกำลังชัดเลื่อยกลับไปกลับมา สุดท้ายก็มีเสียง “แกร๊ก” กลายเป็นผุยผงอยู่ภายใต้พลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่ง
นี่มันเรื่องอะไรกัน? เทพแห่งผืนดินกู้โส่วเฉิงตะลึงงัน นี่คือป้ายขุนนางที่เบื้องบนแจกลงมาเพื่อยืนยันฐานะของเขา!
ศัตรูทั้งสองสบตากันอย่างแค้นเคือง จากนั้นก็ต่างคนต่างหยิบป้ายคำสั่งออกมา ยื่นให้เทพแห่งผืนดินตรวจดู หลังจากดูเสร็จและเก็บกลับมาแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ชิงถามว่า “เทพแห่งผืนดิน ข้าถามเจ้าหน่อย ได้ยินว่าเจ้าพบเบาะแสของเฮยหวังเหรอ?”
โค่วเหวินหลานอ้าปาก แต่คิดไปคิดมาก็ไม่พูดดีกว่า ถ้าทะเลาะกันตอนนี้คงเสียเรื่องแน่นอน เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนแยกแยะความสำคัญไม่เป็นเหมือนเซี่ยโห้วหลงเฉิง
เทพแห่งผืนดินตอบอย่างระมัดระวังว่า “ขอรับ! ไม่กี่วันก่อนตอนข้าน้อยไปลาดตระเวน ก็บังเอิญเห็นตรงยอดเขาโอนเอนที่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ครั้ง ตอนหลังได้ยินพวกผีเล็กๆ แอบคุยกัน ถึงได้รู้ว่าเขาคือเฮยหวัง นักโทษที่ตำหนักสวรรค์ต้องการตัว จึงรายงานขึ้นไปทันที!”
“ยอดเขาโอนเอนอยู่ที่ไหน?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถาม
เทพแห่งผืนดินชี้ไปไกลๆ “ห่างจากตรงนี้ไปทางทิศเหนือสามพันลี้ ตรงแนวเทือกเขาที่มีควันดำท่วมเอ่อ ยอดเขาที่สูงที่สุดก็คือยอดเขาโอนเอน ยอกเขามีหินก้อนใหญ่ที่โอนเอนเหมือนจะล้มลงมา ด้วยเหตุนี้จึงชื่อว่ายอดเขาโอนเอน”
“ไป!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกมือ แล้วเหาะนำขึ้นฟ้าไป ใช้มือข้างหนึ่งดึงแขนเทพแห่งผืนดินไปด้วยกัน แล้วกำลังพลก็ตามหลังไป
“ปัญญาอ่อน! เจ้าจะไปจับตัวหรือจะไปแหวกหญ้าให้งูตื่น เหาะไปแบบนี้ตลอดทาง กลัวคนอื่นจะดูไม่ออกเหรอว่าเจ้ามาจากตำหนักสวรรค์!” โค่วเหวินหลานพูดดูถูก แล้วกวักมือบอกลูกน้อง “ตามไป ระหว่างทางถอดเกราะรบบนตัวด้วย อย่าทำเหมือนเจ้าโง่นั่น!”
บทที่ 972 ยอดเขาโอนเอน
โดย
Ink Stone_Fantasy
แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่ได้ปัญญาอ่อนเหมือนที่เขาจินตนาการหรอก ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ลูกน้องของเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ได้โง่ขนาดนั้น
การกรีธาทัพออกปราบเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย ต่อให้ลูกน้องจะรู้ว่าเจ้านายตัวเองไร้เหตุผล แต่ก็จำเป็นต้องกัดฟันตักเตือน พอได้รับคำตักเตือนแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็รู้สึกว่ามีเหตุผล เขาพาเทพแห่งผืนดินเหาะขึ้นฟ้าไป เห็นได้ชัดว่าจะมองหาจุดที่แม่นยำจากบนท้องฟ้า จากนั้นค่อยรุกโจมตีในแนวตั้ง จะโจมตีให้อีกฝ่ายทำอะไรไม่ถูก
เซี่ยโห้วหลงเฉิงขึ้นไปข้างบนแล้ว สอดคล้องกับเจตนาของโค่วเหวินหลานพอดี โค่วเหวินหลานสั่งให้ลูกน้องถอดเกราะทองและมุ่งไปข้างหน้าในแนวตรง
ระหว่างทาง ทุกคนพบว่าดาวเคราะห์ที่มืดสลัวนี้ก็มีด้านที่เป็นเสน่ห์เหมือนกัน ตอนใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองลงมาข้างล่าง ถึงแม้ดาวเคราะห์ดวงนี้จะขาดแคลนแสงอาทิตย์ แต่กลับมีพืชจำนวนหนึ่งที่เปล่งแสงอยู่ท่ามกลางความมืดสลัว คล้ายๆ ฉากยามค่ำคืนที่เหมียวอี้เห็นที่เผ่าปีศาจของดาวแมกไม้
“น้องหนิว ปกติพวกพี่น้องปฏิบัติกับเจ้าอย่างไรบ้าง?”
เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดว่าถ้าเกิดการต่อสู้ขึ้นมา ตัวเองควรจะไปอยู่ตรงไหน แต่จู่ๆ สวีถังหรานก็ถ่ายทอดเสียงเบาๆ มาที่หู
เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะเอียงหน้ามองแวบหนึ่ง เห็นสวีถังหรานกำลังมองตนด้วยแววตาเฝ้าคอย ไม่รู้ว่าทำไมถึงถามคำถามแบบนี้ จึงถ่ายทอดเสียงตอบว่า “พี่สวีค่อนข้างดีต่อข้า”
สวีถังหรานจึงบอกว่า “งั้นก็ดี! ข้าจะไม่ปิดบังอะไรต่อหน้าพี่น้องก็แล้วกัน ผู้บัญชาการโค่วบอกไว้แล้ว ว่าถ้าเขาได้ขึ้นนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ ก็จะมอบตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกให้เป็นรางวัลแก่ผู้ที่สร้างผลงาน น้องหนิวรู้สึกว่าพี่สวีมีคุณสมบัติที่จะนั่งตำแหน่งนั้นมั้ย?”
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ แต่ก็ตอบทันทีว่า “แน่นอน มีคุณสมบัติแน่นอนอยู่แล้ว”
สวีถังหรานพูดต่อว่า “ได้ยินคำพูดแบบนี้จากน้องชายข้าก็วางใจ อีกประเดี๋ยวถ้ามีการต่อสู้กันขึ้นมา หวังว่าน้องชายจะยืนอยู่ฝ่ายข้า ช่วยเหลือพี่สวีอีกแรง ขอเพียงพี่สวีได้ขึ้นนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก ต่อจะดูแลน้องชายอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแน่!”
เหมียวอี้เข้าใจแล้ว นอกจากเขาที่ไม่มีลูกน้องอยู่ที่เขตเมืองตะวันออก ทหารเลวอีกหกคนล้วนมีลูกน้องติดมาด้วยสี่คน ทุกคนมีกำลังพอฟัดพอเหวี่ยงกัน การช่วงชิงผลงานย่อมสูสีเช่นกัน ถ้ามีเหมียวอี้เพิ่มมาอีกคน ก็ย่อมมีโอกาสชนะเพิ่มมาอีกส่วน ต่อให้เหมียวอี้จะไม่ยอมช่วยเขา แต่ขอเพียงไม่ไปยืนอีกฝั่งและมาเป็นศัตรูกับเขาก็พอแล้ว
“ได้เลย!” เหมียวอี้เอ่ยรับ แสดงออกว่าเข้าใจ
ตรงนี้เพิ่งรับมือกับสวีถังหรานเสร็จ ปู้เหลียนจงที่เหาะอยู่ข้างหน้าก็ผ่อนความเร็วอย่างแนบเนียน ค่อยๆ เหาะมาเคียงข้างกับเหมียวอี้ที่เหาะอยู่ข้างหลังสุด แล้วถ่ายทอดเสียงถามเงียบๆ “น้องชาย เจ้าคิดว่าพี่ปู้คนนี้ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร?”
พอได้ยินคำถามนี้ เหมียวอี้ก็ปวดประสาท ไม่ต้องบอกก็รู้ คำถามเดิมมาอีกแล้ว เขาตอบอย่างจริงจังว่า “การวางตัวของพี่ปู้ย่อมไม่ต้องพูดถึง”
ปู้เหลียนจงพูดต่อ “ข้าก็ชอบการวางตัวของน้องหนิวเหมือนกัน ข้าจะไม่พูดเยอะ น้องหนิวเองก็ได้ยินสิ่งที่ผู้บัญชาการโค่วบอกแล้ว ถ้าผู้บัญชาการโค่วได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ ก็จะมอบตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกให้ขุนนางที่มีผลงาน ถ้าข้าได้นั่งในตำแหน่งนั้น ตำแหน่งรองผู้บัญชาการก็จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากน้องหนิว หวังว่าในศึกนี้น้องหนิวจะช่วยข้าอีกแรง!”
ตำแหน่งรองผู้บัญชาการเหรอ? เหมียวอี้ได้ยินแล้วอยากขำ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาทำการกับทางการที่พิภพเล็กมาหลายปี เกรงว่าจะเชื่อคำพูดเหลวไหลประเภทนี้แล้ว ปู้เหลียนจงมีลูกน้องสี่คน ตำแหน่งรองผู้บัญชาการมีแค่สองตำแหน่ง จะถึงคราวของข้าเหรอ? ถึงตอนนั้นต่อให้เจ้าจะไม่ให้ข้า ข้าก็พูดอะไรไม่ได้แล้ว!
แต่ปากก็ยังตอบซ้ำๆ ว่า “พี่ผู้พูดถึงขั้นนี้แล้ว ข้ายังจะพูดอะไรได้อีก ตกลง!”
ปู้เหลียนจงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วค่อยๆ เร่งความเร็วนำไปข้างหน้า ตามประกบคุ้มกันข้างหลังโค่วเหวินหลาน
ผ่านไปครู่เดียว สวี่เต๋อก็ค่อยๆ เข้ามาใกล้ “น้องหนิว เดี๋ยวกลับไป ข้าจะจัดการเรื่องเถ้าแก่เนี้ย ‘ร้านโฉมเมฆา’ ให้”
เหมียวอี้ตกใจทันที เจ้าจะจัดการอะไร? เหมียวอี้คิดว่าเขามาด้วยจุดประสงค์เดียวกับสองคนก่อนหน้านี้ ใครจะคิดว่าจะพูดถึงเรื่องอวิ๋นจือชิว จึงตอบทันทีว่า “จัดการอะไรเหรอ?”
สวี่เต๋อตอบว่า “ในเมื่อน้องหนิวชอบเถ้าแก่เนี้ยคนนั้น ข้าคิดได้แล้ว เรื่องนี้พี่น้องไม่เสียดายที่จะทุ่มเท เดี๋ยวข้าจะหาทางกำจัดผู้ชายของนางทิ้ง จะพยายามทำให้น้องหนิวได้อุ้มสาวงามกลับบ้านแน่นอน! เพียงแต่เจ้าเองก็รู้ พวกเราล้วนเป็นทหารเลว ไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจที่เขตเมืองตะวันออก แต่ถ้าข้าได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก ทุกอย่างก็ต่างออกไปแล้ว แบบนั้นข้าจะมีอำนาจตัดสินใจที่เขตเมืองตะวันออก เถ้าแก่เนี้ยคนนั้นก็จะเป็นเนื้อในปากน้องหนิว ต่อให้นางไม่ยอมก็ต้องยอม! และแน่นอน ถ้าข้าได้เป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก น้องหนิวก็ย่อมได้เลื่อนขั้น ตำแหน่งรองผู้บัญชาการต้องเป็นของน้องหนิวแน่นอน น้องหนิวเอ๊ย เจ้าคิดอย่างไรก็เอ่ยปากมาสักคำ ข้ารู้ว่าคนอื่นก็ต้องมาหาเจ้าเหมือนกันแน่ๆ แต่อาจจะไม่ได้จริงใจเหมือนข้า ส่วนน้องหนิวจะยืนอยู่ฝ่ายข้าหรือไม่ ข้าก็ไม่ฝืนใจแน่นอน เพียงอยากจะให้น้องหนิวบอกมาสักคำ!”
ขณะที่พูดไม่ออก เหมียวอี้ก็โล่งใจ สงสัยที่พูดอ้อมไปอ้อมมาก็เพื่อตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกนี่เอง เขาถอนหายใจแล้วบอกว่า “พี่สวี่พูดถึงขั้นนี้แล้ว ข้ายังจะพูดอะไรได้อีก ท่านวางใจเถอะ ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร”
สวี่เต๋อเผยรอยยิ้มชื่นชม แล้วพยักหน้าเบาๆ
ยังไม่หมด มีคนมาพูดแบบนี้กับเขาคนแล้วคนเล่า จุดประสงค์ก็ไม่ซับซ้อนเลย ต่อให้เหมียวอี้จะไม่ช่วยฝ่ายตน แต่ก็หวังว่าเหมียวอี้จะไม่มาสู้กับตนเพื่อเพิ่มกำลังให้ฝ่ายตรงข้าม
เหมียวอี้เริ่มไม่เข้าใจแล้ว ทำไมพวกเจ้ามั่นใจว่าข้าอยากเป็นแค่รองผู้บัญชาการล่ะ ทำไมข้าจะเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกไม่ได้ ทำไมข้าต้องทำงานให้พวกเจ้าด้วยล่ะ?
แต่เขาก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว เหตุผลซับซ้อนเลย แค่เพราะเขาไม่มีกำลังพล ทั้งยังมีแค่วรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง ในสายตาของทุกคน เขาไม่มีความสามารถที่จะไปแย่งชิง จึงนึกว่าเขาจะไม่คิดฝันเพ้อเจ้อถึงสิ่งนั้น
แต่เขาเป็นคนยังไงล่ะ ตอนที่ไปค้นหาสมบัติกับปราสาทดำเนินนภา เขาก็ยังแอบแข่งกับปราสาทดำเนินนภาว่าใครจะได้สมบัติมาไว้ในมือ แล้วจะกลัวเรื่องแข่งขันกับพวกเขาได้อย่างไร? ตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เขาเองก็อยากเป็นเหมือนกัน ทุกคนพึ่งพาความสามารถของตัวเองไปเถอะ คำสัญญาปากเปล่าที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรในภายหลัง เขาไม่เชื่อหรอก!
ระยะทางสามพันลี้ สำหรับกลุ่มนักพรตบงกชทอง ไม่นับว่าเป็นระยะทางที่ไกลเท่าไรนัก
หลังจากเดินทางเป็นเส้นตรงได้สามพันลี้ ก็เริ่มได้กลิ่นกำมะถัน เป็นเหมือนที่เทพแห่งผืนดินบอก ท่ามกลางเขาหลายลูกที่เชื่อมต่อกัน ที่ภูเขาแต่ละลูกมีควันดำลอยขึ้นมา ราวกับเป็นปล่องไฟใหญ่
โค่วเหวินหลานนำลูกน้องไปเหยียบลงบนภูเขาแห่งหนึ่ง ทุกคนรีบร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดมองโดยรอบ
บนยอดเขาอุณหภูมิค่อนข้างสูง ไม่ค่อยสอดคล้องกับโลกที่มีลมหนาวยะเยือกพัดมาเป็นระลอกแบบนี้ โค่วเหวินหลานเดินไปบนปากปล่องที่มีควันแล้วก้มมอง พบว่าด้านล่างมีหินหลอมเหลวสีแดงฉานไหลกลิ้งไม่หยุด ตอนนี้ถึงได้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วที่นี่คือกลุ่มภูเขาไฟ เพียงแต่ไม่รู้ว่าในหินหนืดมีส่วนประกอบอะไร ถึงทำให้มีควันดำลอยโขมง
“นายท่าน! ภูเขาที่สูงที่สุดลูกนั้นคงจะเป็นยอดเขาโอนเอน” รองผู้บัญชาการหงพลันโบกมือชี้ไปยังจุดไกลๆ ที่ขมุกขมัว ตรงนั้นมีภูเขาสูงที่มองเหนรางๆ ลูกหนึ่ง ควันดำลอยโขมงทำให้มองเห็นไม่ค่อยชัด
โค่วเหวินหลานทอดสายตาจ้องมอง แล้วพยักหน้าเบาๆ
รองผู้บัญชาการซุนบอกว่า “นายท่าน ในเมื่อหาสถานที่พบแล้ว ทำไมไม่ฉวยโอกาสชิงลงมือก่อนหมีควายเซี่ยโห้วเพื่อความได้เปรียบล่ะขอรับ?” ความหมายในคำพูดก็คือ จะมัวรออยู่ตรงนี้ทำไม
รองผู้บัญชาการหงกล่าวอีกว่า “เทพแห่งผืนดินนั่นตกอยู่ในมือหมีควายเซี่ยโห้ว พวกเราไม่รู้ว่าเฮยหวังหน้าตาเป็นอย่างไร ทั้งยังไม่รู้สถานการณ์ของที่นี่ เจ้าไม่ได้ยินเทพแห่งผืนดินบอกเหรอว่าที่นี่ยังมีนักพรตผีตนอื่นอีก ถึงตอนนั้นคงแยกไม่ออกว่าใครคือเฮยหวัง หากเปิดช่องโหว่ให้เฮยหวังหนีไปได้จะทำอย่างไร?”
รองผู้บัญชาการซุนจึงบอกว่า “พี่หงกังวลมากไปแล้ว คนที่กล้าให้ที่พักกับนักโทษ แสดงว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด จะสนใจทำไมว่าใครคือเฮยหวัง ฆ่าให้หมดเกลี้ยงไม่ให้มีปลาหนีลอดแหก็ไม่ผิด สรุปก็คือจะให้เฮยหวังตกอยู่ในมือหมีควายเซี่ยโห้วไม่ได้”
โค่วเหวินหลานค่อนข้างลังเล ตอนที่มารีบร้อนฉุกละหุก แต่หลังจากมาแล้วกลับลังเลตัดสินใจไม่ได้ ตั้งแต่เขาออกจากบ้านมา ถึงแม้จะไล่ตามก้นซี่ยโห้วหลงเฉิง ไม่ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะไปเป็นผู้บัญชาการที่ไหน เขาก็ไปเป็นผู้บัญชาการที่นั่น แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นผู้บัญชาการของตลาดสวรรค์ของดาวต่างๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้นำกำลังพลออกปราบ ไม่มีประสบการณ์อะไร ไม่มีความมั่นใจ อดไม่ได้ที่จะคิดมาก
ในเวลานี้ เมื่อเห็นรองผู้บัญชาการซุนกล่าวแล้วรองผู้บัญชาการหงไม่มีความเห็นอะไรต่อ คนอื่นๆ ก็ไม่ได้คัดค้านอะไรเช่นกัน ขณะที่โค่วเหวินหลานกำลังจะพยักหน้า จู่ๆ ก็ได้ยินเหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงมา “นายท่านผู้บัญชาการ จะประมาทไม่ได้!”
โค่วเหวินหลานกวาดสายตามอง ในดวงตาฉายแววสงสัย ไม่รู้ว่าทำไมเขาไม่พูดต่อหน้าทุกคน แต่กลับแอบถ่ายทอดเสียงมา จึงถ่ายทอดเสียงถามกลับทันที “หรือว่าเจ้ามีความคิดอันสูงส่งอะไร?”
ทั้งสองถ่ายทอดเสียงคุยกัน สายตาของคนอื่นๆ สลับมองทั้งสองฝั่ง
“ไม่นับว่าเป็นความคิดอันสูงส่งหรอก! นายท่าน ภายใต้การกดดันจากตำหนักสวรรค์ เหตุใดเฮยหวังจึงซ่อนตัวอยู่ที่นี่? ในเมื่อเฮยหวังกล้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่ ก็เป็นไปได้สูงว่าจะมีที่พึ่งพาอยู่บ้าง ในสถานการณ์ที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง การบุ่มบ่ามรุกโจมตีไม่ใช่เรื่องดี” เหมียวอี้ตอบ
โค่วเหวินหลานพยักหน้าเงียบๆ รู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดมีเหตุผล จึงถามต่อว่า “งั้นเจ้าคิดว่าควรจะรับมืออย่างไร?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ล้อม! แบ่งกำลังพลเป็นกลุ่มๆ แล้วดักซุ่มรอบยอดเขาโอนเอนในตำแหน่งที่สะดวกต่อการสังเกตการณ์ ไม่ต้องรีบลงมือ รอให้พวกเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาถึง ให้พวกเขาไปต่อสู้ก่อน พวกเราดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ถ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจับเฮยหวังสำเร็จล่ะ เจ้ารู้ถึงผลที่จะตามมาหรือเปล่า?” โค่วเหวินหลานถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “ถ้าพวกเราคิดมากไปเอง ที่จริงสามารถจับตัวเฮยหวังได้ง่ายๆ พวกเราก็ห้ามนิ่งดูดาย ผู้บัญชาการต้องสั่งให้กรูกันเข้าไปทันที ไปช่วยผู้บัญชาการเซี่ยโห้วอีกแรง! ถ้าหากเฮยหวังมีผู้ช่วยอีก ก็ให้คนกล้าอย่างผู้บัญชาการเซี่ยโห้วไปประสบความพ่ายแพ้แทนพวกเราก่อน แล้วพวกเราค่อยลงมือก็ยังไม่สาย สรุปก็คือพวกเราดูสภานการณ์ในชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน จะสู้อย่างขาดสติไม่ได้!”
โค่วเหวินหลานเลิกคิ้ว มองไปยังเหมียวอี้ด้วยแววตาแปลกๆ เหมียวอี้พูดชัดเจนขนาดนี้ ถ้าเขายังไม่เข้าใจความหมาย เขาก็คงไม่ต่างอะไรกับคนโง่
เรียกว่าไปช่วยผู้บัญชาเซี่ยโห้วอีกแรงอะไรกันเล่า? ชัดเจนว่านี่คือการปล้นชิงตามไฟ[1]ชัดๆ ถ้าฝ่ายนี้ไปช่วยเซี่ยโห้วหลงเฉิงอีกแรงก็คงแปลกแล้ว ที่บอกว่าให้คนกล้าอย่างผู้บัญชาการเซี่ยโห้วไปประสบความพ่ายแพ้ก่อน ก็ชัดเจนว่าหวังให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงกับเฮยหวังสู้กันจนย่อยยับทั้งคู่ แล้วฝ่ายนี้ค่อยตักตวงผลประโยชน์ก็พอ ดังนั้นจึงต้องดูสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อน และต้องเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองด้วย ถ้าเฮยหวังร้ายกาจเกินไป ฝ่ายนี้ก็ไม่ยอมบุ่มบ่ามเอาชีวิตไปทิ้งแน่
“พูดจามีเหตุผล!” โค่วเหวินหลานพยักหน้าเบาๆ “ขุนพลเหมียว ดูจากแผนการที่รู้จักรุกเข้าถอยออก เหมือนเจ้ามีประสบการณ์ในสนามรบมานาน เป็นบุคคลมีความสามารถที่ควรเลี้ยงไว้ ข้าอนุมัติแผนของเจ้า ถ้าแผนการของเจ้าได้ผล หลังจากจบเรื่องข้าจะดูแลเจ้าอย่างดีแน่นอน! ในเมื่อมีความคิดแบบนี้ ทำไมไม่พูดออกมาต่อหน้าทุกคน?”
“ข้าน้อยไม่มีตำแหน่งอะไรติดตัว สำหรับความคิดเห็นของผู้ร่วมงานทุกท่าน คนที่มาใหม่อย่างข้าน้อยไม่สะดวกจะคัดค้าน” เหมียวอี้กล่าว
พูดถึงขั้นนี้แล้ว โค่วเหวินหลานเองก็เป็นคนฉลาด เขากวาดสายตามองแวบหนึ่ง แต่ละคนกำลังมองเหมียวอี้กับเขาด้วยแววตาสงสัย ในในเกิดความรู้สึกบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ทำตามแผนของเหมียวอี้ทันที
…………………………
[1] ปล้นชิงตามไฟ 趁火打劫 หมายถึง ซ้ำเติมคนที่กำลังประสบเคราะห์ร้าย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น