องครักษ์เสื้อแพร 962-965
ตอนที่ 962 วันเวลาช่างแล้งน้ำใจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 ภาษีน้อยลงกว่าปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 13 สามส่วน ท้องพระคลังแผ่นดินหมิงเก็บได้น้อยลงสามส่วน หวังทงได้ยินแต่ไม่ได้สนใจอันใด
เพราะไม่มีอันใดให้ต้องสนใจจริงๆ จางจวีเจิ้งใช้เหตุปลดตำแหน่งและตัดคอมาข่มขู่ขุนนางให้ปฏิบัติหน้าที่ และยังจัดการตรวจนับที่นาทั่วหล้า ทำให้ขุนนางท้องถิ่นไม่กล้าแอบขี้เกียจปิดบัง ตระกูลใหญ่ในพื้นที่ไม่กล้าฮุบครองที่นาไว้
พอจางจวีเจิ้งจากไป หากจางซื่อเหวยดำเนินนโยบายต่อ ด้วยชื่อเสียงจางซื่อเหวยก็ย่อมทำต่อไปได้ แต่ทว่าจางซื่อเหวยเห็นได้ชัดว่าไม่คิดเหมือนจางจวีเจิ้ง หากต้องการดึงพวกขุนนางกับคหบดีเป็นพวก จึงผ่อนคลายนโยบายเดิม พอเซินสือหังขึ้นมาแทน เซินสือหังเป็นสุภาพชน ย่อมไม่อยากไปจัดการเรื่องพวกนี้
ส่วนกลางไม่ขยับ ท้องที่ก็ย่อมปล่อยให้ทุกอย่างกลับเป็นเช่นเดิม ราษฎรและคหบดีใหญ่ท้องที่ก็ย่อมฉวยโอกาส ปิดบังที่นาผืนใหญ่ไว้ แน่นอนภาษีก็ย่อมเก็บได้นับวันยิ่งน้อยลง
ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 เป็นปีแห่งกระแสเดิมกลับคืนครั้งสำคัญ ทุกคนในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 12-13 ล้วนระวังตัวกันมาก พอถึงปีที่ 14 ก็เริ่มกางแขนกางขากอบโกยกันต่อ
หวังทงพอรู้อยู่ว่าปีนี้เก็บได้น้อยกว่าปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 อีก สถานการณ์นี้จะยังคงดำเนินต่อไป ไปถึงจนกว่าจะมีวิธีการจัดการอีกรอบ
แต่ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่เรียกหวังทงเข้าเฝ้าวันนี้ หนึ่งก็คุยเรื่องเมืองชายแดน อีกหนึ่งก็คุยเรื่องเก็บภาษีได้น้อยลง กลัวว่าจุดประสงค์หลังจะมากกว่าอยู่สักหน่อย
“ฝ่าบาท คนตอนนี้ยึดครองที่ดิน ขุนนางโกงกิน กำลังกลับไปเป็นเหมือนช่วงก่อนใช้นโยบายเก็บภาษีที่ดินและแรงงาน ยากจะเลี่ยงได้”
ในเมื่อพูดแล้ว หวังทงก็ย่อมกล่าวตรงไปตรงมา ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงฟังแล้วก็พลิกฎีกาตรงหน้าไปหลายหน้า ก่อนจะปิดลง พิงที่ประทับถอนหายใจตรัสว่า
“มีคนเช่นจางจวีเจิ้งจับตา คนพวกนี้ได้แต่สงบเสงี่ยมกันไป แต่เราจะหาคนเช่นนี้ได้ที่ใดกัน หวังทง เจ้ามีวิธีหรือไม่?”
“ผู้มีตำแหน่งขุนนางบัณฑิตไม่ให้งดภาษีดีไหมพะยะค่ะ?”
ได้ยินหวังทงตอบตรงไปตรงมา ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป ก่อนทรงยิ้มออกมา โบกพระหัตถ์ตรัสว่า
“ธรรมเนียมบรรพชนล้วนแก้ไขได้ มีเพียงประเด็นนี้ไม่อาจแก้ไขได้ แผ่นดินหมิงเราตั้งแต่เชื้อพระวงศ์ไปจนขุนนาง บัณฑิตจวี่เหรินหรือซิ่วไฉ ล้วนอาศัยเรื่องนี้หากิน? เอาวิธีอื่น มีอีกไหม?”
หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง ยิ้มทูลถามขึ้น
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอถาม ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 14 ภาษีเกลือเก็บมาได้ทั้งหมดเท่าไร?”
ภาษีเกลือแต่ไรมาเป็นภาษีก้อนโตของแผ่นดินหมิง หลักๆ มาจากสองแม่น้ำ ทุกปีเก็บได้เท่าไร ตัวเลขนี้ฮ่องเต้ย่อมจำแม่น
“น่าจะสองล้านสี่แสนตำลึง”
“ฝ่าบาท ภาษีเกลือในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 9 มีสี่ล้านหกแสนตำลึง เหตุใดปีนี้จึงลดไปมากเพียงนี้พะยะค่ะ?”
“ทางไห่โจวบอกว่าน้ำทะเลหนุน ทำให้นาเกลือเสียหาย ปีนี้ฟางต้มเกลือก็น้อย ไม่พอใช้อีก”
ฮ่องเต้ว่านลี่แม้ว่าทรงเหนื่อยกับการแผ่นดิน แต่เรื่องละเอียดพวกนี้ก็จำได้แม่นยำ หวังทงส่ายหน้ายิ้มถวายคำนับทูลว่า
“ฝ่าบาท เรื่องพวกนี้ก็แค่วาจาอ้างเหตุ ก็แค่ทางนั้นหาเหตุกอบโกยมากกว่า ฝ่าบาทส่งผู้แทนพระองค์ไปตรวจก็ย่อมได้ ย่อมสามารถส่งมอบมาได้มากขึ้น”
“บัดซบจริง ราชสำนักให้พวกเขาได้ร่ำรวย พวกเขากลับหลอกลวงเราเช่นนี้ เจ้าหมายความว่าให้ส่งผู้ตรวจการเกลือไป?”
วาจาหวังทงมิใช่เปิดโปง เพียงแค่แนะนิดหน่อย ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงเข้าพระทัยทันที วิจารณ์อย่างอดไม่ได้สองสามคำ แม้แต่วาจาด่าก็ไม่ได้หนักหนานัก ผู้ตรวจการเกลือก็เป็นผู้แทนพระองค์ สำนักตรวจสอบส่งขุนนางไปตรวจสอบเรื่องเกลือ ตามธรรมเนียมปฏิบัติแผ่นดินหมิง ส่งผู้ตรวจการเกลือไปเช่นนี้ ขุนนางท้องที่ย่อมรู้ว่าราชสำนักต้องการเงิน ทุกคนอย่างไรก็ย่อมต้องคายออกมาสักก้อน จากนั้นปีที่สองค่อยกลับไปเป็นแบบเดิม
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอบังอาจกราบทูล ส่งผู้ตรวจการเกลือไปไม่สู้ส่งขันทีตรวจการเกลือไปจากในวัง ขุนนางบุ๋นหาเงินทอง กงกงก็ต้องหาเงินทองเช่นกัน แต่ให้กงกงได้ไป ก็ย่อมจงรักภักดีรับใช้ฝ่าบาทยิ่งมากขึ้น พวกขุนนางบุ๋นต้องแบ่งให้คนมาก รอมาถึงฝ่าบาท ก็เหลือไม่เท่าไรแล้ว”
ขันทีผู้ตรวจการเกลือ แค่เติมคำว่า ขันที ลงไป ย่อมเป็นขันทีในวังออกปฏิบัติงาน แต่ทว่าหวังทงไม่ได้กล่าวประเด็นหนึ่งให้ชัดเจน ขุนนางบุ๋นเก็บได้เข้าท้องพระคลังแผ่นดิน ขันทีเก็บมาได้ย่อมเข้าพระคลังส่วนพระองค์ กรมอากรดูแลท้องพระคลังแผ่นดิน ใต้หล้าใช้จ่ายโดยกรมอากรจัดสรร พระคลังส่วนพระองค์เป็นของฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์ในวังใช้ ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมทรงเข้าพระทัย แต่ทว่าไม่ทรงตรัสอันใด
ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ เคาะโต๊ะตรัสว่า
“วิธีนี้คงไปได้แค่ปีสองปี ยังต้องหาวิธีให้ยืนยาว หวังทง เรื่องนี้มอบให้เจ้าไปจัดการ”
หวังทงสีหน้ายิ้มเฝื่อนทูลว่า
“ฝ่าบาท หากกระหม่อมจัดการเองพวกนี้ออกไปง่ายๆ ใช่ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งเงินทองไปแล้วหรือพะยะค่ะ จะว่าไป เรื่องพวกนี้ควรให้คณะเสนาบดีใหญ่และกรมอากรไปหารือ กระหม่อมเป็น…”
“ผู้มีความสามารถควรปฏิบัติงานให้มากหน่อย เทียนจินกับกุยฮว่าเฉิง เจ้าทำเงินให้เราไม่น้อย ไปคิด ๆ หาวิธีมา พอใช้ได้ก็พอ”
บรรยากาศเริ่มผ่อนคลาย หวังทงถวายคำนับยิ้มรับพระบัญชา เรื่องนี้ถือเป็นราชโองการ แม้ว่าไม่รีบร้อน แต่ก็ต้องกลับไปหาหนทาง พูดกันถึงขั้นนี้แล้ว ก็ไม่มีอันใดกล่าวต่อ ได้แต่ถวายบังคมทูลลา
….
“ไปเชิญโจวกงกงมาที่จวน บอกว่าข้ามีเรื่องขอพบ ต้องมาด้วยตนเอง!”
หวังทงออกจากประตูไป ก็รีบสั่งการคนติดตามมาว่าให้รีบไปจัดการที่สั่ง ไม่ว่าเรื่องเมืองชายแดนหรือภาษี เป็นแค่เรื่องแลกเปลี่ยนข่าวสารทั่วไป หากที่หวังทงเห็นนั้น กลับเป็นเรื่องอื่น และยังเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า
‘มาด้วยตนเอง’ วาจานี้นำไปบอกกล่าว โจวอี้แม้ยุ่งเพียงใดก็ต้องรีบออกจากวังมา ตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าสำนักอาชาหลวง ทุกคืนต้องอยู่ในวัง หวังทงให้เขาไปตอนนี้ก็บ่ายแล้ว เวลากระชั้นชิดมาก
แต่ทว่าที่อยู่หวังทงมีข้อดีหนึ่ง ก็คือถนนทักษิณไม่ไกลจากวังหลวง การเดินทางไม่เสียเวลามาก โจวอี้มาถึงหอรุ่งเรือง ก็ถูกนำทางเข้าไปยังเรือนรับรองเดี่ยวทันที
“หอรุ่งเรืองบ่ายนี้ไม่ทำการค้าแล้ว พวกเจ้าไปตระเวนรอบหอรุ่งเรืองเฝ้ารักษาการไว้!”
หวังทงออกคำสั่ง ทหารติดตามรีบรับคำสั่ง วาจาก็คือหอรุ่งเรืองใหญ่โต บ่ายนี้มีแค่หวังทงกับโจวอี้สองคน ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกัน
ทหารติดตามระวังรอบคอบผิดปกติ เหมือนว่าออกตรวจตรายามสงคราม ทำเอาโจวอี้เองก็งงเหมือนกัน ไม่รู้จริงๆ ว่าจะคุยอะไร
“พี่โจว ไปขอให้จางกงกงทูลลาจากตำแหน่งเถอะ!”
หวังทงกล่าวอย่างไม่อ้อมค้อม จางกงกงมีมากมาย แต่บริบทนี้ก็มีแต่จางเฉิงกงกงแห่งสำนักส่วนพระองค์และสำนักบูรพาแล้ว พอได้ยิน โจวอี้ที่ยกจอกชาก็มือสั่น น้ำชากระฉอกออกมาไม่น้อย เขาเกือบจะผุดลุกขึ้น แต่ทว่าเพราะอยู่ในสถานะสูงแล้ว ย่อมสงบใจลงได้ รีบเอ่ยถามขึ้น
“น้องหวัง ไยกล่าวเช่นนี้ หากจางกงกงไม่อยู่ในสถานะนี้ พวกเราทำอะไรก็ยุ่งยากมากขึ้น เจ้าก็รู้นี่?”
จางเฉิงเป็นดังเสนาบดีฝ่ายในแผ่นดินหมิง ทั้งวันติดตามรับใช้ข้างพระวรกาย เป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในแผ่นดินหมิงคนหนึ่ง เป็นกลุ่มหวังทง จางเฉิงนับเป็นที่พึ่งใหญ่ของพวกเขา หากไร้จางเฉิง ก็เท่ากับไร้การปกป้องไปไม่น้อย ผลจะเป็นเช่นไร แค่คิดก็ย่อมรู้ได้
“หากยังอยู่สถานะนี้ วันหน้าพวกเราจะยิ่งยุ่งยาก ไม่แค่พวกเรา แม้แต่จางกงกงเองก็ไม่อาจมีจุดจบที่ดีได้”
“น้องหวัง เจ้าอย่าทำให้ข้าตกใจ วันนี้ต่อหน้าพระพักตร์เกิดอะไรขึ้น ถึงกับเป็นเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ไปได้”
โจวอี้สีหน้าแปรเปลี่ยน หวังทงส่ายหน้า กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า
“จางกงกงชราภาพแล้ว ฝ่าบาทเองก็ทรงเห็นว่าชราภาพแล้ว…”
จางเฉิงวันนี้ในห้องทรงอักษรแลดูชราภาพมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่คิดได้ฉับไวอีกแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ทรงรู้สึกได้ แต่ทรงเป็นฮ่องเต้ ทุกวันงานราชกินมากมายร้อยพัน ยังต้องดูแลเรื่องส่วนพระองค์ฮ่องเต้ว่านลี่อีก หากปฏิกิริยาไม่ไว จะทำได้ดังพระทัยได้อย่างไร
ฮ่องเต้ว่านลี่ตอนนี้ทรงตรัสว่าเขาชราแล้ว ก็เป็นเพราะยังทรงเห็นแก่ความสัมพันธ์เดิม หากนานวันเข้า จะกลายเป็นความรู้สึกไม่ดี ก็ย่อมยุ่งยากใหญ่แล้ว
“…ไม่สู้อาศัยที่ยังทรงมีน้ำพระทัยให้อยู่ จางกงกงทูลขอลากลับบ้านเกิด ก่อนไปยังมีหน้ามีตา พี่โจวท่านไปเป็นหัวหน้าหรือรองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์เถอะ ไม่เช่นนั้นหากเป็นเช่นนี้ต่อไป วันหน้าพูดยาก…”
วาจาหวังทงนั้นก็พอเข้าใจ โจวอี้สีหน้าเคร่งเครียดขึ้น แต่ได้ยินวาจาท้ายของหวังทงก็ได้แต่ส่ายหน้า ได้สติลดเสียงลงกล่าวว่า
“จางกงกงไปแล้ว ตำแหน่งเดิมย่อมตกเป็นของเถียนอี้ หากข้าไปคุมแทน กำลังทหารสำนักอาชาหลวงที่เป็นดังกุมอำนาจแผ่นดินทั้งหมดนี้ทำอย่างไร”
หวังทงส่ายหน้า จ้องโจวอี้กล่าวว่า
“พี่โจว ยังจะคิดถึงอำนาจการทหารอะไรอีก ท่านดูตอนนี้กองกำลังวังหลวงห้ากองกำลัง เห็นชัดว่าทรงกุมอำนาจโดยตรงแล้ว สำหรับอำนาจเงินทอง ท่านไปอยู่สำนักส่วนพระองค์แล้วก็ใช่ว่ายังจัดการได้อยู่เหมือนเดิมไม่ใช่หรือ ในวังสำนักส่วนพระองค์เป็นดังศูนย์กลาง ต้องคุมอำนาจไว้ได้ หากจางกงกงไป ท่านไม่อาจคุมไว้ได้ หรือว่ารอให้เถียนอี้มาคุมแล้วค่อยไป ถึงตอนนั้น ใช่ว่าจะสาย…”
โจวอี้เงียบไป เงียบไปนาน ก่อนจะลุกขึ้นยืนกล่าวว่า
“ข้าจะรีบกลับเข้าวังไปพบจางกงกง บอกเรื่องพวกนี้ให้ฟัง เกรงก็แต่จางกงกงจะไม่อาจปล่อยวางได้!”
หวังทงถอนหายใจกล่าวว่า
“จางกงกงเป็นคนใจกว้าง น่าจะเข้าใจได้ พี่โจวบอกไปตรงๆ ว่าเป็นวาจาหวังทง เราสองคนหารือกัน จางกงกงคงไม่อาจไม่รับฟัง”
โจวอี้พยักหน้า ประสานมือคำนับออกไปทันที
หวังทงกลับจวน พอเข้าประตูไป ถานเอ้อร์หู่ก็รีบวิ่งมา กระซิบว่า
“ท่านโหว เมื่อครู่ทางซานตงมีข่าวมา แม่ทัพชีจากไปแล้ว ข่าวนี้น่าจะเข้าวังไปแล้ว”
หวังทงอึ้งไป ชีจี้กวงจากไปแล้ว มังกรอวี๋ พยัคฆ์ชี ตอนนี้ล้วนไม่อยู่แล้ว สองคนนี้ หวังทงล้วนเคยคบหาสมาคม ล้วนให้การสนับสนุนแลการช่วยเหลือแก่หวังทงอย่างมาก ได้ยินข่าวแล้ว หวังทงก็รู้สึกบอกไม่ถูก ปลายรัชสมัยฮ่องเต้เจียจิ้งเพราะความวุ่นวายใต้หล้าก่อเกิดวีรชน แต่ตอนนี้เริ่มทยอยชราภาพตายจากไปแล้ว
คืนนั้นในวังก็มีข่าวมาถึงหวังทง จางเฉิงเตรียมอำลาจากตำแหน่งกลับบ้านเกิด
ตอนที่ 963 จางเฉิงทูลลาจากตำแหน่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชีจี้กวงไปเป็นผู้บัญชาการที่กวางตุ้งได้ปีครึ่ง ก็ถูกขุนนางบุ๋นยื่นฎีกา ว่าเขาหักเบี้ยหวัดทหาร ความผิดนี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะว่าเล็กก็เล็ก ถึงขั้นประหารก็เป็นได้ ตำหนิสักหน่อยก็ได้
แต่ทว่าทุกคนล้วนเข้าใจ ว่าต้องการให้ชีจี้กวงปลดระวางตนเอง ตามรายงานองครักษ์เสื้อแพรกับข่าวในพื้นที่กวางตุ้ง ชีจี้กวงเดิมทีกำลังฝึกทหารเรืออยู่ แต่หลังฎีกาครั้งนี้ ทำให้เขาหมดกำลังใจ ยื่นฎีกาขอรับผิดด้วยการลาออก
แม้ไม่มีความดีก็ควรมีความชอบ ราชสำนักจะลงโทษได้อย่างไร ได้แต่อนุมัติฎีกาลาออกกลับบ้านเกิดไปอย่างเดียว สำหรับความผิดก็ไม่เอ่ยถึงอีก อนุมัติแล้ว ราชสำนักก็สรรเสริญความดีความชอบชีจี้กวงทันที สร้างจวนให้ชีจี้กวงที่เติงโจว มีพระราชทานรางวัลความดีความชอบไปมากมาย และควรรู้ว่า ผู้เขียนฎีกาฟ้องชีจี้กวงกับคนที่ยื่นขอความชอบให้นั้นเป็นขุนนางคนเดียวกัน
ขุนพลใหญ่คุมอำนาจทหาร อำนาจการสังหารอยู่ในมือ ราวกับมีกลิ่นอายเทพคู่กาย ร้อยโรคไม่ย่ำกราย แต่ทันทีที่อำลาตำแหน่งกลับบ้านเกิดเพื่อใช้ชีวิตวัยชรา แม้ว่าได้พัก ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ร่างกายได้รับการดูแลที่ดีขึ้น แต่กลับตรงกันข้าม เช่นชีจี้กวงที่เป็นขุนพลมีใจภักดีแผ่นดินหมิงด้วยใจ กลับบ้านไปใช้ชีวิตวัยชราได้ไม่นาน ก็รู้สึกหงอยเหงา สุขภาพกายและใจก็เริ่มตกลง
แม้เป็นแม่ทัพคนดังแห่งยุค แต่เพราะตัวเขามีภาพซ้อนของจางจวีเจิ้งติดมามากไป ดังนั้นฮ่องเต้ว่านลี่จึงไม่ทรงยอมให้กุมอำนาจทหาร ขุนนางทุกคนแน่นอนเข้าใจเหตุผลนี้
ข่าวชีจี้กวงจากไปไปถึงในวัง ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ยังหลั่งน้ำตา อย่างไรก็ต้องพระราชทานบำเหน็จอย่างมากไปยังครอบครัวแม่ทัพชีที่เมืองเติงโจว บุตรลับจากภรรยาน้อยชีจี้กวงสองคนได้รับอำนาจวาสนา
ชีจี้กวงไปแล้ว ขุนพลมีชื่อจากไปอีกหนึ่งแล้ว เมืองหลวงมีคนทอดถอนใจ แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังจับตาดูเรื่องเรื่องมากกว่า นั่นก็คือหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์จางเฉิงทูลลาจากตำแหน่ง เรื่องนี้นับเป็นเรื่องใหญ่ของทุกคน สถานะเช่นมหาอำมาตย์นี้ การเปลี่ยนแปลงย่อมส่งผลต่อใต้หล้า
ไม่มีสาเหตุ เหตุใดจางเฉิงทูลลาจากตำแหน่ง หรือว่าทำผิดอันใด หรือในวังมีการแก่งแย่งใดที่ทุกคนไม่รู้?
แต่ละคนล้วนพากันคาดเดา แต่ไม่กี่วัน ทุกคนล้วนได้รู้ว่าจางเฉิงทูลลาเพราะชราภาพจริง ๆ เพราะไม่ว่าข่าวจากทางใด ไม่อาจไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงไม่รู้
ขันทีเป็นบ่าวรับใช้ฮ่องเต้ ไม่มีอิสระของตนเอง พวกเขาทำงานรับใช้ด้านใด ก็จะรับใช้ไปจนชั่วชีวิตหรือแก่ตายไป แต่ทว่าระดับจางเฉิงเช่นนี้สามารถขอลาจากตำแหน่งได้ แน่นอนการเข้าไปขอทูลลาจริงก็ย่อมเพราะชราภาพ ใช้เหตุผลอื่นย่อมไม่เหมาะ
ข่าวจางเฉิงชราภาพเป็นจริง ชาวเมืองหลวงที่พอมีสถานะรับรู้ก็พากันแพร่ข่าวไป ยามนี้ในวังมีข่าวแพร่ออกมาว่า จางเฉิงทูลเองว่ากำลังกายและความคิดตอนนี้อ่อนกำลังลงไปมาก ทำงานในส่วนกลางเช่นนี้ หากเกิดเหตุผิดพลาด ก็ย่อมทำให้แผ่นดินเสียหาย อย่างไรก็ไม่สู้ขอปล่อยตำแหน่งให้ผู้มีความสามารถอื่นดีกว่า
ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้ทรงรั้งจางเฉิงไว้ คนที่จะมาแทนในตำแหน่งหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ได้ก็คงเป็นเถียนอี้ คนนี้ทุกคนเดาไว้ แต่ก็เหนือการคาดเดาเช่นกัน
เถียนอี้ไม่ใช่สายจางเฉิง ทุกคนล้วนรู้ ทุกคนเดิมคิดว่าจางเฉิงกุมสำนักส่วนพระองค์ไว้ หากเหตุเตะเถียนอี้ออกไปจากสำนักส่วนพระองค์ก่อน เถียนอี้ปกติทำงานรอบคอบระมัดระวัง ส่วนในยิ้มแย้มเรียกขานเป็นขันทีในห้องงานประจำสำนักส่วนพระองค์ ว่ากันว่าเขาไม่มีความคิดใดเป็นของตนเอง เพียงแต่รับคำสั่งทำงานเอกสารไปเท่านั้น
คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้เขาจะโชคดีเช่นนี้ อยู่ๆ ก็ได้เป็นหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ เพราะเถียนอี้กับจางเฉิงไม่ใช่สายเดียวกัน ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ทรงรั้งไว้และยังยอมให้เถียนอี้ขึ้นตำแหน่ง ทำให้คนนอกวังพากันคาดเดา แต่ทว่าตำแหน่งถัดมาก็ทำเอาทำคนเลิกคาดเดา
หัวหน้าสำนักอาชาหลวงโจวอี้เป็นผู้ช่วยหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ควบผู้ช่วยหัวหน้าสำนักบูรพา ขันทีในห้องงานส่วนพระองค์หวังอันได้ไปประจำ หวังอันทำงานระวังรอบคอบ เป็นคนซื่อสัตย์ภักดี เป็นจางเฉิงกับเถียนอี้ร่วมกันเสนอ
โจวอี้เป็นบุตรบุญธรรมจางเฉิง เขาเข้าสู่สำนักส่วนพระองค์ ก็ย่อมไม่ต้องสงสัยว่าเป็นความต้องการของฮ่องเต้ว่านลี่ และก็ทำให้คนนอกวังไม่ต้องคิดวางแผนอันใด
….
“เป็นอย่างที่น้องหวังว่าไว้จริง ตำแหน่งหัวหน้าสำนักอาชาหลวงว่าง ขันทีหลายคนเริ่มเคลื่อนไหว แต่ทว่าล้วนถูกตำหนิไป ตามข่าวที่มา ตอนนี้รองหัวหน้าและผู้ช่วยสำนักสำนักอาชาหลวงล้วนต้องรายงานตรงต่อเจ้ากงกง?”
หลี่ว์วั่นไฉอยู่ในห้องหนังสือหวังทง ยิ้มวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น เขามาเยี่ยมเยือนหวังทง ภรรยาหลี่ว์วั่นไฉก็ไปคุยกับพวกหานเสีย การคบหากันเช่นนี้เป็นการสร้างสายสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น
‘เจ้ากงกง’ แน่นอนก็คือเจ้าจินเลี่ยง เจ้าจินเลี่ยงปีนี้อายุ 16 ทำงานหัวหน้ากองงานในหกหน่วยงานสำนักส่วนพระองค์ แต่ตอนนี้รองหัวหน้าและผู้ช่วยสำนักสองตำแหน่งขันทีใหญ่แห่งสำนักอาชาหลวงต้องรายงานเขาคนเดียว ก็นับว่าเป็นเรื่องไม่ธรรมดา
“แม้ว่าเสี่ยวเลี่ยงจะฉลาด แต่อายุก็ยังน้อย ทำอะไรได้ อย่างไรก็คงเป็นฝ่าบาททรงกุมอำนาจทหารไว้เอง”
เขาอยู่กันสองคน หวังทงกล่าวอันใดก็ไม่ต้องระวังตัว พัดจีบในมือหลี่ว์วั่นไฉโบกไปมา ยิ้มพยักหน้ากล่าวว่า
“ฝ่าบาทไม่ทรงวางพระทัยขุนนางบุ๋น และยังทรงระแวงพวกในวัง น้องหวังยังยกสถานะขึ้นได้อีก นี่เป็นเรื่องดี ยังนำพาวาสนามาสู่พี่น้องอย่างเรา ๆ อีกด้วย!”
“จะสูงไปไหนได้อีก สูงไปกว่านี้เรียกว่าภัย ไม่ใช่วาสนาแล้ว!”
หวังทงรู้หลี่ว์วั่นไฉแซวเล่น เขายิ้มแย้มตอบ หลี่ว์วั่นไฉหัวเราะขำ ก่อนจะต่อว่า
“ตำแหน่งก็เรื่องหนึ่ง แต่ทว่าพระเมตตาหนักเบาก็อีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้…”
“โจวกงกงมา”
ทหารติดตามด้านนอกรายงานดัง ตอนนี้โจวอี้สถานะไม่เหมือนเดิม แต่ทว่าในจวนหวังทง ทุกคนล้วนคุ้นเคยกัน ไม่มีธรรมเนียมมาพิธีอันใด
ขณะที่คุยกันกันนั้น โจวอี้ก็เดินเข้ามาแล้ว พอเข้ามาก็พบว่ามีขันทีน้อยติดตามมาด้วยสองคน โจวอี้กล่าวเป็นการเป็นงานว่า
“ฝ่าบาทมีรับสั่ง หวังทงรับราชโองการ”
ราชโองการจะว่าใหญ่ก็ได้เล็กก็ได้ เป็นเรื่องให้หวังทงพาจางเฉิงไปเทียนจิน พอถ่ายทอดรบ ขันทีน้อยสองคนก็ถูกไล่ออกไปก่อน สามคนนั่งลง เทน้ำชาใหม่อีกรอบ
ตอนนั้นหวงหยางที่มาสอนที่ลานฝึกหู่เวย อายุก็มากแล้ว ในวังมีพระเมตตาให้เขาได้ออกจากวังไปอยู่กับลูกหลานได้ ในวัยชรา จางเฉิงก็มีหน้ามีตาพอ และยังไม่ได้ทำผิดจนต้องทูลลาตำแหน่ง ฮ่องเต้ว่านลี่อย่างไรก็ต้องมีพระเมตตาให้อย่างมาก
“บิดาบุญธรรมอยู่ในวังมานาน แก่แล้วก็คิดไปอยู่เทียนจินสักปีสองปี ไปดูอะไรใหม่ๆ ที่นั่น เดิมข้าก็คิดจะเขียนจดหมายมา แต่มาคิดๆ ดู คิดว่าให้น้องหวังไปบอกกับไช่หนานดีกว่า บิดาบุญธรรมไปที่นั่น ดูแลปรนนิบัติก็ขอให้เขาช่วยดูแลแทนด้วย”
หวังทงสังเกตเห็นว่า โจวอี้เรียกขานจางเฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อก่อนจะเรียกด้วยคำว่า ‘ใต้เท้าบิดาบุญธรรม’ หรือไม่ก็ ‘จางกงกง’ แต่ตอนนี้กลับเหลือแค่ ‘บิดาบุญธรรม’ สถานะเปลี่ยนไป ในใจก็เปลี่ยนแปลงเช่นกัน
คุยกันไปนานก็เปลี่ยนไปเรื่องอื่นๆ เล่าถึงเรื่องที่ได้เห็นมาในวังในวันนี้ โจวอี้เองก็ท่าทางบอกไม่ถูก จางเฉิงไปเข้าเฝ้าทูลลาจากตำแหน่งกับฮ่องเต้ว่านลี่ ไม่กล่าวเรื่องอะไรเกี่ยวกับงานแผ่นดิน ไม่กล่าวเรื่องอะไรเกี่ยวกับคนในวัง หากเพียงแต่พร่ำบ่นให้ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงระวังนู่นนี่นั่นหลายเรื่อง
เช่นว่ากำชับฮ่องเต้ว่านลี่ว่าต้องสวมฉลองพระองค์หนาในวันอากาศหนาว อย่าได้ปล่อยให้เป็นหวัดไป อากาศร้อน ก็อย่าเอาแต่ดื่มน้ำผลไม้เย็น ทำลายกระเพาะอาหาร พูดจนฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มรำคาญพระทัย ต่อมาฟังจนเริ่มขอบพระเนตรรื้น
จางเฉิงรับใช้ฮ่องเต้ว่านลี่มาแต่พระเยาว์ ร่วมกับเฝิงเป่าดูแลมา ต่อมาเป็นขันทีรับใช้ข้างพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่มาถึงตอนนี้ ผ่านเรื่องราวมามากมาย บอกว่าเป็นผู้ใหญ่กับเด็กน้อยก็ไม่เกินไป สองฝ่ายยังมีความรู้สึกผูกพันกันจริง ยามต้องจากกัน ก็ย่อมเผยความรู้สึกผูกพันแท้จริง
ทุกคนทอดถอนใจ คุยกันต่อถึงสถานการณ์จากนี้ โจวอี้มีเรื่องเป็นห่วงหนึ่งว่า
“เถียนอี้เดิมเป็นคนเฝิงเป่า ลูกศิษย์เฝิงเป่าตอนนี้ประจำหน่วยงานต่างๆ ฝ่ายใน พอได้ขึ้นไปเช่นนี้ หากสมคบคิดกันขึ้นมา เราจะทำการลำบาก”
หวังทงไม่กล่าวอันใด หลี่ว์วั่นไฉกลับยิ้มเอ่ยขึ้น
“โจวกงกงไม่ต้องเป็นห่วง หากเถียนอี้กล้าสมคบคิด สถานะนั่นย่อมอยู่ไม่นาน ฝ่าบาทให้กงกงไปควบสำนักบูรพา ไม่ใช่ว่าไปจับตาดูเขาหรอกหรือ?”
โจวอี้อึ้งไป สามคนสบตากัน พากันหัวเราะดังออกมาพร้อมกัน หวังทงยังดี โจวอี้กับหลี่ว์วั่นไฉกลับมีท่าทีได้ใจอย่างยิ่ง หวังทงกุมองครักษ์เสื้อแพร โจวอี้อยู่สำนักบูรพา หลี่ว์วั่นไฉกุมศาลซุ่นเทียน สถานการณ์เช่นนี้ช่างเป็นประโยชน์อย่างมาก
….
คุ้มครองจางเฉิงไปเทียนจิน งานนี้แม้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่ไม่รับสั่ง หวังทงก็ย่อมไปส่งด้วยตนเอง อย่างไรเทียนจินก็เป็นพื้นที่ที่เขาก่อร่างสร้างขึ้น ไปจัดการสักหน่อยก็เป็นเรื่องสมควร
ตอนจางเฉิงออกจากวังหลวง โจวอี้ เจ้าจินเลี่ยงและคนสนิทอื่นๆ ในหน่วยงานต่างๆ ในวังก็ออกมาส่ง หลังกล่าววาจาอำลากันแล้ว จางเฉิงให้พวกเขากลับไป คุกเข่าลงตรงหน้าประตูวังหลวง หันไปทางตำหนักเฉียนชิงกงที่ประทับฮ่องเต้โขกศีรษะหลายที ก่อนจะลุกขึ้น น้ำตานองหน้า
หวังทงรู้สึกบอกไม่ถูก เข้าไปปลอบใจ แต่จางเฉิงที่แต่ไรมาวางตัวได้นิ่งกลับระงับไม่อยู่ น้ำตาไหลอาบแก้มไม่หยุด
จางเฉิงไม่ได้เอาอะไรออกจากวัง มีเพียงห่อผ้าและเสื้อผ้าไม่กี่ตัว ท่าทางไร้สมบัติอย่างยิ่ง หลังออกจากวัง หวังทงเตรียมการไว้พร้อมแล้ว เช้ามาก็เตรียมรถม้าลากสี่ตัวมาพร้อม เชิญจางเฉิงขึ้นรถม้า หวังทงนำทหารติดตามขี่ม้าตาม
ออกจากเมืองหลวง หม่าซานเปียวรู้สึกได้บางอย่าง เขาติดตามหวังทงมานาน กับขันทีในวังก็สัมผัสมามาก รู้มากกว่าคนอื่น ดังนั้นจึงรู้สึกได้มากกว่าคนอื่น
“ท่านโหว ตอนนั้นจางกงกงยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แต่ดูตอนนี้ มีแต่เสื้อผ้าไม่กี่ตัวกับห่อผ้าห่อเดียว ก็ช่าง…!”
หวังทงส่ายหน้า ไม่ตอบอันใด แต่ทว่าหม่าซานเปียวมีเรื่องหนึ่งไม่รู้ ห่อผ้าจางเฉิงย่อมอัดแน่นไปด้วยตั๋วเงินร้านเงินสามธารา อย่างน้อยก็ล้านห้าแสนตำลึง เงินไม่น้อยล้วนผ่านจากมือหวังทงไป เขาย่อมรู้
แน่นอน เทียบกับตำแหน่งอำนาจในวังกับใต้หล้าแล้ว เงินมากกว่าเท่าไรกัน ในใจจางเฉิงเศร้าก็ยากจะเลี่ยงได้
“ในรถกว้างขวาง หวังทงเข้ามาด้านในเถอะ มาคุยเป็นเพื่อนข้า”
พอผ่านจากทงโจว จางเฉิงก็เรียกหวังทงเข้าไปในรถม้า พอเข้าไป หวังทงก็พบว่า เวลาไม่ถึงครึ่งเดือน จางเฉิงแก่ลงไปมาก แต่ก็ดูผ่อนคลายกว่าเมื่อก่อนมาก
ตอนที่ 964 ยากมีโอกาสแสร้งเลอะเลือน รีบถอนตัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท่าทางอ่อนกำลัง ท่าทางต่างๆ ที่จางเฉิงแสดงออกก่อนหน้า หวังทงล้วนไม่เห็น เห็นแต่ท่าทางชายชราที่ผ่อนคลายมาก
“มา มา มา น้ำชานี่เป็นชาชั้นยอดจากโรงชาอู่อี๋เชียวนะ ทุกปีเครื่องบรรณาการส่งเข้าวังมายังสู้ไม่ได้เลย”
ภายในรถม้ากว้างขวาง ตรงหน้าจางเฉิงมีเตาทองแดงใบหนึ่ง กาน้ำร้อนน้ำเดือดแล้ว จางเฉิงคว้ากาน้ำชามาเริ่มชงชา
จางเฉิงท่าทางเคลื่อนไหวนิ่งมาก เทน้ำเดือดลงในถ้วยชาได้พอดี ในรถม้าเริ่มมีกลิ่นหอมของชากรุ่นไปทั่ว หวังทงสังเกตเห็นจางเฉิงผมและคิ้วขาวไปกว่าครั้งก่อนมาก เพราะผมและคิ้วขาว ทำให้คนดูแล้วแก่ลงไปอีกสิบกว่าปีก็ว่าได้
“จางกงกง อยู่ในอำนาจก็มีข้อดีของการอยู่ในอำนาจ แต่การมีเวลาว่างก็มีข้อดีของการมีเวลาว่างอยู่เช่นกัน ท่านชราภาพแล้วไม่อยู่ในวัง ก็ไม่ต้องคิดมากไป”
หวังทงกล่าวปลอบน้ำเสียงนิ่ง จางเฉิงวางกาน้ำชาลง ผลักปล่องควันเตามาจ่อ การก่อเตาในรถม้า พื้นที่ปิดย่อมอันตราย ดังนั้นโรงช่างสามธาราจึงยังทำปล่องควันมาให้ด้วย ประณีตมาก ตอนรถวิ่งก็ยังไล่ควันออกไปปรับเปลี่ยนอากาศข้างนอกเข้ามาได้
“ข้าเองเคยไปเทียนจินมาสองครั้ง แต่ทว่าล้วนไปปฏิบัติหน้าที่ หลายปีนี้ ได้ยินได้ฟังมาล้วนยอดเยี่ยม ข้าเดิมทีไม่อยากเชื่อ แต่ได้เห็นเตากับปล่องควันของรถเจ้าแล้ว ข้าก็เชื่อแล้ว”
จางเฉิงยิ้มกล่าว ผายมือเป็นการเชื้อเชิญ ตนเองยกถ้วยชาขึ้นจิบ หวังทงเองก็ยกตาม ค่อยๆ จิบ กลิ่นหอมอบอวลในปาก ตั้งแต่เรืองอำนาจวาสนามา แม้ไม่พิถีพิถัน แต่อาหารรสเลิศของใช้ชั้นดีก็ย่อมเห็นมาไม่น้อย รู้ว่าชานี้รสเยี่ยม ชาก็เรื่องหนึ่ง แต่การชงชาก็เป็นฝีมือเช่นกัน
เห็นหวังทงมีสีหน้าชื่นชม จางเฉิงก็พึงใจกล่าวว่า
“หลังจากเข้าวังมา ทำงานรับใช้ยากลำบากมา ไฟเตานี่กำลังดี น้ำเดือดได้ระดับ ตอนชงชาต้องไม่อาจผิดพลาด จึงจะได้ชาดี”
เขาไม่ได้รับคำของหวังทง แต่ทว่าจางเฉิงเองเป็นคนฉลาดอย่างที่สุด เขารู้แล้วว่าหวังทงเหตุใดกล่าวเช่นนี้ ดื่มชาไปคำหนึ่ง ก็ถอนหายใจท่าทางพึงใจ ยกมือขึ้นลูบศีรษะยิ้มกล่าวว่า
“ฝ่าบาทอายุยังน้อย บ่าวรับใช้ไม่อาจให้อายุมากเกินไปนัก อย่างไรก็ต้องหาอะไรมาย้อมผมให้ดำไว้ เจ้าดูเหล่าหานที่อยู่สำนักเครื่องใช้ส่วนพระองค์สิ อายุจะ 80 แล้ว ยังผมดำ แต่เรื่องราวในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงแตกต่างกัน ข้ายังจำได้ว่าสมัย ฮ่องเต้อู่จง ในวังพวกที่พอมีอายุสักหน่อยล้วนต้องย้อมผมขาว ก็ให้รู้สึกว่าอยู่ในวังปฏิบัติหน้าที่มานาน ฮ่องเต้อู่จงจะได้ทรงเห็นแก่สัมพันธ์น้ำใจยาวนานกันมา”
เรื่องการกุมอำนาจนี่เป็นเรื่องน่าสนุกจริง หวังทงอดยิ้มไม่ได้ ยกถ้วยชาขึ้นจิบไปคำหนึ่ง เป็นชาไม่เลวจริงๆ แต่ทว่ายามนี้อยู่ๆ มีท่าทีเช่นนี้ ตั้งแต่ออกจากวังมา จางเฉิงดูเหมือนชายชราจริง แต่มิได้มีท่าทีชราภาพหมดสิ้นอย่างที่แสดงก่อนหน้า
จางเฉิงยังคงมีปฏิกิริยากับความคิดฉับไว ท่าทางก็ยังคล่องแคล่ว ต่อหน้าฮ่องเต้แสดงท่าทางชราภาพหมดสิ้นนั้น ยามนี้ไม่มีให้เห็นแม้เงา จางเฉิงวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ พิงพนักเก้าอี้ด้านหลังค่อยๆ หลับตาลง กล่าวเบาๆ ว่า
“หลายปีมานี้ วันๆ ยุ่งทั้งวัน กลางคืนยังยุ่ง ไม่เคยมีเวลาเป็นส่วนตัว หลายวันนี้ได้รับรู้แล้วว่าว่างเป็นอย่างไร นอนหลับได้หลายตื่น รู้สึกกระดูกกระเดี้ยวผ่อนคลายลงมาก สบายเสียจริง!”
หวังทงยิ้มพยักหน้า ไม่รู้จะกล่าวอันใด เขายังคงคิดถึงเรื่องที่อยู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้เมื่อครู่
“ฝ่าบาทแต่ทรงพระเยาว์ก็เป็นข้าดูแลอภิบาลมาจนเจริญชันษา ฝ่าบาททรงเรียกคนอื่นยังเรียกชื่อ แต่กลับข้า เรียกว่า ‘ปั้นปั้น’ ฝ่าบาทตอนนี้เติบใหญ่แล้ว แน่นอนไม่ทรงอยากต้องการเกรงใจบ่าวทั้งวันแบบเดิม ข้าเองก็ห่วงพระองค์มาก เห็นอะไรก็อดไม่ได้ต้องเข้าจัดการ จะว่าไป สถานะข้านี้ ไม่รู้เป็นคนในวังเท่าไรที่จับตามองอยู่ หนามยอกในตา นานวันเข้า ก็ย่อมนำภัยมาสู่ตัว! ผู้ที่ฝ่าบาททรงเรียกว่า ‘ต้าปั้น’ มีจุดจบเช่นไร ข้าก็เห็นมากับตา”
แน่นอน ‘ต้าปั้น’ ก็คือเฝิงเป่า เขาสถานะอำนาจสูงส่ง ถึงกับข่มโอรสสวรรค์ได้ จากนั้นยังร่วมมือกับพวกในวังและนอกวัง ย่อมต้องถูกส่งไปดูแลสุสานบรรพชนที่หนานจิง
“จางกงกงรู้จักรีบถอย ช่างมีสติปัญญาเป็นเลิศ!”
หวังทงชมไปคำหนึ่ง จางเฉิงยิ้มส่ายหน้า หวังทงเงียบไปครู่หนึ่ง อดถามขึ้นไม่ได้ว่า
“จางกงกง หากข้าไม่ให้โจวกงกงไปกล่าวกับท่าน ท่านเตรียมทำเช่นไร?”
“ข้าเองก็มีขุนนางรู้จักในราชสำนักอยู่บ้าง อย่างไรก็มีวิธี”
จางเฉิงยิ้มเหมือนไม่ยิ้มตอบ หวังทงยิ้ม แต่ทว่าเป็นยิ้มส่ายหน้า จางเฉิงยกกาชาเทให้หวังทงอีกถ้วย เอ่ยขึ้นถามขึ้น
“อย่างไร?”
“เรื่องนี้ได้บทเรียนมาแล้ว ไม่อาจคิดว่าตนเองฉลาด ใต้หล้านั้นโง่เขลา”
หวังทงอยู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จางเฉิงหัวเราะดังออกมา วางถ้วยชาลงบนโต๊ะ คว้าผ้าขึ้นมาเช็ดมุมปาก กล่าวนิ่ง ๆ ว่า
“เจ้าเป็นเด็กจิตใจดี เจ้าเป็นคนเอ่ยเรื่องนี้ขึ้น ทำให้ข้ารู้สึกสบายใจมาก ไม่ได้ดูคนผิดจริงๆ !”
จางเฉิงเอ่ยขึ้น หวังทงปรับอารมณ์กลับมา ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ผลปรากฏเช่นนี้ย่อมดี ไม่เกิดเหตุวุ่นวายใด อย่างไรจางเฉิงก็เคยช่วยเหลือตนเองไว้มาก ตอนนี้สามารถมีชีวิตบั้นปลายที่ดี ไปจนสิ้นบั้นปลายชีวิตได้ ก็ย่อมเป็นเรื่องดียิ่งใหญ่
“จางกงกงไปเทียนจินก็เหมือนบ้านท่าน มีอันใดก็เอ่ยปากได้ ไช่หนานล้วนสามารถจัดการแทนได้ หรือว่าให้ข้าจัดการก็ได้เช่นกัน”
“ข้ามีเงินทองในมือมากมายเพียงนี้ แม้ไม่มีพวกเจ้าดูแล ก็ย่อมมีความสุขสบาย รับใช้ผู้อื่นมานานหลายปี ครั้งนี้ข้าจะให้คนอื่นมารับใช้ข้าบ้างแล้ว”
“เรื่องนี้หารือกันได้ ๆ”
หวังทงยิ้มกล่าว
….
ตลอดทางมาไม่ได้มีอันใดพูดคุยต่อ กองกำลังมาส่งถึงชายแดนเทียนจิน ขันทีคุมกำลังไช่หนานกับคนของหวังทงที่เทียนจินทั้งหมดก็มารอต้อนรับ
หวังทงประคองจางเฉิงลงจากรถม้า ไช่หนานรีบเข้าไปคุกเข่าโขกศีรษะ กล่าวว่า
“บรรพชนมาอยู่เทียนจิน ให้หลานได้รับใช้กตัญญูท่าน”
พูดไปแล้ว จางเฉิงเป็นบิดาบุญธรรมโจวอี้ โจวอี้เป็นบิดาบุญธรรมไช่หนาน ไช่หนานแม้ว่าตอนนี้สถานะไม่ต่ำต้อย แต่ต่อหน้าจางเฉิงก็ยังคงเรียกตนเองว่าหลาน รับใช้กตัญญูก็ย่อมเป็นหน้าที่เขา
แต่จางเฉิงตอนนี้อย่างไรก็เป็นขันทีชราไร้ตำแหน่ง ไช่หนานกลับเป็นถึงขุนนางฝ่ายในที่ในวังส่งมาประจำเทียนจิน สถานะและอำนาจล้วนต่างกันอย่างมาก คนแก่จากสถานะเดิม แม้ว่าปลงตก แต่ในใจก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่คิดอันใด ไช่หนานทำเช่นนี้ ทำให้จางเฉิงรู้สึกดีมาก
“จางกงกง อยากอยู่ริมทะเลหรือในเมือง จวนและข้าวของเครื่องใช้ พร้อมคนรับใช้ล้วนเตรียมเรียบร้อยแล้ว”
หวังทงยิ้มกล่าว
….
อดีตหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์จางเฉิง มาอยู่เทียนจินเรืองอำนาจวาสนาราวกับอ๋อง คนที่ไปเทียนจินมาล้วนกล่าวเช่นนี้ ไม่มีคนรู้สึกว่าเรื่องนี้เกินไป ขุนนางระดับสูงในวัง หากกลับสู่บ้านเกิดก็ย่อมเรืองอำนาจวาสนาราวกับอ๋องเช่นกัน มีชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย พวกราชบัณฑิตตำแหน่งใหญ่ในคณะเสนาบดีใหญ่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ก็มีสถานะดังมหาอำมาตย์ในคณะเสนาบดีใหญ่ อำนาจวาสนาล้นมือ ยามนี้ก็ย่อมต้องเป็นเช่นนี้ หากไม่เป็นเช่นนี้ ใช่ว่าแสดงให้เห็นถึงความแล้งน้ำใจของราชสำนักหรอกหรือ
เรื่องนี้หวังทงกลับได้รับคำสรรเสริญไม่น้อย หวังทงจากองครักษ์เสื้อแพรตัวเล็ก ๆ มาถึงสถานะเช่นตอนนี้ได้ภายในสิบปี เป็นตำนานหนึ่งแห่งแผ่นดินหมิง หวังทงบินได้ไกลเช่นนี้ จางเฉิงย่อมมีส่วนออกแรงไม่น้อย หวังทงรับจางเฉิงไปเทียนจินดูแล และยังจ่ายเงินมากมายเพียงนี้ ก็ย่อมเป็นผู้มีความกตัญญูรู้คุณคน
เดือนห้า ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 นายกองตรวจการซานซียื่นฎีกาว่าตอนนี้เมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นเมืองชายแดนแล้ว ต้าถง ไท่หยวน เหยียนสุย และเมืองชายแดนอื่นไม่พบร่องรอยพวกนอกด่าน ยังมีเมืองชายแดนอื่นๆ ทัพใหญ่ใช้แรงงานทหารทำงาน กินเงินแผ่นดินเปล่าประโยชน์ ขอให้ราชสำนักจัดการโดยเร็ว
ตั้งแต่รัชสมัยฮ่องเต้อู่จงมาถึงตอนนี้ เป็นครั้งแรกที่มีคนคุยเรื่องให้จัดการเมืองชายแดน ข่าวแพร่ออกไป เสียงวิจารณ์ในเมืองหลวงราวกับนกกระจอกแตกรัง สายผู้บัญชาการเมืองชายแดนกับผู้ว่าการมณฑลแต่ละแห่งในเมืองหลวงล้วนเคลื่อนไหวกันวุ่นวาย ต้องการสืบข่าวให้ได้มากที่สุด เพื่อเข้าใจเบื้องหลังของเรื่องราวในตอนนี้
‘เรื่องใหญ่เช่นนี้กล่าวเหลวไหลได้อย่างไร!’ ในวังได้แต่แสดงท่าทีเช่นนี้ นายกองที่กล่าววาจาเหลวไหลถูกส่งไปเป็นผู้ว่าที่เมืองชิงโจวที่ซานตง เหมือนว่าค่อยๆ ก่อหวอด แต่เมืองหลวงไม่ได้เกิดแรงกระเพื่อมใหญ่นัก ทุกคนล้วนโล่งใจ คิดว่านี่อาจเป็นพวกบัณฑิตคิดหาชื่อเสียงปกติ
จากนายกองไปเป็นผู้ว่า ระดับเรียกได้ว่าเลื่อนสองขั้น แต่ในสายตาคนยุคนั้นเรียกได้ว่าเป็นการถูกลดระดับ อำนาจวาสนาวันหน้าล้วนสิ้นหวัง แต่อีกมุมหนึ่งนั้น นายกองเมืองหลวงทำงานยากลำบาก หากได้ออกไปประจำท้องที่ บางทีอาจแค่ผู้ว่า แต่วันเวลานับว่าสบายมาก ที่นั่นย่อมเป็นพื้นที่ดังแดนสวรรค์ของตน
….
เทียบกับฎีกาฉบับนี้แล้ว ฎีกาจากผู้ว่าการเขตจี้เหลียวกลับทำให้เมืองหลวงกระเพื่อมแรงกว่า ฎีกานี้เป็นฎีกาขออภัยโทษ
ขุนพลประจำเหลียวโจวฉินเต๋ออี่นำทหารไปปักหลักที่ป้อมหม่าเอ๋อร์ตุน ถูกพวกทหารเผ่าหนี่ว์เจินโจมตีพ่าย ฎีกาว่าสูญทหารไปพันกว่า ก่อนจะถอนกำลังกลับเมืองเหลียวโจว ขาและแขนฉินเต๋ออี่ถูกธนูยิง ทหารในสังกัดสู้จนตัวตายก่อนจะนำตัวเขากลับมาได้
หากเป็นเมื่อก่อน ทหารสูญเสียพันนาย ตระกูลหลี่เองย่อมปิดบัง หาเหตุผลง่ายๆ มาปิดบังให้ผ่านๆ ไป แต่ตอนนี้เมืองเหลียวโจวไม่ใช่สวรรค์ตระกูลหลี่ผู้เดียว ยังมีหม่าหลินที่เสิ่นหยาง มีซุนโส่วเหลียนที่หวงเฟิ่งเฉิง แม้ว่าตระกูลหลี่จะปิดข่าว แต่หม่าหลินก็ย่อมได้ข่าวมาจากแหล่งอื่นได้อยู่ดี จึงมีจดหมายลับไปถึงมือผู้ว่าการเขตจี้เหลียว
ผู้ว่าการเขตจี้เหลียวก็มีช่องการข่าวตนเอง เรื่องนี้ได้รับการยืนยันทันที ทหารสูญเสียพันนาย แม่ทัพบาดเจ็บ เป็นเรื่องเล็ก แต่ตระกูลหลี่ไปตั้งค่ายนอกกำแพงเมืองชายแดนเหลียวโจวมานานเกินครึ่งปี แต่ไรมาก็รายงานว่ายังไม่ได้รับชัยชนะใดเป็นเรื่องเป็นราว แต่การพ่ายแพ้ครั้งนี้กลับเป็นเรื่องจริง
คนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดล้วนกลัวว่าจะติดร่างแหไปเรื่องอื่น ทุกคนก็ล้วนรู้ว่าหวังทงไม่ถูกกับตระกูลหลี่ หากหวังทงคิดลงมือ ทุกคนอย่าได้ติดร่างแหด้วยเป็นดี ดังนั้นข่าวนี้แม้มีคนคิดปิดบัง แต่ฎีกาก็ยังมาถึงเมืองหลวง
ตอนที่ 965 วางเฉยไม่จัดการ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ป้อมหม่าเอ๋อร์ตุน ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเผ่าหนี่ว์เจินหรือเผ่ามองโกล ตอนสมัยฮ่องเต้หมิงไท่จู่ ก็เป็นพื้นที่ชาวฮั่น นอกกำแพงเมืองเหลียวโจวอยู่ในความปกครองของทหารแผ่นดินหมิง
ที่นี่พื้นที่ไม่ซับซ้อน ไม่มีที่อันตรายเป็นด่านปราการใด ขบวนทัพม้าไปมาได้สะดวก ทหารราบเดินเท้าก็ง่ายมาก ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่นอกกำแพงเมือง แต่กลับไม่ใช่พื้นที่รกร้างเช่นนอกกำแพงเมืองทางตะวันตกของเมืองจี้โจว แต่เป็นหมู่บ้านหนาแน่น ทุกที่ล้วนเป็นที่นา เพียงแต่ไม่ใช่พื้นที่แผ่นดินหมิงเท่านั้น
ขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวหลี่ผิงหูกับฉินเต๋ออี่นำกำลังออกไป เทียบกับบนทุ่งหญ้าแล้วก็ต่างกันอยู่บ้าง แต่เพราะที่นี่ล้วนเป็นหมู่บ้าน แตกต่างจากแผ่นดินหมิงไม่มาก หากจะกล่าวถึงความต่าง ก็คงเป็นของป่าตามภูเขาและสัตว์เลี้ยงมากอยู่สักหน่อย แย่งชิงได้มาก็มีเนื้อมีน้ำมากหน่อย
แต่ทว่าทหารเมืองเหลียวโจวกับพวกเผ่านอกกำแพงเมืองมีความสัมพันธ์กันมานาน สังหารปล้นชิงคงไม่ทำ มีแค่หาก ล้ำแดนมา ชาวบ้านก็แค่ส่งมอบของให้ไปมากหน่อย ถูกบีบเอาไปรุนแรงสักหน่อยก็เท่านั้น
ออกไปรอบหนึ่ง ขุนพลทหารรวย พลทหารมีความสุข เผ่าหนี่ว์เจินเจี้ยนโจวหลบ ๆ ซ่อนๆ สู้กันก็ย่อมไม่เลือดตกยางออกสักเท่าไร ไยไม่ลงมือนำทหารออกมากันเล่า หลี่ผิงหูออกมาสู้ได้พักหนึ่ง ก็เปลี่ยนเป็นฉินเต๋ออี่มาแทน
หลี่เฉิงเหลียงนำกำลังทหารเมืองเหลียวโจวจนสร้างชื่อเสียงเกรียงไกร นอกจากนำทหารได้เก่งกล้าแล้ว ยังเก่งการสมดุลอำนาจและดึงเป็นพวก ในเมื่อหลี่ผิงหูทำกำไรได้จากการปราบศัตรูมาก เช่นนี้คนอื่นย่อมไม่อาจยอมให้เขาได้คนเดียว ทุกคนก็ย่อมอยากไปร่ำรวยกันบ้าง เช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเมืองเหลียวโจวให้ความสำคัญกับการปราบเผ่าหนี่ว์เจิน ล้วนทุ่มเทแรงใจ
ทหารห้าพันกว่าของฉินเต๋ออี่ตั้งค่ายพักที่ป้อมหม่าเอ๋อร์ตุน ที่นี่ตระกูลใหญ่มีทั้งชาวฮั่นและชาวเผ่าหนี่ว์เจิน ไม่รู้ว่าสาวใช้หรือคุณหนูถูกส่งไปปรนนิบัติฉินเต๋ออี่ในห้องนอน เสบียงอาหารและทุกอย่างล้วนพร้อมสรรพ กองทหารฉินเต๋ออี่สุขสบายราวกับสวรรค์
พวกเขายังแปลกใจ ตอนรับส่งมอบงานจากหลี่ผิงหู ป้อมหม่าเอ๋อร์ตุนและป้อมต่างๆ ทางแถบแม่น้ำซูจื่อเหอล้วนถูกขูดรีดจนหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่เจี้ยนโจวแล้ว พื้นที่เฮ่อถูอาลาที่คนนอกกำแพงเมืองเรียกขานกันยังพอมีให้ขูดรีด แต่มองดูสภาพการณ์กลับไม่ใช่
ออกจากด่านฝู่ซุ่นกวน ไปตามแม่น้ำหุนเหอ ผ่านไปทางซ่าเอ๋อร์หู่ อ้อมไปทางแม่น้ำซูจื่อเหอ เดินผ่านป้อมเจี้ยฝานไจ้และกู่เล่อไจ้ ก็จะถึงป้อมหม่าเอ๋อร์ตุน เผ่าหนี่ว์เจินตลอดทางพวกนี้ยอมสวามิภักดิ์ดี มีเครื่องบรรณาการให้เพียงพอ
หลี่ผิงหูตอนออกจากด่านมา เริ่มแรกก็สู้กันสองสามครั้ง มีบาดเจ็บกันอยู่บ้าง ทัพฉินเต๋ออี่ออกมา เริ่มแรกระวังตัวมาก แต่เดินทางมาเรื่อยๆ ก็เริ่มสบายมาก เริ่มผ่อนการป้องกันระวังลง
ตลอดทางไม่เห็นศัตรูแม้แต่คนเดียว ล้วนเป็นพื้นที่กว้างไกล ยิ่งทำให้ทหารเมืองเหลียวโจวออกเดินทางครั้งนี้ราวกับมาท่องเที่ยวป่าเขา
พอถึงป้อมหม่าเอ๋อร์ตุน ก็ฆ่าหมูฆ่าแพะ ยังมีอาหารสุราพร้อมสรรพมาต้อนรับ ทุกคนล้วนกินกันอย่างอิ่มหมี ขุนพลทหารระดับนายพันขึ้นไปยังมีหญิงมาปรนนิบัติ สบายอย่างที่สุด
จากนั้นเรื่องที่เกิดไม่ต่างอันใดกับที่กล่าวไว้ในตำราพิชัยสงคราม กลางดึกถูกโจมตี ไม่รู้ทหารเผ่าหนี่ว์เจินมาจากไหน เข้ามาสังหารทิ้งครั้งใหญ่
ดีที่ทหารเมืองเหลียวโจวไม่ใช่พวกทหารหัวหดแบบในด่าน ทหารฉินเต๋ออี่ปกป้องแม่ทัพตน ทำให้สถานการณ์สงบลงได้ ควบคุมทหารที่แตกตื่นได้ก่อนจะค่อยๆ ตีวงล้อมออกไปสังหารโต้
เริ่มแรกไม่ทันระวังตัว บาดเจ็บล้มตายมาก ยังมีส่วนหนึ่งติดอยู่ด้านในออกมาไม่ได้ ดีที่ฉินเต๋ออี่นำกำลังฝ่าวงล้อมออกมาได้ ตลอดทางหนีหัวซุกหัวซุนกลับมายังเมืองเหลียวโจวมาได้
การต่อสู้เช่นนี้ สูญทหารไปแค่พันกว่านาย ระดับหวังทงแน่นอนย่อมไม่เชื่อ
เรื่องเป็นไปตามความคาดหมายของเขา ข่าวจากร้านสามธารามาถึงตอนค่ำ ฉินเต๋ออี่นำทหารห้าพันกว่าออกมา สูญเสียไปครึ่งหนึ่ง อาวุธเสบียงสูญสิ้นไปหมด
“หลี่เฉิงเหลียงเองก็รู้ว่าปิดไม่มิด เดาว่ากำลังหาทางรับมืออยู่!”
หยางซือเฉินวิเคราะห์เช่นนี้ เหมือนกับที่เขาวิเคราะห์ ปลายเดือนห้า ผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียงถวายฎีกาขออภัยโทษมาถึงเมืองหลวง
ท่าทีหลี่เฉิงเหลียงหนักแน่นจริงใจอย่างมาก ฎีกาว่าไว้ละเอียดถึงการดูแคลนศัตรูของตนเอง ทหารตนเองจึงได้ลืมตัวเหิมเกริม ผลปรากฏถูกคนฉวยโอกาสลงมือ แต่ทว่าทหารสองพันกว่าตายไป กระจัดกระจายไป ไม่ทำให้หลี่เฉิงเหลียงกระทบกระเทือนมากนัก เขาเองทำผิดพลาดยังขอโอกาสแก้ไข
ตามคาด ฎีกากล่าวว่า ฉินเต๋ออี่แม้ว่าพ่ายศึก แต่ก็เคยสะสมความชอบมา ขอฝ่าบาทเห็นแก่ความชอบที่ผ่านมา อนุญาตให้เขานำกำลังทหารออกศึกไถ่โทษความผิด เมืองเหลียวโจวเตรียมนำทัพออกศึก ปราบเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวให้สิ้นซาก จับตัวหัวหน้ามาลงโทษต่อหน้าพระพักตร์ให้ได้
ฎีการับผิดนี้ เริ่มจากแสดงความรับผิดชอบก่อน จากนั้นก็ขอรับผิดคนเดียว จากนั้นก็ขอโอกาสทำความดีชดใช้ความผิด ว่าเมืองเหลียวโจวเตรียมปฏิบัติการครั้งนี้แล้ว จะนำทัพใหญ่ออกปราบพวกนอกด่าน นี่เป็นวิธีแก้ไข
ที่มาพร้อมกับฎีกานี้ยังเมืองหลวง ก็คือนักเจรจาจากเมืองเหลียวโจวหลายคน นำเงินทองและผลประโยชน์มาก มอบของขวัญหลายแห่ง เพื่อเปิดทาง
ตามข่าวจากซุนโส่วเหลียน ครั้งนี้ตระกูลหลี่เคลื่อนหมดหน้าตัก จะต้องจัดการเปิดทางเมืองหลวงทั้งหมดได้ เพื่อให้ราชสำนักอนุญาตให้เมืองเหลียวโจวจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง
“หลี่เฉิงเหลียงทำเรื่องพวกนี้ย่อมรู้ว่าข้าก็รู้ เขาเองกลัวมาตลอดว่าหากตนผิดพลาดเปิดโอกาสให้ข้าเข้าแทรกแซง เรื่องครั้งนี้ที่ตระกูลหลี่เป็นห่วงที่สุดก็คือข้าจะฉวยโอกาส กลัวข้าจะแทรกตัวเข้าข้องเกี่ยว ทำลายฐานกำลังตระกูลหลี่ที่สั่งสมมาและอำนาจวาสนาชั่วลูกหลาน”
หวังทงวิจารณ์เช่นนี้ เขากำลังร่ำสุราสนทนากับโจวอี้ หลี่ว์วั่นไฉหลี่และเหวินหย่วน ตั้งแต่โจวอี้ไปอยู่สำนักส่วนพระองค์เป็นผู้ช่วย เวลาก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่อิสระกว่า ครั้งนี้นัดออกมา ด้วยเป็นเพราะเมืองเหลียวโจวเป็นเรื่องใหญ่ ฮ่องเต้ว่านลี่คิดอยากทรงฟังความเห็นหวังทง
ได้ยินหวังทงกล่าวเช่นนี้ โจวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า
“ที่นั่งอยู่นี่ล้วนเป็นคนกันเอง เมืองเหลียวโจวแต่ไรมาก็ล้วนราวกับถังเหล็กครอบไว้ หลี่เฉิงเหลียงทำการรอบคอบมาก ปกติไม่อาจหาเหตุจัดการเขาได้ ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสแล้ว!”
“ไม่อาจประมาท แม้หลี่เฉิงเหลียงจะเป็นปรปักษ์กับน้องหวัง แต่หากลงมือยามนี้ ฝ่าบาทและประชาใต้หล้าก็จะคิดว่าน้องหวังฉวยโอกาส กลับเป็นเรื่องไม่งาม”
หลี่ว์วั่นไฉพัดพัดจีบไปมาแทรกขึ้น สีหน้าเขาผ่อนคลายมาก ยิ้มกล่าวว่า
“เผ่าหนี่ว์เจินราวกับมดปลวก จะทำอันใดได้ ก็แค่อาศัยจังหวะนี้หากำไรเสียหน่อย เมืองเหลียวโจวหากลงมือจริงจัง ก็น่าจะปราบได้ราบคาบ เมืองเหลียวโจวเสียเปรียบก็ย่อมเป็นการตบหน้าตัวเอง พวกเราไม่ต้องทำอะไร มองดูอย่างเดียวก็พอ หากทำไป กลับเปิดโอกาสให้เมืองเหลียวโจวหาช่องได้”
โจวอี้พยักหน้ายิ้มกล่าวว่า
“พี่หลี่ว์คิดได้รอบคอบจริง!”
หลี่ว์วั่นไฉหุบพัดจีบเคาะในฝ่ามือ โจวอี้อยู่ในวังมานาน แม้ว่าทำงานมาไม่น้อย แต่เทียบกับผู้คลุกคลีวงการขุนนางข้างนอกมานานอย่างหลี่ว์วั่นไฉแล้ว ก็ยังสู้ไม่ได้ แน่นอนหลี่ว์วั่นไฉเองก็โลกแคบอยู่ แต่เห็นปัญหาได้ก็เพราะโจวอี้
หวังทงรอให้ทุกคนหารือจบ สองฝ่ายล้วนได้ประโยชน์มาก สองคนกำลังดีอกดีใจ หวังทงก็ยิ้มส่ายหน้า ไม่ยื่นมือเข้ายุ่งไม่ใช่ด้วยเหตุผลที่พวกเขาว่ามา พวกเขาช่างดูถูกเผ่าหนี่ว์เจินนอกด่านเกินไปแล้ว หากรู้ว่าพวกที่อิทธิพลอำนาจเหมือนมดปลวกตอนนี้ วันหน้าทำการใหญ่สำเร็จจะรู้สึกอย่างไรกัน
“…เผ่าหนี่ว์เจินหดหัวมานาน พื้นที่เดิมพวกเขาอยู่ทางฝั่งเกาหลี ถูกพวกเกาหลีไล่ออกมา ทหารเกาหลีทางนั้นผู้ใดไม่รู้ว่าเป็นพวกหัวหดเพียงใด…”
พูดถึงตรงนี้ แม้แต่หลี่เหวินหย่วนล้วนกล่าวเสริม บนแผ่นดินหมิง คำวิจารณ์ต่อเกาหลีล้วนอ่อนปวกเปียก เป็นดังไข่อ่อน เผ่าหนี่ว์เจินยังถูกพวกเขาขับไล่ออกมาได้ กองกำลังเช่นไรก็ย่อมคิดรู้ได้
เพียงแต่ เรื่องเล่าพวกนี้มันนานมาแล้ว มันเกิดตอนที่ยังไม่มีแผ่นดินหมิง
….
“ฝ่าบาท เมืองเหลียวโจวทำเช่นนี้ก็เป็นวิธีการที่ควรอยู่ อย่างไรก็แค่แพ้นอกกำแพงเมืองเล็กๆ ไม่ได้ทำลายกองทัพใหญ่ หากยามนี้ราชสำนักเข้าข้องเกี่ยว กลับจะทำให้ต้องกังวลมากขึ้นกว่าปกติไปอีก ไม่สู้ให้เมืองเหลียวโจวจัดการเอง สร้างความดีลบล้างความผิด!”
ฎีกาหลี่เฉิงเหลียงมาถึง ก็จะต้องส่งไปหารือในการประชุมราชสำนัก ตอนหวังทงไม่อยู่อีกเรื่อง แต่เมื่อหวังทงอยู่ในการประชุมขุนนาง เรื่องหารือเกี่ยวกับกองกำลังเช่นนี้เขาย่อมมีสิทธิ์กล่าวมากกว่าผู้ใด อย่างไรคุณสมบัติหวังทงก็เป็นที่รู้กันอยู่ ผู้ใดก็ไม่กล้าคุยเรื่องการทหารต่อหน้าเขาอย่างไม่ระวังตัว
เดิมคิดจะยกตระกูลหลี่เมืองเหลียวโจวมาปะทะกับหวังทง ก็ย่อมสิ้นความคิดนี้ไป ตอนทุกคนแอบหารือกันก็ได้แต่บ่นไม่พอใจ ตระกูลหลี่เองก็เหลวไหล ปกติดีๆ ก็เปิดโอกาสให้หวังทงยื่นมือเข้าแทรกได้ หรือว่าการแทรกรองแม่ทัพภาคเข้าไปคนหนึ่งยังไม่เจ็บตัวพอ อยู่ๆ เช่นนี้ เกรงว่าคงจะยุ่งยากใหญ่แล้ว
ตอนนี้เมืองเซวียนฝู่ เมืองจี้โจว เมืองต้าถง หวังทงล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญ ไท่หยวนกับหนิงเซี่ยก็รู้อยู่ไม่น้อย เมืองเหลียวโจวส่งซุนโส่วเหลียนเป็นสายไว้ ใต้หล้าเก้าชายแดน ยื่นมือเข้าไปมากเพียงนี้ ครั้งนี้เมืองเหลียวโจวเกรงว่าคงต้องตกในกำมือเขาแล้ว
แต่ที่หวังทงพูดในราชสำนัก กลับทำให้ทุกคนรู้สึกเหนือความคาดหมาย โอกาสอยู่ตรงหน้า เขากลับไม่เอา
อย่าว่าแต่ขุนนางใหญ่ราชสำนักคิดไม่ถึง แม้แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ล้วนเองก็ทรงแปลกพระทัย แต่ทว่าตอนนี้เขานิ่งมาก ทรงกวาดตามองไปรอบๆ ตรัสว่า
“ขุนนางทุกท่านเห็นเช่นไร?”
“ฝ่าบาท ใต้เท้าหวังเสนอเช่นนี้ก็เหมาะสมควรอยู่ การทหารเป็นเรื่องใหญ่ ควรระมัดระวังรอบคอบเช่นนี้”
เซินสือหังออกหน้าออกปาก ขุนนางใหญ่ที่เหลือย่อมไม่มีข้อแย้ง รองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยเงียบไปครู่หนึ่ง กลับกล่าวแย้งว่า
“ฝ่าบาท เมืองเหลียวโจวแต่ไรมาการทหารแกร่ง ครั้งนี้กลับมีรอยตำหนิได้ เผ่าหนี่ว์เจินแท้จริงเช่นไรมิอาจรู้ได้ หากยังให้ทัพเหลียวโจวไป เกรงว่าภัยไม่น้อย!
“ใต้เท้าหวัง เป็นห่วงเกินไปแล้วกระมัง เมืองเหลียวโจวออกปราบตัวหลุนได้ชัยชนะใหญ่ เผ่าหนี่ว์เจินก็แค่พวกป่าเถื่อน ไยต้องกล่าวข่มทำลายขวัญกันเองด้วย”
หวังซีเจวี๋ยวาจาไม่ทันจบ ก็มีคนออกมาโต้ ฮ่องเต้ว่านลี่มองตาเขา มองตาหวังทง ตรัสว่า
“งั้นให้หลี่เฉิงเหลียงไปจัดการละกัน คณะเสนาบดีใหญ่กับหน่วยงานต่างๆ ก็จัดการสิ่งที่ควรต้องจัดการกันไปละกัน”
ขุนนางใหญ่ในที่ประชุมพากันโล่งใจ มองสีหน้าหวังทงแล้วก็เห็นว่านิ่ง ไม่รู้คิดอะไรอยู่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น