ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 964-978

 บทที่ 964 ดำน้ำในมหาสมุทร

Ink Stone_Fantasy

บางคนก็บอกว่าบริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรสเตรียมตัวมาไม่ดี อันที่จริงแล้วฉินสือโอวเข้าใจถึงความลำบากของบริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรสดี การดำน้ำลึกเป็นเรื่องสิ่งที่อันตราย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงงูทะเลและแมงกะพรุนที่อาจจะโผล่ขึ้นจากก้นทะเลได้ตลอดเวลา แม้ว่านักดำน้ำมือใหม่จะดำน้ำได้อย่างราบรื่น แต่ก็อาจจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นได้


ลึกลงไปยี่สิบสามสิบเมตร คนส่วนใหญ่หากเจออุบัติเหตุก็อาจจะเสียชีวิตที่นี่ได้ บริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรสไม่สามารถแบกรับความรับผิดชอบนี้ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงใช้วิธีที่ชาญฉลาดในการจัดการ วิธีการในเรื่องของเวลาและโอกาสในการดำน้ำของทุกคน


เมื่อฉินสือโอวเห็นว่าเจ้าหญิงน้อยต้องการที่จะลงไปสำรวจความงามของโลกใต้ทะเลจริงๆ เขาจึงแนะนำออกมาว่า “เอาแบบนี้ไหม ผมจะพาคุณไปดำน้ำตื้นชมปะการัง การดำน้ำตื้นไม่ต้องให้ครูสอนดำน้ำไปด้วย และง่ายกว่าการดำน้ำลึกเยอะ แบบนี้ก็สามารถดูโลกใต้ทะเลได้ด้วยเหมือนกัน”


โดยส่วนใหญ่ในสถานการณ์แบบนี้ ดวงตาของมนุษย์สามารถมองเห็นกิจกรรมในท้องทะเลได้ถึงระยะสี่เมตรเท่านั้น แต่ว่าที่บริเวณเกรตแบร์ริเออร์รีฟเป็นที่ที่น้ำทะเลค่อนข้างใส เมื่อประกอบกับอากาศที่สดใสเหมือนวันนี้แล้ว แม้บริเวณที่น้ำลึกยี่สิบสามสิบเมตร ก็ยังสามารถเห็นโลกใต้ท้องทะเลได้


ทำให้การดำน้ำลึกก็ไม่จำเป็นต้องดำไปถึงยี่สิบสามสิบเมตร สิ่งที่ต่างกันก็คือหากดำน้ำตื้นก็จะไม่สามารถเอื้อมมือไปสัมผัสปะการังและพวกหอยหรือปลาทะเลได้แล้ว


หลังจากที่เจ้าหญิงน้อยได้ฟังคำแนะนำของฉินสือโอว เธอก็รีบตอบรับข้อเสนอนั้นทันที เพราะว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วที่เธอจะได้สัมผัสกับการทำกิจกรรมนี้


ฉินสือโอวช่วยเธอเตรียมหน้ากากขนาดเล็กพอเหมาะ ท่อสำหรับหายใจ และตีนกบหนึ่งคู่ แน่นอนว่าเขายังเตรียมชุดว่ายน้ำที่ปกปิดร่างกายอย่างดีให้อีกด้วย เจ้าหญิงน้อยไม่สามารถสวมชุดดำน้ำบิกินีเหมือนสาวๆ ทั่วไปได้


เขาก็สวมชุดว่ายน้ำด้วยเช่นกัน เขาอธิบายว่า “เมื่อสวมชุดว่ายน้ำนี้คุณจะมีแรงต้านทานน้ำที่น้อยลง จะทำให้ปลอดภัยมากขึ้น ใช่แล้ว คุณว่ายน้ำได้ใช่ไหม?”


ท่านฉินไม่อยากที่จะสอนเด็กน้อยว่ายน้ำที่นี่ แบบนั้นมันเปลืองแรงมาก


ยังดีที่เจ้าหญิงน้อยพยักหน้า เธอตอบกลับว่า “เป็นสิคะ หลักสูตรในพระราชวังมีการสอนว่ายน้ำด้วย ฉันเคยเข้าร่วมการแข่งขันว่ายน้ำยูสิบสี่ของเด็กสาวที่ดูไบด้วยนะ”


เมื่อสวมชุดว่ายน้ำ สวมหน้ากาก ปากคาบท่อช่วยหายใจ และสวมตีนกบเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวก็พาเจ้าหญิงน้อยลงน้ำไป


บริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรสสมกับที่เป็นบริษัทให้บริการชั้นน้ำของโลก เทคโนโลยีล้ำสมัยมากมายสามารถทำให้ฉินสือโอวตื่นตะลึง นอกจากนี้พวกเขายังมีเครื่องรับส่งวิทยุแบบสั่น เพียงแค่ติดเซนเซอร์ที่ทำจากแผ่นยางไว้ที่คอทั้งสองข้าง ด้วยหูฟังที่ใส่อยู่ ผู้คนรอบข้างก็จะสามารถได้ยินเสียงการพูดคุยของพวกเขาได้


เครื่องรับส่งวิทยุแบบนี้ในศตวรรษที่ยี่สิบจะปรากฏให้เห็นในภาพยนตร์เท่านั้น เป็นอุปกรณ์มาตรฐานของสายลับ ตอนนี้พวกมันได้เข้าไปสู่สนามรบของทหารแล้ว แต่ว่ายังไม่มีประชาชนคนไหนเข้าถึงมันได้


จุดประสงค์ในการนำอุปกรณ์นี้เข้ามาให้ของบริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรสก็เผื่อที่จะให้แขกขอความช่วยเหลือจากเครื่องนี้ เมื่อมีคนประสบปัญหาในน้ำพวกเขาก็จะสามารถรับสัญญาณได้ทันที และสำหรับที่ที่ฉินสือโอวและเจ้าหญิงน้อยอยู่ตอนนี้ พวกมันสามารถใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารใต้ท้องทะเลได้เลย


เจ้าหญิงตื่นเต้นกับสิ่งต่างๆ ใต้ท้องทะเล เธอถามไปตลอดทางด้วยความเพลิดเพลิน ฉินสือโอวก็อธิบายออกมาสุ่มสี่สุ่มห้า จะทำยังไงได้ เขาไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านสัตว์ทะเล เขาไม่คุ้นเคยกับสัตว์ทะเลเขตร้อนจริงๆ


นอกจากนี้ สัตว์ทะเลเขตร้อนก็มีมากมายเหลือเกิน


หลังจากที่ดำน้ำกันจนพอใจแล้ว ท่านฉินคิดว่าความอยากรู้อยากเห็นของเจ้าหญิงน่าจะถูกเติมเต็มแล้ว พวกเขาก็สามารถกลับไปยังเรือเพื่อทานอาหารกลางวันได้แล้ว


แต่ว่า เขาประเมินความอยากรู้อยากเห็นของหญิงสาวคนนี้ต่ำไป ดูท่าทางแล้วเจ้าหญิงองค์น้อยอยากที่จะเล่นสนุกต่อ


หลังจากที่เปลี่ยนชุดว่ายน้ำเสร็จแล้ว เจ้าหญิงน้อยก็เห็นใครบางคนกำลังถือชุดว่ายน้ำที่ดูหนักออกมา ที่เท้าสวมรองเท้ายางสำหรับเดินในน้ำ เข็มขัดถ่วงด้วยตะกั่ว รวมถึงหมวกกันน็อกอันใหญ่ ภาพนั้นทำให้เธออดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “ชุดนั้นเอาไว้ทำอะไรเหรอคะ?”


ฉินสือโอวก็ไม่ได้รู้ชัดเจนมากนัก เขามองภาพนั้นอยู่สักพักแล้วก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงพูดออกมาว่า “อ้อ มันมีไว้เดินเล่นที่ใต้ท้องทะเล รู้จักกิจกรรมเดินเที่ยวไหม? มันคือการเดินไปมาที่ก้นทะเล”


เจ้าหญิงพูดขึ้นมาอย่างงุนงงว่า “เดินเที่ยวใต้ท้องทะเลงั้นเหรอ? แล้วจะมีฝูงปลาสวยๆ เข้ามาอยู่ที่ด้านหน้ารึเปล่า แล้วจะสามารถดูปะการังหลากสีได้ สามารถเห็นสาหร่ายทะเลอันอ่อนนุ่มที่ลอยไปมาในน้ำเหมือนกับนางฟ้าที่กำลังถือริบบิ้นอยู่ด้วยใช่ไหมคะ?”


ฉินสือโอวหัวเราะออกมา “แน่นอนว่าได้ โลกใต้ทะเลสวยงามมาก เหมือนกับภาพจินตนาการอันสวยงามเลยล่ะ”


ในตอนที่เขาพูดแบบนั้น เขาไม่รู้หรอกว่ามันให้ความรู้สึกเป็นอย่างไร จนเมื่อเขาพูดจบ เขาก็เห็นว่าเจ้าหญิงน้อยยื่นมือออกมาเขย่าแขนเสื้อของเขาอย่างแรงด้วยท่าทีน่าสงสาร ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่างานเข้าทันที


“คุณ คงไม่ได้อยากจะไปเล่นหรอกใช่ไหม?”


“คุณลุง ขอร้องล่ะค่ะ พาฉันไปดูหน่อยนะ” ซาลามาห์พูดออกมาอย่างเศร้าสร้อย “ฉันไม่เคยเดินเที่ยวเล่นใต้ท้องทะเลเลยนะ ฉันคิดว่าถ้ารอจนแต่งงานไป ตอนนั้นก็คงทำได้แต่อยู่ที่บ้าน โอกาสแบบนี้ยิ่งหายากเข้าไปอีก”


ฉินสือโอวกลืนน้ำลายลงคอแล้วพูดว่า “แต่ว่า พวกเราต้องทานอาหารกลางวันก่อนนะ!”


“ฉันไม่หิวค่ะ แล้วคุณล่ะ?”


“เอาล่ะ ฉันก็ไม่หิว งั้นรอฉันก่อน ฉันจะกรอกใบสมัครเอาอุปกรณ์ดำน้ำลึก”


ครั้งนี้เป็นการดำน้ำลึกจริงๆ จะต้องดำลงไปหลายสิบเมตรจนถึงร้อยเมตรเลยทีเดียว


สำหรับการเดินใต้น้ำแล้ว ฉินสือโอวไม่สนใจเลยสักนิด จิตสำนึกแห่งโพไซดอนวิ่งเล่นไปมาอยู่ที่ใต้ทะเลทุกวันอยู่แล้ว เขายังเคยไปถึงร่องลึกของมหาสมุทรแล้ว ความลึกระดับนี้ไม่ได้สร้างความท้าทายเท่าไหร่


ในหนึ่งกลุ่มจะมีผู้ดูแลอยู่ด้วย ผู้ดูแลทั้งสองเปลี่ยนมาสวมชุดดำน้ำลึก หลังจากนั้นก็จะถูกปล่อยลงทะเล พวกเขาทั้งสองพากันจับมือดำดิ่งลงไปยังก้นทะเล


ครูสอนดำน้ำสองท่านดำน้ำตามลงมาด้วย ครูทั้งสองนอกจากจะต้องช่วยดูแลความปลอดภัยของฉินสือโอวและซาลามาห์แล้ว ยังต้องรับผิดชอบการถ่ายภาพใต้น้ำด้วย ความสนุกของการเดินใต้ท้องทะเลคือการได้ทำความรู้จักกับสัตว์ใต้ทะเล หากไม่ถ่ายภาพเอาไว้ก็คงจะเสียดายแย่


การสื่อสารจะสื่อสารผ่านเครื่องรับส่งวิทยุแบบสั่น เจ้าหญิงน้อยพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับฉินสือโอวตลอดเวลา ไม่ว่าจะเห็นอะไรมันก็น่าสนใจไปหมด บางอย่างที่เห็นเมื่อตอนที่ดำน้ำตื้นเมื่อครู่ในที่สุดเธอก็สามารถเอื้อมมือออกมาสัมผัสมันได้ ทำให้เจ้าหญิงน้อยดีใจสุดขีด


และมันก็ทำให้ครูสอนว่ายน้ำทั้งสองคนตกใจมากเช่นกัน ในระดับความลึกแบบนี้อาจจะมีงูพิษโผล่ออกมาได้ และงูที่อยู่บริเวณเกรตแบร์ริเออร์รีฟก็มีพิษร้ายแรงเสียด้วย!


ในขณะที่กำลังมองดูโลกใต้น้ำที่สวยสดงดงามนี้ ทันใดนั้นหัวใจของฉินสือโอวก็เต้นขึ้นมาผิดจังหวะ ก่อนหน้านี้เขาคิดมาเสมอว่าเขาจะขอวินนี่แต่งงานอย่างไรดี เขาวางแผนไว้ว่าเมื่อวินนี่คลอดลูกเขาจะต้องขอวินนี่แต่งงานและเตรียมจัดงานแต่งงาน ตอนนี้ที่พาเด็กหญิงคนนี้มาเดินที่ใต้ท้องทะเล มันทำให้ฉินสือโอวเกิดมีความคิดดีๆ ขึ้นมา


พอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉินสือโอวก็ยิ่งดีใจขึ้นมาอีก การดำน้ำครั้งนี้ถือว่าได้กำไรมากทีเดียว


หนอนตัวแบนสีสันสดใสกำลังลอยไปมาอยู่ในน้ำ รูปลักษณ์ของพวกมันนั่นสดใสสวยงาม มีบางตัวที่สีเหมือนสายรุ้งไม่มีผิด


ซาลามาห์ตื่นเต้นมากที่ได้เห็นพวกมัน เธอจึงอยากเข้าไปใกล้ แต่ฉินสือโอวโบกมือห้าม แสดงท่าทางบอกว่าให้เธออยู่ข้างๆ ถ่ายรูปกับพวกมันก็พอ ไม่ต้องเข้าไปใกล้หรอก


หนอนตัวแบนและทากไม่มีเปลือกด้านนอก ทำให้การอยู่ใต้ทะเลลึกแบบนี้เป็นเรื่องที่อันตราย พวกมันมีอาวุธเคมีที่ได้รับการวิวัฒนาการมาแล้วอยู่ในตัว ซึ่งมันก็คือพิษชนิดหนึ่ง พวกมันกินดอกไม้ทะเลและไฮโดรซัวที่มีพิษ ทำให้สารพิษนั้นแสดงออกให้เห็นบนผิวกาย ดังนั้นพวกมันจึงได้มีสีสันสดใสเช่นนี้


ปลาดาวขนาดใหญ่ติดอู่ตามแนวปะการัง สัตว์พวกนี้ก็มีสีสันที่สวยงามเช่นกัน พวกมันอาศัยอยู่โดยการกินปะการัง ไม่มีนิสัยก้าวร้าว ฉินสือโอวหยิบมันขึ้นมาหนึ่งตัวแล้ววางไว้ที่หมวกกันน็อกของซาลามาห์ แล้วให้ครูสอนถ่ายรูปไว้


ปูตัวสีเทาขนาดเท่าฝ่ามือกำลังเดินเข้ามาหา ร่างกายของพวกมันถูกปกคลุมด้วยฟองอากาศ ราวกับว่ากำลังสวมหมวกอยู่ก็ไม่ปาน


บทที่ 965 พูดคุยกับเจ้าชาย

Ink Stone_Fantasy

ซาลามาห์ถามว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ฉินสือโอวก็ไม่ได้รู้จักปูสายพันธุ์นี้เช่นกัน ครูสอนดำน้ำทั้งสองคนที่อยู่ด้านข้างได้รับสัญญาณจากทั้งสองคน จึงอธิบายออกมาว่า “นี่คือปูหมวก สายพันธุ์พิเศษของออสเตรเลีย กระดองของพวกมันค่อนข้างอ่อน เพื่อที่จะปกป้องตัวเอง พวกมันจึงต้องหาแมงกะพรุนที่มีพิษหรือฟองน้ำมาปกคลุมตัวเองไว้”


หลังจากนั้นพวกเขาก็พบกับปลาปักเป้าตัวหนึ่ง สัตว์ชนิดนี้ฉินสือโอวรู้จัก ในปลาสายพันธุ์เดียวกันพวกมันเป็นปลาที่มีปากแข็งแรงที่สุด พวกมันสามารถกัดเศษปะการังได้ ทำให้พวกมันสามารถกินกุ้งปูตัวเล็กๆ ที่อยู่ตามซอกปะการังได้


เมื่อเดินไปมาที่ใต้ทะเลได้หลายเมตร ซาลามาห์ก็เหนื่อยจนเดินต่อไม่ไหว แม้ว่าการเดินใต้ทะเลนั้นจะสวยงาม แต่ก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายที่หนักมาก อุปกรณ์ที่ฉินสือโอวสวมใส่มีน้ำหนักถึงห้าสิบกว่ากิโลกรัม เมื่อรวมกับแรงต้านของน้ำทะเลแล้ว ทำให้ต้องเดินแบกพวกมันไปอย่างยากลำบาก


เพราะแบบนี้เมื่อพวกเขาเจอเข้ากับพุ่มปะการังอันอุดมสมบูรณ์ แล้วถ่ายรูปจนพอใจแล้ว พวกเขาก็ส่งสัญญาณให้คนบนเรือดึงพวกเขาทั้งหมดขึ้นไป


หลังจากดำน้ำเสร็จ ในที่สุดก็ได้ทานอาหารกลางวัน พวกเขารับประทานอาหารกลางวันบนเรือยอชต์ บริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรสจ้างพ่อครัวมาด้วย แขกแต่ละคนสามารถนำปลาหรือกุ้งที่ตัวเองจับมาได้นำมาให้พ่อครัวทำอาหารให้ แน่นอนว่าพวกเขาสามารถซื้อตามชายฝั่งได้ด้วยเช่นกัน


ฉินสือโอวคิดถึงกุ้งมังกรตัวใหญ่ที่เขาจับมาได้ แต่ปรากฏว่าไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้านั่นมันหายไปไหนแล้ว เขาคิดว่ามันคงจะดวงดี หนีออกไปเองได้ แต่เมื่อตอนที่เขากำลังทานอาหารกลางวัน เขาก็เห็นกุ้งมังกรตัวหนึ่งวางอยู่ที่ด้านหน้าฮามานแดน มันช่างดูคุ้นตาเหลือเกิน…


“ท่านพี่ พี่ขโมยกุ้งมังกรของพวกเรา!” เจ้าหญิงน้อยเดินเข้าไปหาพลางพูดขึ้นด้วยความโมโห


ฮามานแดนกำลังพูดคุยหัวเราะอยู่กับกลุ่มชายวัยรุ่นอยู่พอดี โดยไม่ต้องสงสัยเลย คนเหล่านี้คือทายาทตระกูลใหญ่ๆ ของยุโรปและอเมริกาอย่างแน่นอน ฮามานแดนกำลังพูดโอ้อวดการจับกุ้งมังกรตัวนี้ที่เป็นไปอย่างยากลำบากอยู่ ปรากฏว่าน้องสาวของเขาก็พูดประโยคนั้นขึ้นมาพอดี


เมื่อได้ยินดังนั้น ฮามานแดนก็ถลึงตาใส่น้องสาวของตัวเองทันที พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเกรงขามว่า “เธอพูดเรื่องไร้สาระอะไร? พี่ไปขโมยกุ้งมังกรของพวกเธอตอนไหนกัน? กุ้งมังกรของพวกเธออยู่ที่ไหนเหรอ?”


เจ้าหญิงน้อยรู้ตัวว่าต้องไว้หน้าพี่ชายของตัวเองต่อหน้าคนอื่นๆ จึงไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอทำได้เพียงทำหน้าบึ้งตึงใส่เขาเท่านั้น


ฉินสือโอวเข้าไปลากเจ้าหญิงน้อยให้ออกมา ฮามานแดนยังคงนั่งและอธิบายถึงการจับกุ้งมังกรของตัวเองต่อไป “เมื่อกี้ผมพูดถึงไหนแล้วนะ? ถึงว่าผมเจอกุ้งมังกรตัวนี้ได้ยังไงใช่ไหม? พระอัลเลาะห์เจ้า ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเสียจริง ผมกำลังดำน้ำอยู่ที่ใต้ทะเล พอหันกลับมามองข้างหลังก็เห็นกุ้งมังกรตัวใหญ่ตัวหนึ่งกำลังจ้องมองผมจากแนวปะการัง”


“ว้าว พระเจ้าช่วย!” หนุ่มสาวสองสามคนร้องออกมาด้วยความตกใจ


เจ้าหญิงน้อยถือจานอาหารทั้งที่ยังคงโมโหอยู่ “ทำไมเขาถึงได้เป็นคนไม่ดีแบบนี้นะ กุ้งมังกรตัวนั้นคุณเป็นคนจับได้แท้ๆ คุณลุง คุณน่ะเป็นฮีโร่เลยนะ! พี่ชายฉันวันนี้ไม่ได้ดำน้ำ เขาจะจับกุ้งมังกรได้อย่างไร?”


ฉินสือโอวยิ้มออกมาแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไรหรอก อันที่จริงเขาก็จับกุ้งมังกรตัวนี้ด้วยเหมือนกัน คุณไม่ได้โยนมันให้เขาหรือไง? เอาล่ะ อย่าไปสนใจเลย รีบทานเร็วเข้า ทานเสร็จแล้วพวกเราไปดูรูปที่ถ่ายไว้กันเถอะ”


เมื่อพูดถึงรูปที่ถ่ายไว้ตอนดำน้ำ เจ้าหญิงน้อยตั้งหน้าตั้งตารออย่ามีความหวังทันที เธอพยักหน้าไปมาหลายครั้ง ปากเล็กๆ ก็รับประทานอาหารอิสลามที่ได้เชฟชาวมุสลิมจัดเตรียมไว้ให้โดยเฉพาะ


ตอนบ่ายก็คงได้กลับแล้ว เดิมทีฉินสือโอวคิดไว้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ แต่ปรากฏว่าก่อนหน้านี้ยังมีกิจกรรมอีกหลายอย่าง รวมถึงการขี่จักรยานทะเลด้วย


นี่เป็นกิจกรรมที่ฉินสือโอวไม่เคยสัมผัสมาก่อน เขาเลยรีบวิ่งเข้าไปสมัครร่วมกิจกรรมทันที แน่นอนว่าเจ้าหญิงโลลิต้าก็ติดสอยห้อยตามไปด้วยเช่นกัน เขาอยากเข้าร่วมกิจกรรมเธอก็อยากเหมือนกัน


ปั่นจักรยานในทะเลเป็นเพียงชื่อที่เรียกขึ้นเพื่อสื่อความหมายของกิจกรรม แต่ไม่ได้เป็นการขี่จักรยานจริงๆ แต่พวกเขาต้องเข้าไปในลูกแก้วที่เหมือนหมวกกันน็อกที่ใหญ่กว่าหมวกที่ใส่ในตอนที่เดินเล่นในทะเลหลายร้อยเท่า หลังจากนั้นฝาแก้วก็จะปิดครอบแยกน้ำและอากาศออกจากกัน ข้างนอกมีของที่เหมือนไม้พายยื่นออกมา คนที่อยู่ด้านในจะต้องเหยียบแป้นที่เหมือนแป้นรถจักรยาน เพื่อปั่นให้มันเคลื่อนที่ไปข้างหน้า


เมื่อลูกแก้วขนาดใหญ่นี้ถูกวางลงบนน้ำทะเล ครึ่งหนึ่งของพวกมันจะอยู่ใต้น้ำ ส่วนอีกครึ่งลอยอยู่เหนือน้ำ ฉินสือโอวเข้าไปข้างในเป็นคนแรก เขาหายใจเข้าลึกและลงน้ำไป จากนั้นร่างทั้งร่างของเขาก็ดำลงสู่ทะเล ข้างในมีครูสอนคอยต้อนรับอยู่


เจ้าหญิงโลลิต้ารออยู่ด้านหลังอย่างอดใจรอไม่ไหว อาฟิฟและฮามานแดนไม่รู้ว่าเธอไปดำน้ำลึกมา พวกเขายังคิดอยู่เลยว่านี่เป็นการมาทะเลครั้งแรกของเธอ พวกเขายังกลัวอยู่เลยว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอ


ลูกแก้วขนาดใหญ่สามารถบรรจุคนได้ห้าคนพอดี ฉินสือโอวและคนทั้งสี่รวมกับครูสอนว่ายน้ำนับเป็นหนึ่งกลุ่ม หลังจากที่พวกเขานั่งกันดีแล้ว ครูสอนว่ายน้ำปิดประตูอย่างแน่นหนาเพื่อกักออกซิเจนไว้ ด้านบนมีเครื่องสำหรับส่งลูกแก้วลงมาในน้ำ ตอนนั้นเองที่ทุกคนสามารถให้เท้าเหยียบแป้นเพื่อให้มันเคลื่อนไหวไปข้างหน้าได้


อ่านนิยาย


นี่เหมือนเป็นเรือดำน้ำเลยก็ว่าได้ แต่ว่ามุมมองของกระจกนั้นกว้างกว่า อีกอย่างกระจกนี้ก็ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ บางตำแหน่งเป็นกระจกสองชั้น ทำให้มันกลายเป็นกล้องโทรทรรศน์สำหรับส่องดูใต้น้ำได้


เดิมทีแล้วน้ำบริเวณเกรตแบร์ริเออร์รีฟใสสะอาดอยู่แล้ว เมื่อบวกกับการมองผ่านกล้องโทรทรรศน์เข้าไป ทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างในกระจกสามารถมองเห็นไปได้ไกล


แต่ว่าการเดินทางใต้ทะเลค่อนข้างเหนื่อย แม้ว่าจะมีเครื่องช่วยดันอยู่ที่ด้านหลังแก้วครอบ แต่ว่าความสนุกของกิจกรรมนี้คือการเหยียบแป้นถีบเพื่อให้มันเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยตัวเอง ตัวผู้เล่นจะเป็นคนควบคุมทิศทางและความเร็วเอง


แต่ว่าแรงดันในน้ำทะเลสูงมาก แบบนี้จะทำให้ค่อนข้างเหนื่อย เจ้าหญิงน้อยเป็นเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ อาฟิฟก็เป็นพวกอ่อนแอไม่ออกกำลังกาย จึงมีเพียงฉินสือโอวและฮามานแดนเท่านั้นที่ต้องเหยียบแป้นถีบ


ฮามานแดนเป็นคนบ้าออกกำลังกาย เขาชอบขี่ม้า ฟุตบอล เครื่องร่อน โต้คลื่น วอลเลย์บอล ดำน้ำและอื่นๆ ในด้านการขี่ม้าเขาถือว่าเป็นมืออาชีพ เขาเคยเข้าร่วมการแข่งขันระดับโลกและได้รับรางวัลมาแล้วด้วย ดังนั้นพละกำลังของเขาจึงแข็งแกร่งมาก


เรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องดีหากเทียบกับคนธรรมดา แต่กับฉินสือโอวแล้ว เขาก็ยังถือว่าอ่อนแอนัก


ฮามานแดนต้องการที่จะแสดงความเก่งกาจของตัวเองต่อหน้าฉินสือโอว ปรากฏว่าเขาเหยียบแป้นจนขาทั้งสองข้างเป็นตะคริว แต่ฉินสือโอวก็ยังคงเหยียบแป้นถีบต่อไปได้อย่างสบายใจ แน่นอนว่าหลังจากที่เขาหยุดลง ความเร็วในการเคลื่อนที่ของลูกแก้วใบใหญ่นี้ก็ยังคงเหมือนกับก่อนหน้านี้


เจ้าหญิงน้อยหันมามองพี่ชายแล้วแลบลิ้นให้ เจ้าชายน้อยแสดงท่าทางเสียใจออกมา นี่เขาโดนดูถูกชัดๆ!


ฉินสือโอวเหยียบแป้นถีบเพื่อเคลื่อนแก้วครอบนี้ไปรอบๆ ทะเล เมื่อเล่นจนพอใจแล้วเขาจึงวนกลับมา หลังจากที่ขึ้นเรือ ก็มีคนเข้ามาถามว่าพวกเขาต้องการที่นั่งเครื่องบินชมแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟหรือไม่ แต่ฉินสือโอวได้ปฏิเสธไป


เสน่ห์ของมหาสมุทรคือใต้น้ำ การมองมหาสมุทรลงมาจากข้างบนไม่ได้น่าสนใจ เพียงแค่มองไปยังแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟเท่านั้น


เจ้าหญิงน้อยสนใจกิจกรรมทุกกิจกรรมที่มี ตอนที่เธออยู่ที่ดูไบชีวิตค่อนข้างเข้มงวด ในที่สุดวันนี้เธอก็มีโอกาสได้ทำกิจกรรมได้อย่างอิสระ เหมือนกับม้าที่ไร้บังเหียน


อาฟิฟพาเจ้าหญิงน้อยไปขึ้นเครื่องบิน ฉินสือโอวนั่งอยู่บนดาดฟ้าเล่นโทรศัพท์มือถือพลางจิบเครื่องดื่มเย็นๆไปพลาง เพลิดเพลินไปกับสายลมอบอุ่นในช่วงฤดูร้อน


ปรากฏว่าเมื่อเขานั่งลงได้ไม่นาน ก็มีคนมานั่งตรงข้าม เขาเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นว่าเป็นเจ้าชายฮามานแดน


“คุณค่อนข้างแข็งแรงเลยนะ” น้อยครั้งมากที่เจ้าชายฮามานแดนจะเอ่ยชมฉินสือโอว


ฉินสือโอวพูดกลั้วหัวเราะว่า “ขอบคุณครับ คุณก็รู้ว่าผมทำอาชีพอะไร ผมเป็นชาวประมง ทำมาหากินโดยอาศัยท้องทะเล ถ้าไม่มีแรงก็คงจะไม่ได้”


ฮามานแดนพยักหน้า จากนั้นเขาก็เปลี่ยนบทสนทนา “คุณรู้ไหมว่าผมมาหาคุณทำไม?”


ฉินสือโอวยักไหล่พลางตอบว่า “เป็นเพราะว่าผมอยู่ใกล้ชิดกับเจ้าหญิงน้อยมากเกินไปหรือเปล่า?”


ฮามานแดนโบกมือปัดไปมาแล้วพูดขึ้นว่า “คุณคิดว่าพวกเราราชวงศ์ดูไบเป็นยังไง? เป็นราชวงศ์ที่ไร้ศักดินาและอารยธรรมเหรอ? ซาลามาห์สามารถมีสังคมได้ตามที่เธอต้องการ หากเธอยอมที่จะเล่นกับใคร…ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน พวกเราก็จะเคารพการตัดสินใจของเธอ แน่นอนว่า คนที่มีแรงจูงใจแอบแฝงมาตีสนิทเธอไม่สำเร็จหรอก”


บทที่ 966 ตราสำนัก

Ink Stone_Fantasy

 


“ผมไม่ควรจะถูกมองว่าเป็นคนที่มีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า?” ฉินสือโอวยิ้มกว้างพลางพูดออกมา


ฮามานแดนกางมือออกมา เหมือนเขาจะดูออกในเรื่องนี้ “จากที่พวกเราได้ยินข่าวมา คุณไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ดูเหมือนว่าคุณจะชำนาญเรื่องการดูแลเด็กดีมาก ผมมองออก ตอนนี้ซาลามาห์ยอมรับในตัวคุณมาก”


ฉินสือโอวพูดออกมาว่า “เรื่องนี้ง่ายมากเลย คุณอย่ามองว่าเธอเป็นเด็กสิ แบบนั้นเธออาจจะยอมรับคุณก็ได้”


ฮามานแดนหัวเราะออกมาเสียงดัง “จะเป็นไปได้อย่างไร น้องสาวของผมเป็นเด็กคนหนึ่ง เวลาอยู่กับเธอเหมือนคุยกันคนละภาษา”


“คุณมาหาผม คงไม่ได้จะมาพูดคุยเรื่องจิตวิทยาทางอายุของน้องสาวคุณหรอกใช่ไหม?” ฉินสือโอวไม่อยากอ้อมค้อม จึงถามออกมาตรงๆ


ฮามานแดนชี้นิ้วขึ้นมาพร้อมพูดว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่ ผมคิดว่าคุณกับน้องสาวของผมคุยกันถูกคอ และอีกอย่างท่านพ่อท่านแม่ของผมช่วงนี้ก็กำลังหาอาจารย์สอนภาษาจีนให้เธอ เพื่อเรียนภาษาจีน ศึกษาวัฒนธรรมจีน ผมรู้สึกว่าคุณเหมาะสมมาก คุณสนใจไหม? ผมสาบานต่อพระอัลเลาะห์เจ้าเลย การเป็นครูให้ซาลามาห์ มีอนาคตที่ไกลกว่าการทำฟาร์มปลาเยอะ”


ฉินสือโอวลุกออกจากเก้าอี้เตรียมเดินออกไป เขาทิ้งคำพูดไว้หนึ่งประโยคว่า “เรื่องที่จะให้ผมไปเป็นครูของซาลามาห์ผมไม่สนใจเลยสักนิด”


ฮามานแดนดึงเขาไว้ก่อน เขาพูดกลั้วหัวเราะว่า “ผมก็แค่พูดเล่นเอง อย่าคิดมากสิ อันที่จริงที่ผมมาหาคุณก็เป็นเพราะว่า คุณสมควรที่จะได้เป็นเพื่อนกับผม!”


ฉินสือโอวยังคงเตรียมจะเดินออกไป “คุณสนุกก็ดีแล้ว”


“หมายความว่าอะไร?” ฮามานแดนจ้องมองเขา “คุณเข้าใจความหมายแฝงในประโยคที่ผมพูดไปเมื่อกี้ไหม?”


ฉินสือโอวโบกมือปัดไปมา เขาต้องการหาที่สงบๆ ในการท่องโลกอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือต่อ


เมื่อกลับมาถึงรีสอร์ตที่พัก ฉินสือโอวเดินเข้าห้องไปก็เห็นเด็กคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่โซฟา เด็กคนนั้นนั่งท่าทำสมาธิอยู่ เขาดูจริงจังราวกับกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ คงจะเป็นไวส์ลูกชายของเจ้าพ่อค้าเหล็กอย่างแน่นอน


เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของฉินสือโอว ไวส์ก็ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นแน่ชัดแล้วว่าคือฉินสือโอวเขาก็พูดต้อนรับกลับว่า “อะจารย์ ในที่สุดคุณก็กลับมาแล้ว!”


ฉินสือโอวถามออกมาว่า “ทำไมนายยังไม่กลับบ้าน? พ่อนายต้องเป็นห่วงอยู่แน่ๆ”


ไวส์หัวเราะออกมาคิกคัก “ผมกลับไปทานข้าวมาแล้ว จากนั้นก็กลับมาฝึกลมหายใจเข้าออกตามที่คุณสอนต่อ อะจารย์ คุณสอนกำลังภายในผมใช่ไหม? ทำไมมันถึงได้ผลขนาดนี้กัน? ผมไม่เคยรู้สึกสบายตัวขนาดนี้มาก่อนเลย”


พูดจบ เขาก็ยังคงนั่งท่าทำสมาธิอยู่ที่โซฟาต่อไป


ฉินสือโอวพยักหน้าให้อย่างจริงจัง ในใจกำลังคิดหาวิธีที่จะทำให้เด็กดื้อเลิกที่จะอะไรๆ ก็นั่งสมาธิ การฝึก การออกกำลังกายเปลี่ยนเส้นเอ็น ไม่สามารถให้ผลอันน่ามหัศจรรย์ขนาดนี้ได้ ที่ไวส์รู้สึกว่าร่างกายของตนเองสบายขึ้น นั่นก็เป็นเพราะผลมาจากจิตสำนึกแห่งโพไซดอนต่างหาก


สำหรับพลังโพไซดอนในด้านนี้ ผลลัพธ์ที่ได้นั้นรวดเร็วทันตาเห็น


อ่านนิยาย


เด็กๆ ควรออกกำลังกาย แต่ดูเหมือนว่าตอนที่ฉงต้าเป็นเด็กมันจะออกกำลังกายมากไปเสียหน่อย แก่ตัวมาจึงไม่ขยับร่างกายไปไหนเลย แบบนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่ดีเช่นกัน ฉินสือโอวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขานึกถึงหอยเบี้ยแผนที่ที่เขานำกลับมาด้วย จากนั้นเขาก็เอามันออกมาอย่างรวดเร็ว


เขายื่นหอยเบี้ยไปที่หน้าไวส์ พลางพูดขึ้นว่า “ดูสิ นี่คืออะไร?”


ไวส์มองไปยังหอยเบี้ยด้วยความสงสัย คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันราวกับกำลังครุ่นคิดหนัก จากนั้นเขาจึงพูดขึ้นมา “ดูโลกให้ดูทราย ดูทะเลให้ดูหอยเหรอครับ?”


ฉินสือโอมไม่เข้าใจความหมายของเขา จึงถามออกมาอย่างตกตะลึงว่า “อะไรนะ?”


ไวส์จับคางของตัวเอง ทั้งยังทำท่าราวกับกำลังครุ่นคิดอย่างหนักต่อไป จากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “เข้าใจแล้ว อะจารย์ คุณอยากบอกผมว่า ผู้ที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ก็นิ่งดุจแผ่นผา ควรยอมรับที่จะใช้ชีวิตอย่างเงียบเหงาราวกับหอยที่อาศัยอยู่ใต้ก้นทะเลใช่ไหมครับ?”


ฉินสือโอวตอบกลับว่า “ฉันแค่อยากจะถามนายเฉยๆ ว่านายรู้จักหอยเบี้ยชนิดนี้หรือไม่! นายจะพูดอะไรให้มากความทำไมกัน?”


ไวส์พูดออกมาอย่างเศร้าสร้อยว่า “ผมนึกว่าคุณจะทดสอบความเข้าใจของผม ในนิยายมักจะเขียนไว้แบบนี้ไม่ใช่เหรอครับ?”


“แล้วนายรู้จักหอยเบี้ยชนิดนี้ไหม? ช่างเถอะไม่พูดแล้ว ฉันจะแนะนำให้นายฟังเอง นี่เป็นหอยเบี้ยแผนที่ ลายที่อยู่บนเปลือกของมันแปลกประหลาดมาก แสดงออกมาเป็นนัยถึงสวรรค์และโลก นายดูสิ ว่าลายบนหอยตัวนี้เป็นลายอะไร?” ฉินสือโอวถาม


ไวส์มองไปยังฉินสือโอวอย่างระมัดระวัง แล้วพูดออกมาว่า “อะจารย์ นี่เป็นการทดสอบความเข้าใจหรือเปล่าครับ?”


ฉินสือโอวชี้ไปที่เปลือกหอยแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ ฉันถามตอบเองก็ได้ ลายบนเปลือกหอยนี้มีคำอยู่คำหนึ่ง อ่านว่า ‘หลิง’ เขียนด้วยตัวอักษรจ้วนเล็กโบราณ เป็นตัวอักษรที่มีประวัติมาอย่างยาวนานชนิดหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน”


“หลิง? หลิงที่มาจากคำว่าตราสำนักเหรอครับ?” ไวส์ถามออกมาด้วยความสงสัย


ฉินสือโอวพยักหน้า เขายิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ถูกต้อง เปลือกหอยถือเป็นของมีค่ามาช้านาน และเปลือกหอยอันนี้มีลวดลายคำว่าหลิงที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และยังเป็นตัวจ้วนเล็กอีก นายรู้สึกว่ามันแปลกประหลาดหรือไม่?”


คลิกๆ


“แปลกจริงๆ ด้วย!” ไวส์ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น “อะจารย์ นี่เป็นตราประจำสำนักของพวกเราเหรอครับ? เหมือนกับตราเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของสำนักเคร่งศาสนาอย่างสำนักผาไม้ดำกับสำนักสุริยันจันทราใช่ไหมครับ?”


ฉินสือโอวพูดขึ้นด้วยความตกใจอย่างหนักว่า “นายรู้จักตราเพลิงศักดิ์สิทธิ์ด้วยเหรอ? แล้วยังรู้จักสำนักผาไม้ดำอีกเหรอ?”


ไวส์ตอบกลับว่า “แน่นอนครับ นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์สอนภาษาจีนสอนให้ผม อะจารย์ นี่คือตราเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของสำนักเราใช่ไหมครับ?”


ฉินสือโอวตอบกลับว่า “ใช่แล้ว นี่เป็นตราประจำสำนักของพวกเรา เอาล่ะ ศิษย์ข้า สิ่งนี้อาจารย์มอบให้แล้ว ต่อไปนายคือศิษย์คนสำคัญของสำนักของพวกเรา”


ไวส์รับเปลือกหอยมาด้วยความยินดี เขาตอบกลับเสียงดังว่า “อะจารย์ ศิษย์จะดูแลตราสำนักให้ดี! กลับไปผมจะให้พ่อเจาะรูให้ ผมจะห้อยมันไว้ที่อกทุกวัน เพื่อที่จะเตือนตัวเองว่าผมเป็นใคร!”


ฉินสือโอวรีบโบกมือปัดทันที เขาพูดขึ้นว่า “เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก นายเก็บรักษามันไว้ให้ดีก็แล้วกัน ไม่ต้องพกติดตัวทุกวัน แบบนั้นมันหายง่ายและก็แตกง่าย สิ่งที่สำคัญ หากมันแตกแล้วบาดนาย พ่อนายเอาฉันตายแน่”


ไวส์พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เขาวางหอยเบี้ยไว้ที่ด้านหน้า จากนั้นก็นั่งท่าขัดสมาธิฝึกลมหายใจต่อ


ฉินสือโอวโบกมือไปมาพลางพูดขึ้นว่า “เอาหอยเบี้ยกลับไปได้แล้ว ไปหาเพื่อนของนายสิ แล้วเอาหอยนี้ไปให้พวกเขาดู ให้พวกเขารู้ว่าตอนนี้นายได้กลายเป็นศิษย์ของสำนักของพวกเราแล้ว”


ในขณะที่ไวส์ลุกขึ้นเตรียมออกจากห้อง เขาก็พูดขึ้นมาอย่างลำบากใจว่า “แต่ว่า พวกเราชื่อสำนักอะไรเหรอครับ? อะจารย์ คุณไม่เคยบอกเรื่องนี้กับผมเลย”


ใช่แล้ว สำนักอะไรล่ะ? ฉินสือโอวยกมือขึ้นถูจมูกและเลื่อนไปเกาคิ้ว ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดถึงคำถามนี้อย่างละเอียดเลย จึงตอบกลับว่า “คำถามนี้เดี๋ยวเราค่อยมาคิดกันทีหลัง นายแค่อวดเปลือกหอยของตัวเองก็พอแล้ว พวกเขาไม่เคยเห็นตัวอักษรจ้วนเล็กบนเปลือกหอยกันแน่นอน!”


เมื่อไวส์ออกไปแล้ว ฉินสือโอวก็โทรหาวินนี่ เขาบอกกับเธอว่าถ้าสองสามวันนี้ไม่มีอะไรก็จะกลับบ้าน พลางถามว่าที่บ้านมีเรื่องอะไรหรือไม่


วินนี่บอกว่าบ้านไม่มีอะไรผิดปกติ เขาไม่อยู่บ้านสองสามวัน เจ้าพวกตัวแสบกินอิ่มนอนหลับกันอย่างสบาย เพียงแค่ไม่มีใครมานอนเล่นกลิ้งเกลือกไปกับพวกมันเท่านั้น แต่ว่าถ้าหากเขากลับมาเร็ว แบบนั้นก็คงจะไม่ดีกับพวกมันแน่ๆ…


ฉินสือโอวตกอยู่ในสภาวะลำบากใจเขาอยากจะคุยโทรศัพท์กับวินนี่ต่อ แต่ปรากฏว่ามีสายอื่นแทรกเข้ามา เป็นสายจากเบลค พวกเขาโทรมาบอกว่าวันพรุ่งนี้พวกเขาได้ติดต่อทีมงานสองสามคนเพื่อที่จะไปยังป่าฝนหลังรีสอร์ตเพื่อสำรวจป่าแบบดั้งเดิม เลยมาถามว่าเขาจะไปด้วยกันไหม


ฉินสือโอวไม่ได้สนใจป่าฝนเท่าไหร่ จึงปฏิเสธไป แต่ว่าเบลคยืนยันว่าอย่างไรก็อยากให้เขาไปด้วย เพราะว่าตอนนี้ฉินสือโอวเริ่มมีชื่อเสียงในรีสอร์ตแห่งนี้แล้ว พวกเขาอยากจะยืมชื่อเสียงของฉินสือโอวในการดึงดูดผู้คน


บทที่ 967 ฝูงเต่าขึ้นเหนือ

Ink Stone_Fantasy

ตกเย็นฉินสือโอวนอนอยู่บนโซฟา เขาไม่ได้ไปเล่นไพ่เหมือนกับพวกบิลลี่ แต่กลับหลับตาลงเพื่อที่จะให้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเข้าไปสำรวจใต้ทะเล จะว่าไปแล้วเขาอยู่ที่รีสอร์ตมามากกว่าสองวันแล้ว แต่ยังไม่ได้สำรวจรอบๆ ทะเลอย่างถี่ถ้วนเลย


เบลคโยนขวดเครื่องดื่มมาให้ฉินสือโอวหนึ่งขวด แม้ว่าอีกคนจะกำลังหลับตาอยู่ แต่หูของเขายังคงได้ยินเสียงรอบด้าน เขารีบยื่นมือออกไปรับขวดเครื่องดื่มนั้นไว้ได้อย่างพอดี


‘แปะๆๆ’ เสียงปรบมือดังขึ้น ฉินสือโอวจำได้ว่าลูกศิษย์ตัวน้อยของเขาอยู่ที่นี่ด้วยจึงลืมตาขึ้นมา ไวส์ที่ใบหน้าแสดงออกมาว่าชื่นชมเขาอยู่กำลังปรบมือเสียงดัง สีหน้าแสดงความเคารพในตัวฉินสือโอว ส่วนคนหน้าด้านอย่างท่านฉินนั้นไม่เขินอายใครทั้งสิ้น


“อะจารย์สุดยอดไปเลย!” ไวส์พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น


ฉินสือโอวพูดกลั้วหัวเราะว่า “อะจารย์ไม่ได้สุดยอดหรอก ต่อไปฉันจะค่อยๆ แสดงให้เห็น นี่ก็มืดแล้ว ทำไมนายยังไม่กลับไปนอนอีก?”


ไวส์พูดออกมาอย่างไม่สนใจอะไรว่า “ผมบอกกับพ่อแล้ว ถ้ามืดค่ำแล้วผมจะไม่กลับไปนอนที่บ้าน เหล่าอาจารย์ของพวกเราที่อยู่ที่นี่มีเตียงว่างอยู่ไม่ใช่เหรอครับ?”


“เหล่าอาจารย์” บิลลี่หัวเราะออกมาเสียงดัง


ไวส์มองเขาอย่างไม่พอใจ แล้วถามออกมาด้วยความโมโหว่า “คุณหัวเราะอะไรครับ?”


ฉินสือโอวตบบ่าเขาแล้วพูดว่า “อย่าไปรู้จักกับคนนิสัยไม่ดีแบบนี้เลย ตั้งใจฝึกฝน หลังจากที่เรียนการต่อสู้ได้ดีเรียนแล้วการคุยกับลูกน้องพวกนี้ก็เหมือนหมาเห่าใบตองแห้ง คนพวกนี้ต้องโดนทำโทษ!”


บิลลี่วางไพ่ในมือลง แล้วพูดออกมาอย่างรีบร้อนว่า “เฮ้ ฉิน นายอย่าพูดไร้สาระนะ ฉันไปเป็นลูกน้องของพวกนายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? อีกอย่าง ที่นี่คือรีสอร์ต แล้วฉันจะเป็นอาจารย์ของพวกนายได้อย่างไร?”


ฉินสือโอวพูดออกมาตรงๆ ว่า “ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็เป็นอาจารย์ได้ นี่คือกฎของพวกเราชาวยุทธภพ! ”


บิลลี่ทำได้เพียงส่ายหัวไปพูดกลั้วหัวเราะกับไวส์อย่างเอาใจว่า “ดูสิ เด็กน้อย ฉันไม่ใช่คนในยุทธภพเลยสักนิด เลยไม่เข้าใจกฎของพวกนาย นายไม่ต้องสนใจหรอกว่ามันจะน่าโมโหแค่ไหน อภัยให้ฉันได้ไหม? มาๆ พวกเรามาเล่นไพ่กันต่อเถอะ”


ไวส์ส่ายหัวอย่างแน่วแน่ “เล่นไพ่ได้ แต่ให้อภัยไม่ได้ ผมจำเป็นที่จะต้องทำโทษ นี่เป็นหน้าที่ของผม!”


บิลลี่ร้องออกมาว่า “พระเจ้าเป็นพยาน ฉันไม่ได้เป็นคนของสำนักของพวกนายสักหน่อย!”


ไวส์มองมายังฉินสือโอว เขาพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “อะจารย์ของผมบอกว่าใช่ ก็คือใช่ อะจารย์ไม่พูดผิดแน่นอน!”


เบลคชี้นิ้วไปยังฉินสือโอว แล้วพูดออกมาเสียงเบาว่า “ให้ตายเถอะ นายเป็นผู้ชายที่โชคดีมากเลย ทำไมนายถึงหลอกเด็กคนนี้ได้? มีความสามารถขนาดนี้ทำไมไม่ไปเผยแผ่ศาสนาเสียเลยล่ะ?”


ฉินสือโอวตอบกลับเสียงเบาว่า “อย่าพูดคำหยาบกับฉัน มิเช่นนั้นนายจะได้เป็นอาจารย์หมาเห่าใบตองแห้งอีกคน”


บิลลี่ถอนหายใจออกมา แล้วพูดหว่านล้อมไวส์ว่า “ฮีโร่ตัวน้อย นายให้อภัยฉันได้ไหม? ถ้านายไม่มีจิตใจที่เมตตากว้างขวาง นายจะเป็นวีรบุรุษได้ยังไง? ใช่ไหม? มาๆๆ มาเล่นไพ่ต่อ”


ไวส์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดออกมาว่า “ที่คุณพูดก็มีเหตุผล ในอนาคตถ้าผมฝึกวิทยายุทธเสร็จแล้ว ผมจะไว้ชีวิตคุณสักครั้ง แต่ว่าคุณต้องเก็บไพ่เอซไปก่อน ไม่อย่างนั้นผมก็จะแพ้อีกรอบ แบบนั้นหน้าของผมก็จะเต็มไปด้วยกระดาษ!”


ปกติแล้วพวกเขาจะไม่ลงเงินในวงไพ่เวลาที่เล่นกับเด็ก เป็นฉินสือโอวที่แนะนำให้พวกเขาใช้กระดาษแปะที่ใบหน้า เด็กน้อยไวส์ที่น่าสงสาร ตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยกระดาษ ราวกับตอนนี้ใบหน้าเขาเป็นที่แปะกระดาษเรียกวิญญาณบรรพบุรุษ


บิลลี่หัวเราะออกมาแล้วเก็บไพ่เอไป เขาโบกมือส่งสัญญาณให้ไวส์เล่นต่อ หนุ่มน้อยรีบวางไพ่ทั้งหมดในมือลงทันทีเขาตะโกนออกมาว่า “ยังมีอีกสามคู่ โอเค ผมทิ้งไพ่หมดแล้ว ลุงบิลลี่ คุณแพ้แล้ว คุณแพ้แล้ว! คุณต้องถูกแปะกระดาษ!”


“อ้อ เชอะ นายนี่มันกระรอกน้อยจอมเจ้าเล่ห์จริงๆ!”


ฉินสือโอวหัวเราะออกมา เขาวางขวดเครื่องดื่มในมือไว้ข้างๆ จากนั้นก็หลับตาแล้วเข้าบังคับจิตสำนึกแห่งโพไซดอนอีกครั้ง


ทะเลเกรตแบร์ริเออร์รีฟมีพลังอยู่มากมาย สีของก้นทะเลสวยงามมาก จิตสำนึกแห่งโพไซดอนสามารถรับรู้ถึงพลังของที่นี่ได้ดี ฉินสือโอวยังไม่เข้าใจจิตสำนึกแห่งโพไซดอน แต่เขารู้ว่าต้องปล่อยให้จิตสำนึกอยู่อย่างสงบในทะเล มันจึงจะสามารถเพิ่มพลังและฟื้นฟูพลังที่ได้ใช้ไปก่อนหน้านี้ได้


จิตสำนึกแห่งโพไซดอนรู้สึกสบายเมื่ออยู่ที่นี่ เขาเดาว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์ของน้ำทะเลและสัตว์ทะเลที่มีหลากหลายสายพันธุ์


น้ำทะเลที่ฟาร์มปลานั้นบริสุทธิ์มาก แต่อย่างไรก็ตามโรงงานมากมายที่อยู่รอบเมืองเซนต์จอห์นอย่างบริษัทแฮลิแฟกซ์และโรงงานอื่นๆ อีกมากมายก็ยังคงปล่อยมลพิษลงทะเล ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อฟาร์มปลาอย่างห้ามไม่ได้ แล้วที่เกรตแบร์ริเออร์รีฟ ล่ะ? เดิมทีที่นี่ไม่ได้อนุญาตให้สร้างโรงงานอยู่แล้ว GDP ของที่นี่อาศัยจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมความบันเทิงเท่านั้น


แนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟมีปะการังหลากหลายถึงหกร้อยชนิดและมีเกาะอีกสามร้อยเกาะ พื้นที่ค่อนข้างใหญ่โต โดยมีขนาดเท่ากับครึ่งหนึ่งของรัฐเทกซัสในสหรัฐอเมริกา เมื่อเทียบกับแดนอาทิตย์ไม่ลับขอบฟ้าอย่างรัฐบริเตนและวิกตอเรียของจักรวรรดิอังกฤษก็ยังถือว่าใหญ่กว่า รวมกับสัตว์มากมายหลายหมื่นชนิดแล้ว ที่นี่ถือว่าเป็นโลกขนาดใหญ่ที่มีสีสันหลากหลายแห่งหนึ่ง


ช่วงฤดูกาลนี้ สัตว์บริเวณเกรตแบร์ริเออร์รีฟมีมากเป็นพิเศษ วาฬและเต่าทะเลบางสายพันธุ์จะมายังที่นี่เพื่อหลีกหนีความหนาวจากทางเหนือ พวกมันจะใช้เวลาอยู่ที่นี่จนความหนาวอันโหดร้ายจากทางเหนือผ่านไป จนเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิพวกมันก็จะกลับไปยังทางเหนืออีกครั้ง


ฉินสือโอวส่งจิตสำนึกแห่งโพไซดอนส่วนหนึ่งไปยังร่างของนิโคลัส เจ้าซื่อ เขาอยากจะดูว่าสถานการณ์ของเต่ามะเฟืองตอนนี้เป็นยังไง ตอนแรกหลังจากที่เขาปล่อยมันลงทะเลไปก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อัลเบิร์ตบังคับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาทำร้ายมัน เขาเป็นคนสั่งให้มิสเตอร์กูสไปซ่อนตัวอยู่ที่ก้นทะเลก่อนชั่วคราวก่อนจะหนีไป


จิตสำนึกแห่งโพไซดอนติดตามร่างของมิสเตอร์กูสไป เมื่อฉินสือโอวกลับมามองเขาก็ตกใจ บนหลังของมันมีเต่ามะเฟืองตัวใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง เต่าตัวใหญ่กำลังอุ้มตัวเล็กอยู่ เพศผู้อยู่คู่กับเพศเมีย เต่ามะเฟืองในฝูงนี้จะต้องมีจำนวนอย่างน้อยหนึ่งร้อยกว่าตัว พวกมันกำลังว่ายน้ำไปอย่างรวดเร็ว


เต่ามะเฟืองเป็นเต่าที่มีรูปร่างใหญ่ เมื่อเต่ามะเฟืองนับร้อยตัวมาอยู่รวมกัน การที่พวกมันมีจำมากทำให้เกิดพลังมหาศาล แม้ว่าวาฬเพชฌฆาตหากเจอเข้ากับฝูงเต่ามะเฟืองแบบนี้ก็ยังต้องหลีกทางให้


ด้วยเหตุนี้พื้นที่ที่อยู่อาศัยของฝูงเต่าจึงไม่ได้อยู่บริเวณรอบๆ เกรตแบร์ริเออร์รีฟอีกต่อไป ฉินสือโอวมองจากบนผิวน้ำ เห็นว่าพวกมันกำลังเดินทางไปยังทางเหนือ


เหตุการณ์นี้ทำให้ฉินสือโอวยิ่งคาดการณ์ได้ง่าย มิสเตอร์กูสต้องการพาฝูงเต่าไปยังเกาะแฟร์เวล ด้วยความเร็วของพวกมันแล้ว จากน่านน้ำออสเตรเลียไปถึงมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ จะต้องให้เวลาเกือบสองเดือนกว่า เมื่อถึงฟาร์มปลาก็จะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิพอดี


ฉินสือโอวยินดีต้อนรับฝูงเต่ามะเฟือง เพราะว่าพวกมันเป็นแรงงานแบบอย่าง พวกมันสามารถทำความสะอาดแมงกะพรุนในฟาร์มปลาได้อย่างสุขุมและระมัดระวัง อีกอย่างเมื่อฟาร์มปลาของเขาได้รับเลือกเป็นแหล่งลงหลักปักฐานของเต่ามะเฟืองแล้ว ต่อไปสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่าแห่งแคนาดาก็จะเข้ามาตรวจสอบสถานการณ์การผสมพันธุ์ของเต่ามะเฟืองทุกปี


เรื่องที่ทำให้ฉินสือโอวเซอร์ไพรส์ก็คือ หลังฝูงเต่าตัวนั้นมีฝูงเต่าตัวเล็กตามมาด้วย


จะบอกว่าเป็นฝูงเต่าตัว ‘เล็ก’ พวกมันก็ไม่ได้ตัวเล็กขนาดนั้น พวกมันเป็นเต่าทะเลขนาดหนึ่งเมตร เพียงแต่จำนวนน้อยเท่านั้น


กระดองใต้ท้องของเต่าสายพันธุ์นี้จะเป็นสีขาวหรือไม่ก็สีเหลืองขาว ส่วนกระดองด้านบนจะมีสีตั้งแต่สีน้ำตาลไปจนถึงสีดำสนิท แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นสีอะไร กระดองด้านหลังก็จะมีจุดขนาดใหญ่อยู่ทั่วกระดอง ดูสวยงามเป็นอย่างมาก กระดองหลังตรงกลางของมันเป็นเหมือนโล่ห้าอันต่อกัน และมีโล่อีกสี่อันที่ด้านซ้ายและขวา บนดวงตาทั้งสองคู่มีเกล็ดปกคลุม เมื่อพวกมันหดหัวและแขนขาเข้าไปในกระดอง พวกมันก็จะดูเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง


ฉินสือโอวรู้จักเต่าสายพันธุ์หนึ่ง มันเรียกว่าเต่าตนุ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่เป็นญาติห่างๆ กับเต่ามะเฟือง และยังเป็นสัตว์ทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์อีกด้วย


เต่าตนุมีคุณค่าทางเศรษฐกิจสูงมาก ร่างกายของพวกมันเต็มไปด้วยไขมัน และไขมันของพวกมันก็เต็มไปด้วยคลอโรฟิลล์ที่ได้รับสกัดมาจากสาหร่าย นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกมันถึงได้ชื่อว่า ‘เต่าตนุ’


เพราะว่าพวกมันมีไขมันมาก เนื้อเต่าตนุจึงอร่อยและเต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ และคลอโรฟิลล์ในไขมันของพวกมันเป็นคลอโรฟิลล์ตามธรรมชาติที่มนุษย์สามารถดูดซึมได้ ซึ่งมีผลต่อการบำรุงร่างกายและทำให้ผิวพรรณสวยงาม


นอกจากนี้ กระดอง เลือดและน้ำดีของเต่าตนุก็สามารถนำมาทำเป็นยาได้ ปัจจุบันมันถูกระบุเป็นหนึ่งในอาหารต้านมะเร็ง และโอกาสในการพัฒนาก็มีอย่างกว้างขวาง


เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อพวกมันมีคุณประโยชน์มากมาย พวกมันก็จะอยู่รอดได้ยากขึ้น


บทที่ 968 ผจญภัยในป่าฝน

Ink Stone_Fantasy

เมื่อเห็นฝูงเต่าแบบนี้ เหล่าเต่ามะเฟืองรู้ว่าเต่าตนุว่ายตามหลังมา เพราะว่าพวกมันได้รับพลังโพไซดอน ความอดทนจึงมีมากกว่าญาติห่างๆ ความเร็วในการว่ายน้ำจึงค่อนข้างเร็ว เต่ามะเฟืองลดความเร็วลงเพื่อที่เต่าตนุจะได้ตามทัน ไม่อย่างนั้นพวกมันคงว่ายไปไกลกว่านี้แล้ว


เมื่อก่อนเต่าตนุมักถูกชาวพื้นเมืองออสเตรเลียและชาวเอเชียถูกจับไปทำเป็นอาหาร โดยเฉพาะในช่วงสองสามปีมานี้มีการพัฒนาวิธีการสกัดคลอโรฟิลล์จากไขมัน สิ่งนี้จึงทำให้พวกมันเจอกับหายนะ


เต่าทะเลส่วนใหญ่มักจะอาศัยอยู่ในน้ำตลอดชีวิต พวกมันจะขึ้นฝั่งก็ต่อเมื่อวางไข่เท่านั้น แต่มิสเตอร์กูสเป็นข้อยกเว้น มันอาจจะโดนไฟฟ้าช็อตจนเพี้ยนไปแล้ว ถึงได้ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปมาทั่วชายหาด


ถ้าหากว่ามันเอาแต่อยู่ในน้ำ เต่าทะเลก็ไม่ได้ถือว่าเป็นสัตว์ที่จับได้ง่าย เนื่องจากว่าพวกมันแข็งแรงและชอบทำนู่นนี่ไปทั่ว ต่อให้มันติดอวนก็สามารถที่จะหนีออกมาได้


เต่าตนุเป็นสายพันธุ์ที่ต่างออกไป พวกมันเป็นเต่าทะเลสายพันธุ์เดียวที่ชอบนอนอาบแดด จึงเป็นเรื่องง่ายที่พวกมันจะถูกจับ เต่าทะเลเมื่ออยู่ในน้ำเป็นสัตว์ที่แม้แต่ฉลามก็ไม่สามารถจะยั่วยุได้ง่ายๆ จะสามารถทำร้ายพวกมันได้ก็ต่อเมื่อพวกมันอยู่บนฝั่งเท่านั้น


อีกอย่างหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ เต่าตนุเป็นเต่าชนิดเดียวที่กินสาหร่ายทะเลเป็นอาหาร พวกมันก็กินหอย สัตว์ขาปล้องและปลาบางชนิดเป็นครั้งคราว แต่ว่าเต่ามะเฟืองจะกินแมงกะพรุนและหอยเป็นหลัก


และเพราะเหตุผลนี้ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เนื้อของมันเต็มไปด้วยคลอโรฟิลล์ เรียกได้ว่ามันไม่มีความผิดอะไรเลย


เช่นเดียวกับเต่ามะเฟือง เต่าตนุก็ประสบปัญหาทางด้านเชื้อชาติเช่นกัน แต่ว่าเมื่อก่อนพวกมันตายก็เพราะกินถุงพลาสติกเข้าไป แต่ตอนนี้กลับถูกรุกล้ำแทน


เมื่อก่อนที่ออสเตรเลียเคยเป็นสวรรค์ของเหล่าเต่าทะเล ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็สามารถพบเจอพวกมันได้ แม้ว่าตอนนี้จะมีมาตรการการป้องกันแล้ว แต่ก็ยังพบเจอพวกมันได้น้อยอยู่ดี


พวกเต่าตนุน่าจะเข้าใจสถานการณ์นี้ดี ปรากฏว่าปีนี้เมื่อฝูงเต่ามะเฟืองกลับมา พวกมันก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทำไมฝูงของตัวเองนับวันยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ ทำไมในสถานการณ์อันยากลำบากแบบนี้ญาติห่างๆ ของพวกมันจึงกลับมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ล่ะ? อีกทั้งแต่ละตัวยังดูสดใสและแข็งแรงมากอีกด้วย?


เต่ามะเฟืองอาจจะบอกกับเต่าตนุถึงเรื่องของเกาะแฟร์เวล ที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกอันห่างไกล ที่ที่ซึ่งมีทะเลสีครามและท้องฟ้าสีฟ้า ต้นไม้เรียงรายทั่วเกาะ มีสาหร่ายทะเลราวกับป่าไม้ และแมงกะพรุนตัวอ้วนสมบูรณ์ อีกอย่างสถานที่ที่เป็นราวกับสวรรค์แห่งนี้ ยังไม่มีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นด้วย!


ดังนั้น เต่าตนุจึงซื้อคำโฆษณาของเต่ามะเฟือง ปีนี้เมื่อญาติห่างๆ ออกเดินทางจากออสเตรเลียไป พวกมันจึงตามไปด้วย เพื่อที่จะไปดูสถานที่แห่งสวรรค์แห่งใหม่


แม้ว่าเต่าตนุจะกินสาหร่าย แต่ก็ถือว่าเป็นการปกป้องสัตว์อื่นๆ ที่ฟาร์มปลามีสาหร่ายเป็นจำนวนมาก สามารถเลี้ยงเต่ายักษ์สองสามตัวได้โดยไม่มีปัญหาอะไร ในทางตรงกันข้ามยังเป็นการเพิ่มความหลากหลายทางสายพันธุ์ที่ดีอีกทางหนึ่งด้วย


เพราะแบบนี้ฉินสือโอวจึงได้ดีใจขึ้นมา เขาเพิ่มพลังโพไซดอนให้เต่าตนุไปจำนวนมาก เพื่อเพิ่มความอึดให้พวกมัน จะได้มั่นใจได้ว่าพวกมันจะไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง


ส่วนเต่ามะเฟืองนั้น แน่นอนว่าพวกมันได้รับพลังโพไซดอนอยู่แล้ว ถือว่าเป็นรางวัลให้แก่พวกมัน


เมื่อส่งฝูงเต่าเสร็จ ฉินสือโอวก็กลับมายังน่านน้ำเกรตแบร์ริเออร์รีฟ สัมผัสทั้งสี่ของโพไซดอนตื่นตัวทันที หลังจากที่ค้นหาอยู่ครู่หนึ่ง มันก็เจอเข้ากับฝูงปลาจำนวนนับไม่ถ้วน แต่กลับไม่เจอเรืออับปางอันมีค่าแม้แต่ลำเดียว


เรือที่จมอยู่แถวๆ นี้เป็นเรือสำราญสมัยใหม่ โดยส่วนมากมักจะเป็นเรือลำเล็กๆ เมื่อเกิดปัญหาพวกมันก็จะจมลงล บนเรือพวกนั้นไม่มีของมีค่าอยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว เรื่องนี้ทำให้ฉินสือโอวผิดหวังเป็นอย่างมาก


ฉินสือโอวค้นพบสัตว์ทะเลสายพันธุ์ต่างๆ จำนวนมาก แต่เว่าเขาไม่ได้พากลับไปที่ฟาร์มปลา ปลาพวกนี้เป็นปลาเขตร้อน พวกมันไม่เหมาะที่จะอาศัยอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติคที่มีอากาศหนาวเย็น


เมื่อไม่เจออะไร ฉินสือโอวก็เรียกจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับมา เขามองไปที่นาฬิกา ตอนนี้สามทุ่มแล้ว สำหรับพวกเขาถือว่าเป็นยังไม่ดึก พวกบิลลี่และเบลคเป็นพวกนอนดึกเหมือนกับนกฮูก แต่สำหรับเด็กอย่างไวส์ ตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะต้องเข้านอนแล้ว


ไวส์ยังคงดูมีพลังงานล้นเหลือ ท่าทางดูดีกว่าตอนที่มาหาเขาในตอนเช้า ฉินสือโอวคิดว่าเขาก็เป็นพวกนกฮูกเหมือนกัน ปรากฏว่าไม่นานพ่อของเขาก็มาถาม พ่อของไวส์เคาะประตูพลางถามขึ้นว่า “อะจารย์ฉินอยู่ไหมครับ? ผมจอร์จ”


ฉินสือโอวลุกขึ้นจากโซฟาไปเชิญจอร์จให้เข้ามา เมื่อเจ้าของโรงงานเหล็กร่างท้วมเดินเข้ามา เขาก็กวาดสายตาไปรอบห้องรับแขก แล้วถามออกมาอย่างร้อนรนว่า “ไวส์ไม่ได้อยู่กับคุณที่นี่เหรอครับ? ตอนที่กำลังทานอาหารเย็นอยู่เขาโทรมาบอกว่าเขาอยู่กับคุณที่นี่”


ฉินสือโอวหันกลับไปมา ตอนนี้ใบหน้าของไวส์เต็มไปด้วยกระดาษ เขาแพ้อย่างราบคาบ บนตัวก็มีกระดาษแปะอยู่ด้วยเช่นกัน มีเพียงดวงตาทั้งสองข้างเท่านั้นที่โผล่ออกมา มิน่าล่ะพ่อของเขาถึงมองไม่ออก


บิลลี่รีบช่วยไวส์เอากระดาษออกจากตัว ไวส์โบกมือให้พ่อของเขาพลางพูดออกมาอย่างสนุกสนานว่า “พ่อครับ ผมอยู่ตรงนี้!”


“อ้อ บนหน้าของลูกมีอะไรติดอยู่น่ะ?” เจ้าของโรงงานเหล็กจ้องมองไปยังลูกของตัวเอง เขาโน้มตัวไปข้างหน้าและมองลูกชายอย่างละเอียด จากนั้นจึงพยักหน้า ท่าทางของเขาดูค่อนข้างปลาบปลื้มใจ


ฉินสือโอวรู้สึกไม่เข้าใจนิดหน่อย แม้แต่กระดาษขาวก็ไม่รู้จักงั้นเหรอ? ทำไมถึงได้แสดงท่าทีที่เปลี่ยนไปแบบนี้ได้ล่ะ?


จอร์จช่วยลูกชายเช็ดหน้าเช็ดตา คนเป็นลูกหัวเราะออกมาอย่างไร้เดียงสา พลางพูดขึ้นด้วยความสนุกว่า “ที่อยู่บนหน้าของผมไม่ใช่น้ำลาย มันคือน้ำผึ้ง!”


ท่าทางของเจ้าของโรงงานเหล็กยิ่งดูตื่นตระหนกเข้าไปใหญ่ เขารู้แล้วว่าลูกชายของเขาโดนคนนิสัยไม่ดีพวกนี้แกล้งเข้าแล้ว


“ลูกเล่นอยู่ที่นี่สนุกไหม?” จอร์จมองไปยังคนอื่นๆ อย่างสุขุม หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มตาหยีตามลูกชายของตัวเอง


ไวส์พยักหน้าอย่างแรง แล้วตอบกลับมาเสียงดัง “สนุกมากเลยครับ พ่อ อะจารย์ของผมสอนกำลังภายในด้วย วันนี้ผมรู้สึกร่างกายสบายขึ้นมาก พวกลุงบิลลี่ก็เล่นกับผมสนุกมากเลย พวกเขาโง่มากเลย แพ้ให้ผมตั้งหลายรอบ!”


บิลลี่ เบลค และคนอื่นๆ พากันหัวเราะออกมาฝืนๆ เพราะว่าบนใบหน้าของพวกเขาไม่มีกระดาษติดอยู่เลย แต่เจ้าตัวเล็กกลับเกือบจะจมลงไปในกองกระดาษแล้ว


จอร์จดึงลูกชายให้ลุกขึ้น เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้มว่า “งั้นเหรอ? เก่งมาก แต่ว่าตอนนี้ลูกต้องกลับบ้านแล้ว กลับไปกินยาเข้านอนได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาเล่นกับพวกลุงๆ อีกดีไหม?”


เมื่อได้ยินว่าต้องทานยา ไวส์ก็รีบโบกมือไปมาทันที เขาตอบกลับว่า “ไม่เอา พ่อ ผมไม่อยากกินยา วันนี้ผมรู้สึกดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องกินยาแล้ว!”


ใบหน้าของจอร์จยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม เขาตอบกลับว่า “ไม่ว่ายังไง ลูกก็ต้องกลับไปทานยา หลังจากนั้นพ่อจะอนุญาตให้ลูกมานอนที่นี่กับอะจารย์ดีไหม?”


ไวส์ครุ่นคิดด้วยความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ไม่ทานยาแล้วนอนที่นี่ไม่ได้เหรอครับ?”


ฉินสือโอวเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าไวส์แล้วพูดขึ้นว่า “นายกลับไปทานยากับพ่อก่อนเถอะ เพื่อปรับสภาพร่างกายของตัวเอง เมื่อร่างกายของนายแข็งแรง นายจึงจะเรียนวิทยายุทธกับพวกอาจารย์ได้”


“ผมสามารถเรียนสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกรด้วยได้ไหมครับ?” ไวส์ถามออกมาด้วยความตื่นเต้น “แล้วยังมีบาทาไร้เงาอีก!”


“ได้สิ รวมถึงกระบวนท่าพันมือด้วยนะ เรียนได้หมดเลย!”


ไวส์ยิ้มออกมา เขารีบจูงมือพ่อของเขาออกไปทันที จอร์จหันกลับมามองฉินสือโอวแล้วยิ้มให้


ตามที่ตกลงกันไว้ วันต่อมาฉินสือโอวเข้าร่วมกลุ่มผจญภัยป่าฝน กลุ่มผู้ประกอบการวัยรุ่นต้องการที่เข้าไปที่ด้านหลังป่าฝนเพื่อทำการสำรวจพื้นที่


ทีมผจญภัยของพวกเขามีสมาชิกทั้งหมดสิบเอ็ดคน แต่ว่าบริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรสได้เตรียมไกด์และบอดี้การ์ดไว้ให้ด้วยสิบคน เพราะว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับคนกลุ่มนั้น บริษัทไม่สามารถรับผิดชอบได้แน่นอน


หัวหน้าไกด์ชื่อว่าคาริส เขาเป็นทหารผ่านศึกเอสเอเอสจากประเทศอังกฤษ ว่ากันว่าเขาคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในป่ามาก เขาเป็นชายผู้มากด้วยประสบการณ์ ตอนนี้เขายังเป็นหัวหน้าทีมผู้กำกับรายการที่โด่งดังไปทั่วโลกอย่าง ‘ผจญภัยสุดขั้ว’ อีกด้วย ก่อนที่แบร์กริลล์สจะได้เข้าไปสำรวจในที่ต่างๆ เขาจะเป็นคนแรกที่ได้เข้าไปก่อนเสมอ


บทที่ 969 นักล่า

Ink Stone_Fantasy

ที่ตั้งของรีสอร์ตแห่งนี้อยู่ในทำเลที่ดีมาก ด้านหน้าเป็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ส่วนด้านหลังเป็นภูเขาลูกเล็ก รีสอร์ตแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงที่ราบระหว่างภูเขาพอดี


ที่ราบนี้เป็นเส้นแบ่งเขต ด้านหน้าภูเขาจะเป็นรีสอร์ต ต้นไม้ที่นี่ยังมีจำนวนค่อนข้างน้อยและต้นเล็กอยู่ เลยภูเขาขึ้นไปทางด้านเหนือคือป่าดิบชื้นขนาดใหญ่


ที่เกรตแบร์ริเออร์รีฟก็มีการทำฟาร์ม ฟาร์มเหล่านั้นปลูกอ้อยเป็นจำนวนมาก ฉินสือโอวและพรรคพวกพากันขับรถขึ้นไปที่ทางเหนือของภูเขา พวกเขาสามารถเห็นไร่อ้อยขนาดใหญ่ตลอดสองข้างทาง อ้อยสีม่วงอ่อนเติบโตเต็มพื้นที่อย่างอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยฟาร์มอ้อย


รถแฮมเมอร์ เอชทู ขับมาจอดยังแม่น้ำขนาดใหญ่สายหนึ่ง หัวหน้าทีมอย่างคาริสโบกมือให้หยุด ทุกคนลงมาจากรถแล้วล้อมวงกันที่ด้านหลัง คาริสกางแผนที่ออกแล้วอธิบายว่า “พวกเราอยู่ที่แม่น้ำที่ชื่อว่าแม่น้ำแบล็คฟิช อย่าพยายามลงไปในน้ำล่ะ ปลาปิรันยาไม่ได้มีอยู่แค่ที่อเมซอนเท่านั้น”


“ออสเตรเลียยังมีปลาชนิดนี้อยู่อีกเหรอครับ?” ชายวัยสี่สิบคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นพลางหัวเราะออกมา


คาริสพยักหน้าให้อย่างจริงจัง “ปลาปิรันยาเป็นสัตว์ที่มีสายพันธุ์หลากหลาย ไม่ใช่ทุกสายพันธุ์จะกินคนเหมือนในละครในทีวีหรอกนะ แต่ว่าเพราะฟันอันแหลมคมของพวกมัน ก็คมพอที่จะทำร้ายร่างกายเราได้ อีกทั้งพวกมันยังมีปรสิตอยู่ที่ตัวอีกด้วย ผมคิดว่าพวกคุณคงไม่อยากเหมือนพวกที่อยู่ใน ‘เชื้ออสูรแพร่สยอง’ ที่มีแมลงอยู่ในเส้นเลือดน่ะ”


เบลคยิ้มให้ฉินสือโอว แล้วพูดออกมาเสียงเบาว่า “น่าคลื่นไส้ชะมัด!”


ละครโทรทัศน์ ‘เชื้ออสูรแพร่สยอง’ มีชื่อเสียงในอเมริกาเหนือเป็นอย่างมาก ฉินสือโอวไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แมลงน่าขยะแขยงมาก เป็นซอมบี้ยังดีเสียกว่า ทุกคนต่างเริ่มมองหน้ากันไปมา


หลังจากที่คาริสเอ่ยเตือนเขาก็พูดขึ้นมาอีกว่า “พวกเราจะเริ่มออกเดินทางจากแม่น้ำสายนี้ หลังจากนั้นก็จะไปทานอาหารกลางวันที่แม่น้ำอีกแห่ง ที่นี่เป็นสถานีปลายทาง ทานอาหารเสร็จพวกเราค่อยกลับมา ใช้เวลาไปกลับหนึ่งวัน ทุกคนไม่มีปัญหาใช่ไหม?”


“โอเค!” “ไม่มีปัญหา!” “เข้าใจ!”


ใบหน้าของคาริสปรากฏรอยยิ้มแข็งทื่อออกมาแล้วพูดว่า “หวังว่าทุกคนจะมีช่วงเวลาที่งดงามไปกับการเดินป่าฝนในครั้งนี้ แม้ว่าจะเหนื่อย แต่ว่าเชื่อผมเถอะ พวกคุณจะได้รับกำไร เพราะว่าที่นี่นั้นสวยงามมาก”


ที่แม่น้ำแบล็คฟิชมีสะพานอยู่แห่งหนึ่ง สะพานแห่งนี้เชื่อมต่อระหว่างอารยธรรมและความดึกดำบรรพ์เข้าด้วยกัน หลังจากที่ข้ามสะพานไป คาริสก็พูดขึ้นมาเสียงดังว่า “ทุกคนระวัง จากตรงนี้ไป พวกเราจะเข้าสู่ถิ่นทุรกันดารอันไร้ขอบเขตแล้ว ที่นั่นไม่มีสัญญาณโทรศัพท์และไฟฟ้า และไม่มีโรงแรมออนเซ็นหรูหราด้วย มีเพียงวัชพืช สัตว์ป่า ต้นไม้ ดังนั้นทุกคนต้องระวัง!”


“ผมรู้ว่าพวกคุณต่างก็เป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรม แต่ถ้าหากว่าพวกคุณอยากจะรักษาตำแหน่งของพวกคุณเอาไว้ ผมขอแนะนำให้พวกคุณตั้งใจฟังหัวหน้าของผมให้ดี” บอดี้การ์ดร่างใหญ่คนหนึ่งพูดพลางยิ้มเย็นออกมา


ฉินสือโอวยกนิ้วให้เขาแล้วพูดขึ้นว่า “พวกเราจะเป็นเด็กดี”


เหล่าบอดี้การ์ดหัวเราะกันออกมา พวกเขากลัวว่าเหล่าผู้นำแต่ละคนจะอวดฉลาดแล้วทำเรื่องวุ่นวายในป่าฝน หากเป็นแบบนั้นเหล่าบอดี้การ์ดอย่างพวกเขาจะต้องตกที่นั่งลำบากอย่างแน่นอน


เมื่อข้ามสะพานไปแล้วก็เป็นพื้นที่หญ้ากว้าง ฉินสือโอวพึ่งเคยเห็นจิงโจ้ในตำนานที่นี่ จิงโจ้ตัวใหญ่ตัวเล็กกระโดดโลดเต้นกันไปมาอย่างสนุกสนาน มีเพียงสองตัวที่กำลังกินหญ้าอยู่


เมื่อทุกคนเดินข้ามสะพาน หูของพวกมันสั่นไหวไปมา พวกมันมองมายังกลุ่มคนที่เข้ามาอย่างหวาดระแวง เตรียมพร้อมที่จะหลบหนีทันที


นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินสือโอวเห็นกระรอกพวกนั้นที่สูงราวเมตรกว่า ตัวเล็กๆ สูงไม่ถึงครึ่งเมตร หางใหญ่วางอยู่ที่พื้น ท่าทางดูหยิ่งยโสเป็นอย่างมาก


“จิงโจ้แดง โดยทั่วไปแล้วพวกมันจะหากินตอนเช้า ตอนเย็นและช่วงกลางคืน ช่วงกลางวันจะค่อนข้างเงียบสงบ ไม่มีท่าทีก้าวร้าว ทุกคนสามารถเดินผ่านไปอย่างสบายใจได้” คาริสอธิบายให้ฟัง เขาผิวปากออกมา จิงโจ้เหล่านั้นเมื่อได้ยินเสียงผิวปากพวกมันก็กระโดดหนีไป


ทุ่งหญ้าแห่งนี้มีเนื้อที่เพียงสิบกว่าเอเคอร์เท่านั้น จากนั้นก็กลายเป็นป่าทึบ ฉินสือโอวหยิบธนูขึ้นมาใส่ลูกธนูเตรียมไว้ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าตัวเองหายใจราบรื่นขึ้น ราวกับว่าปอดของเขานั้นเปิดอย่างเต็มที่


แน่นอนว่า นี่เป็นจิตวิทยาในใจเขา


ต้นไม้ที่เติบโตในป่าฝนออสเตรเลียล้วนเป็นต้นไม้ใหญ่ ดังนั้นแม้ว่ามันจะดูแน่นหนาอุดมสมบูรณ์ แต่ว่าพวกเขาก็เดินเข้าไปได้อย่างสบายๆ ช่องว่างระหว่างต้นไม้กว้างขวาง จึงทำให้เกิดทางเดินทางธรรมชาติขึ้น


รองเท้าทหารเหยียบลงบนกองใบไม้หนา ฉินสือโอวรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินอยู่บนเตียง เขาไม่ได้สบายเลยแม่แต่น้อย เพราะว่าเมื่อเหยียบลงไปบนพื้นที่ไม่แน่นทำให้รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจในแต่ละก้าว


เมื่อเดินไปได้สักพัก คาริสก็เจอเข้ากับต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง ด้านบนต้นไม้มีผลไม้ลูกเล็กลูกใหญ่อยู่เต็มต้น เขาปีนขึ้นไปใช้มีดตัดมันสองสามลูก แล้วแจกจ่ายให้คนในกลุ่มพร้อมพูดขึ้นว่า “นี่คือผลลูกน้ำนม รสชาติไม่เลวเลย ทุกคนสามารถเติมน้ำและวิตามินจากมันได้”


ผลไม้ชนิดนี้มีรสหวาน เนื้อเยอะ ฉินสือโอวทานไปเพียงสองลูกก็รู้สึกอิ่มแล้ว ถ้าเอากลับไปด้วยได้คงจะดีมาก ฉงต้าจะต้องชอบทานผลไม้ชนิดนี้เป็นอาหารแน่ๆ


ในขณะที่คิดเช่นนั้น ฉินสือโอวก็ถามคาริส ว่าผลไม้ชนิดนี้สามารถปลูกที่แคนาดาได้หรือไม่


คาริสส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ได้ แม้แต่ที่ไมอามีก็ไม่สามารถปลูกได้ ต้นลูกน้ำนมต้องการพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงมาก ที่แคนาดาค่อนข้างหนาว แบบนั้นพวกมันจะแข็งตายแน่”


ฉินสือโอวกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็มีบอดี้การ์ดคนหนึ่งนำผลไม้มาให้อีกจำนวนหนึ่ง คาริสหยิบมันขึ้นมาแล้วพูดขึ้นว่า “ผลไม้ชนิดนี้ทานได้ คนพื้นที่เรียกมันว่าทุเรียนเทศ ไม่สามารถโตได้ที่อเมริกาเหนือ หากชอบทานผลไม้ต้องลองทานดูนะ จำไว้ว่า ผลไม้ชนิดไหนที่ไม่ผ่านมือพวกเรา ห้ามทานเด็ดขาด!”


ทุกคนนั่งทานผลไม้กันที่นี่ เหล่าบอดี้การ์ดเลือกผลไม้ไว้จำนวนมาก หากทานไม่หมดพวกเขาก็จะโยนทิ้งทันที


ปรากฏว่าเมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เกิดเสียงขยับของพุ่มไม้ดังออกมาไม่ไกล จากนั้นเสียงฝีเท้าหนักก็ดังขึ้นตามมา มีอะไรบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา


เหล่าบอดี้การ์ดต่างพากันตื่นตัว คาริสชูกำปั้นขึ้นเรียกทุกคนมารวมตัว ฉินสือโอวหยิบธนูออกมา เขามองไปยังทางที่เกิดเสียงอย่างระมัดระวัง


ผ่านไปไม่กี่วินาที ก็เกิดเสียง ‘กึก กึก’ ดังขึ้น มีนกตัวใหญ่ตัวหนึ่งเดินมาด้วยเสียงฝีเท้าอันหนักหน่วง


ฉินสือโอวมองไปยังนกตัวใหญ่นั้นด้วยความตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนกตัวใหญ่ขนาดนี้


นกตัวนี้สูงเกือบเท่ากับเขา คอยาว ที่บนหัวมีหงอนที่เหมือนพัดขนาดใหญ่ ผิวหนังของมันเป็นสีฟ้าซะส่วนใหญ่ ที่ด้านข้างและหลังคอของมันเป็นสีแดงอมม่วง ขนสีดำหนาปกคลุมทั่วตัวอันอ้วนท้วมของมัน ใต้คางของมันมีถุงสีแดงสดสองอันห้อยลงมา


“อ้อ เซ็ท พวกเรานี่โชคดีจริงๆ นี่คือนกแคสโซแวรี ทุกคนระวังให้ดี พวกมันถูกขนานนามว่าเป็นสัตว์ที่ขี้อาย หากไม่ถูกทำให้ตกใจก็จะไม่ทำร้าย แต่ถ้าพวกมันต้องการโจมตี แบบนั้นจะวุ่นวายแน่นอน” คาริสพูดขึ้น


นกแคสโซแวรีพวกนี้ถูกผลไม้ที่อยู่ตามพื้นดึงดูดมา มันส่งเสียงร้องออกมาสองสามรอบ จากนั้นก้มหัวลงทานผลไม้บนพื้น


บอดี้การ์ดคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “หัวหน้า กำจัดมันเลยไหม?”


แบรนดอนยกมือขึ้นห้ามพลางพูดว่า “อย่าทำแบบนั้น เพื่อน พวกเราแค่มาเดินเล่นเท่านั้น ไม่ได้มาเพื่อล่า แล้วทำไมเราต้องทำร้ายสัตว์พวกนี้ด้วยล่ะ?”


บอดี้การ์ดพวกนั้นพูดว่า “ถ้าหากว่ามันทำร้ายคุณล่ะ ถึงตอนนั้นคงแย่แน่ พวกมันเป็นนกที่น่ากลัว มันวิ่งได้เร็วกว่าห้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง พวกมันมีขาที่แข็งแรงมาก หากมันออกแรงเต็มที่มันสามารถฆ่าคนวัยกลางคนได้เลยนะ! เห็นกรงเล็บของมันไหม? คมกว่ามีดเสียอีก พวกมันชอบทานเครื่องใน หลังจากเหยื่อถูกฆ่าแล้วพวกมันก็จะคว้านท้องเหยื่อเพื่อทานเครื่องใน”


บิลลี่พยักหน้าแล้วพูดว่า “นกแคสโซแวรีอันตรายมาก ผมเคยดูสารคดีเกี่ยวกับมันอยู่ครั้งหนึ่ง ในช่วงที่กองทัพสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียถูกส่งไปประจำการในนิวกินีช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารบางคนไม่รู้ว่ามันทรงพลังมากแค่ไหน หลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกพวกมันฆ่าตายอย่างน่าอนาถ!”


บทที่ 970 ปลาน้ำจืดที่ดุร้าย

Ink Stone_Fantasy

คาริสจ้องมองไปที่นกแคสโซแวรีอย่างระมัดระวัง เขาส่งสัญญาณมือบอกให้ทุกคนแยกย้ายไปอย่างเป็นระเบียบ ส่วนเขาจะอยู่รั้งท้าย


พวกเขารู้สึกหวาดกลัวนกแคสโซแวรีตัวนี้ และเจ้านกแคสโซแวรีตัวนี้ก็หวาดกลัวพวกเขาเช่นกัน มันกัดผลไม้หนึ่งชิ้น จากนั้นก็ลากไปทางด้านหลังต้นไม้ ท่าทางลับๆ ล่อๆ อย่างไรมันก็ไม่สามารถปิดบังตัวเองได้จากสายตาของทุกคน


เมื่อทุกคนเดินออกไป นกแคสโซแวรีก็กระโดดออกมากินผลไม้ได้อย่างสบายใจ ที่ด้านหลังของมันเกิดเสียงกึกกึกดังตามมา ลูกนกแคสโซแวรีสี่ห้าตัวกำลังวิ่งมาทางนี้ พวกมันพากันแย่งกันกินผลไม้ที่อยู่บนพื้น


เมื่อเดินออกมาไกลแล้ว คาริสก็พูดขึ้นว่า “นกแคสโซแวรีเป็นสัตว์อนุรักษ์ เนื่องจากพวกมันมีจำนวนน้อย อันที่จริงแล้วพวกมันเป็นสัตว์ที่ไม่ค่อยโจมตีคนเท่าไหร่ พวกเราไม่จำเป็นที่จะต้องทำให้เรื่องมันยุ่งยาก”


คาริสเป็นทั้งบอดี้การ์ดและไกด์ ดังนั้นนอกจากจะต้องปกป้องทุกคนแล้ว เขายังต้องชี้นำทุกคนถึงวิธีการปกป้องป่าแห่งนี้ด้วย


การเดินในป่าฝนครั้งนี้ บางครั้งก็จะมีนกบินผ่านไปมา ส่วนบนพื้นมีดอกไม้หลากสีสันเบ่งบานไปทั่ว


ฉินสือโอวไม่สันทัดเรื่องดอกไม้ แต่เขาก็ดูออกว่าทั่วทุกพื้นที่เต็มไปด้วยดอกกล้วยไม้ มีบางดอกที่บานสะพรั่งสวยงาม เขาคิดว่าหากเอาไปขายที่ตลาดดอกไม้คงจะได้ราคาดีน่าดู


เมื่อเขาพูดความคิดของตัวเองออกมา คาริสก็พูดพร้อมยักไหล่ว่า “ไม่สามารถปลูกมันที่อื่นได้หรอก นอกจากจะปลูกในพื้นที่ปิดมิดชิดเท่านั้น รวมถึงต้องสร้างสภาพแวดล้อมเทียมที่เหมือนกับสภาพท้องถิ่นที่นี่ด้วย ไม่อย่างนั้นกล้วยไม้เหล่านี้ก็จะตายอย่างรวดเร็วหลังจากที่ย้ายการเพาะปลูก”


แน่นอนว่าสิ่งที่มีมากกว่าคือพืชจำพวกเถาวัลย์ ต้นไม้ใหญ่ทุกต้นถูกปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์สีเขียวขจี ฉินสือโอวผ่านต้นไม้ที่มีขนาดสี่ห้าคนโอบ ความสูงของต้นไม้นี้อยู่ที่สามสี่สิบเมตร เขาพบว่าเถาวัลย์ที่พันอยู่บนต้นไม้นั้นหนาใหญ่มาก


ฉินสือโอวเดินดูรอบต้นไม้ไปเรื่อยๆ ด้านหน้าเขาเกิดเสียงอุทานทุ้มต่ำดังขึ้น เขาคิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงรีบออกมาดู ปรากฏว่าเมื่อเขาเข้าไปใกล้ก็มีคนทำท่า ‘จุ๊ๆ’ ใส่ฉินสือโอว


เมื่อมองตามสายตาของทุกคนไป ฉินสือโอวก็เห็นผีเสื้อที่สวยงามมากตัวหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่เท่ากับฝ่ามือของคนวัยกลางคน ปีกทั้งสองของมันกางออกมาอย่างสง่างาม ปีกด้านในทั้งสองข้างเป็นสีน้ำเงินไพลินบริสุทธิ์ ส่วนด้านนอกเป็นสีดำน้ำตาลเข้มดูลึกลับ ที่ปีกด้านหลังมีหางสีดำยื่นออกมา


ผีเสื้อสายพันธุ์นี้หลายสิบตัวกำลังบินตอมดอกไม้ไปมา แม้ว่าพวกมันจะมีเพียงแค่สองสี แต่ว่าเพราะว่าสีทั้งสองสีนี้เป็นสีที่สดและบริสุทธิ์ ทำให้ดึงดูดสายตาของคนที่มองมาได้อย่างดี


“ผีเสื้อหางติ่งสีฟ้า สวยสุดๆ ไปเลย!” บิลลี่ที่อยู่ข้างฉินสือโอวพูดขึ้นด้วยความปลื้มปีติ


ฉินสือโอวนึกขึ้นบางอย่างขึ้นมาได้จึงพูดว่า “นี่เป็นผีเสื้อประจำชาติออสเตรเลียใช่ไหม? มิน่าล่ะทำไมคนออสเตรเลียถึงชอบพวกมัน ที่แท้พวกมันก็สวยสง่ามากนี่เอง”


ผีเสื้อเหล่านี้บินไปมาช้าๆ อย่างไม่รีบร้อน ท่าทางหยิ่งยโสสง่างาม สีดำที่ปีกด้านนอกทำให้พวกมันดูเหมือนกับเป็นหญิงสาวจากตระกูลชั้นสูงที่กำลังสวมเสื้อกำมะหยี่สีดำอยู่ และสีน้ำเงินฟ้าด้านในก็เป็นเหมือนเครื่องประดับที่พวกมันสวมใส่อยู่


ในขณะที่ผีเสื้อหางติ่งสีฟ้า บินเต้นรำไปมา จู่ๆ นกตัวใหญ่ตัวหนึ่งก็บินโฉบลงมา มันอ้าปากพุ่งมาจะงับเข้าที่ผีเสื้อตัวหนึ่ง


ผีเสื้อตัวนั้นไม่ทันได้ระวังตัว ทันใดนั้นมันก็โดนกัดเข้าอย่างจัง ผีเสื้อตัวอื่นๆ ต่างพากันตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า พวกมันรีบกระพือปีกหนีเข้าไปหลบใต้ดอกไม้ แม้กระทั่งตอนหนี ผีเสื้อเหล่านี้ก็ยังคงดูสง่างามอยู่


นกตัวนั้นคาบผีเสื้อบินขึ้นไป มันลอยตัวอยู่เหนือหัวทุกคนอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อมันเจอกับเถาวัลย์เส้นหนึ่ง มันก็โยนร่างของผีเสื้อไปที่เถาวัลย์ ใช้หนามบนเถาวัลย์เกี่ยวร่างของผีเสื้อไว้ จากนั้นก็ค่อยๆ ฉีกร่างของผีเสื้อออกมาเพื่อกินทีละชิ้น


คาริสชี้ไปที่นกตัวนั้นแล้วพูดว่า “นั่นคือนกล่าเหยื่อ ดูเหมือนพวกเราจะบุกรุกมายังพื้นที่ของมันเสียแล้ว งั้นพวกเราเดินทางต่อกันเถอะ ที่นี่พวกเราไม่ได้เป็นที่ต้อนรับ เจ้านกพวกนั้นอารมณ์ร้าย ไม่แน่ว่าต่อไปมันพวกมันอาจจะโจมตีพวกเราก็ได้ ”


เป็นเหมือนที่คาริสพูด นกตัวนั้นฉีกร่างผีเสื้อกินพลางมองมายังกลุ่มคนด้านล่าง ราวกับกำลังสาธิตภาพเหตุการณ์ให้ดู


“แล้วมันเป็นนกอะไรกันแน่? ดูท่าทางดุร้ายเชียว” บิลลี่ถามออกมา


คาริสพูดออกมาว่า “นกอีเสือ เป็นหนึ่งในนักล่าทางอากาศที่ค่อนข้างดุร้ายในผืนป่าแห่งนี้ นิสัยก้าวร้าวมาก ข่าวท้องถิ่นมักจะรายงานข่าวเรื่องที่พวกมันโจมตีคนเสมอ”


ฉินสือโอวพูดขึ้นว่าด้วยความเสียใจว่า “น่าเสียดายที่ผมไม่ได้พาอินทรีหัวขาวมาด้วย ไม่แน่ว่ามันอาจจะสอนนกพวกนี้ได้ว่าความอ่อนน้อมถ่อมตนและความซื่อสัตย์คืออะไร”


เหล่าบอดี้การ์ดต่างพากันหัวเราะขึ้นมา ไม่ใช่หัวเราะเพราะฉินสือโอวขี้โม้ แต่แค่เป็นการร่วมบทสนทนาเท่านั้น แม้ว่าจะไม่ค่อยมีใครฝึกอินทรีหัวขาว แต่ก็ยังมีอยู่บ้าง โดยเฉพาะคนรวย เช่นเจ้าชายน้อยท่านนั้นที่ไม่ได้มาด้วย เขาก็ฝึกอินทรีทองอยู่ตัวหนึ่งเหมือนกัน


ป่าฝนที่เกรตแบร์ริเออร์รีฟก็เหมือนกับมหาสมุทร มีสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด ต้นไม้อุดมสมบูรณ์ ดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์และพวกสัตว์จำนวนมากอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้


ระหว่างที่เดินทาง ฉินสือโอวก็พบกับตัวพอสซัมและค้างคาวผลไม้ที่มีลายเหมือนกำลังสวมแว่นตาอยู่ พวกมันเป็นสัตว์ที่ระมัดระวังการมาของคนเป็นอย่างมาก เมื่อได้ยินเสียงลมเสียงหญ้าเคลื่อนไหวพวกมันก็พร้อมที่จะหนีไป ดังนั้นเมื่อเห็นเงาคนพวกมันก็บินหนีไปทันที


ดังนั้น หากอยากจะเห็นพวกมันก็ต้องมีสายตาว่องไว


โดยเฉพาะนกที่มีหลากหลายสายพันธุ์ คาริสพาเดินไปด้วยพลางแนะนำพวกเขาไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเป็ดพม่า นกปากกบ นกกระเต็น นกบัลติมอร์และอื่นๆ อีกมากมาย บางครั้งก็มีนกบินผ่านมาหลายสายพันธุ์ ทำให้คาริสแนะนำได้ไม่ทัน


พวกเขาเดินๆ หยุดๆ ตลอดทาง หลังจากผ่านช่วงเที่ยงไปในที่สุดพวกเขาก็เข้าใกล้แม่น้ำที่เป็นจุดหมาย ชื่อของมันคือ ‘แม่น้ำเมดูล่า’ เป็นชื่อที่ชาวพื้นเมืองออสเตรเลียเป็นผู้ตั้ง คาริสบอกว่ามันแปลว่าแม่น้ำแห่งมารดา เมื่อก่อนนี้แม่น้ำสายนี้กว้างใหญ่มาก มันไหลผ่านเมืองกว่าครึ่งของรัฐควีนส์แลนด์จากนั้นก็ไหลลงสู่มหาสมุทรไป


ตอนนี้ แม่น้ำสายนี้ก็ยังคงใหญ่อยู่ แต่ว่าไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนกับหลายพันปีก่อน เช่นเดียวกันกับแม่น้ำไป๋หลงที่บ้านเกิดของฉินสือโอว ตอนนี้กลายเป็นเพียงแม่น้ำสายใหญ่เท่านั้น


เหล่าบอดี้การ์ดจัดการทำความสะอาดพื้นที่โล่งริมฝั่งแม่น้ำอย่างรวดเร็ว มีคนหยิบกาต้มกาแฟออกมาตั้ง จากนั้นก็นำเชื้อเพลิงที่ถูกขึ้นรูปเป็นของแข็งมาเริ่มต้มกาแฟ เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง กลิ่นกาแฟก็ลอยตลบอบอวลไปทั่ว


บิลลี่และคนอื่นๆ นำเบ็ดตกปลามา พวกเขาดึงคันเบ็ดออกมานั่งตกปลาที่ริมแม่น้ำ


ฉินสือโอวมองไปรอบๆ การไหลของแม่น้ำสายนี้ค่อนข้างช้า เพราะว่าเป็นแม่น้ำใหญ่พวกเขาจึงกระจัดกระจายอยู่ทั่วแม่น้ำที่กว้างสี่สิบกว่าเมตร ในแม่น้ำมีโคลนอยู่เล็กน้อย บนผิวน้ำมีใบไม้ร่วงหล่นลงมา ไม่สามารถรู้ได้แน่ชัดว่าน้ำลึกแค่ไหน จะเห็นเพียงแค่ว่าที่ใต้แม่น้ำผืนนี้นั้นเต็มไปด้วยใบน้ำที่ทับถมอยู่


“อย่ามองแม่น้ำเมดูล่าอย่างไรจุดหมายแบบนั้นสิ อันที่จริงแม่น้ำแห่งนี้มีปลาดีๆ อยู่เยอะมาก ดังนั้นพวกคุณที่ชอบตกปลาสามารถแสดงฝีมือที่นี่ได้อย่างเต็มที่ แต่ว่าผมขอเตือนอะไรหน่อย ไม่ว่าอย่างไรอย่าลงไปในน้ำเด็ดขาด ไม่มีใครรู้ว่าในน้ำมีอะไรอยู่” คาริสพูดขึ้นมา เขาตบเข้าที่บ่าของฉินสือโอว แสดงท่าทีว่าให้ช่วยตนเองดูแลคนอื่นๆ ด้วย


เขาก็รู้เช่นกันว่าตอนนี้คำพูดของฉินสือโอวมีอำนาจ


ฉินสือโอวหาที่สะอาดเพื่อนอนลง เขานอนใช้แขนหนุนหัวเงยหน้าขึ้นทองท้องฟ้าสีคราม


ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ จู่ๆ ก็เกิดเสียงร้องอุทานของใครบางคนดังขึ้น “โอ้ว…ผมตกได้ปลาตัวใหญ่…พระเจ้า! โอ้ว พระ…ตูม!”


เสียงหลังจากนั้นคือเสียงคนตกน้ำ


ทุกคนรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปยังทางที่เกิดเสียงขึ้นทันที คาริสรีบตะโกนออกมาอย่างร้อนรนว่า “ใครตกน้ำ? ใครตกน้ำ?!”


คนที่อยู่ใกล้ตำแหน่งที่มีคนตกน้ำมากที่สุดพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า “คุณชากูนิสตกน้ำครับ มีใครว่ายน้ำเก่งบ้าง? รีบไปพาเขาขึ้นมาเร็ว!”


คาริสพูดพลางขมวดคิ้ว “ตกน้ำไปแล้วก็ควรอยู่ในน้ำสิ ทำไมริมน้ำไม่มีคนอยู่เลย?!”


ฉินสือโอวส่งจิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงไปในแม่น้ำ ในขณะเดียวกันเขาก็อธิบายออกมาว่า “เพราะว่าเขาโดนปลาขนาดใหญ่ลากลงไปน่ะสิ เขาปล่อยมือจากเบ็ดไม่ทัน คนขึงถูกลากลงไปในเขตน้ำลึกด้วย”


“เฮือก!” ในขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น ก็เกิดเสียงขึ้นในน้ำ คนคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากในน้ำ ร่างกายเต็มไปโคลนและกิ่งไม้ใบไม้ ท่าทางดูน่าสมเพชเป็นอย่างมาก


เมื่อคนที่อยู่ริมแม่น้ำมองลงมา ทันใดนั้นทุกคนก็ตกตะลึง พลางตะโกนออกมาด้วยความตกใจว่า “ปลาตัวใหญ่มาก!”


บทที่ 971 เพื่อนผู้กล้าหาญ

Ink Stone_Fantasy

ชากูนิสเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่ห้าสิบปี ร่างกายแข็งแรง ตอนที่กำลังเดินทางฉินสือโอวได้ยินคนพูดว่า เขาเป็นผู้บริหารที่สำคัญคนหนึ่งของบริษัทโบอิง และเขาชอบทำกิจกรรมผาดโผนมาก!


ดังนั้น เมื่อครู่ฉินสือโอวจึงไม่ได้ตกใจเลยแม้แต่น้อย ชากูนิสชอบทำกิจกรรมผาดโผน ดังนั้นเขาต้องคุ้นเคยกับการว่ายน้ำอย่างแน่นอน อีกอย่างตอนที่เดินทางเขาเห็นว่า พละกำลังของเขาก็ไม่เลวเลยทีเดียว!


คนอื่นๆ ก็เห็นด้วยในเรื่องนี้ ในตอนที่ชากูนิสโผล่ร่างของตัวเองขึ้นมาจากน้ำ พวกเขาก็มองไปยังชากูนิสอย่างวางใจ ปรากฏว่าเมื่อมองไปแล้ว ใบหน้าของทุกคนก็ถอดสีทันที!


ที่ด้านหลังชากูนิสห่างออกไปราวสิบกว่าเมตร มีเงาใหญ่เงาหนึ่งปรากฏขึ้นที่ผิวน้ำ เมื่อแสงแดดส่องลงมายังแม่น้ำ แม้ว่าด้านล่างจะเต็มไปด้วยโคลน แต่ก็ยังคงเงาร่างใหญ่อันน่ากลัวนั้นได้อย่างชัดเจน


ร่างที่โผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ เป็นร่างของสัตว์สีน้ำตาลดำตัวหนึ่ง ปีกทั้งสองข้างที่มีความยาวห้าเมตรกว่ากางแผ่ออก หางยาวอันน่ากลัวสะบัดขึ้นมาบนผิวน้ำ กระดูกแหลมแทงออกมาจากหางทั้งสองด้าน!


ชากูนิสมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว เมื่อเขามองเห็นสีหน้าถอดสีของทุกคน ร่างกายของเขาก็แข็งกระด้างขึ้นมาทันที เขาพูดขึ้นอย่างสิ้นหวังว่า “พระเจ้า! มีอะไรอยู่ข้างหลังผมงั้นเหรอ?!”


เขาไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังไปมอง แม่น้ำในออสเตรเลียมีนักฆ่าซ่อนตัวอยู่ในน้ำเป็นจำนวนมาก เช่นงูพิษ ที่มีมากกว่าสิบสายพันธุ์!


ในขณะที่คนทั้งกลุ่มกำลังตกใจ บิลลี่สบถออกมา เขาพูดออกมาเบาๆ ว่า “มันเป็นสัตว์บ้าอะไรกัน? พระเจ้า! พวกเราแม่งเข้ามาในพื้นที่ต้องคำสาปกันหรือไง?”


ฉินสือโอวได้ใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเข้าควบคุมน่านน้ำนี้ไว้แล้ว เขาเป็นคนแรกที่เห็นสัตว์ประหลาดที่ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำตัวนี้ อีกทั้งเมื่อมันโผล่ขึ้นมาที่ผิวน้ำ เขาก็ได้ใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนควบคุมมันไว้แล้ว


ไม่เช่นนั้น เจ้าสัตว์ประหลาดน้ำตัวนี้คงจะเข้าโจมตีชากูนิสไปนานแล้ว ฉินสือโอวสามารถสัมผัสได้ว่า เจ้าสัตว์ตัวนี้มีนิสัยดุร้าย


เมื่อมองลงมาจากผิวน้ำ เจ้าตัวนี้คือสัตว์ประหลาด อันที่จริงแล้วหลังจากที่ฉินสือโอวเข้าควบคุมมันเขาก็พบว่า นี่ไม่ได้เป็นเพียงปลากระเบนธรรมดาเท่านั้น แต่ว่ามันเป็นปลากระเบนน้ำจืดขนาดใหญ่ สัตว์พิเศษของออสเตรเลีย


โลกนี้มีปลากระเบนที่เป็นที่รู้จักกันดีสี่ร้อยแปดสิบกว่าสายพันธุ์ ตามหนังสือ ‘การปฐมพยาบาลจากสัตว์ทะเลอันตรายและสัตว์ป่า’ ที่ตีพิมพ์ในปี 1995 ปลากระเบนมีพิษที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่เป็นที่รู้จักกันดี หางของมันสามารถยาวได้ถึงสี่สิบเซนติเมตร


และหางของปลากระเบนตัวนี้ก็ยาวถึงสี่สิบเซนติเมตร มันจะต้องเป็นปลากระเบนน้ำจืดขนาดใหญ่ของออสเตรเลียแน่นอน


สำหรับปลาชนิดนี้ คนที่รู้จักมีค่อนข้างน้อย ปลากระเบนน้ำจืดพบเจอได้ยาก เพราะว่าพวกมันมักซ่อนตัวอยู่ที่ตะกอนใต้ท้องทะเลลึก มันกินหอยและปูเป็นหลัก มันใช้กระแสไฟฟ้าพลัสในการตรวจการมีอยู่ของเหยื่อ และยังใช้ในการตรวจสอบอันตรายหลังจากนั้นก็หนีไป


นอกจากจะรู้ล่วงหน้าว่าปลากระเบนอยู่ตรงไหนแล้วใช้ตาข่ายปิดกั้นแม่น้ำ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางที่จะจับพวกมันได้แน่นอน ก่อนอื่นร่างกายของพวกมันสามารถระนาบไปกับพื้นใต้ท้องทะเลได้ เพราะแบบนี้จึงไม่มีทางที่จะหาทางจับพวกมันขึ้นมาได้


อีกอย่างพวกมันฉลาด หลังจากที่ใช้คลื่นไฟฟ้าพลัสตรวจจับอันตรายที่เข้าใกล้ได้ พวกมันก็จะรีบมุดลงไปในโคลนเพื่อซ่อนตัวแล้วหนีจากอันตราย


เมื่ออยู่ในโคลนที่อยู่ใต้แม่น้ำ ผิวที่เป็นสีน้ำตาลของมันจะกลายเป็นการอำพรางร่างโดยธรรมชาติทันที


แต่ว่าพวกเขาสามารถมั่นใจได้ว่า ปลากระเบนน้ำจืดตัวใหญ่ตัวนี้เป็นสายพันธุ์ที่มีหนาม มันมีพิษในตัว ถ้าหากว่าโดนหางของมันแทง การอยู่กลางป่าและไม่ได้รับการรักษาเบื้องต้นอย่างทันถ่วงทีก็อาจจะตายได้ทันที


ในตอนที่ฉินสือโอวเข้าควบคุมปลากระเบนน้ำจืดตัวนี้ มันก็ได้โผล่ร่างขึ้นมาให้ผู้คนเห็นแล้ว ดังนั้นหากจะนำมันกลับลงไปในน้ำเงียบๆ และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็คงจะไม่สมเหตุสมผลนัก


เพราะเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจ ควบคุมปลากระเบนให้ว่ายน้ำวนไปมารอบชากูนิส ราวกับหมาป่าที่กำลังวางแผนโจมตีเหยื่ออยู่


ทุกคนตกใจกับขนาดอันใหญ่โตของปลากระเบนตัวนี้ ในตอนนี้แม้แต่เหล่าบอดี้การ์ดก็ไม่กล้าที่จะลงน้ำ ชากูนิสยิ่งหวาดกลัวและไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองว่ามีอะไรรอเขาอยู่


เหมือนกับหนังที่ถูกกดปุ่มหยุด ทุกอย่างหยุดนิ่งไปหมด


ฉินสือโอวแสดงสัญญาณบอกให้ทุกคนไม่ต้องตื่นตระหนก เขาพูดขึ้นว่า “สบายใจได้! วางใจเถอะพวก! พวกเราไม่รู้ว่าในน้ำเป็นสัตว์อะไร สัตว์ในน้ำก็ไม่รู้ว่าพวกเราเป็นอะไรเหมือนกัน! ดังนั้น อย่าไปกระตุ้นมันล่ะ!”


ในขณะที่พูด เขาก็เคลื่อนไหวช้าๆ โดยการก้าวลงไปในแม่น้ำอย่างระมัดระวัง ที่ก้นแม่น้ำเต็มไปด้วยโคลนเน่าเสียและเศษซากกิ่งไม้ใบไม้ พื้นผิวมีความลื่น เขาทำสีหน้าเคร่งขรึม ท่าทางแต่ละย่างก้าวดูระมัดระวัง หลังจากที่เขาเข้าใกล้ชากูนิส เขาก็ยื่นมือออกไปพลางพูดเสียงเบาว่า “ค่อยๆ เดินมา!”


ทั้งสองคนค่อยๆ ถอยออกมา ฉินสือโอวค่อยๆ บังคับให้ปลากระเบนเคลื่อนที่ไปข้างหน้าช้าๆ เลียนแบบท่าทางของหมาป่าที่ขับไล่คนออกจากอณาเขตของตัวเอง


ในที่สุดก็มาถึงริมแม่น้ำ ชากูนิสก็ร้องออกมาทันทีที่ขึ้นฝั่ง เขาพุ่งตัวคลานเข้าไปหาคาริสที่ถือปืนอยู่ทันที


ฉินสือโอวก็เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเช่นกัน เขารีบขึ้นฝั่ง แล้วควบคุมให้ปลากระเบนว่ายน้ำไปมาริมแม่น้ำสักพัก ในขณะที่คาริสและคนอื่นๆ กำลังที่จะโจมตีมัน มันก็ว่ายดำดิ่งลงไปยังต้นแม่น้ำเสียก่อน


ชากูนิสหันหลังไปมองปลากระเบนตัวใหญ่ที่กำลังว่ายอยู่ในน้ำด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าซีดเผือดราวกับศพ


หลังจากที่ฉินสือโอวขึ้นฝั่ง ทุกคนต่างก็พากันมายืนล้อมเขาไว้ ทุกคนต่างพากันเข้ามาตบไหล่ฉินสือโอวแล้วพูดว่า “ทำได้ดีมาก! พ่อหนุ่มคนจีน คุณเป็นผู้ชายที่กล้าหาญมาก!”


“ผมไม่เคยเห็นผู้ชายที่กล้าหาญเท่าคุณมาก่อนเลย!”


“ฉิน การที่ฉันพานายมาร่วมกิจกรรมให้ครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกจริงๆ! ไม่มีนาย วันนี้พวกเราคงวุ่นวายแน่ๆ!”


ฉินสือโอวยิ้มและแปะมือกับทุกคน เขาพูดขึ้นมาอย่างสบายๆ ว่า “สถานการณ์อาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่พวกคุณคิดก็ได้ ผมเป็นเจ้าของฟาร์มปลา ผมเข้าใจสัตว์ทะเล พวกเรามองพวกมันเป็นสัตว์ประหลาด กลัวพวกมัน อันที่จริงพวกมันก็มองพวกเราแบบเดียวกัน”


ชากูนิสนั่งลงบนพื้นพลางถอนหายใจออกมาอย่างหนัก คาริสหยิบเสื้อผ้าแห้งชุดใหม่ออกมาให้เขาเปลี่ยน ผู้บริหารอาวุโสของบริษัทโบอิงโบกมือปฏิเสธว่ายังไม่ต้องการตอนนี้


กางเกงของฉินสือโอวเปียกชื้น รองเท้าของเขาก็มีโคลนอยู่ข้างใน เขาถอดกางเกงและรองเท้าออกเพื่อเปลี่ยนใหม่


หลังจากนั้นชากูนิสก็เดินเข้ามาหาเขา แล้วยิ้มเจื่อนออกมาพลางพูดว่า “เมื่อกี้ ต้องขอโทษด้วย!”


ฉินสือโอวมองเขาอย่างแปลกใจ เขาคิดว่าชายคนนี้เข้ามาเพื่อที่จะขอบคุณเขาเสียอีก


“ตอนที่อยู่บริเวณริมแม่น้ำ ผมหนีทิ้งคุณมาก่อน” ชากูนิสพูดออกมาอย่างรู้สึกผิด “หวังว่าคุณจะให้อภัย ผมกลัวมันจริงๆ! ผมยอมรับ ผมไม่ใช่คนที่กล้าหาญ! ผมไม่รู้ว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นจริงๆ ผมคิดว่าผมจะตายแล้ว ผมกลัวตาย!”


จนมาถึงตอนนี้ ใบหน้าของเขาก็ยังซีดเผือด


ฉินสือโอวยกมือขึ้นตบบ่าของเขาเพื่อปลอบใจ พลางพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องคิดมาก ใครๆ ก็กลัวตายทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมรู้ว่าคุณมีลูกมีภรรยาที่ต้องดูแลอยู่ใช่ไหม? และเมื่อกี้พวกเราก็มาถึงฝั่งแล้วทั้งคู่ ไม่มีใครทอดทิ้งใครหรอก”


ชากูนิสมีท่าทีดีขึ้นมาเล็กน้อย เขาพูดกับฉินสือโอวอย่างซาบซึ้งว่า “ผมไม่รู้จะขอบคุณคุณอย่างไรดี เพราะว่าผมไม่รู้ว่าต้องขอบคุณอย่างไรถึงจะดีที่สุด! คุณช่วยชีวิตผมไว้ เพื่อน คุณช่วยชีวิตผมไว้!”


บอดี้การ์ดคนหนึ่งถามฉินสือโอวขึ้นมาว่า “เฮ้ พวกเราต้องแจ้งให้กองบัญชาการเข้ามาตรวจสอบแม่น้ำนี้อีกครั้งหรือไม่ครับ?”


โดยไม่รู้ตัว เหล่าบอดี้การ์ดได้มองว่าฉินสือโอวกลายเป็นหัวหน้าแล้วเรียบร้อย


ฉินสือโอวโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก รายงานไปยังผู้ดูแลของรีสอร์ต เพื่อให้พวกเขาระวังก็พอ ถ้าหากว่าผมไม่ได้ดูผิด มันคือปลากระเบนน้ำจืด!”


“ใช่แล้ว เป็นปลากระเบนแน่ เมื่อกี้ผมตกใจไปหน่อย จึงมองไม่ออก” บิลลี่พูดเสริมคำพูดของฉินสือโอว


บทที่ 972 ปรมาจารย์

Ink Stone_Fantasy

การปรากฏตัวของปลากระเบนน้ำจืดทำให้การผจญภัยในป่าฝนของพวกเขามีสีสันขึ้นมา เดิมทีพวกเขามาที่นี่ก็เพื่อผจญภัย ถ้าหากว่าเจอแค่นกแคสโซวารีกับนกอีเสือ แบบนั้นจะน่าเบื่อแค่ไหนกันเชียว?


แม้ว่าตอนนั้นมันจะน่ากลัวมาก และพวกเขาทั้งกลุ่มจะตกใจกลัว แต่ว่าเมื่อมองกลับไป พวกเขากลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา


โดยเฉพาะชากูนิส เขามาพูดกับฉินสือโอวหลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว คาริสนำบรั่นดีมาให้เขาหนึ่งแก้ว จากนั้นความตื่นตระหนกของเขาก็หายไป และแทนที่ด้วยความตื่นเต้นแทน


“ตอนนั้นผมคิดเพียงว่าอยากจะจับปลาตัวเล็กๆ อย่างปลาเก๋าหยกให้ได้สักตัวเท่านั้น ดังนั้นผมเลยเลือกใช้เอ็นแปดปอนด์ หลังจากที่โยนเหยื่อลงไปแล้ว ผมรู้สึกว่ามีปลาเข้ามาติดเบ็ด ทุกคน ผมสามบานต่อพระเจ้าเลย ตอนนั้นไม่ใช่ปลาตัวใหญ่นั้นแน่นอน เป็นแค่ปลาตัวเล็กๆ เท่านั้น และอาจจะเป็นปลากะพงอะไรพวกนั้น”


“หลังจากนั้นผมก็เตรียมดึงเบ็ด ปรากฏว่าจากนั้นก็เกิดแรงดึงมหาศาล ผมไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆ ได้ แรงมหาศาลนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป ขนาดที่ว่าเส้นเอ็นขาดแล้ว แต่ผมก็ยังคงถูกดึงลงน้ำไป”


บิลลี่เอ่ยขัดจังหวะขึ้นมาว่า “อาจจะพูดได้ว่า คุณและปลากระเบนตัวนั้นน่าจะเลือกเหยื่อตัวเดียวกัน พวกคุณเลยต้องแข่งกันชักเย่อ โชคไม่ดี ที่คุณแพ้!”


“อ้อ เพื่อนยาก คุณน่าจะรู้นะว่า การแข่งกันชักเย่อแบบนี้ไม่ยุติธรรม พวกเราเห็นว่าปลากระเบนตัวนั้นมีขนาดใหญ่มากแค่ไหน ปีกของมันยาวถึงห้าเมตร ใช่ไหม?” บอดี้การ์ดคนหนึ่งส่ายหัวพลางพูดกลั้วหัวเราะ


เบลคพูดออกมาอย่างเสียดายว่า “ตอนนั้นพวกเราควรจะถ่ายรูปไว้นะ มันจะต้องเป็นอะไรที่น่าจดจำมากแน่ๆ ปัจจุบันพบเจอปลากระเบนได้ยากแล้ว ยิ่งปลากระเบนตัวใหญ่ขนาดนี้…”


เขาพูดพลางส่ายหัวไปมา ท่าทางบ่งบอกว่าสายเกินไปแล้ว


คาริสตบเข้าที่แผงวงจรที่อยู่บริเวณกระดุมเสื้อตรงหน้าอก “พวกเราเก็บเรื่องทั้งหมดที่เราพบเจอที่นี่ไว้ในนี้เถอะ กลับไปก็เปิดดูในคอมพิวเตอร์ได้ ผมจะคัดลอกส่งให้พวกคุณทุกคน”


แบรนดอนที่นั่งอยู่ข้างๆ ชากูนิสหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง “แต่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการจะเห็นภาพเหตุการณ์นั้นแน่นอน”


ชากูนิสพูดออกมาด้วยความเหนื่อยใจว่า “เอาล่ะ พวก ผมยอมรับว่าตอนนั้นผมตกใจกลัว! แต่ว่าผมน่ะถูกพวกคนเลวอย่างคุณทำให้กลัว ท่าทางของพวกคุณตอนนั้น ราวกับว่ามีไดโนเสาร์กำลังยืนอยู่ข้างหลังผมเลย! ไม่สิ น่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาวมากกว่า เวลามนุษย์ต่างดาวปรากฏตัวในหนัง ท่าทางอยากตายของนักแสดงพวกนั้นเหมือนกับพวกคุณเลย!”


ในตอนที่พูด เขาก็ทำตัวแข็ง เบิกตาและอ้าปากกว้างแสดงท่าทางออกมาเกินความเป็นจริงไปมาก


ทุกคนพากันหัวเราะขึ้นมา คาริสพูดขึ้นด้วยความกลัวว่า “ผมกลัวจริงๆ นะ พวก หากว่าคุณต้องถูกฝังอยู่ที่นี่ เกรงว่าชั่วชีวิตผมคงไม่มีงานทำแล้วเป็นแน่!”


“ดังนั้นพวกเราควรขอบคุณฉิน ใช่ไหม?” เบลคลุกขึ้นพูด “ท่าทางของฉินในตอนนั้น ทำให้ผมตกใจมากเลยนะ! ใครกันที่เลือกจะลงน้ำเป็นคนแรก? ใครกันที่ไปช่วยเพื่อนร่วมทีมของเราเป็นคนแรก?”


ทุกคนชี้มาที่ฉินสือโอว จากนั้นฉินสือโอวลุกขึ้นแล้วโค้งตัวให้ แล้วพูดเล่นออกมาว่า “แล้วแบบนี้ผมต้องกล่าวคำขอบคุณด้วยหรือเปล่า?”


“ต้อง!” “จำเป็น!” “จัดมาสักหน่อย!”


มีคนสองสามคนร้องขึ้นมาพร้อมกัน ฉินสือโอวให้ความร่วมมือกับพวกเขา อีกอย่างก็เพื่อทำให้ทุกคนสนุกสนานด้วย


หลังจากที่รู้ว่าในแม่น้ำมีปลากระเบนตัวใหญ่อยู่ ก็ไม่มีใครกล้าไปตกปลาที่ริมแม่น้ำอีกเลย แม้จะไปตักน้ำก็ไปตักอย่างระมัดระวัง


อาวุธโจมตีของปลากระเบนคือหางที่อยู่ด้านหลัง หนามที่อยู่ด้านบนหางมีพิษอยู่ แม้ว่าเมื่อโดนแทงแล้วจะไม่ได้ฆ่าคนให้ตายได้ แต่ก็เป็นอัมพาตไปแล้วครึ่งร่าง


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าใครจะรู้ว่าในน้ำนั้นซ่อนงูน้ำอะไรไว้อีกหรือไม่? งูในออสเตรเลียทุกสายพันธุ์เป็นงูที่มีพิษ อีกทั้งยังเป็นพิษต่อระบบประสาท หลังจากโดนกัดอาจถึงตายได้เลย!


อันที่จริงแล้วปลากระเบนเป็นสัตว์น้ำที่ค่อนข้างเชื่อง ตั้งแต่มีการค้นพบสัตว์ชนิดนี้ ยังไม่มีการรายงานการตายของมนุษย์ที่เกิดจากการโดนปลากระเบนแทงเลยสักครั้ง ตรงกันข้ามกับแมงกะพรุนที่สวยงาม ที่มีรายงานการตายของคนจากพวกมันทุกปีปีละหลายสิบคน


แต่จิตสำนึกของคนเรานั้นก็แปลก พวกเขามีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งมีชีวิตหรืออะไรก็ตามที่ดูดุร้ายและอันตราย แต่กลับมองข้ามสิ่งมีชีวิตน่ารักมีเสน่ห์ทั้งที่ความจริงแล้วพวกมันเป็นสายพันธุ์ที่ดุร้าย


จากจุดนี้เราจะเห็นเรื่องความสำคัญของรูปลักษณ์ภายนอก…


หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ พวกเขาก็ดับไฟ จากนั้นก็เดินย้อนกลับทางเดิม


เดิมทีมีการวางแผนว่าจะใช้เส้นทางอื่นในการกลับ แต่ว่าเมื่อเจอเรื่องปลากระเบนเข้าก็ทำให้เหล่าบอดี้การ์ดระมัดระวังมากขึ้น พวกเขาพยายามที่จะลดโอกาสการเกิดอุบัติเหตุให้น้อยที่สุด


เมื่อขับผ่านบ้านร้างแห่งหนึ่งฉินสือโอวก็หยุดรถแล้วลงจากรถมา เขาเดินเข้าไปสำรวจ แล้วหยิบอิฐออกมาสองสามก้อน


คนบนรถแปลกใจว่าทำไมเขาต้องเอาอิฐกลับมาด้วย ฉินสือโอวทำเพียงหัวเราะแต่ไม่ได้อธิบายอะไร


เมื่อกลับมาถึงรีสอร์ต การกระทำของฉินสือโอววันนี้ก็ค่อยๆแพร่กระจายออกไปเป็นวงแคบๆ โมล ซิต เคอร์ และคนอื่นๆ พากันโทรมาหาเขา เพื่อสอบถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ในตอนนั้น หลังจากนั้นพวกเขาก็เอ่ยชมฉินสือโอว


ตกเย็นไวส์ก็รีบมาหาฉินสือโอว เขาถามขึ้นว่า “อะจารย์ มีคนบอกว่าคุณฆ่าฉลามตัวใหญ่ในป่า ใช่ไหมครับ? คุณใช้พลังอะไรงั้นเหรอ? ใช่สิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกรไหม?”


ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา นี่เป็นการบิดเบือนความจริงชัดๆ ตอนนี้ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่ออกมาจากปากของเด็กคนนี้จะกลายเป็นเรื่องอะไรไปแล้วบ้าง กิจกรรมที่รีสอร์ตจะมีมากมาย แต่หัวข้อบทสนทนานั้นมีน้อย เขาในตอนนี้เหมือนกลายเป็นเครื่องสร้างบทสนทนาไปแล้ว


ฉินสือโอวอธิบายออกมาว่าพวกเขาไม่ได้เจอกับฉลาม พวกเขาเจอเพียงปลากระเบนหนึ่งตัวเท่านั้น เขาไม่ได้ฆ่าปลาตัวนั้นตาย เพียงแค่ไปช่วยคนจมน้ำขึ้นมาก็เท่านั้น


ไวส์ผิดหวังนิดหน่อย ฉินสือโอวลูบหัวของเขา แล้วพาเขาเดินตามตัวเองออกประตูมาข้างนอก


นอกประตูมีชั้นวางของที่ทำจากเหล็กอยู่อันหนึ่ง และมีอิฐสีแดงวางอยู่บนนั้นหนึ่งก้อน


ฉินสือโอวถูมือทั้งสองข้าง แสดงท่าทางให้ไวส์มองไปยังอิฐก้อนนั้น เขายืนกางขาทั้งสองข้างอยู่ในท่าหม่าปู้ เขาหายใจเข้าลึกเสียงดัง แล้วฝ่ามือของเขาก็ฟันลงไปยังอิฐก้อนนั้น


‘แคร็ก’ เกิดเสียงแตกดังขึ้น อิฐแตกออกเป็นสองส่วนง่ายดาย เศษผงอิฐกระจายไปทั่ว!


เมื่อเห็นภาพนั้น ไวส์ก็หน้าแดงขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นทันที เขาปรบมือเล็กของตัวเองเสียงดัง พลางพูดออกมาว่า “สุดยอด! อะจารย์คุณสุดยอดมาก!”


เสียงปรบมือดังขึ้นมาจากทั่วทุกทิศทาง บิลลี่และคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ พากันผิวปากส่งเสียงเชียร์ออกมา ที่ด้านข้างยังมีคนปรบมือเสริมอีกด้วย พี่น้องฮิลตันที่บังเอิญอยู่ด้านนอก ก็ปรบมือให้เขาด้วยเช่นกัน และนิกกี้ก็ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกภาพไว้


ฉินสือโอวที่เป็นปรมาจารย์ฮวงเฟยหงรุ่นแรกชูหมัดขึ้นแล้วยิ้มไปรอบๆ เขาพูดขึ้นว่า “เกินไปแล้ว เกินไปแล้ว!”


ไวส์วิ่งมาหยิบก้อนอิฐทั้งสองส่วนขึ้นมาดูด้วยความตื่นเต้น หลังจากนั้นเขาก็เงยหน้าตาโตขึ้นมาถามว่า “อะจารย์ เมื่อไหร่คุณจะแสดงการฟันก้อนหินก้อนใหญ่ให้แตกเป็นเสี่ยงๆ บนหน้าอกให้ผมดูเหรอครับ?”


ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของฉินสือโอวซึมลงทันที!


การฟันอิฐด้วยมือข้างเดียวหนึ่งก่อนนี้ ก็ทำเอาฉินสือโอวหมดแรงแล้ว แม้ว่าอิฐที่เขาเลือกก้อนนี้จะมีรอยต่อตรงกลาง แน่นอนว่าช่องว่างนั้นค่อนข้างเล็ก เย็นแล้วแสงจากดวงไฟทำให้สังเกตเห็นได้ยาก


เรื่องฟันหินลงบนหน้าอกเขาไม่ได้กดดันมาก แต่ว่านั่นมันลำบากเกินไป เขาไม่ได้เป็นนักแสดงข้างถนนเสียหน่อย!


ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ไวส์ก็ไม่ยอมกลับไปนอน เขาอยากนอนที่ห้องของอาจารย์ จอร์จก็ไม่ได้บังคับเขาเช่นกัน หลังจากกำชับไวส์ว่าต้องห่มผ้าตอนนอนแล้วเขาก็กลับไป


ฉินสือโอวถ่ายทอดพลังโพไซดอนให้ไวส์อีกนิดหน่อย หลังจากนั้นก็สอนไทเก๊กให้เขาอย่างช้าๆ ตอนนั้นไม่ว่าไวส์จะเข้าร่วมกิจกรรมอะไรก็ไม่เป็นปัญหาแล้ว


สองสามวันถัดมาไม่ได้มีอะไรมากมาย มีเพียงงานเลี้ยงสังสรรค์ตอนเย็นเท่านั้น ทุกคนมาที่นี่ก็เพื่อขยายความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ พวกเขาไม่ปล่อยโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์แบบนี้หลุดลอยไปแน่นอน


ฉินสือโอวมีท่าทีสงบลงและทำเพียงพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ คนที่เขาควรรู้จักก็ได้รู้จักแล้ว คนที่ควรสานสัมพันธ์ด้วยก็ได้ทำแล้ว แบบนี้เขาเลยคิดอยากจะกลับบ้านใจจะขาด จึงตัดสินใจว่าจะกลับก่อนกำหนด


บทที่ 973 เดินทางกลับบ้าน

Ink Stone_Fantasy

การประชุมประจำปีของบริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรสจัดขึ้นทั้งหมดสิบวัน ฉินสือโอวอยู่ที่นี่แล้วหกวัน แต่เขาตัดสินใจที่จะกลับก่อน


การเดินทางกลับก่อนถือเป็นเรื่องปกติมากของการประชุมประจำปีเช่นนี้ และก็มีคนที่มาสายด้วยเช่นกัน ผู้ร่วมงานล้วนแต่เป็นผู้บริหารระดับสูง งานสำคัญที่จะต้องไปจัดการอาจจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นงานประชุมประจำปีนี้ก็ต้องหลีกทางให้เป็นธรรมดา


คนที่ถือเป็นที่สุดก็คือเศรษฐีชาวรัสเซียคนหนึ่ง เขามาเพียงสองวัน แล้วเขาบอกว่าเขาต้องสร้างความทรงจำที่ดีให้แก่ประธานาธิบดีปูตินในงานประชุมด้านพลังงานชั่วคราว ดังนั้นเขาจึงรีบกลับไปยังมอสโกด้วยความเร่งรีบ


ตอนที่ฉินสือโอวจะกลับเขาก็อยากบอกเหลือเกินว่าตัวเองมีนัดกับผู้บริหารคนสำคัญสักคน แต่น่าเสียดายที่คนใหญ่คนโตที่เขารู้จักอยู่ที่นี่หมดทุกคน ส่วนสหายอย่างนายกเทศมนตรีแฮมเล็ตน่ะเหรอ? ในสายตาของคนเหล่านี้พวกเขาถือว่าแฮมเล็ตเป็นเพียงตัวตลกเท่านั้น


ดังนั้นฉินสือโอวจึงเลือกที่จะใช้เหตุผลจริงๆ เขาบอกกับเคนเนดี ประธานบริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรสว่า ภรรยาของเขาท้องได้แปดเดือนแล้ว เขาไม่สามารถทนทุกข์จากความคิดถึงเธอได้ จึงจำเป็นต้องรีบกลับก่อน


เคนเนดียิ้มออกมาด้วยความเกรงใจ เขาตอบกลับว่า “ฉิน เหมือนที่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน คุณเป็นคนดี เป็นผู้ชายที่ดี เป็นสามีที่ดี ผมจัดงานประชุมมาแล้วไม่รู้ตั้งกี่ร้อยครั้ง แต่คุณเป็นคนแรกที่กลับบ้านก่อนเพราะคิดถึงภรรยา”


เมื่อคิดถึงวินนี่ที่กำลังท้องโตอยู่ ฉินสือโอวก็อยากกลับบ้านใจจะขาด เขาพูดกลั้วหัวเราะว่า “เธอเป็นสิ่งมีค่าสำหรับผม เป็นของขวัญที่พระเจ้าทรงมอบให้ ผมรักเธอ ดังนั้นตอนนี้ผมอยากที่จะคอยอยู่ข้างเธอ”


เมื่อบอกกับเคนเนดีแล้ว ฉินสือโอวก็ไปบอกไวส์ เมื่อได้ยินว่าเขาจะกลับแคนาดา ไวส์ก็รีบหันหลังแล้ววิ่งออกไปทันที ฉินสือโอวรู้สึกมึนงง ไอ้ตัวเล็กนี่ เปลี่ยนมาไม่รู้จักกันหรือว่าเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ? เขายังไม่ได้ไปไหนเลย ทำไมเขาถึงวิ่งไปแบบนั้น?


ปรากฏว่าไม่นาน ไวส์ก็สะพายกระเป๋าเป้ใบหนึ่งแล้ววิ่งกลับมาด้วยท่าทางตื่นเต้น แล้วถามออกมาว่า “อะจารย์ พวกเราจะไปกันเมื่อไหร่ครับ?”


เป็นศิษย์ที่ดีจริงๆ! ฉินสือโอวรู้สึกซาบซึ้งใจ ลูกศิษย์คนนี้รักเขาจริงๆ แม้แต่พ่อของตัวเองก็สามารถทิ้งได้


แต่ว่าเขาไม่สามารถพาไวส์ไปได้ เขาโน้มตัวลงแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ศิษย์น้อย อาจารย์จะกลับไปคนเดียวก่อน นายอยู่ที่นี่พักผ่อนกับพ่อให้ดี ต่อไปถ้าพวกเรามีวาสนาต่อกันคงได้เจอกันอีก”


ไวส์ส่ายหัวไปมาราวกับกลองเม็ด “อะจารย์ คุณก็ไม่ได้ไปไหนไกล ทำไมพวกเราต้องให้วาสนาพาเรามาเจอกันด้วยล่ะ? ผมกับคุณกลับบ้านด้วยกันดีไหมครับ? ไปหาอะจารย์หญิง ผมจะเป็นเด็กดี อะจารย์หญิงจะต้องชอบผมแน่”


ฉินสือโอวรู้ว่าต่อให้เขาอนุญาต จอร์จก็ไม่มีทางอนุญาตแน่นอน ไวส์มีโรคประจำตัว ไม่สามารถห่างจากเขาได้


ดังนั้นเขาเลยพูดชักแม่น้ำทั้งห้า โทรหาจอร์จให้มาเรียกไวส์กลับไป ทั้งสองคนช่วยกันพูดโน้มน้าว แต่ไวส์ดื้อด้านในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรเขาก็จะไม่อยู่ที่นี่ เขาจะเดินทางไปกลับอาจารย์ของเขา


ฉินสือโอวพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ไวส์ นายคิดขัดคำสั่งของอาจารย์งั้นเหรอ? อาจารย์บอกให้นายอยู่ นายก็ต้องอยู่!”


ไวส์เงยหน้ามองเขา ดวงตากลมแดงระเรื่อ เขาพูดพลางสะอึกสะอื้นว่า “ผมไม่อยากอยู่ อะจารย์ อยู่ที่นี่ไม่สนุกเลยสักนิด สู้ผมไปฝึกวิชากับอาจารย์ดีกว่า จากนั้นผมก็จะเป็นฮีโร่! อีกอย่าง เรียนกับอาจารย์ ร่างกายของผมสบายขึ้นมา ได้ผมกว่ากินยาเยอะเลย! คุณไปแล้ว ผมก็ทำได้เพียงกินยาเท่านั้น แถมยังต้องผ่าตัดอีก! ผมไม่อยากเป็นแบบนั้น”


ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกถ่ายทอดพลังโพไซดอนให้ไวส์ปรับสภาพร่างกายมาห้าหกวัน นี่เป็นผลลัพธ์แรกที่เห็น อย่างน้อยตอนนี้สีหน้าของไวส์ก็ดีขึ้นมาก เวลาออกกำลังกายหน้าก็จะแดงระเรื่อขึ้นมา ไม่เหมือนตอนที่เจอกันใหม่ๆ วิ่งไปไม่กี่ก้าวหน้าก็ซีดจนน่าตกใจแล้ว


จอร์จมองไปยังลูกชายของตัวเอง เขาลังเลอยู่พักใหญ่ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไวส์ ฟังนะ แม่ของลูกยังอยู่ที่ชิคาโก้ไม่ใช่เหรอ? พวกเรากลับไปหาแม่เพื่อคุยเรื่องการรับลูกเป็นศิษย์กันเถอะ พอถึงตอนนั้นค่อยพาลูกมาหาอะจารย์ของลูกดีไหม?”


เมื่อได้ยินดังนั้น ไวส์ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาเล็กน้อย เขามองไปยังชายแก่ด้วยความสงสัยพลางถามขึ้นว่า “พ่อไม่หลอกผมใช่ไหม?”


จอร์จยิ้มออกมาแล้วตอบกลับว่า “แน่นอน กลับชิคาโก้ก่อนเถอะ หลังจากนั้นพ่อจะส่งลูกไปหาอะจารย์”


ไวส์พยักหน้าเบาๆ เขาปล่อยมือจากชายแขนเสื้อของฉินสือโออย่างไม่เต็มใจ และพูดออกมาอย่างอาลัยอาวรณ์ว่า “อะจารย์ ผมจะฝึกกำลังภายในตามที่คุณสอนอย่างตั้งใจ คุณรอผมก่อนนะ เราจะได้เจอกันเร็วๆ นี้แน่”


ฉินสือโอวยิ้มออกมาพลางพยักหน้า ดูท่าทางแล้วเขาก็เศร้าไม่น้อยเหมือนกัน


จอร์จรู้สึกเสียดายนิดหน่อย เขาจึงพูดออกมาว่า “ไม่คิดเลยว่าพวกเราเจอกันเพียงไม่กี่วัน ก็เกิดเป็นความสัมพันธ์ลึกซึ้งเช่นนี้แล้ว ฉิน คุณอย่าพึ่งลืมพวกเราล่ะ ผมจะพาไวส์ไปแน่นอน”


ฉินสือโอวัดชายแขนเสื้อพลางพูดว่า “ไม่หรอก จอร์จ คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมก็เสียใจเหมือนกัน เสียใจที่ปล่อยให้เด็กดื้อคนนี้ดึงชายเสื้อผ้าของผมจนกลายเป็นเศษผ้าไปเลย นี่เสื้อแบรนด์ดังเลยนะ ไนกี้เลยน่ะ!”.


จอร์จ “…”


ฉินสือโอวพูดล้อเล่น ในที่สุดบรรยากาศของความกังวลก็จางลง


เหมาเหว่ยหลง บิลลี่และคนอื่นๆ อยู่ที่นี่จนวันสุดท้าย สำหรับพวกเขาแล้ว งานประชุมประจำปีของบริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรสถือว่าเป็นงานที่สำคัญที่สุดงานหนึ่งของปี ความสัมพันธ์ของแต่ละคนสามารถเติบโตได้จากที่นี่ สำหรับพวกเขางานประชุมในช่วงเวลาอื่นๆ ของปีไม่สามารถเทียบเท่ากับงานนี้ได้เลย


ฉินสือโอวกลับไปยังนครเซนต์จอห์นคนเดียว แต่บริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรสก็ยังคงจัดการเครื่องบินไปส่งเขา และเป็นเครื่องบินส่วนตัวรุ่นโกลบอล เอ็กซ์เพรส เอ็กอาร์เอสอีกด้วย


เขาคิดว่าเขากลับคนเดียว แต่ปรากฏว่าตอนที่กำลังจดเรียงกระเป๋าอยู่ เขาก็เห็นว่ามีคนรอเขาอยู่ ที่แท้ก็เป็นแบรนดอน


“นายก็กลับเหมือนกันเหรอ?” ฉินถามออกมาด้วยความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด สำหรับแบรนดอนที่อยู่ในวงการอุตสาหกรรมการเงินแล้ว ที่นี่ถือว่าเป็นสวรรค์ชัดๆ


แบรนดอนพูดขึ้นอย่างอาลัยอาวรณ์ว่า “กิจกรรมที่นี่ค่อนข้างหรูหราและเสี่ยงเกินไป ไม่เหมาะกับคนใสซื่ออย่างฉัน”


“คนไม่ดีที่ใสซื่องั้นสิ?” ฉินสือโอวพูดแซวออกมา


เขาคิดว่าแบรนดอนมีงานที่ต้องไปอย่างเร่งด่วน แต่ว่าเมื่อขึ้นเครื่องบินแล้ว แบรนดอนกลับพูดคุยอย่างกระตือรือร้นกับแอร์โฮสเตสบนเครื่องบินตลอด เรื่องที่พูดคุยก็หนีไม่พ้นคุณทานอะไร ผมทานอะไร คุณไม่ชอบทานอะไร ผมชอบทานอะไรไร้สาระพวกนั้น


ฉิอสือโอวผายมือออก ให้แบรนดอนได้มีเวลาในการหยอกล้อสาวๆ


ดูจากอายุของแบรนดอนแล้วหันไปมองอายุของเหล่าแอร์โฮสเตส ฉินสือโอวนึกขึ้นมาในใจว่าโคแก่กินหญ้าอ่อนชัดๆ หลังจากนั้นเขาก็สวมผ้าปิดตาเพื่อหลีกเลี่ยงการเห็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม


เมื่อกลับมาถึงนครเซนต์จอห์น ที่นี่เป็นช่วงวันแรกในการเปลี่ยนจากฤดูร้อนมาเป็นฤดูหนาว


คลื่นความร้อนหายไปแล้ว มันถูกแทนที่ด้วยลมหนาวที่เย็นเข้ากระดูก ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนมาอ่อนกำลังลง ไม่เหมือนดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรงและยิ่งใหญ่ที่ออสเตรเลีย เมื่อเดินออกมาจากสนามบินแล้วมองไปรอบๆ ด้าน ท้องฟ้าไม่ได้เป็นสีขาวดำแต่เป็นสีฟ้าๆ เทาๆ ไม่ได้มีสีห้าหกสีที่ดูหลากหลายเหมือนกับที่เกรตแบร์ริเออร์รีฟ


ฉินสือโอวสูดลมหายใจเข้าลึก อากาศหนาวเย็นผ่านเข้าทางจมูกลงไปยังปอดของเขา ที่นี่ไม่สามารถได้รับไอร้อนจากน้ำทะเลเหมือนกับที่เกรตแบร์ริเออร์รีฟ


เขาดูเวลา ตอนนี้ที่เกรตแบร์ริเออร์รีฟเป็นเวลาค่ำแล้ว ขึงปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไป จิตสำนึกแห่งโพไซดอนตรวจจับร่างของไวส์ได้ เขากำลังใจจดใจจ่อกับการฝึกหายใจในสระว่ายน้ำอยู่


ฉินสือโอวหัวเราะออกมา แล้วถ่ายทอดพลังโพไซดอนให้เขาอีกเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หาฝูงเต่าที่กำลังเดินทางอยู่


เต่าตนุยังคงรวมตัวกันอยู่ที่ด้านหลังของเต่ามะเฟือง ตอนนี้พวกมันเดินทางมาถึงด้านข้างของเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งแล้ว ที่นี่มีแมงกะพรุนลอยอยู่เป็นจำนวนมาก


เต่ามะเฟืองเร่งทำเวลาในการทานอาหาร ส่วนเต่าตนุทานสาหร่ายที่อยู่ตามรายทาง ตอนนี้มันไม่ได้หิว พวกมันเลยตัดสินใจขึ้นมาอาบแดดบนบก


ฉินสือโอวเดินออกมาจากสนามบิน เฮลิคอปเตอร์จอดรออยู่ไม่ไกล เบิร์ดยิ้มให้เขาพร้อมเอ่ยทักทาย


บทที่ 974 ดาวเคมิคอลมาแล้ว

Ink Stone_Fantasy

ฉินสือโอวขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไป พลางถามว่า “เฮ้ บิ๊กเบิร์ด ที่บ้านเป็นไงบ้าง?”


นามสกุลของเบิร์ดสะกดว่าเบิร์ดจริงๆ มันสามารถแปลว่า ‘นก’ ได้ อีกอย่างตอนที่เบิร์ดอยู่ในกองทัพชื่อเรียกของเขาก็คือบิ๊กเบิร์ด แน่นอนว่าเขาชอบเรียกตัวเองว่าอินทรีทอง แต่ว่าคนที่เขารู้จักกลับชอบเรียกเขาว่าบิ๊กเบิร์ด เพราะว่า ‘บิ๊กเบิร์ด’ ของเบิร์ดเป็นชื่อเดียวกับนักบาสเกตบอลชื่อดังระดับชาติ


“คุณจางนักบัญชีที่เพิ่งจ้างมาทำงานแล้ว ฮิวจ์คนน้องบอกว่าเขาทำงานได้ไม่เลวเลย เขาเป็นคนขยันและซื่อสัตย์มาก ตอนนี้เขายังไม่ได้สนใจธุรกิจร้านขายของชำมากนัก สองวันก่อนหน้านี้ที่นครเซนต์จอห์นมีหิมะตกลงมา แต่ว่าเป็นหิมะเล็กๆ ไม่สามารถเล่นรถเลื่อนได้ เรื่องนี้ทำให้พวกของเชอร์ลี่ย์เศร้ามาก…”


เบิร์ดเหมือนพ่อบ้านผู้ภักดี เขารายงานเหตุการณ์ในฟาร์มปลาและเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองทุกอย่างในช่วงที่ฉินสือโอวไม่อยู่


อันที่จริงไม่ได้มีเรื่องใหญ่โตอะไร ล้วนแต่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านเท่านั้น เช่นเพราะว่าหิมะตกวันเว้นวัน เครื่องทำความร้อนในเมืองจึงเกิดปัญหา ช่วงนี้ทุกคนจึงคิดจะประท้องขึ้นมาอีกครั้ง และเช่นว่าสองสามวันก่อนลูกของบูลหนาวจนเป็นไข้หวัด บูลวิ่งวุ่นไปมาอย่างรีบร้อนและอื่นๆ


“มีคนต้องการซื้อโรงงานเพื่อทำโรงงานเคมี เขามาเพื่อเจรจากับฮานี่ย์ตัวแทนนายกเทศมนตรี แต่ว่าฮานี่ย์ปฏิเสธกลับไปแล้ว” เรื่องสุดท้ายที่เบิร์ดพูด เป็นเขาดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่ง


อันที่จริงแล้ว ฉินสือโอวสนใจเรื่องนี้ จึงถามออกมาว่า “ใครอยากจะซื้อพื้นที่โรงงานนั้นเหรอ? วัตถุประสงค์คืออะไร?”


เบิร์ดบอกว่า “ผมได้ยินมาว่า เป็นบริษัทดาวเคมิคอลของแคนาดา พวกเขาตั้งใจที่จะโอนสายการผลิตจากรัฐออนแทรีโอมาที่นี่ เขาชอบความสะดวกสบายของการคมนาคมและการกำจัดของเสียของเกาะเรา”


ดาวเคมิคอลเป็นบริษัทที่มีเคมีภัณฑ์หลากหลาย เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีพนักงานกว่าห้าหมื่นคนทั่วโลก แต่ว่าฉินสือโอวไม่สนใจว่าพวกเขาจะเก่งกาจแค่ไหน อีกอย่างที่ดินบนเกาะแฟร์เวลก็เป็นของเขา โรงงานเคมีจึงไม่เป็นที่ต้อนรับอยู่แล้ว


พูดถึงอุตสาหกรรมเคมี ต้องขอพูดถึงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของแคนาดาสักหน่อย อุตสาหกรรมเคมีเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่อุตสาหกรรมหนึ่ง นับเป็นสามส่วนของสินค้าส่งออกมาทั้งหมด มีโรงงานกว่าสามพันแห่งและคนงานกว่าหนึ่งแสนคนในแคนาดา


อุตสาหกรรมเคมีของแคนาดากระจุกอยู่ตามสามภูมิภาคดังนี้ รัฐออนแทรีโอ รัฐควิเบกและรัฐแอลเบอร์ตา ในแต่ละภูมิภาคมีจุดเด่นและข้อได้เปลี่ยนที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองแตกต่างกันออกไป


พื้นที่ตอนกลางของแคนาดาเป็นเขตที่มีการทำโรงงานเคมีมากที่สุด เป็นพื้นที่แปรรูปน้ำมันชั้นนำ และเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมพลาสติกรวมถึงเป็นที่ตั้งของโรงงานเคมีใหญ่ๆ ถึงสิบบริษัทด้วยกัน พื้นที่ทางตะวันตกเป็นเขตอุตสาหกรรมผลิตปีโตเคมีที่ใหญ่ที่สุด ด้วยการหล่อเลี้ยงของโครงสร้างพื้นฐานการวิจัยที่แข็งแกร่งและการศึกษาของประชากรที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้ศูนย์กลางแห่งนี้ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างมาก


ในอุตสาหกรรมนี้ เมืองซาเนียถือว่าเป็นศูนย์รวมโรงงานอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของแคนาดา เป็นศูนย์รวมการผลิตและการวิจัยเข้าด้วยกัน เป็นพื้นที่เดียวที่ตั้งอยู่ที่เขตชายแดนระหว่างแคนาดาและสหรัฐอเมริกา โดยที่แห่งนั้นเรียกว่า ‘เมืองแห่งอุตสาหกรรมเคมี’


โครงสร้างพื้นฐานสำหรับการแปรรูปปีโตเคมีของพื้นที่แห่งนี้ได้รับการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว มีถ้ำเกลือขนาดใหญ่อยู่ที่นี่หลายแห่ง และใกล้กับโรงกลั่นน้ำมันด้วย เพียงพอที่จะสามารถจัดหาวัตถุดิบในการผลิตก๊าซธรรมชาติเหลวได้ ท่าเรือบรรทุกน้ำมันที่อยู่นอกชายฝั่ง และเครือข่ายการคมนาคมที่มั่นคงต่างก็ต้องใช้วัตถุดิบจากน้ำมันดิบและน้ำมันหล่อลื่น


บริษัทดาวเคมิคอลแคนาดาที่ต้องการขยายฐานผลิตมายังเกาะแฟร์เวลก็ตั้งอยู่ที่นี่เช่นกัน นอกจากนั้นยังมีบริษัทน้ำมันอิมพีเรียล บริษัทอินวิสต้า บริษัทโนวาเคมีภัณฑ์ บริษัทรอยัลดัตช์เชลล์แคนาดาและโรงงานเคมีอื่นๆ อีกมากมาย


อันที่จริงแล้วเกาะแฟร์เวลเป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การตั้งโรงงานเคมีมาก การคมนาคมทางทะเลสะดวก ความเสี่ยงในการขนส่งต่ำ ความกดดันน้อย ต้นทุนต่ำ และเกาะเล็กๆ นี้ก็อยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับในการตั้งโรงงานเคมีที่มีความเสี่ยงสูงของรัฐบาลแคนาดา


นอกจากนี้โรงงานแห่งนี้ยังล้อมรอบไปด้วยทะเลทั้งหน้าและหลัง และยังสะดวกในการบำบัดสิ่งปฏิกูลมาก ไม่ว่าจะมองจากตรงไหน เกาะเล็กๆ นี้ก็ควรได้รับการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมเคมี


แต่ว่าฉินสือโอวไม่อนุญาต การพัฒนาการประมงกับการท่องเที่ยวก็ดีมากเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมจะต้องมีส่วนร่วมในการก่อตั้งและพัฒนาโรงงานเคมีที่น่ารังเกียจนี่ด้วย? แบบนั้นก็เป็นการทำลายเกาะนี้น่ะสิ


เบิร์ดไม่ได้เก็บเรื่องที่บริษัทดาวเคมิคอลแคนาดามาใส่ใจ เพราะว่าเขารู้สึกว่าอย่างไรผู้ว่าเมืองและนายกเทศมนตรีก็ไม่ยอมให้กลับมาเปิดโรงงานเคมีอีกแล้ว ดังนั้นโรงงานเคมีทั้งหลายก็ไม่สามารถมาสร้างที่นี่ได้อีก


ฉินสือโอวใจเย็นกว่าเบิร์ดมาก เขาพึ่งกลับมาจากงานเลี้ยงของกลุ่มคนรวยกลุ่มหนึ่ง สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคืออำนาจของพวกเขาในมือ แฮมเล็ตและฮานี่ย์ไม่สามารถต่อกรกับนักธุรกิจเหล่านี้ได้ ถ้าหากว่าดาวเคมิคอลอยากจะเปิดโรงงานที่นี่จริงๆ อย่างไรพวกเขาก็จะหาทางให้ได้


แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ต้องกังวลถึงปัญหานั้น ฉินสือโอวกลับมาถึงบ้านแล้ว เมื่อลงจากเฮลิคอปเตอร์ เจ้าสัตว์เลี้ยงทั้งหลายก็วิ่งเข้ามาล้อมเขาอย่างตื่นเต้น


ฉงต้าร้องครางออกมา หลังจากที่วิ่งมาถึงฉินสือโอวมันก็เกาะไหล่ของฉินสือโอวแล้วยืนขึ้น มันเกือบจะสูงเลยไหล่ของฉินสือโอวแล้ว เริ่มมีความเหมาะสมกับที่เป็นหมีแล้ว หากให้มันเข้าป่าไปตอนนี้ก็สามารถเป็นราชาได้แล้ว


แต่เห็นได้ชัดว่าฉงต้านั้นไม่คิดที่จะต้องการอำนาจนั้น มันพยุงให้ฉินสือโอวลุกขึ้น จากนั้นก็ถูคางของฉินสือโอวด้วยหัวโตที่เต็มไปด้วยขน มันยังคงน่ารักเหมือนตอนที่เขาเก็บมันมาเลี้ยงแรกๆ


แน่นอนว่าใครก็ตามที่คิดว่าฉงต้าเพียงแค่น่ารักเท่านั้น นั่นเป็นความคิดที่โง่เง่าที่สุด ฉินสือโอวนำของขวัญกลับมาด้วย กระเป๋าเป้ที่หลังเขาเป็นไปด้วยผลไม้จากออสเตรเลีย สัมผัสในการดมกลิ่นของฉงต้านั้นเร็วมาก มันสามารถได้กลิ่นผลไม้ทุกชนิดได้จากการดมครั้งเดียว


ฉินสือโอวทำได้เพียงหยิบผลลูกน้ำนมออกมาหนึ่งลูกแล้วแบ่งครึ่ง ฉงต้าเอื้อมอุ้งมือของตัวเองออกไปคว้าชิ้นหนึ่ง ปอหลัวก็อ้าปากแล้วคาบอีกครึ่งหนึ่งไป


ต้าป๋ายเดินตามหลังฉงต้าไปเงียบๆ ฉงต้าไม่ได้ทำตัวไม่ดีกับเพื่อนตัวเล็กตัวนี้ มันฉีกผลลูกน้ำนมออกมาหนึ่งชิ้นแล้วส่งให้ต้าป๋ายทันที


แมวป่าตัวน้อยกำลังน้อยที่อยู่เท้าของวินนี่ หลังจากที่มันเห็นฉินสือโอวมันก็รีบปีนขึ้นมาบนไหล่เขาอย่างรวดเร็ว


สองสามเดือนมานี้ แมวป่าอ้วนขึ้นนิดหน่อย เมื่อก่อนที่มันดูอ้วนเพราะว่าขนมันยาวเท่านั้น แต่ตอนนี้มันอ้วนจริงๆ หน้ากลมมน ตัวกลมเต็มไปด้วยเนื้อ วินนี่ไม่สามารถรับมือกับมันได้อีกต่อไป อีกทั้งเธอยังท้องอยู่จึงไม่สามารถกอดมันได้ ดังนั้นราชาเจ้าป่าซิมบ้าจึงเข้ามากอดฉินสือโอวแทน


ฉินสือโอวกอดราชาเจ้าป่าซิมบ้า นอกจากนี้ยังก้มลงไปกอดหู่จือเป้าจือและหัวไชเท้าน้อยอย่างรักใคร่ เรื่องนี้ทำให้เขาวุ่นวายมาก


วินนี่เดินมาหาพร้อมรอยยิ้ม พลางถามว่า “ชายหาดออสเตรเลียสวยไหมคะ? มีสาวสวยสวมบิกินีเยอะไหม? สนุกไหมคะ?”


ฉินสือโอวหัวเราะออกมา “ชายหาดที่สวยที่สุดนั้นอยู่ที่ฟาร์มปลาของผมเสมอ ส่วนสาวสวยสวมบิกินีน่ะเหรอ? อาจจะมี แต่ผมไม่ได้เห็น ผมเอาแต่เล่นก็เด็กๆ”


เขาเคยเล่าเรื่องของไวส์และเจ้าหญิงโลลิต้าให้วินนี่ฟังแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเขาคุยกันทุกวัน


เมื่อพูดถึงเด็กๆ มือถือของฉินสือโอวก็ดังขึ้น เขาเห็นว่าเป็นเบอร์แปลกจากยุโรป เมื่อรับสายเสียงของเจ้าหญิงโลลิต้าก็ดังขึ้นมา “ทำไมคุณถึงเพิ่งเปิดมือถือล่ะ? คุณลุง ฉันได้ยินอาฟิฟบอกว่าคุณกลับไปแล้วเหรอคะ? ทำไมล่ะ? ทำไมคุณไม่มาบอกลาฉันเลย? พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ”


ฉินสือโอวบอกกับอาฟิฟแล้วเรื่องที่เขาจะกลับบ้าน ดูเหมือนว่าอาฟิฟจะเอาเรื่องนี้ไปบอกเจ้าหญิงโลลิต้าไม่ทัน


ดังนั้น ฉินสือโอวเลยอธิบายทางโทรศัพท์ไปสองสามประโยค นอกจากนี้ก็เชิญให้พวกเขามาเล่นที่ฟาร์มปลาเมื่อมีเวลาว่างด้วย เขาบอกว่าฟาร์มปลาของเขาก็มีปะการังและยังมีปลาอีกมากมายที่ไม่มีที่เกรตแบร์ริเออร์รีฟ


เจ้าหญิงโลลิต้าตอบตกลงทันทีด้วยความดีใจ จากนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างเศร้าสร้อยว่า “ฉันไม่รู้ว่าจะได้ไปหรือเปล่า ท่านพ่อท่านแม่เข้มงวดมาก มีหลายที่ที่พวกท่านไม่อนุญาตให้ไป แต่ว่าฉันจะหาวิธี ฉันจะไปหาคุณลุงที่ฟาร์มปลาให้ได้”


ฉินสือโอวยิ้มให้ขณะที่เอ่ยเชิญชวน เมื่อวางสายไป เขาก็เห็นวินนี่มองมายังเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม


บทที่ 975 หญิงเหล็กแห่งเกาะแฟร์เวล

Ink Stone_Fantasy

ฉินสือโอวยื่นนิ้วลูบไล้บนใบหน้าของวินนี่พร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณไม่กินน้ำส้มสายชูใช่ไหม?”


“ถ้าฉันชอบกินน้ำส้มสายชูขนาดนั้น ครั้งนี้คงได้ลูกชายแน่ๆ กินเปรี้ยวได้ลูกชายกินเผ็ดได้ลูกสาวใช่ไหมคะ?” วินนี่ยิ้มออกมา พูดถึงเรื่องลูกแล้วเหล่าว่าที่คุณแม่ก็มักจะมีท่าทีสุขใจ


ฉินสือโอวอธิบายโดยไม่ต้องให้วินนี่ถาม “โทรศัพท์จากเจ้าหญิงน้อยแห่งดูไบ สาวน้อยที่แสนโดดเดี่ยว” เขาคิดแล้วพูดเสริม “เด็กกว่าเชอร์ลี่ย์อีก”


พอกลับถึงบ้านแล้วฉินสือโอวก็ไปอาบน้ำ แบบนี้ทำให้เขาคิดถึงเกรตแบร์ริเออร์รีฟอยู่บ้าง การอาบน้ำที่เกรตแบร์ริเออร์รีฟสามารถใส่ชุดคลุมอาบน้ำเดินเตร่ไปทั่วลาน ส่วนที่นิวฟันด์แลนด์เป็นการอาบน้ำในห้องกระจกอาบเสร็จแล้วพอออกมาจากห้องน้ำก็อาจจะหนาวจนตัวสั่นได้


ฉินสือโอวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปที่ห้องรับแขก จึงเห็นว่าในบ้านมีข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารรัฐวางเรียงรายอยู่


เขาพลิกขึ้นมาดูเป็นลายมือของวินนี่และมีการเน้นข้อความสำคัญและจดสรุปไว้หลายที่


ฉินสือโอววางลงอย่างประหลาดใจแล้วถาม “เฮ้ที่รัก ทำไม่อยู่ๆ คุณก็สนใจเรื่องพวกนี้ขึ้นมาล่ะ?”


วินนี่ถามพร้อมอมยิ้ม “คุณทายดูสิคะ?”


ฉินสือโอวยักไหล่พร้อมพูดออกมาเรื่อยเปื่อย “หรือว่าบ้านเราจะมีบารอเนสแทตเชอร์?”


“สำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอังกฤษน่ะฉันไม่สนใจหรอก ที่ฉันสนใจคือตำแหน่งนายกเทศมนตรีต่างหาก ในประวัติศาสตร์ของเกาะแฟร์เวลยังไม่เคยมีนายกเทศมนตรีหญิงเลยนะคะ” วินนี่หยิบสมุดบันทึกหนังสีดำขึ้นมาสะบัดไปมาแล้วเปิดดู


ฉินสือโอวเข้าใจเจตนาของเธอแล้วก็ตะลึง “ที่รัก คุณไม่ได้คิดจะลงเลือกตั้งนายกเทศมนตรีของเกาะแฟร์เวลหรอกใช่ไหม?”


วินนี่ดีดนิ้วยักคิ้วพร้อมพูดด้วยยิ้มอ่อนๆ “บิงโก คุณทายถูกค่ะ!”


ฉินสือโอวขำอย่างกลั้นไม่อยู่ เขารับสมุดของวินนี่พลางจูงมือเธอแล้วพูด “อย่าทำอย่างนี้สิ ผมเข้าใจคุณนะที่รัก ที่จริงผมก็ไม่ได้สนใจข้อเสนอของแฮมเล็ต ผมแค่เป็นพวกขี้กลัวที่กลัวว่าจะมีคนมาทำลายฟาร์มปลาของพวกเรา ความจริงแล้วผมรู้ว่านี่มันเป็นไปไม่ได้”


ก่อนหน้านี้วินนี่ไม่เคยแสดงท่าทีว่าสนใจเรื่องการปกครองและการบริหารเลย อยู่ๆ ตอนนี้ก็สนใจขึ้นมาแน่นอนว่าต้องอยากช่วยแบ่งเบาความลำบากของเขา


หลังจากฉินสือโอวคุยกับแฮมเล็ตแล้วที่จริงเขาก็มีความคิดเกี่ยวกับการลงเลือกตั้งนายกเทศมนตรีของเกาะแฟร์เวลอยู่บ้าง แต่เขาคิดว่าการเป็นนายกเทศมนตรีแค่ออกคำสั่งก็พอแล้วซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นแบบนั้น


ไม่ต้องพูดไปไกลดูแค่ใกล้ๆ อย่างเรื่องที่เครื่องทำความร้อนของเมืองมีปัญหาประชาชนถึงกับจะไปประท้วงในเมือง ถึงเวลานั้นความกดดันก็คงตกอยู่ที่นายกเทศมนตรี


เขามาที่เกาะแฟร์เวลาเพื่อมีความสุขกับชีวิตไม่ได้มาลำบากลำบนสร้างเมือง


ดังนั้นเมื่อเข้าใจสถานการณ์ของนายกเทศมนตรีแล้ว เขาก็ไม่มีความสนใจในอาชีพนี้อีกต่อไป เพราะเขารู้ว่าเมื่อเป็นนายกเทศมนตรีเขาก็จะไม่มีเวลาและกำลังในการบริหารฟาร์มปลา


วินนี่เองก็เข้าใจเหตุผลข้อนี้เธอจึงอยากทำให้ความปรารถนาของฉินสือโอวให้สำเร็จ เธอจะลงเลือกตั้งและเธอเองก็ได้รับความนิยมในเมือง ถ้าเธอลงสมัครเลือกตั้งไม่แน่ว่าอาจจะกวาดคะแนนได้ทั้งหมด


ฉินสือโอวไม่อยากให้วินนี่ต้องมาลำบากอย่างนี้


วินนี่ลูบมือปลอบเขาแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “ที่จริงแล้วงานของนายกเทศมนตรีไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คุณคิดหรอก เข้าใจยากแต่ทำง่ายพอทำแล้วคุณก็จะพบว่ามันง่ายมาก ฉันเคยไปดูตอนแฮมเล็ตเป็นนายกเทศมนตรี ในหนึ่งสัปดาห์เขาทำงานไปยี่สิบห้าชั่วโมงได้!”


“สั้นขนาดนั้นเชียว ไม่ใช่มั้ง?” ฉินสือโอวถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ ยี่สิบห้าชั่วโมงวันหนึ่งทำงานไม่ถึงสี่ชั่วโมงก็พอแล้ว


วินนี่เสยผมอย่างภูมิใจพลางพูด “ฉันอาจจะโดดเด่นกว่าเขาก็ได้! คอยดูเถอะบางทีหลายปีผ่านไปผู้คนอาจจะเรียกฉันว่าหญิงเหล็กแห่งเกาะแฟร์เวลก็ได้นะ?”


ฉินสือโอวหัวเราะเขารู้นิสัยวินนี่ที่เป็นคนอ่อนนอกแข็งในถ้าเกิดแข็งขึ้นมาจริงๆ เขาก็ต้องยอมให้ ในเมื่อเธอตัดสินใจว่าอยากลองบริหารรัฐก็ให้เธอลองดูแล้วกัน เขาเชื่อว่าผู้หญิงอีคิวสูงอย่างวินนี่จะสามารถแบ่งสันเวลาทำงานและการใช้ชีวิตได้


การเป็นนายกเทศมนตรีของเมืองที่แคนาดาไม่นับว่าเป็นการเข้าสู่เวทีการเมือง พูดได้แค่ว่าเป็นส่วนงานบริหารรัฐเท่านั้น


ฉินสือโอวเป็นคนเตรียมอาหารเย็น เขาเข้าไปดูที่โรงเรือนปลูกผัก แตงกวาที่เพิ่งออกดอกเมื่อฤดูใบไม้ร่วงตอนนี้ออกผลแล้ว ผลแตงกวาสีเขียวเข้มแต่ละลูกแขวนอยู่บนคานอย่างเงางาม


ปกติแล้วแตงกวาจะปลูกในช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้วเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูใบไม้ร่วง แต่อย่างไรเสียพอถึงตอนที่อุณหภูมิต่ำโรงเรือนก็จะเพิ่มอุณหภูมิขึ้น โรงเรือนเทคโนโลยีระดับสูงบวกกับพลังแห่งโพไซดอนเป็นองค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบ


เก็บฟักไปลูกหนึ่งก็กินไปได้หลายมื้อแล้ว ฉินสือโอวเตรียมทำต้มฟักกระดูกหมู ตุ๋นแล้วใส่ฟักลงไปเหมาะที่จะให้วินนี่ดื่มเป็นที่สุด


ปอหลัวเดินตามหลังฉินสือโอวมาอย่างสบายใจเห็นอะไรน่ากินก็อ้าปากกว้างๆ กินเข้าไป


เพราะในโรงเรือนปลูกเบอร์รีพุ่มเล็กอย่างพวกสตอว์เบอร์รีไว้ ฉงต้าเลยรู้สึกน้ำลายไหลตอนที่มาที่นี่ตลอด แต่ฉินสือโอวไม่อนุญาตให้มันเข้ามา เจ้านี่ตัวใหญ่ขนาดนี้ พุ่งเข้ามาอย่างไม่ระวังไปเหยียบผักหรือแตงเข้ายังพอว่า แต่ถ้ามันพังโรงเรือนขึ้นมาจะทำยังไง?


ฉงต้าปีนมาที่ประตูกะว่าจะลองเข้ามาแต่ปอหลัวเห็นเข้าเลยวิ่งไปอย่างรีบร้อนแล้วเอาเขากดที่พื้นดันฉงต้าไปด้านนอกราวกับเครื่องดันดิน


ฉงต้าหมอบอยู่ที่ประตูอย่างดื้อด้าน ตบอุ้งเท้าอย่างแรงเพื่อจะผลักปอหลัวออกไป ฉินสือโอวออกมาแล้วตีก้นมันไปสองครั้งพร้อมออกคำสั่ง “รอที่ประตู ห้ามเข้า!”


ฉงต้าย่นจมูกนั่งหันหลังให้ฉินสือโอวอย่างไม่พอใจ มองเทือกเขาเคอร์บัลอย่างเจ็บปวด ท่าทางอยากจะกลับบ้าน


ฉินสือโอวกลับไปเก็บแตงกวามาหนึ่งเถาและสตรอว์เบอร์รีอีกหนึ่งกำมือ ฉงต้ามุดหัวอยู่ในอ้อมแขนกินอย่างสำราญใจ ลืมเรื่องที่ฉินสือโอวตีสองครั้งไปสนิท


“จำแค่เรื่องกิน ไม่ต้องจำเรื่องตีนะ!” นายท่านฉินตบหน้าผากด้วยความปวดหัว ฉงต้าตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็สั่งสอนยากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย


สัตว์ก็มีช่วงดื้อรั้นเหมือนคนตัวอย่างเช่นแลบราดอร์ ช่วงดื้อรั้นของพวกมันอยู่ที่ประมาณหนึ่งขวบครึ่งซึ่งก็คือตอนนี้ ช่วงดื้อรั้นของหมีสีน้ำตาลอยู่ที่สองถึงสามขวบ ตอนนี้ฉงต้ายังอยู่ในช่วงว่านอนสอนง่ายรอให้มันถึงช่วงดื้อรั้นก็จะสูงใหญ่พอๆ กับฉินสือโอวแล้ว!


ความปวดหัวของฉินสือโอวในตอนนี้ก็คือในตอนนั้น


พาปอหลัวกลับเข้ามาด้านในฉินสือโอวอยากขุดมันฝรั่งเลยชี้ไปที่พื้น ปอหลัวใช้จมูกดมพอเจอหัวมันฝรั่งก็ใช้เขาขุดลงไปแล้วเงยหัวขึ้นช้าๆ เอามันฝรั่งขึ้นมา


ฉินสือโอวลูบที่หัวของมันแล้วพูด “ไม่เลว นับว่ายังมีประโยชน์หน่อย”


ฉินสือโอวได้ความคิดจากวิธีขุดมันฝรั่ง เขาพาปอหลัวเข้าไปด้านในอยากได้อะไรก็ชี้ให้ปอหลัวดู ฟันหน้าของกวางอูฐแหลมคมมากเพราะพวกมันต้องกัดรากหญ้ากินอยู่บ่อยๆ ดังนั้นปอหลัวจึงเป็นมือดีในการเก็บผลแตง


ผลไม้หรือแม้แต่เถาองุ่นหลัวปอก็เข้าไปเก็บอย่างระวัง พอขบฟันได้พอดีก็จะมีแตงกวาหรือมะเขือเทศหล่นลงมา จากนั้นมันก็เอาส่งให้ฉินสือโอวอย่างนุ่มนวล แบบนี้แบ่งเบางานของนายท่านฉินไปได้เยอะทีเดียว!


บทที่ 976 ฝูงปลาค็อดที่ยิ่งใหญ่

Ink Stone_Fantasy

ฉินสือโอวเตรียมอาหารทั้งโต๊ะอย่างตั้งใจ เขาตักต้มฟักกระดูกหมูขึ้นมาให้วินนี่แล้วตะโกนเรียกพวกเออร์บักมากินข้าว


ตอนกินข้าววินนี่บอกว่าเธอติดต่อเจนนิเฟอร์ให้ช่วยจองตั๋วเครื่องบินให้พ่อแม่และเชิญพวกเขามาฉลองปีใหม่ที่เกาะแฟร์เวลแล้ว


ตอนนี้ปลายเดือนมกราคมแล้วห่างจากวันตรุษจีนแค่ครึ่งเดือนกว่าๆ และก็เป็นช่วงเตรียมของตรุษจีนของที่บ้านเหมือนกัน ถ้าฉินสือโอวไม่เชิญทั้งสองมาฉลองตรุษจีนพวกเขาก็จะกำลังซื้อข้าวของเตรียมฉลองตรุษจีนอยู่ที่บ้าน


พูดถึงเจนนิเฟอร์ฉินสือโอวก็เสียดายอยู่นิดหน่อย สุดท้ายแล้วเขาก็ยังไม่ได้เจอเจนนิเฟอร์เสียที มาตรฐานงานเลี้ยงประจำปีของบริษัทเอ็กซ์เพรสครั้งนี้สูงมาก พนักงานบริการลูกค้าจึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้างาน


อีกอย่างคนอเมริกันมองหน้าที่บริการเป็นหลักสำคัญ พวกเขาจ่ายเงินไปมากพอแล้วก็ต้องได้รับการบริการที่คู่ควร ไม่จำเป็นต้องรู้สึกขอบคุณพนักงาน ใช่ว่าบริษัทเอ็กซ์เพรสจะไม่จ่ายเงินเดือนพวกเขา


ครอบครัวของพี่สาวต้องอยู่ฉลองตรุษจีนที่บ้านครั้งนี้เลยเป็นพ่อและแม่ของฉินสือโอวที่มา เจนนิเฟอร์ช่วยติดต่อสนามบินให้แล้ว พวกเขาแค่ต้องมาที่สนามบินเท่านั้น ส่วนกระบวนการทั้งหมดให้พนักงานต้อนรับเป็นคนรับผิดชอบมาส่งที่นครเซนต์จอห์นโดยตรง


ครอบครัวของวินนี่กลับไปก่อนหน้านี้ไม่นาน รอให้เธอคลอดค่อยมาอีกทีเพื่อให้ครอบครัวฉินสือโอวมีเวลาฉลองตรุษจีนได้อย่างเต็มที่


ฉินสือโอวอยากชวนมิแรนดาและมาริโอ้ให้อยู่ต่อ ปู่ของวินนี่เป็นชาวจีนพวกเขาก็ให้ความสำคัญกับวันตรุษจีนด้วยเหมือนกัน ดังนั้นเขาเลยชวนพวกเขามาด้วย คนเยอะก็ยิ่งคึกคัก


แต่ครอบครัวของวินนี่ปรึกษากันแล้วคู่ของมิแรนดาตัดสินใจฉลองตรุษจีนที่บ้านเพราะปู่ย่าของวินนี่เดินทางไม่สะดวก พวกเขาต้องติดต่อคนจีนในชุมชนมาจัดงานตรุษจีนแล้วพวกเขาต้องไปช่วย


แบบนี้ก็ดี ฉินสือโอวรู้สึกว่ามีแต่ครอบครัวของตัวเองพ่อแม่จะสบายใจกว่า


เที่ยวบินของพ่อแม่ฉินสือโอวและเหมาเหว่ยหลงมาถึงนครเซนต์จอห์นในเวลาพอๆ กัน หลังจากที่งานเลี้ยงประจำปีของบริษัทเอ็กซ์เพรสจบลง พอมีเวลาว่างเหล่าเพื่อนซี้เลยนัดเล่นไพ่กันสองวัน พวกเหมาเหว่ยหลงและบิลลี่แฝงตัวตามหลังเขาไป ถือเป็นการไปทำให้ทุกคนคุ้นหน้าคุ้นตาสักหน่อย


แบบนี้ฉินสือโอวเลยขับเรือสปีดโบ๊ทกับคนอีกสองสามคนไปรับพวกเหมาเหว่ยหลงก่อน กระเป๋าใบเล็กใบใหญ่ล้วนเป็นสินค้ามาจากออสเตรเลีย


พอเจอฉินสือโอวเหมาเหว่ยหลงก็ชี้ไปที่กระเป๋าใบใหญ่ที่สุดแล้วพูด “อย่าหาว่าเพื่อนรักไร้น้ำใจ ใบนั้นเตรียมมาให้แก!”


ฉินสือโอวตบไหล่เหมาเหว่ยหลงพร้อมยิ้มอย่างพอใจ “ไม่เลวๆ ก้าวหน้าขึ้นเยอะนะพวก”


บิลลี่หัวเราะแล้วพูด “พวกเราไม่ได้เตรียมหรอก เป็นของขวัญที่บริษัทเอ็กซ์เพรสส่งมาน่ะ”


ฉินสือโอวพูด “ไร้ค่า”


เบลคยักไหล่อย่างจนใจแล้วพูด “ใครจะมีเวลาไปซื้อของกันล่ะ? พวกเรารีบใช้เวลาคุยกับพวกคนใหญ่คนโต อย่างน้อยๆ ก็โปรโมทตัวเองไปให้พวกเขาจำชื่อพวกเราได้”


ฉินสือโอวทำปากยื่นแล้วพูด “ฉันว่างานเลี้ยงประจำปีครั้งนี้พวกนายต้องกอบโกยมาได้มากกว่าฉันแน่ๆ”


เขารู้ว่าวันสุดท้ายของงานเลี้ยงประจำปีเป็นงานราตรีที่ให้ผู้ใจบุญได้สานสัมพันธ์กัน โดยพื้นฐานแล้วผู้ร่วมงานก็จะแวะเวียนทำความรู้จักกัน สำหรับพวกหน้าใหม่แล้วนี่คือผลประโยชน์มหาศาล


แต่พอได้ยินแบบนี้เบลคก็โมโห เขาชี้ไปที่ฉินสือโอวแล้วพูด “คำพูดแบบนี้นายก็พูดออกมาได้เหรอ? คนที่ทำร้ายคนอื่นคือใคร? คนที่ช่วยเหลือคนอื่นคือใคร? คนที่รับเด็กฝึกงานคือใคร? คนที่จีบเจ้าหญิงคือใคร?”


บิลลี่ช่วยพูด “ก็ใช่น่ะสิ บัดซบ ตอนที่พวกเราแนะนำตัว พวกเขาจำชื่อเราไม่ได้เลย จำได้แค่ว่า ว้าว คุณคือเพื่อนของหนุ่มชาวจีนที่ชื่อฉิน?”


ฉินสือโอวรีบโบกมือพูด “พวกนายนี่ไร้คุณธรรม ใครจีบเจ้าหญิงกัน? พูดมั่วๆ ฉันแค่ไปดำน้ำกับเธอแค่ครั้งเดียวเอง!”


เบลคพูดปากยื่น “งั้นเหรอ? อย่างนั้นทำไมหลังจากที่นายออกจากงานเลี้ยงไปแล้วเจ้าหญิงน้อยถึงรีบร้อนออกไปล่ะ? อย่าบอกนะว่าบังเอิญ! บังเอิญบ้าบออะไร?!”


“ซาลามาห์ก็ออกจากงานเลี้ยงประจำปีก่อนเหรอ?” ฉินสือโอวถามอย่างประหลาดใจ เรื่องนี้เขาไม่รู้จริงๆ


บิลลี่พูดพลางเล่นหูเล่นตา “โอ้วๆๆ ซาลามาห์ เรียกซะสนิทสนมกันจริงๆ พวกเราต่างก็เรียกกันว่าเจ้าหญิงน้อย!”


“ก็ได้ เจ้าหญิงน้อย โอเค? ว่าแต่เจ้าหนูแบรนดอนเป็นยังไงบ้าง? ดูท่าเขาคงไปจีบสาวแล้ว”


“อย่าเปลี่ยนเรื่อง พูดเรื่องของนายกับเจ้าหญิงน้อยต่อ!”


“ไสหัวไป พ่อแม่ฉันมาแล้ว! อย่าพูดไปเรื่อย พวกเขาจะคิดจริงจัง”


พอพ่อแม่ของฉินสือโอวลงจากเครื่องบินแล้ว พนักงานต้อนรับก็ยกกระเป๋าเดินทางและพาทั้งสองมายังห้องรับรองวีไอพีที่ฉินสือโอวอยู่


พอเจอพ่อแม่ ฉินสือโอวก็สังเกตสีหน้าของพวกเขาก่อนเป็นอย่างแรก อืม พ่อแม่สีหน้าไม่เลวเลย ผมสีดอกเลากลับเป็นสีดำแล้ว ดูท่าช่วงนี้พวกเขาคงสุขสบายดี พลังโพไซดอนก็ยอดเยี่ยมพอที่จะทำให้คนชรากลับไปเยาว์วัยได้?


คิดได้แบบนี้ฉินสือโอวก็หยุดแผนการที่จะใช้พลังโพไซดอนบำรุงร่างกายของพ่อแม่ ถ้าอ่อนวัยขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายดูไม่ต่างจากเขาเท่าไรจะทำอย่างไร?


รับกระเป๋าเดินทางของพ่อแม่มาแล้วเขาก็พูดพลางหัวเราะ “พ่อแม่ อยู่ที่บ้านกินยาวิเศษอะไรเหรอครับ ผมเป็นสีดำหมดแล้ว”


พ่อของฉินสือโอวมองเขาพูดอย่างฮึกเหิม “กินยาวิเศษบ้าอะไร ก่อนมาฉันกับแม่แกไปย้อมผมมา! แม่แกยังไปทำผมเลียนแบบพวกคุณนายแก่ๆ ทำเสียอย่างกับซาลาเปาโดนหมาแทะ”


“ไม่ใช่มั้ง สีผมนี่เป็นสีย้อมเหรอ?”


พ่อของฉินสือโอวพูดอย่างมั่นใจ “แน่สิ แกคิดว่าไงล่ะ มันจะกลับมาเป็นสีดำเองได้เหรอ?”


ฉินสือโอวหัวเราะพลางลูบจมูก โอเค พลังโพไซดอนยังคงดำเนินต่อไป


บิลลี่ต้องรีบกลับอเมริกา ส่วนเบลคต้องบินไปโทรอนโต ฉินสือโอวจับมือลาทั้งสองแล้วพูดรั้ง “รีบกลับไปทำไม? อยู่เที่ยวที่นี่สักสองสามวันสิ ใช่สิ ตอนตรุษจีนอย่าลืมมาอวยพรพ่อแม่ฉันด้วยนะ”


เบลคทำมือโอเคแล้วอธิบาย “ฉันต้องกลับไปจัดการงานประมูลฤดูใบไม้ผลิ เดี๋ยวก็ต้องเริ่มแล้วแต่งานโฆษณายังอยู่ในช่วงดำเนินการอยู่เลย”


บิลลี่พูด “ฉันจะกลับไปศึกษาเรื่องเรือแร่ทองคำของโซมาเลียที่จมอยู่ต่อ ฉินนายรีบพาเจ้าวาฬเบลูกาน้อยออกทะเลไปหาเรือที่จมอยู่ลำนั้นเร็วๆ จะได้เอาแร่ทองขึ้นมาดูหน่อย”


หลังจากแยกย้ายกันแล้วพวกฉินสือโอวก็ขับเรือกลับ พอเข้าเขตฟาร์มปลาแล้วฝูงปลาค็อดฝูงหนึ่งก็ว่ายมาจากใต้น้ำ น้ำทะเลใสและปลาค็อดก็อยู่ใกล้กับผิวน้ำ พอแสงแดดส่องไปในน้ำตัวสีดำๆ ที่เห็นอยู่ด้านล่างล้วนแต่เป็นปลาตัวอ้วน…


พ่อแม่ของฉินสือโอวมองผ่านกระจกออกไปด้านนอกด้วยสีหน้าตะลึง “โอ้โห เสี่ยวโอว เจ้าปลานี่มีเท่าไร? ปลาที่เลี้ยงในทะเลไม่เหมือนกับในสระน้ำเล็กๆ ของพวกเราเลย!”


ฝูงปลาค็อดเป็นฝูงปลาที่ใหญ่ที่สุดในฟาร์มปลามาแต่ไหนแต่ไร ฉินสือโอวพาพ่อแม่เดินออกไปแล้วเอากล้องส่องทางไกลให้พวกเขาใช้ดู ทอดตามองไปไกลๆ ฝูงปลาค็อดที่ยิ่งใหญ่ภายใต้แสงแดดที่ส่องนั้นดูราวกับว่าท้องทะเลผืนนี้ถูกฝูงปลาค็อดจำนวนมากมายปิดกั้นไว้แล้ว!


ฉินสือโอวผิวปากให้ชาร์คที่เป็นคนขับเรือ ชาร์คเดินออกมาพร้อมข่ายจับปลา เขาชูด้ามแล้วตักลงไปในทะเลครู่หนึ่ง ปลาค็อดตัวใหญ่สองตัวก็เข้ามาอยู่ในตาข่าย


พอเอาขึ้นมาจากผิวน้ำเจ้าปลาค็อดก็ดิ้นสะบัดอย่างบ้าคลั่ง ปลาค็อดตัวใหญ่ยาวกว่าแปดสิบเซนติเมตรทั้งสองดิ้นรนขนาดนี้ ข้อมือของชาร์คที่ถือด้านจับไว้ก็รับไม่ไหว!


บทที่ 977 บริษัทดาวเคมิคอลมาอีกแล้ว

Ink Stone_Fantasy

ปลาค็อดแหวกว่ายอยู่ที่ผิวน้ำกันอย่างฉวัดเฉวียน ยิ่งใหญ่เกรียงไกร…


พ่อแม่ของฉินสือโอวมองดูภาพเหตุการณ์นี้อย่างตกตะลึง


ต่อมาฝูงปลาก็หมุนกลับแล้วเหล่าปลาค็อดว่ายลงไปในน้ำลึกอีกครั้ง เหลือไว้เพียงคลื่นน้ำกระเพื่อมสั่นไหวเป็นการบอกว่าพวกมันเคยมาถึงที่บริเวณนี้


เรือตรงมาถึงที่ท่าเรือแล้ว แต่จิตใจของพ่อและแม่ของฉินสือโอวยังคงจดจ่ออยู่กับความตะลึงที่เกิดจากปลาฝูงนั้น ฉินสือโอวยืนขึ้นตรงกลางแล้วโอบกอดชายหญิงชราทั้งสอง พูดพลางหัวเราะ “เป็นไงครับ ฟาร์มปลาของลูกชายไม่เลวเลยใช่ไหม?”


แม่ของฉินสือโอวพยักหน้า พ่อของเขามองไปยังฟาร์มปลาที่กว้างใหญ่ด้วยความกังวลแล้วพูดว่า “ที่นี่ไม่มีตาข่ายถ้าปลาพวกนี้ว่ายไปที่อื่นจะทำอย่างไร? รวงข้าวสาลีร่วงไปในที่คนอื่นยังพูดได้ไม่ชัดเจน นับประสาอะไรกับปลาใหญ่พวกนี้”


ฉินสือโอวพูด “เป็นไปไม่ได้ เลี้ยงปลาก็เหมือนเลี้ยงหมา พ่อดูว่าท้องทะเลล้วนเหมือนกันแต่ในความเป็นจริงก้นทะเลนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิงและพืชทะเลก็ไม่เหมือนกัน ปลาที่ฟาร์มของเราเคยชินกับสภาพแวดล้อมและอาหารที่ฟาร์มเรา พวกมันไม่ออกไปง่ายๆ หรอก”


พ่อของฉินสือโอวดูท่าทางจะยังลังเลอยู่


ฉินสือโอวกับพ่อนิสัยเหมือนกัน แม่ของฉินสือโอวใจกว้างมองโลกในแง่ดีและเอื้อเฟื้อ ไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่คนแก่อย่างพ่อฉินสือโอวเวลาเจอเรื่องอะไรก็จะคิดมากได้ง่าย ฉินสือโอวได้นิสัยนี้มาจากเขา


การมาฉลองตรุษจีนปีนี้พ่อแม่ของฉินสือโอวไม่ได้เอาของมามากมาย ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่มาพวกเขาจะเอากระเป๋าใบเล็กใบใหญ่มาเป็นกองและมีกระเป๋าเดินทางกับกล่องอีกกว่าสิบใบ แต่ครั้งนี้สะพายกระเป๋ามาคนละใบและลากกระเป๋าหนังมาแค่อีกใบทำให้ฉินสือโอวประหลาดใจมาก


“พ่อแม่ ทำไมครั้งนี้ไม่เอาของมาล่ะครับ?” ฉินสือโอวเปิดดูด้านในมีเพียงเสื้อผ้ากันหนาว


พ่อของฉินสือโอวพูดพลางหัวเราะ “มีประสบการณ์แล้วน่ะสิ ที่นี่แกก็ไม่ได้ขาดเหลืออะไร ทีแรกฉันคิดมากไปหน่อย แม่แกบอกว่าฉันกลุ้มใจไปเปล่าๆ ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็เอามาแค่เสื้อผ้านิดหน่อยก็พอ”


วินนี่ยกชาร้อนมาให้ทั้งสองคน แม่ของฉินสือโอวรีบรับแล้วให้เธอนั่งลง วินนี่โบกมือบอกว่าไม่เป็นไร ตอนนี้บางครั้งเธอก็ยังออกกำลังกายเบาๆ


พ่อของฉินสือโอวพูดด้วยความกังวล “ออกกำลังกายช่วงนี้อันตรายนะ เสี่ยวโอว แกนั่งดูโทรทัศน์หรือทำอะไรเป็นเพื่อนวินนี่บ้าง อย่ามัวแต่เตร็ดเตร่ไปทั่ว แกกำลังจะเป็นพ่อคนแล้ว ทำไมยังทำตัวตามสบายขนาดนี้?”


แม่ฉินสือโอวตีสามีไปครั้งหนึ่งแล้วพูด “คุณจะรู้อะไร คนท้องนั่งมากๆ น่ะสิถึงจะไม่ดี ต้องเดินต้องขยับให้เยอะ แล้วก็ตอนที่ฉันท้องเสี่ยวโอวกับพี่สาวเขา คุณก็ไม่ได้อยู่นั่งดูโทรทัศน์เป็นเพื่อนฉันหรือเปล่า? คุณกับแม่คุณยังเรียกฉันไปทำงานอยู่เลย”


พ่อของฉินสือโอวพูดอย่างหงุดหงิด “อะไร ตอนนั้นที่บ้านมีโทรทัศน์ที่ไหน? ขนาดวิทยุยังไม่มีเลย จะให้ผมทำอะไรเป็นเพื่อนคุณเหรอ? แล้วผมก็ไม่ได้บังคับให้คุณทำงานสักหน่อย คุณนั่นแหละที่อยู่ว่างไม่ได้เอง…”


“พูดออกมาได้ ตอนนี้คุณทำตัวเสียชาติเกิดได้เหรอ? ฉันอยู่ว่างๆ ไม่ไหวอย่างนั้นเหรอ? ใครกันจะชอบทำงาน?” แม่ฉินสือโอวเริ่มโต้กลับ ฉินสือโอวนั่งลงบนเก้าอี้ สงครามประสาทสมัยก่อนที่เขาชอบดูเริ่มขึ้นแล้ว พ่อกับแม่ต้องพูดเรื่องไร้สาระพวกนั้นกันอีกแน่


วินนี่มองเขาครั้งหนึ่งแล้วอดใจไม่ไหวเลยรีบพูดออกไป “พ่อแม่เหนื่อยไหมคะ? ไปพักผ่อนกันก่อนไหม? เดี๋ยวหนูกับเสี่ยวโอวเตรียมอาหารกลางวันให้ทานค่ะ”


คราวนี้พ่อกับแม่ของฉินสือโอวถึงได้รู้สึกตัวว่าลูกสะใภ้อยู่ข้างๆ ทั้งสองหยุดสงบศึกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย พ่อของฉินสือโอวกระแอมแล้วพูด “ไม่ต้องทำเองแล้วกันนะ? พวกเราไปกินที่ร้านลุงฮิคสันกัน มื้อนี้แม่แกเลี้ยง บ่อเลี้ยงปลาก็ทำเงินได้ไม่ใช่น้อย”


แบบนี้ก็ได้ ไม่ต้องจัดการเอง ฉินสือโอวออกไปสตาร์ทรถแล้วพ่อแม่ของเขาก็ตามขึ้นมา


พ่อฉินสือโอวแอบพูดกับแม่อยู่ที่ด้านหลัง “อยู่กับลูกต้องไว้หน้าผมหน่อยรู้ไหม? แล้วพวกเราก็อย่าทะเลาะกันเพราะเสี่ยวโอวกับวินนี่ยังไม่ได้แต่งงานกัน ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ผมดูในโทรทัศน์เขาบอกว่าสภาพแวดล้อมในครอบครัวมีผลกระทบต่อการแต่งงานของลูกเป็นอย่างมาก อย่าให้เสี่ยวโอวเกิดความกลัวการแต่งงานเพราะเราทะเลาะกัน”


ฉินสือโอวยิ้มที่พ่อกับแม่คิดมากกันจริงๆ พวกเขาไม่รู้เลยว่าคนหนุ่มสาวสมัยนี้รู้เห็นเรื่องการแต่งงานและความรักกันแล้ว


ตอนที่มาถึงในเมืองเขาเห็นรถมินิบัสคันหนึ่งจอดอยู่ริมถนน บนรถมีโลโก้สีแดงสดเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนตรงกลางมีตัวอักษรเขียนว่า ดาว


ฉินสือโอวไม่ได้สนใจ เพราะเมืองอยู่ไกลจากฝั่งเลยมีรถภายนอกเขามาน้อยมาก แต่ตอนนี้นักท่องเที่ยวเยอะก็เลยหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีร้านค้ามาประกาศโฆษณาต่างๆ


แต่พอวินนี่สังเกตเห็นรถมินิบัสคันนี้ก็คิ้วขมวดขึ้นมา ทีแรกเธอจะพูดอะไรสักอย่างแต่เห็นพ่อแม่ของฉินสือโอวอยู่ข้างๆ เลยเงียบไว้


ฉินสือโอวขับรถต่อไปที่ร้านอาหารของลุงฮิคสันทั้งสองฝ่ายสนิทกันแล้ว ชายชรายิ้มพลางพูด “นายอยากมาชิมไอซ์ไวน์ของนายเหรอ? แต่โทษทีนะพวก อีกสองเดือนครึ่งถึงจะหมักได้ที่”


พ่อแม่ของฉินสือโอวเดินเข้ามา ฉินสือโอวยิ้มแล้วพูด “ผมพาพ่อแม่มาเป็นแขกที่นี่น่ะครับ”


ไม่มีนักท่องเที่ยวร้านเลยค่อนข้างโล่ง พอเห็นพ่อแม่ของฉินสือโอวก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขาพูดอย่างลิงโลด “ยินดีต้อนรับๆ เพื่อนๆ ไปนั่งเร็วเข้า ไม่ต้องสั่งอาหารเดี๋ยวฉันจะเตรียมอาหารรสเลิศให้เอง”


ลุงฮิคสันยกน้ำผลไม้ร้อนมาให้แล้วขยิบตาให้ฉินสือโอว “นี่น้ำองุ่นของนาย แต่ฉันใส่วัตถุดิบลับลงไปด้วย รสชาติเลยเปลี่ยนไป ลองชิมดูสิ”


ฉินสือโอวแปลให้พ่อฟังแล้วรินให้พวกเขาดื่มเพื่ออบอุ่นร่างกาย


ตอนที่พวกเขากำลังรออาหารมาเสิร์ฟประตูร้านอาหารก็ถูกเปิดแล้วกลุ่มคนขาวที่สวมเสื้อขนสัตว์ก็เดินเข้ามา ฉินสือโอวหันไปมองดูครู่หนึ่งเพราะบนเสื้อขนสัตว์ของพวกเขามีโลโก้ของรถมินิบัสอยู่


ชายชราที่กำลังทำอาหารเดินออกมา พ่อเห็นคนเหล่านั้นก็ขมวดคิ้วแล้วพูด “พวกนายมาทำอะไรอีก?”


พวกคนขาวยิ้ม “พวกเรามากินข้าวไม่ได้เหรอ คุณผู้ชาย ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคุณถึงไม่ชอบบริษัทของพวกเรานัก”


พอเห็นพวกฉินสือโอวก็มีคนรีบเดินมาถาม “ขอโทษนะ พวกคุณคือนักท่องเที่ยวใช่ไหม?”


ฉินสือโอวส่ายหัว “เปล่า บ้านผมอยู่ที่นี่ ผมอพยพมา”


เมื่อคนนั้นได้ฟังก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วยื่นมือมาพร้อมพูด “สวัสดีครับคุณ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไร? ผมชื่อโรบินสัน ยินดีที่ได้รู้จัก”


ฉินสือโอวยืนขึ้นจับมือพอแนะนำชื่อตัวเองแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขามองไปทางฮิคสัน ชายชราส่ายหัวสีหน้าไม่สู้ดีแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ต้อนรับคนพวกนี้


คนเหล่านั้นไม่สนใจ โรบินสันจับมือฉินสือโอวพลางพูด “คุณฉิน ขอถามหน่อยว่าคุณคิดอย่างไรกับสภาพเศรษฐกิจของเมืองในตอนนี้? มีความเห็นเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในเมืองนี้ไหม? อย่างเช่นที่นี่อยู่ไกลจากแผ่นดินใหญ่เกินไป หรืออย่างเช่นการซื้อของหรือรักษาพยาบาลไม่สะดวกอะไรแบบนี้”


ฉินสือโอวยักไหล่พลางพูด “ที่นี่ดีมาก ผมชอบที่นี่มาก พอใจมาก ทำไมเหรอ?”


โรบินสันยิ้มอ่อน “ไม่ได้ทำไมครับ ผมแค่คิดว่าพวกเราน่าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ไม่ใช่เหรอ? การอยู่ไกลแผ่นดินใหญ่มันไม่สะดวกสบาย คุณดูสิ ตอนนี้ถ้าเครื่องทำความร้อนของพวกคุณมีปัญหา หนาวขนาดนี้คงได้แต่แข็งตาย”


ฉินสือโอวมองคนเหล่านั้นอย่างครุ่นคิดแล้วถามอย่างเรียบๆ “ดาว? พวกคุณมาจากบริษัทอะไร?”


“บริษัทดาวเคมิคอล พวกเขาเป็นคนของบริษัทดาวเคมิคอล” วินนี่พูด


บทที่ 978 วิกฤตของเมือง

Ink Stone_Fantasy

โรบินสันยิ้มอ่อน “คุณผู้หญิงคนนี้พูดถูก พวกเราเป็นพนักงานของบริษัทดาวเคมิคอล คือแบบนี้ครับ พวกเรา…”


ฉินสือโอวมองพ่อแม่แล้วพูดตัดบท “ตอนนี้พวกเรากินข้าวกันอยู่ ไว้ค่อยคุยหลังกินเสร็จ โอเค?”


คนของบริษัทดาวเคมิคอลพยักหน้าแล้วจากไป สุดท้ายเขาก็ไม่ได้อยู่กินข้าวที่ร้านของลุงฮิคสัน ชายชราหัวแข็งไม่ต้อนรับพวกเขา


อาหารมาเสิร์ฟแล้ว ฉินสือโอวให้วินนี่กินข้าวเป็นเพื่อนพ่อกับแม่ ส่วนเขาไปหาลุงฮิคสันเพื่อถาม “เฮ้ เรื่องอะไรกันครับ? บริษัทดาวเคมิคอลมาตั้งแต่เมื่อไร?”


ชายชราส่งเสียงเหอะแล้วพูด “เมื่อเช้าก็เพิ่งมา ก่อนหน้านี้พวกเขามาครั้งหนึ่ง อยากจะให้ตัวแทนนายกเทศมนตรีฮานี่ย์อนุญาตให้สร้างโรงงานเคมีบนเกาะ แต่ฮานี่ย์ไม่เห็นด้วย ปัดตกไปด้วยการเอาประชาชนมาเป็นเหตุผล ไอ้พวกนี้ไม่ถอดใจเลยมากันอีกแล้ว”


เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้คนของบริษัทดาวเคมิคอลมีการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี พวกเขาเปลี่ยนวิธีการโดยที่ไม่ไปยุ่งกับฮานี่ย์แล้ว แต่มาเข้าทางชาวเมืองแทน ทำตามคำที่ว่า ‘ป้อมปราการที่แข็งแกร่งมักจะถูกโจมตีจากด้านใน’


หลังกินข้าวเสร็จฉินสือโอวก็ไม่ได้กลับไป เขาอยู่ตระเวนต่อในเมืองเพื่อดูว่าบริษัทดาวเคมิคอลจะทำอะไร


เขาไปที่ร้านขายของชำซึ่งด้านในมีเพียงจางเผิงคนทำบัญชีคนใหม่ที่กำลังทำบัญชีอยู่ พอเห็นฉินสือโอวเขาก็ยืนขึ้นแล้วพูดด้วยความเคารพ “บอสมาแล้ว มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”


ฉินสือโอวโบกมือแล้วถาม “ฮิวจ์คนน้องล่ะ?”


จางเผิงพูด “คุณฮิวจ์ไปหาพี่ชายครับ เขาบอกว่าพวกบริษัทดาวเคมิคอลทุเรศมาก ต้องรีบหาทางไล่พวกเขาไป”


ฉินสือโอวไปที่ร้านสะดวกซื้อของฮิวจ์ ฮิวจ์คนน้องอยู่ที่นี่จริงๆ และนอกจากเขาแล้วก็ยังมีวัยรุ่นสวมเสื้อยีนดูท่าทางกระฉับกระเฉงที่เป็นชาวเมืองอีกไม่กี่คน ในมือพวกเขาถือพวกไม้เบสบอลไม้กอล์ฟและกระบองอยู่


เห็นแบบนี้แล้วฉินสือโอวก็ส่ายหัวอย่างจนใจ “เฮ้ ฉันว่านะพวก พวกนายจะทำอะไร? ห้ะ? ไปตีกัน? แล้วสุดท้ายก็ถูกจับเหรอ?”


ฮิวจ์คนน้องแววตาเป็นประกายแล้วชูกำปั้นพร้อมตะโกน “เวรเอ๊ย! ไอ้สารเลวพวกนั้นมันกวนบาทา! ฉันบอกพวกมันไปตั้งกี่ร้อยรอบแล้วว่าเกาะแฟร์เวลไม่ต้องรับพวกมัน ถ้ามาอีกฉันจะเตะก้นซะ วันนี้พวกมันก็มากันอีก ฉันก็ต้องสั่งสอนพวกมันสักหน่อยสิ!”


ฮิวจ์ผลักเขาไปทีหนึ่งแล้วพูดอย่างโมโห “เมื่อไรแกจะโตสักที? เอาแต่มีเรื่องไปวันๆ! แกคิดว่าแกเป็นมาเฟียเหรอไง? ไอ้น้องเวร!”


ด่าน้องชายเสร็จเขาก็หันมามองฉินสือโอวพร้อมยิ้มอย่างผ่อนคลาย “ฉิน ดีมากเลยที่นายกลับมาที่เมือง ไม่กี่วันก่อนฉันไปหานายที่ฟาร์มปลาวินนี่บอกว่านายยังไม่มีกำหนดกลับ ดี นายกลับมาพวกเราจะได้มีผู้นำ”


“ผู้นำขับไล่บริษัทดาวเคมิคอลเหรอ?” ฉินสือโอวยิ้มอ่อนแล้วนั่งลง


ฮิวจ์คนน้องยังมีท่าทีโมโห เขาได้แต่บีบมือเป็นสัญญาณว่าเขาก็เอาด้วย “มีใครเล่ารายละเอียดให้ฉันฟังได้บ้าง? ฉันคิดว่าตอนนี้ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวเท่าไรนัก”


ฮิวจ์ทำกาแฟให้เขาแก้วหนึ่งแล้วพิงเคาน์เตอร์พลางเล่าเรื่องราวให้เขาฟัง


บริษัทดาวเคมิคอลเป็นอุตสาหกรรมเคมีที่ใหญ่อันดับสองของโลก เป็นรองแค่บริษัทดูปองท์ของอเมริกา พวกเขาพัฒนาและผลิตผลิตภัณฑ์ทางเคมี ผลิตภัณฑ์พลาสติกและการเกษตร ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการก่อสร้าง บำบัดน้ำ การทำกระดาษ ยา การขนส่ง อาหารและบรรจุภัณฑ์อาหาร ของใช้ในบ้านและของใช้ส่วนตัว


ตอนนี้บริษัทเคมีใหญ่ๆ ต่างก็เริ่มทำการแปรรูปกากและของเสียในอุตสาหกรรมจากธัญพืช ถั่วเหลืองและพวกข้าวสาลีเพื่อวิจัยและผลิตผลิตภัณฑ์เคมีอินทรีย์ตามกระแสเคมีชีวภาพ


แคนาดาเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีผลิตผลคุณภาพดีและเป็นแนวหน้าระดับโลกในด้านนี้ แต่บริษัทดาวเคมีคอลค่อนข้างอ่อนแอในด้านนี้ โดยเฉพาะที่แคนาดายังไม่มีสายการผลิตที่เกี่ยวข้องคล้ายๆ แบบนั้น พวกเขาเลยอยากจะเข้ามาทำอุตสาหกรรมด้านนี้เป็นเจ้าแรก


สำนักงานใหญ่ของบริษัทดาวเคมิคอลแคนาดาตั้งอยู่ที่รัฐออนแทรีโอ แต่มาขยายการทำเคมีชีวภาพแถวๆ โทรอนโต ที่นี่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของแคนาดาและเป็นที่ที่คนมีความสามารถรวมตัวกันอยู่ การทำเคมีชีวภาพต้องการคนที่มีความสามารถเป็นอย่างมาก


สำนักงานใหญ่ของพวกอุตสาหกรรมเคมีชีวภาพใหญ่ๆ อย่างไบเออร์ บริษัทเคมีบีเอเอสเอฟประเทศเยอรมัน บริษัทดูปองท์แคนาดาและบริษัทยูนิลีเวอร์ล้วนกระจายกันอยู่ที่รัฐโทรอนโต


บริษัทดาวเคมิคอลอยากเข้ามาแบ่งชิ้นเค้ก บริษัทพวกนี้ก็ย่อมต่อต้านเป็นธรรมดา พวกเขาเลยเข้าไปในเมืองโทรอนโตไม่ได้


นอกจากรัฐออนแทรีโอและเมืองโทรอนโตแล้วที่แคนาดาก็ยังมีเมืองมอนทรีออลและเอ็ดมันตัน ซึ่งธุรกิจเคมีในสองเขตนี้เจริญรุ่งเรืองมาก


ที่เมืองมอนทรีออลมีการทำวิศวกรรมเคมีก็เพราะที่นี่มีแหล่งพลังงานที่หลากหลายและราคาถูก มีการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมปิโตรเลียม มีโรงกลั่นปิโตรเลียมและท่าเรือขนส่งน้ำมัน หลักๆ จะจัดการด้านการผลิตพวกผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมขั้นต้น แอลคีนและอโรมาติก


อุตสาหกรรมเคมีที่เมืองเอ็ดมันตันและเขตรอบๆ ประกอบด้วยอุตสาหกรรมหลักๆ สี่แห่ง อุตสาหกรรมปิโตรเลียม ปุ๋ยเคมี ผลิตภัณฑ์เคมีอนินทรีย์ เคมีภัณฑ์ชั้นดีและสำหรับใช้เฉพาะทาง


แบบนี้ก็ไม่ต้องสงสัยเลย ถ้าบริษัทดาวเคมิคอลอยากจะทำด้านเคมีชีวภาพก็จะไม่สามารถทำได้ที่เมืองมอนทรีออลและเอ็ดมันตัน และพวกเขาก็ไม่มีทางเข้าไปในเขตเมืองโทรอนโตได้ด้วย แบบนี้ถ้าอยากจะขยายสายการผลิตใหม่ก็ทำได้แค่ออกไปด้านนอกเท่านั้น


เหตุผลที่ไม่มีทางเข้ามาได้ก็คือเทคโนโลยีในการทำเคมีชีวภาพยังไม่เจริญเต็มที่และระบบการประเมินก็ยังไม่สมบูรณ์จึงไม่มีเมืองไหนยอมให้สายการผลิตแบบนี้เข้าไป รวมถึงสำนักงานใหญ่รัฐออนแทรีโอของบริษัทดาวเคมิคอลด้วย


ดังนั้นบริษัทดาวเคมิคอลเลยตั้งใจมาที่พื้นที่ห่างไกลและคิดจะใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง เพราะแบบนี้เกาะแฟร์เวลจึงเป็นที่หมายตาของพวกเขา


ฮิวจ์เล่าเรื่องราวออกมาอย่างออกรส ฉินสือโอวดื่มกาแฟและก็พอจะเข้าใจสถานการณ์แล้ว


ครุ่นคิดสักครู่เขาก็ถามขึ้นมาว่า “อย่างนั้นพวกเรามีความจำเป็นอะไรจะต้องรีบร้อน? คนในเมืองคงไม่เห็นด้วยกับการที่มีคนมาสร้างโรงงานเคมีอยู่แล้ว ให้พวกเขาเสียแรงเปล่าไปก็ได้ พวกนายจะโมโหกันไปทำไม?”


ฮิวจ์ถอนหายใจ “ตอนนี้คนพวกนั้นคิดจะใช้เงินแก้ปัญหา พวกเขาจะสร้างชุมชนที่นครเซนต์จอห์นไม่กี่แห่งเพื่อให้คนในเมืองย้ายไป นายก็รู้ว่าที่จริงแล้วคนในเมืองก็หวังว่าจะได้ไปอยู่ที่นครเซนต์จอห์น”


เกาะแฟร์เวลก็เคยประสบวิกฤตคนย้ายออกเหมือนที่เกาะไอซ์ไฟเออร์แต่เพราะที่นี่มีคนเหลืออยู่เยอะกว่า มีสาธารณูปโภคพื้นฐานที่สมบูรณ์มากกว่าและฟาร์มปลารอบๆ ก็มีปริมาณปลาที่น่าพอใจ บวกกับความน่าเชื่อถือของแฮมเล็ต เกาะแฟร์เวลถึงยังอยู่มาได้ในช่วงหลายปีนี้


และที่เกาะแฟร์เวลยังไม่มีปัญหาเรื่องประชากรย้ายออกก็เพราะรัฐบาลนครเซนต์จอห์นไม่มีงบประมาณให้สำหรับค่าย้ายที่อยู่อาศัย


ตามที่ฮิวจ์รู้ครั้งนี้บริษัทดาวเคมิคอลทุ่มสุดตัวเพื่อความต้องการที่จะเปิดสายการผลิตในเกาะแห่งนี้ พวกเขาไม่เสียดายที่จะทุ่มเงินจำนวนมากในการสร้างเขตชุมชนที่แผ่นดินใหญ่เพื่อให้คนย้ายออกไป


ในความเป็นจริงถ้าไม่ใช่เพราะฉินสือโอวเปิดช่องทางพัฒนาเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยว บริษัทดาวเคมิคอลคงไม่ต้องส่งคนมาเพื่อโน้มน้าวคนในเมือง แค่ตกลงเรื่องค่าชดเชยกันได้ คนในเมืองก็คงยินดีย้ายออกไปจากเกาะเอง


ก็เหมือนกับที่โรบินสันพูด การอยู่บนเกาะเล็กๆ นี้จะไปซื้อของหรือไปรักษาพยาบาลก็ไม่สะดวก นี่เป็นจุดที่เราปิดตาตัวเองทำเป็นมองข้ามกันไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)