ลำนำบุปผาพิษ 967-970
บทที่ 967 เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ?
เธอร้อนรนใจ จึงใช้มีดกรีดฝ่ามือทันที โลหิตสีแดงสดไหลหยด ในที่สุดกลิ่นคาวโลหิตก็ดึงดูดผีดิบพวกนั้นให้หันกลับมาไล่ล่าเธออีกครั้ง…
แต่โลหิตที่ไหลออกมาจากฝ่ามือถึงอย่างไรก็มีขีดจำกัดอยู่ หลังจากเธอชักนำผีดิบกลุ่มนี้ได้ไม่กี่นาที โลหิตก็แข็งตัวแล้ว ผีดิบที่ติดตามอยู่ด้านหลงก็เริ่มเดินๆ หยุดๆ อีกครั้ง
เธอขมวดคิ้วทันที ขณะที่กำลังจะกรีดตัวเองซ้ำอีก เบื้องหน้าพลันมีร่างคนแวบขึ้น มีคนกุมข้อมือเธอไว้ในทันใด
เธอเงยหน้าขึ้น มองเห็นใบหน้าหล่อเหลางดงามของอิงเหยียนนั่ว เขาดูจนปัญญาอยู่บ้าง “ก็รู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่เชื่อฟัง! ข้าควรจะทำให้เจ้าสลบแล้ววางไว้บนรถซะ!”
เขาว่าพลางดึงเธอให้ออกวิ่งไปด้วย ผีดิบที่ตามอยู่ด้านหลังเขากับเธอก็ไหลมารวมกันแล้ว เป็นกองทัพที่มากมายมหาศาลยิ่ง…
ฝ่ามือเขาอุ่นร้อน กุมข้อมือเธอวิ่ง
กู้ซีจิ่วมองเขาแวบนึ่งอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ รู้สึกอยู่ลางๆ ว่าเขาที่อยู่เบื้องหน้าคล้ายคลึงกับซือเฉิน…
เธอส่ายหัวแรงๆ ซัดความคิดที่ไม่เข้าท่านี้ให้กระเด็นไป เธอทดสอบเขาทั้งในทางลับทางแจ้งมาหลายครั้งแล้ว เขาไม่ใช่ตี้ฝูอีปลอมตัวมาแน่นอน ตอนนี้เธอไม่จำเป็นต้องสงสัยเขาเหมือนเก่าแล้ว…
เธอไม่อยากกลายเป็นโรคประสาทที่เห็นใครก็ว่าเหมือนเขาไปหมด!
ด้วยการวิ่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป เยี่ยนเฉินและเล่อชิงซิ่งจึงตามมาทันเช่นกัน ผีดิบจากสี่ทิศไหลมารวมกัน ผีดิบมากมายมหาศาลมุ่งสู่หล่มโคลมทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
….
ระหว่างทาง อิงเหยียนนั่วกล่าวแผนการของตนอย่างรวดเร็ว หล่มโคลมแห่งนั้นกินพื้นที่กว้างใหญ่นัก ซ้ำยังมีแรงดูดมากเป็นพิเศษ ขอเพียงผีดิบเหล่านี้วิ่งเข้าไป น่าจะถูกดูดจมลงไป…
แน่นอนว่าคนที่ล่อผีดิบผู้นั้นก็ต้องเข้าสู่หล่มโคลนด้วย มิเช่นนั้นผีดิบเหล่านั้นจะไม่ตามเข้าไป
พวกเขาสี่คนไม่จำเป็นต้องเป็นเหยื่อล่อผีดิบทั้งหมด ดังนั้นยามที่ใกล้จะไปถึงหล่มโคลน ให้กู้ซีจิ่วใช้วิชาเคลื่อนย้ายพาอีกสองคนหนีไป ตัวอิงเหยียนนั่วจะเป็นเหยื่อล่อผีดิบเองก็พอแล้ว…
ในสถานการณ์เช่นนี้คนที่เป็นเหยื่อล่อผีดิบย่อมอยู่ในอันตรายยิ่งนัก เมื่อเยี่ยนเฉินได้ฟังก็คัดค้านทันที “ไม่ได้! เหยื่อล่อนี้ข้าจะเป็นเอง!” เขาอายุมากที่สุดในกลุ่ม ระดับพลังวิญญาณก็สูงที่สุดเช่นกัน เขาจะปล่อยให้อิงเหยียนนั่วที่อายุน้อยที่สุดและมีพลังวิญญาณอ่อนด้อยที่สุดไปได้อย่างไร?
อิงเหยียนนั่วเอ่ยด้วยท่าทียิ้มมิเชิงยิ้ม “ไม่ได้! จิ้งจอกน้อยยังรอเจ้ากลับไปอยู่ เจ้าไม่อาจประสบอันตรายได้!”
เล่อชิงซิ่งกำลังอ้าปากพูด ก็ถูกอิงเหยียนนั่วสกัดกลับไป “น้องสาวของเจ้าก็ขาดเจ้าไม่ได้เหมือนกัน!”
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วกล่าวว่า “พวกเราไม่ว่าจะผู้ใดก็ประสบเหตุเหนือความคาดหมายไม่ได้ทั้งนั้น อิงเหยียนนั่ว เจ้าก็เกิดเรื่องขึ้นไม่ได้เหมือนกัน!”
อิงเหยียนนั่วเหลือบมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง “เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ?”
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าประโยคนี้ของเขาช่างหาเรื่องโดยแท้ “พวกเราล้วนเป็นห่วงเจ้ากันทั้งนั้น! ตอนนี้พวกเราเป็นกลุ่มเดียวกัน!”
อิงเหยียนนั่วมองเธออีกแวบหนึ่ง สุ้มเสียงโอนอ่อน “ได้ ข้าจะไม่เกิดเรื่องขึ้นเช่นกัน วางใจเถอะ ข้าคุ้นเคยกับพื้นที่แถบนี้ดี ไม่เกิดเรื่องหรอก ซีจิ่ว ทางเหนือห่างจากที่นี่ไปห้าลี้มีเนินเขาแห่งหนึ่งอยู่ พวกเจ้าไปรอข้าอยู่ที่นั่นก็ได้ หลังจากข้าล่อพวกมันเข้าไปในหล่มโคลนแล้ว จะตามไปสมทบกับพวกเจ้า”
อีกสามคนยังคิดจะพูดต่อ ใบหน้าหล่อเหลาของอิงเหยียนนั่วพลันเคร่งขรึม “ไม่อนุญาตให้พูดต่อแล้ว ตกลงตามนี้!”
อายุเขายังน้อยชัดๆ แต่ยามที่ทำหน้าเคร่งขรึมเช่นนี้ รัศมีอำนาจกลับแกร่งกล้ายิ่ง ทำให้คนไม่กล้าคัดค้าน
ช่วงที่พูดคุยกัน ในอากาศมีกลิ่นเหม็นคาวโชยมาจางๆ ชัดเจนยิ่งนักว่าใกล้ถึงห่มโคลนแห่งนั้นแล้ว…
“ซีจิ่ว เจ้าพาเล่อชิงซิ่งไปก่อน แล้วค่อยกลับมารับเยี่ยนเฉิน!” อิงเหยียนนั่วสั่งการอย่างรวดเร็ว
กู้ซีจิ่วทราบว่ายามนี้โต้เถียงไปก็ไม่ประโยชน์แล้ว ส่งเสียงตอบรับทันที “ได้!” พลันจับแขนเสื้อของเล่อชิงซิ่งไว้ เกิดเสียงดังวิ้งแล้วหายลับไป
————————————————————————————-
บทที่ 968 ตัวโง่งม เจ้ามาทำอะไรอีก?
เธอพาเล่อชิงซิ่งไปปล่อยไว้ยังจุดที่ห่างออกไปห้าลี้ ให้เธอรออยู่ที่นี่
ร่ากายเปล่งแสงวาบใช้วิชาเคลื่อนย้ายอีกครั้ง ยามที่ปรากฏตัวขึ้นอีกหนก็พาเยี่ยนเฉินมาด้วยแล้ว…
เยี่ยนเฉินกับเล่อชิงซิ่งรวมตัวกันแล้ว เมื่อกู้ซีจิ่วปล่อยเยี่ยนเฉินก็คิดจะจากไปอีกครั้ง เยี่ยนเฉินรั้งเธอไว้ทันที “ซีจิ่ว จะไปไหน?”
กู้ซีจิ่วตบไหล่เขาเบาๆ “ข้าจะไปดูเขาหน่อย ยามคับขันข้าสามารถพาเขาหนีได้ วางใจได้ หากเขาไม่มีอันตรายข้าจะไม่ปรากฏตัว พวกเจ้าไปรับพวกจิ้งจอกน้อยก่อนเถอะ ค่อยดูพวกนางอย่าให้ตกอยู่ในอันตรายอีก…”
พลันหมุนกายหายตัวไปอีกครั้ง
ยามที่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เธอยืนอยู่บนไม้ใหญ่ข้างหล่มโคลนต้นหนึ่ง ไม้ใหญ่ต้นนั้นสูงราวแปดจั้ง แขนงกิ่งก้านใหญ่โต ต้นไม้นี้เป็นต้นไม้ที่เขียวชอุ่มทั้งปี ถึงแม้จะเป็นฤดูหนาวที่หนาวเหน็บยิ่ง แต่ใบไม้บนกิ่งก้านยืดยาวยังคงชอุ่มชุ่มชื่น เขียวขจีไปหมด กู้ซีจิ่วพรางตัวอยู่บนต้นไม้ สามารถมองเห็นทัศนียภาพรอบด้านได้พอดี
หล่มโคลนแห่งนี้ดูกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ในหล่มคือน้ำโคลนดำเมื่อม มีฟองอากาศผุดปุดๆ ออกมาจากในหล่มบ้างเป็นครั้งคราว กลิ่นเหม็นรมคนนัก
กู้ซีจิ่วพลันสะกิดใจขึ้นมา!
น้ำโคลนในหล่มนี้ดูพิลึกอยู่บ้าง…
เธอทะยานลงไป หยิบกิ่งไม้ท่อนหนึ่งขึ้นมาแล้วจุ่มลงไปในโคลนเล็กน้อย มองอย่างละเอียด ดวงตาทอแสงวาบ
นี่ไม่ใช่โคลนเด็ดขาด เป็นน้ำมันปิโตรเลียม! บ่อน้ำมันกลางแจ้ง!
แน่นอนว่าในน้ำมันน่าจะมีอย่างอื่นอยู่ด้วย มิเช่นนั้นคงไม่มีแรงดูดมากถึงเพียงนี้
เมื่อครู่เธอโยนใบไม้ขนาดใหญ่ทำฝ่ามือลงไป ใบไม้นั้นไม่ได้ลอยอยู่บนผิวน้ำมัน แต่จมดิ่งลงไปทันที…
สถานที่แห่งนี้คือฌาปนสถานตามธรรมชาติของผีดิบโดยแท้!
ถึงแม้ผีดิบเหล่านี้จะดูเหมือนไม่กลัวโดนไฟเผา แต่ไฟที่พวกมันไม่กลัวคือไฟจากพลังวิญญาณ อย่างไรก็ตามถึงแม้ไฟจากพลังวิญญาณจะรุนแรง แต่ก็เป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นและสลายหายไปทันควัน ไม่คงอยู่นาน แต่ถ้าจุดไฟใส่น้ำมันปิโตรเลียมของที่นี่ล่ะก็…
เธอไม่เชื่อหรอกว่าจะพวกไอ้ผีร้ายพวกนี้ไม่ตาย!
เสียงฝีเท้าสับสนวุ่นวายแว่วมาจากด้านหลัง ชัดเจนยิ่งนักว่าในที่สุดอิงเหยียนนั่วก็พาผีดิบพวกนั้นมาแล้ว…
เธอเห็นชายชุดของอิงเหยียนนั่วโบกสะบัดมาแต่ไกล เธอกระโจนเข้าไปจนเกิดเสียงดังฟุ่บ ร่อนลงข้างกายเขา วิ่งเคียงเขา
อิงเหยียนนั่วมุ่นหัวคิ้ว “ตัวโง่งม เจ้ามาทำอะไรอีก?”
“หล่อมโคลนแห่งนั้นสามารถจุดไฟได้ หลังจากเจ้าพาผีดิบพวกนี้เข้าไปก็รีบออกมาเลยนะ ข้าจะใช้ไฟเผาพวกมัน” กู้ซีจิ่วกล่าวอย่างรวดเร็ว
อิงเหยียนนั่วเลิกคิ้วขึ้น “ผีดิบพวกนี้ไม่กลัวไฟเผาเลย…”
“ไฟชนิดนี้พวกมันสมควรต้องกลัว หล่มโคลนของที่นี่ไม่ใช่หล่มโคลนธรรมดา เป็นหล่มน้ำมัน เมื่อจุดไฟขึ้นจะลุกไหม้ไปอย่างน้อยสามสี่วัน และมีอุณหภูมิสูงแน่นอน ต่อให้เป็นเหล็กกล้าก็สามารถเผาผลาญได้ ที่นี่คือฌาปนสถานตามธรรมชาติของพวกมัน!” กู้ซีจิ่วมีความั่นใจเต็มเปี่ยม
อิงเหยียนนั่วทราบว่านางมีความคิดหลักแหลมมากมาย จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างแท้จริง “ได้!”
ทั้งสองหารือแผนรับมือย่างรวดเร็วยิ่ง แต่ยามที่ลงมือจริงกลับประสบปัญหายุ่งยาก
ตอนที่วิ่งจนใกล้จะถึงหล่มโคลนดูเหมือนผีดิบพวกนี้จะรับรู้อันตรายได้ตามสัญชาตญาณ พากันหยุดฝีเท้า อิงเหยียนนั่วที่หลอกล่ออยู่ด้านหน้าพวกมันในระยะหนึ่งจั้งก็ไม่อาจทำให้พวกมันหลงกลได้
และในยามนี้ มีเสียงคำรามแหบต่ำสองสามเสียงแว่วมาจากที่ไกลๆ…
เสียงนั้นน่าพิศวงยิ่ง ฟังดูค่อนข้างแหบห้าว ทว่าเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ เมื่อกู้ซีจิ่วได้ยินก็รู้สึกเพียงว่าในหูมีเสียงดังหึ่งๆ แก้วหูคล้ายว่าจะถูกทะลุทะลวง
ส่วนผีดิบเหล่านั้นกลับเสมือนได้ยินเสียงเรียกอันใด เริ่มหันหลังกลับ เห็นว่ากำลังจะกระโจนทะยานไป…
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก
เวรเอ้ย เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์งั้นหรือ?!
————————————————————————————-
บทที่ 969 อันคำว่าเซียน
ทันใดนั้นอิงเหยียนนั่วที่อยู่ข้างกายก็ลากเธอไปโยนไว้บนไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป “ซ่อนให้ดี!”
กู้ซีจิ่วทะยานขึ้นไปต้นไม้อย่างไม่เต็มใจ ตอนที่เธอหันกลับไปมองอิงเหยีนนั่วอีกครั้ง พบว่าเข้าโคจรวิชาเหินหาวเหาะขึ้นไปอยู่กลางอากาศ สิบนิ้วประกบพลิกพลิ้วดั่งดอกบัว และไม่ทราบว่าร่ายเวทวิชาอันใด มีหยาดโลหิตลอยออกมาจากปลายนิ้วเขาหยดแล้วหยดเล่าจนทอดตัวยาวเหยียด โอบล้อมหมุนวนรอบกายเขา ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเป็นกำแพงโลหิตบางๆ อันหนึ่ง ในอากาศคลุ้งด้วยกลิ่นคาวโลหิตที่หอมปานโอสถหรือบุปผาชนิดหนึ่ง
ผีดิบที่เตรียมจะวิ่งกลับไปเหล่านั้นค่อยๆ หันกลับมาอีกครั้ง สายตาทุกคู่จับจ้องอิงเหยียนนั่วที่หมุนวนอยู่กลางอากาศ ท่าทางเสมือนนักสูบที่ได้เห็นยางฝิ่น น้ำลายไหลยืดเป็นสาย นัยน์ตาก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำไปหมด ร้องโหยหวนแล้วพุ่งไปทางอิงเหยียนนั่ว!
ร่างของอิงเหยีนนั่วค่อยๆ ลอยไปทางหล่มโคลน ผีดิบไม่คำนึงถึงสิ่งใดอีกแล้ว โผทะยานไล่ตามเขาต่อไป…
เกิดเสียงดัง ‘ตูมๆ…’ ขึ้นไม่ขาดหู ผีดิบนับไม่ถ้วนตกลงไปในหล่มโคลนดำเมื่อม เนื่องจากหล่มโคลนนี้พิสดารยิ่ง ไม่อาจลอยตัวได้เลย ดังนั้นผีดิบที่ตกลงไปเหล่านี้ไม่มีเวลาแม้แต่จะดิ้นรนด้วยซ้ำจมดิ่งลงไปทันที ผีดิบที่อยู่ด้านหลังย่อมยั้งตัวไว้ไม่อยู่ ตกลงไปตามๆ กัน…
หล่มโคลนนี้ไม่ถือว่าลึก แค่สามสี่เมตรเท่านั้น หลังจากจมลงที่ริมฝั่ง ก็กลายเป็นหินรองเท้าให้ผีดิบที่มาทีหลัง ตัวที่มาทีหลังก็เหยียบร่างพวกเดียวกันทะยานไปด้านหน้า…
ด้วยเหตุนี้ ผีดิบเหล่านี้จึงปูเข้าไปทีละชั้นๆ…
กู้ซีจิ่วที่อยู่บนต้นไม้มองย่างตาลืมตาลาย เธอนึกไม่ถึงว่าเลือดของอิงเหยียนนั่วจะมีแรงดึงดูดมากขนาดนี้ ทำให้ผีดิบพวกนี้พุ่งเข้าใส่โดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดเสมือนบ้าคลั่งได้!
เธอก้มมองฝ่ามือตน เคยกรีดไปแล้วเช่นกัน แต่เลือดของเธอไม่ได้มีเสน่ห์ดึงดูดถึงเพียงนั้น
กองทัพผีดิบพุ่งเข้าไปในหล่มอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด ส่วนอิงเหยีนนั่วเหาะเหินอยู่กลางอากาศตลอด
กำแพงสีโลหิตโอบล้อมเขาไว้อย่างสมบูรณ์ แต่ยังมองเห็นความเคลื่อนไหวของเขาผ่านกำแพงที่โปร่งใสได้
นิ้วมือเขาขยับเขยื้อนร่ายวิชาอยู่ตลอด หลุบตาลงเล็กน้อยใบหน้าสงบเยือกเย็นดุจเซียนที่เหินลอยอยู่ เป็นเซียนที่สูงส่งเหนือสรรพสิ่งอย่างแท้จริง
หัวใจเธอเต้นรัว มือกำแน่น อิงเหยียนนั่วผู้นี้ที่แท้เป็นใครกันแน่?
‘เสี่ยวชาง เสี่ยวชาง เจ้ามองออกไหมว่าวิชานี้ของเขาคืออะไร?’ กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามหยกนภาบนข้อมือ
ผ่านไปพักหนึ่งหยกนภาถึงตอบเธอ ‘ข้าไม่รู้’
แม้แต่หยกนภาก็ยังไม่รู้ เช่นนั้นวิชานี้ของเขาก็พบเห็นได้ยากยิ่ง!
‘พลังวิญญาณขั้นหกสองส่วนสามารถใช้วิชาเช่นนี้ได้ด้วยหรือ? ‘เจ้าเห็นไหมว่าเขาลอยอยู่ในอากาศตลอดโดยไม่ตกลงมาเลย…’
ถึงวิชาเหินหาวที่พวกเธอฝึกฝนที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์จะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ก็เหาะเหินได้เพียงครึ่งนาทีเท่านั้น กู้ซีจิ่วถือเป็นผู้ที่ฝึกฝนวิชาเหินหาวได้ยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดารุ่นเยาว์ แต่เธอก็เหาะเหินอยู่กลางอากาศได้แค่หนึ่งนาที แต่อิงเหยียนนั่วผู้นี้กลับเหาะวนไปวนมาอยู่ตรงนั้นสามนาทีเต็มแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะหล่นลงมาเลย
เท่าที่เห็นท่าร่างของเขาก็ไม่เหมือนวิชาเหินหาวเลย นี่มันอะไรกัน? เธอก็อยากเรียนบ้างเช่นกัน!
ห่มโคลนแห่งนี้มีแรงดูด เมื่อผีดิบเหล่านั้นก้าวเข้าไปก็โผล่ขึ้นมาไม่ได้อีก แต่ก็ยังไม่ตาย เนื่องจากจุดที่ผีดิบจมลงไปมีฟองอากาศผุดปุดๆ ขึ้นมาปานหม้อน้ำเดือด ชัดเจนยิ่งนักว่าผีดิบเหล่านั้นกำลังดิ้นรนอยู่ด้านใน…
รอจนผีดิบทั้งหมดจมลงไป ค่อยจุดไฟเผา
ความคิดของเธอเพิ่งแล่นมาถึงตรงนี้ จู่ๆ ร่างของอิงเหยีนนั่วก็หมุนไปสู่จุดที่ลึกที่สุดในหล่มแล้วร่วงดิ่งลงมา! ทำให้กู้ซีจิ่วตื่นตระหนก เธอหวาดหวั่นว่าเขาจะประคับประคองไว้ไม่อยู่แล้วหล่นลงไปในหล่ม
————————————————————————————-
บทที่ 970 อันคำว่าเซียน 2
กำลังจะเคลื่อนย้ายเข้าไปหา กลับคาดไม่ถึงว่าขณะที่กำลังจะร่วงแหล่ไม่ร่วงแหล่ปลายเท้าของอิงเหยียนนั่วพลันเหยียบลงบนศีรษะของผีดิบตัวหนึ่งที่เพิ่งโผเข้ามาและยังไม่จมลงไป ร่างกายพุ่งทะยานขึ้นอีกครา…
กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนอิงเหยียนนั่วจะไม่เกิดอันตรายใดๆ ขึ้นที่นี่
จู่ๆ หว่างเอวเธอก็สั่นไหวขึ้นมา เธอสะดุ้งโหยง ล้วงยันต์ทรงดาวหกแฉกแผ่นหนึ่งขึ้นมา กดลงไปคราหนึ่ง น้ำเสียงตื่นตระหนกเสียขวัญของจิ้งจอกแว่วออกมา “สวรรค์ มันจะจับตัวพวกเราได้แล้ว!”
กู้ซีจิ่วหน้าเปลี่ยนสีทันที
ยันต์ดาวหกแฉกแผ่นนี้กู้ซีจิ่วคิดค้นขึ้นโดยอ้างอิงตามหลักการของวิทยุสื่อสาร
ถึงแม้ว่ายุคนี้จะไม่มีข้าวของทันสมัยเหล่านั้น แต่ก็มีพลังวิญญาณที่สามารถหลอมสร้างสรรพสิ่งได้ เธอทดสอบดูครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านความล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดก็ค้นคว้ายันต์ชนิดนี้ออกมาได้ ถึงแม้จะส่งเสียงหากันในระยะทางหมื่นลี้แบบโทรศัพท์ไม่ได้ แต่ก็สามารถพูดคุยสื่อสารหรือรับรู้เสียงของกันและกันในระยะร้อยลี้ได้
หลังจากคิดค้นสิ่งนี้ออกมา แพร่หลายอย่างมากในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์
เนื่องจากสิ่งนี้ต้องใช้พลังวิญญาณของผู้ที่บรรลุพลังวิญญาณขั้นแปดขึ้นไปปลุกเสก การผลิตยันต์เช่นนี้ออกมาสักแผ่นต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณมิใช่น้อย ดังนั้นจึงไม่ได้มีกันทุกคน มีเพียงยามที่ถูกส่งออกไปทำภารกิจอันตรายเท่านั้น ถึงจะได้รับ
กู้ซีจิ่วเป็นผู้คิดค้น ดังนั้นตัวเธอและเหล่าสหายของเธอจึงได้รับสิทธิพิเศษ ได้กันคนละแผ่น
แน่นอนว่าสิ่งนี้ต้องอาศัยพลังวิญญาณหล่อเลี้ยง เมื่อใช้ครั้งหนึ่งจะสูญเสียพลังวิญญาณด้านในไปไม่น้อย ดังนั้นถึงแม้พวกเขาจะพกติดตัวไว้ แต่ถ้าไม่ตกอยู่ในอันตรายจริงๆก็จะไม่ใช้สิ่งนี้ติดต่อ
ยามนี้จิ้งจอกน้อยน่าจะตกอยู่ในความตระหนก เปิดใช้งานสิ่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงได้ส่งกระแสเสียงมา
พวกจิ้งจอกน้อยพบเจออันตรายแล้ว!
กู้ซีจิ่วนึกถึงเสียงคำรามน่าหดหู่ที่ได้ยินเมื่อครู่นี้ หรือจะเป็นราชาผีดิบ?!
“มันบินได้! มันไล่ตามมาแล้ว!”
“อ๋า…”
‘ปัง!’
เสียงต่างๆ แว่วออกมาจากยันต์ถ่ายทอดเสียง ดูเหมือนสถานการณ์ของพวกจิ้งจอกน้อยจะอันตรายขึ้นเรื่อยๆ…
กู้ซีจิ่วสบถเบาๆ คราหนึ่ง มองอิงเหยียนนั่วแวบหนึ่ง ทราบว่าเขาจะไม่ประสบภยันอันตรายแล้ว จึงส่งกระแสเสียงไปหาเขา ‘ข้าจะไปดูพวกจิ้งจอกน้อยนะ’
ร่างกายเปล่งแสงวาบ อันตรธารไปทันที
อิงเหยียนนั่วเงียบงัน
ในใจของสาวน้อยคนนั้น ความปลอดภัยของสหายมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ…
เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าไม่ได้ผิดสัญญา? ไม่สนใจว่าร่างกายถูกธาตุไฟเข้าแทรกกลับมาอยู่ข้างกายเจ้า
เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าวิชาชนิดนี้ที่ข้าใช้คือพลังเทพที่ได้จากกระบวนการเผาผลาญพลังวิญญาณ?
เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่โลหิตที่ข้าใช้ออกมาในยามนี้คือโลหิตหทัยเทวะ? หยดเดียวก็ทำให้ข้าสิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปมากมาย
เด็กน้อย ข้ากล้าใช้กระบวนท่านี้ออกมาก็เพราะเจ้าอยู่ไม่ไกล ข้าคิดไปว่ายามที่ข้าตกอยู่ในภาวะคับขันเจ้าสามารถใช้วิชาเคลื่อนย้ายประคองข้าหนีไปได้…
เด็กน้อย เจ้าวิ่งออกไปเช่นนี้ หากข้ามีอันเป็นไปขึ้นมาเจ้าจะเสียใจหรือไม่?
น่าจะไม่เสียใจสักเท่าใด
เขาอยู่ข้างกายนางมาเกือบครึ่งปีแล้ว นอกจากยามเมามายครั้งนั้นที่นางรำพันถึง ‘ตี้ฝูอี’ ออกมาสองประโยค ช่วงเวลาอื่นนางจะเป็นปกติยิ่งนักเสมอ ทุกๆ วันจะฝึกฝนและเล่นสนุกกับเหล่าสหายตัวน้อยในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ข้ามผ่านวัยเยาว์อย่างมีสีสัน และไม่เคยเอ่ยถึงนามเขาเลยสักคำ
เขารู้สึกว่าสาวน้อยนางนี้เลือดเย็นโดยกำเนิดบางทีอาจจะลืมใครหน้าไหนก็ไม่รู้อย่างเขาไปแล้วด้วยซ้ำ!
สาวน้อยตัวเหม็น รอจนเขาฟื้นฟูกลับเป็นปกติแล้ว จะไปคิดบัญชีกับนางอย่างจริงจัง! ทำให้นางถอนกลับไปไม่ได้แม้แต่ต้นทุน!
เสี่ยวซีจิ่ว เจ้ารอได้เลย!
….
พื้นดินแยกออกเป็นโพรงใหญ่น่าสะพรึงโพรงหนึ่ง โพรงนั้นลึกจนไม่อาจหยั่งได้ รอบโพรงที่ปกคลุมไปด้วยหิมะมีหินกลิ้งหล่นลงไปบ้างเป็นครั้งคราว
————————————————————————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น