เทพปีศาจหวนคืน 966-968

ตอนที่ 966

 

การต่อสู้บนภูเขาอี้เทียน (2)


แปลโดย iPAT 


 


ภาคกลาง


 


“บึม!”


 


เสียงระเบิดทำลายความเงียบของหุบเขา


 


แรงระเบิดทำให้ป่าไม้ถูกทำลายเป็นวงกว้าง


 


ผู้อมตะแปดคนจากวังสวรรค์ค่อยๆปรากฏตัวขึ้น


 


พวกเขายืนเป็นวงกลมด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลแต่สายตายังหยิ่งผยอง


 


โป้ชิงยืนอยู่ตรงกลางด้วยการแสดงออกที่กล้าหาญ


 


ดวงตาของโป้ชิงส่องประกายขึ้นทำให้ผู้อมตะทั้งแปดตกใจกลัวและถอยห่างออกไปโดยไม่รู้ตัว ในการต่อสู้ก่อนหน้าพวกเขาได้รับความทุกข์ทรมานจากดาบแสงที่พุ่งออกมาจากดวงตาของโป้ชิงอย่างมาก


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้ประกายในดวงตาของโป้ชิงกลับดับแสงลงอย่างรวดเร็วขณะที่ร่างกายของเขาหยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อน


 


“สำเร็จ!”


 


“ในที่สุดพวกเราก็สามารถทำลายดวงวิญญาณที่เหลืออยู่ในร่างโป้ชิง!”


 


ผู้อมตะทั้งแปดจากวังสวรรค์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก


 


ปราศจากดวงวิญญาณ ผีดิบอมตะโป้ชิงก็ไม่สามารถเคลื่อนไหว


 


“นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้ต่อสู้ถึงระดับนี้”


 


“โชคดีที่ผีดิบอมตะโป้ชิงมีจุดอ่อนขนาดใหญ่ มิฉะนั้นหนึ่งในพวกเราอาจจบชีวิตลงที่นี่”


 


“น่าเสียดายที่พวกเราไม่สามารถจับกุมเขาในขณะที่มีชีวิต”


 


“หลังจากนำร่างผีดิบอมตะโป้ชิงกลับวังสวรรค์ เราจะเก็บมันไว้อย่างดีและข้าจะเข้าสู่การจำศีลอีกครั้ง”


 


ก่อนหน้านี้เจ้าวังสวรรค์ เหลียนจิวเฉิง และไป่เฉินเทียนใช้คฤหาสน์วิญญาณอมตะสวนลวงตาต่อสู้กับโป้ชิง แต่พวกเขายังไม่ใช่คู่ของผีดิบอมตะโป้ชิงและต้องร้องขอกำลังเสริมอีกห้าคนจากวังสวรรค์


 


แปดผู้อมตะจากวังสวรรค์กระตุ้นใช้ค่ายกลวิญญาณอมตะสายต่อสู้โบราณ หลังจากหนึ่งเดือน พวกเขาสามารถสังหารหยูมู่ฉานและทำลายดวงวิญญาณที่เหลืออยู่ในร่างผีดิบอมตะโป้ชิงได้ในที่สุด


 


เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง ผู้อมตะทั้งห้าจึงกลับวังสวรรค์และเข้าสู่การจำศีลอีกครั้ง


 


อายุขัยของพวกเขาแทบไม่เหลือ พวกเขาต้องเก็บรักษาทุกวินาทีเอาไว้อย่างดีที่สุด


 


ไป่เฉินเทียนและเหลียนจิวเฉิงต้องการจากไปเช่นกัน แต่สถานการณ์ของพวกเขาดีกว่าผู้อมตะคนอื่นๆ พวกเขายังมีเวลาดูแลลูกหลานและนิกาย


 


เจ้าวังมอบภารกิจเก็บกวาดสนามรบให้กับไป่เฉินเทียนและให้เหลียนจิวเฉิงไปสำรวจน้ำตกสวรรค์อีกครั้ง


 


สำหรับเจ้าวัง เขากลับไปยังหอคอยดวงตาสวรรค์


 


“แม้เราจะชนะ แต่สังหรณ์ร้ายของข้ายังไม่ลดลง ตรงข้าม ข้ายิ่งรู้สึกกระสับกระส่ายราวกับบางสิ่งกำลังใกล้เข้ามา” เจ้าวังพึมพำต่อหน้าหอคอยดวงตาสวรรค์


 


เขาก้าวเท้าขึ้นบันไดอีกครั้ง


 


“เกิดสิ่งใดขึ้น?” เจ้าวังขมวดคิ้วลึกด้วยความสับสน


 


เขารู้สึกถึงแรงกดดันที่ทำให้เขาก้าวขึ้นบันไดได้อย่างยากลำบาก


 


ในอดีตทุกก้าวที่เขาเดินขึ้นบันได เขาจะใช้พลังงานอมตะระดับแปดหนึ่งผล แต่ครั้งนี้เขากลับต้องใช้พลังงานอมตะมากขึ้นเป็นสองเท่า


 


“ตั้งแต่ข้าควบคุมหอคอยดวงตาสวรรค์ ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้”


 


เขาเกิดความตระหนักรู้อย่างกะทันหัน เรื่องของโป้ชิงเป็นเพียงบทนำ ยังมีคนอื่นชักใยอยู่เบื้องหลัง


 


“ดูเหมือนบางคนกำลังขัดขวางข้า…ฮ่าฮ่าฮ่า ยิ่งเป็นเช่นนี้ ข้าก็ยิ่งต้องการเดินขึ้นไปข้างบนและดูว่าผู้ใดกล้าหลบหนีจากโชคชะตา!”


 


เจ้าวังยังเดินขึ้นไปด้วยการแสดงออกที่มุ่งมั่น


 


แต่หลังจากเขาเดินขึ้นไปถึงขั้นที่หนึ่งร้อย ภาพบนกำแพงก็ดับมืดลง


 


มันราวกับมีหมอกสีดำปกคลุมภาพทั้งหมดเอาไว้


 


ไม่มีภาพอื่นเพิ่มเติม


 


หัวใจของเจ้าวังจมดิ่งลง “เป็นผู้ใดที่ขัดขวางข้า!? พวกเขาสามารถรบกวนคฤหาสน์วิญญาณอมตะระดับเก้าหอคอยดวงตาสวรรค์งั้นหรือ?”


 


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว


 


หนึ่งเดือนต่อมา ในที่สุดเจ้าวังก็เดินขึ้นไปถึงชั้นบนสุดของหอคอย


 


เขาเหนื่อยล้ามาก พลังงานอมตะที่เขาสะสมมาทั้งชีวิตถูกใช้ไปจนหมด


 


เขามองไปที่กำแพงด้วยความคาดหวัง


 


หลังจากกำแพงกลายเป็นสีดำ เขาก็ไม่เห็นสิ่งใดอีกเลย แต่พลังอำนาจของวิญญาณโชคชะตาแผ่กระจายไปทั่วโลก สุดท้ายเขาจะสามารถเปิดเผยผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนี้


 


รูม่านตาของเขาหดเล็กลง


 


ร่างสูงวัยของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง


 


กำแพงยังมืดสนิทแต่มันไม่เหมือนก่อนหน้าเพราะมีดวงตาคู่หนึ่งส่องประกายขึ้น


 


มันเป็นดวงตามนุษย์!


 


แต่มันเต็มไปด้วยความเย็นชาและเจตนาสังหาร


 


มันมองมาที่เจ้าวังราวกับสัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดอย่างอดทนและรอเวลาที่เหมาะสมเพื่อล่าเหยื่อ


 


“เจ้า…เจ้าคือ…” ร่างของเจ้าวังปกคลุมไปด้วยเม็ดเหงื่ออันเย็นเยียบ


 


เขาพยายามสงบจิตใจลงแต่ความหวาดกลัวยังปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา


 


“วิกฤต! วิกฤตครั้งใหญ่! หากปล่อยทิ้งไว้ กระทั่งวังสวรรค์ก็อาจถูกทำลาย ผีดิบอมตะโป้ชิงไม่ใช่สิ่งใดสำหรับพวกเขา ข้าต้องปลุกผู้อมตะของวังสวรรค์ให้ตื่นขึ้นอีกจำนวนมาก นี่คือการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด!”


 


เจ้าวังไม่ลังเลที่จะวิ่งไปยังหน้าผาใบไม้เหิน


 


ที่นี่เป็นที่ตั้งของค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่


 


เจ้าวังกระตุ้นใช้วิญญาณบางดวงและทำให้เสียงระฆังดังกึกก้องไปทั่ว


 


เกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ขึ้นทันที


 


…..


 


ในเวลาเดียวกันที่ภาคใต้


 


‘ในที่สุดก็สำเร็จ’ ฟางหยวนก้าวเข้าสู่ภูเขาอี้เทียนหลังจากปิดผนึกมิติช่องว่างของตน


 


ด้วยมรดกบางส่วนของผู้อมตะเฒ่ากงเจีย การอนุมานของฟางหยวนจึงดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ตอนนี้เขาสามารถปิดผนึกมิติช่องว่างและปลอมตัวเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสามเข้าสู่ภูเขาอี้เทียน


 


สถานการณ์บนภูเขาอี้เทียนค่อนข้างร้อนแรง


 


ฝ่ายธรรมะบุกโจมตีครั้งที่สามและสี่ทำให้ทั้งสองฝ่ายได้รับความเสียหายอย่างหนัก


 


ราชันผีดิบเรียกกองกำลังผีดิบของเขามาสนับสนุน นี่ทำให้ฝ่ายธรรมะปวดหัวมาก


 


เว่ยหยางกับหงเฟยหยูร่วมมือกันทำให้พวกเขาได้เปรียบหลานเหม่ยอี้กับเฟยหยูหวังำในการต่อสู้กลางอากาศ


 


หมอเทวดาเฉิงซูเดินทางมาสนับสนุนฝ่ายธรรมะ


 


เขาเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดหมอของภาคใต้ การคงอยู่ของเขาช่วยลดการสูญเสียของฝ่ายธรรมะได้มาก


 


เซียวซานรู้ว่าหากการต่อสู้ยังดำเนินต่อไป ฝ่ายธรรมะจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นฝ่ายบุกโจมตีในการต่อสู้รอบที่ห้า


 


ฉากหน้า เซียวซาน ซันเพิ่งหู และจ้าวซิงซิงร่วมมือกันบุกโจมตีฝ่ายตรงข้าม ขณะที่ลู่ซวนฟงได้รับภารกิจลอบเข้าไปในค่ายพักแรมของศัตรูและสังหารหมอเทวดาเฉิงซู


 


แต่ผลลัพธ์คือหมอเทวดาเฉิงซูไม่ตาย ตรงข้ามคนที่ถูกลอบสังหารกลับเป็นราชันผีดิบของฝ่ายปีศาจ


 


เมื่อราชันผีดิบตาย ฝ่ายปีศาจจึงอ่อนแอลง


 


ในช่วงเวลานี้หมอผีซูชิวก็มาถึงภูเขาอี้เทียนและช่วยกอบกู้สถานการณ์ของฝ่ายปีศาจ


 


ซูชิวช่วยชีวิตผู้ใช้วิญญาณปีศาจจำนวนมาก ในที่สุดเขาก็ได้รับตำแหน่งลำดับที่สามของฝ่ายปีศาจ ลู่ซวนฟงเป็นลำดับที่สอง ขณะที่เซียวซานยังเป็นที่หนึ่ง


 


สำหรับซันเพิ่งหูกับจ้าวซิงซิง พวกเขาถูกผลักลงไปในลำดับที่สี่และห้า


 


ผู้ใช้วิญญาณปีศาจดาวรุ่งโม่หวู่เทียนเริ่มท้าทายฝ่ายตรงข้ามในการต่อสู้ตัวต่อตัวและสามารถสังหารผู้ใช้วิญญาณฝ่ายธรรมะหลายคน


 


ตระกูลเฉิงส่งหมอซูโจวมาสนับสนุนหมอเทวดาเฉิงซูทำให้ฝ่ายธรรมะสามารถรักษาเสถียรภาพ


 


นายน้อยตระกูลเยี่ยน เยี่ยนจุน ผู้ใช้วิญญาณบนเส้นทางแห่งภูตผีลอบเข้าสู่ภูเขาอี้เทียนและสังหารหมอผีซูชิวก่อนจะหลบหนีไป


 


ขวัญกำลังใจของฝ่ายธรรมะเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง


 


อย่างไรก็ตามพวกเขากลับตกหลุมพรางของฝ่ายปีศาจ


 


หมอซูชิวยังมีชีวิตอยู่ ตราบเท่าที่ร่างกายของเขาไม่ถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์ เขาก็ยังสามารถฟื้นคืนชีพ หลังจากเยี่ยนจุนสังหารหมอซูชิว เขาลอบฟื้นคืนชีพอย่างลับๆและปล่อยให้ฝ่ายธรรมะเฉลิมฉลอง


 


ในคลื่นระลอกที่หก โม่หวู่เทียนแสดงความสามารถอันโดดเด่นออกมาอีกครั้งโดยการสังหารผู้ใช้วิญญาณระดับสี่ถึงสามคน กระทั่งเยี่ยนจุนก็ยังพ่ายแพ้ต่อเขาและได้รับบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้ที่วุ่นวาย


 


ฝ่ายธรรมะล่าถอยไปด้วยความพ่ายแพ้แต่ฝ่ายปีศาจก็พบกับความสูญเสียครั้งใหญ่เช่นกัน


 


ดังนั้นทั้งสองฝ่ายตัดสินใจหยุดพักเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งเป็นการชั่วคราว


 


ในสถานการณ์นี้ฟางหยวนก้าวขึ้นสู่ภูเขาอี้เทียนและเข้าร่วมกับหมู่บ้านอี้เทียน


 


เขาปลอมตัวเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสาม เขาถูกจัดอยู่ในหนึ่งร้อยลำดับแรก หน้าที่ของเขาคือเฝ้าหอยิงธนู


 


ฟางหยวนอดทนรอเป็นเวลาสามวัน เมื่อไม่เห็นการปรากฏตัวของผู้อมตะ เขาจึงเริ่มปรับแต่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะอย่างลับๆ


 


ตอนนี้สมาชิกของหมู่บ้านอี้เทียนมีถึงหกร้อยคนแล้ว


 


ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้ บางคนเป็นตัวหมากเบี้ยของผู้อมตะขณะที่บางคนไม่ใช่


 


ฟางหยวนแฝงตัวอยู่ในกลุ่มพวกเขาโดยไม่ทำตัวโดดเด่น


 


ด้วยความสำเร็จบนเส้นทางแห่งปัญญา ฟางหยวนสามารถปรับแต่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะได้อย่างรวดเร็ว


 


สำหรับผู้อมตะคนอื่นๆ พวกเขาต้องบังคับให้ตัวหมากเบี้ยต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามพร้อมกับปรับแต่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะทางอ้อม ดังนั้นความเร็วของพวกเขาจึงไม่สามารถแข่งขันกับฟางหยวน


 


เมื่อเวลาผ่านไป การต่อสู้รอบที่เจ็ดก็เริ่มขึ้น


 


ฝ่ายปีศาจวางแผนตัดเส้นทางการขนส่งเสบียงของฝ่ายธรรมะ แต่อีกด้านหนึ่ง ผู้นำตระกูลเฉิง เฉิงเยี่ยนเฟยก็นำกองกำลังส่วนตัวของเขามาถึง วิญญาณกล่องอาหารของเขาสามารถหล่อเลี้ยงกองทัพทั้งหมดของฝ่ายธรรมะ


 


จากนั้นผู้นำกองกำลังขนาดใหญ่ของภาคใต้ไม่ว่าจะเป็นตระกูลอี้ ตระกูลลั่ว ตระกูลเหยา และตระกูลเซี่ยก็ตามมาสมทบ


 


การต่อสู้ที่ร้อนแรงขึ้นส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้ใช้วิญญาณอย่างช่วยไม่ได้


 


แต่สำหรับฟางหยวน มันธรรมดามาก


 


การต่อสู้ครั้งนี้อาจดูยิ่งใหญ่แต่มันก็เป็นเพียงการจัดฉากของผู้อมตะเท่านั้น


 


ในช่วงหลายวันหลัง ผู้อมตะเริ่มปะทะกันเอง แม้พวกเขาจะไม่ได้ต่อสู้กันอย่างเป็นทางการ แต่พวกเขาก็พยายามใช้กลอุบายต่างๆอย่างลับๆ


 


หลังจากได้รับข้อมูลข่าวสาร ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกผู้อมตะภาคใต้ของฟางหยวนก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


เขาปรับแต่งวิญญาณจำนวนมากแต่คฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหลไม่ต่างจากหลุมลึก


 


หนึ่งเดือนผ่านไป


 


วันนี้ผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อนำผู้อมตะชุดคลุมดำมากกว่าสิบคนเข้ามารอบๆภูเขาอี้เทียน


 


เขาสูดหายใจลึกก่อนกล่าว “วังสวรรค์ค้นพบแล้วและกำลังเตรียมตัวมาที่ภาคใต้ เวลาไม่เคยรอคอยผู้ใด เราต้องเริ่มแผนก่อนกำหนด!”


 


“ฟื้ว…”


 


ผู้อมตะด้านหลังเขากลายเป็นลำแสงสีดำพุ่งออกไปทุกทิศทาง


 

 

 


ตอนที่ 967

 

หายนะร่วงหล่นราวกับสายฝน


แปลโดย iPAT 


 


“หือ เกิดสิ่งใดขึ้น?” กลุ่มผู้อมตะภาคใต้ที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้มองขึ้นไปบนท้องฟ้าทีละคน


 


แม้แต่ผู้ใช้วิญญาณมนุษย์บนภูเขาอี้เทียนยังรู้สึกหนาวเย็นอย่างไม่สามารถอธิบาย


 


“ครืน…”


 


เสียงท้องฟ้าคำรามอย่างต่อเนื่องราวกับกองทัพขนาดใหญ่กำลังลั่นกลองสงคราม


 


ตั้งแต่เขาสู่ภูเขาอี้เทียน ฟางหยวนใช้ทุกวินาทีในการปรับแต่งคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหล แต่ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นทำให้เขาต้องหยุดมือและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


สูงขึ้นไป ฟางหยวนสามารถมองเห็นจุดแสงจำนวนมาก


 


หลังจากชั่วครู่จุดแสงเหล่านี้จึงร่วงหล่นลงมาบนภูเขาอี้เทียน


 


“มันคือภัยพิบัติพันไข่มุกแสง!” ผู้อมตะบางคนอุทานด้วยความตกใจ


 


“ไม่ถูกต้อง ภัยพิบัติพันไข่มุกแสงมีไข่มุกแสงเพียงหนึ่งพันชิ้น แต่นี่คือภัยพิบัติแสนไข่มุกแสง!”


 


“ภัยพิบัติเกิดขึ้นได้อย่างไร?” ผู้อมตะหลายคนงุนงง


 


“บางคนกำลังก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะงั้นหรือ?” กลุ่มผู้อมตะมองไปที่ภูเขาอี้เทียนด้วยความสงสัย


 


ฟางหยวนตื่นตัวและระวังตัวเป็นอย่างมาก


 


ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักถึงพลังงานบางอย่างที่กำลังตรวจสอบร่างกายของเขา


 


แม้เขาจะมีท่าไม้ตายอมตะใบหน้าที่คลุมเครือ แต่แกนหลักของมันเป็นเพียงวิญญาณระดับหก มันสามารถหลอกผู้อมตะระดับหกเท่านั้น หากถูกตรวจสอบอย่างจริงจังโดยผู้อมตะระดับเจ็ดหรือแปด ตัวตนที่แท้จริงของเขาจะถูกค้นพบ


 


ฟางหยวนรู้สึกกังวลก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก


 


เขาไม่ถูกเปิดเผย!


 


“ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ?” ผู้อมตะหลายคนประหลาดใจ


 


พวกเขาตรวจสอบทุกคนบนภูเขาอี้เทียนและบริเวณใกล้เคียงแต่ไม่มีผู้ใช้วิญญาณระดับห้าขั้นสุดยอดคนใดที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ


 


เมื่อพวกเขากำลังจะใช้วิธีการตรวจสอบที่ทรงพลังมากขึ้น ไข่มุกแสงก็มาถึงแล้ว


 


“เราไม่สามารถปล่อยให้ภัยพิบัตินี้ส่งผลกระทบต่อภูเขาอี้เทียน!”


 


“ถูกต้อง เราต้องปกป้องมัน!”


 


กลุ่มผู้อมตะเริ่มคาดเดาต่อไปว่าภัยพิบัติอาจเกิดจากสนามรบแห่งความโกลาหล


 


ในไม่ช้ากลุ่มผู้อมตะภาคใต้ทั้งหมดจึงบรรลุข้อตกลง


 


พวกเขาจะร่วมมือกันปกป้องผลประโยชน์ของทุกคน


 


แม้ไข่มุกแสงจะมีจำนวนมาก แต่ผู้อมตะที่อยู่ที่นี่ก็มีไม่น้อย ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้มีผู้อมตะระดับแปดถึงสี่คน ผู้อมตะระดับเจ็ดจำนวนเก้าคน และผู้อมตะระดับหกอีกมากมาย


 


ด้วยความร่วมมือของกลุ่มผู้อมตะ ไม่มีไข่มุกแสงเม็ดใดสามารถสัมผัสภูเขาอี้เทียน


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า” ผู้บ่มเพาะสันโดษระดับแปด เพิ่งซื่อหลง ลูบเคราหัวเราะ “ไม่ว่าผู้ใดที่ฉวยโอกาสนี้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ เขาช่างมีความคิดสร้างสรรค์นัก”


 


“เราต้องหาตัวคนผู้นี้ มนุษย์คนใดที่กล้าทำให้พวกเราเสียหน้า!” ผู้อมตะระดับเจ็ด อี้ฉิงเติ้ง เผยรอยยิ้มเย็นชา มนุษย์ผู้นี้ใช้ผู้อมตะเป็นโล่ป้องกันภัยพิบัติ นี่เป็นสิ่งที่ผู้อมตะไม่สามารถยอมรับ


 


“มนุษย์ผู้นี้เป็นลูกหลานของผู้ใด? ยอมรับมา มิฉะนั้นพวกเจ้าจะสูญเสียใบหน้าหากความจริงถูกเปิดเผย” ผู้อมตะหวังไคหัวเราะเบาๆ


 


ผู้อมตะหลายคนมองหน้ากันแต่ไม่มีผู้ใดยอมรับ


 


การแสดงออกของผู้อมตะระดับแปด เหรินอี้หยาง กลายเป็นมืดมน เขาคำราม “เจ้าไม่รู้ว่าสิ่งใดดีกับตนเองและยังซ่อนตัวจากพวกเรา คิดว่าพวกเราโง่งั้นหรือ?”


 


“ดูนั่น ภัยพิบัติใหม่กำลังจะตกลงมาอีกครั้ง!” ผู้อมตะคนหนึ่งตะโกน


 


ท้องฟ้าถูกอาบย้อนด้วยสีดำ


 


อุณหภูมิรอบๆลดลงอย่างรวดเร็ว


 


หิมะและลูกเห็บร่วงหล่นลงมาราวกับพายุน้ำแข็ง


 


การแสดงออกของอี้ฉิงเติ้งเปลี่ยนไป เขาอุทาน “พายุน้ำแข็งแห่งความมืด!”


 


“ผู้ใดกำลังก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ เขากระทั่งดึงดูดภัยพิบัติของสุดยอดกายาทั้งสิบ!”


 


“ไม่ นี่ไกลเกินกว่าสุดยอดกายาทั้งสิบไปแล้ว!”


 


“มันมาแล้ว!”

“อดทนไว้!”


 


พายุน้ำแข็งแห่งความมืดเป็นหนึ่งในสิบภัยพิบัติของสุดยอดกายา


 


เผชิญหน้ากับภัยพิบัติชนิดนี้ ผู้อมตะหลายคนได้รับบาดเจ็บสาหัส หลายคนต้องการล่าถอย


 


‘แปลก เพราะสนามรบแห่งความโกลาหลกำลังจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง สวรรค์จึงส่งภัยพิบัติลงมางั้นหรือ? ไม่ นั่นเป็นไปไม่ได้ ข้าไม่มีวิญญาณอมตะ ข้าไม่สามารถอยู่ที่นี่และเผชิญหน้ากับภัยพิบัติเหล่านี้อย่างโง่งม ข้าต้องล่าถอยทันที’ กั่วหลาวคิดก่อนจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้า


 


“เจ้าผู้นี้ช่างวิ่งหนีได้เร็วนัก” อี้ฉิงเติ้งหัวเราะเย้ยหยัน เขายืนมือไพล่หลังอย่างสบายๆแต่เขายังสามารถรับมือพายุน้ำแข็ง


 


อย่างไรก็ตามผู้อมตะระดับหกหลายคนเริ่มเลียนแบบกั่วหลาว


 


ผู้อมตะส่วนใหญ่เป็นผู้อมตะระดับล่างที่ไม่มีวิญญาณอมตะ ปราศจากวิญญาณอมตะคอยปกป้อง พวกเขาจะได้รับบาดเจ็บ


 


แต่ในเวลาต่อมา กั่วหลาวกลับปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งกลางกลุ่มผู้อมตะ


 


กั่วหลาวตะลึง!


 


เขามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?


 


หลังจากไม่นาน ผู้อมตะระดับหกคนอื่นๆก็ถูกส่งตัวกลับมาที่นี่เช่นเดียวกัน


 


“มีคนซุ่มโจมตี! บางคนวางค่ายกลวิญญาณบนเส้นทางแห่งห้วงมิติเอาไว้รอบๆ!” กลุ่มผู้อมตะตระหนักรู้ได้อย่างรวดเร็ว


 


เพิ่งซื่อหลงระเบิดกลิ่นอายระดับแปดออกมาและกวาดตามองไปรอบๆ “ผู้ใด? ออกมา!”


 


“หึหึหึ…” เสียงหัวเราะที่น่ากลัวของผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อดังขึ้น เขาปรากฏตัวพร้อมกับผู้อมตะชุดคลุมดำอีกหลายสิบคน


 


ผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า “ทุกคน ฟังคำแนะนำของข้า ภัยพิบัติครั้งที่สามมาถึงแล้ว”


 


ทุกคนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยฝูงราชสีห์


 


สัตว์อสูรเดียวดาย ราชสีห์ปราณ!


 


ราชสีห์เหล่านี้เป็นสัตว์อสูรบนเส้นทางแห่งพลังปราณ พวกมันสามารถบินได้ตั้งแต่กำเนิด


 


มีราชสีห์ปราณมากกว่าหกพันตัว นี่ทำให้ใบหน้าของผู้อมตะระดับหกกลายเป็นซีดเผือด


 


ผู้อมตะระดับแปด เจียอี้ คำรามด้วยความโกรธ “เรื่องเล็กน้อย หลบไป!”


 


เขาสะบัดแขนเสื้อส่งเคียววายุจำนวนนับไม่ถ้วนออกไปทุกทิศทาง


 


ฝูงราชสีห์ปราณกรีดร้องด้วยความเจ็ดปวด หลายตัวเสียชีวิตและถูกหั่นเป็นชิ้นๆ เลือดและชิ้นเนื้อสาดเทลงมาราวกับสายฝน


 


“เคียววายุเจียอี้ช่างแข็งแกร่งนัก” ผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อเผยรอยยิ้มชื่นชม


 


เจียอี้ขมวดคิ้วและส่งเคียววายุพุ่งเข้าโจมตีม่านเยี่ยนซื่อ แต่ก่อนที่เคียววายุจะถึงตัวศัตรู มันกลับถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์โดยค่ายกลวิญญาณ


 


“พวกเขาคือผู้ใดและมีจุดประสงค์ใด?”


 


“คนกลุ่มนี้ช่างกล้าหาญนัก พวกเขากำลังรนหาที่ตาย!”


 


“พวกเจ้ากล้าต่อต้านผู้อมตะทั้งหมดของภาคใต้งั้นหรือ!?”


 


กลุ่มผู้อมตะต่างตะโกนสาปแช่งและรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ


 


อย่างไรก็ตามโดยยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ ภัยพิบัติครั้งใหม่ก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


“โฮก…”


 


เสียงฟ้าร้องราวกับมังกรคำราม


 


เมฆกลายเป็นสีแดงเพลิง


 


“เมฆาเพลิงโลกันทั้งสี่!” บางคนตะโกน


 


“ระวังตัวให้ดี ข้าเคยเผชิญหน้ากับเมฆาเพลิงโลกันทั้งสี่มาก่อน มันมีทั้งหมดสี่ชั้น ชั้นด้านบนจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น” ผู้อมตะบนเส้นทางแห่งไฟเตือน


 


“ป้องกัน!”


 


“นอกจากนี้ยังมีภัยพิบัติมังกรคำราม มันเป็นสองภัยพิบัติในครั้งเดียว!”


 


“ต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมด!”


 


กลุ่มผู้อมตะร่วมมือกันต่อต้านภัยพิบัติที่เกิดขึ้น


 


‘ภัยพิบัติเมฆาเพลิงโลกันทั้งสี่ขยายวงกว้างไปไกลกว่าพันลี้ เหตุใดจึงรุนแรงนัก?’ บนภูเขาอี้เทียน ฟางหยวนเฝ้ามองด้วยความตกใจ


 


เมฆเหล่านี้ปิดกั้นการมองเห็นของผู้ใช้วิญญาณระดับมนุษย์แต่ไม่สามารถขัดขวางการมองเห็นของฟางหยวน


 


ตอนนี้เขารู้สึกไม่สบายใจมาก


 


‘ดูเหมือนข้าจะตกลงสู่หลุมพรางของกลุ่มผู้อมตะชุดคลุมดำเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาดูคล้ายกับผู้อมตะชุดคลุมดำของนิกายเงาที่ไห่ลั่วหลันเคยอธิบายไว้ พวกเขากล้าต่อต้านผู้อมตะทั้งหมดของภาคใต้ พวกเขาพยายามทำสิ่งใด? ดูเหมือนภัยพิบัติเหล่านี้จะไม่ใช่ภัยพิบัติที่เกิดจากการก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะของบางคนแต่เป็นฝีมือของกลุ่มคนชุดคลุมดำ’


 


ผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อวางค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่เอาไว้รอบๆทำให้ผู้อมตะภาคใต้ไม่สามารถหลบหนีและต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติเท่านั้น


 


เมื่อเวลาผ่านไปภัยพิบัติก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งผู้อมตะระดับเจ็ดก็เริ่มรู้สึกถึงความยากลำบาก


 


หลังจากชั่วระยะเวลาหนึ่ง การแสดงออกของผู้อมตะระดับแปดยังเปลี่ยนเป็นไม่น่ามอง


 


“ถอยไป ให้ข้ารับมือมัน!” เพิ่งซื่อหลงตัดสินใจให้ท่าไม้ตาย


 


คลื่นแสงระเบิดออกไปเป็นวงกว้าง ห้วงมิติเกิดการสั่นสะเทือนสามครั้งก่อนจะกลับสู่เสถียรภาพ


 


“นี่คือค่ายกลวิญญาณใด!?” หัวใจของผู้อมตะภาคใต้จมดิ่งลง


 


ภัยพิบัติทั้งรุนแรงและรวดเร็วไม่ต่างจากสายฝนที่สาดเทลงมา ขณะเดียวกันพวกเขาก็ไม่สามารถจากไป


 


“อดทนไว้!” เจียอี้ตะโกน “เรายังมีโอกาส! ภัยพิบัติร่วงหล่งลงมาอย่างต่อเนื่องแต่มันก็ส่งผลกระทบต่อค่ายกลวิญญาณรอบๆเช่นกัน!”


 


ได้ยินเรื่องนี้ กลุ่มผู้อมตะเริ่มมีความหวัง


 


ผู้อมตะระดับหกบางคนตายไปแล้วแต่ผู้ที่เหลือรอดก็ยังไม่ยอมแพ้


 


หากค่ายกลวิญญาณถูกทำลาย พวกเขาจะสามารถหลบหนี


 


ผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อเปิดปากกล่าวเบาๆ “อู๋เซี่ย”


 


ชายผู้หนึ่งเดินขึ้นมาจากด้านหลัง


 


เขามีเส้นผมสีดำหยักศกที่ยาวลงมาถึงไหล่ ดวงตาของเขาส่องประกายหลากหลายสีสันราวกับวังน้ำวนที่หมุนไปอย่างไม่รู้จบสิ้น


 


อย่างไรก็ตามตอนนี้เขากำลังเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและเผยรอยยิ้มโง่งม


 


“อู๋เซี่ย” ชายชราม่านเยี่ยนซื่อเรียกซ้ำอีกครั้ง


 


“อา…ท่านเรียกข้า ข้ากำลังชมการแสดงดอกไม้ไฟ” ผู้อมตะหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้ม


 


ม่านเยี่ยนซื่อเผยรอยยิ้มขมขื่น “นี่ไม่ใช่การแสดงดอกไม้ไฟแต่เป็นภัยพิบัติ แม้มันจะงดงามแต่มันเต็มไปด้วยอันตราย ทั้งหมดนี้คือเจตจำนงสวรรค์ที่พยายามทำลายพวกเรา มันคือศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเรา”


 


ผู้อมตะหนุ่มตอบกลับด้วยการแสดงออกที่จริงจัง “โอ้ เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็บอกเจตจำนงสวรรค์ให้ออกมา ข้าจะจัดการมันเอง!”


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 968 ค่ายกลวิญญาณสุดยอดกายาทั้งสิบ


แปลโดย iPAT 


 


ผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อถอนหายใจ “เจตจำนงสวรรค์ไม่มีร่างกายภาพ มันมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้เจ้าจะทำลายเจตจำนงสวรรค์บางส่วน มันก็จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่อย่างไม่รู้จบสิ้น”


 


ผู้อมตะหนุ่มมึนงง “เช่นนั้นเราควรทำอย่างไร?”


 


“สิ่งที่เรากำลังทำคือการท้าทายสวรรค์ ดังนั้นเจตจำนงสวรรค์จึงเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ของเรา หลังจากเตรียมตัวมานับแสนปี เราจะระเบิดพลังออกมาในที่สุด แต่ตอนนี้เราต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนและไม่ให้เวลาสวรรค์ได้เตรียมตัว นี่จะทำให้เราได้รับชัยชนะ”


 


ผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อชี้นิ้วออกไป “ค่ายกลวิญญาณผีดิบอมตะสุดยอดกายาทั้งสองที่เราสร้างขึ้นปิดผนึกผู้อมตะภาคใต้เอาไว้ภายใน แต่สิ่งนี้จะอยู่ได้ไม่นาน”


 


“ต่อไปข้ากับผู้อมตะคนอื่นๆจะสังเวยชีวิตของตนเพื่อสนับสนุนค่ายกลวิญญาณ ด้วยวิธีนี้ค่ายกลวิญญาณจะสามารถแสดงพลังอำนาจได้เก้าสิบส่วน ในขั้นตอนสุดท้าย ผู้อมตะภาคใต้จะไม่มีโอกาสหลบหนี”


 


“ทรงพลังนัก!” ผู้อมตะหนุ่มจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้าง


 


ผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เมื่อข้าจากไป เจ้าจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเรา เจ้าจงจำเอาไว้ว่าเจ้าถือกำเนิดขึ้นในอาณาจักรแห่งความฝันและมีอายุขัยเพียงสิบแปดชั่วโมง ทุกๆสองชั่วโมงการบ่มเพาะของเจ้าจะสูงขึ้นหนึ่งระดับ ตอนนี้เจ้าอยู่ในระดับเจ็ด เจ้าเหลือเวลาอีกสี่ชั่วโมง ยิ่งเจ้าแข็งแกร่งมากเท่าใด เจ้าก็เข้าใกล้ความตายมากเท่านั้น เมื่อเจ้าบรรลุระดับเก้า จะไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านเจ้า”


 


“ระดับเก้าทรงพลังถึงเพียงนั้นเลยงั้นหรือ?” ผู้อมตะวัยเยาว์กล่าวด้วยใบหน้าเฉยเมย


 


ผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อหัวเราะเบาๆ “แน่นอน ระดับเก้าคือขีดจำกัด มันอยู่บนจุดสูงสุดของโลกใบนี้ ไม่มีระดับสิบ ดังนั้นผู้อมตะระดับเก้าก็คือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด”


 


“ข้ามีชีวิตเหลืออีกเพียงสี่ชั่วโมง มันสั่นเกินไปหรือไม่? หลังจากสี่ชั่วโมงข้าจะตายงั้นหรือ? แล้วความตายคือสิ่งใด?” ผู้อมตะวัยเยาว์ถาม


 


ผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่ออธิบายอย่างอดทน “ทุกอย่างถูกวางแผนไว้แล้ว สี่ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว แม้แผนการของเราจะล้มเหลว แต่เส้นทางชีวิตของเจ้าก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง”


 


“สำหรับความตาย…”


 


ผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อหยุดก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่ลึกซึ้ง “ความตายคือจุดเริ่มต้นของชีวิต”


 


ผู้อมตะวัยเยาว์เกาศีรษะด้วยความไม่เข้าใจ


 


ผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อสูดหายใจลึกก่อนจะมองไปยังสถานที่ที่ห่างออกไป


 


ดวงตาของเขากลายเป็นสีดำมืดและไม่มีส่วนสีขาวเหลืออยู่


 


ภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาคือ ฟางหยวน ไป่หนิงปิง ค่ายกลวิญญาณสุดยอดกายาทั้งสิบ ผู้อมตะวังสวรรค์ ผู้อมตะภาคใต้ ภูเขาอี้เทียน สนามรบแห่งความโกลาหล และอื่นๆ


 


“ถึงเวลาแล้ว” ผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อกล่าว “แต่ก่อนที่ข้าจะตาย ข้าจะใช้อายุขัยที่เหลืออยู่อนุมานสิ่งที่จะเกิดขึ้น เจ้าจงจดจำเอาไว้ให้ดี”


 


หลังกล่าวจบคำ พลังชีวิตของเขาก็เริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว


 


เมื่อเขาเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยความสับสน งุนงง และหวาดกลัว


 


เขาหันหน้าไปทางผู้อมตะวัยเยาว์อย่างยากลำบากด้วยดวงตาที่ซับซ้อน


 


ริมฝีปากของเขากระตุกสองสามครั้งและพยายามกล่าวบางคำ “หนึ่งใน…พวกเรา…ระวัง…ล้มเหลว…”


 


เขาเปิดเผยความลับสวรรค์ขณะที่ร่างกายของเขาเริ่มสูญสลายกลายเป็นฝุ่นผงปลิวไปตามสายลม


 


ดวงวิญญาณของเขาถูกดูดซับเข้าไปในค่ายกลวิญญาณอย่างสมบูรณ์


 


ไม่เพียงผู้อมตะเฒ่าม่านเยี่ยนซื่อแต่ผู้อมตะชุดคลุมดำอีกหลายคนก็สละชีวิตไปพร้อมกัน


 


ค่ายกลวิญญาณสุดยอดกายาทั้งสิบปลดปล่อยพลังอำนาจเก้าสิบส่วนออกมาทันที


 


รัศมีแสงปะทุขึ้นสู่ท้องฟ้า


 


กระทั่งภัยพิบัติสวรรค์พิภพก็ยังดูอ่อนแรงลง


 


เผชิญหน้ากับรัศมีแสงสุดขั้ว กลุ่มผู้อมตะภาคใต้ต้องปิดเปลือกตาลงอย่างช่วยไม่ได้


 


เมื่อเวลาผ่านไปกลุ่มผู้อมตะภาคใต้จึงสามารถเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง


 


พื้นที่ทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยพลังอำนาจของค่ายกลวิญญาณ


 


ผู้อมตะสิบคนยืนเป็นวงกลมอยู่กลางอากาศและปิดล้อมกลุ่มผู้อมตะภาคใต้เอาไว้ทุกด้าน


 


เก้าในสิบผู้อมตะอยู่ในชุดคลุมดำขณะที่คนสุดท้ายคือผู้อมตะวัยเยาว์ อิงอู๋เซี่ย


 


เขาพึ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อสิบสี่ชั่วโมงก่อนหน้า ดังนั้นเขาจึงเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


“เกิดสิ่งใดขึ้น?”


 


“ค่ายกลวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นงั้นหรือ?”


 


ก่อนหน้านี้ภายใต้สายฝนแห่งภัยพิบัติ ค่ายกลวิญญาณเกิดการสั่นสะเทือนอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ตอนนี้มันกลับแข็งแกร่งและมั่งคงราวกับขุนเขา


 


ตระหนักถึงสิ่งนี้ ช่วยไม่ได้ที่หัวใจของผู้อมตะภาคใต้จะจมดิ่งลง


 


ผู้อมตะระดับแปดเหรินไห่หยางหยุดปกป้องผู้อมตะระดับหกและตัดสินใจโจมตีค่ายกลวิญญาณสุดยอดกายาทั้งสิบ


 


“ตาย!” เขาคำรามและส่งคลื่นน้ำพุ่งออกจากความว่างเปล่าเข้าโจมตีฝ่ายตรงข้ามอย่างดุเดือด


 


“ปกป้องเขา!” ผู้อมตะระดับแปดอีกสามคนพยายามสกัดกั้นภัยพิบัติที่ร่วงหล่นลงมาเหนือศีรษะเหรินไห่หยาง


 


เหรินไห่หยางหัวเราะและกระตุ้นใช้ท่าไม้ตายอีกครั้ง


 


คลื่นยักษ์พุ่งออกไปราวกับสัตว์ร้ายที่อ้าปากและกำลังจะกลืนกินสวรรค์พิภพเข้าไป


 


อิงอู๋เซี่ยต้องการเผชิญหน้าแต่ถูกหยุดไว้โดยผู้อมตะชุดคลุมดำที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าอยู่ที่นี่ อย่าเคลื่อนไหวโดยประมาท เขาสามารถจัดการมัน”


 


ผู้อมตะชุดคลุมดำผู้หนึ่งส่งเปลวเพลิงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า


 


คลื่นน้ำที่ซัดสาดเข้ามาระเหยกลายเป็นไอน้ำทันที


 


“พลังชนิดนี้…ข้าแทบไม่สามารถต่อต้านมัน” ผู้อมตะชุดคลุมดำรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


 


ด้วยการปะทะเดือด ชุดคลุมสีดำจึงถูกทำลายและเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของผู้อมตะลึกลับผู้นี้


 


รูม่านตาของฟางหยวนหดเล็กลง เขาจำคนผู้นี้ได้!


 


ผู้อมตะภาคใต้อุทานด้วยความประหลาดใจ “ผีดิบอมตะสุดยอดกายาสายฟ้าแห่งความรุ่งโรจน์!”


 


ตัวตนของคนผู้นี้ก็คือผีดิบอมตะสุดยอดกายาสายฟ้าแห่งความรุ่งโรจน์ที่สามารถหลบหนีจากการต่อสู้ร้อยวันในหุบเขาเหล่าโป หลังจากถูกจับกุมโดยปีศาจอมตะเซี่ยหู นางมารผลาญสวรรค์และผีดิบอมตะคนอื่นๆจึงถูกส่งตัวไปที่ภาคเหนือเพื่อช่วยเหลือเขา


 


ผู้ใดจะคิดว่าคนผู้นี้จะปรากฏตัวขึ้นที่นี่


 


‘เป็นไปได้หรือไม่ว่ากลุ่มคนที่ต่อต้านผู้อมตะภาคใต้ก็คือกองกำลังพันธมิตรผีดิบ ไม่! เป็นไปไม่ได้! หากเป็นกองกำลังพันธมิตรผีดิบ นางมารผลาญสวรรค์จะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? บางที…’


 


นิกายเงา!


 


คำนี้ปรากฏขึ้นในใจของฟางหยวนทันที


 


ร่างกายของฟางหยวนสั่นสะท้านขึ้น สถานการณ์เลวร้ายมาก กล่าวได้ว่าสถานการณ์ของเขาไม่ต่างจากผู้อมตะภาคใต้ที่ติดอยู่ที่นี่


 


การโจมตีของเหรินไห่หยางล้มเหลว เขาทำได้เพียงถอนหายใจและล่าถอยเท่านั้น


 


ภัยพิบัติที่ร่วงหล่นลงมายังไม่หยุด พวกเขาไม่แม้แต่จะมีเวลาพักและฟื้นฟูความแข็งแกร่ง


 


เสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง


 


ผู้อมตะระดับหกเสียชีวิตไปหลายคน กระทั่งผู้อมตะระดับแปดยังแทบไม่สามารถดูแลตนเอง


 


ผู้อมตะระดับหกที่เย่อหยิ่งและยืนอยู่บนที่สูงกลับไม่สามารถต่อต้านภัยพิบัติ พวกเขาไม่ต่างจากลูกไก่ที่อยู่ในกำมือของสวรรค์


 


ผู้อมตะระดับเจ็ดไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ของตนเอง หากประมาทเพียงเล็กน้อย พวกเขาอาจถูกหายนะกลืนกินเข้าไปได้อย่างง่ายดาย


 


อย่างไรก็ตามค่ายกลวิญญาณสุดยอดกายาทั้งสิบกลับสามารถอดทนต่อภัยพิบัติเหล่านี้ได้โดยไม่สั่นไหว


 


ในช่วงเวลาแห่งชีวิตและความตาย ผู้อมตะทั้งหมดยอมละทิ้งความเกลียดชังก่อนเก่าและทำงานร่วมกันอย่างเต็มความสามารถ


 


ในไม่ช้าพวกเขาก็ตระหนักถึงทางออกสุดท้าย


 


นั่นก็คือคฤหาสน์วิญญาณอมตะสนามรบแห่งความโกลาหล!


 


คฤหาสน์วิญญาณอมตะหลังนี้มีพลังป้องกันที่ไม่ธรรมดา มันสามารถต่อต้านภัยพิบัติและปกป้องกลุ่มผู้อมตะทั้งหมด


 


กล่าวได้ว่ามันคือความหวังเดียวที่เหลืออยู่!


 


แม้เขตต้องข้ามจะกีดขวางผู้อมตะภาคใต้แต่มันไม่ส่งผลกระทบต่อวิญญาณอมตะมากนัก อย่างน้อยพวกมันก็ยังเหนือกว่าวิญญาณระดับมนุษย์


 


“ร่วมมือกันทำลายภูเขาอี้เทียนและยึดครองสนามรบแห่งความโกลาหล!” ผู้อมตะเจียอี้ตะโกน


 


อย่างไรก็ตามบุคคลที่ยังมีพลังเหลือยู่มีเพียงผู้อมตะระดับแปดทั้งสี่เท่านั้น


 


ผู้อมตะระดับเจ็ดอยู่ในสภาพที่น่าอนาถและตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก


 


ผู้อมตะระดับแปดร่วมมือกันโจมตีภูเขาอี้เทียน แต่ภูเขาอี้เทียนกลับไม่ได้รับผลกระทบ


 


ค่ายกลวิญญาณสุดยอดกายาทั้งสิบสามารถป้องกันการโจมตีเหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์


 


ความพยายามของผู้อมตะระดับแปดกลายเป็นไร้ประโยชน์


 


ดวงตาของพวกเขาส่องประกายดุร้ายและยังพยายามโจมตีต่อเนื่อง


 


แต่บนภูเขาอี้เทียนยังเป็นฉากที่เงียบสงบ


 


มนุษย์ทุกคนถูกขังไว้ในที่มืดโดยไม่รู้สิ่งใดเลย


 


ฟางหยวนจ้องมองท้องฟ้าด้วยการแสดงออกที่หนักหน่วง


 


‘ในชีวิตก่อนหน้าของข้ามีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นหรือไม่? ไม่มีผู้ใดรู้ว่าความตายอยู่เหนือศีรษะของพวกเรา ใจเย็น ข้าต้องใจเย็น’


 


ฟางหยวนสูดหายใจลึกและปัดเป่าความกังวลออกไปก่อนที่จะเริ่มไตร่ตรองเรื่องต่างๆอย่างลึกซึ้ง


 


‘แม้ไห่ลั่วหลันกับเทพธิดาหลี่ซานจะสามารถเข้าร่วม แต่ค่ายกลวิญญาณนี้ตัดขาดโลกภายนอกและภายใน มันกระทั่งปิดกั้นวิธีการสื่อสารทุกชนิดของข้า!’

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)