องครักษ์เสื้อแพร 960-961

 ตอนที่ 960 วาจาซ่อนความนัย

โดย

Ink Stone_Fantasy

สายสัมพันธ์หวังทงกับหลี่หรูซงเริ่มใกล้ชิดกันมากกว่าตอนเริ่มงานเลี้ยง ได้ยินหวังทงถามถึงเมืองเหลียวโจวกับเผ่าหนี่ว์เจิน หลี่หรูซงดื่มไปจอกด้วยท่าทางสบายๆ ยิ้มถามกลับขึ้น


“ไม่รู้ท่านโหว อยากฟังวาจาทางการหรือความจริงกัน?”


ไม่ใช่เพราะหลี่หรูซงลืมรักษาท่าที หนึ่ง เป็นวาจาคุยทั่วไปในงานเลี้ยง สอง สถานะผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทง ถามขึ้นเช่นนี้ไม่ใช่เป็นเขาอยากถามเอง แต่เป็นตัวแทนถามแทนฮ่องเต้ เช่นนั้นย่อมต้องรายงาน รายงานจากทางนั้น  ทุกคนรู้แก่ใจก็พอ แต่ความจริงนี้ไม่เหมือนกัน หลี่หรูซงในฐานะบุตรชายคนโตผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียง แน่นอนย่อมรู้ที่ผู้อื่นไม่รู้


“แน่นอนต้องความจริง”


หวังทงยิ้มกล่าว เห็นท่าทางการกล่าวของหลี่หรูซง เหมือนเขาไม่ค่อยใส่ใจเมืองเหลียวโจวสักเท่าไร หลี่หรูซงหยิบตะเกียบคีบอาหารกินตามด้วยสุรา เป็นการหาจังหวะให้ตนได้คิด


“ท่านโหวในเมื่อถามขึ้นเช่นนี้ ข้าน้อยก็ขอกล่าวตามตรง ย่อมแกล้งรบ”


หลี่หรูซงกล่าวความจริงออกมาจริงๆ แม้หวังทงพอจะวิเคราะห์ออกแล้ว แต่พอได้ยินหลี่หรูซงกล่าวเช่นนี้ ก็ยังอดอึ้งไปไม่ได้


“หลี่ผิงหู ฉินเต๋ออี่ ซุนโส่วเหลียน รวมถึงน้องและเครือญาติบิดาข้าล้วนรู้เรื่องนี้ พวกนอกด่านนั้นไม่อาจกำจัดสิ้น ต้องค่อยๆ ต่อสู้ ครั้งหนึ่งชนะได้มาร้อยหัว เพียงพอเลื่อนตำแหน่งร่ำรวยแล้ว ไม่จำเป็นต้องไล้ต้อนให้ไร้หนทาง”


เห็นเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าหลี่หรูซงเมาหรือไม่เป็นอะไรสักอย่าง วาจาอ้อแอ้ แต่วาจาก็พรั่งพรูไม่หยุด


“พวกนอกด่านแต่ละแห่งไม่เหมือนกัน ทางตะวันออกกับทางตะวันตกต่างกัน ตอนเหนือเมืองเซวียนฝู่พวกนี้ ทั้งวันขี่ม้าเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน พวกนอกกำแพงเมืองชายแดนทางเมืองเหลียวโจวไม่ต่างอันใดกับในเมืองเหลียวโจว ตั้งเป็นป้อม ตั้งเป็นโรงบ้าน เลี้ยงหมูเพาะปลูก หน้าหนาวใบไม้ร่วงก็ออกล่าสัตว์หาปลา พวกนอกด่านเช่นนี้ ทัพใหญ่ออกปราบ คิดแล้วไม่ยากอันใด ไม่ใช่บนทุ่งหญ้า บีบจนมุมก็ขี่ม้าหนีได้ แต่ที่นี่ หากลงมือกับป้อมหรือหมู่บ้านใด พวกเขาย่อมไร้ที่ไป ตอนนั้น…”


วาจาเมื่อครู่เหมือนปูพื้นเรื่องนำ หวังทงตั้งใจฟังมาก วาจาหลี่หรูซงเหล่านี้ทำให้หวังทงได้คิดเรื่องหนึ่ง ชาวเผ่าหนี่ว์เจินไม่ใช่ชนเผ่าเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน พวกเขาเป็นพวกตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง ยังชีพด้วยการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์จับปลาและทำการค้า ไม่เหมือนกับชนเผ่ามองโกลบนทุ่งหญ้าเลย


การตั้งถิ่นฐานแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความเป็นกลุ่มก้อน การเพาะปลูกแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถแสวงหาทรัพยากรได้อย่างมั่นคง และมากยิ่งกว่าเผ่ามองโกลอื่นๆ บนทุ่งหญ้า การหาปลาล่าสัตว์แสดงให้เห็นว่ามีความเข้มแข็งแบบทหาร ทำให้ชายหนุ่มเผ่าพวกเขาได้รับการฝึกฝนระดับหนึ่ง การค้าทำให้พวกเขาได้ข่าวสารจากภายนอก ไม่ใช่พวกล้าหลัง


เผ่านอกด่านเช่นนี้  ระยะเวลาสั้นๆ มองแล้วไม่ต่างจากเผ่าใหญ่บนทุ่งหญ้าพวกนั้น แต่ระยะยาวแล้ว พวกเขาน่ากลัวกว่ามาก


“เผ่าหนี่ว์เจินก็ขี่ม้าได้ ปกติฝึกฝนกันขยันขันแข็ง ยามรบก็บุกอย่างไม่กลัวตาย ดังนั้นเมืองเหลียวโจวมีคนไม่น้อยเป็นคนจากเผ่าหนี่ว์เจิน เลี้ยงดูสตรีและคนจากเผ่าหนี่ว์เจินไว้เป็นคนงานไม่น้อย พวกสถานะไม่ต่ำต้อย มีบางคนได้เป็นถึงคนสนิทของเจ้านาย สายสัมพันธ์สลับซับซ้อน ทุกคนล้วนรู้จักกัน หลี่ผิงหูอยู่ทางกำแพงเมืองเหลียวโจวมานาน มีลูกน้องเป็นชาวเผ่าหนี่ว์เจินมาก สู้อะไรกัน เรื่องหลอกลวงทั้งเพ”


ที่กล่าวมาอยู่ในความคาดหมายของหวังทง การค้าชายแดนนานปีเช่นนี้ คนไปมาหาสู่กัน สายสัมพันธ์ย่อมซับซ้อน ไม่อาจลงมือกันรุนแรง


หวังทงใช้แรงบีบคั้นจากหลายทางเพื่อให้เมืองเหลียวโจวบุกโจมตีปราบเผ่าหนี่ว์เจินแต่ละเผ่า รู้ว่าคงไม่ได้ผลอันใด แต่ยังทำเช่นนี้ก็เพราะอย่างน้อยจะทำให้สองฝ่ายมีความขัดแย้งกันบ้าง จริงๆ เท็จๆ ก็ล้วนสังหารกันบ้าง ดีกว่านั่งมองดูอีกฝ่ายขยายอิทธิพล


แต่ทว่าตอนนี้ที่หวังทงสังเกตเห็นไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็นชาวเผ่าหนี่ว์เจินเป็นทหารที่เมืองเหลียวโจว ยังเป็นทหารศูนย์กลางกำลังเมืองเหลียวโจว พวกเขารู้ระบบทหารแผ่นดินหมิง รู้วิธีการรบแผ่นดินหมิง ก็หมายความว่า เผ่าหนี่ว์เจินตอนนี้ไม่ใช่เผ่าอะไรที่ไร้ระเบียบ กำลังทหารเขานั้นได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นทางการ รู้การทหารเหลียวโจวละเอียดทุกด้าน


“ชาวเผ่าหนี่ว์เจินทำอาวุธเองเป็น หรือซื้อจากเมืองเหลียวโจว?”


“พวกเขาทำเองเป็น พวกเขาตีเหล็กเป็น มาเรียนรู้การตีเกราะและอาวุธที่เมืองเหลียวโจวนานแล้ว และพวกนอกด่านกลุ่มนี้ยังผลิตอย่างเต็มที่ ไม่ลอบลดวัสดุ”


แม้แต่อาวุธก็ยังทำเองได้ เห็นสีหน้าหนักใจหวังทงแล้ว หลี่หรูซงยิ้มกล่าวว่า


“ท่านโหว ไม่พอใจการรับมือทางเมืองเหลียวโจวหรือ พวกเขาชินกันแล้ว เกรงว่าปราบโจรนอกด่านหมด ก็จะไม่มีผลงานไว้รับเงินรางวัล ข้าน้อยจะเขียนจดหมายไปเร่ง ก็แค่โจรกระจอก ไยต้องเป็นห่วง”


“เผ่าหนี่ว์เจินทางนั้นมีคนได้เท่าไร?”


หวังทงถามขึ้น ทำให้หลี่หรูซงคิดครู่หนึ่ง ตอบอย่างไม่แน่ใจนักว่า


“สองสามแสนกระมัง มีคนว่าเรือนแสน แต่ทว่าวาจานี้ไม่แน่ ท่านโหวไม่รู้ พวกนอกด่านทางเหนือทางตะวันออกเมืองเหลียวโจว มีมองโกล มีเผ่าอื่นอีกไม่รู้เผ่าอะไร ขอเพียงอยู่ทางนั้น ก็ล้วนเรียกว่าชาวเผ่าหนี่ว์เจิน”


ที่ควรถามล้วนถามหมดแล้ว นี่เป็นการคุยกันในงานเลี้ยงทั่วไป พูดมากไปไม่เหมาะ หวังทงได้แต่หยุดบทสนทนา คุยเรื่องอื่นแทน


งานเลี้ยงจบลงอย่างรวดเร็ว หลี่หรูซงเห็นชัดว่าสงสัยอยู่  ก่อนจากกันก็คารวะนอบน้อม กล่าวจริงจังว่า


“เรียนท่านโหวให้ทราบก่อน บิดาข้าน้อยแม้ว่าหลายปีนี้ไม่คิดบุกยึด ปล่อยปละอยู่บ้าง พี่น้องข้าน้อย ล้วนติดอยู่ในอำนาจวาสนา แต่ทว่าพวกเขาล้วนเป็นข้าจงรักภักดีแผ่นดินหมิง ไม่กล้ามีใจคิดเป็นอื่น พวกเขามีวันนี้ได้ ก็ล้วนเป็นเพราะพวกเขาไม่เสียดายชีวิต รบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายสู้มาด้วยชีวิต หลายปีนี้บิดาข้าน้อยอายุมากแล้ว ทำงานก็เริ่มเลอะเลือนไปบ้าง คิดว่าท่านโหวจะแย่งหน้าตาเมืองเหลียวโจวไป จึงได้ทำเรื่องเลอะเลือนเหลวไหลไปบ้าง”


พูดถึงตรงนี้  หลี่หรูซงนิ่งไปพักหนึ่ง คุกเข่าลง เอ่ยขึ้นว่า


“บิดาข้าน้อยอายุมากแล้ว คงไม่ได้อยู่ในสถานะผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวนานนัก พี่น้องข้าน้อยหลายคนก็ล้วนเป็นขุนพลประจำการชายแดน หากทำอะไรผิด ข้าน้อยขอรับผิดชอบเพียงผู้เดียว ข้าน้อยขอรับใช้ท่านโหว ขอท่านโหวเมตตา อย่าได้คิดเอาเรื่องผิดพลาดที่ผ่านมา”


“ข้าจำไม่ได้ มีเรื่องอันใดหรือ?”


หวังทงยิ้มถามกลับ หลี่หรูซงที่คุกเข่าก็อึ้งไป ตามมาด้วยได้สติคืนมา คำนับอย่างนอบน้อม กล่าวอย่างตื้นตันว่า


“ท่านโหวใจกว้าง ข้าน้อยขอคารวะขอบคุณ!”


หวังทงพยักหน้า ตั้งแต่หวังทงขึ้นเหนือปราบเมืองกุยฮว่าเฉิง เมืองเหลียวโจวก็เหมือนมีการเคลื่อนไหวอย่างเห็นได้ชัด เรื่องซุนโส่วเหลียนทำให้สองฝ่ายได้ปะทะกันโดยตรง แม้ว่าตระกูลหลี่ตอนนี้ทรงอิทธิพลอำนาจล้นฟ้า รักษาสองเมืองชายแดน อิทธิพลอำนาจยิ่งใหญ่ มีชื่อเสียงอย่างมาก แต่เทียบกับหวังทงตอนนี้ ก็ไม่เท่าไร และเทียบกับพวกเขาที่อยู่เมืองชายแดน หวังทงเรียกได้ว่าอยู่ศูนย์กลางอำนาจ เป็นขุนนางคนสนิทฮ่องเต้ว่านลี่อีก


ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสายสัมพันธ์หวังทงกับขันทีในวังฝ่ายใน ว่ากันว่าสายฮองเฮายังสนิทกับหวังทง อิทธิพลอำนาจเช่นนี้ เป็นของจริง ไม่ใช่พูดกันเพียงลมปาก ตระกูลหลี่อาจประสบภัยใหญ่ได้


เดิมตระกูลหลี่จะจัดการยัดความผิดให้ซุนโส่วเหลียน แต่สุดท้ายซุนโส่วเหลียนกลับได้ตำแหน่งรองแม่ทัพภาคไป กลับต้องมาเฉือนเนื้อตนเองให้ไป  ครั้งนี้หวังทงไปหนิงเซี่ย คนทั่วไปอาจไม่รู้ความนัย แต่สถานะเช่นหลี่หรูซงแน่นอนเรื่องที่ควรรู้ก็ย่อมรู้ หวังทงจัดการให้ตระกูลปัวออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิด สยบสถานการณ์ไว้ได้ ทำให้หลี่หรูซงเริ่มกลัวบ้างแล้ว


ตระกูลปัวเป็นตระกูลใหญ่ครองหนิงเซี่ย มีทหารในมือส่วนตัวสามพัน ถึงกับถูกหวังทงปราบในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน จัดการได้อย่างรวดเร็ว ตระกูลปัวไม่เหมือนตระกูลหลี่ แต่ตระกูลปัวก็เหมือนตระกูลหลี่ลดขนาด หวังทงมีวิธีการจัดการเช่นนี้ไม่ธรรมเลย ตระกูลปัวได้รับความเมตตาใจกว้าง ก็เพราะไม่มีแค้นเก่า แต่ตระกูลหลี่ไม่เหมือนกัน แน่นอนย่อมกระทบใจหลี่หรูซง


บรรยากาศร่ำสุราในวันนี้ไม่เลว เดิมคิดว่าหวังทงอายุน้อยมีความสามารถ แต่กลับเป็นคนสุขุมนุ่มลึกเช่นนี้ และเห็นแก่ความสำคัญผลประโยชน์ หวังทงถามเรื่องเผ่าหนี่ว์เจิน ทำให้หลี่หรูซงอยู่ ๆ คิดได้ สร่างเมาเปิดประเด็นตรงไปตรงมา


“หากข้าไม่ตอบรับ เจ้าก็จะบอกว่าเมาสุราเสียกิริยากระมัง!”


หวังทงยิ้มถามกลับ  หลี่หรูซงหัวเราะดัง บรรยากาศงานเลี้ยงดีขึ้นมาก จากนั้นก็เป็นการคุยสัพเพเหระทั่วไป


ในงานเลี้ยงคุยเรื่องเมืองต้าถง แต่ก็มีแต่รอยยิ้ม ตอนนี้ต้าถงสงบสุขอย่างมาก  ขุนพลทหารตามป้อมต่างๆ ล้วนวุ่นกับการบุกเบิกพื้นที่เพาะปลูก บ้างก็ทำการค้า หากอยู่ใกล้ด่าน ทหารไม่ไปเป็นแรงงาน ก็ไปค้าขาย ทำการค้าที่มาถึงมือ พวกที่ใจกล้าหน่อย ก็จานำขบวนการค้าตนเองออกไปค้าขายบนทุ่งหญ้า


คนเหล่านี้มีชีวิตที่นับว่าดี แต่ลูกหลานขุนพลทหารยุคก่อน คิดจะสร้างผลงาน ก็กำลังงงอยู่ ตอนนี้ต้าถงสงบสุขเหมือนในด่าน ไหนเลยมีการสู้รบ


มีคนคิดวิธีออก เช่นว่าไปเป็นผู้คุ้มกันขบวนการค้า ระหว่างการต่อสู้ก็ตัดหัวศัตรูไปแจ้งรายงานรับความชอบทางการ แม้ว่าอาจถูกนินทาว่าแจ้งความชอบมิชอบ แต่อย่างไรก็ดีกว่าตัดหัวคนกันเอง


ผู้บัญชาการต้าถงหม่าต้งยังคงรับความชอบเช่นนี้ เกรงว่าเขาคงเป็นคนที่สงบที่สุดในชายแดนแผ่นดินหมิงทั้งเก้าแล้ว นานวันเข้า ก็คงไม่มีผลประโยชน์อันใดอีก และขุนนางบู๊ต้าถงเหล่านี้มีใจคิดออกไปสร้างความชอบ ก็เป็นกำลังสำคัญของผู้คุ้มกันการค้าเมืองกุยฮว่าเฉิง


ตอนโจมตีเหมืองทองหม่านเท่าเอ๋อร์ มีขุนพลต้าถงคนหนึ่งตัดหัวได้มาก ผลปรากฏหัวเหล่านี้นำกลับไปต้าถง หม่าต้งก็ให้ความชอบทันที ตอนนี้ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนพลคุมพื้นที่ไปแล้ว ขันทีคุมกำลังต้าถงและผู้ว่าการมณฑล ทุกคนล้วนให้ความสะดวก


ขุนพลชื่อหมากุ้ยอะไรสักอย่าง ทุกคนจำไม่ได้ชัด หลี่หรูซงพูดถึงแล้วก็ได้แต่ยิ้ม ในใจก็บอกไม่ถูก ห้าปีก่อน หัวศัตรูเป็นของที่มีราคาในการนำไปรับความชอบ แต่ตอนนี้ ถึงกับเป็นเช่นนี้ไปได้ หากปล่อยให้สงบสุขเช่นนี้ไป ใต้หล้านี้ใช่ว่าไม่จำเป็นต้องมีขุนนางบู๊แล้ว งานเลี้ยงครึกครื้นจบลงแล้ว


เดือนสาม ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 15 ใบไม้ผลิอากาศอบอุ่น หวังทงกลับถึงบ้าน


ตอนที่ 961 กราบทูลหน้าพระพักตร์

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตั้งแต่หวังลี่จากไป  หวังทงก็ไม่ค่อยมีภาพครอบครัวในความคิด จวนเขาแต่ไรมาก็ดูแลแบบที่ทำการทางการ ห้องนอน และที่อื่นๆ ก็ล้วนเป็นที่คุยงาน


แม้ว่ามีหานเสียกับภรรยารวมสามคน ภายหลังรับหลูรั่วเหมยและไจ๋ซิ่วเอ๋อร์มา  แต่ก็ยังเหมือนเดิม ทุกวันยุ่งแต่กับงาน แม้ยามอยู่ในห้องกับภรรยา เรื่องที่สนทนาก็ยังคงมีเรื่องครอบครัวสายสัมพันธ์ไม่มาก


แต่ทว่าครั้งนี้กลับมากลับไม่เหมือนเดิม หวังทงมักคิดถึงบุตรชายหวังเซี่ยตลอดทาง พอกลับถึงบ้านก็อดใจไม่ได้ต้องรีบไปดู


อย่างไรก็ใกล้จะสี่เดือนแล้ว เห็นทารกที่เดิมเนื้อหนังย่นๆ ตอนนี้กลับอ้วนท้วนน่ารักมาก หวังทงรีบเข้าไปจะอุ้ม แต่หวังทงอยู่แต่นอกบ้าน เด็กน้อยไม่มีความทรงจำภาพเขาแม้แต่น้อย พอเห็นหวังทงตรงมาอุ้มก็ตกใจหดตัวเข้าสู้อ้อมอกหานเสีย  ส่งเสียงแผดร้องไห้จ้า


สถานการณ์ดูเก้กัง แต่หวังทงยังคงมีท่าทางดีใจ ทั้งครอบครัวมีบรรยากาศแห่งความสุข การได้เป็นพ่อแม่คนนั้นเป็นช่วงหนึ่งของชีวิต รู้สึกทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด


เดิมหานเสียที่เอาแต่บ่นตัดพ้อกับหวังทง ตอนนี้ก็ยังคงพร่ำบ่นแต่น้ำเสียงนิ่งสงบลงมาก


“ลูกเซี่ยยังเล็ก ท่านพี่ไปเสี่ยงภัยนอกเมืองมา น้องอยู่บ้านก็เป็นห่วงมาก กลัวว่านายท่านอยู่ข้างนอกจะ…ลูกเซี่ยกับน้องจะ…”


พูดไป ๆ ก็เหมือนมีก้อนจุกที่ลำคอ ปาดน้ำตากล่าวอันใดไม่ออก หญิงรอบๆ ก็ล้วนตาแดงก่ำ หวังทงมองไปรอบๆ ในใจบอกไม่ถูก ได้แต่ยิ้มปลอบใจว่า


“สามีเจ้ามีดวงอำนาจวาสนา จะเกิดเหตุอันใดข้างนอกได้เล่า วางใจเถอะ ๆ เจ้าดูสิ ลูกร้องใหญ่แล้ว รีบส่งมาให้ข้าอุ้มเร็ว”


หวังเซี่ยถูกส่งให้หวังทงอุ้ม แต่ตอนนี้ต่างกับเมื่อครู่ หากดิ้นรนพักหนึ่ง ก็ส่งเสียงแผดร้องอีก หวังทงตัดใจไม่ลง แต่ก็ไม่รู้จะทำเช่นไร ท่าทางเก้กัง ทำเอาบรรดาภรรยาต่างอมยิ้ม จางหงอิงข้างๆ กล่าวว่า


“เด็กคนนี้แรงดีมาก เด็กคนอื่นร้องสักพักก็จะหลับ แต่เขาร้องเสียงดังก้อง ไม่เหนื่อย แม้ไม่ร้องก็เอาแต่เคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด วันหน้าต้องเหมือนนายท่านแน่ ๆ มีดวงชะตาเป็นขุนพลใหญ่!”


บิดาและบุตรชายต่ออำนาจวาสนา วาจานี้เป็นมงคล บรรยากาศในห้องเริ่มดีขึ้นอีกครั้ง หวังทงส่งลูกให้หานเสีย ยิ้ม กล่าวว่า


“วันหน้าคงไม่ต้องออกไปไหนไกลๆ อีกแล้ว ราชสำนักขุนนางมากมาย อย่างไรก็คงไม่ต้องให้ข้ายุ่งอยู่ผู้เดียว”


….


หวังทงพักผ่อนอยู่บ้านได้ห้าวัน วงการขุนนางเมืองหลวงล้วนทอดถอนใจ หากเป็นคนอื่นจากเมืองหลวงไปนานเพียงนี้ กลับมาจะกล้าพักได้อย่างไร อย่างไรก็ต้องรีบไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ให้ทรงเห็นหน้า จากไปนานเกินไป ความเหินห่างนับเป็นอันตรายยิ่ง หากติ้งเป่ยโหวท่านนี้กลับกล้าพักอยู่บ้านสาตั้งห้าวัน


คนนอกไม่กล้าสงสัยว่าเกิดเหตุใด แต่เป็นเพราะใต้เท้าหวังต้องการพักผ่อน ก็แค่นี้เท่านั้น ความจริงนั้นวันที่สาม หยางซือเฉินก็มาขอพบ


หวังทงเล่าเรื่องที่ได้ยินได้เห็นมาตลอดทางให้ฟัง กอปรกับการวิเคราะห์ของตน ให้หยางซือเฉินจัดระเบียบ เป็นฎีกาตั้งหนา วันที่ห้าก็ส่งเข้าวัง


แต่ทว่าฎีกานี้ไม่ได้ไปตามขั้นตอนกรมฎีกา หากเป็นฎีกาลับส่งถึงมือจางเฉิง ให้เขานำเข้ากราบทูลฮ่องเต้ว่านลี่


วันที่ 11 เดือนสามหลังประชุมขุนนาง หวังทงถูกรั้งตัวไว้เข้าเฝ้า ขุนนางคณะเสนาบดีใหญ่และหกกรมกองได้แต่สบตากันส่ายหน้า สถานการณ์ตอนนี้ หวังทงครองอำนาจคนเดียวแล้ว!


“ฝ่าบาท กระหม่อมจากต้าถงไปทางตะวันตก ตลอดทางเห็นทหารชายแดน ไม่เป็นพวกราวกับขอทาน ก็เหมือนโจร กองกำลังที่พอดูได้ก็มีแค่ทหารในสังกัดส่วนตัวขุนพลทหารเท่านั้น แต่ทหารเหล่านี้แท้จริงเป็นทหารพวกเขาหรือเป็นทหารราชสำนัก เกรงว่าคงกล่าวได้ยาก”


ก็ใช่ว่ากล่าวได้ยาก เพราะทหารส่วนตัวนั้นย่อมฟังนายตน ไม่ฟังราชสำนัก นี่เป็นการรับรู้ของคนส่วนใหญ่ไปเสียแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่พลิกอ่านฎีกาหวังทง ฎีกาหวังทงมีลักษณะเด่น วิพากษ์วิจารณ์กับเรื่องจริงล้วนครบ  และยังมีบรรยายถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ชาวบ้านอีกด้วย


หยางซือเฉินจัดระเบียบแล้วมักจะตกหล่นข้อมูลพวกนี้ แต่หวังทงก็แก้ไขกลับคืนมาหลายครั้ง หยางซือเฉินยังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใด รูปแบบฎีกามองอย่างไรก็เหมือนบันทึกท่องเที่ยว แต่ฎีกาเช่นนี้กลับเป็นที่พอพระทัยของฮ่องเต้ว่านลี่มาก อย่างไรก็ทรงอยู่แต่ในวัง  การอ่านฎีกาจะทำให้ทรงเห็นและเข้าใจสภาพความเป็นอยู่นอกวัง


“จางปั้นปั้น ป้ายประจำตัวตรวจสอบแล้วหรือยัง?”


ฮ่องเต้ว่านลี่เงยพระพักตร์ตรัสถามขึ้น จางเฉิงอึ้งไปก่อนได้สติ รีบทูลตอบว่า


“ฝ่าบาท สำนักบูรพาล้วนดูแล้ว เหมือนกับหวังทงรายงานพะยะค่ะ”


“ตายไปหลายร้อยคน เมืองชายแดนย่อมต้องรายงาน กรมทหารมีข่าวมาบ้างไหม?”


ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามขึ้นอีกครั้ง จางเฉิงอึ้งไป รีบทูลว่า


“ฝ่าบาท ขอทรงอภัย เป็นกระหม่อมไม่รอบคอบ กระหม่อมจะส่งคนไปตรวจสอบ”


หวังทงยืนก้มหน้านิ่ง รอจางเฉิงออกไป เจ้าจินเลี่ยงปิดประตูห้องทรงอักษร ฮ่องเต้ว่านลี่จึงทรงส่ายหน้าถอนพระปัสสาสะ ตรัสว่า


“จางปั้นปั้นแก่แล้ว กำลังวังชาเหมือนจะถดถอย ตามไม่ทันแล้ว ช่าง…”


ฮ่องเต้ว่านลี่ทอดถอนพระทัย กลับไม่ตรัสต่อ ได้แต่แต่ตรัสเรื่องอื่นไปว่า


“เจ้าทำงานเราวางใจ เจ้าว่าเรื่องพวกนี้ฟังแล้วเหลวไหล แต่คิดแล้วไม่เท็จ เมืองชายแดนหากเป็นเช่นนี้จริง ราชสำนักไยต้องส่งเงินหลายหมื่นตำลึงเลี้ยงดูพวกเขาทุกปีด้วยกัน”


“ฝ่าบาททรงพระปรีชา ตอนนี้เมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือแต่ละเมืองไม่มีการต่อสู้ใดแล้ว หากยังปล่อยปละต่อไป ผู้รับเคราะห์ก็คือเหล่าราษฎร ไม่เพียงแค่ต้องรับผิดชอบเสบียงพวกเขา ยังต้องถูกทหารรังแก หากยังปล่อยต่อไป ช้าเร็วย่อมเป็นภัย”


ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ วาจานี้กล่าวแล้วย่อมไม่ทำให้รู้สึกดี ฮ่องเต้ว่านลี่ปิดฎีกาลง พิงที่ประทับถอนพระปัสสาสะยาว ตรัสจริงจังว่า


“วันๆ ไม่ได้พักได้ผ่อน เสร็จทางนี้ ก็มีเรื่องทางนั้น ไม่ได้สงบสักที หากวุ่นวายเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เราเริ่มคิดถึงเสด็จปู่แล้ หาที่พักผ่อนสักหน่อย ให้คนที่เราไว้ใจเช่นพวกเจ้าทำงานกันไปเอง ก็จะได้พักผ่อนสบายใจ…”


ตรัสถึงตรงนี้  ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ตรัสต่อ หากโบกพระหัตถ์ตรัสว่า


“เมืองชายแดนหลายปีมานี้ ธรรมเนียมชั่วร้าย นอกจากขุนพลและทหารชายแดน ไม่รู้ชาวประชาใต้หล้าเท่าไรที่ต้องเดือดร้อนไปด้วย หากแตะต้องเข้า ดีไม่ดีอาจเกิดเรื่องวุ่นวายครั้งใหญ่ เจ้าว่าอย่างไร?”


หวังทงเตรียมคำตอบไว้ก่อนแล้ว แต่สิ่งที่ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเมื่อครู่ทำเอาหวังทงลังเล ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกทรงเหนื่อยล้ากับการบริหารแผ่นดินแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่เดิมก็ไม่ได้ทรงมีความรับผิดชอบมากสักเท่าไร แต่ก็ทรงอดทนกับความวุ่นวายซับซ้อนทางการเมืองได้อยู่ ทรงใส่ใจเรื่องการบริหารแผ่นดิน ทรงชอบที่จะจัดการ


แต่ตอนนี้กลับไม่เหมือนเดิม เมื่อก่อนฮ่องเต้คิดใช้เงินมักต้องส่งขันทีในวังออกนอกวังไปขูดรีดมา  ไปเก็บภาษีมาเพิ่ม ทำเอาประชาเดือด จากนั้นก็ทำเอาขุนนางราชสำนักวุ่นวายไม่เลิก แต่ตอนนี้พอมีเงินก้อนจินฮวาจากเทียนจินให้ใช้ มีรายได้ก้อนโตจากโรงบ้านเมืองกุยฮว่าเฉิง ในวังใช้จ่ายกันสบาย ของเล่นใหม่ๆ ก็มาก เทียนจินตอนนี้นับเป็นเมืองท่าทางการใหญ่อันดับหนึ่งของแผ่นดินหมิง หลายประเทศล้วนแล่นเรือมาที่นี่ สินค้าจากทะเลตะวันออกเฉียงใต้แปลกใหม่ก็ล้วนมีมาก  สามารถฟุ่มเฟือยไร้ขีดจำกัด เสวยสุขสุดขีด หากทำให้คนกลับเบื่อกับงานบริหาร ก็ไม่อาจตำหนิที่จะทรงเบื่อหน่าย


เรื่องแผ่นดินหมิงมีมากมายไม่หยุด เช่นชัยชนะใหญ่เมืองกุยฮว่าเฉิง ชัยชนะใหญ่กู่เป่ยโข่ว ทุกเรื่องล้วนต้องส่งคนไปจัดการหลังชัยชนะ การจัดการการปกครอง เป็นเรื่องซับซ้อนวุ่นวาย และยังมีเรื่องไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน  อิทธิพลอำนาจก็ต้องสมดุลจนปวดหัวไปหมด


“ฝ่าบาท เมืองชายแดนแต่ละแห่ง ขุนพลทหารล้วนหักเบี้ยหวัดทหาร จากนั้นให้ทหารไปทำไร่ทำนาให้ตนเอง แสวงหากำไรให้ตนเอง แต่ละคนล้วนเป็นเจ้าของที่ผืนใหญ่  หากเกิดเหตุเบื้องหน้า พวกเขาก็สามารถใช้ทหารในสังกัดตนไปจัดการได้ ฝ่าบาท เช่นนี้ต่างอันใดกับเจ้าของที่ในแผ่นดิน เจ้าของที่ให้คนงานตนไปใช้แรงงาน หากเกิดเหตุ พวกเขาก็ใช้คนงานตนไปจัดการได้ เจ้าของที่พวกนี้เคยร้องขอเสบียงเบี้ยหวัดจากราชสำนักหรือไม่ เมืองชายแดนทหารมากมาย เกรงว่ามีชีวิตไม่สู้คนงานในแผ่นดินส่วนในเรา….”


วาจาหวังทงลดเลี้ยวไปมา ฮ่องเต้ว่านลี่วางพระหัตถ์อยู่บนโต๊ะ  โน้มพระวรกายไปด้านหน้า เผยสีพระพักตร์เบื่อหน่าย หวังทงกล่าวต่อว่า


“หากจะลดกำลัง ขุนพลทหารไร้อำนาจ ย่อมเกิดจลาจลใหญ่ แต่หากไม่ลดกำลัง ยอมให้ทหารพวกเขาเป็นทหารส่วนตัวกันไป ยอมให้พื้นที่โรงบ้านเมืองชายแดนเป็นกิจการส่วนตัวพวกเขาไป ราชสำนักไม่ให้เบี้ยหวัดทหารเมืองชายแดนอีก ให้เมืองชายแดนเปลี่ยนเป็นเขตปริมณฑล ปกครองแบบมณฑลทหาร ให้เปลี่ยนเป็นแบบปกติ เช่นนี้เป็นอย่างไรพะยะค่ะ?”


ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปครู่หนึ่ง ให้บรรดาขุนพลชายแดนมีที่ทางทำกินผืนใหญ่ ขุนพลชายแดนอาจจะไม่โกรธแค้นมาก ชายแดนอย่างไรก็ลำบาก หากไม่ต้องออกไปรบ ได้เพาะปลูกสบายๆ พวกเขาน่าจะยินดี


“แต่ชายแดนหมื่นลี้ผู้ใดจะมาปกป้อง อย่างไรก็ไม่อาจไม่ดูแลกระมัง!?“


”ฝ่าบาท เมืองกุยฮว่าเฉิงตีมาได้  ต้าถง ไท่หยวน เหยียนสุย  เซวียนฝู่ สี่เมืองชายแดนล้วนไร้กังวล เพราะเหตุใด?เพราะเมืองกุยฮว่าเฉิงเป็นพื้นที่สำคัญ ไม่ผ่านที่นี่ ทัพใหญ่พวกนอกด่านไม่อาจเข้าสู่แผ่นดินหมิง ป้องกันที่นี่ไว้ สี่ทิศโจมตี บนทุ่งหญ้าถึงกับไร้ทหารกองกำลังใหญ่ แต่หากที่นี่ยังไม่พอ  ในพื้นที่สำคัญมีทหารรักษาการณ์อยู่ ใช้ปืนและรถใหญ่เป็นหลัก ใช้กำลังชนเผ่ารอบนอกเมือง ทหารม้ากับกลุ่มพ่อค้าติดอาวุธประสานกำลังกัน สามารถป้องกันชายแดนไร้กังวลพะยะค่ะ”


ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงประทับยืนขึ้น เดินไปยังหน้าแผนที่ที่แขวนอยู่ตรงกำแพง ทอดพระเนตรไปก็ตรัสถามขึ้น


“ตามที่ได้เรียนรู้มาจากลานฝึก ที่เรียกว่าพื้นที่สำคัญล้วนอยู่นอกกำแพงเมือง ก็ที่พวกนี่ไม่กี่แห่ง แต่ชายแดนหมื่นลี้ แค่สามถึงห้าแห่งนี่ จะป้องกันได้อย่างไร”


“ฝ่าบาท วันๆ หลบแต่หลังกำแพง จะไปป้องกันรักษาได้อย่างไรพะยะค่ะ ได้แต่รอพวกนอกด่านมาตีเอา นอกกำแพงเมือง ย่อมเป็นพวกเราไปตีพวกเขา ให้พวกนอกด่านวันๆ คิดแต่จะหลบอย่างไร จะป้องกันอย่างไร  ไหนเลยจะมีพวกใจกล้าคิดมาโจมตีเรา แน่นอนเราจะค่อยๆ สังหารทิ้ง แน่นอนย่อมสงบสุขยาวนานพะยะค่ะ”


ฮ่องเต้ว่านลี่ค่อยๆ พยักพระพักตร์ ใช้จ่ายเบี้ยหวัดและเสบียงเพื่อการทหาร และยังสามารถได้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นนี้ แน่นอนเป็นการจัดการที่ดี แต่ทว่าที่หวังทงว่ามาก็แค่แผนการ รายละเอียดกับการลงมือทำยังต้องหารือกันต่อไป นี่เป็นแค่เริ่มต้น แต่วันนี้แค่นี้ก่อน รายละเอียดยังต้องไว้รอหารือกันต่อไป


หารือกันถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่เคาะโต๊ะตรัสว่า


“หวังทง เจ้าไม่อยู่เมืองหลวงนาน รู้ไหมว่าปีก่อนภาษีเก็บได้น้อยกว่าปีก่อนหน้าสามเท่า?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)