องครักษ์เสื้อแพร 966-968
ตอนที่ 966 เทียนจินมีสำนักศึกษา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ราชสำนักจัดการตัดสินเรื่องการจัดการหลังความพ่ายแพ้ของเมืองเหลียวโจวที่ป้อมหม่าเอ๋อร์ตุนแล้ว ขุนนางใหญ่ก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้อีก
สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว พูดถึงเผ่าหนี่ว์เจิน พวกเขาคิดถึงเรื่องแรกย่อมไม่ใช่ชาวบ้านทางตอนเหนือและตะวันออกเมืองเหลียวโจว แต่เป็นเรื่องพวกที่ทำลายราชวงศ์ซ่งเหนือ
ตอนนั้นจุดมุ่งหมายของการตั้งเมืองเหลียวโจว ก็เพื่อป้องกันการรุกรานจากมองโกล ยังมีอีกเรื่องที่ไม่ได้กล่าวชัดเจน แต่ทุกคนล้วนเข้าใจดี ก็คือการป้องกันศัตรู เกาหลี แม้ว่าเกาหลีอ่อนแอ แต่ประเทศอย่างไรก็เป็นประเทศ ไม่อาจไม่วาดเขตแดนและเตรียมป้องกัน
เผ่าหนี่ว์เจินจะสักเท่าไรกัน ก็แค่พวกป่าเถื่อนเลี้ยงหมูก็เท่านั้น อิทธิพลอำนาจตอนนี้ไม่คู่ควรเป็นศัตรูแผ่นดินหมิง ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง การพ่ายศึกของเมืองเหลียวโจวเป็นเพราะพวกเขาประมาทศัตรูเท่านั้น ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายมีกำลังเข้มแข็งแต่อย่างใด แต่ว่าตั้งแต่หลี่เฉิงเหลียงมีชื่อทั่วหล้า เหตุใดการต่อสู้ล้วนเป็นกับมองโกลแต่ละผ่า ไม่เคยเอ่ยถึงเผ่าหนี่ว์เจิน
วงราชสำนักล้วนคิดเช่นนี้ ความจริงนั้นคนส่วนใหญ่แม้แต่พื้นที่เมืองเหลียวโจวเป็นเช่นไรก็ยังไม่รู้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์นอกกำแพงเมืองชายแดนเหลียวโจว
หวังทงรวบรวมข่าวมาได้ไม่น้อย แต่มีค่าจริงๆ ไม่มาก เมืองเหลียวโจวกับพ่อค้าต่างเผ่า มีไปมาหาสู่กันนอกกำแพงเมืองไม่กว้างใหญ่นัก พวกเขายากที่จะสมาคมกับเจ้าของพื้นที่ โดยเฉพาะยามสงครามเช่นนี้ พวกเจ้าของพื้นที่ต่างก็ยิ่งเป็นปรปักษ์กับคนจากแผ่นดินหมิง
รู้แต่ว่า ตอนนี้กำลังนู่เอ่อร์ฮาชื่อขยายอิทธิพลรวดเร็ว ทหารเมืองเหลียวโจวออกศึก ป้อมต่างๆ นอกกำแพงเมือง ล้วนวางตัวเหิมเกริม นู่เอ่อร์ฮาชื่อก็เอาแต่เลี่ยงการต่อสู้ กองกำลังต่าง ๆ ในพื้นที่ล้วนโกรธแค้นกองกำลังหมิง หากยังรบกับนู่เอ่อร์ฮาชื่อเช่นนี้ต่อไป ไม่รู้แพ้ชนะเสียที ก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียงเขาในแถบเขาไป๋ซานแม่น้ำเฮยสุ่ยยิ่งเกรียงไกร กลายเป็นวีรบุรุษ ชนเผ่ามากมายล้วนไปสวามิภักดิ์
หวังทงเข้าใจดีมาก ชาวเผ่าหนี่ว์เจินขยายอิทธิพลอำนาจไปมากเพียงใด พวกเขาตอนนี้ก็ยังคงเป็นได้แค่เม็ดทราย กระจัดกระจาย เมืองเหลียวโจวตอนนี้ระดมกำลังแล้ว ชาวเผ่าหนี่ว์เจินรวมกำลังได้มากเพียงใด ผลก็จะถูกสังหารมากเพียงนั้น ชัยชนะเมืองเหลียวโจวจะยิ่งยิ่งใหญ่ หวังทงยังคงมองสถานการณ์ในแง่บวก
….
หลังมั่นใจว่าหวังทงไม่คิดยื่นมือข้องเกี่ยวเรื่องราวเหลียวโจว บรรดาขุนนางราชสำนักก็เปลี่ยนความสนใจไปยังเรื่องเงินทองอย่างรวดเร็ว
ภาษีหลังปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 มาก็เริ่มลดลงทุกปีติดกัน หากไม่ใช่เมืองชายแดนไร้สงคราม ผู้บัญชาการแต่ละแห่งไม่มีเหตุมาขอเบี้ยหวัดและเสบียง ใต้หล้าก็ยังเป็นสุขได้ พื้นที่อุทกภัย แผ่นดินไหวก็ไม่มากนัก ใช้จ่ายเงินท้องพระคลังไม่มากเท่าไร ในวังยังหาเงินมาได้เองจากที่ดินและรายได้อื่นอีกไม่น้อย ไม่ต้องการเพิ่มเติมจากท้องพระคลัง ก็เพราะการใช้จ่ายไม่มาก ดังนั้นจึงยังคงประคับประคองไปได้
แต่สถานการณ์เช่นนี้ช่างทำให้คนรู้สึกไม่อาจสบายใจได้ หากยังคงลดลงเช่นนี้ต่อไป ไปถึงระดับปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 5 เช่นนั้นย่อมขาดสมดุลแล้ว อย่างไรค่าใช้จ่ายก็ไม่เคยลดลง แต่รายได้กลับต้องมาน้อยลง
จะทำเงินเพิ่มให้ราชสำนักอย่างไร ก็กลายเป็นปัญหาที่ทุกคนให้ความสนใจที่สุดตอนนี้ วงราชสำนักต่างก็ยื่นฎีกาให้ความเห็น เสนอแนวคิดและวิธีการตนเอง หากส่วนใหญ่ล้วนใช้การไม่ได้
ตอนนี้เก็บได้น้อยเพียงนี้ เหตุใดเมื่อก่อนเก็บได้มากเพียงนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงร้อนพระทัยในเรื่องนี้มาก ทรงไม่อยากให้พอไร้จางจวีเจิ้ง แต่ละคนก็ไร้สามารถทุกเรื่อง แต่ความจริงนั้นก็เป็นเช่นนี้ หลังปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 เป็นเพราะผลงานจางจวีเจิ้งทำได้ดี แต่ตอนนี้ล้วนตรงกันข้าม
และเพราะเช่นนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่จึงทรงให้หวังทงไปคิดหาวิธี ดูว่าจะมีทางทำให้มีพื้นที่ทำเงินเช่นเทียนจินได้อีกหรือไม่ หากมีอีกสักที่ เช่นนี้ช่องว่างรูรั่วเงินทองก็อุดง่ายมาก
หวังทงจัดการเทียนจินมาสิบปีเต็ม ๆ จึงได้มีความสำเร็จเช่นวันนี้ คิดจะทำขึ้นมาอีกแห่ง ไหนเลยจะง่ายเพียงนั้น
หากหวังทงกลับไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้ อย่างไรโอรสสวรรค์ก็แค่วาจาคุยทั่วไป กลับจากหนิงเซี่ยมา มีเรื่องที่ได้คุยกันมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวกับการค้า เรื่องนี้ต้องค่อยๆ ปล่อยให้เป็นไป เถ้าแก่ร้านเงินสามธารา ร้านประกันภัยและการค้าๆ ต่าง ๆ พากันมาที่นี่เพื่อหารือกันทั้งวัน วางแผนการค้า ตัดสินใจได้เรื่องหนึ่ง ก็มีคนรีบเร่งนำไปยังตอนเหนือหรือไม่ก็ตะวันตกเฉียงเหนือ
….
คนที่รีบเร่งเดินทางไปยังตอนเหนือหรือตะวันตกเฉียงเหนือเหล่านี้เกือบทั้งหมดต้องอยู่ประจำที่นั่น คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนเก่งในสายระบบเครือสามธารา
ยามนี้ได้แสดงให้เห็นถึงเรื่องที่หวังทงตอนนั้นสร้างสำนักศึกษาการค้ามา ตอนนี้ได้รับเสียงตอบรับที่ดี เครือร้านสามธาราเริ่มขยายตัว พวกคนที่จบมาเก่งกล้าสามารถก็ออกไปประจำยังที่ต่างๆ คนที่ส่งออกไปล้วนสามารถจัดการได้อย่างดี ที่ยังเหลือไว้ข้างกายก็ล้วนใช้งานได้ดี ระบบการค้าก็พัฒนาไปในทิศทางที่ดี ก็เพราะมีกำลังเสริมเฉพาะทางที่ส่งเข้าสู่ระบบไม่ขาด
ตามที่เป็นมาหลายเรื่องในแผ่นดินหมิง ตอนหวังทงอยู่เทียนจิน พ่อค้าเทียนจินยังอยากสมาคมกับสำนักศึกษาการค้าให้ดี หากพอหวังทงไป พวกเขาก็ย่อมไม่คิดเรื่องพวกนี้
นักเรียนจากสำนักศึกษาการค้าพอเข้ามาทำงานก็รับเงินเดือน และยังสูงกว่าคนงานทั่วไปมาก ตามหลักแล้วการมาเรียนรู้งาน ให้แค่กินอยู่ ไม่มีเงินเดือน ถือเป็นธรรมเนียม มีคนงานมากมายที่เทียนจินที่คิดจะเข้ามาทำงานร้านค้า ไยต้องไปหาคนจากสำนักศึกษาการค้าอะไรนั่นด้วย!
คนอื่นไม่เอา แต่เครือข่ายสามธาราไม่อาจไม่เอาไว้ อย่างไรร้านสามธาราแต่ละร้านก็ล้วนเป็นกิจการใหญ่ เงินเดือนไม่ต้องใส่ใจมาก พอนำมาใช้งานกลับใช้งานได้ดี นักเรียนที่มาทำงานใหม่เหล่านี้เข้าใจธรรมเนียม ทำไม่กี่เดือนก็ชำนาญ คนงานปกติต้องเรียนให้เป็นระดับคนงานเชี่ยวชาญได้ก็ต้องใช้เวลาสามปี คนจากสำนักศึกษาการค้าแค่ครึ่งปีก็สามารถชำนาญงานได้ ปีเดียวก็เป็นดังคนเก่าคนแก่ของร้านได้ แน่นอนการทำงานและการติดต่อสื่อสารกับสังคมก็คงต้องใช้เวลา แต่สถานการณ์เช่นนี้ กลับทำให้เครือข่ายสามธาราหาคนออกไปขยายกิจการได้มากยิ่งขึ้น
เครือข่ายสามธาราสะสมเงินทองได้จากเทียนจินแสนรุ่งเรือง เงินทุนสะสมมากพอควร ไม่มีความจำเป็นต้องหาที่ดินเพิ่มอีก ก็ได้แต่ขยายการค้าไปยังแต่ละเมืองในเขตปกครองเหนือ ไปซานตงและเหอหนาน ไปซานซีและส่านซี ถึงกับไปนอกด่านกับทางใต้ คนจากสำนักศึกษาการค้าก็เป็นกำลังคนที่เข้ามาเสริม และทำได้ดังที่พวกเขาต้องการ
เทียนจินไม่ใช่มีแค่ร้านเครือข่ายสามธารา ร้านที่ต้องการขยายกิจการอื่นไม่เพียงแค่ร้านเครือข่ายสามธาราแห่งเดียว แต่พวกเขาล้วนมีปัญหาใหม่ ส่งคนที่ไว้ใจไป การค้าร้านเดิมเองก็มีผลกระทบ หากส่งคนไม่ไว้ใจไป เงินที่โยนไปก็เท่ากับโยนซาลาเปาปาหัวสุนัข
ตอนนี้พวกเขาจึงได้เห็นข้อดีของสำนักศึกษาการค้า คิดจะรับคน แต่ก็พบว่าสายไปเสียแล้ว เหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะเครือข่ายสามธารารู้ข้อดีของคนจากสำนักศึกษาการค้า พวกเขาจึงเริ่มส่งเงินทองเข้าสู่สำนักศึกษาการค้าและยังเซ็นสัญญากับพวกที่ยังไม่จบ ให้พวกเขาพอจบการศึกษาก็สามารถมาทำงานที่ร้านเครือข่ายสามธาราได้ทันที
สำนักศึกษาการค้าเป็นกิจการหนึ่งของเครือข่ายสามธารา หากเครือข่ายสามธาราก็ยังทำตามธรรมเนียม คนอื่นไม่อาจหาเหตุมาแย้งได้
พ่อค้าอื่นแน่นอนไม่พอใจ แต่หาเหตุมาเป็นข้อโต้แย้งไม่ได้ ได้แต่ให้เงินเดือนสูงเพื่อรับคนงานมีความสามารถแทน ทางหนึ่งก็หารือกับสำนักศึกษาการค้า อีกทางหนึ่งก็เริ่มเปิดชั้นเรียนอบรมระยะสั้น อย่างไรก็ต้องหาทางแบ่งสรรกำไรให้ตนบ้าง อย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้เครือข่ายสามธารากินรวบไปคนเดียว
แต่ทว่าพวกเขาอย่างไรก็สายไปก้าวหนึ่ง เทียบกับเครือข่ายสามธาราแล้วช้าไปถึงครึ่งปี รอเครือข่ายสามธารายืนหนึ่งในแต่ละพื้นที่แล้ว พวกเขาจึงเพิ่งไปถึง
สำนักศึกษาการค้าค่อยมีชื่อเสียงตามไปด้วย คนในพื้นที่หากเห็นบุตรหลานเรียนตำราไร้อนาคต ก็ล้วนอยากยัดเข้ามาสู่สำนักศึกษาการค้า เป็นขุนนางไม่ได้ ทำการค้าทำกำไรได้ก็ยังดี เมืองเหอเจียนและเมืองซุ่นเทียนมีคนไม่น้อยเห็นหนทาง ค่อย ๆ ส่งคนมากัน ตอนนี้ไม่เพียงแต่เมืองในเขตปกครองเหนือ แม้แต่ซานตง เหอหนาน ซานซี ก็ล้วนมีคนมา
คนมากมายเช่นนี้ สำนักศึกษาก็ต้องขยาย สำนักศึกษาใหม่ตอนนี้กำลังสร้างบนพื้นที่โรงนาเดิม เงินขยายกิจการก็เป็นพ่อค้าเทียนจินร่วมกันออกเงิน สำหรับพวกเขาแล้วไม่จำกัด เพราะยิ่งออกเงินมาก พวกเขาก็ยิ่งได้ส่วนแบ่งมาก
ตอนนี้ทุกคนล้วนวิเคราะห์ได้ว่า เช่นนั้นวันหน้าอนาคตทุกคนย่อมไม่หยุดแค่เทียนจินที่เดียว หากเจ้าเตรียมตัวดี ย่อมมีโอกาสร่ำรวย
เครือข่ายสามธาราไม่นิยมกินรวบ แน่นอนเพราะผลประโยชน์ข้างนอกมากมายเกินกว่าที่จะกินรวบไว้คนเดียว ต้องการให้ทุกคนไปช่วยกันแบ่งปัน โอกาสก็แค่พวกมีการเตรียมพร้อม ทุกคนไร้พื้นฐานที่ดี ถึงตอนนั้นก็ย่อมพลาดโอกาสอำนาจวาสนา ไม่อาจโทษผู้ใด
เทียบกับคนที่แห่ไปยังสำนักศึกษาการค้า สำนักศึกษาทั่วไปก็เงียบเหงาอย่างมาก คิดจะเรียนภาษาต่างชาติก็ต้องมีพรสวรรค์ และอย่างไรก็ย่อมต้องมีพื้นฐานการศึกษามาบ้าง คนพวกนี้หาได้ยาก หากไม่ใช่ว่าตอนนี้การค้ากับต่างชาติกำลังรุ่งเรือง เงินเดือนสูง หน้าประตูเงียบเหงาเกรงว่าคงเลี่ยงได้ยาก
แต่ทว่าเทียบกับความน่าสนใจแล้ว สำนักศึกษาทั่วไปก็มีคนต่างชาติมาเรียนภาษาจีนแล้ว พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนขาวมาจากทะเลใต้หรือไม่ก็อินเดีย อาจเป็นพ่อค้าเอง อาจเป็นตัวแทนที่ส่งมา พวกเขาพอรู้ภาษาจีนบ้าง แต่ในสภาวะแห่งความรุ่งเรืองนี้ รู้สึกว่าตนเองต้องการรู้ให้มากขึ้นอีก สำนักศึกษาทั่วไปพวกนี้จึงตรงตามความต้องการพวกเขาพอดี
สำนักศึกษาการค้าการค้าจัดการศึกษา ล้วนเป็นสำนักศึกษาที่หวังทงก่อตั้งตอนอยู่เทียนจิน ความจริงนั้นคนโรงช่างสามธารากับโรงต่อเรือสามธาราล้วนก็เป็นระบบการจัดการเช่นนี้
แต่ทว่าพวกที่ยอมไปเรียนรู้ที่โรงช่าง ล้วนมีแต่พวกชาวบ้านยากจนที่อาศัยอยู่แถบสบแม่น้ำที่อพยพมาจากนอกเมืองเท่านั้น พวกเขาไม่มีหนทางในเทียนจินมากนัก เห็นโรงช่างรายได้ดีก็ย่อมหวั่นไหว ก็ถือว่าเป็นการแสวงหาอนาคตให้ลูกตนก็ไม่เลว
โรงต่อเรือสามธาราความจริงนั้นเป็นการอบรมช่างต่อเรือและลูกเรือพร้อมกัน แต่ความเป็นตายบนท้องทะเลยากคาดเดา แม้แต่พวกชาวเลชาวประมงแต่เกิดก็ยังไม่อยากให้ลูกหลานตนได้ทำงานนี้ต่อ แต่ทว่าสำหรับหลายคน เรียกได้ว่าไม่มีทางเลือกมากนัก ล้วนลำบากเลี้ยงชีพ ทางนี้ก็มีคนงานมาแทน แต่ทว่าไม่ได้มากนัก เทียบกับสำนักศึกษาการค้าไม่ได้
….
“หวังทง ที่เราเคยพูดไว้ ให้หาที่ทำให้เหมือนเทียนจิน เจ้ามีแผนหรือยัง?”
ตอนที่ 967 กองงานภาษี
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนนั้นที่ว่าให้สร้างอีกแห่งให้เหมือนเทียนจินเหมือนคุยกันทั่วไปเท่านั้น ผู้ใดจะคิดว่าวันนี้จะเอ่ยถึง
แต่ทว่าหวังทงครั้งนี้กลับไม่กล้าแสดงท่าทีสนทนาแบบทั่วไปมารับมือ เพราะในการประชุมขุนนาง เสนาบดีกรมอากรได้ทูลว่าฝ่าบาทปกครองใต้หล้า พระคลังวังในก็เป็นท้องพระคลังแผ่นดิน ฝ่าบาทไม่ควรสะสมเงินทองมากมาย หากควรให้พระคลังวังในช่วยจ่ายงบประมาณแผ่นดิน
เสนาบดีกรมอากรกล่าวได้ทรงคุณธรรมยิ่ง คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ว่านลี่จะร้อนพระทัยกริ้วหนักทันที คว้าที่วางพู่กันได้ก็เขวี้ยงใส่ทันที ที่วางพู่กันนี้เป็นหยกแกะสลัก น้ำหนักไม่น้อย ฮ่องเต้ว่านลี่ก็แรงพระกรไม่น้อย และยังแม่นอีก ปาเข้าตรงเป้าหากโดนจริงคงทำเอาหัวแตกเลือดอาบทันที
เป็นหวังทงที่ตาไวมือไว ดึงเสนาบดีกรมอากรหลบทัน ในการประชุมขุนนางไม่ว่าขันทีหรือขุนนางใหญ่ล้วนคุกเข่า พากันกราบทูลพร้อมกันว่า
“ฝ่าบาททรงระงับความกริ้วด้วยพะยะค่ะ!”
“เราเก็บเงินภาษีได้จากเทียนจิน ได้จากกุยฮว่าเฉิงนิดหน่อย วันเวลาก็สบายขึ้นมาหน่อย พวกเจ้าก็ขัดตาหรือไง เมื่อก่อนมีเทียนจินไหม? เมื่อก่อนมีกุยฮว่าเฉิงไหม? พวกเจ้าอยู่ไม่ได้แบบเดิมแล้วหรือ? หรือแต่ละคนคิดอยากเอาเพิ่มกัน ได้น้อยลง ไม่เพียงแต่เรา พวกเจ้าก็ด้วย หรือพวกเจ้าคิดได้ไร้สามารถเช่นนี้!?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงด่าเสียงดัง เสนาบดีกรมอากรเบื้องหน้าจากสีหน้าแดงก่ำกลายเป็นซีดเผือด สุดท้ายโขกศีรษะกับพื้น ฮ่องเต้ว่านลี่แค่นยิ้มตรัสต่อว่า
“ภาษีที่เก็บได้ลดลงมาสามปีติดต่อกัน ปีหน้าหากยังน้อยอีก เจ้าก็ไม่ต้องดำรงตำแหน่งนี้แล้ว ลาออกกลับบ้านเกิดไปได้เลย”
เห็นราชบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่คิดกราบทูล ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสต่อว่า
“ฝ่ายในสองคนที่เราส่งไปตรวจสองแม่น้ำมีรายงานมาแล้ว ปีนี้ภาษีเกลืออย่างไรก็คงมีมาสี่ล้าน ทำไมกัน ไม่ใช่เพราะต้องผ่านด่านตรวจสามด่าน กรมเกลืออีกหลายด่าน ตอนนี้ล้วนสงบเสงี่ยมดี? พวกเจ้าหากยังไม่ทำงานให้ดี ในวังเรามีคนมากสามารถมาก ส่งไปได้หมด!”
ในวังส่งขันทีไปรับหน้าที่เก็บภาษีโดยตรง ไปยังพื้นที่ ขุนนางราชสำนักกับท้องที่รู้ดีที่สุด เรียกได้ว่าเป็นการจัดการแสนชั่วร้าย ตั้งแต่สมัยฮ่องเต้เจียจิ้งมา ในวังไม่เคยส่งขันทีไปปฏิบัติงานในท้องที่ชั่วคราวอีก บรรดาขุนนางราชสำนักได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ๆ ตรัสขึ้น ก็พากันสีหน้าแปรเปลี่ยน
เสนาบดีกรมอากรซ่งซวินสีหน้ายิ่งซีดขาว เขามาดำรงตำแหน่งไม่นาน ภาษีก็ลด ท้องพระคลังก็เริ่มว่าง เขาคิดวิธีไม่ออก ก็คิดถึงพระคลังวังใน อย่างไรก็แค่ผลักความรับผิดชอบไปให้ราชวงศ์ ตนเองไม่ต้องรับผิดชอบอันใด และยังสามารถคว้าแหล่งเงินทองอย่างเทียนจินกับกุยฮว่าเฉิงมาอยู่ในมือได้ ไม่เพียงแต่สถานการณ์บีบคั้นตรงหน้าแก้ไขได้ แม้แต่ตนเองก็พลอยได้ประโยชน์ไปด้วย
แต่ทว่าอย่างไรเขาก็มารับตำแหน่งใหม่ มีหลายเรื่องต้องห้ามที่ยังไม่เข้าใจนัก พอขึ้นมาก็แตะเรื่องต้องห้ามพอดี ยังทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่มีดำรัสเช่นนั้นอีก
ขันทีออกเก็บเงินท้องที่ต่าง ๆ ไม่เลือกวิธีการ ผู้ใดมีเงินก็ไปตามเอาจากผู้นั้น เงินในท้องที่แน่นอนล้วนเป็นของพวกคหบดีใหญ่ ญาติขุนนาง พอขันทีไปขูดรีดถึงที่ เสียหายหนักก็มักเป็นขุนนาง ดังนั้นขุนนางราชสำนักทุกครั้งที่เจอเรื่องนี้ก็ย่อมต้องดิ้นรนกันออกหน้าหาเหตุผลค้าน
ครั้งนี้ซ่งซวินก่อเรื่อง ย่อมถูกขุนนางทุกระดับดูแคลน เรื่องยุ่งยากวันหน้ารออยู่อีกมาก
เสนาบดีกรมอากรซ่งซวินเสนอให้นำจากพระคลังในวังมาเสริมท้องพระคลังหลวง เป็นเขาเองที่หาทางปัดความรับผิดชอบ ทุกคนรอดูเรื่องสนุกกันมาก เขาไม่นับเป็นพวกเซินสือหัง และไม่นับเป็นพวกหวังหลิน เพียงเพราะมีคนบอกว่าตำแหน่งว่าง พอดีเขามีคุณสมบัติเข้าแทนได้พอดี กำลังรอดูเรื่องสนุกอยู่นั่นเอง ก็ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่รับสั่งว่าจะส่งขันทีไปจัดการ เรื่องนี้ทำให้ทุกคนเสียผลประโยชน์ อย่างไรก็ต้องออกมาหาเหตุผลค้าน
ส่งคนในวังไปเก็บภาษี เคยมีมาก่อน แต่หากไม่มีเหตุผลควร ย่อมทำให้พื้นที่เดือดพล่าน สถานการณ์ยากควบคุม เป็นเรื่องยุ่งยากยิ่ง
และสถานการณ์ตอนนี้ หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์เถียนอี้เองไม่สนับสนุน หวังทงเองก็เอาแต่เงียบ ฮ่องเต้ว่านลี่จึงไม่อาจทรงยืนหยัดความคิดเดิม ได้แต่ฮึดฮัดเลิกประชุมขุนนาง
หลังเลิกประชุมขุนนาง ก็รับสั่งให้หวังทงเข้าเฝ้าส่วนพระองค์ดังเดิม จากนั้นก็ยังทรงเอ่ยถึงให้สร้างอีกแห่งให้เหมือนเทียนจิน
สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่กลบเกลื่อนให้เรื่องผ่านไป หากต้องหาทางรับมือให้ได้ หวังทงกับฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ด้วยกันมานาน รู้ว่าฮ่องเต้ตอนนี้ พระอารมณ์นี้ ควรรับมือไปก่อนค่อยว่ากัน
สมองหวังทงแล่นเร็วจี๋ ความจริงนั้นตอนนี้ก็พอมีวิธีลางๆ ขึ้นมาแล้ว เช่น เก็บภาษีร้านค้าเทียนจินทั้งหมด แต่การทำเช่นนี้เป็นการทำให้การค้าตนเองเสียหาย เรื่องนี้หวังทงไม่อยากทำ หรือว่าไปตั้งด่านภาษีที่เมืองกุยฮว่าเฉิง จากเก็บเข้าท้องพระคลังในวังไปเป็นท้องพระคลังแผ่นดิน แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่ทรงยอม
“ฝ่าบาท ดำเนินนโยบายป้ายสงบสุขทั่วหล้าเป็นอย่างไรพะยะค่ะ?”
ร้านค้าแขวนป้ายสงบสุข สามารถดำรงความสงบไปได้ พบเรื่องใดก็ตามองครักษ์เสื้อแพรมาจัดการได้ แผ่นดินหมิงไม่มีภาษีการค้า ขุนนางเห็นการเก็บภาษีเป็นเรื่องน่าละอาย แต่ขุนนางกับเจ้าหน้าที่เองก็ขูดรีดร้านค้าเอากันสนุกสนาน ป้ายสงบสุขความจริงนั้นก็เป็นการเก็บภาษีอย่างหนึ่ง ขณะเดียวกันยังทำให้บารมีองครักษ์เสื้อแพรดีขึ้น
“เถียนอี้ เจ้าเห็นเช่นไร?”
“ฝ่าบาท เมืองหลวงและเทียนจินทุกปีเก็บค่าป้ายสงบสุขมาได้สามล้านตำลึง มีหนึ่งล้านห้าแสนตำลึงส่งให้สำนักรักษาความสงบกับทางกองทัพที่เทียนจิน หากใต้หล้าทำตามธรรมเนียมนี้ ทุกปีคงได้มากกว่าสามล้านตำลึง แต่ตอนนี้ป้ายสงบสุขอยู่ในข่ายงานขององครักษ์เสื้อแพร หากขยายไปทั่วทุกมณฑล ใช่ว่าต้องให้องครักษ์เสื้อแพรไปดำเนินการ? ตอนนี้องครักษ์เสื้อแพรแต่ละมณฑลก็มีนายกองพันประจำการ หากให้เก็บภาษี ใช่ว่าต้องมีประจำไปถึงระดับอำเภอ หากไม่ใช้องครักษ์เสื้อแพรจัดการ ก็ย่อมมีพวกมีอิทธิพล แทนที่จะเป็นประโยชน์แก่แผ่นดิน อาจทำร้ายชาวประชาหรือไม่? ขอฝ่าบาททรงไตร่ตรองให้รอบคอบพะยะค่ะ!”
เถียนอี้อายุ 40 กำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ เสียงไม่ได้แหลมเล็กแบบขันทีชรา หากกลับมีน้ำหนักมาก เขาถามกลับขึ้น ก็แสดงท่าทีชัดเจนแล้ว
ฮ่องเต้ว่านลี่ครุ่นคิด หวังทงยืนอยู่ข้างพระวรกายนิ่ง ขมวดคิ้ว วาจาเถียนอี้เหมือนเป็นการเป็นงาน แต่เหมือนมีอะไรสักอย่าง หากมีป้ายสงบสุขเปิดร้านได้ หากทำระบบเช่นนี้ อิทธิพลอำนาจองครักษ์เสื้อแพรก็จะยิ่งขยายอิทธิพล
เรื่องสำคัญสุดของโอรสสวรรค์ก็คือการรักษาสมดุล อำนาจหวังทงได้มาเพิ่มก็ย่อมมีปัญหา ร้านค้ามีป้ายสงบสุข อิทธิพลอำนาจองครักษ์เสื้อแพรขยายขึ้น อำนาจหวังทงก็ยิ่งขยายขึ้น แน่นอนฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่อยากทรงเห็นเช่นนี้
วิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว เถียนอี้กล่าวไม่ผิด แต่เขาก็สามารถเปลี่ยนมุมกล่าวได้ การบรรยายเช่นนี้ เห็นชัดว่าคิดเป็นปรปักษ์กับหวังทง เถียนอี้กับหวังทงไม่ได้เป็นพวกเดียวกัน หวังทงก็ไม่ได้หวังว่าจะเป็นมิตรกับตน แต่คิดไม่ถึงอีกฝ่ายจะเป็นปรปักษ์เพียงนี้
“วิธีนี้แม้ว่าใช้ได้ แต่ให้องครักษ์เสื้อแพรไปทั่วใต้หล้า อย่างไรก็ต้องใช้เวลาอีกหลายปี น้ำไกลไม่อาจดับกระหายใกล้ ยังไงก็ควรตองหาทางอื่นก่อน!”
ฮ่องเต้ว่านลี่แม้ว่าหาเหตุปฏิเสธ แต่เห็นได้ว่าเถียนอี้ทำให้ทรงหวั่นไหว หวังทงเงยหน้ามองเถียนอี้กำลังจ้องมองตนเช่นกัน ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์ร้อนพระทัยไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย
ไม่รอให้ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามต่อ หวังทงก็มีรอยยิ้มปรากฏบนสีหน้า ก่อนจะทูลต่ออย่างนุ่มนวลว่า
“ฝ่าบาท งานองครักษ์เสื้อแพรก็คือการสืบราชการลับและรักษาความสงบ ตอนนั้นที่เก็บค่าป้ายสงบสุขก็มีเหตุทำให้ต้องทำ แต่ไม่ควรปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไป เรื่องป้ายนี้หากใช้ทั่วหล้า จะให้องครักษ์เสื้อแพรปฏิบัติหน้าที่เดิมไหวได้อย่างไร กระหม่อมคิดว่า เรื่องภาษีเป็นเรื่องใหญ่ใต้หล้า ให้กรมอากรกับท้องที่ไปหารือกันก่อน ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรดูดเลือดจากการเก็บภาษี ราชสำนักไร้ผู้สามารถ ท้องที่ก็เหิมเกริม ภาษีจึงได้น้อยลงทุกปีอย่างเห็นได้ชัด เรื่องใหญ่เช่นนี้ อิทธิพลมากมายเช่นนี้ ย่อมเป็นภัยต่อแผ่นดิน”
“ลองว่ามาว่าควรทำเช่นไร เรื่องพวกนี้เราเห็นเป็นประจำ”
ฮ่องเต้ว่านลี่เร่งอย่างรำคายพระทัย หวังทงยิ้มพยักหน้าทูลว่า
“ฝ่าบาท เรื่องใหญ่แห่งแผ่นดิน แน่นอนเป็นคนในวังไปจัดการจึงจะวางใจได้ที่สุด ไม่สู้ตั้งหน่วยงานใหม่ คุมการเก็บภาษีทั่วหล้า เพื่อป้องกันคนอื่นเข้าแทรกแซง หน่วยงานนี้ไม่ขึ้นกับผู้ว่าหรือผู้ตรวจการเขตภาคใดทั้งสิ้น หากให้ขึ้นตรงกับในวัง 2 เมือง 13 มณฑล ทุกอำเภอทุกมณฑล ให้ขุนนางภาษีทั้งหมดไม่ขึ้นกับท้องที่ หากให้หน่วยงานภาษีนั้นดูแลกันเอง ไม่ให้ท้องที่สั่งการ ท้องที่ไม่อาจเข้าข้องเกี่ยว ใช้การเก็บภาษีได้มากเท่าไรเป็นการตัดสินเลื่อนตำแหน่ง”
หวังทงกล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ฟังจนเคลิ้ม หวังทงพูดถึงตรงนี้ เถียนอี้อดไม่ได้แทรกขึ้นว่า
“หากเพื่อเลื่อนตำแหน่งเช่นนี้ เกรงว่าคงจะขูดรีดกันหนัก ถึงตอนนั้นก็คงต้องเกิดเหตุวุ่นวาย ใช่ว่าเป็นการทำลายการปกครองงั้นหรือ”
เถียนอี้สมกับเป็นพวกเดินตามเส้นทางขุนนางบัณฑิตชิงหลิวแห่งราชสำนักเสียจริง หากเก็บเงินมาไม่ได้ ทำให้เกิดเรื่องใหญ่จริง แต่ราชสำนักหากไร้เบี้ยหวัด แม้แต่จะระงับเหตุก็ไม่อาจระงับได้ จะว่าอย่างไรกัน
“ตั้งค่าภาษี แต่ละแห่งล้วนมีฐานภาษี ตั้งฐานภาษีแล้วก็กำหนดภาษี เช่นภาษีเก็บได้มากกว่าที่ตั้ง ก็เพราะเขาสามารถ หากน้อยไป ก็เพราะเขาบกพร่อง ตั้งหน่วยงานนี้ก็สามารถถือโอกาสตรวจสอบที่ดินใต้หล้าได้อีก และยังมีรายละเอียดร้านค้าใต้หล้าได้อีกด้วย”
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์หงึก ยามนี้ตบพระหัตถ์ตรัสว่า
“ความคิดนี้ไม่เลว ทำแล้วได้ผลเลย หน่วยงานนี้เรียกชื่ออะไรดี?”
“ฝ่าบาท กองงานภาษีแห่งแผ่นดิน ดีไหมพะยะค่ะ?”
“กองงานการทหาร กองงานการเงิน กองงานสุราอาหาร ไม่เลว วันหน้า 24 หน่วยงานก็จะเป็น 25 หน่วยงาน”
ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ้มพยักพระพักตร์ตรัสชึ้น คำว่า ‘กองงาน’ เป็นที่ทำการทางการ ใช้กับหน่วยงานที่เกี่ยวกับในวัง กองงานภาษีแห่งแผ่นดิน ฟังแล้วรู้เลยว่ามาจากในวัง
“ฝ่าบาท ใต้เท้าหวังคิดวิธีได้แยบยล แต่ทว่าจากเมืองหลวงไปยังหน่วยงานต่างๆ จากเตรียมการไปจนจัดตั้งไม่รู้ต้องใช้เวลาเท่าไร ไม่พูดถึงเรื่องนี้ก่อน เอาแค่เสียงโต้แย้งในราชสำนักก็เกรงว่าจะต้องอีกหลายปี ยังไงก็ควรใช้วิธีการเร่งด่วนดีกว่า”
เถียนอี้ทูลต่อ ฮ่องเต้ว่านลี่ผินพระพักตร์เหล่มอง สีพระพักตร์นิ่งเฉย เถียนอี้สะดุ้ง ถวายคำนับถอยหลัง ฮ่องเต้ว่านลี่หันกลับมา ก่อนจะเหมือนตรัสใส่เถียนอี้ว่า
“หวังทง คิดหาวิธีที่เร็วที่สุด ตอนนี้เห็นเงินทองในท้องพระคลังน้อยลงไปสักหน่อย แม้ตอนนี้ยังไม่มีอะไร แต่เราก็ร้อนใจมาก!”
ฮ่องเต้ว่านลี่ใส่พระทัยกับเรื่องภาษีมาก ไม่ใช่เพียงแต่วันนี้ แต่ทว่าวันนี้เหตุโต้แย้งในราชสำนักทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่มีความดื้อดึงจะหาช่องทางให้ได้
“ฝ่าบาท เมืองซงเจียงเปิดท่าดีไหมพะยะค่ะ?”
หวังทงอยู่ๆ แวบคิดขึ้นมาได้ ทูลออกไปทันที
ตอนที่ 968 หารือเรื่องเมืองซงเจียง
โดย
Ink Stone_Fantasy
แผ่นดินหมิงมีข้อห้ามเรื่องทะเล ในรัชสมัยหลงชิ่งค่อยๆ ฟื้นฟูการค้าทางทะเล แต่ที่เปิดท่าก็มีแค่เมืองกว่างโจว เมืองหางโจว เมืองเฉวียนโจวเท่านั้น ที่อื่นก็ยังคงเหมือนเดิม
เมืองซงเจียงเดิมเป็นท่าเรือที่ดี แต่เพราะมีโจรสลัดอาละวาด ขุนนางทางใต้จึงได้ทูลให้ปิดท่าเมืองซงเจียงทิ้ง ตอนนี้แถบทะเลมีแต่ชาวประมง
ไมว่าฮ่องเต้ว่านลี่หรือเถียนอี้ พวกเขาล้วนไม่รู้ว่าหวังทงเหตุใดจึงเอ่ยถึงเมืองซงเจียงขึ้นมา เหมือนไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังกล่าวถึงตอนนี้ หากจะมีอีกที่ที่เป็นดังกระถางสมบัติเหมือนเทียนจิน ควรเป็นเมืองหางโจว หรือไม่ก็เมืองกว่างโจว เกี่ยวอันใดกับเมืองซงเจียงกัน
หวังทงกล่าวขึ้นเช่นนี้ สีหน้าฮ่องเต้ว่านลี่กับเถียนอี้ล้วนงง หวังทงเองก็อึ้งไป เขาเป็นคนสุขุมและนิ่ง ได้สติว่าหลุดออกไป พฤติกรรมหลุดเช่นนี้เรียกได้ว่าหาได้ยากมาก
แต่พอคิดอย่างเร็ว หวังทงก็พบว่าตนเองเสนอนั้นเป็นเรื่องที่คิดมานานแล้ว ตอนไปทำงานแดนใต้ลงไปถึงเมืองซงเจียง ความคิดนี้ก็อยู่ในสมองมาตลอด เพียงแต่ยังไม่มีเวลาเหมาะสมเอ่ยถึง
“เมืองซงเจียง?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ถามขึ้นอย่างสงสัย สีพระพักตร์ก็พลอยสนพระทัยไปด้วย ในพระทัยทรงคิดว่าเราถามขึ้น แม้เจ้าคิดไม่ออกก็ต้องทำทางทางเคร่งเครียดคิดต่อ เหตุใดจึงได้หลุดกล่าวออกมาเช่นนี้
“ฝ่าบาท เป็นเมืองซงเจียง ฝ่าบาท ทรงมีแผนที่ไหมพะยะค่ะ กระหม่อมจะอธิบายจากแผนที่!”
ฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์ เถียนอี้รีบรับคำสั่ง ขันทีน้อยรีบวิ่งออกไป หวังทงทูลว่า
“ฝ่าบาท ที่เทียนจินรุ่งเรืองเพราะเหตุใด ที่กล่าสว่า ฟ้าและคนอื้อประโยชน์กัน ฟ้าก็คือฝ่าบาทคุ้มครอง พื้นที่และคนเอื้อประโยชน์กันก็เป็นเรื่องสำคัญ พื้นที่ดีที่เทียนจินเป็นท่าเรือทะเล สามารถเป็นแหล่งรวมสินค้าเหนือใต้และทางทะเลไกลได้ เป็นศูนย์กลางคลองส่งน้ำ เป็นพื้นที่พักสินค้าเหนือใต้ในเขตปกครองเหนือ คนกับสินค้าสามารถกระจายออกได้สี่ทิศ และยังออกเดินทางไปได้ทั่วทิศ เทียนจินใกล้กับเมืองหลวง เมืองหลวงรุ่งเรืองทั่วหล้า สินค้าจากทั่วหล้ามามีคนซื้อ และมีคนมามากมายและเงินทองมากมายหาโอกาสทำการค้า นี่พื้นที่เป็นประโยชน์ ร้านค้าเมืองหลวงมากมาย ผู้เชี่ยวชาญการค้าล้วนมีมาก เทียนจินก่อตั้งใหม่ๆ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องคน มีเงื่อนไขเหล่านี้ ทำให้เทียนจินค่อยๆ ก่อตัวยิ่งใหญ่ราวกับก้อนหิมะกลิ้งทับไปจนก้อนโต นับวันยิ่งเจริญรุ่งเรือง”
ในตำหนักเงียบกริบ ฮ่องเต้ว่านลี่กับเถียนอี้ล้วนตั้งใจฟัง ความสำเร็จเทียนจินในสายตาทุกคนล้วนเป็นดังเรื่องอัศจรรย์มาก จะต้องมีองค์เทพคุ้มครองเป็นแน่
อย่าว่าแต่คนนอกมองมาเลย แม้แต่ศาลเจ้าในเทียนจินก็ยังรุ่งเรืองมาก ธูปเทียนไม่ขาด แต่ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ ทุกคนจึงได้พบว่า ในเรื่องพวกนี้มีเหตุผลมากมาย
แต่ละคนล้วนกำลังคิด นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ‘หลักการค้า’ วันนี้ได้ฟังเข้าจะต้องจดจำไว้ให้มั่น ไม่แน่ว่าสักวันอาจได้ใช้ หวังทงกล่าวต่อว่า
“กระหม่อมเหตุใดจึงกล่าวถึงเมืองซงเจียง เมืองซงเจียงไม่เพียงแต่เป็นท่าเรือดี ใกล้ปากแม่น้ำซงเจียง ยังมีแม่น้ำแตกสาขาออกไปอีกหลายสายไปยังเมืองต่างๆ ยังไปสบกับคลองส่งน้ำได้ เชื่อมสัมพันธ์ใต้หล้า พื้นที่ทางใต้มีพวกมากอำนาจวาสนามานานนับพันปี เทียบกับเมืองหลวงแล้วยังเหนือกว่า แดนใต้การค้ารุ่งเรือง คนงานก็ไม่ขาด พื้นที่กับคนเอื้อประโยชน์กัน เหนือกว่าเทียนจินมากยิ่งกว่ามาก”
ฮ่องเต้ว่านลี่เคาะโต๊ะ ก่อนจะอยู่ๆ ตรัสว่า
“เถียนอี้ หวังทง อยู่ก่อน ที่เหลือออกไปได้ เรื่องวันนี้ห้ามแพร่ออกไปเด็ดขาด”
ขันทีในตำหนักล้วนรับคำสั่งพร้อมกัน ก่อนจะถอยออกไป ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสว่า
“เถียนอี้เอากระดาษกับพู่กันออกมาจดที่กล่าวเมื่อครู่ไว้ให้หมด”
กระดาษกับพู่กันอยู่ข้างมือเถียนอี้ คว้าออกมาจดบันทึกได้อย่างรวดเร็ว ฮ่องเต้ว่านลี่คิดไปนานก่อนจะตรัสถามขึ้น
“เมืองซงเจียง พื้นที่กับคนเอื้อประโยชน์กัน เรื่องนี้ เจ้าพูดมาละเอียดหน่อย”
ในตอนนั้นเอง ก็มีขันทีนำแผนที่เข้ามา เถียนอี้ออกไปรับเข้ามา นำมากางออกหน้าพระที่ประทับ ฮ่องเต้ว่านลี่ลุกขึ้นมา หวังทงคุกเข่าอยู่หน้าแผนที่ ยกมือชี้ไปตามจุดทูลว่า
“ฝ่าบาท นี่คือเมืองซงเจียง ตามแม่น้ำฉางเจียงไปทางตะวันตกของเมืองซงเจียง ไปตามเส้นทางน้ำ ผ่านเขตปกครองใต้ เจียงซี หูกว่าง เริ่มจากเมืองซงเจียง เมืองซงเจียง เมืองหยางโจว เมืองซูโจว เมืองอิ้งเทียน เมืองหนิงกั๋ว เมืองอันชิ่ง เมืองฮุยโจว เมืองเหราโจว เมืองจิ่วเจียง เมืองหวงโจว เมืองหนานชาง ไปจนถึงเข้าสู่เสฉวน ฝ่าบาท เมืองตามเส้นทางน้ำเหล่านี้ ล้วนเป็นพื้นที่ร่ำรวยแผ่นดินหมิง มีสินค้ามาก”
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ ที่หวังทงกล่าวมานี้ ล้วนเป็นพื้นที่รุ่งเรืองของแผ่นดินหมิง หูกว่าง เจียงซี เขตปกครองใต้ ก็เป็นมณฑลไม่กี่มณฑลที่ร่ำรวยของแผ่นดินหมิง
“ฝ่าบาททรงดูทางนี้ พื้นที่ริมแม่น้ำเหล่านี้มีสายน้ำแยกเข้าสู่ด้านในแผ่นดินเท่าไร ก็หมายความว่า จากเมืองซงเจียงไปทางตะวันตกถึงเสฉวน เส้นทางน้ำราวใยแมงมุม สินค้าขนถ่ายไปถึงทุกที่ สินค้าต่างแดนขึ้นลงเหนือใต้ ก็สามารถจากเส้นทางน้ำเมืองซงเจียงสู่แม่น้ำฉางเจียงได้ สินค้ามณฑลเหนือใต้แม่น้ำฉางเจียงสามารถมาสู่แม่น้ำฉางเจียงผ่านทางสายน้ำต่างๆ เมืองซงเจียงไปยังการค้าท้องทะเล ไปยังเหนือใต้แต่ละแห่ง นับเป็นแหล่งรวมสินค้าและการคมนาคม เงินทองสินค้าเกิดจากกระบวนการเหล่านี้ ไม่พูดเรื่องเรื่อง เอาแค่ผ้าแพรเมืองซงเจียงอย่างเดียว การค้า การขนส่ง ราชสำนักก็ได้รับผลประโยชน์ยิ่งใหญ่แล้ว”
“พื้นที่ที่เจ้าว่ามาเมื่อครู่ ล้วนเป็นพื้นที่แหล่งรวมคหบดีร่ำรวย พวกเขามีเงินมาซื้อ มีเงินไปเปิดร้านที่เมืองซงเจียง การค้าแดนใต้รุ่งเรือง คนทำงานก็มีไม่ขาด เป็นเหตุผลนี้ใช่ไหม?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงคิดไปตรัสไป หวังทงยิ้มทูลว่า
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา”
ฮ่องเต้ว่านลี่สะบัดพระพักตร์เดินกลับไปประทับนั่ง ครั้งนี้ทรงคิดอยู่นานมาก ก่อนจะลุกขึ้นไปยืนตรงแผนที่ชี้พระหัตถ์ไปตามเส้นทางที่หวังทงชี้อีกรอบ
“เมืองซงเจียง ที่นี่ใช้ได้เลย หากทำตามแบบเทียนจิน ยิ่งเหนือกว่าเทียนจินก็อาจเป็นได้”
ฮ่องเต้ว่านลี่คิดนาน จากนั้นก็ทรงวิเคราะห์ออก เถียนอี้ที่จดบันทึกได้ยินก็เงยหน้าขึ้น ตามมาด้วยส่ายหน้าจดต่อ ฮ่องเต้ว่านลี่คิดอีกครู่หนึ่งก็ตรัสว่า
“ที่นี่ไม่อาจให้ขุนนางท้องที่จัดการได้”
“ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้อง เมืองหางโจวและซูโจว ขุนนางเก็บภาษี ล้วนถือว่าได้น้อยมีคุณธรรม เคยมีที่ทำการหนึ่งตั้งกล่องไว้ด้านหน้าที่ทำการ ให้ร้านค้ามาจ่ายภาษีกันเอง ปีหนึ่งเก็บได้ 750 อีแปะ เคยมีไม่เก็บด้วย เรียกว่าเป็นขุนนางมือสะอาด การวางตัวและคิดเช่นนี้ล้วนเพื่อชื่อเสียงตนเอง แต่กลับทำให้ประเทศชาติเสียหาย”
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ตรัสว่า
“เจ้าว่ากองงานภาษีควรขึ้นกับหน่วยใด ควรส่งนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรไปอีกคน เถียนอี้รายงานระบบงานเทียนจินทั้งหมดมา ดูว่าจะดำเนินการเมืองซงเจียงอย่างไร”
“กระหม่อมรับพระบัญชา”
….
การหารือในพระตำหนักทำให้พอจะได้ข้อสรุปว่าเปิดท่าการค้าเมืองซงเจียง จัดตั้งกองงานภาษีใช้เวลา คิดจะสร้างระบบเมืองซงเจียงใหม่ ให้เมืองซงเจียงเป็นศูนย์กลางการค้าเช่นเทียนจิน เรื่องนี้ก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน ไม่อาจเห็นผลในทันที
แต่ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้เอ่ยถึงว่า จะให้ผู้ใดไปเมืองซงเจียง หวังทงที่มีประสบการณ์จากเทียนจินไป แน่นอนเหมาะที่สุด แต่ฮ่องเต้ว่านลี่เห็นได้ชัดว่าไม่ทรงต้องการเช่นนั้น
หวังทงแน่นอนไม่เข้าแย่งอันใด ในมือเขามีมากเกินไปแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่แต่ไรก็กำลังสมดุลอำนาจหวังทง เป็นเพราะอำนาจกับเงินทองในมือเขาล้นเกินไปแล้ว
พูดถึงหวังทงทำทุกอย่างที่เทียนจินนั้น ไม่เพียงแต่ ฟ้า โอกาส พื้นที่และคนเอื้อกัน หากเพราะมีอิทธิพลอำนาจเด็ดขาดของหวังทงอยู่ การค้าเทียนจินทำได้ยุติธรรม เมืองท่ากับการจัดการพื้นที่ก็มีประสิทธิภาพ
ที่เทียนจิน ไม่มีคหบดีครองครองฮุบที่ดินที่เห็นกันทั่วไปบนแผ่นดินหมิง ไม่มีเจ้าหน้าที่ขูดรีด เทียนจินยังมีการรับประกันความปลอดภัยทางทะเล พื้นที่ป้องกันโจรสลัดได้ เทียนจินถูกหวังทงทำให้กลายเป็นเมืองระดับผู้นำทางการค้า
สาเหตุที่เทียนจินรุ่งเรืองนั้น เมืองซงเจียงไม่อาจมี เพราะหากไม่มีหวังทง เรื่องเหล่านี้ก็ไม่อาจทำได้
แต่ทว่าหวังทงคิดแล้วก็เข้าใจ แม้ว่าไม่มีตนเอง แต่วิธีและธรรมเนียมที่มีอยู่เดิมก็พอจะทำให้เมืองซงเจียงเองเป็นเมืองที่เหนือกว่าเมืองอื่นๆ บนแผ่นดินหมิงแล้ว รวมทั้งเมืองกว่างโจวกับเมืองหางโจวก็ด้วย เพราะเมืองซงเจียงได้เปรียบเรื่องพื้นที่เอง ท่าทะเล ท่าเรือแม่น้ำฉางเจียงตอนใต้ แค่แหล่งรวมสินค้าและการคมนาคมก็พอจะทำให้ให้เมืองซงเจียงรุ่งเรืองมากแล้ว
สำหรับเรื่องควบรวมที่ดินและขูดรีดต่างๆ นี้ ขุนนางทางใต้ทำไม่ได้ เป็นเพราะตระกูลใหญ่แดนใต้มาก สมดุลอำนาจระหว่างกัน ผู้ใดจะกินรวบผู้ใดล้วนไม่อาจทำได้ ล้วนต้องระวังกันเอง การสมดุลเช่นนี้ ก็ทำให้พ่อค้าใหญ่เมืองซงเจียงสามารถดำรงต่อไปได้
เรื่องโจรสลัดนั้น แม้เมืองซงเจียงไม่ได้มีการทหารที่เข้มแข็งอย่างเทียนจิน แต่ทว่าพ่อค้าใหญ่แดนใต้ หากมีการค้าทางทะเลก็ย่อมมีสายสัมพันธ์กับโจรสลัด หรือไม่ก็เป็นต้นทางเสียเอง คอยจัดหาสิ่งของให้โจรสลัด ไม่ต้องพูดถึงเรือตัวเองก็เป็นเรือโจรสลัด คนเหล่านี้ทำการค้าที่เมืองซงเจียง โจรสลัดอย่างไรก็ไว้หน้าหลายส่วน
เทียนจินมีการค้ากับบนทุ่งหญ้าและเมืองเหลียวโจว เมืองซงเจียงตั้งอยู่ในพื้นที่ร่ำรวยที่สุดของแผ่นดินหมิง ความได้เปรียบนี้มากเหลือเกิน ทุ่งหญ้ากับเมืองชายแดนแม้ว่าทำกำไรมหาศาล แต่ปริมาณจะเทียบกับในแผ่นดินได้อย่างไร เรื่องนี้เมืองซงเจียงได้เปรียบยิ่งกว่า
ไม่ว่าจงใจหรือไม่ก็ตามที่จะไม่ให้หวังทงเข้าข้องเกี่ยวกับการเปิดท่าการค้าเมืองซงเจียง แต่แผนการนี้จะเป็นได้ หวังทงก็ย่อมได้ผลประโยชน์ใหญ่
ตอนลงใต้ เครือข่ายสามธาราไปเปิดกิจการที่เมืองซงเจียงไว้มากแล้ว ซื้อที่ทางไว้ก็มาก หากเปิดท่าการค้า เครือข่ายสามธาราก็ครอบครองโอกาสก่อนแล้ว
และฮ่องเต้ว่านลี่ทรงเอ่ยถึงองครักษ์เสื้อแพร ตอนนี้เขตปกครองใต้นายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหลายคนล้วนให้ความเคารพหวังทง ถึงตอนนั้นยื่นมือลงไปก็ง่ายมาก
มีเรื่องหนึ่งที่หวังทงไม่ได้พูดไป เหนือมีเทียนจิน ใต้มีเมืองซงเจียง การขนส่งและการค้าทะเลยิ่งรุ่งเรือง ไม่นาน การขนส่งคลองส่งน้ำต้องล่มสลาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย การขนส่งคลองส่งน้ำสิ้นเปลืองแรงงานและทรัพย์สิน เก็บได้ก็เก็บ ไม่ได้ก็ทิ้งร้างไปก็แล้วกัน !
กลับมาถึงจวน หวังทงอยู่ ๆ คิดได้เรื่องหนึ่ง สถานะเมืองซงเจียงในยุคหลังใช่ว่าเป็นเมืองรุ่งเรืองอย่างที่สุดหาใดเทียมหรือ? มิน่าตนเองจึงได้เอ่ยถึงเมืองซงเจียง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น