พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 961-968

 บทที่ 961 ช่วยเหลือสักสามเรื่อง

โดย

Ink Stone_Fantasy

หาจนทั่วแล้วยังไม่เจอ จู่ๆ เหมียวอี้ก็พบว่าสิ่งที่ตัวเองเฝ้าคอยมาตลอดสูงเกินไปรึเปล่า ใครบอกล่ะว่าต้องเป็นราชันลัทธิมารเท่านั้นที่ซ่อนสมบัติไว้? ตอนแรกมีแค่แผนที่ซ่อนสมบัติของเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน ก็ทำให้คิดไปแล้วว่าเป็นสมบัติที่ราชันลัทธิมารซ่อนไว้ ตอนนี้มีมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงโผล่มาอีกแล้ว จะเอาอะไรมาแน่ใจว่าเป็นราชันลัทธิมารล่ะ?


เมื่อเชื่อมโยงแผนที่สมบัติสองฉบับนี้ เขาก็สงสัยว่าผู้ซ่อนสมบัติไม่ใช่ราชันลัทธิมารอะไรนั่นเลย


พอนึกถึงจุดนี้ ท่านขุนนางเหมียวก็สิ้นหวังสุดๆ ทำได้เพียงหยุดการค้นหาสุ่มสี่สุ่มห้า เดินวนรอบกิ้งก่าเพลิงที่โดนขังสองสามรอบ แล้วส่ายหน้าเดินออกไป ดำเข้าไปในหินหนืดเพลิงอีกครั้ง


เหมียวอี้เหาะออกจากกลางภูเขาไฟมาเหยียบลงบนยอดเขา ตอนที่ก้มมองลงไปข้างล่างอีกครั้ง เขาก็ทอดถอนใจมาก ซ่อนสมบัติไว้ตรงนี้ ต่อให้มีคนลงไปได้ แต่ก็คงไม่รู้ว่าผู้ซ่อนสมบัติจะสามารถค้นหาจนทั่วแล้วสุดท้ายพบทางเข้าเล็กๆ ในหินหนืดที่อยู่ลึกลงไปหนึ่งพันจั้ง จากดาวแมกไม้จนถึงที่นี่ จากที่ค้นหามาตลอดทาง เขาพบว่าผู้ซ่อนสมบัติมีความคิดรอบคอบมากทีเดียว


หลังจากกลับมาถึงปราสาทดำเนินนภา เหมียวอี้ก็นำระฆังดาราออกมาติดต่อศีลแปด ผลปรากฏว่าไม่มีการตอบกลับ ไม่รู้ด้วยว่าสถานการณ์ของเจ้าบ้านั่นเป็นอย่างไรกันแน่ และเขาก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ไปตลอด คาดว่าความอดทนของสมาคมวีรชนมีจำกัด ถึงได้เป็นฝ่ายกล่าวอำลาปราสาทดำเนินนภา


ทางปราสาทดำเนินนภาก็รักษาคำพูดเหมือนอย่างเคย ยังส่งหมิงจ้าวและนักพรตระดับบงกชรุ้งอีกสองคนให้คุ้มกันส่ง เหาะอยู่ในอวกาศด้วยความเร็วตลอดทางจนถึงดาวเทียนหยวน


เมื่อส่งเหมียวอี้เข้าไปในตลาดสวรรค์ พวกหมิงจ้าวก็นับว่าทำภารกิจสำเร็จแล้ว ทั้งสองฝ่ายกล่าวอำลาและบอกให้อีกฝ่ายรักษาตัวดีๆ


คนกลุ่มหนึ่งตามมาตลอดทางตั้งแต่อยู่ในอวกาศ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนของสมาคมวีรชน พอตามเข้ามาในเมือง ก็เจอหน้าพวกหมิงจ้าว ทั้งสามสบตากับคนพวกนั้น แล้วหมิงจ้าวก็หันหลังกลับไปมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ก่อนจะออกจากเมืองไปทันที


เหมียวอี้มองคนกลุ่มนั้นของสมาคมวีรชน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก หันหน้าเดินออกจากตรงนั้นไป มุ่งตรงสู่ร้านขายของชำซื่อตรงเพื่อเข้าพบอวี้ซวีเจินเหริน


เมื่อเห็นเหมียวอี้ อวี้ซวีเจินเหรินก็รู้สึกผิดมาก ยื่นมือเชิญให้เหมียวอี้นั่งลงแล้วบอกว่า “ฆราวาส ที่ปล่อยร้านขายของชำไป… สำนักลมปราณก็หมดหนทางแล้วจริงๆ!” ขณะที่พูดก็ใช้สองมือยื่นสัญญาให้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอับอาย


เหมียวอี้เข้าใจว่าทางสำนักลมปราณยังไม่รู้เรื่องที่สมาคมวีรชนกำลังไล่สังหารเขาอยู่ สำหรับเรื่องบางเรื่อง ในเมื่อเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ หลังจากเหมียวอี้รับสัญญามาอ่านดู ก็กล่าวอย่างสั้นกระชับเพื่อลดความยุ่งยากว่า “ข้าเองก็รักษาหุ้นส่วนนี้ไว้ไม่อยู่แล้วเช่นกัน เตรียมจะปล่อยแล้ว! เจินเหริน รบกวนท่านนำกำไรพิเศษของร้านขายของชำที่ค้างไว้มาชำระให้ข้าได้มั้ย ข้าคิดว่าคงไม่ยากอะไรหรอกใช่มั้ย?”


อวี้ซวีเจินเหรินพยักหน้า แล้วถามว่า “ต้องการเมื่อไรล่ะ?”


“ตอนนี้เลย ยิ่งเร็วยิ่งดี แลกทั้งหมดเป็นยาแก่นเซียนให้ข้า ข้ามีเวลาไม่มากแล้ว” เหมียวอี้ตอบ


“ดี!” อวี้ซวีเจินเหรินเอ่ยรับ บอกให้เขารอสักครู่ แล้วไปจัดการทันที


หลังจากนั้นเกือบครึ่งชั่วยาม อวี้ซวีเจินเหรินก็นำกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งและแผ่นหยกแผนหนึ่งส่งให้เหมียวอี้นับ


เหมียวอี้มองดูรายละเอียดการคิดบัญชีในแผ่นหยก ทำให้ตกตะลึงทันที พอมองดูของในกำไลเก็บสมบัติอีกครั้ง ก็พบว่าเหมือนจะไม่ตรงกัน อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจินเหริน จำนวนผิดพลาดหรือเปล่า?”


อวี้ซวีเจินเหรินส่ายหน้าบอกว่า “กำไรพิเศษของสามร้อยห้าสิบปี มีจำนวนเกือบหนึ่งล้านแปดแสนล้าน ครั้งก่อนท่านนำยาแก่นเซียนไปแล้วหนึ่งล้านหนึ่งแสนล้าน ก่อนหน้านี้ท่านเบิกไปสองแสนล้าน ห้าแสนล้านที่เหลือก็แลกเป็นยาแก่นเซียนให้ท่านห้าล้านเม็ด ทั้งหมดอยู่ในแหวนเก็บสมบัติแล้ว”


ครั้งก่อนให้อวิ๋นจือชิวไปแล้วสองแสนล้าน เหมียวอี้ยกแผ่นหยกขึ้นมาถามอย่างแปลกใจ “งั้นถ้าแยกจำนวนรวมในแผ่นหยกออก แล้วสามล้านหกแสนล้านผลึกแดงมันคืออะไรล่ะ?”


อวี้ซวีเจินเหรินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะอธิบายว่า “นี่คือความประสงค์ของเจ้าสำนัก เจ้าสำนักบอกไว้แล้ว ว่าสำนักลมปราณทนแรงกดดันนี้ไม่ไหว ฆราวาสเองก็คงทนแรงกดดันนี้ไม่ไหวเช่นกัน ถ้าฆราวาสต้องการจะถอนตัวออก เราก็จะไม่คำนวณตามกำไรพิเศษแล้ว แต่คำนวณตามกำไรที่ผู้บัญชาการเซี่ยโห้วได้ไป นำที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งมาเติมชดเชยให้ท่าน เจ้าสำนักบอกว่าในภายหลังท่านต้องได้ใช้แน่นอน ส่วนหนึ่งล้านแปดแสนล้านผลึกแดงที่เหลือ ทางพวกเรานำออกมาทั้งหมดรวดเดียวไม่ได้ ถ้าจ่ายเงินส่วนนี้ไปหมดจะส่งผลกระทบต่อการบริหารธุรกิจ จะอธิบายกับผู้ถือหุ้นคนอื่นไม่ได้ ดังนั้นพวกเราจึงแจ้งไปที่ร้านค้าอีกเก้าสาขาแล้ว พวกเขาจะแลกเป็นยาแก่นเซียนสิบแปดล้านเม็ดเพื่อมอบให้ท่านให้เร็วที่สุด”


เหมียวอี้ซาบซึ้งอยู่ในใจ แสดงว่าสำนักลมปราณพยายามช่วงชิงผลประโยชน์ที่มากที่สุดให้เขา จึงถามทันทีว่า “ทำแบบนี้จะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อสำนักลมปราณเหรอ?”


อวี้ซวีเจินเหรินตอบพร้อมรอยยิ้มขื่นขม “นี่คือส่วนแบ่งที่ท่านควรจะได้ไป ถ้าท่านต้องการเบิกเป็นเงินสดก็เป็นเรื่องที่สมควร ไม่มีผลกระทบอะไรต่อพวกเราหรอก กลับเป็นสำนักลมปราณของพวกเราที่ติดค้างฆราวาสไว้เยอะ ที่สำนักลมปราณมีวันนี้ได้ ก็เพราะความช่วยเหลือจากฆราวาส เรื่องอื่นพวกเราก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน จะว่าไปแล้ว ตอนแรกที่บริหารร้านขายของชำนี้ พวกเราก็แค่อยากหาเงินนิดหน่อยเท่านั้น แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นการบุกเบิกวิธีการบริหารแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในแดนฝึกตน ถึงขั้นทำให้คนพากันอิจฉา แบบนี้เรียกว่า ราษฎรเดิมไม่มีความผิด[1] แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด!”


“เช่นนั้นข้าก็ไม่กล่าวคำขอบคุณอะไรมากแล้ว!” หลังจากกุมหมัดคารวะ เหมียวอี้ก็บอกว่า “ต่อไปนี้ข้าไม่มีรายได้อะไรแล้ว ตอนนี้ต้องการทรัพยากรฝึกตนจริงๆ ข้าไม่เกรงใจแล้วกัน เจินเหริน หนึ่งล้านแปดแสนล้านที่เหลือ ให้ยาแก่นเซียนข้าสิบล้านเม็ด แล้วให้ผลึกแดงข้าอีกแปดแสนล้าน”


“ตกลง!” อวี้ซวีเจินเหรินพยักหน้า “เพียงแต่ตอนนี้ยังเบิกมาไม่ได้ เกรงว่าต้องรออีกสักระยะถึงจะได้มา”


“ได้ขอรับ! ข้ามีธุระต้องขอตัวก่อน ถ้าได้ของแล้วรบกวนแจ้งข้าด้วย”


“เรื่องนี้ฆราวาสไม่ต้องห่วง”


“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง คนพวกนั้นที่ฮุบหุ้นของร้านขายของชำไป รบกวนเจินเหรินนำรายชื่อมาให้ข้าสักฉบับ”


อวี้ซวีเจินเหรินตกใจ “ฆราวาส อย่าบุ่มบ่ามเชียวนะ ท่านไปมีเรื่องกับคนพวกนั้นไม่ไหวหรอก”


เหมียวอี้ยิ้มพร้อมตอบว่า “เจินเหรินคิดมากไปแล้ว ข้ายังไม่อยากรนหาที่ตายหรอก แค่จะเอาไปใช้อย่างอื่นเฉยๆ” แต่พูดเสริมในใจว่า ใครมันฮุบของของของข้า สักวันหนึ่งข้าจะให้มันคายออกมาทั้งต้นทั้งดอก ตราบใดที่ข้ายังไม่ตาย ก็เตรียมตัวรอข้าไว้ได้เลย!


หลังจากบอกเรื่องบางอย่างไว้ชัดเจนแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่กล้าอยู่ที่นี่นาน เดินออกจากร้านขายของชำซื่อตรง มุ่งตรงสู่เขตเมืองตะวันออก


ระหว่างทาง ไม่น่าเชื่อว่าคนของสมาคมวีรชนจะติดตามเขาอย่างโจ่งแจ้ง เรียกได้ว่าจับจ้องเขาอย่างไม่เกรงกลัวอะไรเลย


ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่กล้าลงมือที่นี่ เหมียวอี้จึงไม่กลัวพวกเขา กลัวแค่หวงฝู่จวินโหรวจะขอให้ไอ้เวรเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาบังคับเท่านั้น จึงรีบหลบไปที่อาณาเขตของศัตรูคู่แค้นของเซี่ยโห้วหลงเฉิง มาขอพบโค่วเหวินหลานจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก


ผ่านไปครู่เดียว หลังจากรายงานแล้ว คนเฝ้าประตูก็ปล่อยเขาเข้าไป คนของสมาคมวีรชนที่หยุดอยู่หน้าจวนผู้บัญชาการมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่กล้าบุกเข้าไปโดยพลการ หนึ่งในนั้นมีคนรีบนำระฆังดาราออกมาติดต่อหวงฝู่จวินโหรว


เหมียวอี้ที่ถูกพาเข้าไปที่ห้องรับแขกรออยู่ครู่หนึ่ง โค่วเหวินหลานถึงได้เดินเนิบนาบเข้ามา แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “พี่หนิวช่างเป็นแขกทีนานๆ มาที!”


เหมียวอี้รีบยืนขึ้นคำนับ “คำนับผู้บัญชาการโค่ว!”


โค่วเหวินหลานยื่นมือเชิญให้ดื่มชา หลังจากตัวเองนั่งลง ก็สะบัดผ้าเช็ดหน้าออกมาป้องปากหัวเราะ “ได้ยินว่าคนของสมาคมวีรชนสนใจพี่หนิวมากเชียวนะ ไม่ทราบว่าพี่หนิวมาเยี่ยมตอนนี้เพราะมีอะไรจะชี้แนะ?”


เหมียวอี้เห็นรอยยิ้มในดวงตาเขาแฝงความหมายลึกซึ้ง รู้สึกเหมือนเขาจะเดาออกถึงเจตนาของตน รู้สึกวูบในหัวใจทันที คนคนนี้ฉลาดกว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงเยอะ


“ท่านผู้บัญชาการรู้ข่าวไวจริงๆ! มิบังอาจชี้แนะหรอก” เหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก พูดตรงๆ เลยว่า “ท่านผู้บัญชาการคงรู้แล้วว่าทำไมคนของสมาคมวีรชนจึงไล่ตามข้าไม่ปล่อย สมาคมวีรชนคุกคามรังแกกันเพื่อหุ้นร้านขายของชำสองส่วนในมือข้า รังแกกันเกินไปแล้วจริงๆ ข้าเลยยอมเป็นหยกแหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์[2] ยินดีจะนำหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรงมอบให้ท่านผู้บัญชาการ!”


โค่วเหวินหลานตาเป็นประกายทันที


คนที่มีพื้นเพแบบเขา ปกติจะไม่มาสนใจเรื่องทำธุรกิจเอง เพราะความรู้สึกค่อนข้างช้า สู้คนทำธุรกิจอย่างหวงฝู่จวินโหรวไม่ได้ นางมองเห็นอนาคตของร้านขายของชำตั้งแต่แรก กำจัดคนเห็นต่างและเข้ามาแทรกแซงตั้งนานแล้ว แม้แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เป็นไอ้โง่ในสายตาเขาก็ช้อนหุ้นไปแล้วสองส่วน


ร้านขายของชำที่เมื่อก่อนไม่ค่อยสะดุดตา ปัจจุบันหลังจากขยายสาขาแล้ว การผงาดขึ้นอย่างฉับพลันทำให้การร้องทุกข์ของพวกพ่อค้าดึงดูดความสนใจคนจำนวนมากทันที หลังจากให้ความสนใจเพิ่มขึ้น คนพวกนั้นก็ค้นพบอย่างตกตะลึงว่า ถ้าใช้วิธีการบริหารแบบนี้กับธุรกิจของทั้งแดนฝึกตน ในภายหลังนักพรตทั้งใต้หล้าจะต้องทำการซื้อขายกับร้านขายของชำนี้แน่นอน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากำไรที่เกิดขึ้นจะน่าดูขนาดไหน


ยิ่งคนที่มีฐานะตำแหน่งสูง ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งมาก ลูกน้องที่เลี้ยงไว้ก็ยิ่งมีเยอะ ตระกูลโค่วก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำเป็นส่วนแบ่งที่ไม่น้อยเลย!


โค่วเหวินหลานค่อยๆ วางผ้าเช็ดหน้าในมือลง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ในใต้หล้านี้ไม่มีของที่ได้มาโดยไม่ต้องจ่าย มีเงื่อนไขอะไรก็ว่ามาตรงๆ เถอะ”


ไม่จำเป็นต้องพูดคลุมเครืออ้อมค้อมกับคนประเภทนี้ เหมียวอี้บอกตรงๆ เลยว่า “อยากจะขอให้ท่านผู้บัญชาการช่วยอะไรนิดหน่อยสักสามเรื่อง”


“ช่วยนิดหน่อย?” โค่วเหวินหลานเลิกคิ้ว แล้วพยักหน้าบอกว่า “ว่ามาให้ฟังก่อนสิ”


เหมียวอี้ยืนขึ้น “หนิวโหย่วเต๋อไร้ความามารถ แต่อยากจะเป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์!”


เรื่องนี้จัดการได้ยากสำหรับคนทั่วไป คนที่ตำหนักสวรรค์จะรับเป็นขุนนาง โดยทั่วไปจะเป็นคนที่สามารถสร้างคุณูปการอย่างชัดเจนให้ตำหนักสวรรค์ได้ ต่อให้เป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ถ้ามีอำนาจมากพอที่จะรวบรวมพลังปรารถนาของสาวกให้ตำหนักสวรรค์ ก็สามารถได้รับแต่งตั้งจากตำหนักสวรรค์ได้ทั้งนั้น หรือที่พวกมนุษย์เรียกกันว่าสำเร็จเป็นเซียนเป็นพระ สำนักพุทธที่มีอำนาจทัดเทียมกับตำหนักสวรรค์ก็ใช้หลักการนี้เหมือนกัน ส่วนนักพรตทั่วไปที่อยากจะได้รับแต่งตั้งจากตำหนักสวรรค์ อย่างน้อยก็ต้องมีคนของตำหนักสวรรค์สามคนแนะนำและรับประกันให้ โดยทั่วไปถ้าไม่ใช่คนที่เชื่อใจกันมาก ก็จะไม่มีใครมารับประกันให้ ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาก็จะต้องติดร่างแหไปด้วย


แต่สำหรับตระกูลโค่ว เหมียวอี้เชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากอะไร


โค่วเหวินหลานยังสีหน้าไม่เปลี่ยน เพียงเหล่ตามองมา พลางถามเสียงเรียบว่า “อยากเป็นขุนนางระดับใหญ่ขนาดไหน?”


“จะเล็กจะใหญ่ก็ไม่เป็นไร แล้วแต่ท่านผู้บัญชาการจะจัดให้” เหมียวอี้ตอบ


“บอกมาสักสองเรื่องก่อนแล้วกัน?” โค่วเหวินหลานถาม


เหมียวอี้ตอบว่า “ในปีนั้นตอนเพิ่งเริ่มเปิดร้านขายของชำซื่อตรง ข้าน้อยเคยไปขอยืมเครื่องประดับชุดหนึ่งมาเรียกกระแสนิยม เรื่องนี้ท่านผู้บัญชาการรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ตอนขอยืมเครื่องประดับพวกนั้นมา ข้าน้อยรับปากอีกฝ่ายไว้ว่าจะหาหน้าร้านที่ตลาดสวรรค์ให้สักร้าน แต่จนใจที่ความสามารถมีจำกัด ยังไม่ได้ทำตามสัญญา เลยอยากจะขอให้ท่านผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกดูแลจัดหาให้สักร้าน”


“อยากได้ร้านที่ใหญ่ขนาดไหนล่ะ?” โค่วเหวินหลานถามอีก


“จะเล็กจะใหญ่ก็ไม่เป็นไร แล้วแต่ท่านผู้บัญชาการจะจัดให้!” เหมียวอี้ตอบ


สำหรับสองเรื่องนี้ เขาไม่เสนอเงื่อนไขใดๆ กับอีกฝ่าย ไม่มีการต่อรองใดๆ ทั้งนั้น ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกลำบากใจอะไรทั้งนั้น ต้องรู้จักสละทิ้ง ถึงจะได้สิ่งตอบแทนกลับมาง่ายๆ!


…………………………


[1] ราษฎรเดิมไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด 匹夫无罪怀璧其罪 อุปมาว่า มีภัยเพราะความสามารถของตัวเอง


[2] ยอมเป็นหยกแหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์宁为玉碎 , 不为瓦全 อุปมาว่า ตั้งมั่นในความดีไม่เปลี่ยนแปลงไม่หลงไปในทางเลว



บทที่ 962 ทหารเลวของตำหนักสวรรค์

โดย

Ink Stone_Fantasy

สมเหตุสมผล ท่าทีแบบนี้ทำให้โค่วเหวินหลานพอใจมาก จึงพยักหน้าเบาๆ พร้อมถามว่า “สองเรื่องนี้เดี๋ยวข้าจะลองจัดการดู แล้วเรื่องสุดท้ายล่ะ?”


“เรื่องสุดท้ายผู้น้อยโดนกดดันจนหมดหนทางจริงๆ สมาคมวีรชนมีอำนาจมาก หวังว่าผู้บัญชาการโค่วจะบอกกล่าวสมาคมวีรชนสักหน่อย ไม่ให้พวกเขากลั่นแกล้งผู้น้อยอีก!” เหมียวอี้ตอบด้วยรอยยิ้มขื่นขม


“บอกกล่าว? บอกกล่าวอะไร? เป็นความแค้นส่วนตัวระหว่างพวกเจ้า พวกเขาไม่ได้ทำเรื่องอะไรผิดกฎสวรรค์ จะให้ข้าไปบอกกล่าวอะไร?” โค่วเหวินหลานยืนขึ้นพูด “รออีกไม่กี่วันหรอก รอให้เจ้าได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนางตำหนักสวรรค์ สมาคมวีรชนย่อมไม่กล้าแตะต้องเจ้าแล้ว”


“แต่ข้าได้ยินมาว่าสมาคมวีรชนมีความสามารถไม่น้อย” เหมียวอี้ถามหยั่งเชิง


โค่วเหวินหลานทำสีหน้าดูถูกทันที “ต่อให้มีความสามารถกว่านี้ก็เป็นแค่พวกพวกหัวมังกุท้ายมังกร ตำหนักสวรรค์คือที่ที่พวกพวกหัวมังกุท้ายมังกรอย่างพวกเขาจะยื่นมือเข้ามาได้เหรอ? ถ้าทำผิดกฎจนฝูงชนไม่พอใจ ไม่ว่าใครก็ปกป้องพวกเขาไม่ได้ทั้งนั้น เจ้าให้พวกเขาลองยื่นมือเข้ามาสิ!”


ในเมื่ออีกฝ่ายกล่าวแบบนี้แล้ว เหมียวอี้ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ตรงไปตรงมามาก เขียนสัญญาโอนหุ้นให้ตรงนั้นเลย แล้วใช้สองมือยื่นให้พร้อมสัญญาที่สำนักลมปราณลงนามให้ “ท่านผู้บัญชาการ นี่คือหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรง ท่านผู้บัญชาการได้โปรดรับไว้!” ภายนอกดูใจกว้างซื่อสัตย์ แต่ในใจเหมือนมีเลือดไหล


ตรงไปตรงมาขนาดนี้เชียวเหรอ? โค่วเหวินหลานเหล่ตามองเขา รับแผ่นหยกมาอ่านดูรายละเอียด หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ก็แกว่งไกวแผ่นหยกในมือพร้อมถามว่า “ให้ข้าตอนนี้ ไม่กลัวว่าข้าจะเบี้ยวสัญญาทีหลังเหรอ?”


เหมียวอี้ตอบตรงๆ ว่า “ผู้บัญชาการโค่วไม่เหมือนผู้บัญชาการเซี่ยโห้วเสียหน่อย!”


โค่วเหวินหลานอึ้งทันที หลังจากเข้าใจความหมายแล้ว เขาก็ชอบการเปรียบเทียบนี้ ถือผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาป้องปากหัวเราะทันที “ช่างเถอะ รออีกไม่กี่วันหรอก อีกไม่นานเรื่องของเจ้าจะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว”


เหมียวอี้กุมหมัดถามหยั่งเชิงอีกว่า “ไม่ทราบว่าว่าจะให้ข้าพักอยู่ในจวนของผู้บัญชาการโค่วสักสองสามวันได้หรือไม่ ผู้บัญชาการเซี่ยโห้วนั่นเชื่อฟังผู้จัดการร้านหวงฝู่มาก ผู้น้อยกังวลนิดหน่อย” ขณะที่พูด เขาก็สังเกตสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายไปด้วย


ก็ช่วยไม่ได้ เพราะท่านที่อยู่ตรงหน้าก็ตามจีบหวงฝู่จวินโหรวเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้กำเริบเสิบสานเหมือนเซี่ยโห้วหลงเฉิง ถ้าเทียบเรื่องวางอำนาจบาตรใหญ่ ท่านนี้ถือว่าสงบเสงี่ยมมาก ทำให้คนเดาท่าทีไม่ค่อยถูก มองไม่ออกเลยว่าเขาคือคนที่ตามจีบหวงฝู่จวินโหรว ถึงขั้นเห็นเขาใกล้ชิดติดต่อกับหวงฝู่จวินโหรวน้อยมาก ชอบหวงฝู่จวินโหรวมากขนาดไหนกันแน่ เขาต้องใช้คำพูดหยั่งเชิงสักหน่อย ถ้าพบความไม่ชอบมาพากล จะได้ถือโอกาสเตรียมแผนการอีกอย่างไว้ ถือว่าใช้คำพูดยั่วโมโหโค่วเหวินหลาน หวังว่าท่านนี้จะไม่ตกอับเหมือนเซี่ยโห้วหลงเฉิง


ที่พิภพใหญ่ เหมียวอี้เป็นแค่ตัวละครเล็กๆ ที่ไร้ค่า แถมกำลังอยู่ในอันตรายด้วย ถ้าอยากจะลงหลักปักฐาน แต่ไม่ขยันไปมาหาสู่อย่างระมัดระวังก็คงไม่ได้!


เมื่อได้ยินแบบนั้น โค่วเหวินหลานก็เรียกได้ว่ายิ้มอย่างเริงร่า พยักหน้าบอกว่า “สงสัยเจ้าจะได้ประสบการณ์เรื่องความร้ายกาจของหมีควายเซี่ยโห้วมาแล้ว ก็ได้ เจ้าพักอยู่กับข้าก่อนก็ได้ รอให้ได้คำสั่งแต่งตั้งแล้วค่อยว่ากัน”


เมื่อเห็นเขามีท่าทีแบบนี้ เหมียวอี้ก็วางใจลงไม่น้อย แต่ในใจกลับยังสงสัยนิดหน่อย


ตรงนี้เพิ่งจะคุยจบ ทหารยามที่เฝ้าอยู่ข้างนอกก็วิ่งเข้ามารายงานแล้ว “รายงานผู้บัญชาการ ผู้จัดการหวงฝู่ของร้านค้าสมาคมวีรชนมาขอพบขอรับ”


“เชิญเข้ามา!” โค่วเหวินหลานพยักหน้า แล้วบอกเหมียวอี้ทันทีว่า “พี่หนิว คู่แค้นของเจ้ามาแล้ว พวกเรามานั่งคุยพร้อมกันเลยเถอะ”


ทั้งสองออกไปข้างนอกทันที เพิ่งจะเดินมาถึงลานบ้านด้านนอก เกี้ยวหลังหนึ่งก็ถูกหามเข้ามาแล้ว


ทั้งสองหยุดฝีเท้า เกี้ยววางลงพื้นแล้วเช่นกัน หวงฝู่จวินโหรวเรือนร่างอ้อนแอ้นแหวกม่านก้าวออกมา ยังคงสวยสดใส ทวงท่าสง่างาม ย่อมดึงดูดสายตาทหารยามรอบๆ ให้แอบมองมา


สายตาของหวงฝู่จวินโหรวหยุดอยู่บนตัวเหมียวอี้ครู่หนึ่ง เหมียวอี้สบตากับนาง ในดวงตาฉายแววสับสนนิดหน่อย


โค่วเหวินหลานรีบก้าวเข้ามา ถามด้วยท่าทางดีใจมากว่า “จวินโหรว เจ้ามาได้อย่างไร!”


“ผู้บัญชาการโค่ว!” หวงฝู่จวินโหรวคำนับเล็กน้อย แล้วก็ยิ้มให้เหมียวอี้ “ที่แท้ฆราวาสก็อยู่ด้วยเหมือนกัน”


รู้อยู่แก่ใจแต่แกล้งโง่ชัดๆ เหมียวอี้พยักหน้าอย่างเย็นชา “ผู้จัดการหวงฝู่!” แล้วหันตัวไปทางโค่วเหวินหลาน แสดงท่าทีเหมือนจะหลบเลี่ยง


ใครจะคิดว่าหวงฝู่จวินโหรวจะยื่นมือเข้ามาขวาง “สหายเก่าพบหน้ากัน มานั่งคุยกันสักหน่อยสิ!”


โค่วเหวินหลานกระตุกคิ้วเล็กน้อย ถือผ้าเช็ดหน้าป้องปากหัวเราะ แล้วยื่นมือเชิญ ทั้งสามกลับเข้ามาในห้องรับแขกอีกครั้ง ย่อมมีคนนำน้ำชามาวางให้


แต่เห็นได้ชัดว่าหวงฝู่จวินโหรวกับเหมียวอี้ไม่อยากแตะต้องอาหารและเครื่องดื่มของที่นี่ จึงพุ่งเข้าประเด็นหลักทันที โค่วเหวินหลานยิ้มพร้อมถามว่า “จวินโหรว ปกติเจ้าไม่ค่อยมาหา ครั้งนี้เจ้ามาด้วยธุระอะไรเหรอ?”


หวงฝู่จวินโหรวชำเลืองสายตาไปทางเหมียวอี้ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ “ที่นี่ก็ไม่มีคนนอก คนสง่าผ่าเผยไม่พูดอะไรคลุมเครือ หนิวโหย่วเต๋อ สมาคมวีรชนก็ไม่ได้อยากจะกดดันมากเกินไปหรอก ถ้าเจ้ามอบส่งหุ้นสองส่วนนั้นมาเสียตอนนี้ ข้ารับรองว่าสมาคมวีรชนจะไม่ไปหาเรื่องเจ้าอีก ทางปีศาจโลหิตก็จะวางมือเช่นกัน ต่อไปเจ้าจะไม่พบปัญหาอะไรอีก สมาคมวีรชนจะช่วยสงเคราะห์ให้ ทำแบบนี้ดีสำหรับทุกคน!”


เหมียวอี้ไม่พูดอะไรทั้งนั้น โค่วเหวินหลานหัวเราะเบาๆ แล้วตอบแทนว่า “ข้าก็นึกว่าเจ้ามาหาข้า ที่แท้ก็มาเพราะเรื่องหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำ! จวินโหรว เจ้ามาช้าไปก้าวหนึ่ง หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำอยู่ในมือข้าแล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่หนิวแล้ว ถ้าอยากจะได้ก็บอกข้ามาตรงๆ ขอแค่เจ้าเต็มใจ ข้าย่อมมอบให้ด้วยความเคารพ!” ขณะที่พูดก็นำแผ่นหยกสองแผ่นให้นางอ่าน


หลังจากหวงฝู่จวินโหรวรับมาอ่าน นางก็แอบกัดฟันเงียบๆ พอได้ยินว่าเหมียวอี้มาที่นี่ นางก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแล้ว แต่ใครจะคิดว่ามาช้าไปก้าวหนึ่ง นางมองเหมียวอี้ด้วยแววตาคับแค้น ผู้ชายคนนี้ยอมให้คนอื่นเอาเปรียบ แต่ไม่ยอมให้นางเอาเปรียบ!


“โค่วเหวินหลาน เจ้าจะให้ข้าเปล่าๆ เชียวเหรอ?” นางฝืนยิ้มเล็กน้อย


“เจ้าก็รู้ว่าข้าต้องการอะไร แต่งงานกับข้าสิ!” โค่วเหวินหลานยิ้มตอบ


ต่ำช้า! เหมียวอี้แอบดูถูกในใจ


ใครจะคิดว่าหวงฝู่จวินโหรวจะส่งสายตามาหาเขา แล้วยิ้มอย่างสนิทสนม “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าคิดว่าข้าแต่งงานกับผู้บัญชาการโค่วเพื่อแลกกับหุ้นสองส่วนนั่นดีไหม?”


คนนอกฟังไม่ออกถึงคำพูดที่ซ้อนอยู่ในคำพูด คงมีเพียงสุนัขตัวผู้และสุนัขตัวเมียคู่นี้ที่เข้าใจความหมายแฝงดีที่สุด เหมียวอี้เริ่มระวังตัวสุดๆ ปั่นป่วนใจมาก กลัวว่าผู้หญิงคนนี้จะพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา จึงหัวเราะแห้งๆ แล้วตอบว่า “เรื่องแบบนี้ ความเห็นของข้าไม่สำคัญหรอก”


“เฮ้อ!” หวงฝู่จวินโหรวถอนหายใจ แล้วหันไปหาโค่วเหวินหลาน คืนแผ่นหยกสองแผ่นกลับไป “นี่เจ้ากำลังกลั่นแล้งข้ารึเปล่า? โค่วเหวินหลาน เจ้าคงจะเข้าใจนะ ว่าสมาคมวีรชนไม่ได้ต้องการของสิ่งนี้ คนจากเบื้องบนต่างหากที่ต้องการ เจ้ามาเป็นก้างขวางคอแบบนี้ เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกระมัง?”


โค่วเหวินหลานตอบกลั้วหัวเราะว่า “คนไม่เอาไหนอย่างเซี่ยโห้วได้มาไว้ในมือแล้วสองส่วน ตระกูลเซี่ยโห้วน่าจะพอใจแล้วล่ะ เบื้องบนได้กินเนื้อ ก็ต้องเหลือน้ำไว้ให้คนข้างล่างกินบ้างสิ? จะให้ฮุบคนเดียวจนคนข้างล่างอดกินเหรอ หลักการนี้ฟังขึ้นที่ไหนกัน ต่อให้เป็นราชันสวรรค์ก็ทำเรื่องพรรค์นั้นไม่ได้หรอก ดังนั้นเจ้าไม่ต้องอ้างท่านนั้นมากดดันข้า ข้าตำแหน่งต่ำต้อย ไม่พอให้เจรจาเรื่องพวกนี้หรอก เจ้าลองให้ท่านนั้นไปเจรจากับท่านผู้เฒ่าบ้านข้าดูสิ หากท่านนั้นไม่กระดากใจที่จะเอ่ยปาก ข้าว่าท่านผู้เฒ่าบ้านข้าก็ไม่สะดวกจะปฏิเสธเหมือนกัน”


อีกฝ่ายพูดถึงขั้นนี้แล้ว หวงฝู่จวินโหรวเองก็รู้ว่าตัวเองพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ โค่วเหวินหลานบอกเป็นนัยอย่างชัดเจนมากแล้ว เจ้าตัวไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องแบบนี้ ที่บอกว่าถ้านางแต่งงานกับเขาแล้วเขาจะให้หุ้นนาง ล้วนเป็นคำพูดที่เลื่อนลอยทั้งนั้น


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว” หวงฝู่จวินโหรวยืนขึ้น แล้วพูดกับเหมียวอี้ด้วยรอยยิ้มว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวหน่อย!”


โค่วเหวินหลานลุกขึ้นแล้วยื่นมือเชิญ “ทั้งสองเชิญตามสะดวก!” พูดจบก็ยิ้มพร้อมหันตัวเดินออกไป ของมาตกอยู่ในมือเขาแล้ว เขาไม่กลัวว่าหวงฝู่จวินโหรวจะเปลี่ยนแปลงอะไร


ในห้องโถงไม่มีคนอื่น ดวงตาหวงฝู่จวินโหรวแฝงความคับแค้น ก้าวช้าๆ เข้าไปประชิดเหมียวอี้ เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ ถามว่า “ผู้จัดการหวงฝู่มีอะไรจะชี้แนะ?”


หวงฝู่จวินโหรวยืนอยู่ตรงหน้าเขาในระยะที่ใกล้มาก ถ่ายทอดเสียงถามว่า “ข้าคิดถึงเจ้าแล้ว คืนนี้จะไปนอนค้างกับข้ามั้ย?”


คิดถึงข้าเหรอ? เจ้าคิดจะฆ่าข้าน่ะสิไม่ว่า? เหมียวอี้ทำสีหน้าไม่ถูก เดินถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ถ่ายทอดเสียงตอบว่า “เรื่องระหว่างเรา… ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไปเถอะ”


“เจ้าก็พูดได้สบายปากนี่ เจ้าทำลายความบริสุทธิ์ของข้าไปแล้ว เจ้าย่อมปล่อยผ่านไปได้ แต่ต่อจากนี้เจ้าจะให้ข้าใช้ชีวิตอย่างไร?” หวงฝู่จวินโหรวค่อยๆ ก้าวเข้ามาประชิด ยอดเขาที่อิ่มเอิบทั้งคู่ประชิดเข้ามา


ถ้าให้คนอื่นเห็นภาพนี้คงแย่แน่ เหมียวอี้รีบมองซ้ายมองขวาแล้วถอยหลัง พลางตอบอย่างกินปูนร้อนท้องว่า “เจ้าก็รู้ดีว่าที่นี่คือที่ไหน นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเจ้านะ”


“ไร้มโนธรรม!” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวอย่างคับแค้นใจ แต่ไม่สะทกสะท้าน ประชิดเข้าหาเขาจนติดมุมผนัง ประชิดจนเขาหมดทางถอย ยอดเขาสองข้างกดอยู่ที่หน้าอกของเขาแล้ว นุ่มเด้งจนน่าทึ่ง


ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้ว! เหมียวอี้ไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังเสพสุขกับวาสนาทางความรักเลยสักนิด กลับทำสีหน้าตกใจกลัว เพราะมันผิดที่ผิดเวลาจริงๆ


ผู้ชายกลัวอะไรที่สุดรู้มั้ย? กลัวจะเจอผู้หญิงที่อยากจะสลัดทิ้งแต่สลัดไม่หลุดไง!


ตอนที่เพิ่งคิดจะถลันตัวหนีไป ก็โดนแขนสองข้างของหวงฝู่จวินโหรวคล้องคอไว้แล้ว กอดไว้เต็มอก เรือนร่างอ่อนนุ่มหอมกรุ่น กลิ่นกายหอมโชยเข้าจมูก ริมฝีปากแดงสวยเข้ามาประกบโดยตรง ลิ้นหอมสอดแทรกเข้ามาในปาก


เหมียวอี้พยายามผลักนางออก แต่กลับรู้สึกเจ็บที่ริมฝีปาก


พอกัดจนริมฝีปากเขามีเลือดสดไหลออกมา หวงฝู่จวินโหรวถึงได้ผลักออก ใช้ลิ้นเลียรอยเลือดที่ริมฝีปากตัวเอง จากนั้นก็ไม่รอให้เหมียวอี้ด่า หันตัวเดินออกไปทันที


“เจ้า…” เหมียวอี้พูดไม่ออก ทำอะไรไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง รีบนำสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมารักษาแผล


แผลเล็กนิดเดียว สมุนไพรเซียนย่อมรักษาได้ง่ายๆ อยู่แล้ว แต่กลับไม่อาจปิดบังรอยเลือดบนริมฝีปากได้ ตอนที่โค่วเหวินหลานโผล่มาอีกครั้ง ก็ถามอย่างแปลกใจว่า “พี่หนิว ทำไมที่ปากมีรอยเลือด?”


เหมียวอี้ทำหน้านิ่งพลางบุ้ยปากตอบ “โดนผู้หญิงคนนั้นชกหมัดหนึ่ง!”


“กล้าลงมือที่จวนข้า ผู้หญิงคนนี้ช่างไม่รู้จักแยะแยะความสำคัญ!” โค่วเหวินหลานขมวดคิ้ว แล้วบอกอีกว่า “ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ จัดการเรื่องตำแหน่งขุนนางที่เจ้าขอก่อนดีกว่า ตอนนี้วรยุทธ์เจ้าสูงเท่าไร?”


เหมียวอี้ยกมือเช็ดโคลนซ่อนจิตตรงกว่างคิ้ว เผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง…


โค่วเหวินหลานมีอำนาจมากจริงๆ หลังจากนั้นสองวัน ยังไม่ทันมีการตรวจสอบอะไรเพิ่มเติม เบื้องบนก็อนุมัติเรื่องรับเหมียวอี้เข้ากับตำหนักสวรรค์แล้ว เหมียวอี้ไม่ได้เรียกร้องตำแหน่งใหญ่ แต่โค่วเหวินหลานก็ไม่ได้เอาเปรียบเขา แต่งตั้งให้เป็นทหารเลวสามแถบโดยตรง มอบเกราะรบสีทองขั้นสี่ให้ชุดหนึ่ง แต่ตอนนี้ยังไม่มีตำแหน่งว่าง ตอนนี้ทำงานเป็นลูกน้องโค่วเหวินหลานไปก่อน


โค่วเหวินหลานก็บอกแล้วเช่นกัน ว่ารอให้มีตำแหน่งที่เหมาะสม แล้วจะจัดให้อีกที


เหมียวอี้ที่ยังไม่ได้ตำแหน่งอย่างเป็นทางการก็ไม่ว่าอะไร สิ่งที่เขาต้องการก็คือคลุมหนังเสือบนร่างเพื่อให้สมาคมวีรชนหวั่นเกรง ตอนนี้นอกจากฝ่ายตำหนักสวรรค์ ข้างนอกก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องเขาอย่างโจ่งแจ้งอีกแล้ว เพียงแต่ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อให้ได้หนังเสือมาคลุมนั้นสูงเกินไปหน่อย


เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบสีทองเดินออกจากจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกอย่างสง่าผ่าเผย เดินไปดูร้านค้าของตัวเอง ตำแหน่งของร้านค้าอยู่ไม่ไกลจากจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก ไม่รู้เหมือนกันว่าโค่วเหวินหลานใช้วิธีการอะไร สรุปก็คือทำให้เจ้าของร้านคนเดิมขายร้านให้โค่วเหวินหลานอย่างเคารพนบนอบ


ส่วนโค่วเหวินหลานจะจ่ายเงินซื้อไปเท่าไร เหมียวอี้ก็ขี้คร้านจะไปถาม ไม่สะดวกจะถามเรื่องการใช้อำนาจอย่างลับๆ ด้วย ถึงอย่างไรโค่วเหวินหลานก็ส่งร้านต่อให้เขาแล้ว


เช่นเดียวกัน ถึงแม้เหมียวอี้จะไม่เรียกร้องเรื่องขนาดของร้านค้า แต่โค่วเหวินหลานเป็นคนรักศักดิ์ศรีหน้าตา จะควักอะไรให้ทั้งทีก็ต้องเล่นใหญ่ ร้านค้ามีพื้นที่สี่หมู่[1] ไม่ใหญ่ไม่เล็ก เหมียวอี้ที่เดินดูทั้งข้างนอกข้างในไปหลายรอบพอใจมาก


…………………………


[1] หมู่(亩) คือหน่วยวัดของจีน มีขนาดประมาณ 666.667 ตารางเมตร



บทที่ 963 ของขวัญสองชิ้น

โดย

Ink Stone_Fantasy

บนถนนหนทางข้างนอกยังคงเจริญเฟื่องฟู แต่ในร้านค้าว่างเปล่าเงียบเหงา


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะใจสื่อถึงใจหรือเปล่า…


เหมียวอี้กำลังจัดโต๊ะเก้าอี้ที่ล้มระเนระนาดอยู่ในร้านค้า กำลังครุ่นคิดว่าจะบอกอวิ๋นจือชิวดีมั้ยว่าได้ร้านค้ามาแล้ว เขายังกังวลว่าเรื่องมั่วโลกีย์ระหว่างเขากับหวงฝู่จวินโหรวจะโดนอวิ๋นจือชิวจับได้


ตัวเองกับหวงฝู่จวินโหรวทะเลาะกันถึงขั้นนั้น เดิมทีนึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองน่าจะจบลงได้แล้ว แต่หลังจากโดนหวงฝู่จวินโหรวประกบปากกัดปาก เขาก็เริ่มกลัวนิดหน่อย กังวลว่าผู้หญิงคนนั้นจะเกาะแกะไม่เลิก


อยากจะทำเรื่องนี้ให้เด็ดขาดสักหน่อย แต่ใจก็ไม่เด็ดเดี่ยวขนาดนั้น ถึงอย่างไรเขาก็ขืนใจครอบครองความบริสุทธิ์ของนาง ถ้าไม่รับผิดชอบก็จะฟังไม่ขึ้นแล้ว หากจะทำเรื่องที่โหดเกินไปเขาก็ทำไม่ลง


ขณะกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้ ระฆังดาราในกำไลเก็บสมบัติก็เริ่มสั่น พอเขาเรียกออกมาดู พบว่าไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นอวิ๋นจือชิวเมียของเขานั่นเอง


เขาตั้งใจฟัง อวิ๋นจือชิวถามว่า : หนิวเอ้อร์ เจ้าอยู่ที่ไหน?


เหมียวอี้ตอบว่า : นอกจากพิภพใหญ่แล้วจะเป็นที่ไหนได้?


อวิ๋นจือชิว : ที่ไหนของพิภพใหญ่?


เหมียวอี้ : ตลาดสวรรค์! ข้ามีธุระที่นี่นิดหน่อย ช่วงนี้ยังกลับไปหาเจ้าไม่ได้


อวิ๋นจือชิว : ไม่รบกวนให้เจ้ามาหาหรอก ข้าทนทุกข์จากความคิดถึงไม่ไหวแล้ว เป็นฝ่ายมาหาเจ้าเอง ข้ามาถึงตลาดสวรรค์แล้ว เจ้าอยู่ตรงไหน?


เหมียวอี้พูดไม่ออก ลองตอบไปทันทีว่า : เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว ข้ามีธุระต้องจัดการ


อวิ๋นจือชิว : ทำเป็นเล่นอะไรล่ะ ข้ามาถึงแล้วจริงๆ อยู่ในซอยนอกร้านขายของชำซื่อตรง พวกผู้ชายบ้ามันน่ารำคาญจริงๆ ใช้แววตาเจ้าเล่ห์กวาดมองเรือนร่างข้า อย่างกับหมาป่า เหมือนอยากจะถอดเสื้อผ้าข้าออกให้หมด นิสัยเหมือนเจ้าเลย!


มีคนคิดไม่ซื่อกับเมียตัวเอง แย่แล้วล่ะ! เรื่องบางเรื่องผู้ชายสามารถทนได้ แต่เรื่องบางเรื่องผู้ชายเขาถือ! เหมียวอี้หน้าบึ้งทันที ถามสถานที่อย่างละเอียดว่าอยู่ตรงไหน ไม่รอให้อวิ๋นจือชิวมา เขาเป็นฝ่ายวิ่งขึ้นตึกไปชะโงกหน้ามองหาตรงหน้าต่างเอง


ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นจือชิวที่สวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวครามก็ปรากฏตัวที่หัวถนน เดินเนิบนาบอย่างสง่างาม เหลียวซ้ายแลขวาตามหาร้านค้าที่เหมียวอี้บอก


เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงมาแต่ไกลๆ ทันที “ไม่ต้องมองซ้ายมองขวาแล้ว ตรงมาข้างหน้าห้าสิบจั้ง ตึกสองชั้นที่อยู่ทางขวามือ!” ขณะที่พูดก็กวักมือเรียกตรงหน้าต่าง


อวิ๋นจือชิวต้องใจจ้องไปข้างหน้า พอเห็นเหมียวอี้แล้ว นางก็ยิ้มอย่างอ่อนหวานแพรวพราวทันที ทำให้ผู้ชายที่สัญจรอยู่บนถนนหันมามองเป็นระยะ


เดินอย่างไม่รีบร้อนจนมาถึงร้านค้าร้านนั้น อวิ๋นจือชิวมองสำรวจทั้งข้างบนข้างล่าง พบว่าประตูร้านค้าเปิดแค่บานเดียว แม้แต่ป้ายร้านก็ถอดไปแล้ว ดูค่อนข้างเงียบเหงาเมื่อเทียบกับร้านค้าที่อยู่ทางซ้ายและขวา


แล้วนางก็หันกลับมามองรอบๆ อีกครู่หนึ่ง ถึงได้เดินเข้าไปอย่างช้าๆ เมื่อเห็นโต๊ะเก้าอี้วางระเนระนาดเต็มพื้น ในดวงตาก็ฉายแววสงสัยอย่างอดไม่ได้ ไม่รู้ว่าเหมียวอี้มาหดหัวทำอะไรอยู่ที่นี่


เหมียวอี้ที่เดินลงมาจากชั้นบนโบกมือให้นาง แล้วประตูใหญ่ของร้านค้าก็ปิดสนิท สลักประตูเด้งขึ้น


อวิ๋นจือชิวหันกลับไปมองข้างหลังแวบหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปหาเหมียวอี้ สายตากวาดมองรอบๆ พร้อมถามว่า “มีแค่เจ้าคนเดียวเหรอ?”


กังวลว่าจะมีคนอื่นอยู่ด้วย ไม่สะดวกจะแสดงความสนิทสนมมากเกินไป ถึงอย่างไรเหมียวอี้ก็บอกไว้แล้ว ว่าไม่อยากประกาศความสัมพันธ์ของทั้งสองที่พิภพใหญ่


เหมียวอี้พยักหน้า แล้วขมวดคิ้วถามว่า “เถ้าแก่เนี้ย เจ้ามาได้อย่างไร?”


เมื่อเห็นว่าที่นี่มีแค่เขาคนเดียว อวิ๋นจือชิวก็ยิ้มอย่างสนิทสนมและเข้ามาเกาะแกะทันที กระโจนเข้าใส่อ้อมกอด แล้วคล้องคอเขาด้วยรอยยิ้มสดใสราวดอกไม้ “ก็บอกแล้วไงว่าคิดถึงเจ้า พอส่งข้อความมาหาเจ้า เจ้าก็เอาแต่บอกว่ามีธุระ ข้าเลยต้องมาดูด้วยตัวเอง ว่าธุระอะไรกันแน่ที่ทำให้เจ้าไม่สนใจแม้แต่เมีย”


เหมียวอี้ดึงมือที่ซุกซนของนางออก แล้วจูงมือนางเดินไปด้วยกัน “มีอะไรก็ไปคุยกันข้างบน!”


อวิ๋นจือชิวสะบัดมือออก แล้วกางแขนสองข้างพร้อมบ่นว่า “ข้าเดินมาตั้งไกล ปวดขาไปหมดแล้ว อุ้มขึ้นไปหน่อยสิ!”


เหมียวอี้ส่ายหน้าอย่างจนใจมาก ก้าวเข้ามากางแขนอุ้มไว้ แล้วเดินขึ้นไปชั้นบน อวิ๋นจือชิวเหมือนจะชอบเสพสุขกับท่าทางนี้มาก นางยิ้มอย่างเบิกบานใจ เป็นฝ่ายหอมแก้มเขาฟอดหนึ่ง


พอขึ้นมาชั้นบน แล้วเข้ามาในห้องที่ค่อนข้างลับตาคน ทั้งสองก็แยกออกจากกัน อวิ๋นจือชิวมองเกราะทองบนตัวเขา แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้าแต่งตัวแบบนี้ทำไม?”


เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ข้าเข้าเป็นคนของตำหนักสวรรค์แล้ว ตอนนี้เป็นทหารเลวสามแถบที่แต่งตั้งโดยตำหนักสวรรค์”


“เอ๋! กลายเป็นขุนนางใหญ่ของตำหนักสวรรค์แล้วเหรอ!” อวิ๋นจือชิวพูดหยอก “นี่เป็นเรื่องดีนะ จะทำท่าทางกลุ้มใจไม่มีความสุขทำไมล่ะ ไม่ใช่ว่าเห็นข้าแล้วอารมณ์เสียหรอกใช่มั้ย? บอกมาเสียดีๆ ลับหลังแอบข้าทำอะไรแล้วกลัวโดนข้าจับได้ใช่มั้ย?”


นางพูดมั่วแต่ดันพูดถูก ทำเอาเหมียวอี้ระแวงไม่หาย แต่เหมียวอี้ย่อมไม่ยอมรับอยู่แล้ว เปลี่ยนประเด็นพูดทันที “ขุนนางใหญ่บ้าอะไรล่ะ ทหารเลวสามแถบของตำหนักสวรรค์มีเยอะเหมือนขนวัว เจ้ารู้รึเปล่าว่าข้าได้ตำแหน่งนี้มายังไง? แลกมาด้วยหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรง”


เมื่อได้ยินเขากล่าวแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็ขมวดคิ้วมุ่นทันที กล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้ากินยาผิดมาใช่มั้ย? ทหารเลวคนหนึ่งจะมีรายได้ต่อปีเท่าไรกันเชียว ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะนำหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำไปแลก ไม่มีทางที่เจ้าจะไม่รู้ว่ารายได้จากร้านขายของชำเยอะขนาดไหน? ผลาญสมบัติขนาดนี้ เจ้ายังจะเลี้ยงพวกผู้หญิงในบ้านอยู่รึเปล่า? ถ้าเลี้ยงไม่ไหว เจ้าจะแต่งงานมาทำไมเยอะขนาดนั้น?”


“ข้าไม่ได้บอกนี่ว่าจะแต่งงาน เจ้าตัดสินใจเองทั้งนั้น” เหมียวอี้เถียงกลับ


อวิ๋นจือชิวไม่ยอมทันที ดวงตางามทั้งคู่ถลึงจ้อง “หนิวเอ้อร์ เจ้าพูดมาให้ชัดเจนเถอะ ตอนแต่งงานกลับมานอนด้วยคนแล้วคนเล่าทำไมไม่พูดคำนี้ล่ะ? ตอนนี้มาบ่นว่าข้าตัดสินใจเองโดยพลการเหรอ เจ้ายังมีมโนธรรมอยู่บ้างรึเปล่า!” ตามด้วยการกระทำที่เคยชิน นางถกกระโปรงขึ้น แล้วเตะที่ต้นขาเหมียวอี้หนึ่งที


ปรากฏว่าเตะแล้วตัวเองก็เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟันเอง ลืมไปว่าบนตัวเหมียวอี้สวมเกราะรบ ตอนที่เตะไม่ได้ร่ายอิทธิฤทธิ์ด้วย เตะจนตัวเองเจ็บนิ้วเท้าเสียเอง


สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้หัวเราะอย่างมีความสุข อวิ๋นจือชิวเดือดดาลแล้ว กระโจนเข้าไป ‘สู้สุดชีวิต’ ทันที


ตอนนี้วรยุทธ์ของทั้งสองไม่ต่างกันเท่าไร เหมียวอี้ลงมือเร็วกว่านาง จับมือสองข้างของนางเอาไว้ พร้อมอธิบายดีๆ ว่า “เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว ข้ากำลังวุ่นวายใจเพราะเรื่องนี้นี่แหละ เจ้าคิดว่าข้าอยากจะแลกหุ้นสองส่วนนั้นเหรอ ข้าเองก็โดนกดดันจนหมดทางเลือกเหมือนกัน ถ้าไม่ให้เขาไป ข้ากลัวว่าแม้แต่รอดชีวิตออกจากตลาดสวรรค์ก็ทำไม่ได้”


พอได้ยินว่าร้ายแรงขนาดนี้ อวิ๋นจือชิวก็ชักมือออก ถามด้วยสีหน้าเจือความกังวล “เรื่องเป็นยังไง?”


เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ นางฟังจนแค้นแยกเขี้ยวยิงฟัน “ปีศาจโลหิต นางตัวดีหวงฝู่!” จากนั้นก็กอดแขนและพูดปลอบใจเหมียวอี้ทันที “ไม่เป็นไรนะ! เงินทองหายไปเดี๋ยวก็กลับมาใหม่ได้ เป็นลูกผู้ชายจะมากลุ้มใจเรื่องเล็กๆ แบบนี้ได้ยังไง รวยก็เคยรวยมาแล้ว จนก็เคยจนมาแล้ว ขอแค่คนยังมีชีวิตอยู่ สักวันนึงจะต้องทวงของที่เสียไปกลับคืนมาได้แน่นอน คิดให้ได้สิ มากลุ้มใจเพราะเงินทองเล็กน้อยแค่นี้ไม่คุ้มหรอก ไม่เป็นอะไรนะ”


เหมียวอี้ส่ายหน้า “เสียหายหนักเกินไป ปวดเนื้อนะ!”


เรือนร่างนุ่มนวลหอมกรุ่นของอวิ๋นจือชิวเข้ามาแนบชิดทันที กระซิบข้างหูเขาว่า “แต่เนื้อของข้ายังอยู่ในมือเจ้านะ! ข้าไม่กลัวปวดเนื้อหรอก เจ้ารังแกได้ตามใจชอบเลย”


คำพูดนี้ยั่วยวนเกินไปแล้ว ทำให้เหมียวอี้รุ่มร้อนท้องน้อยทันที เหลือบมองหญิงงามช่างยั่วข้างกายที่สามารถหยิบกินได้ทุกเมื่อ


ปรากฏว่าพอไปสบประสานกับสายตายั่วหยอกของอวิ๋นจือชิว เขาก็หัวเราะแห้งๆ ทันที พลิกฝ่ามือยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งในนาง “ถึงแม้จะเสียหายนักมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรเลย ข้ามอบของขวัญให้เจ้า!”


ผู้หญิงสนใจคำว่าของขวัญมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว รับมาดูในมือทันที


เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน ดิน!


เมื่ออักษรหกตัวปรากฏสู่สายตา อวิ๋นจือชิวก็เบิกตากว้างทันที พลันเงยหน้าขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ “นี่…”


เหมียวอี้พยักหน้า แล้วเล่าเรื่องที่ไปหาสมบัติให้ฟังรอบหนึ่ง


อวิ๋นจือชิวฟังปลาบปลื้มดีใจอย่างหาที่สุดมิได้ เขาไปกอดจูบเขาอย่างบ้าคลั่งทันที “สามีที่ดี ช่างเป็นท่านสามีที่ดีของข้าจริงๆ…”


“อย่าเพิ่งรีบเลย! ยังมีของขวัญอีกอย่างที่เจ้าต้องชอบมากแน่ๆ!” เหมียวอี้นำแผ่นหยกอีกแผ่นออกมา แล้วยัดเข้าไปในมือนาง “ดูสิ!”


ไม่ใช่ของอะไรอย่างอื่น เป็นสัญญาของร้านค้าร้านนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอวิ๋นจือชิวอ่านแล้วมีปฏิกิริยาแบบไหน เรียกได้ว่ากระโดดโลดเต้นดีใจอย่างบ้าคลั่ง ตบหน้าอกเหมียวอี้พร้อมบอกว่า “ไม่กลัว! มีบ้านที่มีข้าวกินแล้ว ไม่ต้องกลัวแล้วว่าจะเลี้ยงอนุภรรยาพวกนั้นของเจ้าไม่ไหว ต่อไปเจ้าจะเลี้ยงผู้หญิงเยอะกว่านี้ก็ไม่กลัวแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าเลี้ยงเอง!”


“ใจกว้างขนาดนี้เชียวเหรอ?” เหมียวอี้ถามอย่างสงสัย “จริงหรือล้อเล่น?”


อวิ๋นจือชิวยิ้มค้างทันที ราวกับโดนน้ำเย็นสาดหน้า พบว่าตัวเองดีใจเกินไปหน่อย จึงมองค้อนทันที “ในบ้านยังกินไม่หมดเลย เจ้ายังอยากได้เพิ่มอีกเหรอ?”


เหงื่อแตก! ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนหน้าเร็วจริงๆ! เหมียวอี้ตอบเสียงต่ำว่า “อย่าได้ยินเสียงลมกลายเป็นเสียงฝน ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้ามาคนเดียวเหรอ? ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจะทำอย่างไร?” สีหน้าจริงจังมาก!


ถึงคราวที่นางจะต้องกินปูนร้อนท้องบ้างแล้ว รู้ว่าตัวเองทำแบบนี้แล้วจะทำให้เขากังวล อวิ๋นจือชิวจึงใช้ท่าไม้ตายทันที นางขี้เกียจเถียงแล้ว พูดออดอ้อนว่า “ท่านสามี นอนกอดหมอนคนเดียวมันเหงานะ คิดถึงเจ้าก็เลยมาหาเจ้า แบบนี้ก็ผิดด้วยเหรอ?”


เหมียวอี้ดึงนางเข้ามาทันที แล้วตีก้นนางจนเกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ


นางตะโกนร้องว่าเจ็บด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย จงใจเล่นหูเล่นตายั่วยวนเขา อีกคนที่โดนยั่วจึงเกิดไฟชั่วร้ายลุกในใจ สันดานสัตว์ป่าปะทุทันที…


หลังจากลมฝนสงบ ก็นำถังอาบน้ำออกมาใบหนึ่ง น้ำใสร้อนระอุอยู่ภายใต้เคล็ดวิชาอัคนีดารา ทั้งสองคลอเคลียกันอยู่ในถังไม้อาบน้ำ เรียกได้ว่าอิจฉาเพียงนกยวนยาง ไม่อิจฉาเซียน


อวิ๋นจือชิวผมยาวห้อยสยายออกนอกอ่าง กอดเหมียวอี้ที่กำลังเอนกายอยู่ในอ้อมอกของตน นางสีหน้าผ่อนคลายเต็มอิ่ม ต้นขาขาวดุจหิมะทั้งสองข้างกำลังพันเอวของเขาอยู่ “หนิวเอ้อร์ หายโกรธรึยัง? ถ้าหายโกรธแล้วก็เริ่มให้ข้าบริหารร้านค้าร้านนี้ได้แล้ว”


เหมียวอี้ใช้มือบีบขยำต้นขานาง “ข้าจนปัญญากับเจ้าจริงๆ เจ้าอยู่ที่นี่นานๆ ให้พวกเวยเวยดูแลทางนั้นจะเหมาะสมเหรอ?”


“มีอะไรไม่เหมาะสมล่ะ อย่างมากข้าก็แค่วิ่งไปวิ่งมาสองฝั่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสามของเจ้าอยู่ในมือมู่ฝานจวิน ข้าคงทิ้งไว้ไม่สนใจแล้ว ให้เวยเวยรับต่อไปให้หมดเลย” พอพูดถึงเยว่เหยา นางก็โมโหนิดหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะเยว่เหยา นางก็จะได้ครองผู้ชายคนนี้คนเดียว ไม่จำเป็นต้องให้เหมียวอี้แต่งงานมีอนุภรรยาหลายคน


เมื่อพูดถึงเยว่เหยา เหมียวอี้ก็ปวดหัวเหมือนกัน “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว! ถ้าไม่สามารถหาทางนำเคล็ดวิชาภาคคนที่สมบูรณ์มาจากมือของปู่เจ้าได้ เจ้ามีเคล็ดวิชาภาคดินไปก็ไร้ประโยชน์ เกรงว่าเรื่องนี้จะยุ่งยากนิดหน่อย ถ้าอยากให้ปู่เจ้ามอบเคล็ดวิชาภาคคนให้อย่างเต็มใจก็คงเป็นไปไม่ได้ หรือว่าจะเอาภาคดินไปแลก?”


อวิ๋นจือชิวตอบอย่างรู้สึกขำว่า “เจ้าก็รู้ดีว่าปู่ข้าเป็นคนอย่างไร ถ้าเขารู้ว่าในมือเจ้ามีเคล็ดวิชาภาคดิน เรื่องแรกที่เขาจะทำก็คือแย่งมาไว้ในมือตัวเอง แย่งไปแล้วก็อาจจะสังหารข้าก็ได้ เขาไม่ยอมให้ข้าเป็นภัยคุกคามต่อตระกูลอวิ๋นหรอก! เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้าจะค่อยๆ คิด สนใจเรื่องของเจ้าก่อนเถอะ หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำนั่น หมดไปแล้วก็ปล่อยให้หมดไป ไม่ต้องคิดมาก คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อได้เข้าตำหนักสวรรค์ ก็ต้องพยายามบากบั่น ขอเพียงมีอำนาจ ของที่เสียไปแล้วก็นำกลับมาได้เสมอ หนิวเอ้อร์ การมีผู้หญิงเยอะ ถึงแม้จะได้เสวยสุข แต่ก็เป็นภาระที่จะต้องรับผิดชอบ ภรรยากับอนุภรรยาที่บ้านกำลังรอให้เจ้าดูแล ลูกผู้ชายยิ่งแพ้ก็ยิ่งต้องกล้าหาญ อย่าท้อแท้ เจ้าคือเสาหลักของบ้าน ถ้าเจ้ายืนไม่ไหว แล้วพวกเราจะทำยังไงล่ะ? เรื่องในบ้านเจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลจัดการให้ดี ไม่ให้เกิดความขัดแย้งภายใน เจ้าสนใจแต่เรื่องนอกบ้านก็พอ!”


…………………………



บทที่ 964 คนพังงานมาแล้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากทั้งสองออกจากร้านค้าด้วยกัน ไม่ว่าใครก็ดูไม่ออกว่าทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน รักษามารยาทในการกระทำและคำพูดระหว่างกัน ดูแล้วเหมือนคนที่สนิทกันธรรมดา


ทั้งสองมุ่งตรงสู่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก พวกเขาไม่ได้ไปพบโค่วเหวินหลาน แต่พาอวิ๋นจือชิวมาลงทะเบียนร้านค้า ไม่ว่าจะเปิดร้านอะไรก็ต้องลงทะเบียนในเขตของตัวเอง จะได้มาเก็บภาษีได้สะดวก


ในเมื่อไม่อยากให้คนนอกรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง เดิมทีอวิ๋นจือชิวไม่อยากให้เหมียวอี้มาเป็นเพื่อน แต่หลังจากเหมียวอี้ได้รู้จักเจ้าเดรัจฉานเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้ว ก็กังวลกับพวกคนของตำหนักสวรรค์ อวิ๋นจือชิวอาจจะไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่สวยที่สุด แต่เหมียวอี้รู้ว่านางเป็นประเภทหญิงงามช่างยั่วแน่นอน นางไม่ค่อยคุ้นเคยกับพิภพใหญ่เท่าไรนัก ถ้าถูกถามอะไรแล้วตอบไม่ได้ขึ้นมา ถ้าไปโดนผู้ชายพวกนั้นทำเจ้าชู้ใส่ เขาจะไม่เสียเปรียบแย่หรอกเหรอ


อวิ๋นจือชิวมองออกว่าเขากังวลอะไร ทำให้นางแอบรู้สึกขำในใจ แต่ก็รู้สึกภูมิใจมาก ในใจรู้สึกหวานชื่น รู้ว่าเขาใส่ใจนาง นางชอบอะไรแบบนี้มาก


ในตำหนักพ่อบ้านที่จัดการธุระพวกนี้ ถึงแม้ทุกคนจะไม่คุ้นหน้าเหมียวอี้ แต่ก็รู้ว่าเป็นเพื่อนร่วมงานที่มาใหม่ เพราะเห็นระดับเกราะทองสามแถบของเหมียวอี้


สิ่งที่เรียกว่า ‘เกราะทองสามแถบ’ ก็หมายถึงแถบโลหะที่อยู่ทางซ้ายและขวาบนคอปกเกราะทองที่ตัวเหมียวอี้ นี่คือสัญลักษณ์ยศในกองทัพของทหารตำหนักสวรรค์ ยศเพิ่มขึ้นตามลำดับแถบ ถ้ามีแถบมากขึ้นอีกแถบ ก็เป็นสัญลักษณ์ว่ายศสูงขึ้นอีกขั้น ที่เหมียวอี้ใส่อยู่บนตัวก็คือเกราะทองสามแถบ เป็นสัญลักษณ์ของทหารเลวระดับสาม


ผู้ที่สวมเกราะเงินคือทหารสวรรค์ ผู้ที่สวมเกราะทองก็คือทหารเลวในกองทัพสวรรค์ ผู้ที่สวมเกราะม่วงคือแม่ทัพ ผู้ที่สวมเกราะแดงคือแม่ทัพใหญ่ ความสูงต่ำของแต่ละขั้นล้วนแยกโดยใช้ความแตกต่างของแถบบนคอปกเกราะรบ โดยในแต่ละขั้นนั้น หกแถบคือขั้นสูงสุด


ผู้บัญชาการอย่างโค่วเหวินหลานก็เป็นแค่เกราะทองห้าแถบ ผู้บัญชาการใหญ่ที่คุ้มสี่เขตเมืองคือหกแถบ ระดับของปี้เหยว่ฮูหยินที่คุมดาวเทียนหยวนก็คือแม่ทัพเกราะม่วงสามแถบ


สวนบูรพาผู้ใต้บังคับบัญชาของเขตเมืองตะวันออก นอกจากโค่วเหวินหลานที่มีเกราะทองห้าแถบ ก็มีแค่รองผู้บัญชาการฝั่งซ้ายฝั่งขวาสองคนที่มีเกราะทองสี่แถบ มีลูกน้องเป็นทหารเกราะทองสามแถบอีกหกคน บวกเหมียวอี้เข้าไปด้วยอีกคน ก็รวมเป็นเจ็ดคน และแน่นอน คนอื่นล้วนมีหน้าที่ มีเพียงเหมียวอี้คนเดียวที่ยังว่าง


ในเมื่อมียศอยู่แล้ว เมื่อเข้าตำหนักพ่อบ้านของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกก็ย่อมไม่มีใครขวาง


ผู้ที่คุมตำหนักนี้และรับผิดชอบธุระเบ็ดเตล็ดทั่วไปของตลาดสวรรค์เขตเมืองตะวันออก ชื่อว่าสวีถังหราน เป็นหนึ่งในทหารเลวเกราะทองสามแถบเจ็ดคนในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก โดยทั่วไปการลงทะเบียนร้านค้าไม่ต้องให้สวีถังหรานทำเอง ย่อมมีพวกลูกน้องไปจัดการอยู่แล้ว แต่มีหนึ่งในลูกน้องที่อ่านสถานการณ์ออก มารายงานก่อนล่วงหน้าแล้ว สวีถังหรานจึงออกมาจากโถงข้างหลังทันที ไม่ใช่ว่าไว้หน้าเหมียวอี้ แต่ทุกคนต่างก็ได้ยินมาว่าเหมียวอี้คือคนที่โค่วเหวินหลานรับเข้ามาเอง ดีไม่ดีอาจจะมีความสัมพันธ์อะไรกับโค่วเหวินหลานก็ได้ คงไม่ดีหากจะไปล่วงเกิน


เมื่อมีเหมียวอี้ออกหน้าพูดให้ พนักงานที่จัดการเรื่องนี้ก็ถามอวิ๋นจือชิวแค่สองสามคำอย่างไม่ใส่ใจ ถามว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เตรียมจะเปิดร้านขายอะไร จากนั้นก็อนุมัติให้อย่างสบายอกสบายใจ แล้วสั่งให้คนนำไปให้สวีถังหรานลงนาม


ทางนี้ยังไม่ทันนำของออกมา สวีถังหรานก็เดินก้าวยาวเข้ามาแล้ว พวกลูกน้องลุกขึ้นต้อนรับอย่างเคารพ เหมียวอี้ได้ยินแล้วกุมหมัดคารวะทันที “ได้ยินชื่อเสียงของพ่อบ้านสวีมานานแล้ว หนิวโหย่วเต๋อเพิ่งมาเป็นครั้งแรก ฝากเนื้อฝากตัวกับพี่สวีด้วย”


สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ แล้วกุมหมัดคารวะตอบ “พี่หนิวไม่มีน้ำใจเสียบ้างเลย! พี่น้องคนนี้กำลังรอให้เจ้ามาเลี้ยงอาหารอยู่นะ แต่เจ้ากลับไม่มีความเคลื่อนไหวเลย!”


“แน่นอนๆ เดี๋ยวข้าเลี้ยงแน่!” เหมียวอี้รับประกันอย่างเต็มปากเต็มคำ


“พี่หนิวมาที่นี่มีธุระอะไรล่ะ?” พอสวีถังหรานเอ่ยปาก ก็มีลูกน้องนำเรื่องมารายงานทันที


หลังจากรู้ว่าเหมียวอี้มาเป็นเพื่อนคนที่มาลงทะเบียนร้านค้า สายตาสวีถังหรานก็มองไปที่อวิ๋นจือชิวที่กำลังกุมหมัดคารวะอยู่ข้างๆ เขาตาเป็นประกายทันที เหลือบมองหลายครั้งโดยไม่รู้ตัว แล้วถามเหมียวอี้พร้อมรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าท่านนี้เป็นอะไรกับพี่หนิว?”


“สหาย!” เหมียวอี้ตอบ


หลังจากอ่านดูแผ่นหยกในมือแล้ว สวีถังหรานก็ไม่ถามอะไรเพิ่ม ลงตราประทับให้โดยตรง แล้วส่งให้อวิ๋นจือชิว เหมือนมีเจตนาอยากจะคุยกับนาง


เหมียวอี้จึงบอกให้อวิ๋นจือชิวออกไปรอข้างนอก


ปรากฏว่าพออวิ๋นจือชิวหันตัวไป สวีถังหรานก็ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ทันที “ผู้หญิงคนนี้รูปร่างมีสวนบูรพาเว้าสวนบูรพาโค้ง หุ่นดีจริงๆ มีลักษณะเฉพาะตัวเหนือคนอื่น ในความสง่างามแฝงความเย้ายวน มีเสน่ห์จากภายใน มองปราดเดียวก็รู้ว่าหาพบได้ยากในหมู่ผู้หญิง พี่หนิว หากสะดวกล่ะก็ รบกวนเป็นคนกลางติดต่อให้ขาหน่อยสิ”


เป็นคนกลางติดต่อให้แม่เจ้าสิ! เหมียวอี้หน้าบึ้งทันที “พี่สวีกำลังตบหน้าข้าเหรอ? ข้าจีบนางมาตลอดนะ!”


“อ้อ… ขออภัย ขออภัย!” สวีถังหรานกุมหมัดคารวะอย่างอับอายทันที


เหมียวอี้คิดในใจว่า โชคดีนะที่ข้ามาด้วย ไม่อย่างนั้นใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น


เขาย่อมรู้ดีว่าอวิ๋นจือชิวมีความงามเป็นอย่างไร สาเหตุที่เขาชอบนาง ย่อมเกี่ยวกับความงามของนางแน่นอน ถ้าเป็นผู้หญิงอัปลักษณ์ขี้เหร่ เหมียวอี้คงไม่เสี่ยงชีวิตเพื่อแต่งงานกับนางหรอก นางย่อมมีจุดที่ดึงดูดเขาอยู่แล้ว ในเมื่อสามารถดึงดูดเขาได้ ก็ย่อมดึงดูดชายอื่นได้เหมือนกัน


ถ้ามองในมุมที่เห็นแก่ตัวของผู้ชาย เหมียวอี้เองก็ไม่อยากอวิ๋นจือชิวโผล่หน้าออกมา ตอนอยู่ที่พิภพเล็ก อาศัยภูมิหลังของนางจึงไม่มีใครกล้าแตะต้อง แต่เมื่ออยู่ที่พิภพใหญ่ ทุกอย่างก็ต่างออกไปแล้ว ถ้าอยากจะเลี้ยงอวิ๋นจือชิวให้เป็นนกคีรีบูนในกรงก็คงทำไม่ได้แน่นอน เรื่องนี้ทำให้เขาปวดหัวมาก


หลังจากทั้งสองคุยกันพักหนึ่ง ก็นัดหมายเวลาให้เหมียวอี้เลี้ยงอาหาร สวีถังหรานรับหน้าที่รวบรวมคน แล้วก็กล่าวอำลากัน


พอออกประตูมาเจออวิ๋นจือชิว ทั้งสองก็กลับไปยังร้านค้าที่ระเกะระกะด้วยกัน อวิ๋นจือชิวรีบกลับพิภพเล็ก จึงยื่นแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งให้เหมียวอี้


ที่นางมาครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อมาเยี่ยมเหมียวอี้อย่างเดียว แต่มาเพื่อส่งของให้ด้วย ผลึกแดงบริสุทธิ์ที่ตั๊กแตนผลิตชุดแรกออกมาแล้ว เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้ไม่กลับไปเอาสักที นางก็กังวลเรื่องความปลอดภัยของเหมียวอี้ ถึงได้นำมาส่งให้ด้วยตัวเอง จะได้ให้เหมียวอี้ทำของวิเศษดีๆ ไว้ป้องกันตัว


อวิ๋นจือชิวที่เพิ่งมาถึงไม่ได้อยู่ต่อเลยสักวัน บททจะไปก็ไปเลย รีบไปดึงคนมาช่วยเปิดร้านค้า เหมียวอี้รั้งอย่างไรก็รั้งไม่อยู่ และไม่สะดวกจะไปส่งด้วย


ในคืนนั้น เหมียวอี้เป็นเจ้าภาพใน ‘สวนบูรพา’ เลี้ยงอาหารพวกเพื่อนร่วมงาน ทั้งยังเชิญหอกลิ่นสวรรค์มาร้องเล่นเต้นระบำด้วย


ไม่ต้องจ่ายค่าการแสดง ท่านแม่สวียอมใจกว้างให้ครั้งหนึ่ง เสวี่ยหลิงหลงก็ขึ้นเวทีโดยไม่คิดเงินเช่นกัน นับว่าแสดงน้ำใจที่เหมียวอี้ได้เลื่อนตำแหน่ง มาเป็นหน้าเป็นตาให้เหมียวอี้


ในศาลาหลังใหญ่กลางน้ำ ประดับโคมไฟแวววาว มีการร้องระบำอย่างอ่อนช้อยงดงาม


ทหารเลวเจ็ดคนในเขตเมืองตะวันออก เมื่อรวมเหมียวอี้ไปด้วยก็ครบแล้ว นอกจากเหมียวอี้ที่ไม่มีลูกน้อง คนอื่นๆ พาลูกน้องมาด้วยสิบกว่าคน คนเกือบร้อยคนทำให้งานเลี้ยงสนุกสนานครึกครื้น


การร้องระบำกำลังครึกครื้น สุรากำลังออกฤทธิ์ จนกระทั่งเสวี่ยหลิงหลงขึ้นเวที ก็ทำให้ทั้งงานโห่ร้องดีใจทันที


สวีถังหรานก็ยิ่งตบบ่าเหมียวอี้อย่างแรง เหมือนกำลังบอกว่าเหมียวอี้ช่างมีน้ำใจไมตรี แม้แต่เสวี่ยหลิงหลงก็เชิญมาได้


“วายุบุปผา หิมะจันทรา ราตรีมอมเมา…”


เมื่อเสียงบรรเลงดนตรีดังตามมา ทั้งงานก็เงียบทันที


เหมียวอี้ที่ถือจอกสุราจ่อตรงปากชะงักทันที ดวงตาฉายแววตกตะลึง ขณะมองดูเสวี่ยหลิงหลงที่กำลังร้องระบำอย่างนุ่มนวลอ่อนหวาน เขาก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง


เขาเคยพบเจอเสวี่ยหลิงหลงแบบใกล้ๆ ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง แต่คืนนี้เพิ่งเห็นเสวี่ยหลิงหลงร้องเพลงเป็นครั้งแรก พอนางสะบัดแขนเสื้อพลิ้วดุจริ้วเมฆร่ายรำ ก็ทำให้คนตื่นตะลึงทันที โดยเฉพาะดอกไม้ที่โปรยลงพื้นตามการร่ายรำของนาง ช่างเป็นการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบ ราวกับนางเป็นเทพธิดาแห่งมวลหมู่ดอกไม้ ทำให้คนในงานที่กำลังตั้งใจชมราวกับเคลิบเคลิ้มเมามาย


เหมียวอี้นับว่าเป็นผู้มีอำนาจในพิภพเล็กเช่นกัน ใช่ว่าจะไม่เคยชมการร้องเล่นเต้นระบำดีๆ แต่เมื่อเทียบกับเสวี่ยหลิงหลงแล้ว พวกนั้นนับว่าเป็นคนละชั้นจริงๆ


เสวี่ยหลิงหลงสวยมากจริงๆ เมื่อก่อนเหมียวอี้กลับรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้สวยแบบไร้เดียงสา ให้ความรู้สึกเหมือนซื่อบื้อ แต่วันนี้เพิ่งจะได้เห็นฉากที่เสวี่ยหลิงหลงมีราศีเปล่งประกายอย่างแท้จริง สมกับเป็นดาวเด่นของหอกลิ่นสวรรค์ พอสวี่ยหลิงหลงออกมาร้อยบุปผาก็ร่วงโรย ไม่มีใครบนเวทีกล้าแข่งกับนาง


สวีถังหรานเหมือนจะชอบวิจารณ์ผู้หญิงเป็นพิเศษ ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้แล้วว่า “เจ้าดูเอวเล็กๆ นั่นสิ แล้วก็แขนขาทั้งสี่ อ่อนช้อยเหมือนไร้กระดูกจริงๆ! ตอนเข้าห้องหอคงจะรสชาติดีมิรู้ลืม ถ้าได้มาร่วมห้องสักคืน ต่อให้ตายก็คุ้มค่า แต่น่าเสียดายที่ผู้หญิงคนนี้มีผู้บัญชาการโค่ว เซี่ยโห้วหลงเฉิง และหวงฝู่จวินโหรวคุ้มครองอยู่ เป็นดอกไม้งามที่ไม่มีใครกล้าเด็ด ไม่อย่างนั้นคงโดนคนอื่นเก็บไว้เป็นเนื้อต้องห้ามของตัวเองตั้งนานแล้ว…”


ตรงนี้ยังไม่ทันพูดจบ ไม่รู้ว่าใครทำเสียเรื่อง ฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนกำลังเคลิบเคลิ้มมัวเมา ทุ่มหินก้อนใหญ่ลงมาจากฟ้าก้อนหนึ่ง แขกทุกคนในงานตกใจ แต่กว่าจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว มีเสียงดังโครมคราม กระเบื้องหลังคาพังตกลงมา


แต่ทุกคนในงานก็ไม่ใช่ไก่อ่อน แทบจะร่ายอิทธิฤทธิ์ดันไว้พร้อมกัน ทำให้หินก้อนใหญ่กับกระเบื้องหลังคาและคานที่ทุ่มลงมาให้กระเด็นออกไป สุราอาหารที่อยู่ตรงหน้าคนในงานกลับไม่เปื้อนฝุ่นเลยด้วยซ้ำ


โครม! ตูม! เสียงของพังตกลงกระทบผิวน้ำ


“ใครกัน!” ทุกคนยืนขึ้นตะโกน ใจกล้าเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้ามากำเริบเสิบสานกับเขาที่เขตเมืองตะวันออก สงสัยเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่


เสวี่ยหลิงหลงที่อยู่บนเวทีเหมือนจะถูกทำให้ตกใจเช่นกัน การร้องระบำหยุดลงแล้ว เสียงดนตรีบรรเลงก็หยุดแล้วเช่นกัน


เหมียวอี้ยืนขึ้นและหันไปมอง เขาเบิกตากว้างทันที รู้อยู่แล้วว่าถ้าข่าวแพร่ออกไปจะมีคนบางคนมาหาเรื่อง นึกไม่ถึงว่าจะมาในเวลาแบบนี้


ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน เซี่ยโห้วหลงเฉิงมาแล้ว เดินวางก้ามมาจากบนสะพาน ทำหน้าแสยะยิ้ม เรียกได้ว่ากำเริบเสิบสาน ข้างหลังมีคนติดตามสี่คน


ไม่ต้องบอกเลย คนที่กล้าก่อเรื่องแบบนี้ นอกจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่มีใครแล้ว


คนในงานเงียบทันที คนที่พอจะได้ยินข่าวมาบ้างต่างก็รู้ว่ามีเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีคนหนุนหลัง ทุกคนไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว มีแค่ผู้บัญชาการโค่วเหวินหลานที่กล้ามีเรื่องด้วย


คนกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวอะไร ทหารเล็กๆ ที่นั่งอยู่ข้างหลังย่อมไม่กล้าหาเรื่องใส่ตัวอยู่แล้ว พากันหลีกทางให้


“เอ๋!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เดินเข้ามาในศาลากลางน้ำ พอเงยหน้ามองหลังคาก็หัวเราะทันที “ข้าก็นึกว่าพวกเจ้ามีเรื่องอะไร? ถึงแม้จะเป็นอาณาเขตของเจ้าตุ้งติ้ง พอพวกเจ้าดูการร่ายรำแล้วไม่บันเทิงใจ แต่ก็ไม่ควรทำลายหลังคาของคนอื่นสิ ช่างพาลเกเรเสียจริง แบบนี้ไม่ค่อยเข้าท่าแล้วมั้ง!”


สวีถังหรานจึงกล่าวว่า “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว ท่านรู้อยู่แก่ใจแล้วทำไมต้องถาม ท่านเป็นคนพังหลังคาชัดๆ”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงเหล่ตามอง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “สุราสามารถดื่มซี้ซั้วได้ แต่คำพูดไม่อาจพูดซี้ซั้วได้ เจ้าเห็นกับตาเหรอว่าข้าทำพัง? ขอเพียงเจ้าหาพยานได้ ข้าก็จะกินศาลาพังๆ นี้ให้ดูทันที!”


“…” สวีถังหรานพูดไม่ออก เพราะไม่มีใครเห็นจริงๆ เมื่อครู่นี้ทุกคนกำลังเคลิบเคลิ้มเหม่อลอยกับบทเพลง ใครจะมีอารมณ์ไปสนใจ บางทีคนอื่นในสวนบูรพาอาจจะเห็น แต่ใครจะกล้ายืนขึ้นเป็นพยานให้ล่ะ? ตอนหลังต้องโดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงเล่นงานถึงตายแน่


อีกฝั่งหนึ่งมีเสียงของปู้เหลียนจงดังขึ้น  “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว นี่ท่านกำลังจงใจมาป่วน”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงหัวเราะหึหึ แล้วบอกว่า “ข้าได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใหญ่ของที่นี่ เลยตั้งใจมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นอะไรไปล่ะ? หรือว่าข้ามาเดินเล่นที่นี่เฉยๆ ไม่ได้? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ครั้งหน้าถ้าคนของเขตเมืองตะวันออกถ่อไปที่เขตเมืองตะวันตกของข้า ข้าก็หักขาพวกเจ้าได้เลยใช่มั้ย?”


“เด็กๆ มาจับเจ้าสองคนที่มันใส่ร้ายผู้บัญชาการคนนี้ไปสั่งสอนหน่อยซิ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงโบกมือสั่ง


สี่คนที่อยู่ข้างหลังพุ่งเข้ามาใส่สวีถังหรานกับปู้เหลียนจงทันที


พอตรงนี้เคลื่อนไหว พวกทหารเลวของเขตเมืองตะวันออกก็กรูกันเข้ามาทันที มาขวางสี่คนนั้นไว้พร้อมเตือนว่า “ใครบังอาจมากำเริบเสิบสาน!”


…………………………



บทที่ 965 ช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม

โดย

Ink Stone_Fantasy

ล้อเล่นอะไรกัน ถ้าปล่อยให้คนของเขตเมืองตะวันตกตีคนของเขตเมืองตะวันออกที่เขตเมืองตะวันออก แบบนั้นก็แย่แล้ว ต่อให้เป็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ทำไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวได้โดนโค่วเหวินหลานด่าตาย จะเสียหน้าแบบนี้ไม่ได้


ขณะเดียวกัน มีบางคนรีบส่งข่าวไปบอกโค่วเหวินหลานแล้ว


ลูกน้องสี่คนของเซี่ยโห้วหลงเฉิงย่อมสู้ไม่ไหว เพียงตะโกนด่าทอใส่กันเท่านั้น


เซี่ยโห้วหลงเฉิงก้าวขึ้นมาใช้สองมือดันลูกน้องออกไป แล้วตะโกนว่า “ทำไม? อยากจะลงมือซ้อมข้ารึไง? ไอ้คนนั้นที่มันหลบอยู่ข้างหลัง โผล่หัวออกมาสิวะ!” ขณะที่พูดเขาก็ชี้ไปทางเหมียวอี้


การหาเรื่องในวันนี้พุ่งเป้ามาที่เหมียวอี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคนในตระกูลเขาส่งข่าวมาถามเรื่องที่โค่วเหวินหลานได้หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำไป เขาก็คงไม่ทันสังเกตว่าเหมียวอี้กลายเป็นคนของเขตเมืองตะวันออกไปแล้ว หลังจากรู้เรื่องก็โมโหจนปอดแทบระเบิด


เพียงแต่เวลาเจ้าบ้านี่โมโหขึ้นมา ก็จะไม่ค่อยสนใจผลที่ตามมาสักเท่าไร วิ่งมาที่เขตเมืองตะวันออกโดยตรงเลย


เหมียวอี้ย่อมรู้ว่าเขาพุ่งเป้ามาที่ตน จึงไม่ได้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าอย่าง ‘ทันเวลา’ หดหัวอยู่ข้างหลังกลุ่มคน จะได้ไม่โดนเล่นสกปรกใส่


ขณะนี้เอง บนฟ้าก็มีเงาคนคนหนึ่งแวบเข้ามา โค่วเหวินหลานนำรองผู้บัญชาการสองคนมาถึงแล้ว มาเหยียบลงนอกศาลากลางน้ำ แล้วเดินก้าวยาวเข้ามาตวาดว่า “เซี่ยโห้วหลงเฉิง เจ้าบังอาจมาก่อเรื่องที่อาณาเขตของข้าเหรอ!” กลุ่มคนหลีกทางให้ เดินมาถึงตัวเซี่ยโห้วหลงเฉิงและชี้หน้าด่าแล้ว


เซี่ยโห้วหลงเฉิงหัวเราะหึหึ แล้วถามว่า “เจ้าตุ้งติ้ง จะพูดจาซี้ซั้วไม่ได้นะ ลูกตาข้างไหนของเจ้าที่เห็นข้าก่อเรื่อง?”


โค่วเหวินหลานเดือดดาลทันที “ไอ้หมีควายเซี่ยโห้ว ข้าเห็นกับตาตัวเอง!”


“เจ้าตุ้งติ้ง เจ้าด่าใครว่าหมีควาย?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงหน้าบึ้ง


โค่วเหวินหลานใช้นิ้วจิ้มหน้าอกเขา “ข้าก็ด่าเจ้านั่นแหละ ไอ้หมีควาย!”


“ยังกล้าเอานิ้วมาจิ้มข้าอีกเหรอ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงประสาทเสียทันที ง้างหมัดอยากจะชก อยากจะทำให้ใบหน้าน่ารังเกียจของโค่วเหวินหลานพังเละ


แต่ถูกลูกน้องทั้งสี่คนดึงมือไว้ พยายามควบคุมเขาไว้ หนึ่งในนั้นถ่ายทอดเสียงเตือนว่า “ผู้บัญชาการ พวกเขามีคนเยอะกว่า ถ้าสู้กันขึ้นมาพวกเราจะเสียเปรียบ! มิหนำซ้ำที่นี่ยังไม่ใช้อาณาเขตของพวกเราด้วย เสียเปรียบแล้วยังไม่มีที่ให้ทวงความยุติธรรมอีก เขากำลังใช้วิธียั่วยุ เขากำลังเห็นท่านเป็นคนโง่ กำลังจงใจยั่วโมโหท่าน!”


ที่จริงคนที่กำลังพูดอาจจะไม่ได้กำลังทำให้เขาใจเย็นลงก็ได้


สมกับเป็นคนที่คุ้นเคยกัน พอได้ยินคำนี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ใจเย็นลงจริงๆ ด้วย เขามองซ้ายมองขวา พบว่าฝ่ายตัวเองมีแค่ห้าคน แต่อีกฝ่ายกลับมีเกือบร้อยคน ถ้าสู้กันขึ้นมาตนจะต้องเสียหน้าแน่นอน จึงทำเสียงฮึดฮัดแล้ววางหมัดลง


โค่วเหวินหลานกลับไม่ปล่อยเขาไป ใช้นิ้วจิ้มที่หน้าอกเขาซ้ำๆ “ไอ้หมีควายหน้าเหม็น ยอมแพ้แล้วเหรอ? เจ้าลองลงมือให้ข้าดูสักครั้งสิ ทำหลบๆ ซ่อนๆ ลับหลังจะถือว่าเก่งอะไรล่ะ? ดูร่างใหญ่กำยำ แต่กลับเป็นขี้แพ้ที่กล้าแค่ขว้างหินจากข้างหลัง มันตัวอะไรกันแน่!”


“อุ้ว่ะฮ่าๆ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงโมโหจนหัวเราะเสียงดัง ควงหมัดอยากจะชกอีกที


ปรากฏว่าโดนลูกน้องสี่คนดึงไว้อีกครั้ง “นายท่าน เมื่อตกที่นั่งเสียเปรียบ บุรุษอกสามศอกย่อมยอมลดราวาศอกได้!”


ลูกน้องทั้งสี่แอบถ่ายทอดเสียงเกลี้ยกล่อมไม่หยุด เหมียวอี้กลับพูดไม่ออกนิดหน่อย ถ้าไม่ได้เข้ามาอยู่วงในก็คงดูไม่ออก ทหารสวรรค์พวกนี้ดูเหมือนปรองดองกัน แต่หลังจากเขาได้เข้ามาอยู่ในกลุ่ม ก็พบว่าไม่ได้ต่างจากพิภพเล็กสักเท่าไร


เซี่ยโห้วหลงเฉิงส่ายหัวเหมือนสิงโตทันที สะบัดลูกน้องสี่คนนั้นออก แล้วหันกลับมาฝ่าวงล้อม ประชิดเข้าไปตรงหน้าเหมียวอี้โดยตรง เขาทำเหมือนโค่วเหวินหลาน ใช้นิ้วจิ้มหน้าอกเหมียวอี้ไม่หยุด “ไอ้เด็กน้อย เจ้าเก่งนักนะ บังอาจทรยศข้า กินบนเรือนขี้บนหลังคา!”


เหมียวอี้ก้าวถอยหลัง หลีกเลี่ยงไม่ให้โดนจิ้มเป็นครั้งที่สาม ถามเหมือนแปลกใจว่า “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว ข้าไม่เคยเอาของอะไรมาจากท่านเลย และไม่ใช่ลูกน้องของท่านด้วย จะกลายเป็นทรยศท่านได้อย่างไร?”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงทำสีหน้าไม่ถูก ที่อีกฝ่ายพูดเหมือนจะมีเหตุผล อีกฝ่ายไม่เคยเอาอะไรจากเขาจริงๆ และไม่ใช่ลูกน้องเขาด้วย กลับเป็นเขาที่ตักตวงของมาจากอีกฝ่ายมากมาย แต่ที่บอกว่าทรยศ เขาไม่ได้หมายความอย่างนี้ เขาหมายถึงเดิมทีเหมียวอี้เป็นคนในอาณาเขตเขา แต่กลับนำหุ้นจากร้านขายของชำในอาณาเขตเขามาให้โค่วเหวินหลาน ไม่ยอมมอบให้เขา ทั้งยังมาขอพึ่งพาเป็นลูกน้องของโค่วเหวินหลานอีก แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน


หารู้ไม่ว่าถ้าพูดถึงความคุ้นเคยสนิทสนม เหมียวอี้ต้องสนิทสนมกับเขามากกว่าแน่นอน เหมียวอี้ก็อยากจะมอบหุ้นสองส่วนนั้นให้เขาเพื่อแลกความสงบสุขเหมือนกัน แต่เจ้าบ้านี่เชื่อถือไม่ได้เลย เมื่อเขารับของของไปแล้ว ก็อาจจะไม่จัดการธุระให้ก็ได้ ไม่แน่ว่าถ้าหวงฝู่จวินโหรวยุยงแค่คำเดียว เจ้าบ้านี่ก็อาจจะมาจัดการโดยไม่มีเหตุผลอะไรเลยก็ได้ เจ้าบ้านี่ไม่พูดจากันด้วยเหตุผลเลย


โค่วเหวินหลานได้ยินแล้วขำทันที พอจะเดาสาเหตุที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงมาก่อเรื่องที่นี่ได้แล้ว เขาจึงเดินเข้ามาพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เขาพูดถูกนะ เขาไม่เคยเอาของของเจ้าไป และไม่ได้เป็นลูกน้องของเจ้าด้วย ทำไมกลายเป็นทรยศเจ้า กลายเป็นกินบนเรือนขี้บนหลังคาแล้วล่ะ?”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงย่อมรู้ว่าตัวเองเสียเปรียบเรื่องเหตุผล เรียกได้ว่าแยกเขี้ยวยิงฟัน ชี้เหมียวอี้พลางตวาดอย่างเดือดดาล “ไอ้เด็กนี่ ที่เจ้าซ้อมข้า ข้ายังไม่คิดบัญชีเลยนะ?”


เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ทุกคนรวมทั้งโค่วเหวินหลานต่างมองไปที่เหมียวอี้อย่างประหลาดใจ รู้สึกเหลือเชื่อที่เหมียวอี้กล้าซ้อมเขา เหมียวอี้จึงทำท่าไม่รู้ไม่ชี้เหมือนคนบริสุทธิ์ไร้ความผิดทันที


โค่วเหวินหลานพลันหัวเราะเยาะ “ไอ้หมีควาย ต่อให้อยากจะหาเรื่อง แต่ก็ไม่ต้องหาข้ออ้างน่าเกลียดขนาดนี้ก็ได้มั้ง?”


“ดี ไอ้เด็กนี่กล้านักเหรอ รอข้าก่อนเถอะ เดี๋ยวได้ถึงเวลาที่เจ้าร้องไห้แน่!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ชี้เหมียวอี้ยิ้มเจ้าเล่ห์ ส่วนสาเหตุที่ยอมให้เหมียวอี้ซ้อม เขาก็พูดออกมาไม่ได้เหมือนกัน ทำได้เพียงฝากเอาไว้ก่อน โบกมือตะโกนว่า “พวกเรากลับ!”


“อย่ารีบไปสิ! ในเมื่อมาแล้วก็ดื่มกันสักจอกสิ! ทำไม กลัวข้าเหรอ?” โค่วเหวินหลานสะบัดผ้าเช็ดหน้าออกมาป้องปากหัวเราะ


“ข้าเนี่ยนะกลัวคนตุ้งติ้งแบบเจ้า? หรือว่าเจ้ากล้าวางยาพิษข้าล่ะ?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถ่มน้ำลาย แล้วหันไปชี้ท่านแม่สวีกับเสวี่ยหลิงหลงที่อยู่ข้างล่างเวที “วันนี้เขตเมืองตะวันตกสั่งห้ามออกนอกบ้านยามวิกาล ทุกร้านห้ามออกมาข้างนอก พวกเจ้ายังไม่ใสหัวกลับไปอีก?” ชัดเจนว่าเขาไม่อยากให้คนทางนี้มีความสุข


ท่านแม่สวีกับเสวี่ยหลิงหลงพูดไม่ออกมาก เมื่อเจอคนไร้เหตุผลแบบนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่วันแรกที่ได้รู้จักคนคนนี้ จึงทำได้เพียงมองไปที่โค่วเหวินหลานด้วยแววตาขอร้อง โชคดีที่โค่วเหวินหลานไม่ได้ทำให้พวกนางลำบากใจ การไม่แสดงท่าทีอะไรก็คือคำตอบ ท่านแม่สวีรีบพาคณะนางรำของหอกลิ่นสวรรค์หนีออกไปทันที


และเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็โดนโค่วเหวินหลานล่อลวงออกไปอย่างนั้นแล้ว เพียงแต่ก่อนจะออกไป โค่วเหวินหลานหันกลับมาถ่ายทอดเสียงสั่ง


รอจนกระทั่งพวกเขาหายไปแล้ว สวีถังหรานก็ดึงตัวเหมียวอี้ไปอีกด้าน แล้วกระซิบบอกว่า “นายท่านผู้บัญชาการออกคำสั่ง บอกว่าเขตเมืองตะวันออกเสียหน้าแล้ว ต้องกู้หน้ากลับมา ให้พวกเราสู้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน สั่งให้ข้ากับเจ้าไปพังจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก”


ไม่ใช่มั้ง? เหมียวอี้ตกใจมาก!


สวีถังหรานไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้น ให้ทุกคนกินดื่มอยู่ที่นี่ต่อ แล้วตัวเองก็ดึงเหมียวอี้วิ่งออกไป


พอทั้งสองออกจากสวนบูรพา ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าปลอมตัว ถือโอกาสพกหินชมทัศนียภาพก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งไปด้วย อาศัยความมืดคลำทางไปถึงด้านนอกจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก


พวกเขาหลบใต้ฐานกำแพง ทั้งสองเกี่ยงกันว่าใครจะเป็นคนโยนก้อนหิน เหมียวอี้จำใจมาก กล่าวถ่อมตัวว่า “น้องชายเพิ่งมาใหม่ ภารกิจสำคัญแบบนี้ หากทำพลาดเกรงว่าจะละอายใจต่อนายท่านผู้บัญชาการ ดีไม่ดีอาจจะทำให้พี่สวีลำบากไปด้วย พี่สวีลงมือแล้วกัน!”


สุดท้ายสวีถังหรานก็บอกอีกว่า “นายท่านผู้บัญชาการสั่งไว้ ว่าให้เจ้าลงมือด้วยตัวเอง ถือเป็นใบมอบตัวเพื่อเจ้าเข้าเขตเมืองตะวันออก!”


ผีที่ไหนจะไปรู้ว่าใช่คำพูดของโค่วเหวินหลานหรือว่า เหมียวอี้แอบด่าแม่ในใจ แต่จะไม่ทำตามก็ไม่ได้ ภายใต้ความจนใจ เขาร่ายอิทธิฤทธิ์ยกโยนหินก้อนใหญ่ออกไปหนึ่งก้อน จากนั้นทั้งสองก็รีบหนีไปอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงโครมครามแว่วๆ อยู่ข้างหลัง ทั้งยังมีเสียงตกใจป่นด่าทอจากในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกด้วย


ทั้งสองรีบหนีกลับมาที่สวนบูรพา ถอดเครื่องปลอมตัวออก แล้วกลับเข้ามานั่งกินดื่มต่อไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้


ผ่านไปไม่นาน ก็ได้ยินเสียงโมโหเดือดดาลปานฟ้าผ่าของเซี่ยโห้วหลงเฉิงดังขึ้น เจ้าตัวถือดาบใหญ่นำคนพุ่งเข้ามาในศาลากลางน้ำที่ไร้หลังคา ควงดาบตะคอกถามว่า “ใครมันไปพังจวนผู้บัญชาการของข้า?”


เมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนี้ ทุกคนในงานก็พากันงง มีคนไม่น้อยแอบมองไปทางสวีถังหรานกับเหมียวอี้เงียบๆ เพราะทั้งสองออกจากงานไปพักหนึ่ง พวกเขามีคำตอบในใจแล้ว


เหมียวอี้มองโค่วเหวินหลานที่วิ่งตามเข้ามา ด่าในใจว่าไอ้ตุ้งติ้งคนนี้หน้าเนื้อใจเสือใช้ได้เลย ถ่วงเวลาเซี่ยโห้วหลงเฉิงอยู่ทางนี้ แต่ลับหลังกลับสั่งคนให้ไปพังรังของเซี่ยโห้วหลงเฉิง


สวีถังหรานยืนขึ้นตอบทันที “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้วกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร พวกเรากินดื่มอยู่ที่นี่ตลอด ไม่ได้ออกไปไหนเลย จะไปพังจวนผู้บัญชาการของท่านได้อย่างไรขอรับ? ถ้าไม่เชื่อก็ถามทุกคนในงานดูสิ”


ทุกคนตอบเสียงดังเป็นระลอกทันที “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้วเข้าใจพวกเราผิดแล้ว พวกเราไม่ได้ออกไปไหนเลย”


โค่วเหวินหลานจับแขนของเซี่ยโห้วหลงเฉิง แล้วหรี่ตายิ้มพร้อมบอกว่า “ข้าว่าเจ้าเข้าใจผิดแล้วล่ะ  ลูกน้องข้าไม่เอาหินไปทุ่มใส่ศาลากลางน้ำหรอก มีแต่พวกเลวทราม ต่ำช้า หน้าด้าน โง่เง่าเท่านั้นถึงจะทำเรื่องแบบนี้ได้!”


“เจ้า… โค่วเหวินหลาน เจ้าคอยดูเถอะ!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงแทบจะพ่นน้ำลายใส่หน้าเขา พอโบกดาบหนึ่งที เสาคานที่หักไปครึ่งหนึ่งก็กระเด็นออกไป แล้วโบกดาบไปทางพวกลูกน้องพร้อมตะโกนสั่ง “พวกเรา กลับ!” เรียกได้ว่านำลูกน้องตัวเองออกไปจากกระฟัดกระเฟียด


ภาพที่โค่วเหวินหลานโบกผ้าเช็ดหน้าพลางกล่าวส่งแขก เหมียวอี้เห็นแล้วขนลุกทั้งตัว ให้ความรู้สึกเหมือนเวลาท่านแม่สวีกล่าวส่งแขก คนอื่นๆ เหมือนจะเห็นจนกลายเป็นเรื่องปกติแล้ว


ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว โค่วเหวินหลานก็สีหน้ากลับมานิ่งเฉยเป็นปกติ ตะคอกทุกคนว่า “ยังจะมัวกินดื่มอะไรกันอีก เจ้าหมีควายมันเป็นคนต่ำช้าเจ้าคิดเจ้าแค้น ยังไม่รีบไปบอกให้คนเตรียมป้องกันอีก!” แล้วก็หันมาบอกรองผู้บัญชาการที่อยู่ข้างกาย “ไปเชิญผู้การสองจากตำหนักคุ้มเมืองมาสักเที่ยว!”


ทุกคนแยกย้ายทันที เหมียวอี้ไปคิดเงิน ปรากฏว่าผู้จัดการสวนบูรพาไม่ยอมรับเงิน บอกว่าเป็นการแสดงความยินดีที่เขาได้รับตำแหน่ง แล้วขอฝากเนื้อฝากตัวกับเขาด้วย


เหมียวอี้ยิ้มตอบ นับว่าการกินดื่มและการชมดนตรีในคืนนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายเลยสักนิด


พอกลับจวนผู้บัญชาการ เพิ่งจะเข้าประตูใหญ่มา เขาก็โดนทหารคนหนึ่งดึงตัวไปเจอกับพวกสวีถังหรานและทหารเลวอีกห้าคนเพื่อประชุม


เหมียวอี้ สวีถังหราน ปู้เหลียนจง สวี่เต๋อ ข่งเฟยฝาน ส้าวเติงก่วง หลัวว่านกวง ทหารเลวทั้งเจ็ดนั่งล้อมกันอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง เหมียวอี้ที่เพิ่งเข้ามานั่งถามอย่างแปลกใจ “มีเรื่องอะไรเหรอ?”


ปู้เหลียนจงบอกว่า “นายท่านผู้บัญชาการบอกมา ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงต้องกลับมาล้างแค้นแน่นอน คืนนี้อย่าคิดว่าจะได้เป็นอิสระเลย เฝ้ารอแต่โดยดีเถอะ”


หลัวว่านกวงถอนหายใจอีก “ตอนนี้เป็นช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม รอดูว่านายท่านกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงใครจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ ถ้าให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็น ก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ตลาดสวรรค์ไม่มีที่ให้นายท่านยืนแน่นอน เซี่ยโห้วหลงเฉิงต้องบีบบังคับให้นายท่านออกไปแน่ แบบนั้นพวกเราก็แย่เหมือนกัน ถึงตอนนั้นถ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่เล่นงานพวกเราถึงตายก็แปลกแล้ว”


“มันเรื่องอะไรกัน?” เหมียวอี้ตกใจมาก อย่าขู่ให้ข้าตกใจสิ เซี่ยโห้วหลงเฉิงกำลังจะเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ล้อเล่นอะไรของเจ้า? รีบถามทันทีว่า “ช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มอะไร?”


…………………………



บทที่ 966 จับกุมคาหลักฐาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เจ้าไม่รู้เหรอ?” ปู้เหลียนจงแปลกใจ แต่นึกขึ้นได้ว่าเจ้านี่เพิ่งมาใหม่ ก็เป็นไปได้ที่จะไม่รู้ ถึงได้ชี้ไปทางตำหนักคุ้มเมืองพร้อมอธิบายว่า “เป็นเพราะฝีมือของปีศาจจิ้งจอกพันหน้า สัตว์วิญญาณของปี้เยว่ฮูหยินไงล่ะ ปีศาจจิ้งจอกตนนี้ให้มีชีวิตอยู่ดีๆ ไม่ชอบ เอาแต่คิดอยากจะหนี ครั้งนี้หนีไปอีกแล้ว!”


ปีศาจจิ้งจอกพันหน้า? เหมียวอี้ตะลึงงัน ถ้าไม่พูดถึงปีศาจจิ้งจอก เขาก็แทบจะลืมไปแล้ว นางหนีไปอีกแล้วเหรอ? เขาถามอย่างแปลกใจอยู่บ้างว่า “ใครจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ เกี่ยวอะไรกับปีศาจจิ้งจอก อย่าบอกนะว่าใครหาปีศาจจิ้งจอกเจอ คนนั้นจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่?” ร้านขายของชำซื่อตรงได้มาอย่างไร เขารู้ดีที่สุด ก็เป็นเพราะหาปีศาจจิ้งจอกตั้วนั้นพบนั่นแหละ


สวีถังหรานส่ายหน้า “นายท่านมีคนหนุนหลัง เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ เป็นลูกน้องของปี้เยว่ฮูหยินมานานขนาดนี้ เดิมทีควรได้เลื่อนขั้นตั้งนานแล้ว แต่มันแย่ตรงที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็มีคนหนุนหลังเหมือนกัน ทั้งสองต่างก็อยากเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์เพื่อให้อีกคนอับอาย ส่วนจะให้เลื่อนขั้นใคร ปี้เยว่ฮูหยินก็ลำบากใจมาก ถ้าเลื่อนขั้นคนนี้จะทำให้คนนั้นไม่พอใจ ถ้าเลื่อนขั้นคนนั้นก็จะทำให้คนนี้ไม่พอใจ จึงถ่วงเวลามาโดยตลอด ไม่อยากล่วงเกินทั้งสองฝ่าย แต่ครั้งนี้ปีศาจจิ้งจอกหนีไปอีกแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินย่อมสั่งให้คนไปค้นหา ผู้บัญชาการใหญ่ก็เลยระดมกำลังพลกองหนึ่งไปค้นหา แต่ใครจะคิดว่าตอนค้นหาจะไปเจอกับนักพรตผี ‘เฮยหวัง’ นักพรตผีที่ใจกล้าคับฟ้าตนนี้บุ่มบ่ามแตะต้องทหารสวรรค์ หลังจากสังหารคนไปหลายสิบคนก็หลบหนี ทำเอาทางตำหนักสวรรค์ตำหนิยกใหญ่ ปี้เยว่ฮูหยินย่อมมาระบายความโกรธกับผู้บัญชาการใหญ่ ที่จริงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผู้บัญชาการใหญ่หรอก แต่มีข่าวมาว่าปี้เยว่ฮูหยินอยากจะฉวยโอกาสทำให้ผู้บัญชาการใหญ่ออกจากตำแหน่ง อยากจะอาศัยภูมิหลังของนายท่านกับผู้บัญชาการเซี่ยโห้วมาเพื่อกันไม่ให้ตำหนักสวรรค์สอบถาม เมื่อข่าวหลุดออกมา นายท่านกับผู้บัญชาการเซี่ยโห้วขอเสนอตัวไปจับนักพรตผีนั่น เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ปี้เยว่ฮูหยินถึงลังเลไม่ยอมตัดสินใจมาตลอด!”


หลัวว่านกวงพยักหน้าเช่นกัน “ตอนนี้นายท่านกับผู้บัญชาการเซี่ยโห้วต่างก็กำลังถูหมัดถูมือ เพียงรอให้ปี้เยว่ฮูหยินลั่นวาจา ถ้าใครจัดการนักพรตผีตนนั้นได้ คาดว่าปี้เยว่ฮูหยินคงไม่มีทางถ่วงเวลาเรื่องตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ต่อไปได้อีก ขอถามหน่อย ว่าถ้าปล่อยให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงทำเรื่องนี้สำเร็จ นายท่านจะไม่ต้องเป็นลูกน้องคอยเงยหน้าฟังคำสั่งเซี่ยโห้วหลงเฉิงหรอกเหรอ ถึงตอนนั้นถ้าไม่ถูกกลั่นแกล้งจนตายก็ต้องทรมานจากความอัปยศ นายท่านต้องออกจากที่นี่เพื่อหลีกเลี่ยงความอัปยศแน่นอน พวกเราที่เหลืออยู่ก็แย่แล้ว!”


ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! เหมียวอี้รู้สึกหนาวในใจ แอบร้องว่าทำไมตัวเองซวยขนาดนี้ สละหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำเพื่อปกป้องตัวเอง แต่ใครจะคิดว่าสุดท้ายอาจจะต้องตกอยู่ในมือเซี่ยโห้วหลงเฉิง


แต่พอลองคิดอีกมุม ก็อาจจะเป็นการคิดมากไปเอง เรื่องนี้ยังไม่ได้ถูกตัดสินใจเสียหน่อย แล้วอีกอย่าง อาศัยคนปัญญาอ่อนอย่างไอ้หมีควายเซี่ยโห้ว ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโค่วเหวินหลานก็ได้ มีความเป็นไปได้มากกว่าที่โค่วเหวินหลานจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่


ทางนี้เพิ่งจะสงบใจ ด้านนอกก็มีเสียงคนวิ่งมากระซิบข้างหูสวี่เต๋อ


สวี่เต๋อหัวเราะแห้งๆ ตบโต๊ะยืนขึ้น แล้วโบกมือบอกว่า “โจรมาแล้ว ไปเตรียมตัว!”


โจร? โจรอะไร? เหมียวอี้ยังเหม่องง แต่อีกหกคนก็ถลันตัวออกไปแล้ว แต่เขาก็หัวไว ที่ตลาดสวรรค์ยังจะมีใครกล้ามาปล้นที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกอีก นอกจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่มีคนอื่นแล้ว เรียกได้ว่าทั้งโมโหทั้งอยากขำ พบว่าเจ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงปัญญาอ่อนจริงๆ อีกฝ่ายกำลังเปิดกระเป๋ารอให้เขามาติดกับดักเองแท้ๆ


เขาเองก็อยากจะเห็นโค่วเหวินหลานจัดการเซี่ยโห้วหลงเฉิงเหมือนกัน จึงรีบวิ่งออกไปดูเอาสนุก พอออกจากประตูมา สวีถังหรานที่อยู่บนหลังคาฝั่งตรงข้ามก็ถ่ายทอดเสียงเรียก ให้ขึ้นมารอดูบนหลังคาด้วยกัน


ภายใต้ม่านราตรี ไม่นานก็มีเงาคนลับๆ ล่อๆ ปรากฏขึ้น เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “มาแล้ว!”


สวีถังหรานกดบ่าเขาพร้อมบอกว่า “ไม่รีบหรอก จุดประสงค์ของผู้บัญชาการก็คือให้พวกเขาทำให้สำเร็จก่อน แล้วพวกเราค่อยลงมือ”


ผ่านไปครู่เดียว ก้อนหินใหญ่ห้าหกก้อนก็ถูกโยนออกมา ทุ่มจากฟ้าใส่ตำหนักหลักที่กำลังจุดโคมไฟสว่าง เหมียวอี้และคนอื่นๆ ได้แต่มองดูตำหนักหลักพังยุบลงไป แล้วก็กระเด็นกลับภายใต้การยิงของพลังอิทธิฤทธิ์ วัตถุระเกะระกะปลิวมั่วไปหมด


“ใครกัน!” พวกสวีถังหรานตะโกนถามเสียงเข้มแล้ว คนที่ดักซุ่มอยู่ในร้านค้าด้านนอกกรูกันออกมาในชั่วพริบตาเดียว ดักคนที่คิดจากหนีจากซอยนั้นเอาไว้ พอพุ่งเข้าใส่ก็ตีกันทันที ตีกันจนมีเสียงร้องตกใจ ร้านค้าหลายร้านพังอย่างง่ายดายราวกับเป็นไม้ผุ


เหมียวอี้ที่ยังหมอบอยู่บนหลังคาหันไปมองแวบหนึ่ง เห็นเพียงเงาคนสองคนถลันตัวออกจากตำหนักที่พังถล่ม ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ชายคือโค่วเหวินหลาน ส่วนผู้หญิงก็ทำให้เหมียวอี้หนังตากระตุก เขาเคยเห็นมาก่อน ผู้การสองที่เคยเจอตอนตามหาปีศาจจิ้งจอกพันหน้าที่ดาวไร้ลักษณ์ นางกำลังทำสีหน้าเย็นเยียบ


เหมียวอี้แอบเดาะลิ้นในใจ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนอยู่สวนบูรพาก่อนหน้านี้ โค่วเหวินหลานถึงให้เชิญผู้การสองมาจากตำหนักคุ้มเมือง เพราะจะดึงตัวมาเป็นพยาน นี่คือการวางกับดักตายให้เซี่ยโห้วหลงเฉิง!


คนของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกแทบจะออกมาดักไว้หมด จุดจบก็ไม่ต้องพูดถึง เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้หนังตากระตุกก็คือ อานุภาพการต่อสู้สะเทือนไปทั้งข้างนอกข้างใน


ท่ามกลางเสียงดังโครมคราม ตึกรามบ้านช่องพังทลาย เห็นได้ชัดว่าคนของโค่วเหวินหลานอยากหลอกฝ่ายตรงข้ามให้ตายใจก่อนแล้วค่อยจัดการ คนหลายสิบคนล้อมคนคนเดียว เดี๋ยวล้อมเดี๋ยวปล่อยอยู่อย่างนั้น จงใจจะขยายขอบเขตการต่อสู้ให้ใหญ่ขึ้น ทำเอาบรรดาร้านค้าวุ่นวายเหมือนไก่บินเตลิดหมาวิ่งพล่าน ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่กล้าเข้ามาเกี่ยวพันกับการต่อสู้ของทหารสวรรค์


ความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ ย่อมสะเทือนไปถึงคนของตำหนักคุ้มเมือง คนกลุ่มหนึ่งรีบตามเข้ามา ทหารสวรรค์โดยรอบก็รีบตามมาเป็นกองหนุนเช่นกัน


เมื่อเห็นว่าสะเทือนไปถึงคนอื่นแล้ว กำลังคนของเขตเมืองตะวันออกก็วางมือทันที รีบจบการต่อสู้อย่างเด็ดขาดรวดเร็ว


ใช้เวลาไม่นาน คนหกคนที่โดนโจมตีจนสาหัสก็ถูกลากเข้ามา ถูกถอดเครื่องปลอมตัวออก แล้วโยนไว้ตรงหน้าโค่วเหวินหลานกับผู้การสอง


“เอ! พวกเจ้าเป็นลูกน้องของผู้บัญชาการเซี่ยโห้วเขตเมืองตะวันตกไม่ใช่เหรอ?” ข่งเฟยฝานเจตนาทำท่าตระหนกตกใจ


บนลานกว้าง คนกลุ่มหนึ่งพากันอุทานตาม “เป็นพวกเขาจริงๆ ด้วย!”


“ฟางเทียนเป่า พวกเจ้ามาลอบโจมตีจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกของพวกเราทำไม?” ส้าวเติงก่วงก้าวขึ้นมาเตะทีหนึ่ง


ผู้การสองโบกมือห้าม สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก นั่งอยู่ในบ้านแล้วจู่ๆ โดนหินหลายลูกทุ่มลงมา ไม่ว่าใครก็อารมณ์ไม่ดีทั้งนั้น  เป็นครั้งแรกที่นางเจอเรื่องอันตรายแบบนี้ที่ตลาดสวรรค์ นางถามคนที่ตามมาจากตำหนักคุ้มเมืองด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “พวกนี้เป็นคนของเขตเมืองตะวันตกจริงเหรอ?”


ใช่ว่านางจะไม่รู้โค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีความสัมพันธ์กันอย่างไร จึงไม่ค่อยเชื่อคำพูดของลูกน้องโค่วเหวินหลาน ถามคนของตัวเองจะเหมาะสมกว่า คนที่มาพยักหน้าเงียบๆ ให้นาง


ผู้การสองเอียงศีรษะและใช้สายตาเย็นเยียบมองโค่วเหวินหลานที่ทำสีหน้าเยือกเย็นสุขุม พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงเชิญตนมาวันนี้ สงสัยตนจะถูกใช้ประโยชน์แล้ว


ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นนางต้องตั้งตัวเป็นศัตรูแน่นอน แต่จนใจที่นางรู้จักภูมิหลังของโค่วเหวินหลาน อีกฝ่ายกล้าทำแบบนี้เพราะไม่ได้หวาดกลัวเลย นางเลยทำได้เพียงจัดการอย่างยุติธรรม


ผู้การสองไม่ได้อยู่นาน หลังจากถามจนรู้ชัดแล้วว่าใครเป็นผู้ลอบโจมตีฝ่ายนี้ นางก็กล่าวพร้อมใบหน้านิ่งตึง “พากลับไปรอฟังคำสั่งของฮูหยิน!”


คนของตำหนักคุ้มเมืองพุ่งตัวเข้ามาทันที ลากคนที่อยู่บนพื้นออกไปด้วย


เมื่อเห็นผู้การสองกำลังจะออกไป โค่วเหวินหลานก็กุมหมัดคารวะทันที “เซี่ยโห้วหลงเฉิงสันดานชั่วร้าย มีเจตนาไม่ดี พวกเราจะคุ้มกันส่งผู้การสอง!”


ผู้การสองไฟลุกในใจ กล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “เจ้าตามข้าไปพบฮูหยิน ส่วนคนของเจ้า… ฮันเปียว ส่งคนไปดูพวกเขาไว้ให้ดี อย่าให้พวกเขาออกจากจวนผู้บัญชาการโดยพลการแม้แต่ก้าวเดียว!”


“รับทราบ!” ฮันเปียว หัวหน้าที่ตามมาจากตำหนักคุ้มเมืองกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง พอโบกมือ กำลังพลใต้บังคับบัญชาก็เหาะไปเหยียบลงรอบๆ เฝ้าจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกไว้อย่างแน่นหนา


“ทุกคนรอข้าอยู่ตรงนี้ ข้าไปประเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวกลับมา” โค่วเหวินหลานหันกลับมาสั่ง จากนั้นก็เหาะตามผู้การสองออกไป


“รับทราบ!” เหมียวอี้กุมหมัดน้อมรับคำสั่ง


ณ ตำหนักคุ้มเมือง ในสวนดอกไม้ใต้แสงจันทร์ ปี้เยว่ฮูหยินเกล้าผมสูง รูปร่างอวบอัด ผิวขาวละเอียดอ่อน หน้าตางดงามดุจภาพวาด ริมฝีปากแดงเย้ายวน สวมชุดกระโปรงผ้ามุ้งสีเขียวน้ำทะเล เผยหน้าอกอวบอัดสีขาวดุจหิมะออกมาครึ่งหนึ่ง นางกำลังหรี่ตาครึ่งเดียว เอนกายพิงอยู่บนเก้าอี้กลมขนาดใหญ่ กำลังฟังโค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงปะทะฝีปากกัน


เรื่องนี้เซี่ยโห้วหลงเฉิงดิ้นไม่หลุด ย่อมต้องถูกเรียกมาอยู่แล้ว เพียงแต่เจ้าตัวโมโหจนหน้าแดงคอแห้ง สมองสู้โค่วเหวินหลานไม่ได้ ฝีปากก็ย่อมสู้ไม่ได้เช่นกัน มิหนำซ้ำยังโดนจับกุมพร้อมหลักฐาน ไม่มีทางแก้ตัวได้ ทำได้เพียงดันทุรังเถียงไป “เจ้าส่งคนไปพังจวนผู้บัญชาการของข้าก่อนชัดๆ!”


“ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่าพูดซี้ซั้ว ถ้าเจ้าทำแบบนี้ได้ งั้นข้าก็บอกได้เหมือนกันน่ะสิ ว่าคนที่ทุ่มหินใส่สวนบูรพาตอนแรกคือเจ้า?” โค่วเหวินหลานพูดดูถูก


“ใส่ร้ายกันหน้าด้านๆ!” ต่อให้โดนตีให้ตาย เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่ยอมรับ


ทั้งสองเถียงกันไปเถียงกันมา ปี้เยว่ฮูหยินหลับตาไม่แสดงท่าทีอะไร หลับตาฟังเหมือนกำลังพักผ่อนร่างกาย


ผ่านไปไม่นาน ก็มีลูกน้องนำคำให้การที่ได้มาเพราะโดนทรมานสอบปากคำมาส่ง  คำให้การมาถึงมือปี้เยว่ฮูหยิน พออ่านแล้วดวงตานางก็ฉายแววขุ่นเคืองทันที


ไม่ใช่เพราะลูกน้องของเซี่ยโห้วหลงเฉิงตกกลุมพราง ต่อให้โดนซ้อมจนตายก็ไม่ยอมตกหลุมพราง ทุกคนต่างแบกความรับผิดชอบไว้ที่ตัวเอง พวกเขาช่วยให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงพ้นผิด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเข้าใจสถานการณ์มาก ถ้าสารภาพชื่อเซี่ยโห้วหลงเฉิงออกมา แบบนั้นพวกเขาก็ได้ตายสถานเดียว เซี่ยโห้วหลงเฉิงมีนิสัยเหี้ยมโหด เจ้าคิดเจ้าแค้นไร้เหตุผล ถ้าไม่เล่นงานพวกเขาจนตายก็คงแปลก ถ้าปกป้องเซี่ยโห้วหลงเฉิง โทษของพวกเขาก็ไม่ถึงกับตาย ไม่แน่ว่าในภายหลังเซี่ยโห้วหลงเฉิงอาจจะให้อนาคตที่ดีกับพวกเขาก็ได้


แต่การกระทำแบบนี้นับว่าเป็นอะไรสำหรับปี้เยว่ฮูหยินล่ะ โค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีคนหนุนหลัง ทั้งสองไม่เห็นนางอยู่ในสายตาก็ว่าแย่แล้ว แต่พวกลูกน้องต่ำต้อยก็บังอาจไม่เห็นนางอยู่ในสายตาด้วยเหมือนกัน ชัดเจนว่าต่อให้จับได้พร้อมหลักฐานก็จะไม่ยอมรับ แบบนี้มีอย่างที่ไหนกัน!


แต่สีหน้าโกรธเคืองก็หายไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็เอ่ยถามว่า “พวกเจ้าสองคนสู้กันไปสู้กันมา ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ พวกเจ้าลองบอกว่ามาซิว่าจะยุติเรื่องนี้อย่างไร?”


“ประหารเซี่ยโห้วหลงเฉิง!” โค่วเหวินหลานตอบ


“เหลวไหล! เจ้าน่ะสิต้องโดนประหาร!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงเดือดดาลทันที


“พอแล้ว!” ปี้เยว่ฮูหยินพลันตวาดเสียงเข้ม ลุกขึ้นยืนด้วยแววตาเป็นประกาย แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “คนของเขตเมืองตะวันตกก่อเรื่อง จับตัวได้พร้อมหลักฐาน เซี่ยโห้วหลงเฉิงยากที่จะพ้นผิดไปได้ ลงโทษปรับเงินเดือนเจ้าหนึ่งร้อยปี แล้วชดเชยค่าเสียหายตามสมควร เจ้ายินดีจะรับบทลงโทษนี้มั้ย?”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงกุมหมัดกล่าวว่า “ฮูหยินเองก็รู้ ตระกูลข้าน้อยไม่ได้ให้เงินไว้ใช้จ่าย ไม่เหมือนไอ้ตุ้งติ้งนี่ที่มีนมป้อนตลอด ตำแหน่งข้าน้อยยากจน ไม่มีเงินจ่ายค่าชดเชย!”


โค่วเหวินหลานได้ยินแล้วกุมหมัดแน่น อยากจะเตะเขาให้ตาย


ปี้เยว่ฮูหยินโมโหแล้ว แต่จู่ๆ ผู้การสองก็ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ฮูหยิน ผู้บัญชาการโค่วอาศัยโอกาสแสดงความสามารถ ความเสียหายค่อนข้างหนัก ถ้ามีการชดเชยขึ้นมาก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ”


ปี้เยว่ฮูหยินทั้งโมโหทั้งกลุ้มใจ แต่ก็ทำอะไรสองคนนี้ไม่ได้ ถ้าทำเกินไป อำนาจที่หนุนหลังทั้งสองก็จะกดดันนาง ตอนนั้นคงถึงคราวที่นางต้องลำบากเสียเอง จึงกัดฟันบอกว่า “ลูกน้องเจ้าก่อความวุ่นวาย เจ้าเป็นผู้บังคับบัญชา หนีไม่พ้นความรับผิดชอบนี้หรอก ปรับค่าเสียหายเจ้าครึ่งเดียว ห้ามแย้งอะไรอีก ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง เจ้าก็หาทางไปติดต่อเจรจากับพ่อค้าเอาเอง ถ้าจัดการเรื่องนี้ให้สงบไม่ได้ ข้าจะมาถามหาความรับผิดชอบจากเจ้า!”


โค่วเหวินหลานกุมหมัดคารวะทันที “ข้าน้อยจะไปรวมรวบข้อมูลความเสียหายทั้งหมดของร้านค้าเดี๋ยวนี้”


ผู้การสองรีบถ่ายทอดเสียงเตือนปี้เยว่ฮูหยิน “ข้าสั่งให้คนไปจับตาดูคนของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกไว้แล้ว กลัวว่าพวกเขาจะเล่นไม่ซื่ออะไรอีก!”


ปี้เยว่ฮูหยินเลิกคิ้ว เหล่ตามองไปที่โค่วเหวินหลาน คิดในใจว่า ถ้าให้เจ้าไปดูก็แย่น่ะสิ เจ้าอยากจะเล่นงานเซี่ยโห้วหลงเฉิงให้ถึงตาย แล้วตอนหลังจะให้ข้าไปอธิบายกับตระกูลเซี่ยโห้วอย่างไรล่ะ? นางตอบอย่างเย็นชาว่า “ไม่ต้องแล้ว! ตำหนักคุ้มเมืองส่งคนไปรวบรวมข้อมูลแล้ว”


เซี่ยโห้วหลงเฉิงโล่งอก!


หารู้ไม่ว่าในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกตอนนี้ รองผู้บัญชาการสองคนกับทหารเลวเจ็ดคนกำลังรวมตัวอยู่ด้วยกัน ลูกน้องกลุ่มหนึ่งกำลังพากันขว้างทรัพย์สินที่ฉวยโอกาสทำพังตอนเหตุการณ์วุ่นวายก่อนหน้านี้ ของวางซ้อนกันเป็นกองใหญ่ เหมียวอี้เห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน เจ้าพวกนี้เลวใช้ได้เลย นี่ต้องการจะให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงจ่ายค่าเสียหายจนหมดตัวเลยใช่มั้ย?


…………………………



บทที่ 967 ด่ากันกลางตลาด

โดย

Ink Stone_Fantasy

ยังโชคดี ที่ตั้งของจวนผู้บัญชาการค่อนข้างเงียบสงบ ถ้าอยู่ในบริเวณที่เจริญคึกคักที่สุดรอบตำหนักคุ้มเมือง อย่างเช่นพวกร้านสมาคมวีรชน คาดว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะต้องชดใช้จนล้มละลายหมดตัวแน่นอน เกรงว่าใช้ทั้งชีวิตก็ชดเชยไม่หมด


วันนี้เหมียวอี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว แบบนี้ใช่ทหารสวรรค์ที่ไหนกัน บอกว่าเป็นโจรสวรรค์ก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป


ของที่เก็บได้จากร้านค้าที่โดนฉวยโอกาสถล่มพังตอนจับโจรก่อนหน้านี้ พวกเขาชำระเงินชิ้นแล้วชิ้นเล่า พร้อมทั้งมีคนถือพู่กันตรวจสอบทีละชิ้น


“ห้ามเก็บไว้ส่วนตัวนะ ส่งออกมาให้หมด เดี๋ยวถ้าไปเทียบบัญชีกับตำหนักคุ้มเมืองแล้วไม่ตรงกัน ระวังพวกเจ้าจะโดนถลกหนัง” สวีถังหรานคอยตะโกนเตือนอยู่ข้างๆ ไม่หยุด


รองผู้บัญชาการสองคนกับทหารเลวเจ็ดคนกำลังมองดูของที่ค่อยๆ กองสูงขึ้น บางคนก็อมยิ้ม บางคนก็ยิ้มอย่างเริงร่า บางคนก็แอบเล่นหูเล่นตาใส่กัน ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ จะรวยแล้ว!


หลังจากจ่ายเงินให้ของทั้งหมดแล้ว สวีถังหรานก็กุมหมัดคารวะพร้อมบอกรองผู้บัญชาการทั้งสองว่า “รองผู้บัญชาการหง รองผู้บัญชาการซุน จะจัดการอย่างไรกับของที่ ‘เก็บ’ ได้พวกนี้?”


รองผู้บัญชาการทั้งสองสบตากันแวบหนึ่งแล้วพยักหน้าเบาๆ รองผู้บัญชาการหงกล่าวเสียงเรียบว่า “ผู้บัญชาการไม่รู้เรื่องนี้ พวกเราตัดสินใจเอากลับไปเองแล้วกัน”


แค่พูดประโยคเดียวก็ช่วยให้โค่วเหวินหลานบริสุทธิ์แล้ว รองผู้บัญชาการซุนที่อยู่ข้างๆ ยื่นมือไปหยิบบันทึกรายการสินค้าที่เก็บได้ มาสุมหัวดูด้วยกันกับรองผู้บัญชาการหง แอบถ่ายทอดเสียงกระซิบสื่อสารกัน แล้วหยิบพู่กันขึ้นมาเลือกติ๊กเครื่องหมายบนบันทึกรายสินค้า


หลังจากติ๊กรายการสินค้าไปกองหนึ่งแล้ว ก็นำบันทึกส่งต่อให้สวีถังหราน พอสวีถังหรานเห็นว่ารายการของที่ติ๊กไปมีแต่ของที่แพงที่สุด ในใจก็เข้าใจทันที ว่าทุกคนไม่มีส่วนแบ่งกับพวกนี้แล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นของนายท่านผู้บัญชาการ จึงเรียกลูกน้องเข้ามาทันที บรรจุสินค้าแต่ละชิ้นให้ตรงกับรายการสินค้าที่ติ๊กเครื่องหมายถูก


ขณะนี้เอง ด้านนอกก็มีคนเข้ามารายงาน “กำลังพลของตำหนักคุ้มเมืองกำลังตรวจนับความเสียหายของร้านค้าใหญ่ๆ ขอรับ”


รองผู้บัญชาการหงหัวเราะเบาๆ แล้วโบกมือให้ถอยออกไป สื่อว่ารู้แล้ว จากนั้นก็กล่าวเสียงต่ำว่า “รีบเร่งมือหน่อย!”


ทางสวีถังหรานรีบเร่งมือเก็บของ หลังจากทำซ้ำไปซ้ำมาจนเสร็จ ก็นำกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งยื่นให้รองผู้บัญชาการหง หลังจากรองผู้บัญชาการตรวจสอบแล้ว ก็พยักหน้าอย่างพอใจ รองผู้บัญชาการหงบอกว่า “ในเมื่อเป็นของที่เก็บได้ คนที่เห็นก็ย่อมมีส่วนแบ่ง ทำตามธรรมเนียมเดิมแล้วกัน! แต่ข้าจะบอกสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อนนะ ใครที่ได้ประโยชน์จากเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้แล้ววันหลังมาเปิดโปง ก็แสดงว่าคนนั้นกินบนเรือนขี้บนหลังคา อย่าหาว่าข้าแปรพักตร์ตั้งตัวเป็นศัตรูก็แล้วกัน!”


“แน่นอน… อยู่แล้ว…” ทุกคนพากันเอ่ยรับ


จากนั้นพวกเขาก็แบ่งของกัน ส่วนของที่เหลือ รองผู้บัญชาการทั้งสองเอาไปคนละหนึ่งส่วนสาม แล้วอีกหนึ่งในสามก็เป็นของเหมียวอี้และทหารเลวอีกคนหกแบ่งกัน แล้วหนึ่งในสามส่วนสุดท้ายก็ให้ลูกน้องระดับล่างแบ่งกัน นี่คือการแบ่งตามลำดับยศ


โอ้แม่เจ้า! หาเงินง่ายเกินไปแล้ว! เหมียวอี้นับของในกำไลเก็บสมบัติที่ได้รับส่วนแบ่งมา คาดว่าคงจะมีมูลค่าประมาณสามหมื่นล้านผลึกแดง เท่ากับทหารเลวทั้งเจ็ดได้ไปรวดเดียวคนละสองพันล้านล้านผลึกแดง ถ้าบวกรวมลูกน้องทั้งหมดกับรองผู้บัญชาการทั้งสอง ก็ได้เกินหกล้านล้านแล้ว ส่วนแบ่งของโค่วเหวินหลานยังมีมูลค่าเยอะกว่าของลูกน้องบวกรวมกันอีก นับดูคร่าวๆ เกรงว่าจะเกินสิบห้าล้านล้านผลึกแดงแล้ว


ครั้งนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงเหลือทนแล้ว ขนาดเหมียวอี้ยังอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ กำไรหลายร้อยปีที่เซี่ยโห้วหลงเฉิงได้จากร้านขายของชำก็ชดเชยการขาดทุนนี้ไม่ได้


ความร่ำรวยนี้! เหมียวอี้ทอดถอนใจไม่หยุด แต่จะว่าไปแล้ว การหาเงินแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้บ่อยๆ ถ้าทำเรื่องแบบนี้บ่อยจริงๆ ใต้หล้าต้องวุ่นวายหนักแน่นอน ตำหนักสวรรค์จะเป็นฝ่ายแรกที่ไม่ยอมรับ ถึงขั้นจะเชือดไก่ให้ลิงดูด้วยซ้ำ!


ถึงแม้จะร่ำรวยง่ายๆ แต่เหมียวอี้กลับดีใจไม่ออก ครั้งนี้ล่วงเกินเซี่ยโห้วหลงเฉิงหนักมากจริงๆ โค่วเหวินหลานย่อมไม่กลัวอะไรอยู่แล้ว อีกฝ่ายมีความมั่นใจที่จะตั้งตัวเป็นศัตรู เซี่ยโห้วหลงเฉิงโค่นล้มโค่วเหวินหลานไม่ได้ เป้าหมายจึงต้องลดต่ำลงมา หนังหน้าไฟก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเหมียวอี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงต้องตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาอย่างหัวชนฝาแน่นอน!


ทางนี้เพิ่งจะแบ่งของได้ไม่นาน โค่วเหวินหลานก็กลับมาแล้ว ถามถึงสถานการณ์และสั่งอะไรไว้นิดหน่อย จากนั้นก็นำรองผู้บัญชาการทั้งสองออกไป


ณ ตำหนักคุ้มเมือง ใบหน้าสวยหยาดเยิ้มของปี้เยว่ฮูหยินเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ ในมือถือรายงานความเสียหายจากร้านค้าต่างๆ พบว่าสูงถึงยี่สิบล้านล้านผลึกแดง ส่วนหนึ่งเสียหายไปเพราะตอนต่อสู้กัน แต่ส่วนใหญ่หายไปไหนก็ไม่รู้ นี่ยังไม่รวมความเสียหายจากอาคารบ้านเรือนที่พังพวกนั้น


เสียหายหนักขนาดนี้ จะให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงชดเชยอย่างไรไหว? ต่อให้ชดเชยครึ่งเดียว เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็จ่ายไม่ไหวอยู่ดี นอกเสียจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงจะนำหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำมาเติม แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ ตระกูลเซี่ยโห้วต้องเก็บหุ้นสองส่วนนั้นของเซี่ยโห้วหลงเฉิงไปแน่นอน จะให้ของที่สำคัญแบบนี้อยู่ในมือเจ้าโง่นี่ได้อย่างไร


นางอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างทอดถอดใจว่า “โค่วเหวินหลานคนนี้ เมื่อก่อนไม่เคยทำอะไรเด็ดขาดขนาดนี้มาก่อนเลย สงสัยข่าวลือที่ฝ่ายเราปล่อยไปจะทำให้เขาเริ่มลงมืออย่างเด็ดขาดแล้ว!”


“ฮูหยิน เกรงว่าจะต้องรีบตัดสินใจให้เด็ดขาดแล้ว ถ้าให้ผู้ชายสองคนนี้อยู่สู้กันไปสู้กันมาที่ดาวเทียนหยวนต่อไป จะไม่เป็นผลดีกับฮูหยิน!” ผู้การสองที่อยู่ข้างๆ กล่าว


ปี้เยว่ฮูหยินลากชุดกระโปรงสีเขียวน้ำทะเลเดินไปเดินมา “ใช่แล้ว! เจ้าสองคนนี้ไม่เห็นหัวใคร เดิมทีข้ากังวลว่าถ้าไล่ไปคนหนึ่ง แล้วคนที่เหลือเป็นใหญ่คนเดียวโดยไม่มีใครคอยคานจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร ตอนนี้สู้กันรุนแรงแล้ว ไม่สู้ไล่ไปสักคนจะสบายกว่า ถ้าปล่อยให้พวกเขาก่อเรื่องต่อไปแบบนี้ ข้าคงนั่งในตำแหน่งนี้ไม่ได้แล้ว!”


วันต่อมา ในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก มีเสียงกลองดังสะเทือนเลือนลั่น ตอนแรกเหมียวอี้ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เมื่อถามคนข้างๆ ถึงได้รู้ว่าเป็นเสียงกลองรบที่ผู้บัญชาการโค่วใช้รวบรวมกำลังพล จึงรีบสวมเครื่องแบบและวิ่งไปรวมตัวกัน


ตำหนักหลักของจวนผู้บัญชาการยังคงพังถล่มเหมือนเดิม โค่วเหวินหลานเปลี่ยนใส่เครื่องแต่งกายสง่างาม สวมเกราะรบห้าแถบสีทองอร่ามกึ่งโปร่งแสง ยืนตระหง่านรับแสงอาทิตย์ยามเช้าสีทองอยู่บนบันได ตรงหน้าคือกำลังพลที่มารวมตัวกัน ภาพลักษณ์องอาจกล้าหาญที่มีอยู่แต่เดิม กลับถูกท่าทางควักผ้าเช็ดหน้าที่สะดีดสะดิ้งทำลายหายจนหมดสิ้น


เมื่อสมาชิกมารวมตัวกันครบ โค่วเหวินหลานก็ออกคำสั่ง เคลื่อนพลหลายร้อยออกจากจวนผู้บัญชาการ ใช้วิธีการเดินเท้ามุ่งตรงสู้จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก ดึงดูดให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาในตลาดสวรรค์ชำเลืองมองมาไม่หยุด


กลุ่มคนมาดักอยู่นอกจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก แล้วตะโกนคำขวัญที่นัดกันไว้พร้อมกัน “เซี่ยโห้วหลงเฉิง ยุยงลูกน้อง ปล้นทำลายทรัพย์ จงรีบชดใช้! เซี่ยโห้วหลงเฉิง ยุยงลูกน้อง ปล้นทำลายทรัพย์ จงรีบชดใช้…”


คนหลายร้อยคนตะโกนประโยคนี้ซ้ำๆ อย่างพร้อมเพรียงกัน เป็นภาพที่อลังการงานสร้าง เหมียวอี้ที่เป็นหนึ่งในทหารเลวเจ็ดคนนั้นก็ไม่มีทางเลือก ต้องตะโกนตามเช่นกัน เป็นครั้งแรกที่เขาทำเรื่องแบบนี้ นักพรตบงกชทองที่สง่าผ่าเผย ยามอยู่ที่พิภพเล็กเป็นชนชั้นสูงขนาดไหน ไม่น่าเชื่อว่าปัจจุบันจะได้มาทำเรื่องน่าอับอายพรรค์นี้


มีเพียงโค่วเหวินหลานที่ไม่ต้องตะโกน เดินเอามือไขว้หลังอยู่ข้างหน้า เดินไปเดินมาอยู่นอกจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก สีหน้าเครียดขรึมจริงจัง


คนแถวนี้ที่มามุงดูยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปครู่เดียว เหมียวอี้ก็เห็นเป่าเหลียนจากร้านขายของชำซื่อตรงปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชน นางมองเหมียวอี้อย่างงุนงงประหลาดใจ เหมียวอี้ได้แต่ยิ้มเจื่อนอย่างจนใจ


ว่ากันตามจริง เหมียวอี้นับถือไอ้คนตุ้งติ้งอย่างโค่วเหวินหลานมากเช่นกัน นอกจากวางกับดักเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้ว ยังทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตอีก ค่อยๆ บีบบังคับทีละก้าว ชัดเจนว่าอยากจะทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างถึงที่สุด ทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่มีที่ยืนในตลาดสวรรค์!


เรื่องดำเนินมาจนวันนี้ ลองนำสถานการณ์ที่รู้มาเชื่อมต่อกัน ถ้าเหมียวอี้ยังมองสาเหตุไม่ออก ก็คงไม่ต่างอะไรกับคนโง่ ที่การต่อสู้เริ่มดุเดือดขึ้นมากะทันหัน ก็เพราะการแย่งชิงตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์มาถึงช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มแล้ว โค่วเหวินหลานอยากจะทำลายชื่อเสียงของเซี่ยโห้วหลงเฉิงให้ป่นปี้ กดดันให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงอับอายจนไม่มีที่ยืนในตลาดสวรรค์ บีบให้ปี้เยว่ฮูหยินเลือกไปในทิศทางเดียว


เมื่อรอไปสักพักแล้วยังไม่เห็นคนข้างในมีปฏิกิริยาอะไร โค่วเหวินหลานก็หันกลับมาถ่ายทอดเสียงสั่ง


ท่วงทำนองของเสียงตะโกนเปลี่ยนทันที “ท่านแม่ทัพมีคำสั่ง ให้เจ้าชดเชยเงิน เซี่ยโห้วหลงเฉิง ฝ่าฝืนคำสั่ง! เซี่ยโห้วหลงเฉิง ยุยงลูกน้อง ปล้นทำลายทรัพย์ จงรีบชดใช้! ท่านแม่ทัพมีคำสั่ง ให้เจ้าชดเชยเงิน เซี่ยโห้วหลงเฉิง ฝ่าฝืนคำสั่ง…”


เมื่อใช้ข้ออ้างเรื่องฝ่าฝืนคำสั่งมากดดัน เหมือนจะทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงร้อนใจแล้ว ไม่นานก็เคลื่อนกำลังพลเขตเมืองตะวันตกออกจากจวนผู้บัญชาการ เซี่ยโห้วหลงเฉิงยืนควงดาบชี้อยู่ข้างหน้า กำลังพลที่ยืนเรียงแถวอยู่ข้างหลังตะโกนตอบเสียงดังทันที “โค่วเหวินหลาน ไอ้คนตุ้งติ้ง คนวิปริต โดนผู้ชายจับขึ้นเตียง ไอ้คนขายตูด! โค่วเหวินหลาน ไอ้คนตุ้งติ้ง คนวิปริต โดนผู้ชายจับขึ้นเตียง ไอ้คนขายตูด…”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา คนไม่น้อยที่กำลังมุงดูเอาสนุกก็พากันกลั้นขำ


อีกฝั่งโยนความผิด แต่อีกฝั่งโจมตีมาที่ตัวบุคคล!


โค่วเหวินหลานหน้าดำเป็นก้นหม้อทันที เซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่เก่งเรื่องแทงข้างหลังเท่าเขา แต่หน้าไม่อายยิ่งกว่าเขา ต่อให้ตายก็จะต้องทำให้ชื่อเสียงของเขาสะเทือนใต้หล้าไปด้วยกัน เรื่องนี้เทียบกันไม่ติดแล้ว


เหมียวอี้ที่กำลังตะโกนแอบทอดถอนใจไม่หาย ช่างเหมือนคำกล่าวที่ว่า สังหารข้าศึกไปหนึ่งพัน แต่ฝ่ายตัวเองสูญเสียไปแปดร้อย


เมื่อเห็นโค่วเหวินหลานสีหน้าดูไม่ได้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เดิมทีสีหน้าแย่มากก็รู้สึกสะใจทันที หัวเราะเสียงดังลั่น ถือดาบเดินไปเดินมาโอ้อวดแสนยานุภาพ ทำท่าทางลำพองใจ


“หุบปากกันให้หมด!” เสียงตวาดของผู้หญิงพลันดังมาจากท้องฟ้า ผู้การสองของตำหนักคุ้มเมืองเหาะลงมาแล้ว มาเหยียบลงตรงกลางระหว่างคนสองกลุ่ม แล้วกวาดสายตาเย็นเยียบมองทั้งสองฝั่ง


สองฝั่งที่ส่งเสียงข่มกันพลันหุบปาก โค่วเหวินหลานกับเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ถูกผู้การสองพาตัวไปเช่นกัน เหมียวอี้และคนอื่นๆ ที่ตะโกนจนเกือบเสียงแหบ ตอนนี้โล่งใจแล้ว กำลังพลแยกย้ายกลับเขตเมืองตะวันออก


เป่าเหลียนยืนอยู่ริมถนน มองดูเหมียวอี้เดินจากไปพร้อมกำลังพล นางเงียบงันอยู่นานมาก…


หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม โค่วเหวินหลานก็กลับมาแล้ว เรื่องแรกที่ทำเมื่อกลับมาก็คือเรียกรวมผู้ใต้บังคับบัญชาไปประชุม


ตำหนักหลักพังแล้ว ตอนนี้ยังไม่ได้ซ่อมแซม ผู้บัญชาการ รองผู้บัญชาการทั้งสองกับทหารเลวทั้งเจ็ด คนทั้งสิบไปรวมตัวกันในตำหนักด้านข้าง


โค่วเหวินหลานไม่เปลืองคำพูด และไม่ได้นั่งลง เพียงยืนอยู่ตรงหน้าเก้าอี้ บอกกับทุกคนอย่างตรงไปตรงมาว่า “ทุกคน ข่าวลือเกี่ยวกับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ ทุกคนคงได้ยินกันหมดแล้ว ข้าจะไม่เปลืองคำพูด เมื่อครู่นี้ท่านแม่ทัพกล่าวชัดเจนแล้ว คนที่จะเข้าชิงตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ ก็คือข้ากับไอ้หมีควายเซี่ยโห้ว ใครที่ประหารเฮยหวังที่ทำผิดกฎสวรรค์ได้ คนนั้นก็จะได้ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ไป! ตำแหน่งนี้ข้าต้องได้มา ดังนั้นทุกคนต้องช่วยข้าสุดความสามารถ สำหรับคนที่มีผลงาน ผู้บัญชาการคนนี้ก็ไม่งกรางวัลหรอก ขอเพียงข้าได้ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ ในบรรดาพวกเจ้า หากใครมีผลงานมากที่สุด ตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกก็เป็นของคนนั้น!”


ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก ถึงแม้การได้เป็นเขตเมืองตะวันออกผู้บัญชาการคือเรื่องดี แต่ว่า… รองผู้บัญชาการหงกุมหมัดถาม “นายท่าน พวกเราไม่รู้เลยว่าเฮยหวังไปหลบอยู่ที่ไหน ไม่รู้เลยว่าจะเริ่มลงมือจากตรงไหน แล้วจะจับเขามาลงโทษได้อย่างไร?”


“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะคิดหาทางส่งคนไปสืบข่าว ที่บอกพวกเจ้าตอนนี้เพราะจะให้พวกเจ้าเตรียมตัวล่วงหน้า หากได้ข่าวมาเมื่อไร นักพรตบงกชทองใต้บังคับบัญชาข้าทุกคนต้องติดตามข้าไปออกศึกด้วยกัน!” โค่วเหวินหลานตอบ


รองผู้บัญชาการซุนกุมหมัดถามอีก “นายท่าน ถ้าพวกเราไปกันหมด แล้วจะทำอย่างไรกับเขตเมืองตะวันออกล่ะ?”


“ทางท่านแม่ทัพจะจัดการเอง พวกเจ้าแค่เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางได้ทุกเมื่อก็พอ!” โค่วเหวินหลานกล่าวเสียงเรียบ


มีคำบางคำที่เขาไม่สะดวกจะพูดออกมา ที่จริงเขาเองก็รู้ชัด ปี้เยว่ฮูหยินอยากจะไล่เขากับเซี่ยโห้วหลงเฉิงออกไปไวๆ จะได้ไม่ต้องก่อเรื่องที่นี่ แม้แต่เรื่องชดเชยค่าเสียหายให้บรรดาร้านค้าที่เขตเมืองตะวันออก ปี้เยว่ฮูหยินก็ส่งคนไปรับงานต่อแล้ว สำหรับเรื่องนี้โค่วเหวินหลานไม่ได้เห็นแย้งอะไร ถึงอย่างไรเงินชดเชยก็เป็นของพ่อค้าพวกนั้น ไม่ได้ให้เขา ผลประโยชน์ที่แท้จริงเขาได้มาไว้ในมือแล้ว


…………………………



บทที่ 968 ร้านโฉมเมฆา

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากสั่งลูกน้องที่เป็นกำลังหลักแล้ว โค่วเหวินหลานก็ออกจากจวนผู้บัญชาการและมุ่งตรงสู่ร้านสมาคมวีรชน


เจอศัตรูบนทางแคบ คนที่เข้าประตูกับคนที่ออกประตูเจอกันแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงเพิ่งจะออกมาจากข้างใน พอเห็นเขาก็ขยับตัวขวาง จงใจขวางทางโค่วเหวินหลาน แล้วแสยะยิ้มทักทาย “ไอ้ตุ้งติ้ง เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”


“ไอ้หมีควายเซี่ยโห้ว ข้าอยากจะไปไหนมันก็เรื่องของข้า เจ้าเป็นคนเปิดร้านสมาคมวีรชนรึไงล่ะ?”


“อย่าลืมนะว่าที่นี่คืออาณาเขตของใคร!”


“ไอ้หมีควายเน่า เห็นแก่หน้าท่านแม่ทัพ ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าแส่หาเรื่องจะดีกว่า”


“ยังไม่รู้เลยว่าใครปล่อยใครกันแน่!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงพูดเหยียดหยามแต่กลับต้องหลีกทาง จากนั้นเดินก้าวยาวออกไป ก็ช่วยไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้ปี้เยว่ฮูหยินลั่นวาจาแล้ว ว่าให้พวกเขาสองคนแสดงฝีมือที่แท้จริงกับเรื่องเฮยหวัง ห้ามทั้งสองก่อเรื่องทะเลาะกันที่นี่อีก ทั้งสองตอบตกลงไปแล้วด้วย


เซี่ยโห้วหลงเฉิงเพิ่งจะออกไป โค่วเหวินหลานก็มาอีกแล้ว หวงฝู่จวินโหรวปวดหัวนิดหน่อย แต่ยังใช้ใบหน้ายิ้มรับแขก หลังจากนั่งลงในศาลาและวางน้ำชาแล้ว หวงฝู่จวินโหรวก็ถอนหายใจแล้วถามว่า “ผู้บัญชาการโค่วให้เกียรติมาเยือน ไม่ทราบว่ามีธุระอะไร?”


โค่วเหวินหลานตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “เจ้าหมีควายนั่นมาเพราะเรื่องอะไร ข้าก็มาเพราะเรื่องนั้น จวินโหรว ระหว่างเราไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรกันแล้ว ข้าจะเปิดอกพูดตรงๆ นะ ใช้กำลังของสมาคมวีรชนช่วยข้าหาที่กบดานของเฮยหวังหน่อย!”


“เจ้ามาหาผิดคนแล้วรึเปล่า คนที่แม้แต่ตำหนักสวรรค์ยังหาไม่เจอ พวกเราจะไปหาเจอได้อย่างไร” หวงฝู่จวินโหรวขมวดคิ้วตอบ


โค่วเหวินหลานจิบน้ำชาไปคำหนึ่ง แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้าบอกว่า “รู้อยู่แจ่มแจ้งทำไมต้องแกล้งโง่ สมาคมวีรชนของพวกเจ้าทำงานอะไร เจ้ารู้ ข้าก็รู้เหมือนกัน ตำหนักสวรรค์อยู่ในที่แจ้ง พวกเจ้าอยู่ในที่ลับ ในมุมมืดที่ตำหนักสวรรค์มองไม่เห็น สมาชิกจากสามลัทธิเก้านิกายของสมาคมวีรชนเกรงว่าจะอยู่ในนั้นด้วย เห็นแก่ที่เป็นสหาย ช่วยเหลือนิดหน่อยเท่านั้นเอง!”


“ในเมื่อเจ้าพูดจาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าก็น่าจะเข้าใจดีนะ ถ้าต้องใช้งานสมาคมวีรชนเพื่อหาเฮยหวังจริงๆ คงไม่ถึงคราวที่เจ้าต้องเอ่ยปากหรอก เบื้องบนคงเอ่ยปากตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าไม่ใช่เรื่องที่โดนบีบจนหมดหนทาง เบื้องบนก็ไม่เคยใช้งานสมาคมวีรชนเลย ไม่อย่างนั้นถ้าใช้งานสมาคมวีรชนไปเสียทุกเรื่อง แล้วจะมีทหารสวรรค์อย่างพวกเจ้าไว้ทำอะไรล่ะ? ถ้าใช้งานสมาคมวีรชนทุกเรื่อง แล้ววุ่นวายจนทั้งใต้หล้ารู้เบื้องลึกของสมาคมวีรชน แบบนั้นสมาคมวีรชนก็ไม่จำเป็นต้องมีอยู่แล้ว แทนที่จะไปขอให้อำนาจของตระกูลโค่วช่วยหา เจ้ากลับมาหาข้า เจ้ามาหาผิดคนแล้วจริงๆ” หวงฝู่จวินโหรวกล่าว


“มีกำลังช่วยเพิ่มอีกแรง โอกาสที่จะหาพบก็เร็วขึ้นอีก จวินโหรว เจ้าคงไม่ปฏิเสธที่จะช่วยข้าจริงๆ หรอกใช่มั้ย?” โค่วเหวินหลานถาม


หวงฝู่จวินโหรวส่ายหน้า “โค่วเหวินหลาน เจ้าประเมินข้าสูงเกินไปจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าข้าไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องแบบนี้ ต่อให้ข้ามีอำนาจตัดสินใจ แต่เจ้าเคยคิดบ้างรึเปล่า… ในเมื่อเจ้ารู้ว่าสมาคมวีรชนฟังคำสั่งใคร ถ้าแม้แต่ตระกูลโค่วของเจ้ายังใช้งานสมาคมวีรชนได้ ถ้ายั่วให้ท่านนั้นระแวง อย่าว่าแต่สมาคมวีรชนของข้าที่จะซวย เกรงว่าแม้แต่ตระกูลโค่วของเจ้าก็จะเจอหายนะเหมือนกัน เจ้ามีพื้นเพมาจากตระกูลใหญ่ คงจะเคยได้ยินผลลัพธ์ของการทำผิดข้อห้ามมาบ้าง อำนาจสวรรค์ยากที่จะคาดเดา เจ้าอยากจะแบกผลลัพธ์แบบนี้จริงเหรอ? ถ้าเปลี่ยนให้ท่านผู้เฒ่าตระกูลเจ้าทำเรื่องนี้ เขาจะไม่มาหาสมาคมวีรชนแน่นอน เจ้า… เห็นแก่ที่เป็นสหายกัน ขอโทษที่ข้าพูดตรงๆ นะ เจ้ากับเซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่เกรงกลัวสิ่งใดจนกลายเป็นนิสัย พอก้าวออกจากบ้านก็ได้เป็นผู้บัญชาการเขตเลย ยังขาดประสบการณ์ ขนาดปี้เยว่ฮูหยินที่เป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเจ้า พวกเจ้าก็ยังกล้ามองข้ามหัว ต่อให้พวกเจ้าจะมีคนหนุนหลังยังไง แต่ทำแบบนี้ก็ไม่ถูกอยู่ดี ไม่ผิดหรอก ปี้เยว่ฮูหยินทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้ แต่คนทั้งตำหนักสวรรค์ไม่มีใครชอบคนไม่สนกฎระเบียบแบบนี้ ถึงอย่างไรท่านผู้เฒ่าของตระกูลเจ้าก็ปิดบังความจริงไม่ได้ คำพูดของคนน่ะน่ากลัว คำพูดของฝูงชนพลิกดำเป็นขาว พลิกขาวเป็นดำได้ อย่าทำลายอนาคตของตัวเอง ดังนั้นประสบการณ์ในด้านนี้ของพวกเจ้ายังน้อยไปหน่อย ควรเรียนรู้จากท่านผู้เฒ่าของพวกเจ้าให้เยอะๆ เรื่องที่ไม่ควรไปแตะต้องก็อย่าไปแตะต้อง ข้าช่วยเหลือพวกเจ้าเรื่องนี้ไม่ได้!”


คำพูดตอนท้ายๆ ให้ความรู้สึกเหมือนให้โอวาท แต่โค่วเหวินหลานกลับตกอยู่ในความเงียบแล้ว หลังจากผ่านไปนานถึงได้พยักหน้าบอกว่า “ได้รับบทเรียนแล้ว คิดเสียว่าข้าไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้!” พูดจบก็กุมหมัดคารวะ แล้วลุกขึ้นเดินจากไป…


โค่วเหวินหลานจะหาข่าวเฮยหวังได้เมื่อไร เหมียวอี้ก็ไม่รู้ หลังจากนั้นหนึ่งเดือนอวิ๋นจือชิวกลับพาคนมาแล้ว


นางพาบัณฑิต พ่อครัว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ แล้วก็คนงานไม่กี่คนของโรงเตี๊ยมเมฆาวายุ ทั้งหมดเป็นคนที่ค่อนข้างไว้ใจได้ ถึงแม้คนงานคนอื่นจะเชื่อใจได้มาก แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะพามาด้วยทั้งหมด ทางพิภพเล็กยังต้องมีคนเฝ้า ส่วนคนที่พามาก็เตรียมจะเฝ้าอยู่ที่นี่ในระยะยาว


เยารั่วเซียนออกจากดาวไร้ลักษณ์มาที่นี่เช่นกัน หลังจากได้ข่าวว่าอวิ๋นจือชิวจะมา เหมียวอี้ก็ให้สำนักลมปราณพาตัวเยารั่วเซียนมาส่งที่อวกาศ จากนั้นตอนที่พวกอวิ๋นจือชิวเดินทางผ่านมา ก็ถือโอกาสพาตัวมาด้วยอย่างเงียบๆ


การซ่อมแซมตกแต่งร้านค้าใหม่เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เหมียวอี้ย่อมต้องวิ่งมาดูสักหน่อย พอเข้ามาในร้านค้าก็เห็นอวิ๋นจือชิวกำลังชี้ไม้ชี้มือ สั่งว่าตรงนี้ต้องทำอยางไร ตรงนั้นต้องทำอย่างไร สรุปก็คือนางเป็นเถ้าแก่เนี้ย ทุกอย่างต้องจัดการตามความชอบของนาง


คนอื่นๆ มองเหมียวอี้ด้วยปฏิกิริยาที่ชื่นชมปนสับสน บัณฑิตกับพ่อครัวทอดถอนใจ ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี เจ้าเด็กนี่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ที่พิภพเล็ก ที่แท้ก็มาหากินที่พิภพใหญ่ในตำนานตั้งนานแล้วนี่เอง ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เป็นทหารเลวสามแถบของตำหนักสวรรค์ด้วย


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ยิ่งทำสีหน้าเคารพนับถือ ถึงอย่างไรในสายตาพวกนาง ก็ไม่เคยมีอะไรที่เหมียวอี้ทำไม่ได้ พวกนางยังเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าเหมียวอี้จะต้องมีอนาคตที่สดใสที่พิภพใหญ่แน่นอน


แต่ระหว่างทางที่มา อวิ๋นจือชิวก็ได้อธิบายไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าสถานการณ์ของพิภพใหญ่ซับซ้อน ต้องรักษาระยะห่างกับเหมียวอี้ไว้ตลอด


เหมียวอี้เพียงพยักหน้ายิ้มบางๆ ให้ทุกคน ตอนที่เห็นเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ในใจเขากลับรู้สึกสับสนนิดหน่อย เพราะที่พิภพใหญ่ไม่มีความนิยมเรื่องหญิงรับใช้ประจำตัว ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าทั้งสองอยู่ที่พิภพใหญ่นานไป แล้วจะเกิดความคิดอะไรอย่างอื่นหรือเปล่า


“ผ่านไปไม่นาน งานยุ่งขนาดนี้เชียวเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลั้วหัวเราะ แล้วพาอวิ๋นจือชิวหลบมาจากกลุ่มคน


เมื่อขึ้นมาบนตึก อวิ๋นจือชิวก็นับนิ้วพร้อมบอกว่า “มีเรื่องที่ต้องทำเยอะมาก จุดที่ต้องใช้เงินก็มีเยอะมาก ข้าพาเฮยทั่นกับตั๊กแตนพวกนั้นมาแล้ว ไม่สะดวกจะเลี้ยงพวกมันที่นี่ ถ้าแยกพวกมันให้คนอื่นเลี้ยงก็ไม่ดีอีก เกรงว่าจะต้องซื้อ ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ แล้วก็ทางด้านเยารั่วเซียนอีก ตอนที่หลอมสมบัติที่นี่ เกรงว่าบ้านหลายหลังคงไม่พอให้เขาเผา ถ้าไม่ซื้อ ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ คงไม่ได้ ข้าเคยเห็นของแบบนั้นที่ตลาดสวรรค์ ค่อนข้างเปลืองเงิน”


เหมียวอี้พยักหน้า สิ่งที่เรียกว่า ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ เขาเองก็เคยเห็นเหมือนกัน เป็นของประเภทที่มีพื้นที่ว่างให้เก็บสมบัติ แต่ไม่ใช่สิ่งที่พวกแหวนสมบัติจะเทียบติด ใน ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ คนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ อย่างเช่นยามตำหนักสวรรค์แต่งตั้งให้ไปเป็นขุนนางคุมอาณาเขต ต่อให้เป็นพวกเทพเจ้าที่ ผีหลักเมือง ก็ล้วนได้รับความร่วมมือจากตำหนักสวรรค์ ดังนั้น อย่าไปมองว่าศาลของเทพแห่งผืนดินเล็กๆ ใหญ่สู้ห้องครัวไม่ได้ ที่จริงแล้วข้างในเหมือนมีโลกอีกใบหนึ่ง


ทว่าของแบบนั้นมีเพียงขุนนางที่คุมอาณาเขตเท่านั้นที่มี ระดับของเหมียวอี้สูงกว่าเทพแห่งผืนดิน ผีหลักเมือง แต่กลับไม่มี โค่วเหวินหลานกลับผู้บัญชาการพวกนั้นมี


เขาเคยคิดว่าควรจะปล้น ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ มาจากเทพเจ้าที่ผีหลักเมืองดีไหม แต่ตอนหลังพอสืบข่าวมาถึงได้รู้ ว่า ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ ของขุนนางตำหนักสวรรค์กับ ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ ที่ร้านค้าขายไม่เหมือนกัน พวกนั้นคือสิ่งที่สั่งทำเป็นพิเศษ พวกลูกแก้วพลังปรารถนาที่แจกก็ไม่ต้องส่งให้ต่อหน้า ข้างในมีเครื่องมือแจกจ่ายลูกแก้วพลังปรารถนาที่รวบรวมได้ เล็กใหญ่ตามยศขุนนาง มากน้อยตามสวัสดิการ ส่วนพลังปรารถนาของสาวกที่แจกจ่ายให้ ทางตำหนักสวรรค์ย่อมโอนไปยังดินแดนใต้อาณัติแต่ละแห่ง ให้รวมเป็นลูกแก้วพลังปรารถนาเองโดยกลไกของมันเอง


ก็เพราะสาเหตุที่กล่าวมา ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ ประเภทนี้ หากแย่งมาไว้ในมือก็ไม่มีทางใช้งานได้เลย ตำหนักสวรรค์สามารถรู้ได้ทุกเมื่อว่า ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ ที่ถูกปล้นไปอยู่ที่ไหน สามารถหาเจ้าพบได้อย่างแม่นยำ นอกเสียจากเจ้าจะนำ ‘ชัยภูมิถ้ำสวรรค์’ ที่ปล้นได้มาหลอมสร้างใหม่อีกครั้ง แต่ถ้ามีความสามารถที่จะหลอมสร้างใหม่ได้ ใครจะยังไปเสี่ยงอันตรายปล้นมาล่ะ


ร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ก็มีขายเหมือนกัน เพียงแต่ราคาแพงไปหน่อย ถ้าเป็นขนาดเล็กที่มีพื้นที่ไม่ใหญ่ ราคาก็หนึ่งแสนล้านผลึกแดง แบบพื้นที่กว้างขึ้นมาหน่อยก็แพงกว่า มีนักพรตหลายคนที่ทั้งชีวิตนี้ก็หาเงินไม่ได้มากขนาดนั้น ดังนั้นผู้ที่ใช้ของสิ่งนี้ไหวจึงมีไม่เยอะ


เหมียวอี้ยิ้มพร้อมตอบว่า “ของที่ใช้งานได้ ซื้อเตรียมไว้หลายๆ ชิ้นแล้วกัน ไม่อย่างนั้นตอนที่พวกเราแอบทำจะไม่สะดวก ถึงอย่างไรร้านค้านี้ก็ไม่ใหญ่ ทั้งยังอยู่ในย่านการค้าที่เจริญคึกคักด้วย”


อวิ๋นจือชิวกลอกตามองเขาอย่างหยาดเยิ้ม “ยังจะซื้อหลายชิ้นอีก เจ้าซื้อไหวเหรอ?”


เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ แล้วนำกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งโยนให้นาง “เงินเล็กน้อยแค่นี้ ช่วงนี้ยังพอหามาได้”


พออวิ๋นจือชิวเห็นของในกำไลเก็บสมบัติ นางก็อ้าปากร้อง ‘อ้อ’ ทันที พบว่าข้างในมียาแก่นเซียนและผลึกแดงจำนวนมหาศาล จึงถามอย่างตกตะลึงว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้าหาของมาไหนมากมายขนาดนี้?”


เหมียวอี้เล่าเรื่องที่สำนักลมปราณชำระบัญชีให้ในปีนั้น และของที่เพิ่งได้มาในช่วงนี้ รวมทั้งของที่ได้ส่วนแบ่งมาจากจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกก่อนหน้านี้ด้วย


อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างระแวดระวังทันที “นี่คือการปล้นชัดๆ งั้นพวกเราต้องซื้อค่ายกลคุ้มกันขนาดเล็กด้วยแล้ว”


เหมียวอี้ส่ายหน้า “โดยทั่วไปต้านทานนักพรตบงกชทองไม่ได้ แบบขั้นสูงก็แพงเกินไป ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ถึงราคาค่ายกลแปดทิศ”


อวิ๋นจือชิวจึงบอกว่า “อันที่ราคาถูกก็ต้องซื้อไว้สักอัน คงดีกว่าเวลามีคนแอบเข้ามาเงียบๆ แล้วไม่รู้ ที่นี่มีผู้หญิงหลายคน เจ้าไม่เป็นห่วงเหรอ? ช่างเถอะ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว เดี๋ยวข้าจัดการเองตามเห็นสมควร เออใช่ เจ้าเก็บเงินติดตัวไว้สักหน่อยแล้วกัน เอาไว้ใช้เวลาเข้าสังคมกับคนของตำหนักสวรรค์ เจ้าต้องมั่นคงในตำแหน่งของตำหนักสวรรค์เท่านั้น พวกเราถึงจะมั่นคงได้” พูดจบก็แบ่งสมบัติส่วนหนึ่งจากกำไลเก็บสมบัติออกมา


เหมียวอี้โบกมือ “ข้าไม่สะดวกจะพกเงินติดตัวเยอะ ดีไม่ดีอาจจะโดนคนอื่นแย่งไป เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน ข้าเก็บติดตัวไว้แค่พอใช้ก็พอ”


มอบทรัพย์สินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ให้นางจัดการเอง แบบนี้ต้องใช้ความเชื่อมั่นและวางใจขนาดไหน รอยยิ้มบนใบหน้าอวิ๋นจือชิวช่างงดงาม แววตาค่อนข้างออเซาะ แต่ช่วยไม่ได้ที่ตอนนี้กำลังตกแต่งร้าน ไม่สะดวกเพราะมีคนเข้าคนออก ไม่อย่างนั้นนางคงโผเข้าไปกอดเขาแล้ว


หลังจากนั้นครึ่งเดือน ก็เปิดร้านค้าแล้ว ชื่อว่า”ร้านโฉมเมฆา” ขายเครื่องประดับกับพวกผลึกบริสุทธิ์โดยเฉพาะ


พวกเครื่องประดับที่ขายตอนร้านขายของชำซื่อตรงเพิ่งเปิด ตอนนี้นำมาขายอีกครั้ง อาศัยความนิยมที่เหลือในปีนั้น สร้างยี่ห้อโฆษณานิดหน่อย ก็ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวได้เหมือนกัน วันเปิดร้านดึงดูดลูกค้าผู้หญิงได้ไม่น้อยเลย เพียงแต่ราคาแพงจนไร้เหตุผล แค่ต่างหูคู่เดียวก็กระเด็นไปแล้วเป็นล้านผลึกแดง ทำให้คนมากมายดูเสร็จแล้วต้องถอย


เหมียวอี้วิ่งมาแสดงความยินดีวันเปิดร้านก็เป็นเรื่องปกติมาก สิ่งที่ทำให้เขากลุ้มใจก็คือ พวกทหารในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกถือของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาประสมโรงด้วย ทหารเลวทั้งเจ็ดมากันครบแล้ว เป็นเพราะคนปากมากอย่างสวีถังหรานปล่อยข่าว บอกว่าเหมียวอี้กำลังจีบเถ้าแก่เนี้ยของร้านนี้ ทำเอารู้กันทั้งจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก คนกลุ่มนี้มาก็นับว่าสร้างกระแสให้เหมียวอี้


จากสิ่งนี้ทำให้ดูออกว่าช่วงนี้เหมียวอี้มีความสัมพันธ์อันดีกลับกลุ่มนี้ แต่ในใจเหมียวอี้รู้ชัด ประการแรกเป็นเพราะตนไม่มีตำแหน่งในจวนผู้บัญชาการ ถึงขั้นไม่มีลูกน้องเลยสักคน ในกลุ่มทหารเลวตนมีวรยุทธ์ต่ำสุด ไม่มีผลประโยชน์อะไรกับพวกเขา ประกอบกับโค่วเหวินหลานเป็นคนพาเข้ามาเอง ไม่รู้แน่ชัดว่ามีความสัมพันธ์กับโค่วเหวินหลานอย่างไรกันแน่ คนยศเท่ากันย่อมยินดีสานสัมพันธ์อันดีกับตน


“เถ้าแก่เนี้ย น้องหนิวของพวกเราจริงใจต่อเจ้านะ ถ้าไม่มีงานก็วิ่งมาหาเจ้าตลอด” สิ่งที่สวีถังหรานพูดกับอวิ๋นจือชิวเรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆ กล่าวให้คล้อยตามอยู่อย่างนั้น บอกว่าเหมียวอี้ดีอย่างนั้นอย่างนี้ พยายามเป็นพ่อสื่อเต็มที่


ขณะที่เหมียวอี้กำลังกลุ้มใจ จู่ๆ ก็หนังตากระตุก มีคนคนหนึ่งเดินเข้าประตูร้านมา ไม่ใช่ใครที่ไหน หวงฝู่จวินโหรวนั่นเอง


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)